PAGODA
  • หน้าแรก
  • ฐานข้อมูล
  • เสียง
  • วีดิทัศน์
  • E-Books
  • กิจกรรม
  • บทความ
PAGODA
  • หน้าแรก
  • ฐานข้อมูล
  • เสียง
  • วีดิทัศน์
  • E-Books
  • กิจกรรม
  • บทความ

Search

  • หน้าแรก
  • เสียง
  • อุบาสิกา คุณรัญจวน อินทรกำแหง
  • ทุกคนลิขิตชีวิตตัวเอง (ตอน10)
ทุกคนลิขิตชีวิตตัวเอง (ตอน10) รูปภาพ 1
  • Title
    ทุกคนลิขิตชีวิตตัวเอง (ตอน10)
  • เสียง
  • 12481 ทุกคนลิขิตชีวิตตัวเอง (ตอน10) /upasakas-ranjuan/10-8.html
    Click to subscribe
    • Share
    • Tweet
    • Email
    • Share
    • Share

ผู้ให้ธรรม
อุบาสิกา คุณรัญจวน อินทรกำแหง
ชุด
URI 036 บรรยายในพรรษา 2546
  • แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [ลองพูดคุยกับ AI ทาง Line]

  • อุบาสิกา คุณรัญจวน: มีสองอย่างคือกายเนื้อกับกายลม กายลมกับกายเนื้อมีความสัมพันธ์กันอย่างไร มีความสัมพันธ์กันอย่างไรกายลมคืออะไรคะ ที่เราเรียกว่ากายลมคือลมหายใจ ทำไมเราถึงถือว่าลมหายใจก็อยู่ในพวกกาย เรามองเห็นตัวไหม แต่เรารู้สึกได้เราสัมผัสได้ กับความเคลื่อนไหวของมัน ท่านจึงจัดว่าลมหายใจเป็นกายลม ทีนี้กายลม มีความสัมพันธ์กับกายเนื้อยังไง มันช่วยอะไรกายเนื้อกายลมมันช่วยอะไรกายเนื้อ นึกได้ไหม

    ผู้ร่วมสนทนา: สบายกาย

    อุบาสิกา คุณรัญจวน: เขาเรียกว่า กายลมนี้เป็นอีกชื่อหนึ่งง่ายๆ กายสังขาร อย่าลืมนะคะ เป็นกายสังขาร สังขารในที่นี้คืออะไรคะ การปรุงแต่งก็ถูกแล้ว เพราะฉะนั้น กายลมก็มีหน้าที่ปรุงแต่งกายเนื้อ ปรุงแต่งกายเนื้อ เชิญอาจารย์ค่ะ ข้างหน้าก็ยังมีที่ว่าง เชิญค่ะอาจารย์เชิญค่ะ กายลมก็มีหน้าที่ปรุงแต่งกายเนื้อ คำว่าปรุงแต่งกายเนื้อหมายความว่าไงคะ กายเนื้อนี้จะ สงบเย็นหรือจะเร่าร้อน ก็เนื่องด้วย กายลม ก็คือเรื่องของลมหายใจนั่นเอง ว่าเจ้าของกายลมกายเนื้อนั้นน่ะจะจัดการกับลมหายใจให้ถูกต้องได้อย่างไร ถ้าจัดการกับลมหายใจได้ถูกต้อง กายเนื้อก็จะเป็นไงคะ สบาย มีความสงบ มีความเย็นเกิดขึ้น ทีนี้ ในหมวดที่หนึ่ง คือหมวดกาย จุดมุ่งหมายที่ผู้ปฏิบัติจะต้องกระทำคืออะไรคะ ผู้ปฏิบัติจะต้องกระทำเกี่ยวกับเรื่องของหมวดที่หนึ่งคือหมวดกาย จะต้องทำการศึกษาเรื่องอะไร เรื่องลมหายใจ อย่าลืมนะคะ ที่เราต้องทบทวนเพราะมันต่อกันเรื่อย หมวดหนึ่งหมวดสองหมวดสาม จนขึ้นไปหมวดสี่ เพราะฉะนั้นถ้าหากว่า หมวดหนึ่งสองสามนี่ไม่มั่นคง โดยเฉพาะหมวดหนึ่ง เราก็จะ จะอะไรล่ะคะ จะโลเล จะล้มไปล้มมาเมื่อเราขึ้นสูงขึ้นไป ฉะนั้นต้องทบทวนเสมอว่า กายลมมีหน้าที่ปรุงแต่งกายเนื้อ ผู้ปฏิบัติจึงต้องศึกษาเรื่องของกายลมหรือลมหายใจอย่างทั่วถึง ทั่วถึงหมายความว่าไงคะ ศึกษาอย่างทั่วถึงคือคือให้รู้จัก รู้จักอะไรเหรอคะ รู้จักลมหายใจทุกอย่างทุกชนิด เช่นมีลมหายใจอะไรบ้างคะ ยาวบ้างสั้นบ้าง ยาวในลมหายใจยาวก็ยังมีอย่างเดียวหรือหลายอย่าง หลายอย่างใช่ไหมยังมีอีกหลายอย่างในลมหายใจยาวนั้นยาวหนัก ยาวเบา ยาวแรง ยาวลึกต่างๆอย่างที่เคยพูดกันมาแล้วนั่น ทีนี้เพียงแต่รู้จักว่าชนิดของลมหายใจยาวเท่านั้นพอไหม ต้องรู้จักอะไรของมันที่สำคัญ จะรู้จักแต่เพียงว่านี่ลมหายใจยาวไม่พอ จะต้องรู้จักอะไรคะ ลักษณะอาการของลมหายใจยาวแต่ละอย่างละอย่าง ยาวลึกเป็นยังไง ยาวหนักเป็นยังไง ยาวแรง ยาวเบา ยาวสบายสบายตามธรรมชาติเป็นอย่างไร นอกจากนั้นยังจะต้องรู้อีกว่าลมหายใจยาวแต่ละอย่างละอย่าง มันมีความแตกต่างกันที่เป็นข้อสังเกตของเรายังไงบ้าง นอกจากนั้นแล้วลมหายใจยาวแต่ละอย่างละอย่างปรุงแต่งกายอย่างไร นี่ในขณะศึกษาต้องทำความรู้จักมันให้ทั่วถึง คำว่าทั่วถึงคืออย่างนี้ ถ้าเรายังไม่รู้จักอย่างตลอดอย่างที่พูดก็เรียกว่ายังไม่ทั่วถึง ถ้าไม่ทั่วถึงก็จะไม่สามารถหยิบลมหายใจ ยาวมาใช้ให้เกิดประโยชน์ได้ตามต้องการ หรือเมื่อต้องการที่จะใช้ลมหายใจยาวเข้ามาแก้ไขสถานการณ์อะไรที่เป็นปัญหาเฉพาะหน้า ถ้ารู้จักมันอย่างทั่วถึงก็จะสามารถจัดลมหายใจของเราให้เหมาะสมในขณะนั้น ฉะนั้นจึงต้องรู้จักอย่างทั่วถึงในเรื่องของลมหายใจยาว แล้วก็ในทำนองเดียวกันกับลมหายใจสั้นจะต้องรู้จักชนิดของมันพร้อมกับลักษณะอาการของมันแต่ละอย่าง ซึ่งการที่ผู้ปฏิบัติจะรู้จักลมหายใจได้อย่างทั่วถึงก็ด้วยวิธีการปฏิบัติไม่มีอื่น ไม่ใช่วิธีอ่าน แต่ไม่ใช่จากการอ่าน ต้องวิธีปฏิบัติ ท่านจึงบังคับว่าขั้นที่หนึ่งทำอะไรคะ ขั้นที่หนึ่ง ทำอะไรคะ ทำอะไร วิธีปฏิบัติน่ะขั้นที่หนึ่งทำอะไร ตามลมหายใจอย่าลืมนะคะเริ่มต้นด้วยการตามลมหายใจ การตามนี้คือหมายความ ว่าไง ตามตั้งแต่ไหนถึงไหน ตั้งแต่จุดไหนถึงจุดไหน ตั้งแต่จุดที่ลมหายใจผ่านเข้าพอผ่านเข้าช่องจมูกตามทุกระยะเลยคือทุกจุดของมันจนถึงจุดสุดท้าย คือ เมื่อสิ้นสุด ลมหายใจเข้า หรือ ในส่วนตัวก็จะเรียกว่า เมื่อสุดสายของลมหายใจนั้นตามไปให้ตลอด เรียกว่า จิต หรือ สติ ต้องเคียงคู่กันกับลมหายใจยาว ที่กำลังผ่านเข้าไปนี้ จนถึงจุดสุดท้าย พอถึงจุดสุดท้ายก็เพ่งเอาไว้ให้ดี แล้วก็รีบตามออก นี่จึงเรียกว่า ตาม ทำไมถึงให้ตาม ทำไมถึงต้องตาม เพราะอะไรคะเพื่ออะไร อันนั้นก็อย่างหนึ่งล่ะ จะได้รู้จักลักษณะของลมหายใจยาว ว่ายาวอย่างไร ยาวแค่ไหน แต่ละอย่างและอย่าง มันมีระยะอย่างไร นอกจากนั้นที่สำคัญอีกที่ให้ตามค่ะ ใช่ สติอยู่กับปัจจุบันขณะ หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ สติจะอยู่กับลมหายใจตลอดไม่ไปไหนเลย ถ้าอยู่กับลมหายใจตลอดก็แน่นอนล่ะ จิตก็ไม่วอกแวก ไม่มีอะไรสอดแทรกเข้ามาในอารมณ์ในความรู้สึกได้ เพราะฉะนั้นการนั่งสมาธิ ที่นั่งไม่ได้ก็เพราะจิตไม่ได้อยู่กับเครื่องที่เรามาใช้เป็นเครื่องกำหนดอารมณ์ของการทำสมาธิ ฉะนั้นจึงบังคับให้ตาม ตามเพื่อให้จิตอยู่ ตามเพื่อให้รู้จักชัดเจนในลมหายใจนั้น

    ขั้นที่หนึ่งตามลมหายใจยาว ขั้นที่สองตามลมหายใจสั้น ตามไปเถอะ ตามไปจนกระทั่งช่ำชองชัดเจน ฉะนั้นไม่ต้องเป็นห่วงว่า ขั้นที่หนึ่งจะใช้เวลาเท่าไหร่ ขั้นที่สองใช้เวลาเท่าไหร่ อย่าไปคิดถึงนะเรื่องเวลา คิดเอาแต่เพียงว่าเรารู้จริงหรือยังเกี่ยวกับลมหายใจ นั้นๆ น่ะ ลมหายใจยาวก็ตาม ลมหายใจสั้นก็ตาม ฉะนั้นตอนนี้ยังไม่ต้องเป็นห่วง ว่าจะต้องเอาจิตสงบเป็นสมาธิ ในขณะที่ตาม ก็สงบยากล่ะนะคะ เพราะอะไร เพราะเราต้องใช้การสังเกตด้วย เราต้องสังเกตไปเรื่อยตลอดเวลา เพราะฉะนั้นก็ไม่ประสงค์ว่าจะต้องสงบ เพราะเราต้องตาม เราไม่ได้หยุดเลยเราต้องตามต้องสังเกต ทีนี้พอตามลมหายใจยาวสั้นจนรู้จักมันชัดเจนอย่างทั่วถึงก็ไปถึงขั้นที่สาม คือทำยังไงคะ ขั้นที่หนึ่งตามแต่ลมหายใจยาว ขั้นที่สองตามแต่ลมหายใจสั้น พอถึงขั้นที่สามรวมกันเลย หมายความว่าตามทั้งยาวทั้งสั้น เพื่อทดสอบว่าที่ว่าเราผ่านมาแล้วขั้นหนึ่งขั้นสองเรารู้จริงหรือเปล่า ถ้าเรารู้จริงแล้วก็พอเราหายใจอะไรออกมาจะเป็นยาวหนักรู้ทันทีเรารู้ด้วยว่ามันปรุงแต่งกายอย่างไร ลักษณะอาการเป็นอย่างไรหรือว่าสั้น สั้นสบายสบายก็รู้ทันที หรือว่ายาวเร็ว ยาวธรรมชาติจะรู้ทันที เพราะฉะนั้นในขั้นที่สามนี่ค่ะ ถ้าท่านผู้ใดฝึกแล้วก็รู้สึกว่าเรายังบอกไม่ได้เลย นี่เรากำลังหายใจอะไร อย่างไร นี่ก็เป็นเครื่องบอกแล้วว่า การฝึกปฏิบัติในขั้นที่หนึ่ง และขั้นที่สอง ยังไม่พอ ยังไม่ชำนาญพอ ถ้าเราชำนาญพอ พอมาถึงขั้นที่สามเราจะบอกได้ทันที แล้วก็สนุกนะคะ อย่าคิดว่ามันน่าเบื่อหน่าย ถ้าหากว่าเราทำใจให้สนุก จะสนุก เราจะสามารถจับอะไรอะไรมันได้ ทีนี้ถ้าช่ำชองแล้ว ตอนนี้ก็จะเลื่อนขึ้นไปขั้นที่สี่ เปลี่ยนจากการตามเป็น ใช้คำง่ายๆว่า  เฝ้าดู เฝ้าดู คือที่หัวเราะ มันกลับไปไหนไม่รู้นะ ไม่กลับมาเลย เพียงแต่ว่าตามกับเฝ้าดู ขั้นที่หนึ่ง สอง สาม ตาม ตามไป ตามให้ตลอดสาย เอาล่ะ ตามจะรู้จักมันดีช่ำชองแล้ว ตอนนี้ก็หยุดตามเสียที จะได้พักไง จะได้พักจิต พักจิตที่ทำงานหนักมาทั้ง หนึ่ง สอง ขั้น หนึ่ง สอง สามนี่ตาม ตอนนี้ก็มาเฝ้าดูมันเฉยๆ เฝ้าดูตอนที่มันเข้า เอาแต่ตรงจุดที่มันสัมผัส รู้ แตะตรงนี้เข้าแล้ว ไม่ต้องตามแล้ว รู้ ทำความรู้สึก  ถ้าหากว่าขั้นหนึ่ง สอง สาม ทำได้ดีแล้วก็ไวเชียวล่ะ ผู้ปฏิบัติจะไว พอมันผ่านก็มาแตะ เข้า พอออก แตะ ออก รู้เข้า รู้ออก รู้เข้า รู้ออก ถ้ารู้อย่างนี้ก็คือ มีสติตลอดเวลา และจิตก็เริ่มสงบแล้วค่ะ ตอนนี้ เพราะเราไม่ต้องทำอะไรนี่ เราเพียงแต่รู้ รู้ว่าเข้า รู้ว่าออก รู้ด้วยความรู้สึก รู้ด้วยใจที่สัมผัสจริง ๆ ตอนนี้จิตก็จะเริ่มเป็นสมาธิ แต่ในทางทฤษฎี ท่านก็เรียกว่าขั้นที่สี่นี้ก็คือ ควบคุมลมหายใจให้สงบระงับ ผู้ปฏิบัติทำหน้าที่ศึกษาด้วยการตามมาขั้นหนึ่งสองสาม พอขั้นที่สี่ก็ควบคุมลมหายใจให้สงบระงับ คือไม่ให้มันมายุ่งทำให้จิตแส่ส่าย แต่ว่าควบคุมลมหายใจทั้งหลายทั้งปวงที่เราได้รู้จักมาแล้วนี่ ให้เป็นลมหายใจที่สงบระงับ เพื่อที่มันจะได้ปรุงแต่งกายให้เป็นไง ก็ให้สงบระงับด้วยสิ ใช่ไหมคะ ทีนี้ เมื่อจะให้สงบระงับอย่างนี้ เราจะใช้ลมหายใจอย่างไรล่ะ เลือกหรือยังคะ ในขั้นที่สี่นี่ ถ้าจะควบคุมลมหายใจให้สงบระงับ จะใช้ลมหายใจอย่างไร ลมหายใจที่สบาย ที่เราหายใจแล้วสบาย มันไม่ทำให้จิตกวัดแกว่ง มันไม่ทำอาการหนักอาการอึดอัดอะไรให้เกิดขึ้นกับกายเนื้อเลย ก็ใช้ลมหายใจที่สบายซึ่งในขณะที่ปฏิบัติโดยเฉพาะอย่างยิ่งขั้นที่สามนี่ ผู้ปฏิบัติน่าจะรู้จักแล้วก็จับได้ว่าเราจะเอาลมหายใจอย่างไร นี่เป็นลมหายใจที่เราจะใช้เป็นลมหายใจปกติเพราะมันสบายเราก็อยู่กับลมหายใจอันนั้นน่ะจนกระทั่งจิตนิ่งอยู่กับมัน ก็จะเข้าเป็นสมาธิยิ่งขึ้นยิ่งขึ้นจากสมาธิผิวๆที่เรียกว่าขณิกะสมาธิหรือบริกรรมสมาธิก็จะได้เข้าไปสู่สมาธิที่ลึกขึ้น มากขึ้นแล้วทีนี้ก็ต้องการจะเป็นสมาธิสักมากมายแค่ไหนก็แล้วแต่ใจของผู้ปฏิบัติ แต่ถ้าผู้ปฏิบัติท่านใดควบคุมลมหายใจให้สงบระงับไม่ได้ สมาธิไม่เกิด เกิดไม่ได้มันก็แส่ส่ายอยู่นั่นตัวก็นั่งตรงดีหรอกแต่ข้างในนี่ว้าวุ่น ว้าวุ่นไปว้าวุ่นมาดิ้นไปโน้นดิ้นไปนี่ ก็หลอกได้แต่คนอื่น แต่หลอกตัวเองไม่ได้ใช่ไหมคะ รู้อยู่กับตัวเอง หมวดที่หนึ่งจึงถือเป็นหมวดที่สำคัญนะคะ ที่เน้นแล้วเน้นอีกเพราะมันเป็นพื้นฐาน พื้นฐานในการปฏิบัติภาวนาในการปฏิบัติหมวดจิตโดยเฉพาะอย่างยิ่งการปฏิบัติเพื่อที่จะพิจารณาในหมวดธรรม ซึ่งเป็นหมวดที่จะต้องใช้สติปัญญาความสงบที่เป็นสมาธิจริงจริงอย่างลึกซึ้งมากขึ้น ฉะนั้นก็ต้องขอความกรุณาว่าว่างๆ น่ะทำอะไรอยู่ หายใจอยู่ตลอดเวลาน่ะใช่ไหมคะ ไม่ลองใช้มันให้เกิดประโยชน์บ้างเลยเหรอ จะเอาแต่หายใจเพื่อให้มีชีวิตอยู่เท่านั้นเอง มันจะวุ่นแค่ไหนช่างหัวมันไม่เป็นไรอย่างงั้นหรือ ทำไมไม่ลองใช้ให้มันเกิดประโยชน์มากกว่านั้น นี่กำลังนั่งทำอะไรอยู่ ตอนนี้ลองหายใจอะไรนะอย่างน้อยในในครึ่งชั่วโมงนี้นึกถึงมันได้สักสองครั้งสามครั้งก็ดีแล้วนะ แล้วก็จะได้นึกได้ต่อๆ ไปด้วยทีนี้ก็จะชำนาญชำนาญในการใช้ลมหายใจ รู้จักลมหายใจมากขึ้น มาทางนี้ก็ได้อาจารย์ทางนี้นะ ยกมานั่งนี่ค่ะหลังคุณไขศรีน่ะ

    มีท่านผู้ใดมีคำถามเกี่ยวกับบทหนึ่งอีกไหมคะ มีไหมคะ หวังว่าจะไม่ต้องทบทวนกันอีกนะไม่งั้นไม่จบสักทีไปไม่ถึงบทสี่สักที แล้วก็ถ้าลองฝึกอยู่เรื่อยๆ นะคะด้วยตัวเองจะยิ่งชัดยิ่งขึ้นอีกค่ะ ชัดมากเลยแล้วก็จะรู้สึกสนุกแล้วก็จะรู้สึกว่าลมหายใจที่ธรรมชาติให้เอาไว้มันมีประโยชน์ถึงขนาดนี้นะ มันไม่ใช่เพียงให้เรามีชีวิตอยู่แล้วก็วิ่งดิ้นรนแต่มันช่วยจัดจิตใจของเราให้สงบเย็นก็ได้ ให้แจ่มใสมีสติปัญญาขึ้นมาก็ได้ มันช่วยอะไรเราได้หลายอย่างเลย เพราะฉะนั้นก็ใช้มันให้คุ้มค่า คุ้มค่ากับที่มีลมหายใจอยู่แล้วใช้มันให้คุ้ม มีอีกไหมคะ มีคำถามไหมคะ ถ้าไม่มีโปรดนั่งตัวตรง นั่งตัวตรงเพื่อให้ลมหายใจผ่านเข้าผ่านออกได้สะดวก แต่ไม่ต้องเกร็งไม่ต้องทำอกผายไหล่ผึ่งเกินไป ธรรมดาธรรมดาสบายสบาย ตามลมหายใจยาว ทุกท่านเชิญตามลมหายใจยาว ถ้ารู้สึกอึดอัดหายใจยาวลึกซักหน่อยให้เต็มปอด จะได้สบาย ไม่เอาอย่างอื่นเลย ลมหายใจสั้น ถ้าไม่ชอบทำไมถึงไม่ชอบ นี่ก็คือเป็นการบอกตัวเองให้สังเกตลักษณะอาการของมัน แล้วมันมาปรุงแต่งกายยังไงถึงไม่ชอบ ถ้าเผอิญชอบลมหายใจสั้น จะเป็นลมหายใจสั้นอย่างไร พิจารณาดูไปเรื่อยไม่ต้องสงบ ถ้าสงบก็ลืมดูว่าเรากำลังหายใจอะไร เพราะงั้นยังไม่ต้องสงบ เรากำลังศึกษา ศึกษาเรื่องลมหายใจสั้น เรายังไม่ทำสมาธิ ทีนี้ เลื่อนขึ้นไปขั้นที่สาม ตามลมหายใจทุกอย่างทุกชนิดเพื่อทดสอบตนเองว่ารู้จักมันดีทุกอย่างหรือเปล่าจัดมันได้หรือเปล่า คำว่าจัด ก็คือจะเอายาวอย่างนี้ จะเอาสั้นอย่างนี้เมื่อต้องการ ทุกอย่างสลับกันไป อย่าอยู่แต่อย่างเดียวนะคะตอนนี้ก็เหมือนกันยังไม่ได้ประสงค์ว่าจะให้จิตรวมเป็นสมาธิ แต่ประสงค์จะรู้ลมรู้ลมหายใจทุกอย่างทุกชนิดได้อย่างแม่นยำแล้วก็ใช้มันได้ด้วย นี่คือจุดประสงค์ของขั้นที่สาม สั้นบ้างยาวบ้างสั้นอย่างนี้บ้างยาวอย่างนั้นบ้างเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ เพื่อให้เกิดความชำนาญ เราจะได้ใช้มันได้ง่ายในขั้นที่สี่ นี่เรากำลังศึกษาวิธีการปฏิบัติสมาธิอย่างมีระบบ ถ้ามีระบบอย่างนี้ทำได้ก็จะทำให้ผู้ปฏิบัติมีทิศทางในการปฏิบัติ รู้ว่าเริ่มต้นอย่างไรแล้วก็จะเดินต่อไปอย่างไร สู่จุดมุ่งหมายอะไรเพราะฉะนั้นจึงไม่ควรข้ามขั้นตอนของการฝึกปฏิบัติ ตามให้ทุกอย่างนะคะ เอาล่ะนะคะสมมติว่ารู้จักช่ำชองทีแล้ว ต่อไปขั้นที่สี่ค่ะ ที่นี่เปลี่ยนจากตามเป็นเฝ้าดู อยู่ตรงช่องจมูก ที่จุดที่ลมหายใจสัมผัสชัดที่สุด แล้วก็เปลี่ยนเป็นเฝ้าดูคือเอาจิตจดจ่ออยู่ตรงจุดนั้น เฝ้าดูคือเฝ้าดูด้วยจิตหรือด้วยสติตรงจุดแถวช่องจมูกจุดไหนก็เลือกเอาเอง จุดที่ลมหายใจสัมผัสชัดที่สุดเลือกเอาเองแล้วก็จดจ่ออยู่ที่จุดนั้นจุดเดียว พอเข้าลมหายใจแตะหรือความเคลื่อนไหวของลมหายใจแตะให้รู้ตรงจุดที่มันแตะแล้วก็ปล่อยให้มันเข้าไป แต่จิตคงสงบนิ่งอยู่ตรงจุดนั้น พอมันออก ก็แตะอีกตรงจุดนั้นแหละก็ให้รู้ว่ามันออก จิตก็อยู่ตรงจุดนั้นจุดเดียวไม่ต้องไปไหน คอยรับ สัมผัสมันเข้ารับสัมผัสมันออกรู้อยู่อย่างเดียว การทำงานของจิตน้อยลง ตอนนี้จิตก็น่าจะต้องค่อยๆสงบลง ทีละน้อยละน้อยละน้อย ขึ้นอยู่กับว่าจดจ่ออยู่ที่จุดนั้นได้มากน้อยแค่ไหน นี่คือการควบคุมลมหายใจให้สงบระงับ ก็คือควบคุมลมหายใจหยาบๆให้มันหมดไปไม่เอา เหลือแต่ลมหายใจที่ละเอียด บางเบาสบาย ปรุงแต่งกายให้เย็นให้สงบให้นิ่ง แล้วจิตก็จะเข้าสู่ความเป็นสมาธิยิ่งขึ้นจะไม่พูดแล้วนะคะ ทีนี้ก็ให้ลองสัมผัสด้วยตัวเองได้ค่ะ ภายในเวลาประมาณ 5 นาที ท่านผู้ใดได้สัมผัสกับความสงบที่ข้างในบ้างรู้สึกว่าได้สัมผัสกับความสงบที่ข้างใน เสียดายเหลือเกินที่บอกให้เลิกเร็ว มีไหมคะ

    ผู้ร่วมสนทนา: เกร็ง

    อุบาสิกา คุณรัญจวน: ทำไมถึงเกร็งคะ ก็เฝ้าเฉยๆ ใช่ค่ะ เพราะฉะนั้นนี่เรียกว่ามีความตั้งใจมาก ตั้งใจมากเกินพอตั้งใจมากเกินไปเนี่ยมันก็เครียดนะคะ ทำไมเราถึงจะทำได้ ทำไมเราถึงจะทำได้ ถึงไม่พูดแต่ใจมันนึกอย่างงั้น ทำไมถึงจะได้ ทำไมถึงจะได้ ทำไมถึงไม่ได้ ทำไมถึงไม่ได้ เราให้นึกดูสิคะ จิตนั้นน่ะอยู่กับจุดที่เฝ้าดูหรือเปล่า ไม่ได้อยู่ใช่ไหมคะ เพราะเมื่อกี้นึกทำไมจะได้ ทำไมจะได้ หรือทำไมไม่ได้ ทำไมไม่ได้ มันไปอยู่กับได้ไม่ได้นั่นน่ะ ไม่ได้อยู่กับจุดนี้ใช่ไหมคะ ก็ไม่สงบมันก็เกร็ง แล้วก็กลัวว่า คนอื่นเขาทำได้ เราทำไม่ได้ นี่เพราะฉะนั้น ในการปฏิบัติสมาธิเนี่ย ครูบาอาจารย์ท่านจะบอกเสมอ ไม่ต้องเปรียบเทียบไม่ต้องไปเปรียบเทียบกับคนนั้นคนนี้ คนนั้นมองดูเค้านั่งสงบตัวตรง เขาคงไปไหนไปไหน เรานี่ยังไม่ไปไหนเลย ที่จริงเขาอาจจะไม่ได้ไปไหนหรอก เขาวุ่นเขาอยู่ข้างในก็ได้ แต่ฟอร์มเขาดี ฟอร์มเขาดีเขาก็นั่ง จนกระทั่งใครๆก็ทึ่งเลื่อมใส แต่ความจริงไม่ใช่ เพราะฉะนั้น เวลาจะนั่งสมาธินะคะ ท่านจึงบอกว่าการเตรียมใจนี่สำคัญยิ่งกว่าการเตรียมกาย คือเตรียมใจให้พร้อมที่จะปฏิบัติสมาธิว่างั้นเถอะหนึ่งเรารู้วิธี ก่อนอื่นเราต้องมีความรู้ที่ถูกต้อง ไม่ว่าเราจะทำอะไรใช่ไหมคะ เราต้องมีความรู้ที่ถูกต้อง ที่พูดกันมานี้ ก็เพื่อให้เข้าใจวิธีการที่จะทำสมาธิอย่างมีระบบ นี่เป็นระบบที่พระพุทธเจ้าท่านทรงใช้ ตลอดเวลานะคะ มันมีวิธีการทำสมาธิหลายสิบวิธีอย่างที่เคยบอกแล้ว แต่วิธีนี้ท่านทรงใช้ตลอดในเรื่องของอานาปานสติ ตั้งแต่ท่านยังเป็นเด็กชายทรงพระเยาว์ที่พระบิดาไปทำพิธีแรกนาขวัญนั่นน่ะ แล้วท่านก็ถูกทิ้งอยู่องค์เดียว ที่ใต้ร่มไม้ที่เย็นสบาย สิ่งแวดล้อมสงัดมากบรรยากาศดี ท่านก็ปล่อยจิตของท่านนี่ ให้อยู่กับลมหายใจ แต่ตอนนั้นน่ะก็เชื่อว่าท่านคงยังไม่ได้ใช้อย่างมีระบบแต่ก็อยู่กับวิธีอานาปานสติคืออยู่กับลมหายใจเข้าลมหายใจออก ลมหายใจเข้าลมหายใจออก ท่านนั่งอยู่อย่างนั้น จนกระทั่งจิตของท่านเป็นเอกัคคตาเคยได้ยินคำว่าเอกัคคตาใช่ไหมคะรวมเป็นหนึ่งไม่กระจายเลยรวมเป็นหนึ่ง ท่านเปรียบเหมือนกับเป็นยอดสามเหลี่ยม จุดยอดของสามเหลี่ยมเป็นพีระมิด จิตทั้งหลายที่มันเคยกระจายกระจายมารวมอยู่จุดเดียวไม่ไปไหนเลย แล้วจิตท่านก็สงบมากยิ่งขึ้นแล้วก็เชื่อว่าต่อมาเมื่อท่านได้ ฝึกอบรมองค์ท่านเองในเรื่องของการปฏิบัติสมาธิท่านก็คงจะมองเห็นแล้วว่าการปฏิบัติสมาธิเพื่อจะให้ถึงธรรมมันจะต้องเริ่มต้นด้วยกาย หมวดกายคือพิจารณาทำความรู้จักในเรื่องของกายลมให้ชัดเจนเพราะกายลมนี่มันจะปรุงแต่งกายเนื้อก็อย่างที่ได้พูดมานี่ แล้วจากนั้นก็มันต้องรู้เพื่ออะไรเพื่อรู้เวทนาทำไมท่านถึงเอาเวทนามาเป็นหมวดที่สอง ก็เพราะว่าเรื่องของกายเป็นเรื่องหยาบ ใช่ไหมคะ หมวดที่หนึ่งนี่ หมวดกายเป็นเรื่องหยาบ มันเป็นสิ่งที่มองเห็นได้ แต่ต้องได้ รู้สึกได้ ทั้งกายเนื้อและกายลมแต่พอต่อไป ท่านก็จะพาเรา คือพาผู้ปฏิบัติ เข้าไปสู่ สิ่งที่ไกลตัวออกไปอีกหน่อยหนึ่ง แต่ก็ยังรู้สึกได้ คือเรื่องของเวทนาที่ว่ายังรู้สึกได้ ก็เพราะว่าเวทนามันคือความรู้สึกที่เกิดขึ้นในจิตของเราเกิดขึ้นที่ในหัวอก จะอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ แต่เราจะบอก อกฉันจะเป็นหนอง ก็ไม่รู้ว่าอกมันเป็นหนองได้ยังไง แต่ก็เป็นคำเปรียบเทียบว่ามันทุกข์เหลือเกิน จนอกมันจะเป็นหนองก็บอกว่าอยู่ข้างใน แต่ข้างในนี่อยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ ก็เป็นสมมติกันว่าอยู่ภายใน พอเกิดสุขหรือเกิดทุกข์มันก็รู้สึกอยู่ข้างใน ท่านจึงเอาเวทนา ซึ่งเป็นสิ่งที่มนุษย์ทุกคนสัมผัสได้ เพราะเดี๋ยวก็รู้สึกร้อน เดี๋ยวก็หนาว เดี๋ยวก็ทุกข์ เดี๋ยวก็สุข เดี๋ยวก็ได้ เดี๋ยวก็เสียอะไรอย่างนี้ ท่านก็เอาอันนี้มา ต้องศึกษาเพราะอะไรเพราะท่านบอกว่าเรื่องของเวทนาเนี่ยเป็นเรื่องที่ทำให้ชีวิตของมนุษย์ปั่นป่วนใช่ไหมคะ ขณะใดไม่มีเวทนาขณะนั้นเป็นยังไงเคยสังเกตไหม ขณะใดที่ไม่มีเวทนาคือไม่มีอารมณ์ความรู้สึกอะไรเกิดขึ้นข้างใน ขณะนั้นเป็นไงคะ สบาย จิตสบายรู้สึกว่างเปล่าใช่ไหมคะ เหมือนกับขณะนี้เราเป็นเจ้าครองโลกว่างั้นเถอะ โลกนี้เป็นของเราเพราะมันไม่มีอะไรเข้ามาเกี่ยวข้องกับเราเลยจิตมันว่างมันโปร่งเพราะไม่มีเวทนาคือไม่มีอารมณ์อารมณ์สุขอารมณ์ทุกข์อารมณ์ชอบอารมณ์ไม่ชอบอารมณ์เกลียดชัง อะไรอย่างนี้ ไม่มี ก็เลยรู้สึกว่าเวทนานี้ไม่รบกวนจิตก็เบาสบายท่านจึงเอาเวทนามาศึกษาเพราะมนุษย์ในโลกเกือบจะว่าร้อยกว่าทั้งร้อยยกเว้นท่านผู้เป็นพระอรหันต์ ตกอยู่เป็นทาสของเวทนาทั้งนั้นน่ะใช่ไหมคะ มากบ้างน้อยบ้างตลอดเวลาแต่ไม่ค่อยยอมรับกัน มักจะบอกฉันนี่ ไม่มี ฉันเก่ง แต่ไปแอบร้องไห้คนเดียว เพราะฉะนั้นอันนี้ท่านจึงให้ศึกษาเรื่องของเวทนา ถ้าหากว่ารู้จักเวทนาได้จริงแล้ว เราก็จะสามารถครองโลกได้ให้โลกมันปั่นป่วน มันจะถล่มทลาย มันจะเป็นอะไรแค่ไหน มันไม่กระทบกระเทือนเรา เพราะอะไร เพราะเมื่อควบคุมเวทนาได้ ก็คือควบคุมตัณหาอุปาทาน ไม่เอากับมันทั้งนั้น แต่ไม่ใช่หลบหนีนะคะ หรือว่าขี้ขลาด หันหลังให้ไม่ใช่ เผชิญหน้าสู้ทุกอย่าง แต่ว่าทำด้วยสติปัญญา ด้วยจิตใจที่มั่นคง เข้มแข็งเด็ดเดี่ยว ทีนี้ พอจิตใจมันไม่มีอารมณ์เวทนาเข้ามา สมองมันก็ใส คิดอะไรออกความรู้มีสติปัญญามีมา มันก็พรั่งพรูมาเอามาใช้ได้ แล้วจิตก็มั่นคงเด็ดเดี่ยวที่จะทำ ท่านจึงให้ศึกษาเรื่องของเวทนา เวทนาก็เป็นสิ่งที่สัมผัสได้ด้วยความรู้สึกของเรา ทีนี้พอควบคุมเวทนาฝึกฝึกการควบคุม ไม่ใช่ว่าพอพอเรียนรู้ฟังแล้วก็ควบคุมได้ยังหรอกนะคะ แต่รู้ว่ามันคืออะไรแล้ววิธีจะควบคุมมันทำยังไงทีนี้พอรู้วิธีการทดสอบลองดูแล้วก็ จะเลื่อนขึ้นไปหมวดที่สามคือหมวดจิตซึ่งตอนนี้ยิ่งลึกเข้าไปอีกใช่ไหมคะเพราะเป็นนามธรรมอย่างยิ่งมองไม่เห็นล่ะนี้ท่านพาเราไปทีละขั้นละขั้นละขั้นจากสิ่งที่หยาบจับต้องได้ไปจนกระทั่งถึงเหมือนกับว่าแตะต้องได้สัมผัสได้ครึ่งครึ่ง รู้สึกเวทนา พอต่อไปก็ไปถึงสิ่งที่มองไม่เห็นเป็นนามธรรมจริงจริง ก็ต้องใช้ความละเอียดความประณีตซึ่งจะเกิดจากพื้นฐานของความสามารถในการปฏิบัติจากหมวดที่หนึ่งตลอดเวลาต้องใช้ลมหายใจตลอดเลย เพราะฉะนั้นอันเนี้ยจึงจำเป็น อาจารย์หนาวพัดลมเปล่าถ้าใครหนาวพัดลมก็เปลี่ยนที่นั่งได้นะถ้าจะไม่สบายเพราะพัดลมเปลี่ยนได้ ฉะนั้นในการปฏิบัติสมาธิ ทีแรกทีเดียว การเตรียมใจสำคัญที่สุด คือเตรียมใจพร้อมว่าจะทำสมาธิ บอกตัวเองว่าตอนเนี้ยฉันจะทำใจฉันให้ว่าง ฉันจะไม่เอาอะไรเลยที่มันเคยสุมๆอยู่ในใจ หรือสุมอยู่บนศีรษะของเราแบกเอาไว้นักไหล่เนี่ยไม่เอาทิ้งหมด จะทำสมาธิสมมติว่าครึ่งชั่วโมงบอกตัวเอง ไม่เอา ครึ่งชั่วโมงนี้ไม่เอาอะไร โทรศัพท์ก็ไม่รับ ใครมาเรียกก็ไม่ขาน เรื่องอะไรที่เป็นสัญญาเก่าๆ ที่ชอบมารบกวน ไป ทิ้งมันไปให้หมด ขอเวลาหน่อยเถอะนะ ขอหน่อย ขอแค่ครึ่งชั่วโมงไม่ได้เชียวเหรอ วันหนึ่งมี 24 ชั่วโมง ขอครึ่งชั่วโมงไม่ได้เชียวเหรอ ปัดมันออกไปให้หมด คือกายนี่ หมายความว่าพร้อมแล้วนะ กายสดชื่นแจ่มใส ว่างสบาย พร้อมที่จะ ลงมือปฏิบัติสมาธิ

    ทีนี้ พอเริ่มปฏิบัติ ถ้าสมมติเราปฏิบัติด้วยกัน เป็นหมู่อย่างนี้ อันแรกก็คือ ไม่ยุ่งกับใคร จะนั่งกันอยู่สัก 20 30 100 คน เหมือนกับอยู่คนเดียว แม้แต่จะนั่งติดกัน ก็เหมือนกับอยู่คนเดียว ไม่ใส่ใจกับคนที่อยู่ติดตัวเลย ฉะนั้นในการปฏิบัติสมาธิก็ต้องเก็บจิตของเราเข้าข้างใน ถึงแม้จะปฏิบัติคนเดียวก็ตามเก็บจิตเข้าข้างใน นั่งอยู่ในห้องพระสมมตินะคะนั่งอยู่ในห้องพระของเราคนเดียวก็ไม่ต้องดูพระพุทธรูปองค์นี้เป็นอย่างไรมาจากไหน ใครให้ ศักดิ์สิทธิ์ยังไงไม่ต้อง ตอนนี้ดูใจเราอย่างเดียวพระพุทธรูปก็มีไว้กราบเพื่อระลึกถึงพระพุทธเจ้ากราบเสร็จแล้วก็แล้วกัน จิตนั้นอยู่แต่ข้างในอย่างเดียวปิดไม่เอาอะไรหมด แล้วก็ไม่คิดเปรียบเทียบเออเรานี่ไม่เคยทำได้เลยนะ วันนี้คงไม่ได้อีกนั่นแหละ ประมาทตัวเองตั้งแต่ต้นแล้วมันจะได้ไง ใช่ไหมคะ ถ้าประมาทตัวเองตั้งแต่ต้นมันก็ท้อแล้ว หมดกำลังใจไปแล้วนี่คือผู้แพ้แต่เริ่มต้น เขายังไม่ได้ยิงปืนให้สตาร์ตออกไปเลยแพ้แล้ว เพราะฉะนั้น ระมัดระวังเรื่องของจิต ไม่ใช่ของเล่น ฉะนั้นอย่าไปคิดว่า ที่แล้วๆ มาทำได้หรือไม่ได้ช่างหัวมันเป็นอดีตไปแล้วนี่คือปัจจุบันที่เราจะเริ่มต้นใหม่เดี๋ยวนี้ การเตรียมจิตไม่ใช่ของเล่นๆ นะเป็นสิ่งสำคัญ งั้นต้องเตรียมจิตที่พร้อมแจ่มใสพร้อมที่จะปฏิบัติ ไม่ต้องนึกถึง ไม่ได้มันก็ต้องได้มันเป็นอานิสงส์นี่ใช่ไหมคะ ไม่ได้แล้วมันก็ต้องได้บ้างได้แล้วบางทีถ้าเผลอไผลขาดสติมันก็ไม่ได้ก็มีเหมือนกัน นี่มันเป็นไปตามเหตุปัจจัยเอาธรรมะเข้ามาสอนตัวเองก็จะมีกำลังใจขึ้น ทีนี้เรานั่งสมาธท่านก็บอกวิธีนั่ง ท่านผู้ใดไม่รู้วิธีนั่งสมาธิบ้างว่านั่งยังไง ก็นั่งตัวตรง ใครที่ขัดสมาธิได้ก็ขัดสมาธิจะสมาธิชั้นเดียวหรือจะเป็นสมาธิสองชั้นที่เขาเรียกสมาธิเพชรนั่นแหละ ก็แล้วแต่ใครทำได้ก็ดี ท่านแนะนำให้นั่งขัดสมาธิเพราะท่านบอกว่าจะทำให้ตัวตรงแล้วจะทำให้ตัวเหมือนมีหลักมีฐาน จะไม่ล้มง่ายๆ ถ้านั่งธรรมดาธรรมดาพอง่วงก็ล้มคว่ำหน้าก็ได้หรือหงายหลังก็ได้แต่ถ้านั่งขัดสมาธิ ท่านบอกว่าจะดีเพราะว่ามันจะช่วยให้ตัวเองมีฐาน ท่านว่าอย่างงั้นเพราะฉะนั้นก็นั่งขัดสมาธิตามแต่จะนั่งได้ แล้วก็นั่งตัวตรงตอนแรกๆก็อาจจะยังไม่เริ่มตั้งใจทำ ทดสอบลมหายใจเสียก่อนหายใจเข้าหายใจออกหายใจเข้าหายใจออกเหมือนกับเราลองสตาร์ทรถที่เครื่องมันไม่ดี ลองสตาร์ทมันดูก่อนสิว่ามันเครื่องมันดีพร้อมที่จะออกรถแล่นได้หรือเปล่า ทีนี้พอเรารู้สึกว่าช่องจมูกมันก็คล่องดี เข้ามาข้างในมันก็คล่องดีไม่มีอะไรติดขัด ปล่อยใจ ไม่เอามาเกี่ยวข้องกับอะไรทั้งนั้น ตายังไม่หลับก็ได้ ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องหลับตาแต่ว่ามองต่ำอย่างที่เคยแนะนำ มองต่ำเฉพาะแค่หน้าตักของเรา ไม่มองไกลเพื่อไม่ให้ตานี่ไปพบผัสสะต่างๆแล้วให้มันอยู่ข้างใน เสร็จแล้วก็ใช้อานาปานสติก็ต้องเริ่มแต่ขั้นที่หนึ่งนะคะอย่าลืมสบายๆนั่งสบายๆ ไหล่ก็ไม่ต้องแข็ง ไหล่ผึ่งแต่ว่าผึ่งอย่างสบายๆ ตัวตรงอย่างสบายๆแล้วก็เริ่มตามลมหายใจ เรียกว่าอุ่นเครื่อง ถึงแม้ว่าผู้ใดสามารถจะช่ำชองในขั้นที่หนึ่งขั้นที่สองขั้นที่สามแล้วก็ตามแต่ต้องอุ่นเครื่องไว้ก่อน ก็ตามลมหายใจยาวจะสามนาทีห้านาทีแล้วแต่อัธยาศัย แล้วก็ตามลมหายใจสั้น นี่มันจะเกิดความมั่นคงขึ้นในใจทีละน้อยนะคะ แล้วก็ไปถึงขั้นที่สาม ตอนนี้ก็ดูแล้วว่า ลมหายใจที่เป็นกายและสังขารจะปรุงแต่งกายได้ในลักษณะอย่างไรบ้างเอาให้ชัดเจนแจ่มแจ้งทั้งลมหายใจสั้นลมหายใจยาวสลับกันไป เพื่อทดสอบว่าเราแม่นไหมเ พอแน่ใจแล้วก็ไปขั้นที่สี่ถ้าเรามีความสามารถในการไปตามลำดับความมั่นใจเกิดขึ้นเรื่อยๆใช่ไหมคะว่าเราทำได้มั่นใจเกิดขึ้นเรื่อยๆ ทำได้ ทีนี้จิตก็จะอยู่กับลมหายใจเฝ้าดูตรงช่องจมูก ทีนี้ปล่อยทุกอย่างให้มันอยู่อยู่จุดเดียวที่เดียว ไม่ช้าไม่นานจิตก็จะรวมเป็นสมาธิ เพราะฉะนั้นถ้าหากว่าอึดอัดแน่น เราจะแก้ไขยังไง รู้จักลมหายใจชนิดต่าง ๆ แล้วใช่ไหมคะ เราจะใช้ลมหายใจอย่างไหนล่ะ ถ้ารู้สึกอึดอัดแน่นขึ้นมาในระหว่างปฏิบัติ ยาว ลืมตาขึ้น ไม่ต้องฝืนหลับต่อไปพอยิ่งหลับมันก็ยิ่งเครียดตรงแถวคิ้วแถวหน้าผากก็เลยเกร็งปวดหัวตัวร้อนไปเลย ให้เป็นธรรมชาติลืมตาหายใจยาวยิ้มเสียหน่อย ถึงไม่มีใครอยู่ด้วยก็ยิ้ม ยิ้มกับธรรมชาติ กล้ามเนื้อที่เครียดที่เครียดตรงแก้ม ตรงคอหรือหน้าผาก จะได้ผ่อนคลายนะอาจารย์ มันผ่อนคลายพอกล้ามเนื้อผ่อนคลายมันก็ไม่ตึงเครียดแล้ว พอไม่ตึงเครียด มันก็สบายมีกำลังใจ ต้องพยายามหาวิธีให้กำลังใจตัวเอง ผู้ปฏิบัติต้องพยายาม พอเรารู้สึกว่าที่มันอึดอัดเหมือนกับมีอะไรมาติดคอหายใจไม่คล่องกลืนน้ำลายไม่ลงจะค่อยๆ หมดไปนี่ต้องแก้ไขแก้ไขสิ่งที่เป็นปัญหาถ้าไม่แก้ไขเรียกว่าทู่ซี้ ทำไปมันก็ยิ่งเครียดยิ่งเกร็งยิ่งเครียดยิ่งเกร็ง ไม่เอาแล้วสมาธิ ให้ไปตักน้ำสามหามจะดีกว่าอะไรอย่างนี้เป็นต้น นั่นก็คือไม่ได้พยายามแก้ปัญหา เราต้องรู้ว่าปัญหาของเรานี่เกิดจากอะไรแล้วเราต้องแก้ปัญหาอันนั้นให้ได้มันเป็นปัญหาพื้นๆ เรียกง่ายๆ ว่ามันเป็นปัญหาเกี่ยวกับปรุงแต่งไปเอง นี่ไม่ได้เอาลมหายใจมาปรุงแต่งกาย แต่ใจมันปรุงแต่งไปเอง  จะไม่ได้ จะเป็นอย่างนั้นจะเป็นอย่างนี้ ไม่เอาอย่างนั้น ตอนนี้ฉันจะอยู่กับลมหายใจอย่างเดียว บอกตัวเอง จะอยู่กับลมหายใจอย่างเดียว สบาย สบาย ยิ้ม ไปเรื่อยๆ เดี๋ยวจิตมันเงียบไปโดยไม่รู้ตัว มันรวม ไปโดยไม่รู้ตัวเป็นธรรมชาติโดยอย่าไปหวังตั้งใจว่าจะเอา การที่จะเอาให้ได้ นี่แหละค่ะ คืออุปสรรคใหญ่หลวง มันก็เลยพาสัญญาต่างๆ มาเป็นนิวรณ์ กั้นไม่ให้ปฏิบัติได้ ใช่ไหมที่พูด ใช่ก็อย่าไปเอามัน แก้ไขมันเสียแก้ไขทันที ถ้ารู้ว่ามันใช่ สิ่งเหล่านี้อาการอย่างนี้ คืออุปสรรค เราก็ต้องแก้ไขทันที แล้วเราก็จะผ่านพ้นไปได้ด้วยดีมีอีกไหมคะ มีปัญหาอะไรอีกไหม ในระหว่างนั่งสมาธิ อาจารย์มีอะไรอีกไหมคะไม่ต้องเกรงใจ แล้วก็ไม่ต้องรู้สึกท้อถอย แล้วก็ไม่ต้องอายโดยที่เราจะรับว่าเราเป็นอย่างงั้น เป็นกันทุกคนแหละอาจารย์ แต่ว่าอาจารย์ ตรงไปตรงมา ซื่อสัตย์ ก็ยอมรับว่าเราเป็น แต่บางคนก็อาจจะอมภูมิทั้ง ๆ ที่เขาเป็น ว่าเขาไม่เป็น ก็มี เพราะงั้นเรารู้ว่าเราเป็นอะไร เราแก้เลย พอเราแก้เข้า เราก็จะหาย แล้วเราก็จะเดินต่อไปได้ ไม่ต้องเสียกำลังใจ เรื่องของสมาธิ ไม่ใช่เรื่องลี้ลับ ไม่ใช่เรื่องที่สุดวิสัย ไม่ใช่เรื่องที่ทำไม่ได้ แต่เป็นสิ่งที่คนทุกคน มนุษย์ทุกคน ควรจะเรียนรู้วิธีการทำสมาธิ เพื่ออะไรก็เพื่อจะได้พักใจของตัวเองนะคะ กายนี่เราได้พัก เราพามันไปนอน เราพามันไปเที่ยว เราพามันไปนั่งเล่นชายทะเล เข้าป่าปีนเขา แต่ใจนี่ไม่ได้พักเลย เพราะฉะนั้นการทำสมาธิ คือการให้โอกาสใจได้พัก เป็นการบำรุงรักษาใจ ชีวิตประกอบด้วยกายและใจ แล้วก็มัวแต่ไปยุ่งอยู่กับเรื่องกายอย่างเดียว หากินหาอยู่หาเครื่องแต่งกายหาอะไรต่ออะไรมาบำรุงบำเรอกาย คนบางคนมีบ้าน 300 ห้อง เคยมีนะ ไม่รู้อยู่ได้ไง เขาคงแยกภาคได้นะ ตัวเขา มันก็แค่นั้น แต่มีเพื่ออะไร เพื่อบำรุงกายบำรุงอัตตา ฉันใหญ่ฉันมีอะไรมากกว่าเขา นี่คนธรรมดาเปล่า ปกติไหม นั่นแหละ นึกเอาเอง เพราะฉะนั้นตอนนี้เราต้องการบำรุงใจ ชีวิตประกอบด้วยกายและใจถ้าร่างกายสุขภาพกายสมบูรณ์ ใจไม่สมบูรณ์ก็จะต้องเปลี่ยนที่อยู่ ไปดูเถอะโรงพยาบาลประสาทโรงพยาบาลโรคจิต ร่างกายแข็งแรงเป็นยักษ์ปักหลั่นขนาดนั้นทั้งผู้หญิงผู้ชาย น่าเสียดายที่ไม่สามารถจะใช้ร่างกายอันนั้นให้เกิดประโยชน์แก่ตัวเอง หรือผู้อื่นแต่กลับมาเป็นภาระของสังคมของพ่อแม่ก็เพราะไม่รู้จักรักษาใจ ไม่รู้จักบำรุงใจ ไม่ให้ใจพักผ่อนนี่แหละการทำสมาธินี่แหละค่ะคือการบำรุงรักษาใจให้โอกาสใจได้พักผ่อน จะได้มีความสมดุลกันกับกายและชีวิตนี้ก็จะมีดุลยภาพ อย่าได้รังเกียจสมาธิเลย จะถามเกี่ยวกับเรื่องบทที่หนึ่ง ขี้เกียจกับง่วงนอน เคยตีตัวเองบ้างไหมฮะ ลองดูสักหน่อย มันง่วงตรงไหน ตีมันตรงนั้นน่ะ ตีมันบ้าง หยิกมันบ้าง ทุบมันบ้าง พาตัวมันออกไปวิ่ง วิ่งรอบสักกิโลสองกิโลให้มันเหงื่อตก ง่วงไม่ได้ ใช่ไหมมันต้องตาสว่างแน่ ๆ เลย ขี้เกียจกับง่วงนอนนี่ ดูจะเป็นปัญหาของผู้ปฏิบัติส่วนใหญ่เกือบทุกคน ผู้ปฏิบัติที่ยังไม่เห็นคุณค่า ของสมาธิจริงๆ ก็มักจะมีความรู้สึกอย่างนี้ พอจะทำสมาธิ ขี้เกียจ คุยกันดีกว่านะเสียเวลาไปทำสมาธิ คุยกันดีกว่าสนุกสนานออกรสออกชาติ น่าสงสารไหม คนอย่างนั้นน่าสงสารไหม  การคันนี่ท่าน ท่านบางทีก็เป็น เป็นอาการอย่างหนึ่ง เป็นอาการอย่างหนึ่งของผู้ทำสมาธิ บางทีพอ พอจิตสงบนะ จะเป็นสมาธิรู้สึกเหมือนก็มีตัวอะไรมาไต่ตามตัวท่านก็บอกว่าไม่ต้องเอาใจใส่ ก็เพราะเหตุว่าเราไปเอาใจใส่มัน จิตมันก็ไปผูกอยู่กับตัวคันๆ ที่มันมาตอมเรานั่นน่ะ แล้วก็เลยหลุดออกจากสมาธิ ที่ไหนก็ได้ค่ะ อันนี้ก็ขึ้นอยู่กับคุณปฏิบัติแค่ไหน ถ้าสมมติว่าได้ฝึกปฏิบัตินะ จนกระทั่งว่า ฉันจะนั่งเมื่อไหร่ ฉันนั่งได้ ทำได้ แต่ถ้าหากว่าเวลาที่ไม่หลับนะ เวลาตื่นๆ ยังปฏิบัติไม่ได้ แล้วจะไปปฏิบัติไอ้ตอนลุกมาจากที่นอน มาปฏิบัติมันคงยาก ยากมากที่จะทำได้ เพราะฉะนั้นจึงต้องฝึกเอาจริงเอาจังเสียแต่เดี๋ยวนี้ ทำให้ได้จริงๆ ถ้าจะมีคัน มีอะไรอย่างนี้ ถือว่าเป็นของธรรมดา แล้วก็อย่าเอาใจใส่ ยิ่งรู้สึกคันมากเท่าไหร่ จดจ่อลงไปที่ลมหายใจให้มากเท่านั้น ให้จิตมั่นอยู่กับลมหายใจ ผูกติดกับลมหายใจ มันลืมไปเอง ความคันอะไรทั้งหลาย หรือแม้แต่เวทนาต่างๆ ที่เกิดขึ้น ความปวดความเมื่อย บางทีก็หายไปเป็นไปได้ เพราะฉะนั้น ถ้ามันเกิดขึ้นก็ขอให้รู้เถิดว่า เราไม่ได้จดจ่ออยู่กับลมหายใจ หรือไม่ได้จดจ่ออยู่กับคำบริกรรมอะไร ตามวิธีที่เราเรียนมานั่นน่ะ ฉะนั้นก็ตั้งใจเสมอใหม่ ตั้งใจใหม่ แล้วก็ทำไปเถอะ จะต้องทำได้แน่นอน มีอะไรอีกไหมคะ เพราะงั้นอย่าขี้เกียจ

    ความขี้เกียจเป็นตัวอุปสรรคของทุกอย่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งของการทำสมาธิ เพราะมันเป็นสิ่งที่มองไม่เห็นน่ะ ทำการทำงานมันยังมองเห็นว่าเราได้อะไรมา แต่ทำสมาธินี่คนไม่ค่อยเห็น แต่ถ้าผู้ใดได้สัมผัสคุณค่าของมันแล้วก็จะติดใจ จะรู้ว่ารสชาติที่เกิดจากการทำสมาธิที่จิตสงบนิ่ง นำความสุขสงบเย็นมาให้ชีวิตอย่างเทียบค่าไม่ได้เลย จะเป็นสมบัติพัสถานสักเท่าไหร่เท่าไหร่ก็ซื้อไม่ได้ มันต้องฝึกเอง ถ้าสมมติว่ามีผู้อื่นฝึกให้ได้พระพุทธเจ้าท่านคงแผ่บารมีเอาไว้ให้แล้วพอมันนั่งก็สงบเลย มันก็หมูเข้าปากเกินไปแล้ว เรียกว่าเห็นแก่ตัวเกินไปแล้ว จะไม่ยอมทำอะไรเสียเลยแม้แต่สมาธิก็ให้มาเกิดเองต้องทำ มีอะไรอีกไหมคะ ในการปฏิบัติ เช่นท่าอะไรคะท่านอนเหรอคะ เช่นท่านอนก็จะเป็นนิทราสุขสันต์ ก็หลับไปเลย คือไม่ใช่นิทราสุขสันต์อย่างชนิดจิตตื่น เป็นนิทราสุขสันต์ทั้งกายและใจไปเลย เพราะฉะนั้นถ้าหากว่านั่งยังไม่ได้เลยนะคะ ก็น่าจะเปลี่ยนเป็นเดิน เคยลองเดินไหมคะ ลองเดิน เดินจะดีกว่า จากนั่งก็ยืนเสียก่อนก็ได้นะเพราะว่าการปฏิบัติสมาธิก็มีสี่อิริยาบถยืน เดิน นั่ง นอน นอนน่ะเขาไว้เป็นสุดท้าย เอาไว้สำหรับคนป่วยหนักดีกว่าลุกไม่ได้นะจึงต้องนอนสมาธินะ เพราะฉะนั้นเราอย่าไปแย่งเขาเลย ให้คน คนป่วยหนักเขาทำเถอะ เรา เอาแต่เพียง ยืน เดิน นั่ง ทีนี้ถ้าสมมติว่าเวลานั่งไม่ ไม่ ไม่สะดวกไม่สบาย ทำไม่ได้ ก็ลองเปลี่ยนเป็นยืน ยืนสมาธิ แล้วก็ไม่ต้องหลับตาก็ได้ ยืนแล้วก็ลืมตาแล้วก็อยู่กับลมหายใจ สบาย สบาย พอรู้สึกว่า มันชักจะเกร็งไม่สนุก เปลี่ยนเป็นเดิน ก้าวเดิน การเดินจงกรมนั้นน่ะ ท่านแนะนำว่าให้มีจุดหมาย คือจุดตั้งต้นและจุดสุดท้าย แล้วก็ระยะทางของการเดินควรจะเป็นอย่างน้อยสักยี่สิบเก้า ถ้าหากว่าไม่มีทางจงกรมที่ทำเอาไว้นะคะแล้วก็เราก็จะเอาตรงไหน เรากะตรงนี้เราจะเริ่มต้นตรงจุดนี้เอาไม้ปักไว้ก็ได้ แล้วเราก็เดินนับไปสักยี่สิบเก้ายี่สิบห้าสามสิบเก้าตามแต่ว่าต้องการให้ระยะยาวแค่ไหน แล้วก็ปักเอาไว้ให้ตรงปลายทาง เราถือเอาจุดคือไม่ใช่เดินไปเดินมาเดินไปเดินมาตามใจนะ นั่นมันชมนกชมไม้ แล้วเสร็จแล้วจิตมันก็เป็นผัสสะมันก็กระทบผัสสะตลอดเวลาเพราะงั้นอย่าเดินเอาเพลิน แต่เดินเอาให้จิตมันสงบให้เป็นสมาธิเนี่ยเราก็กะอย่างนี้นะระยะทางถ้าสมมติว่ามีใบไม้มีกิ่งไม้มีอะไรก็กวาดให้มันเตียนโล่งเสียก่อน อย่าไปเดินย่ำ ถ้าเดินย่ำก็เอาไปเดี๋ยวไปเหยียบอะไรตำเท้าไม่สบายสติขาดไปอีก งั้นก็ทำทางจงกรมให้เกลี้ยงให้เรียบร้อยเสียก่อนแล้วก็ยืนที่ต้นทางตรงจุดต้นทาง ที่เราตั้งใจว่าเราจะเอาจะเดินจากจุดนี้ต่อไปพอเริ่มยืนที่จุดนี้ ไม่ใช่พอไปถึงก็ก้าวพรวดๆนะคะถ้าก้าวพรวดๆ อย่างนั้นยังไม่ทันตั้งสติต้องตั้งสติเสียก่อน ยืนเฉย นิ่งสบาย สบาย เป็นธรรมชาติ ไม่เกร็ง แล้วก็อยู่กับลมหายใจ เลือก ลม จนเลือก ลมหายใจที่พอใจ ที่ถูกอัธยาศัย ที่จะปรุงแต่งกายให้สบาย แล้วก็ยืนอยู่กับลมหายใจ เข้า ออก เข้า ออก เข้า ออก รู้จักสัมผัสมัน จะรู้สึกว่า จิตมันพร้อม มันสบายละ ก็ค่อยๆ ก้าวเดิน พอจะเริ่มก้าว จะก้าวขาซ้ายก่อน หรือขาขวาก่อน ไม่สำคัญ ซ้ายก่อนก็ได้ ขวาก่อนก็ได้ ก็ก้าวไป แต่ว่าให้มันตรงนะคะ ให้มันอยู่ในทางตรง อย่าเบี้ยวไปเบี้ยวมาเป็นปู แล้วก็ ไปจนกระทั่งถึง จุดสุดท้าย คือจุดหมายปลายทาง ทีนี้พอถึงจุดสุดท้าย ก็จะหันหลัง หันหลังกลับ ทีนี้พอจะหันหลังกลับ บางคนก็มาพะวงอีกแล้ว หันซ้ายหรือหันขวา ไม่สำคัญอีกเหมือนกัน เอาที่ถนัดนะคะ ถนัดพอเราจะหัน สมมติว่าเนี่ยเรามาถึงจุดสุดท้ายแล้ว เราจะหัน หากว่าเราจะหันขวาเท้าขวามันจะอยู่กับที่ ส้นเท้ามันจะอยู่กับที่ แล้วเท้าซ้ายมันก็จะก้าวออกมา พอมันก้าวออกมาได้จังหวะ เราก็ก้าวต่อไป เป็นการเดินไปเลย เดินต่อไปอีก แล้วก็อย่างนี้พอถึงเวลาที่จะหัน ถึงจุดสุดท้ายก็ต้องหันหลังกลับ หันตามสบายให้เป็นธรรมชาติที่สุด พูดง่ายๆว่า ถ้าใช้วิธีอานาปานสติ แม้การเดินจงกรมก็ไม่ต้องไปคิดยุ่งกับเรื่องเท้า เท้าก็ปล่อยให้มันก้าวของมันไปตามเรื่องของมันตามของมัน ไม่ต้องไปหรือ เออ เท้านี่มันก้าวดีไหม สวยไหม มันตรงไหม ไม่ต้อง ให้จิตอยู่กับลมหายใจอย่างเดียวควบคุมลมหายใจจดจ่ออยู่กับลมหายใจ ถ้าผู้ใดสามารถอยู่กับลมหายใจได้อย่างสงบเท้านี่มันจะก้าวไปได้อย่างนุ่มนวลเลย ลองดูเถอะจะอัศจรรย์ตัวเอง ไม่น่าจะทำได้ มันจะก้าวไปอย่างนุ่มนวลโดยเราไม่ต้องไปควบคุมจังหวะของการก้าวเลย มันจะไปของมันได้เอง

    ทีนี้ในขณะที่เริ่มเดินจงกรม ส่วนมากมักจะเดินเร็ว ซึ่งก็เป็นธรรมดา เพราะว่าเรายังไม่คุ้นใช่ไหมคะ ก็ไม่ต้องกังวลอีกเหมือนกัน มันจะเร็วไปหน่อยก็ไม่เป็นไร ให้อยู่กับลมหายใจอย่างเดียว แล้วก็กลับมากลับไป ทีนี้พอจิตสงบเข้า มันก็ช้าเองอีกเหมือนกัน เชื่อไหมคะ มันค่อยๆช้า เพราะจิตมันสงบมันเย็นนี่ จิตไม่วุ่นวาย มันก็ปรุงแต่งกาย ทุกอย่างให้สงบไปด้วย สงบไปด้วย มันก็ก้าวช้าๆไปตามสบายเป็นธรรมชาติ ทีนี้ถ้าในขณะที่กำลังเดิน จากจุดตั้งต้นไปถึงจุดปลายทาง มันวุ่นวายข้างในเกิดขึ้นมาอึดอัด น่ากลัวจะเดินไม่ถึง หยุดเลย พอรู้สึกจิตมันมีอะไรอึดอัดอยู่ข้างในหยุดอยู่ตรงนั้นน่ะแล้วก็ปฏิบัติเหมือนอย่างตอนตั้งต้นเริ่มต้น คือหายใจยาวลึกขัดแก้ไขขับไล่ความอึดอัดความเกร็งออกไปจนกระทั่งรู้สึก ลมหายใจสบาย แล้วก็อย่าลืมยิ้มนะ ยิ้มนี่แหละมันช่วยทุกเวลาเลยยิ้มเอาไว้พอยิ้มเอาไว้นี่มันมีกำลังใจมันก็หายหงุดหงิดแล้วจนข้างรู้สึกสบายแล้วจึงก้าวต่อไป ก้าวต่อไปตามลำดับ ลองแก้โดยวิธีเดินยืนแล้วก็เดินนะจะเดินนานแค่ไหนก็แล้วแต่พอใจสิบนาที ยี่สิบนาที สามสิบนาที บางท่าน ครูบาอาจารย์บางท่านท่านบอกว่า ท่านพิจารณาธรรมในเวลาเดินได้ดีกว่าเวลานั่ง ท่านว่าอย่างงั้นบางท่านนะ ถูกอัธยาศัยท่าน แต่บาง แต่ส่วนใหญ่มักจะพิจารณาได้ดีในขณะนั่ง แต่อันนี้ก็ไม่ ไม่ใช่ว่าเป็นสิ่งตายตัว มันขึ้นอยู่กับความคุ้นเคย ความถนัดของแต่ละคน นี่คือการเดินจงกรม มีผู้ใดสงสัยวิธีเดินจงกรมบ้างไหมคะ เดินอย่างมีสติ และการเดินนี่ไม่ควรแกว่งแขน ถ้าแกว่งแขนนี่มันเพลินไปเสียแล้ว เพราะฉะนั้นก็ถ้าเราเอามือไว้ข้างหน้าก็จะดี ในความรู้สึกมันเหมือนกับว่านอกจากจะทำให้มันสงบ แล้วมันเหมือนกับแสดงความเคารพต่อพระพุทธพระธรรม ที่เรากำลังปฏิบัติตามท่านอยู่ เพราะฉะนั้นก็เอามือแล้วก็เดินพยายามเดินให้ตัวตรงแต่ไม่เกร็งจนอกแข็งเป็นทหารนะอย่างงั้นจะเครียด ปล่อยตามธรรมดา บางท่านก็พอใจที่จะเอาไปไขว้หลัง เอาแขนไปไขว้หลังก็มีเหมือนกันที่เราเคยเห็นแต่ก็มีความรู้สึกว่า ในพุทธในศาสนาของเรานี่มีความสงบมีความสง่ามีความงามอยู่ที่ความเป็นระเบียบเรียบร้อย เพราะฉะนั้นถ้าหากว่าเราอยู่ข้างหน้าก็น่าจะงามมากกว่าที่จะเดินไขว้หลัง แล้วถ้าเดินไขว้หลังแล้วถ้าผู้ใดเผลอตัวเดินส่ายไปมาด้วยเป็นไง เหมือนนักเลง อันนี้ไม่เป็นกฎเกณฑ์นะคะ ที่พูดนี้ไม่ใช่กฎเกณฑ์ตายตัวแต่ว่าเล่าให้ฟัง เพื่อไว้ทุกท่านลองพิจารณาเองก็แล้วกันว่าอะไรที่จะเหมาะกับตัวของเรา ฉะนั้นการเดินจงกรมนี่ก็เป็นอีกวิธีหนึ่ง เพราะมันมีสี่อิริยาบถ ส่วนที่จะนอนนั่นน่ะนอนสมาธิ ก็ได้เหมือนกันน่ะถึงเวลาที่เรานอนน่ะนะคะ แล้วก็อยากจะให้มันหลับสบายๆ เราก็อยู่กับลมหายใจเพื่อดึงจิตที่ชอบคิดคิดฟุ้งซ่านใช่ไหมคะ เป็นนิวรณ์น่ะคิดไปถึงสัญญาเรื่องร้อยแปดสารพัดต้องเรียกว่าเรื่องสัพเพเหระหรือเขาว่าขี้หมูราขี้หมาแห้งก็เอาเข้ามาคิด ทำให้นอนก็นอนไม่หลับตื่นขึ้นก็โลเลตอนเช้าไม่มีประโยชน์อะไรเลยทำลายทั้งกายทั้งใจของตัวเอง ฉะนั้นก็อยู่กับลมหายใจอย่างนี้ค่ะ เอามาตั้งแต่ตามขั้นที่หนึ่ง สนุกอยู่กับลมหายใจ วันนี้ตามขั้นที่หนึ่งเป็นไง ถึงไม่ได้เอาใหม่ เอาใหม่ แข่งกันอยู่นี่แหละ ลมหายใจ เดี๋ยวก็ลืมเรื่องอื่น อย่างนี้ก็เรียกว่าเป็นการทำสมาธิด้วยอิริยาบถนอนที่เกิดประโยชน์ ไม่ใช่เป็นนินทา นะคะ เพราะฉะนั้นมันใช้ได้ มีอะไรอีกไหมคะ ก็แล้วแต่แต่ละบุคคลค่ะ บางท่านท่านพอใจเดินกันเป็นชั่วโมงชั่วโมงก็มีนะคะ แต่ว่าสำหรับเราก็เช่นเดียวกับการนั่งสมาธิ เราจะรู้สึกสบายและควบคุมจิตให้สงบได้ภายใน 20 นาทีหรือครึ่งชั่วโมงหรือ 1 ชั่วโมงก็ต้องสังเกตตัวเอง ถ้าหากว่าฝึกใหม่ๆ นี่ก็อาจจะไม่ค่อยได้นานเท่าไหร่ แต่พอต่อไปก็อาจจะนานขึ้น แล้วก็บางคนก็พอนั่งสมาธิก็รู้สึกจิตสบาย เรียกว่าเข้าสมาธิได้เร็ว สงบเร็ว แต่บางคนก็บอกว่า ถ้าหากว่าเดินแล้วก็ทำได้ดีกว่า อันนี้ก็แล้วอันนี้ก็แล้วแต่เราต้องพิจารณาเองไม่จำกัดค่ะ มีอะไรอีกไหมคะมีก็ถามเสียให้ให้สิ้นสงสัยแล้วจะได้เริ่มปฏิบัติกันเสียที มีอีกไหมคะ ครูอ้อยมีไหม อะไรนะ แล้วเป็นไง แว็บไปคิด แล้วเป็นไง เรียกว่าพอใจอย่างน้อยก็ยังเก่งอยู่นี่แหละนะผู้ปฏิบัติมักจะเป็นอย่างนี้ เมื่อก่อนนี้นะคะทำไม่ได้อย่างนี้เดี๋ยวนี้ทำได้ถึงอย่างนี้ เพราะฉะนั้นไม่อยากไม่อยากให้ชมตัวเองในแบบนี้ ซึ่งเป็นกันทั้งนั้นนะไม่ใช่ไม่ใช่เฉพาะหนูอ้อยหรอกเพราะอะไรล่ะ เพราะมันทำให้ตัวเองไปพอใจอยู่แค่นั้น แล้วก็เลยหยุดอยู่แค่นั้นไม่เดินต่อ คิดว่าฉันดี อย่างน้อยฉันก็รู้ทันน่ะ อย่างเมื่อก่อนนี้น่ะ พออะไรมาฉันโกรธทันที เดี๋ยวนี้ฉันยังคิดทัน ฉันยังไม่ทันโกรธแล้วก็อยู่แค่นั้นน่ะ ไม่ให้ทำ ให้มันค่อยๆจางหายไป เพราะฉะนั้นอย่าไปพอใจ ไม่ได้เอาอีกแล้วยายคนนี้ ต้องแก้ไขตัวเอง แก้ไขก็ใช้ลมหายใจนี่แหละ เห็นไหม ที่เราฝึกกันมาในบทที่หนึ่งนี่ เพื่อเอามาใช้ตอนนี้ พอรู้ตัวว่า เราไปฟุ้งซ่านกับเรื่องอะไร ไล่มันทันทีเลย รู้แล้วมันไม่ใช่ของดี มันของเน่า ไม่ต้องการ มันเป็นมลพิษ ไล่ออกไปเลยทันที ด้วยลมหายใจอย่างไหนที่จะใช้ นึกออกแล้วใช่ไหม นั่นแหละ ไล่ทันที แต่เวลาไล่ก็ ไล่อย่างมีสติ ไม่ต้องเครียด ไม่ต้องโกรธตัวเอง แล้วเสร็จแล้วก็กลับมาอยู่กับลมหายใจ ที่เบาสบาย ที่เราเลือกแล้ว แล้วก็เดินต่อไป  พออะไรมันเข้ามาอีก ก็ใช้วิธีนี้วิธีเดียว ไม่ต้องไปคิดไม่ต้องไปพูดไม่ต้องไปชมตัวเองหรือว่าตัวเอง ไม่เก่งสักทีนึงนะ เมื่อไหร่จะดีสักที ไม่ต้องมาว่าแต่ว่าทำเลยเปลี่ยนเลยทันที มีอะไรอีกไหมคะ

    หวังว่าเมื่อคืนนี้คงจะลองกันบ้างนะ ลองสักหน่อยลองสักยี่สิบนาที เป็นแบบฝึกหัดว่า เป็นยังไงจริงไหม ถ้าทำอย่างนี้แล้วมันจะได้อย่างนั้นจริงไหมลองดูหน่อย สักยี่สิบนาที แล้วก็ข้อสำคัญก็คือไม่เอา ได้ก็ดี ไม่ได้ก็ทำใหม่ บอกตัวเองอย่างนี้ ได้ก็ดี คือทำได้ก็ดี ไม่ได้ก็ทำใหม่ ของมันทำกันได้ มันเริ่มต้นกันได้เรื่อยไป ไม่หวัง เพราะงั้นคนที่ทำอะไรแล้วต้องสำเร็จ ทำอะไรแล้วต้องดี พอมาทำสมาธิเข้า ยาก ฉันต้องได้สิ ฉันต้องสงบสิ มันไม่เหมือนกัน มันคนละเรื่อง เพราะฉันต้องได้  ตัณหามาแล้ว ตัณหาคือต้นเหตุของปัญหาทั้งหลาย ต้นเหตุของความทุกข์ เพราะฉะนั้นก็ ไม่เอาอะไรทั้งนั้น แต่เราจะรู้ว่าวิธีนี้ถูก เราก็จะทำของเราไปเรื่อย ๆ แล้วเราก็จะได้ เข้าใจใช่ไหมคะ เบื่อเสียที ตัวขี้เกียจ ตัวง่วง ถ้าใครคบมันนะ มันไม่เคยนำความเจริญมาให้คนนั้นเลย มันนำแต่ความหายนะมาสู่อย่างเดียว อย่าเอามัน ไม่มีคำถามอะไรอีกแล้วนะคะ หมวดที่ 1 คือหมวดกายคงจะค่อยๆ ชัดเจนขึ้นใช่ไหมคะ แล้วก็คงจะนำไปปฏิบัติได้ นี่ก็เรียกว่าหมวดกายานุปัสสนา ถ้าผู้ใดยังไม่รู้จักลมหายใจชนิดต่างๆ พร้อมทั้งลักษณะอาการของมันและมันปรุงแต่งกายอย่างไร คือมันเป็นกายสังขารที่ปรุงแต่งกายให้วุ่นวายให้ร้อนรุ่มให้อึดอัดไม่สบายเลยหรือมันปรุงแต่งกายให้สงบให้เย็น ถ้าใครยังไม่รู้จักมันอย่างนี้แล้วก็เรียกว่า ยังไม่รู้จักหมวดที่ 1 ยังปฏิบัติไม่ได้ศึกษายังไม่ถึง และเมื่อรู้ดีแล้วก็ต้องควบคุมลมหายใจให้สงบระงับให้ได้นี่คือจุดมุ่งหมายนะคะ เพราะว่าจุดมุ่งหมายของหมวดกายหมวดกายานุปัสสนาเพราะว่าหมวด 1 คือมุ่งหมายให้ผู้ปฏิบัติสามารถสร้างจิต หรือพัฒนาจิตที่เป็นสมาธิให้เกิดขึ้นได้ให้เป็นจิตที่สงบ นี่คือขั้นที่สี่คือขั้นที่ต้องการให้จิตเป็นสมาธิ ฝึกจิตให้เป็นสมาธิเพราะถ้าหากว่าจิตไม่สงบ จิตไม่เป็นสมาธิเราจะไปปฏิบัติหมวดที่สองหรือหมวดสามยิ่งหมวดสี่ยิ่งทำไม่ได้เลยจิตที่วุ่นวาย มันจะไปมองอะไรเห็น มันก็สับสนไปหมดอลวนไปหมด

    ฉะนั้นหมวดหนึ่งเป็นพื้นฐานเป็นรากฐานที่สำคัญที่สุด ถ้าต้องการจะปฏิบัติเป็นระบบนะคะ ถ้าทำสมาธิอย่างมีระบบแล้วเราก็จะแก้ไขของเราได้ ไม่มีคำถามอีกนะคะถ้าไม่มี ก็ขอฝากโปรดไปลองทำการบ้านคืนนี้สักยี่สิบนาทีเป็นไง ถ้าใครทำได้อาจจะมีกำลังใจไปถึงครึ่งชั่วโมงหนึ่งชั่วโมงก็ได้ไม่รู้ตัว แล้วพอได้ก็อย่าเพิ่งตื่นเต้นดีใจ เดี๋ยวพรุ่งนี้ลองทำมันไม่ได้จะเสียใจ ดี เราทำถูกต้องเราก็ทำต่อไป แล้วก็ขอความกรุณาทบทวน หมวดเวทนา มันหมายความว่ายังไง มีสิ่งที่ต้องต้องทำนี่คืออะไร หมวดจิต มันคืออะไร วิธีปฏิบัติทำอย่างไร แล้วก็เราจะได้มีโอกาสพูดถึงหมวดธรรมกันเสียทีเพราะว่าถ้าพูดจริงๆ แล้วนะคะ ในการศึกษาปฏิบัติธรรม ถ้าหากว่าท่านผู้ใดศึกษาเรียนรู้เรื่องของอานาปานสติอย่างชัดเจนแจ่มแจ้งตั้งแต่ต้นจนจบ มันจะมีอะไรสอดแทรกในเรื่องของธรรมะ เหมือนกับว่าเรารู้ธรรมะเข้ามาได้ทั้งหมดเลย เพราะว่าในหมวดธรรม เราจะพูดกันละเอียดมาก พูดถึงการฝึกปฏิบัติได้อย่างละเอียด ไม่มีอะไรสงสัยคะ ค่ะ ถ้าไม่มีก็ขออนุโมทนาอย่างยิ่งนะคะ ที่อุตส่าห์มาในวันที่อาจจะฝนตกเดือนมืด แต่ก็อุตส่าห์มาด้วยความตั้งใจ ขอให้ทุกท่านได้มีความเจริญงอกงามในหนทางแห่งพระธรรมสมความปรารถนาค่ะ

     

logo

  • เกี่ยวกับเรา
  • ติดต่อเรา
  • จดหมายข่าว
  • Privacy Policy
  • Terms of Service