PAGODA
  • หน้าแรก
  • ฐานข้อมูล
  • เสียง
  • วีดิทัศน์
  • E-Books
  • กิจกรรม
  • บทความ
PAGODA
  • หน้าแรก
  • ฐานข้อมูล
  • เสียง
  • วีดิทัศน์
  • E-Books
  • กิจกรรม
  • บทความ

Search

  • หน้าแรก
  • เสียง
  • อุบาสิกา คุณรัญจวน อินทรกำแหง
  • ทุกคนลิขิตชีวิตตัวเอง (ตอน13)
ทุกคนลิขิตชีวิตตัวเอง (ตอน13) รูปภาพ 1
  • Title
    ทุกคนลิขิตชีวิตตัวเอง (ตอน13)
  • เสียง
  • 12478 ทุกคนลิขิตชีวิตตัวเอง (ตอน13) /upasakas-ranjuan/1-59.html
    Click to subscribe
    • Share
    • Tweet
    • Email
    • Share
    • Share

ผู้ให้ธรรม
อุบาสิกา คุณรัญจวน อินทรกำแหง
ชุด
URI 036 บรรยายในพรรษา 2546
  • แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [ลองพูดคุยกับ AI ทาง Line]

  • และบางท่านก็เคยบอกว่าจะตั้งสัจจะเรื่องนั้นเรื่องนี้ คุณแม่ก็ไม่เคยได้ทบทวนถามเลยว่า สัจจะที่ตั้งเอาไว้นี่ยังอยู่หรือว่าล้มหายไปแล้ว คำว่ายังอยู่นั่นนะก็คือหมายความว่าเรายังปฏิบัติต่อ แล้วก็สัจจะที่เราตั้งไว้นั้นก็ชัดเจนยิ่งขึ้น แล้วเราก็จะเดินต่อไปตามสัจจะที่ตั้งเอาไว้ ท่านผู้ใดตั้งสัจจะเรื่องอะไรก็หวังว่าจะจำได้ในใจของตนเอง

    ทีนี้ ที่เราพูดกันมานั้นนะก็เป็นเรื่องของสิ่งที่เป็นพื้นฐาน ที่ผู้ปฏิบัติควรจะทราบ และควรจะมีไว้ประดับใจของตน ไม่ใช่มีไว้เพียงเพื่อรู้ ประดับใจนี่ก็คือหมายความว่าเอามาประพฤติปฏิบัติที่ใจ เริ่มต้นตั้งแต่เรื่องศีล ถ้าหากว่าผู้ใดสนใจการปฏิบัติธรรมแต่ไม่สนใจเรื่องศีล ยากเหลือเกินที่จะเข้าถึงธรรมะ เพราะว่าจิตนั้นจะมีความกังวล หรือบางทีก็มีความไม่สบายอยู่ในใจ เมื่อมาสำรวจดูว่า เอ..เพียงแค่ศีลห้านี่เราก็เรียนมาตั้งแต่ยังเด็กๆ ในโรงเรียนก็เรียน บางครอบครัวก็ได้สอนให้ลูกหลานรู้จักว่าเรื่องศีลห้า แต่ว่า..ศีลห้า..นี่คืออะไร? พอพูดถึง ๕ ข้อนี่เรียนได้ครบไหม หรือเรียนได้ครบแล้วได้เคยเอามาปฏิบัติหรือเปล่า ฉะนั้น เรื่องของศีลนี่เป็นสิ่งที่สำคัญมากที่สุด ถ้าผู้ใดไม่คิดที่จะพิจารณาเรื่องศีลของตนเป็นประจำทุกวัน ตั้งแต่ข้อที่ ๑ ถึงข้อที่ ๕ ก็เรียกว่าผู้นั้นหละหลวมมาก หละหลวมต่อชีวิตของตนเอง ประมาทต่อชีวิตของตนเอง อาจจะมองเห็นไปเสียว่าเรื่องของศีลไม่เห็นสำคัญ ถ้าผู้ใดไม่เห็นความสำคัญของศีล ความปกติของชีวิตจะเกิดขึ้นไม่ได้ โปรดจำไว้นะคะ ความปกติของชีวิตจะเกิดขึ้นไม่ได้ จะมีแต่ความลุ่มๆ ดอนๆ เพราะบางวันก็เผลอ บางวันก็พลาด บางวันก็นึกไม่ออกว่าวันนี้เรามีศีลเหลือสักกี่ตัว..ในตัวในใจของเราเอง เพราะฉะนั้นขอได้หมั่นทบทวนในเรื่องศีลทุกวัน อย่าประมาทว่า เอาเถอะ..รู้แล้ว ไม่รู้..ต้องรู้ที่ใจ เพราะฉะนั้นหมั่นทบทวนตลอดเวลา โดยเฉพาะอย่างยิ่งพอก่อนนอน เออ..วันนี้ข้อ ๑ ของเราเป็นอย่างไร ข้อ ๒ เป็นอย่างไร ข้อ ๓ เป็นอย่างไร ข้อ ๔ เป็นอย่างไร โดยเฉพาะข้อ ๔ ที่เราพูดกันมากเหลือเกิน..มุสาวาทาเวรมณี วันนี้วาจาของเราเป็นอย่างไร เป็นสัมมาวาจาตลอดอย่างที่นึกขึ้นมาแล้วชื่นใจหรือเปล่า หรือแท้ที่จริงมีมิจฉาวาจาสอดแทรกอยู่บ่อยๆ ข้อ ๕ เป็นอย่างไร ที่ท่านบอกไม่ให้หลงนี่..เราก็ไม่กินนะ กินเหล้าเมายา เสพอะไรเราก็ไม่เสพ แต่เราหลงอะไรอยู่บ้าง เราหลงใหลอะไร เราติดอะไร จนกระทั่งสิ่งนั้นนะเอาเวลาของเราไปอย่างน่าเสียดาย หมดคุณค่าที่เราจะใช้เวลาให้เกิดประโยชน์

    เพราะฉะนั้น ก็ควรที่จะทบทวนเรื่องของศีลทุกวัน อย่างที่ได้กล่าวแล้วว่า พอทบทวนแล้ว โอย..วันนี้ศีลของเราสะอาด ไม่มีด่างพร้อย เรียกว่านอนหลับไปด้วยความยิ้มแย้มแจ่มใส ปีติในใจ และความปีติอันนี้แหละจะทำให้จิตสงบเยือกเย็น เป็นสมาธิ และในการนอนคืนนั้น แน่นอนที่สุดจะนอนหลับสบาย ถ้าฝัน..ก็ฝันดี หรือถ้าไม่ฝันเลย ก็เป็นการหลับสนิทที่จะเกิดประโยชน์แก่ชีวิต นอกจากศีลแล้วก็จะต้องรู้จักเรื่องของนิวรณ์ ซึ่งเป็นศัตรูที่ร้ายกาจของผู้ปฏิบัติ ก็จะไม่พูดซ้ำอีกเหมือนกันนะคะ เพราะเราได้ทบทวนกันมาหลายครั้งแล้ว เรื่องของนิวรณ์นี้ถ้าหากว่าผู้ปฏิบัติธรรมผู้ใดไม่ทำความรู้จักกับนิวรณ์ ย่อมจะตกเป็นธาตุของนิวรณ์โดยไม่รู้ตัว จะรู้สึกเหมือนกับว่าเป็นนักโทษ..เป็นนักโทษอยู่ตลอดเลย ถ้าหากว่าใครผู้ใดเป็นนักโทษก็รู้แล้วว่าเราไม่มีอิสระ มีผู้คุมที่จะคอยดูคอยติดตาม ไม่ยอมปล่อยที่จะให้เราเป็นอิสระได้เลย เพราะฉะนั้นนิวรณ์ทั้ง ๕ ข้อ ต้องรู้จักอย่างดี ในเรื่องของกามฉันทะ พยาบาท รูปเสียงกลิ่นรสสัมผัส ประเดี๋ยวก็ขึ้งเคียดขัดเคือง หรือประเดี๋ยวก็ห่อเหี่ยว แห้งแล้ง ท้อแท้ จิตตก ข้อที่ ๓ หรือมิฉะนั้นก็ฟุ้งซ่านเพ้อเจ้อตรงกันข้าม และข้อที่ ๔ ก็เต็มไปด้วยความลังเลสงสัย..ขอโทษข้อที่ ๕ ลังเลสงสัยในโน่นในนี่ทุกอย่างตลอดเวลา ชีวิตมีแต่ความลังเลสงสัย ผู้ใดที่มีชีวิตตกอยู่ในความลังเลสงสัย ชีวิตนั้นก็อยู่ในความสลัว มีเมฆหมอกครอบคลุมจิตอยู่ตลอดไม่ได้มีเวลาว่างได้เลย

    เพราะฉะนั้น นิวรณ์ทั้ง ๕ ผู้ปฏิบัติจะต้องรู้จักให้ดี เพราะมักจะมารบกวนที่สุดในเวลานั่งสมาธิ หรือในชีวิตประจำวัน เราจะทำการงานอะไรบางทีก็ติด..ติดขัด ต้องหยุดพักอยู่เรื่อย ก็เพราะเจ้านิวรณ์ทั้ง ๕ ตัวนี่แหละ ตัวใดตัวหนึ่งเข้ามาขัดขวาง ฉะนั้นนี่เป็นสิ่งที่ผู้ปฏิบัติจะต้องรู้จัก นี่เป็นเรื่องของพื้นๆ นะคะ แล้วทีนี้ที่เราพูดถึงสิ่งที่เป็นหลักในการปฏิบัติก็คือ ระบบวิธีการปฏิบัติสมาธิภาวนา ที่เรียกว่า อานาปานสติภาวนา ที่เราพูดถึงเรื่องนี้ก็เพราะเหตุว่า เป็นระบบของการปฏิบัติสมาธิที่จะช่วยให้ผู้ปฏิบัตินั้นอยู่ในกรอบ หรืออยู่ในแนวทางของการปฏิบัติ จะไม่พลัดตกออกไปนอกทางของการปฏิบัติได้ง่ายๆ พอเราจะพลัดตกออกไปเราก็จะนึกถึงหลักของมัน แล้วก็จะหวนกลับมาที่เดิมได้ ซึ่งที่สำคัญก็คือ อานาปานสติภาวนานี้เป็นระบบของการใช้ลมหายใจ ที่มนุษย์ทุกคนต้องใช้อยู่ตลอดเวลา แต่ทีนี้จะทำอย่างไรจึงจะสามารถใช้ลมหายใจนี้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ชีวิต ที่เราใช้กันอยู่ก็เพียงแต่ว่าหายใจให้มีความเคลื่อนไหวได้ ร่างกายนี้ยังมีลมหายใจอยู่ยังไม่ตาย แต่นั่นประโยชน์ขั้นต่ำเต็มที ลมหายใจมีประโยชน์สูงสุดกว่านั้น ก็อย่างที่เราได้พูดแล้วในอานาปานสติว่า มันมีอิทธิพลในการที่จะปรุงแต่งกายของเราให้สุขสบายก็ได้ ให้สงบเย็นก็ได้ ให้หงุดหงิดอึดอัดขัดใจตลอดเวลาก็ได้ กลายเป็นชีวิตที่เร่าร้อนก็ได้ หรือเมื่อความเร่าร้อนเกิดขึ้นเราจะกำจัดความเร่าร้อนนั้นให้บรรเทาเบาบางลงได้อย่างไร ก็อาศัยลมหายใจอีกเหมือนกัน ดังที่เราได้ลองฝึกกันแล้วบ้าง และถ้าหากว่าท่านผู้ใดได้อุตส่าห์นะคะ..ไปฝึกที่บ้าน ก็เชื่อว่าจะเห็นคุณประโยชน์ของลมหายใจนั้นชัดเจนขึ้น แล้วก็จะเรียกมันมาใช้ได้อย่างใจ..ทุกขณะ เรียกมาใช้เมื่อไหร่เรียกได้ จะถือว่าลมหายใจเป็นเพื่อนก็ได้ จะถือว่าลมหายใจเป็นทาสก็ได้ ที่เราจะเรียกใช้ได้ทุกเวลา แต่จะเรียกใช้เมื่อไหร่ก็ขึ้นอยู่กับว่าผู้ใช้รู้จักมันจริงหรือเปล่า ถ้ารู้จักจริงก็จะสามารถเรียกใช้ได้อย่างเกิดประโยชน์แก่ตนเอง

    ฉะนั้น เราก็ได้พูดเรื่องอานาปานสติมาหลายครั้งแล้วนะคะ หมวดที่ ๑ อานาปานสตินั้นมีอยู่ ๔ หมวด นี่ทบทวนอย่างสั้นที่สุด แต่ละหมวดมี ๔ ขั้นของการปฏิบัติ ฉะนั้น ๔ หมวด รวมแล้วก็เป็น ๑๖ ขั้นด้วยกัน ท่านจึงเรียกว่าเป็นระบบอานาปานสติภาวนา ๑๖ ขั้น แล้วก็หมวดที่ ๑ ก็เรียกว่าหมวดกายหรือกายานุปัสสนา นั่นคือการพิจารณาในเรื่องของกายที่ท่านแนะนำให้รู้จักว่ามี ๒ อย่าง คือ กายเนื้อกับกายลม กายเนื้อก็อย่างที่เราเห็นอยู่นี่ จับต้องอยู่นี่ นี่คือกายเนื้อ อีกอย่างหนึ่งคือกายลม ก็คือลมหายใจ มันสัมพันธ์กัน แล้วเราจะรู้จักใช้ลมหายใจนี่เพื่อให้เกิดประโยชน์แก่กายได้อย่างไร ก็ต้องรู้เป็นประการแรกว่าลมหายใจนี้มันสามารถปรุงแต่งกาย ท่านจึงเรียกว่าลมหายใจเป็นกายสังขาร ปรุงแต่งกาย ปรุงแต่งกายให้เป็นอย่างไรก็ได้ แล้วแต่ผู้นั้นจะจัดลมหายใจให้เป็นลมหายใจลักษณะไหน ฉะนั้น ในหมวดที่ ๑ สิ่งที่ผู้ปฏิบัติจะต้องศึกษาก็คือ ลักษณะอาการของลมหายใจ ลมหายใจยาวเป็นอย่างไร มีกี่อย่าง แต่ละอย่างมีลักษณะอย่างไร แล้วก็ปรุงแต่งกายอย่างไร จนกระทั่งรู้จักว่าจะใช้ลมหายใจนั้นเมื่อไหร่ อย่างไร แล้วก็ลมหายใจสั้นคืออย่างไร จนผลที่สุดสามารถควบคุมลมหายใจให้สงบรำงับได้ เพื่อจิตนี้จะได้สงบเป็นสมาธิ ถ้าผู้ใดสามารถควบคุมลมหายใจให้สงบรำงับได้ตลอดเวลา แน่ใจได้เลยว่าผู้นั้นจะมีความเย็นใจอยู่ในใจเสมอ เพราะอะไร..ก็เพราะว่าควบคุมลมหายใจให้มันปรุงแต่งกายให้เย็นให้เบาสบาย พอมีอารมณ์อะไรมากระทบข้างนอกที่เป็นผัสสะ ใช้ลมหายใจเข้าจัดการทันที ไม่ต้องไปใช้อำนาจหน้าที่หรือบุญบารมีอะไรที่มีอยู่เข้ามาจัดการกับเรื่องนั้น ใช้ลมหายใจนี่แหละ จัดการกับอารมณ์นั้นทันที ก็จะค่อยๆ จางคลายหายไป แล้วก็จะมีความสงบเย็นเกิดมากขึ้น

    เมื่อควบคุมลมหายใจได้แล้ว แน่นอนที่สุดผู้ปฏิบัติจะมีความรู้สึกปีติ ปีติยินดีที่เราไม่เคยได้ควบคุมลมหายใจเลยนะ เพราะเราไม่เคยรู้จักมัน ทั้งๆ ที่อยู่กับเรามาตั้งแต่เกิด แต่บัดนี้เรารู้จักแล้วเราก็ยังสามารถควบคุมมัน นำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ได้อีก ก็จะเกิดความชื่นชมยินดี ปีติยินดีกับตัวเอง เป็นบันไดหรือเป็นพื้นฐานที่จะส่งให้เกิดไปปฏิบัติต่อไป ในหมวดที่ ๒ ก็คือในหมวดเวทนา เวทนาคือความรู้สึกที่รบกวนมนุษย์ทุกคน ถ้าหากว่าผู้ใดไม่มีเวทนาเกิดขึ้น ไม่มีความรู้สึกเกิดขึ้น ก็ลองนึกเถอะว่า เออ..ชีวิตนี้มันจะมีความสุขแค่ไหน แต่นี่ชีวิตมันวุ่นวายสับสน ระส่ำระสาย ก็เพราะมีเวทนาเข้ามากระตุ้น เข้ามาทำให้เกิดความรู้สึก เดี๋ยวก็พอใจเดี๋ยวก็ไม่พอใจ เดี๋ยวก็ถูกใจเดี๋ยวก็ไม่ถูกใจ เพราะฉะนั้นจิตนี่จึงไม่ได้นิ่งเลย แต่ในหมวดที่ ๒ ของอานาปานสติท่านก็แนะนำให้ศึกษาเรื่องของเวทนาให้รู้จักชัดเจน ว่าเวทนานี้คืออะไร มีลักษณะอาการอย่างไร นอกจากนั้นแล้วเวทนานี้มีอิทธิพลต่อชีวิตของมนุษย์อย่างไร ศึกษาไปจนเห็นโทษทุกข์ของมัน โดยรู้จักชัดเจนว่าเวทนานี้จะเป็นสุขเวทนา คือความสุขพอใจก็ตาม หรือเป็นทุกขเวทนาที่ไม่ถูกใจไม่พอใจเลยก็ตาม มันล้วนแล้วแต่เป็นมายาทั้งสิ้น ถ้าหากว่ามองไม่เห็นความเป็นมายาของมัน ก็จะตกเป็นทาสของเวทนาอยู่นั่นเอง จริงหรือไม่ ก็ขอทุกท่านลองพิจารณาจิตของเราเองทุกคนเดี๋ยวนี้..ใช่ไหมคะ?

    ตลอดชีวิตตั้งแต่รู้ความมาจนเดี๋ยวนี้ เราตกเป็นทาสของเวทนาโดยตลอดเลย ประเดี๋ยวมันก็ชี้ให้เป็นยักษ์ เดี๋ยวก็เป็นมาร เดี๋ยวก็เป็นเทวดา เดี๋ยวก็เป็นนางฟ้า เดี๋ยวก็เป็นนางปีศาจ ประเดี๋ยวก็เป็นนางตายทั้งเป็น ล้วนแล้วแต่เวทนาทั้งสิ้น มันบันดาลให้เป็นไปอย่างนั้นเป็นไปอย่างนี้ นี่เรียกว่าเป็นนักโทษ เป็นโทษทุกข์อย่างยิ่งที่เกิดแก่ชีวิต และเพราะเวทนานี่..ทำให้คนน่ารักเป็นคนน่าชัง ทำให้คนมีสติกลายเป็นคนขาดสติ ถ้าไม่ได้ฝึกฝนอบรมเพื่อรู้จักเวทนาจนควบคุมมันได้ ฉะนั้นหมวดที่ ๒ นี่ ทุกลมหายใจเข้าออก ผู้ปฏิบัติจะต้องศึกษาเรื่องของเวทนา รู้จักสุขเวทนาให้ชัดเจนมีกี่อย่างๆ รู้จักทุกขเวทนาให้ชัดเจนมีกี่อย่างๆ ลักษณะอาการที่เข้ามาเยี่ยมเรา คือเข้ามาที่จิตของเรานี่เป็นอย่างไร ลักษณะอาการของมันเป็นอย่างไร พอโผล่เข้ามานี่เรารู้จักทันทีหรือเปล่า รู้จักไหมคะ สุขเวทนาที่เข้ามานี่คืออะไร ลักษณะอาการอย่างไหน หรือทุกขเวทนาที่เข้ามานี่..นี่ทุกขเวทนาเพราะอะไร นี่เพราะสูญเสียความรัก นี่เพราะสูญเสียครอบครัว นี่เพราะสูญเสียตำแหน่งการงาน นี่เพราะไม่ได้อย่างใจ เรารู้ทันหรือเปล่า ถ้ารู้ทันเราก็แก้ไขได้ เอาลมหายใจนี่แหละเข้ามาควบคุม ให้เวทนานั้นสงบรำงับ ไม่ให้มันมีอำนาจเหนือได้ ฉะนั้นในหมวดที่ ๒ วิธีการปฏิบัติก็มีความคล้ายคลึงกับการปฏิบัติของหมวดที่ ๑ นั่นก็คือศึกษารู้จักมันจนผลที่สุดควบคุมได้ หมวดที่ ๑ ศึกษารู้จักลมหายใจ จนควบคุมลมหายใจได้ หมวดที่ ๒ ศึกษารู้จักเวทนาจนควบคุมเวทนาได้

    ทีนี้พอจากควบคุมเวทนาได้ ก็ต่อไปหมวดที่ ๓ ซึ่งลึกซึ้งหรือเห็นได้ยากมากกว่า ๒ หมวดที่กล่าวมาแล้ว นั่นก็คือหมวดจิตหรือที่เรียกว่าจิตตานุปัสสนา ทุกคน..มนุษย์ทุกคนจะบอกว่า โอย..จิตนี่ของฉัน ใช่ไหมคะ ใครไม่เคยพูดบ้าง จิตนี่ของฉัน..ฉันรู้จักจิตฉันดี ไม่ต้องมาพูด ไม่ต้องมาบอก ฉันรู้จักดี นี่เวลาเถียงกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเถียงกับคุณพ่อคุณแม่ ผู้ปกครอง..ไม่ต้องบอกฉัน..รู้จักดี แต่จริงๆ แล้วรู้จักหรือยัง จนเดี๋ยวนี้รู้จักหรือยัง ใครรู้จักแล้วบ้าง รู้จักชัดเจนเลยว่าจิตของฉันนี่เป็นจิตสะอาด จิตของฉันยอมรับ..มันสกปรก มันมีอะไรที่ต้องขัดเกลาอีกเยอะเลย..ขยะที่อยู่ในจิตนี่ต้องขัดอีกเยอะ จิตนี้เป็นจิตใหญ่คือจิตกว้างขวาง เห็นแก่ผู้อื่น ไม่ได้เห็นแก่ตัวเอง หรือเป็นจิตสงบเย็น หรือเป็นจิตเดือดร้อนวุ่นวายสับสนระส่ำระสายอยู่ตลอดเวลา ประเดี๋ยวขึ้นประเดี๋ยวลง ผู้ใดรู้จักลักษณะจิตของตนที่เป็นอยู่ตามธรรมชาติเสมอๆ บ้างอย่างดี นี่เป็นสิ่งที่ผู้ปฏิบัติจะต้องศึกษา เพราะการเข้ามาศึกษาปฏิบัติธรรมนั้นคือการมาขัดเกลาที่จิต โปรดจำอันนี้ไว้นะคะ การศึกษาปฏิบัติธรรมไม่ใช่เพียงมานั่งหลับตา เพื่อที่จะทำสมาธิอย่างเดียว อันนั้นเป็นองค์ประกอบ เป็นวิธีการของการปฏิบัติธรรม แต่หัวใจของการปฏิบัติธรรมนั้นคือการมาขัดเกลา..ขัดเกลาที่จิตของเรา ที่เรามีมานมนานแล้วนี่ เพื่อให้มันสะอาด ให้มันเกลี้ยงเกลา..เกลี้ยงเกลาจากอะไร จากกิเลสโลภโกรธหลงที่มนุษย์เราตกอยู่เป็นทาสของมันโดยไม่รู้ตัวมาโดยตลอด ขัดเกลาให้รอดพ้นจากตัณหา ความอยาก..อยากโน่นอยากนี่ ที่มันผลักชีวิตของเรานี่ให้ดิ้นรนไปเรื่อยตลอดเวลาอีกเหมือนกัน ไม่ได้มีความสงบเย็นได้นี่ก็เพราะเหตุว่าถูกตัณหานี่แหละมันผลักดัน

    ฉะนั้น ก็ดูสิว่าจิตนี้มันถูกยึดมั่นถือมั่นด้วยตัณหาเพียงใด ถ้าตราบใดที่ยังปล่อยให้มันอยู่ใต้อำนาจของตัณหาความอยาก จิตนี้ไม่เป็นอิสระเป็นทาส เพราะตัณหาความอยากคือต้นเหตุของความทุกข์ ฉะนั้นชีวิตนี้ก็จะไม่มีวันหรอก

    ที่จะได้พบกับความสุขสงบเย็น อาจจะได้ลิ้มรสบ้าง แต่จะไม่ได้มีเวลาที่จะสุขสงบเย็นอย่างแท้จริงได้ ฉะนั้นการที่หัวใจของการปฏิบัติธรรมนะคะ ก็คือการที่จะต้องมาดูจิต ให้รู้จักจิตของตนว่ามีจุดอ่อนอะไรบ้าง มีจุดด้อยอะไรบ้าง มีจุดบกพร่องอะไรบ้าง แต่ในขณะเดียวกันก็มีจุดดีจุดเด่นจุดแข็งอะไรบ้าง ก็จะได้รักษาจุดดีจุดเด่นจุดแข็งนั้นไว้เพิ่มพูนให้มากขึ้น ให้สมบูรณ์มากขึ้น ส่วนจุดอ่อนจุดด้อยจุดบกพร่องแก้ไข ขัดเกลา เพื่อให้จิตนี้สะอาดหมดจดบริสุทธิ์ เป็นจิตที่อ่อนโยนนุ่มนวลประณีต อันเป็นจิตที่จะทำให้ผู้เป็นเจ้าของชีวิตนั้นมีความเยือกเย็นผ่องใส มีความเบาสบายในทุกขณะ ฉะนั้นหัวใจของการปฏิบัตินะคะคือการมาศึกษาให้รู้จักจิตของตน เพื่อขัดเกลามัน..ขัดเกลามันให้สะอาดหมดจด ส่วนการนั่งสมาธิการเดินจงกรมหรืออะไรอื่นๆ นั้น เป็นวิธีการหรือเป็นองค์ประกอบของการปฏิบัติ เพราะถ้าหากว่าเราอยากจะขัดเกลาจิตให้สะอาด จิตวุ่นๆ ขัดไม่ได้ มองไม่เห็น ก็ต้องมาทำใจของเรานี่ให้สงบเย็นเสียก่อน

    ฉะนั้น ก็จึงฝึกนั่งสมาธิเพื่อให้จิตที่วุ่นวายนั้นสงบเย็น เหมือนกับที่ท่านเปรียบเสมอว่า ถ้าน้ำในบ่อนั้นนะมันไม่นิ่งเพราะมีก้อนหิน มีปลาว่าย หรือมีอะไรลงไปรบกวน เราจะมองให้ไปถึงก้นบ่อ..มองไม่เห็น จนกระทั่งน้ำนั้นนิ่งสนิท ใสเย็น เราก็จะมองไปจนเห็นก้นบ่อ เช่นเดียวกับจิต..ถ้าจิตกำลังวุ่นวายเราอยากจะศึกษาให้รู้จักจิต ก็ไม่รู้จัก ฉะนั้นจึงอาศัยการปฏิบัติหมวดที่ ๑ ในเรื่องของกาย ควบคุมลมหายใจ จนกระทั่งเราสามารถควบคุมมันให้สงบรำงับ จิตนั้นก็จะค่อยๆ เย็น สงบ แล้วก็จะมองส่องลงไป เจ้าของจิตนั่นนะก็จะมองส่องลงไปด้วยสติ เห็นลักษณะจิตของตนว่ามีอะไรบกพร่อง มีอะไรที่ต้องแก้ไข แล้วก็ค่อยๆ ขัดเกลาไป ขัดเกลาด้วยอะไร ก็ด้วยธรรมะต่างๆ ที่ได้เรียนรู้ ที่ได้ศึกษามา เมื่อรู้จักจิตแล้ว จากนี้ก็อบรมจิต ให้เป็นจิตที่มีกำลังหรือมีพลังให้มากขึ้น เพราะฉะนั้นขั้นที่ ๒, ๓, ๔ ของหมวดที่ ๓ คือหมวดจิต อย่างที่ได้เคยบอกไว้แล้วว่าเป็นวิธีการปฏิบัติ เพื่อจะทดสอบพลังของจิตที่เราได้ฝึกอบรมมา ตั้งแต่หมวด ๑, ๒ แล้วมาถึงหมวดที่ ๓ นี่ จิตของเราเป็นจิตที่มีกำลังเข้มแข็ง เรียกว่ามีพลังที่จะบังคับอะไรได้ มากน้อยแค่ไหน ฉะนั้นหมวด ๓ นี่แหละค่ะ เป็นหมวดที่เรียกว่าเขาจะต้องการเติมพลังจิตอะไรกันอย่างไร เขาก็ฝึกหมวดที่ ๓ นี่ ให้เก่ง ให้สามารถทำได้ทันที จะให้เป็นจิตปราโมทย์..บังคับได้ ให้เป็นจิตนิ่งสงบ เป็นสมาธิ ทั้งๆ ที่กำลังเริงร่าอยู่นะคะ บังคับได้ หรือจิตที่นิ่งเป็นสมาธิ..บังคับให้เป็นจิตปล่อย ปล่อยหมด..ปล่อยอะไร ก็คือปล่อยความยึดมั่นถือมั่นทั้งปวง

    ความยึดมั่นถือมั่นในสิ่งที่เป็นของเราทั้งหลาย บ้านของเรา งานของเรา ลูกของเรา ครอบครัวของเรา พี่น้องวงศ์วานของเรา อะไรๆ ของเรา ปล่อย..และที่สำคัญที่สุดก็คือ ปล่อยความยึดมั่นถือมั่นในอัตตาตัวตนที่มันหนักเหลือเกิน แบกกันมาตลอดเวลา เดี๋ยวนี้ก็ยังแบกอยู่..หนัก แม้แต่คนผอมที่สุดนะ น้ำหนักแค่ ๒๐ กิโลกรัม ก็หนัก หนักเป็นร้อยเป็นพันกิโลเหมือนกัน รู้สึกบ้างไหม อย่าไปคิดว่าคนอ้วนเท่านั้นที่หนัก คนผอมๆ นี่แหละ มันหนักที่ไหน หนักที่ไหน หนักที่เครื่องตาชั่งหรือ?..หรือหนักที่ไหน หนักที่ใจ ก็ใจมันแบกอยู่ตลอดเวลา นั่นก็ฉัน..นี่ก็ฉัน คนที่จ่อมไม่ลง เข้าไปที่ตรงไหน สมมุติเข้าไปในที่ประชุมเขาอยู่กันหลายๆ คน มองแล้วมองอีก ทั้งที่เก้าอี้ก็ว่าง นั่งไม่ได้เพราะมองแล้วเก้าอี้ตัวนั้นมันไม่เหมาะกับฉัน อัตตาของฉันมันใหญ่กว่านั้นนะ จะไปนั่งเก้าอี้ตัวนั้นนะ นั่งได้อย่างไร นี่เห็นไหมคะ หนักไหม ตัวฉันนี่ถ้าแบกไปที่ไหนละก็ มันเอาเรื่องทั้งนั้น ทำให้ชีวิตวุ่นวาย ทำให้เป็นคนน่าเกลียด เพราะฉะนั้นอีกปล่อยในขั้นที่ ๔ ของหมวดที่ ๓ ก็คือ ทดลองดูว่าจะสามารถปล่อย ปล่อยอย่างเป็นอิสระ ของเราก็ไม่เอา ตัวเราก็ไม่เอา ให้มองเห็นแต่เพียงว่าเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัยเท่านั้นเอง ไม่มีอะไรเป็นเราและเป็นของเราจริงๆ เลยสักอย่าง ต้องฝึก..ไม่ใช่เพียงสมองเข้าใจนะคะ ต้องฝึกจนกระทั่งใจนี่ได้สัมผัส ได้สัมผัสกับความไม่มีอะไรจริงๆ ขึ้นมาให้ได้ ถ้าทำได้นี่ ในขณะนั้น..คือสมมุติว่าถ้าผู้ใดทำได้ แล้วก็ได้ลิ้มชิมรสนะคะ โอ..จิตตอนนี้ ไม่น่าเชื่อนะว่าคนเรานี่จะมีความเกษมสุข ผ่องใส ชื่นบาน เยือกเย็น ได้ขนาดนี้..ไม่น่าเชื่อ

    ใครเคยพบแล้วบ้าง ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นตลอดหรอก เอาเพียงแค่ลิ้มรสสักนาทีหนึ่งนี่ ถ้าผู้ใดได้ลิ้มรสแล้ว จำเอาไว้ จำรสอันนั้นไว้ แล้วก็พยายามเพิ่มพูน ให้รสนั้นมันเข้มขึ้นๆ นั่นแหละวันหนึ่งก็จะเป็นผู้ที่มีอิสระที่แท้จริง นี่คือหมวดที่ ๓ ที่เราเตรียมจิต คือผู้ปฏิบัติเตรียมจิตมาตั้งแต่หมวดที่ ๑ หมวดที่ ๒ หมวดที่ ๓ เรียกว่าหมวดที่ ๑ นี่ จัดหยาบ เพราะกายนี่มันมองเห็น ลมหายใจก็สัมผัสได้ ไปถึงเวทนา ไม่มีตัวตนให้เห็น แต่ก็ยังสัมผัสได้ ยังรู้สึกได้ นี่เรียกว่าจัดหยาบ เข้าไปหาละเอียดทีละน้อย แล้วผลที่สุดก็มาหาหมวดที่ ๓ คือจิต เป็นสิ่งที่เป็นนามธรรมอย่างยิ่ง ไม่เป็นวัตถุอะไรให้เราได้เห็น หรือแม้แต่จะจับต้อง จะรู้สึกก็ยาก นี่เห็นไหมคะว่าผู้ปฏิบัติต้องเตรียมจิตนี่ คือต้องเตรียมฝึกอบรมจิตอย่างดีเพียงใด กว่าจะมาฝึกปฏิบัติถึงขั้นที่ ๓ หรือหมวดที่ ๓ ได้ และที่เตรียมมาทั้งหมดนี่ จุดมุ่งหมายสำคัญก็เพื่อเตรียมจิตนี้ ให้เป็นจิตที่มีพื้นสะอาด ประณีต อ่อนโยน นุ่มนวล พร้อมที่จะรับธรรมะ จึงจะเข้ามาศึกษาปฏิบัติในหมวดที่ ๔ ที่เรียกว่าหมวดธรรมหรือธัมมานุปัสสนา เหมือนอย่างที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเมื่อเวลาที่พระองค์จะทรงแสดงธรรม แก่คนทั้งหลายอยู่ในกลุ่มทั้งหลายนี่ พระองค์ก็จะทรงมอง เพราะพระพุทธองค์เป็นสัพพัญญูก็ทรงรู้ ตรวจดูนี่ ที่นั่งกันอยู่สัก ๕๐, ๖๐, ๑๐๐ คน ๑,๐๐๐ คนนี่ ในกลุ่มนี้มีจิตไหนบ้างที่อ่อนโยน นุ่มนวล พร้อมที่จะรับธรรมะอันละเอียดได้ เรียกว่าเป็นภาชนะที่ละเอียด ถ้าเป็นตะแกรงก็เป็นตะแกรงที่ละเอียดที่สุด ไม่ใช่ตาหยาบเลย พระองค์ก็จึงจะทรงแสดงธรรมะขั้นสูงสุด ซึ่งเป็นธรรมะที่จะนำไปสู่การตรัสรู้ได้ นั่นก็คือ อริยสัจ ๔ ฉะนั้นเช่นเดียวกัน ในการปฏิบัติระบบอานาปานสติภาวนา ท่านก็เริ่มตั้งแต่หมวดกายซึ่งเป็นหมวดหยาบ ไปถึงหมวดเวทนาหยาบน้อยลง พอรู้สึกได้ แล้วก็ไปถึงหมวดจิตที่ละเอียด แล้วก็ไปถึงหมวดธรรมคือธรรมะที่ละเอียดอย่างยิ่ง

    เพราะธรรมะเป็นเรื่องของธรรมชาติอย่างที่ได้พูดมาแล้ว ธรรมชาติเราก็มองเห็นอยู่ทุกอย่างนี่..เป็นธรรมชาติ ธรรมชาติคือความปกติ ถึงแม้จะมีแผ่นดินไหว จะมีลมพายุ มนุษย์ทั่วไปก็จะบอกว่านี่คือความไม่ปกติ เพราะถ้าปกติมันต้องไม่มี มนุษย์ทั่วไปจะบอกอย่างนั้น แต่ถ้าหากว่าผู้ศึกษาปฏิบัติธรรมจะยอมรับว่า นี่คือความปกติ..เพราะอะไร เพราะกฎธรรมชาติบอกไว้ว่าอย่างไรคะ กฎธรรมชาติบอกไว้ว่าอย่างไร ทุกสิ่งคือ..ทุกสรรพสิ่งในโลกนี้รอดพ้นจากกฎธรรมชาติอันนี้ได้ไหม คือกฎอะไร คะ..กฎอะไร ไตรลักษณ์..กฎไตรลักษณ์ กฎอันแรกของไตรลักษณ์คืออะไร อนิจจัง..หนีไม่พ้นอนิจจัง..ใช่ไหมคะ เพราะฉะนั้นอะไรที่เกิดขึ้นนี่..มันเป็นปกติ ปกติของสภาวะของธรรมชาติ มันไม่ใช่ปกติของเรา ยิ่งถ้าเกิดพายุมาพัดบ้านเราพังไป จะบอกว่าปกติได้อย่างไร..รับไม่ได้ แต่ความเป็นจริงนั้นมันคือความเป็นปกติ ก็อย่างเวิลด์เทรดนั่นนะ ใครจะไปนึกว่าจะไปเกิดได้..ใช่ไหม นาย Bush ก็คงไม่นึกหรอกมันจะมาเกิดกับเรา กลางเมืองนิวยอร์กนี่นะ แต่มันยังเกิดได้ นี่ก็เพราะอะไรละ ที่มันแสดงให้เห็น เพราะอะไร กฎของอะไรละคะ..ก็กฎอนิจจัง จะมาคิดว่า แหม..อเมริกานี่จะยิ่งใหญ่แล้วก็ยั่งยืน จะไม่มีวันที่จะมีอะไรมาสะเทือนอเมริกาได้ นี่แสดงให้เห็นแล้วว่า กฎอนิจจังนั่นแหละยิ่งใหญ่ แต่กฎอนิจจังนี้ก็ไม่ใช่ว่าเป็นขึ้นมาเองอย่างเดียว เพราะมันมีเหตุปัจจัย มันเป็นไปตามเหตุปัจจัย นี่เราไม่ต้องมาพูดกันเรื่องการเมืองนะ แต่ถ้าผู้ใดสนใจก็ไปศึกษา เออ..ทำไมสิ่งนี้มันเกิดขึ้นมาได้ในอเมริกา มันมีเหตุปัจจัยอะไร ก็คงจะรู้เอง มันมีเหตุปัจจัยอะไร..มันจึงเกิดสิ่งเหล่านี้ขึ้นมาได้

    เพราะฉะนั้น ธรรมชาตินี่คือความปกติ สภาวธรรมของธรรมชาติ ความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย ความพลัดพรากจากสิ่งที่รัก ความประสบกับสิ่งไม่เป็นที่รัก ความเศร้าโศกรำพันอะไรต่ออะไรทั้งหลาย ซึ่งเป็นอาการของมัน สิ่งเหล่านี้เป็นธรรมดาหรือเปล่า..เป็นไหมคะ เกิดแก่เจ็บตายเป็นธรรมดาไหม อา..เป็น ยิ่งคุณหมอพยาบาลนะยิ่งเห็นชัดอยู่ทุกวัน น่าจะเข้าถึงธรรมมากกว่าคนอาชีพอื่น ได้เร็วมากกว่าคนอาชีพอื่น เพราะอยู่กับสภาวธรรมนี่ชัดเจนเหลือเกิน แต่ก็น่าเสียดาย เพราะอะไร เพราะไปมุ่งมองแต่ข้างนอก มุ่งมองแต่ข้างนอกของร่างกาย อย่างเวลาจะผ่าตัดหรือชำแหละศพนี่ก็ดูแต่เพียง อ้อ..ร่างกายเราต้องทำอย่างนี้ๆ ตามทฤษฎีที่ได้เรียนมา แต่ถ้ามองลึกไปอีกสักนิดหนึ่ง โอ..นี่นะมันไม่เที่ยง ไม่เที่ยงเลย คนๆ นี้ที่เรากำลังมาผ่าหรือมาชำแหละ เราได้เคยรู้จักก่อนที่เขาจะมานอนบนโต๊ะให้เราจัดการอย่างนี้ เขาเป็นอย่างไร นึกออกใช่ไหม เขาก็มีรูปร่างหน้าตาแข็งแรงอย่างเราๆ อย่างนี้ แล้วทำไมบัดนี้มานอนให้เราชำแหละ มานอนให้เราผ่า แล้วพอเปิดออกมาเข้า อ้าว..มันควรจะต้องเป็นอย่างนั้น ควรจะใสสะอาด ไม่ควรจะมีเชื้อโรคอะไร ทำไมถึงมีเชื้อโรคเต็มไปหมด นี่คือ..อนิจจัง นี่ถ้าดูให้ลึกนิดเดียวเท่านั้นนะ ลึกกว่าเนื้อ หนัง กระดูก เลือด ที่เรากำลังจับต้องอยู่ ดูให้ลึกไปนิดเดียว โอ..นี่ไม่เที่ยงจริงๆ นะ ถ้าในขณะที่แพทย์ก็ดี พยาบาลก็ดี กำลังปฏิบัติงานนี้อยู่ มองให้ลึกลงไป ใจจะสัมผัสกับธรรมะไหม..สัมผัสแน่นอน

              สัมผัสไปเถอะทีละน้อยๆๆ หรือทีละนิดๆๆ ไม่ช้าก็ลึกซึ้งเข้า แล้วจิตที่เคยยึดมั่นถือมั่น..จะต้องเอาไอ้นั่นอย่างนั้นไอ้นี่อย่างนี้ ตามใจของตนก็ผ่อนคลายจางคลาย ลดละไปเองโดยอัตโนมัติ ถึงแม้ผู้ที่ไม่ใช่อยู่ในอาชีพหมอพยาบาล ทุกคนนะก็มีกิจวัตรประจำวัน เหตุการณ์ที่ผ่านมาในชีวิตก็ดูสิคะเหมือนกันไหม มันก็มีเปลี่ยนแปลง แต่ในความเปลี่ยนแปลงนั้นนะมันคือความไม่เปลี่ยนแปลง หรือความปกติ นี่ไม่ใช่พูดเล่นสำนวน มันคือความเป็นปกติของธรรมชาติ มันเป็นอยู่อย่างนั้น แต่มนุษย์เรานี่..ถ้าถูกใจฉันก็ปกติ ถ้าไม่ถูกใจฉันนี่..ผิดปกติ ใช่ไหมคะ นี่เอาใจของตัวเป็นที่ตั้ง เรียกว่าไม่ได้เอาธรรมะเป็นที่ตั้ง เมื่อไม่เอาธรรมะเป็นที่ตั้ง ผลที่เกิดขึ้นเป็นอย่างไร สุขหรือทุกข์..ทุกข์ จำเอาไว้นะคะ ทุกข์เกิดเพราะอะไร เกิดเพราะเอาใจของฉันเป็นที่ตั้ง ใจของฉันก็คืออัตตาที่แบกไว้นี่ เอาใจของฉันเป็นที่ตั้ง ถ้าไม่เอาใจของฉันเป็นที่ตั้ง เรามองดูเหตุปัจจัยของมัน ทำไมมันจึงเกิดอย่างนี้ขึ้น เท่านี้..พอมองเห็นเหตุเราก็จะยอมรับได้ อ้อ..มันเป็นสภาวะตามธรรมชาติอย่างนี้เอง เมื่อประกอบเหตุปัจจัยอย่างนี้ ผลมันก็อย่างนี้สิ ถ้าประกอบเหตุปัจจัยอีกอย่าง ผลมันก็เป็นอีกอย่าง ผลอย่างใด..ย่อมมาจากเหตุปัจจัยอย่างนั้น ถ้าผู้ใดจำหลักอันนี้ไว้ นี่ได้หลักแล้วนะคะ หลักสูงสุดของพระพุทธศาสนา และถ้าใช้หลักนี้ในการดำเนินชีวิตตลอดเวลา ย่อมจะไม่ประสบกับความทุกข์ที่เรียกว่า อย่างระหกระเหิน อย่างเกลือกกลิ้ง อยู่ตลอดเวลา จะไม่เป็นอย่างนั้น เพราะจะมีจิตที่สามารถแก้ได้ทัน คือสตินี่จะมาช่วยได้ทัน

    ฉะนั้น ในขั้นที่ ๑ ของหมวดที่ ๔ หรือหมวดธรรม ท่านก็บอกว่าทุกลมหายใจเข้าออก ผู้ปฏิบัติต้องพิจารณาในเรื่องของอนิจจัง ในเรื่องของความไม่เที่ยง ท่านบอกว่าให้ตามดูแต่เรื่องอนิจจังทุกลมหายใจเข้าออก ทีนี้ผู้ปฏิบัติก็อาจจะถามว่า..ดูตรงไหนละ ดูตรงไหนให้อนิจจัง บางคนอาจจะนึกไม่ออก จิตกำลังสงบๆ เป็นสมาธิแล้ว จะให้ดูอนิจจัง..จะไปเรียกมาจากไหน สำหรับระบบอานาปานสตินะคะ ท่านก็แนะนำว่าก็ใช้จากที่เราได้ศึกษามาแล้ว จากหมวดที่ ๑ นั่นแหละ หมวดที่ ๑ คือหมวดกาย พูดถึงกายลมและกายเนื้อ กายลมก็คือลมหายใจ กายเนื้อก็คือเนื้อหนัง ตั้งแต่ศีรษะจรดเท้าที่เห็น เพราะฉะนั้นก็ถ้าไม่มีแบบฝึกหัดนะคะ มันไม่มีอนิจจังเรื่องอะไรโผล่ขึ้นมาให้พิจารณาก็พิจารณากาย ร่างกายนี่แหละ ร่างกายของเรานี่แหละ..เห็นไหมความไม่เที่ยง ถ้าพิจารณามันต้องเห็น ส่องกระจกเข้าเมื่อไหร่ก็เห็นเมื่อนั้น กระจกตอนเช้ากับกระจกตอนแต่งตัวไปงานปาร์ตี้ ตัวที่ปรากฏอยู่ในกระจกเหมือนกันไหม บางคนพอแต่งตัวเต็มที่ทั้งหน้าตาเสื้อผ้า เออ..แหม นี่เราหรือเปล่า ไม่นึกเลยนะว่าจะสวยถึงขนาดนี้ เคยเป็นไหม..ชื่นชมตัวเอง เห็นไหมคะ แต่ทีนี้..ในขณะที่ชื่นชมตัวเองนั่นนะ..ลืมตัวหรือเปล่า ลืม..ลืมอะไร ลืมกฎอะไรหรือคะ ลืมกฎอะไร ลืมกฎอนิจจัง นี่ถ้าเรานึกได้ อืม..เราก็จะเตือนตัวเอง อย่า..อย่าเพิ่งชื่นชมนัก แล้วเดี๋ยวพอล้างหน้าล้างตาออกมันก็เป็นอีกคนหนึ่ง หรือว่าพอตื่นนอนขึ้นมาใหม่ๆ ยู่ยี่ๆ เข้าไปในห้องน้ำ ส่องกระจกมันก็อีกคนหนึ่ง แต่ว่านี่มันก็คือคนๆ เดียวกัน แต่มาแสดงให้เห็นถึงสภาพของอะไร..ของอนิจจัง

    แล้วถ้าผู้ใดจะมองให้ลึกไปกว่านั้นอีก ก็มองดูสังขารร่างกายของเรา เออ..เมื่อปีที่แล้วเราเหมือนอย่างนี้ไหม ก็จะเห็นมันไม่เหมือน หรือเมื่อ ๕ ปีที่แล้วเหมือนอย่างนี้ไหม เออ..มันก็ไม่เหมือน แต่เราจะบอกว่าไม่ใช่เราได้ไหม ก็ไม่ได้..มันก็เรานั่นแหละ เราที่ยึดมั่นเป็นเรา แต่ทำไมถึงเป็นอย่างนี้ไปได้ละ ก็เราก็อยู่ใต้กฎอนิจจัง ทุกสรรพสิ่งในโลกนี้ไม่ว่าอะไรเล็กๆ น้อยๆ อย่างก้อนหินดินทราย ภูเขาเลากา แม่น้ำ ทะเล มหาสมุทร ล้วนแล้วอยู่ภายใต้กฎของอนิจจังทั้งสิ้น ไม่มีอะไรจะเที่ยงคงที่ ตัวเราก็เป็นเพียงสิ่งๆ หนึ่งในบรรดาสรรพสิ่งทั้งหลายในโลกนี้ แล้วจะไปอยู่เหนือกฎธรรมชาตินี้ได้อย่างไร มันก็เป็นสิ่งหนึ่งที่อยู่ภายใต้กฎอนิจจัง ก็เปลี่ยนอย่างนี้แหละ แต่มันไม่ได้เปลี่ยนเอง มันมีอะไร อย่าลืม..มันเปลี่ยนไปตามอะไร เหตุปัจจัย นี่สำคัญที่สุดนะคะ ถ้าผู้ใดมองชีวิตที่เกิดขึ้น อ้อ..มันเป็นอนิจจัง ไม่เที่ยง มันเป็นไปตามเหตุปัจจัย ถ้าดูอันนี้อยู่เสมอแล้วละก็ คนนั้นจะไม่ไปเที่ยวโทษโน่นโทษนี่ ไม่ต้องมองหาจำเลย คนนั้นนั่นแหละเป็นต้นเหตุ คนนี้แหละต้นเหตุ หรือเหตุการณ์อันนั้น จนกระทั่งบางทีฝนตกแดดออกก็เป็นต้นเหตุ ทำให้เป็นอย่างนี้ ไม่ต้องเพ่งโทษเลย เพราะมองเห็นแล้วความเป็นจริงมันเป็นอย่างนี้เอง มันเป็นไปตามเหตุปัจจัย แล้วใจสบาย ใจสบายเพราะไม่ต้องหาศัตรู ไม่ต้องหาว่าคนนั้นก็เป็นศัตรูคนนี้ก็เป็นศัตรู ทำให้เกิดอย่างนี้ขึ้น ใช่ไหมคะ

    โปรดจำไว้นะ ถ้าหากว่าผู้ใดจำกฎธรรมชาติ ๒ กฎนี้ไม่ได้ กฎไตรลักษณ์ : อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา มันเป็นไปตามเหตุปัจจัย ที่ท่านเรียกสั้นๆ ว่า กฎอิทัปฯ มันยาวกว่านี้..แต่จำง่ายๆ กฎอิทัปฯ ถ้าจำ ๒ อย่างนี้ได้ รับรองว่าเอาตัวรอดได้ รอดจากอะไร เดาได้ไหมคะว่ารอดจากอะไร ก็ทุกวันนี้ที่มาศึกษาธรรมะนี่อยากจะรอดจากอะไร ความทุกข์..ใช่ไหมคะ เรารู้สึกเหน็ดเหนื่อยกับความทุกข์มันเหลือเกิน ทุกข์มันกัดมาตลอดเวลา รู้สึกไหม ว่าถูกมันกัดตลอดเวลา มันกัดตั้งแต่หัวจรดเท้า กัดให้เป็นทุกข์..สะดุ้งอยู่ตลอดเวลา เพราะฉะนั้นถ้าหากว่าเรามีกฎ ๒ กฎนี้อยู่ในใจ พอจะรู้สึกว่าถูกกัด อ้อ..มันไม่เที่ยง เป็นสภาวธรรมตามธรรมชาติ มันก็หยุดละที่จะไปเอาเรื่อง พอเห็นชัดลงไปอีก มันเป็นไปตามเหตุปัจจัย อ้อ..มันไม่ใช่ใครทำอะไร มันเป็นไปตามเหตุปัจจัย แม้ในเหตุปัจจัยนั้นจะมีคนมาเข้าเกี่ยวข้องก็ตาม แต่มันเป็นไปตามเหตุปัจจัย ถ้าหากว่านึกได้อย่างนี้แล้วละก็ มันก็จะมีแต่ความรู้สึก เอาละ..นี่มันเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นก็ต้องแก้ใช่ไหมคะ ตอนนี้ก็จะแก้ด้วยอะไรละ ก็จะแก้ด้วยความรู้ ด้วยประสบการณ์ ด้วยสติปัญญา ที่เรามีมาพร้อมกับนำธรรมะเข้ามาผสม มาช่วยในการพิจารณา เพื่อจะแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นนั้น แล้วทีนี้จิตใจก็จะสงบสบายได้ แล้วก็แก้ปัญหาไปได้ด้วยจิตใจที่ผ่องใส ฉะนั้นปัญหานั้นก็คงจะลุล่วงด้วยความราบรื่น เรียบร้อย แล้วก็ไม่ก่อศัตรู ไม่ทำให้เกิดความหม่นหมองแก่จิตใจ

    ฉะนั้น พอผู้ปฏิบัติกำลังเริ่มปฏิบัติในหมวดที่ ๔ ขั้นที่ ๑ ทุกลมหายใจเข้าออกพิจารณาแต่เรื่องของอนิจจัง ดูอนิจจัง ดูไปจนกระทั่งถ้าสมมุติว่าเริ่มต้นด้วยการดูกาย เอาหมวดที่ ๑ นี่มาเป็นแบบฝึกหัด คือหมวดกายก็ดูกายของเรา สมมุติว่าเริ่มต้นด้วยกายเนื้อ..เพราะมันเห็นง่าย พอเห็นความไม่เที่ยงของกายเนื้อ ก็ต้องดูไปให้เห็นตัวที่ ๒ ของไตรลักษณ์คืออะไร..ทุกขัง ทุกขังคืออะไรคะ ทนอยู่ไม่ได้ ตั้งอยู่ไม่ได้ ดำรงอยู่ไม่ได้ เห็นไหมนี่..มันก็เคยแข็งแรงแจ่มใส ผิวพรรณหน้าตาก็นุ่มนวลสดใส บัดนี้มันเปลี่ยน มันเป็นเศร้าหมอง มันทรุดโทรม มันไม่เหมือนเดิม มองเห็นแล้วความดำรงอยู่ไม่ได้มัน เป็นทุกขัง เมื่ออนิจจังเกิดขึ้นก็แสดงถึงทุกขังที่มันดำรงอยู่ไม่ได้ เพราะฉะนั้นเมื่อมันดำรงอยู่ไม่ได้ คือตั้งอยู่ไม่ได้ แล้วตัวตนมันจะอยู่ที่ไหนละ ใช่ไหมคะ นี่ถ้าหากว่าผู้ปฏิบัตินี่ค่อยๆ พิจารณาช้าๆ ทีละน้อยๆ ให้มันลึกซึ้งขึ้น จนกระทั่งซึมซาบมากขึ้น มันจะจูงใจนี่ให้สัมผัสอนิจจัง แล้วก็จะสัมผัสทุกขัง แล้วก็จะค่อยๆ สัมผัสกับความไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน ไม่มีตัวมีตนให้ยึดมั่นถือมั่น นั่นก็คือจะเห็นอะไร..เห็นอนัตตา อนัตตานี่คือธรรมะสูงสุดของพระพุทธศาสนา โปรดจำไว้นะคะ ศาสนาอื่นในโลกนี่ไม่มีการสอนเรื่องอนัตตา มีพุทธศาสนาอย่างเดียวเท่านั้น พระพุทธองค์เองก็ได้เคยตรัสว่า เรื่องของอนิจจังนี่เขาพูดกันมานานแล้ว ตั้งแต่ก่อนพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นในอินเดีย เขาพูดเรื่องอนิจจังกันมา แต่เขาเอาแค่อนิจจัง เอาแค่ไม่เที่ยง

    ทีนี้ ถ้าหากว่ามีผู้เห็นไม่เที่ยง มีตัวผู้เห็นไม่เที่ยง พระพุทธเจ้าท่านก็ทรงเห็นว่า นี่มันยังไม่สิ้นสุด เพราะตราบใดที่ยังมีตัวอยู่นั่นนะ นั่นมันแสดงถึงความที่ยังไม่รอดพ้นอย่างอิสระอย่างสมบูรณ์ ท่านจึงพิจารณาไปจนกระทั่งเห็นว่า แม้แต่ตัวผู้ที่เห็นว่าไม่เที่ยง..ก็หามีไม่ มันเป็นสติปัญญาที่สามารถศึกษาคิดค้นไป จนเห็นว่ามันไม่มีตัวตนจะให้ยึดมั่นถือมั่น ท่านจึงทรงสอนถึงเรื่องของอนัตตา เพราะฉะนั้นพุทธศาสนาเป็นศาสนาเดียวที่สอนเรื่องอนัตตา..ความไม่ใช่ตัวตน นั่นคือแสดงให้เห็นถึงว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นมานี้ มันล้วนแล้วแต่ว่าเป็นสิ่งสักว่า ตามสมมุติสัจจะเท่านั้นเอง จำสมมุติสัจจะได้ไหม ที่เราพูดกันคราวก่อนนี้ นั่นนะมันเป็นแต่เพียงสมมุติสัจจะ สมมุติสัจจะที่มนุษย์เราบัญญัติขึ้น นี่เรียกว่าคนผู้หญิง นี่คนผู้ชาย แล้วก็สมมุติว่านี่เป็นหมอ แล้วว่าได้เรียนจบวิชาหมอมาอย่างนี้ เป็นต้น แต่แท้ที่จริงก็คือสิ่งๆ หนึ่งที่เป็นไปตามเหตุปัจจัย เพราะเผอิญไปเรียนแพทย์ก็เลยได้เป็นหมอ อาจารย์ไปเรียนการศึกษาก็เป็นครูเป็นอาจารย์ นี่ก็เป็นไปตามเหตุปัจจัย แต่จริงๆ แล้วนี่สิ่งเหล่านี้ก็หาอยู่เที่ยงไม่ มันล้วนแล้วแต่เกิดแล้วก็ดับเท่านั้น เพราะฉะนั้นเมื่อพิจารณาอนิจจังในขั้นที่  ๑ ของหมวด ๔ นี่นะคะ ต้องพยายามดูเข้าไปให้ลึก ทีแรกอาจจะยังไม่ลึกยังไม่เห็นก็ไม่ต้องกังวล เอาให้เห็นอนิจจังชัดๆ ก่อน พอเห็นอนิจจังแล้วดูต่อไปอีกจนกระทั่งซึมซาบถึงทุกขัง โอ..มันตั้งอยู่ไม่ได้ มันดำรงอยู่ไม่ได้ มันเพียงแต่เกิดแล้วก็ดับ มาแล้วก็ไป แล้วก็ดูไปอีกจนเห็นชัดว่าแท้จริงแล้วมันเป็นเพียงอนัตตา ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน ไม่ยึดมั่นถือมั่นจริงๆ เลย ถ้าเมื่อถึงตรงนี้เมื่อไหร่ละตอนนี้เราจะปล่อยได้จริงๆ นะ ไม่เพียงแต่เพียงว่าบังคับให้มันปล่อย แต่นี้มันจะปล่อยเองตามธรรมชาติ

    เพราะฉะนั้นขั้นที่ ๑ ของหมวดที่ ๔ นะคะ ผู้ปฏิบัติพิจารณาอนิจจังไปจนกระทั่งเห็นไปถึงอนัตตา ไม่ต้องเร่งรีบนะ แล้วก็อย่าหวังว่าฉันต้องเห็นใน ๗ วัน ต่อให้ ๗ ปีด้วย..หมดโอกาส เพราะมันเป็นอุปสรรค ตัณหามันจะทำให้จิตดิ้นรน จิตสงบไม่ได้ มันเป็นอุปสรรคแล้ว มันมีแต่อยากๆๆ มันก็ดิ้นรนตะเกียกตะกาย แทนที่จะไปสู่ความสงบ เพราะฉะนั้นไม่ต้องหวัง ไม่ต้องอยาก แต่ทำให้ถูกต้อง แล้วก็ทำไปเรื่อยๆ อย่างใจเย็นๆ ถ้าทำอย่างนี้จะไปเร็วโดยไม่รู้ตัวนะ แต่ถ้าหากว่าอยากจะไปเร็วๆ นั่นแหละจะยิ่งช้า นึกถึงเต่ากับกระต่ายเอาไว้เป็นตัวอย่าง ฉะนั้นก็ในขั้นที่ ๑ ดูอนิจจังไปเรื่อยๆ จนกระทั่งลึกเข้าไปถึงอนัตตา แล้วสิ่งที่จะตามมาเมื่อมองเห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา สิ่งที่จะตามมาก็อยู่ในการปฏิบัติขั้นที่ ๒ ของหมวด ๔ ก็คือ..วิราคะ วิราคะก็คือแปลว่าจางคลาย ความที่เคยยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นตัวตน เป็นฉันเป็นของฉัน จะค่อยๆ จางคลาย เพราะมันมองเห็นแล้วว่า โอ..มันไม่เที่ยง มันตั้งอยู่ไม่ได้ มันไม่ใช่ตัวตนจริงๆ มันเป็นเพียงสิ่งสมมุติเท่านั้นเอง มันก็จะเกิดความจางคลาย จางคลายจากความยึดมั่นถือมั่น พอเห็นเท่านั้นอันแรกมันจะเบื่อละ..เบื่อ แล้วเราจะรู้ว่า ความจางคลายมันเกิดขึ้นได้อย่างไร ก็ให้สังเกตที่จิตของเราเองนะคะ มันจะมีความรู้สึกสลดสังเวช เกิดความสลดสังเวชขึ้นในจิตของเรา

    ในความจริงที่ได้พบว่าจริงๆ แล้ว ไม่มีอะไรจริงให้เรายึดมั่นถือมั่นเลยสักอย่าง ความเขลาแท้ๆ เลยนะที่ทำให้เรายึดมั่นถือมั่นว่านี่ของฉัน นี่ตัวฉัน อะไรๆ ก็เป็นของฉัน แล้วก็หนัก เหน็ดเหนื่อย เพราะแบกสิ่งเหล่านั้นไว้ นี่พอเห็นเข้าเท่านั้นนะ มันก็เกิดความสลดสังเวช สลดสังเวชในความจริงที่ได้พบ กับสลดสังเวชในความเขลาของเราเอง บางทีก็ถึงกับน้ำตาไหล แล้วก็ในขณะเดียวกันบางคนก็จะมีความปีติซ้อนขึ้นมาอีก โอ..ปีติที่เราได้เห็น ได้เห็นความจริงว่าจริงๆ แล้วมันคืออย่างนี้นะ มันเป็นมายาทั้งสิ้น ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราได้ยึดมั่นถือมั่นเอาไว้..มายาทั้งสิ้น ไม่มีของจริงเลยสักอย่าง มองให้ทะลุเห็นความมายาเมื่อไหร่มันจะปล่อย ปล่อยออกไปได้เอง ฉะนั้นทุกลมหายใจเข้าออกในการปฏิบัติขั้นที่ ๒ ผู้ปฏิบัติก็ดูความรู้สึกจางคลายที่ท่านเรียกว่า..วิราคะ..นี่นะคะ ที่มันเกิดขึ้นในใจ จางคลายจากความที่เคยยึดมั่นอย่างเหนียวแน่นเข้มข้น ปล่อยไม่ได้ ต้องเป็นของฉัน กวาดเอามาให้หมดนี่ มันค่อยๆ จางคลายๆ ค่อยๆ ผ่อนออกไปปล่อยออกไปทีละน้อย ดูทุกขณะ นี่เป็นวิธีการปฏิบัติธรรมที่จะพิจารณาธรรม ดูลงไปในความรู้สึกของความจางคลายที่เกิดขึ้นภายใน จะดูนานเท่าไหร่ ดูไปเถอะจนรู้สึกว่ามันคลายจริงๆ เหมือนกับเราหมุนขวดหรือเกลียวอะไรที่มันเป็นนอตแน่นใช่ไหมคะ ค่อยๆ หมุนออกไปๆๆ จนทั้งเกลียวนั้นมันหลวมมันหลุดได้ ดูไปเถอะ ไม่ต้องเป็นห่วงอีกเหมือนกันว่านานเท่าไหร่คะ ไม่ต้องมากังวลกับเรื่องเวลา การปฏิบัติธรรมนี่ยกชีวิตทั้งชีวิตให้ในการที่จะปฏิบัติ จึงจะสามารถเข้าถึงธรรมได้ ไม่เช่นนั้นเข้าไม่ถึงธรรมหรอก

    ฉะนั้น ก็ดูไปจนกระทั่งรู้สึกจางคลายจริงๆ มันคลายจริงๆ มันไม่รู้ว่าจะไปยึดอะไร เอาอะไร ตอนนี้แหละก็จะก้าวไปสู่ขั้นที่ ๓ ของการปฏิบัติ ที่เราได้พูดเอาไว้แล้วในคราวที่แล้วว่า พอมันจางคลายมากๆ มันก็จะถึงซึ่งความดับ ดับความยึดมั่นถือมั่นที่เราเคยเอา มันดับ..มันเหมือนกับตะเกียง เราจุดตะเกียง..ตะเกียงน้ำมัน ทีแรกมันก็ลุกโพลง อาจจะอุปมาเหมือนกับความรู้สึกยึดมั่นถือมั่นที่มันเหนียวแน่นไม่ยอมปล่อย เสร็จแล้วพอน้ำมันค่อยๆ หมดไป แสงเทียนนั้นมันก็ค่อยๆ หรี่ลงๆๆ นี่อาจจะอุปมากับความรู้สึกจางคลายหรือวิราคะ ที่เกิดขึ้นในจิต มันก็หรี่ลงๆๆ พอน้ำมันหมดมันก็ดับใช่ไหมคะ ตะเกียงนั้นก็ดับ แสงไฟก็ไม่เหลืออีกแล้ว นี่แหละหมายถึงความรู้สึก อุปมาเท่ากับความรู้สึกที่เกิดขึ้นในใจ มันดับจริงๆ ขณะนั้นนะต่อให้อะไรที่เป็นที่รักที่สุดเข้ามา เคยรักนักหนา ต้องกอดรัด ต้องผูกพัน ..ปล่อย.. หรือจะมีอะไรที่จะบอกว่ามันเสียหาย สูญหาย ที่รักนัก ..ปล่อย.. เพราะมันดับ มันดับเพราะมันไม่รู้ว่าจะเอาไปทำอะไร มันมองเห็นความเป็นมายาชัด มองเห็นความไม่ใช่ตัวตนชัด มองเห็นความไม่มีอะไรชัดเจน มันชัดขึ้นในใจ ขณะนี้ยังไม่ชัดหรอก แต่ก็ฟังไว้เพื่อเข้าใจไว้ก่อน พอเข้าใจแล้วพอพิจารณาไปจะเกิดความรู้สึกอันนี้ขึ้น มันก็ดับ ที่ท่านบอกว่า..นิโรธ นิโรธคือดับ ฉะนั้นในขั้นที่ ๓ นี้ของหมวดที่ ๔ นี่นะคะ ทุกลมหายใจเข้าออก ดูความดับที่เกิดขึ้นในใจ ดูให้มันชัดๆๆๆ ว่ามันดับจริงๆ ดับจริงๆ ไม่มีอะไรที่จะมาก่อให้เกิดแสง ให้เกิดความยึดมั่นถือมั่นได้อีกเลย..มันดับ ดับสนิทไม่มีเหลือ

    ทีนี้ ก็ดูอยู่อย่างนั้นแหละ..จนพอใจ พอใจอย่างไร คือพอใจว่ามันดับจริง แล้วก็ไปถึงขั้นที่ ๔ ท่านเรียกว่า..ปฏินิสสัคคะ ปฏินิสสัคคะแปลว่าสลัดคืนๆ สลัดคืนอะไร ก็สลัดคืนสิ่งที่เรายึดว่าเป็นเราและเป็นของเรา สลัดคืนออกไปหมด สลัดคืนไปไหน ถ้าพูดให้ถึงที่สุดท่านก็จะบอกว่า สลัดคืนให้แก่ธรรมชาติ เพราะจริงๆ แล้วเวลานี้เรายังไม่ตาย เรายังมีลมหายใจอยู่ แต่นึกถึงผู้ที่ตายไปแล้ว ไปไหนละคะ ตอบได้ใช่ไหม จะเป็นเผา จะเป็นฝัง อะไรก็ตามที ไปไหน กลับไปเป็นอะไร ไปเป็นดินน้ำลมไฟ ไปเป็นปุ๋ย กลับคืนสู่ธรรมชาติ ใช่หรือเปล่า ทุกอย่าง ทีนี้ในขณะที่ยังมีลมหายใจอยู่ แต่เพราะวิธีของการปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และใคร่ครวญธรรม อย่างละเอียดถี่ถ้วนทุกแง่มุม อย่างที่เราพูดมาแล้วนี่ จึงทำให้จิตนี่ ถึงแม้ยังอยู่ยังมีชีวิตอยู่ แต่มันสัมผัสได้ สัมผัสได้กับความที่เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา จนเกิดวิราคะ..ความจางคลาย ไม่เอาอีกแล้ว จนกระทั่งถึงความดับสนิท สนิทแล้วก็ดูให้แน่อีก มันสนิทจริงไหม ขั้นที่ ๔ นี้ท่านจึงบอกว่าสลัดคืน ปล่อยคืน ปล่อยคืนออกไปหมดหรือ? ถ้ายังมีอะไรเหลือติดอยู่ สลัดคืนให้แก่ธรรมชาติ เป็นอิสระไหมคะ นี่ลองคิดดู ก็อาจจะนึกได้ นึกตาม แต่ถ้าลองปฏิบัติใคร่ครวญไปจนกระทั่งถึงวันหนึ่ง โอ..มันเป็นอิสระ มันเป็นความสุข ที่ท่านบอกว่าความเกษมนั่น นี่ความเกษมจะอยู่ตรงนี้..มันมีแต่ความเย็น มันเย็น มันเบา มันโปร่ง มันไม่มีอะไรที่จะเป็นสิ่งหนักอึ้ง ที่จะต้องแบกหามอีกเลย

    และถ้าจะถามว่านี่คือสภาวะของอะไร ถ้าจะพูดอย่างคำธรรมะ ท่านก็เรียกว่านี่คือสภาวะของสิ่งที่เรียกว่า..นิพพาน เพราะฉะนั้นนิพพานไม่ใช่สถานที่ที่จะต้องเดินทางไปหา หรือไปให้ถึง เพราะนิพพานแปลว่าเย็น คือในทางพระพุทธศาสนานั้นพระพุทธเจ้าท่านก็ทรงเป็นชาวอินเดียนั่นแหละ อย่างที่เราทราบกัน และในอินเดียเขาก็มักจะเอาศัพท์ที่ใช้กันในชีวิตประจำวันมาใช้ในทางธรรมะ อย่างคำว่านิพพานนี่ก็แปลว่าเย็น อย่างข้าวเย็น เขาหุงข้าวแล้วก็ข้าวร้อนๆ พอยกลงจากเตา พอมันเย็นพอจะกินได้เขาก็จะเรียกลูกหลาน มาเถิดมากินข้าว ข้าวนิพพานแล้ว หรือแกง หรือกับ หรือว่าถ่านไฟ ถ้าสมมุติว่าใช้ถ่านไฟ แล้วก็พอเสร็จการใช้ก็ดับไป พอดับสนิทเขาก็บอกถ่านนี่ก็นิพพานแล้ว คือนี่เป็นคำที่เขาใช้ในชีวิตประจำวัน ทีนี้พอเอามาใช้ในทางธรรม เปรียบอุปมาก็จะบอกว่า โอ..จิตที่นิพพานนี่ก็คือจิตที่มีความเย็น เย็นเพราะเหตุว่ามันดับจากความร้อนอันเกิดจากความยึดมั่นถือมั่นทั้งปวง ในขณะที่ยึดมั่นถือมั่นนี่ร้อนไหม ร้อนไหม เออ..ทุกคนคงสัมผัส มันร้อน แต่บางทีเราไม่รู้วิธีสลัด สลัดไม่หลุด เราก็ต้องแบกเอาไว้ บัดนี้ที่เราพูดกันนี่ นี่คือวิธีที่จะสลัดของหนักที่ได้แบกมาตั้งแต่รู้ความ จนเดี๋ยวนี้เป็นผู้ใหญ่เข้า ประสบการณ์ผ่านไปมันก็ยิ่งชัดขึ้น บัดนี้ถึงเวลาที่จะสลัดเสียที เพราะฉะนั้นพอสลัดออกแล้วก็จะรู้สึกเบาสบาย เย็น..เป็นความเย็นที่ไม่อาจจะเปรียบกับความเย็นชนิดไหนได้เลย และผู้ที่จะรู้รสก็คือผู้ที่ได้ลิ้มได้เอง ได้ลิ้มรสนั้นเอง ด้วยการลองฝึกปฏิบัติไป และเชื่อนะคะว่าสามารถทำได้ สามารถลิ้มรสได้ แม้ว่าจะยังไม่อยู่กับเราตลอดไป แต่ถ้าเราปฏิบัติไปตามหลักตามแนวนี้ด้วยจิตนะ ปฏิบัติที่จิตไม่ใช่ด้วยสมอง ไม่ใช่ด้วยการคิด จะได้สัมผัส..จะได้สัมผัสกับความเย็นอย่างนี้จริงๆ แม้ว่าจะไม่นานหรืออยู่ไม่ได้นาน แต่เราก็จะรู้ว่า โอ..รสชาติของมันนั้นอย่างที่ท่านเปรียบว่าเอมโอช ในบทสวดมนต์..เอมโอชคือ เป็นรสชาติที่เลิศล้ำ อย่างไม่อาจจะเปรียบกับอะไรได้ และอธิบายก็ไม่ได้ นอกจากผู้นั้นจะได้ลองลิ้มรสด้วยตัวเอง

    นี่ก็เป็นการปฏิบัติระบบอานาปานสติทั้ง ๑๖ ขั้น ซึ่งทั้ง ๑๖ ขั้นนี่นะคะ ถ้าสมมุติว่าพิจารณาบางคนอาจจะบอกว่า เอาละไม่ชอบพิจารณากาย ก็ไปพิจารณาบทที่ ๒ ได้ เรื่องของเวทนาคือความรู้สึกสุขทุกข์ ซึ่งมันเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลา ใช่ไหมคะ ประเดี๋ยวสุข ประเดี๋ยวทุกข์ ประเดี๋ยวจะเอา ประเดี๋ยวไม่เอา ประเดี๋ยวชอบไม่ชอบ ประเดี๋ยวพอใจไม่พอใจ เหล่านี้นี่คือความรู้สึก เราก็จะมองเห็นถ้าไปตามในเรื่องของเวทนา ก็จะเห็นว่าแม้เวทนาก็หาเที่ยงไม่..เช่นเดียวกัน แม้แต่จิตก็หาเที่ยงไม่ เราพิจารณามาอย่างนี้เรื่อยๆ ตามลำดับ แล้วผลที่สุดก็จะเข้าถึงธรรมะที่แสดงถึงกฎของไตรลักษณ์ที่จะเป็นไปตามเหตุปัจจัย จนชวนใจหรือว่าจูงใจนั้นให้เกิดความจางคลายและก็เกิดความดับ แล้วก็สลัดคืน ไม่เอาแล้ว ตอนนี้ตัวเปล่าเล่าเปลือย แม้จะยังอยู่ในโลกนี่แหละ ก็อยู่คลุกคลีกันกับสิ่งที่เคยเป็นของเรา ที่เรายึดมั่นว่าเป็นของเรา นั่นก็ของเรา นี่ก็ของเรา ก็ยังอยู่ อยู่กับลูกอยู่กับหลาน อยู่กับการทำงาน อยู่กับพี่น้อง อยู่กับอะไรๆ ทุกอย่าง สังคมที่อยู่ แต่ตอนนี้อยู่อย่างรู้เท่าทัน รู้เท่าทันแล้ว ว่าจริงๆ แล้วมันเป็นเพียง..เพียงอะไร มายาเท่านั้น อย่าลืมคำนี้ เป็นเพียงมายาเท่านั้น มันหาใช่สิ่งจริงไม่ ก็จะได้เตือนใจไม่ให้หลงไปยึดมั่นถือมั่นในมัน และต่อไปนี้ชีวิตก็จะเป็นชีวิตที่สามารถกระทำหน้าที่ของผู้เป็นมนุษย์ได้อย่างเต็มที่ เพราะอะไร..เพราะไม่ต้องห่วงแล้วนี่ ไม่ต้องห่วงผลประโยชน์ของตัวเอง ไม่ต้องห่วงว่าตัวเราจะได้อะไรบ้าง ตัวเราจะเสียอะไรบ้าง เพราะมันไม่มีตัวเราจะเอา มันก็มีหน้าที่แต่จะเพียงว่า..จะทำหน้าที่ของมนุษย์ต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกันนั้นให้ถูกต้องที่สุด ให้เกิดประโยชน์ที่สุด เรียกว่านำสันติสุขมาสู่กันและกัน ก็นึกดูเถิดว่าสังคมนี้จะเป็นสังคมที่มีความสุขสงบเย็นมากน้อยเพียงใด ถ้าสามารถกระทำได้

    อานาปานสติก็จบ พูดจบ..แต่ปฏิบัติเป็นหน้าที่ของทุกท่านที่จะต้องไปจัดการกับตัวเอง แต่ว่าทุกคนก็สามารถที่จะเข้าถึงได้ ไม่มีหวงห้าม ไม่มียกเว้น ขอให้ทำ..ทำแล้วจะได้ แต่ถ้าไม่ทำก็ไม่ได้ เพราะมันทำให้กันไม่ได้ มันสำคัญตรงนี้ มันทำให้กันไม่ได้ ต้องทำเอง ..... มีข้อคำถามอะไรบ้างไหมคะ มีไหม ..... ไม่เลยตรงกันข้าม เพราะเราปฏิบัติผิดทาง ถ้าเราปฏิบัติถูกทางแล้วละก็ ยิ่งปฏิบัติเพียงใดนะคะ แล้วก็ยิ่งปล่อย ยิ่งสลัด ยิ่งไม่เอา สิ่งที่จะเข้ามาแทนที่คือความรัก ความเมตตากรุณา มันจะเข้ามาแทนที่ในจิตของเรานี่ อ้อ..มันจะไม่มีความเบื่อ ความเบื่อนี่คือกิเลส มันมาจากกิเลส กิเลสตัวโทสะนั่นแหละ เพราะมันไม่ได้อย่างใจ มันก็หงุดหงิด มันก็รำคาญ มันไม่อยากเอา นี่เป็นกิเลส เพราะฉะนั้นขอให้เข้าใจว่าความเหนื่อยหน่ายในทางธรรมที่ท่านเรียกว่าเป็นนิพพิทา ก่อนที่จะถึงวิราคะนี่ พอมันเห็นอนิจจังทุกขังอนัตตาแล้วมันก็เกิดความเบื่อ..นิพพิทา เบื่ออย่างชนิดที่ว่า เออ..เราไม่ควรจะไปหลงใหลในมันเลย มันน่าจะปล่อย แล้วก็จะเกิดวิราคะ..จางคลาย เพราะเราเข้าถึงความจริงของธรรมชาติ อย่างที่พูดมาแล้วนี่นะ ไม่ต้องพูดซ้ำอีก แต่ทีนี้ถ้าหากว่าเกิดความเบื่ออย่างชนิดไม่เอา ไม่เอาและเต็มไปด้วยความโกรธ แล้วก็นึกดูสิว่าที่ไม่เอา..ใครไม่เอา ก็ตัวเราไม่เอา แล้วเราเห็นอนัตตาหรือเปล่า ก็แน่ละสิ..เราไม่เห็น เราเห็นอนิจจังไหม ก็ไม่เห็น เพราะฉะนั้นนี่คือกิเลสเต็มเปาเลย เพราะถ้าหากว่ามีกิเลสแล้วก็เราจะเกิดความเบื่อ เบื่ออย่างชนิดเกลียดรำคาญ ไม่อยากเข้าใกล้ ไม่อยากทำ นั่นเป็นกิเลส..ต้องแก้ไข

    แต่ถ้าหากว่าเป็นธรรมะแล้วละก็ มันจะเกิดความรัก เกิดความเมตตา เกิดความกรุณา ..... เพราะฉะนั้นอันนี้ก็หมายความว่าเราจะเกิดความรู้สึกว่า โอ..นี่นะคนอื่นๆ ก็เหมือนกัน แต่เพราะเขาไม่รู้ เขาไม่มีโอกาสที่จะได้รับรู้อย่างนี้ เพราะฉะนั้นจึงน่าสงสารเขา เมื่อน่าสงสารเขานี่ พอใจเกิดความรักความเมตตา อยากช่วยเหลือ อยากทำ ยิ่งอยากจะทำหน้าที่ของเรานี่ให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ เรียกว่าทำอย่างเต็มฝีมือความสามารถ ไม่เสียดายแรง เพราะว่าช่วยผู้ที่เขาไม่รู้ ให้เขาได้รู้ ฉะนั้นมันจะมีความรักความเมตตาขึ้นมาแทนที่ ก็เหมือนอย่างองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อท่านตรัสรู้แล้ว ไม่เห็นใช่เรื่องที่ท่านจะต้องมาทนทรมานพระวรกาย เสด็จไปเมืองโน้นเมืองนี้ด้วยพระบาทเปล่า ตลอด ๔๕ พรรษา ก่อนที่เสด็จปรินิพพาน เรื่องอะไรละ ท่านนั่งเฉยๆ นอนเฉยๆ สบายๆ ไม่ดีหรือ? แต่ท่านทรงทำเพราะท่านทรงเห็นใจ สงสาร บรรดามนุษย์ทั้งหลายที่ตกจมอยู่ภายใต้ความทุกข์ เพราะความโง่เขลา ความไม่รู้ ความยึดมั่นถือมั่นว่านั่นก็จริงนี่ก็จริง แล้วก็แบกหนักเอาไว้ แล้วก็เป็นทุกข์ไป ท่านอยากจะชี้ให้เห็นเพื่อปลดทุกข์ นี่คือความรักความเมตตาที่เกิดขึ้นมา ฉะนั้นให้ระวังจิตของเราเองนะคะ ถ้ามันเกิดความเบื่อหน่าย ขัดใจ โอย..ฉันต้องออกไปอยู่นอกโลก นี่เขาเรียกว่า..วิปัสสนูปกิเลส ถ้าจะคิดว่านี่ฉันปฏิบัติธรรม ก็คือปฏิบัติธรรมผิดทาง ไม่ใช่ธรรมะ ต้องเปลี่ยนทันที ถ้าไม่เปลี่ยน ระวังเตลิด..คนที่ฆ่าตัวตายก็เพราะอันนี้ เพราะเตลิด เตลิดเพราะไม่หันเข้ามาสู่ทางธรรมที่ถูกต้อง

    เพราะฉะนั้น สิ่งที่ควรฆ่านี่คือ..ความคิดผิด ความคิดผิดที่เอากิเลสมาเป็นธรรมนี่ ต้องฆ่ามันเสีย แต่ว่ารักษาตัวนี้เอาไว้ เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการปฏิบัติธรรม ในการที่จะทำหน้าที่เพื่อช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ต่อไป ..... อ้อ..ไม่ ไม่ขัดขวางเลย ไม่ขัดขวางการปฏิบัติธรรม ยิ่งถ้าหากว่าใครโชคดีได้ไปพบสามีภรรยาที่มีใจเดียวกัน เรียกว่าชวนกันไปปฏิบัติธรรม เป็นกัลยาณมิตรด้วยกัน ก็นับว่าเป็นโชคดีมาก มีบุญละ แต่ถ้าหากว่าเผอิญคู่ของเราเขาไม่สนใจในการปฏิบัติธรรม เราก็ต้องจัดจังหวะให้มันพอเหมาะสม เรียกว่าสามารถรักษาครอบครัวให้เรียบร้อยด้วย แล้วก็ให้โอกาสตัวเราที่จะได้ปฏิบัติธรรมด้วย ทีนี้ให้โอกาสตัวเราที่จะปฏิบัติธรรมนี่ ถ้าสมมุติว่าเรารู้ว่าการปฏิบัติธรรมคืออะไร คือการพิจารณาธรรมอยู่ในใจ พิจารณาอนิจจังทุกขังอนัตตาตลอดเวลา ให้เห็นว่ามันเกิดขึ้นตามเหตุปัจจัย แม้เราจะอยู่กับคนที่เขาเป็นมิจฉาทิฐิว่าอย่างนั้นเถอะ เราก็รักษาสัมมาทิฐิของเราได้ เราก็ดูอะไรให้เห็นในฐานะที่ว่า โอ..มันไม่เที่ยง มันเป็นอย่างนั้นเอง ตามเหตุปัจจัยของเขา ถ้าเราดูไปอย่างนี้แล้วใจเราก็จะมั่นคงอยู่ในธรรม แล้วก็จะชุ่มชื่นเบิกบาน เหมือนอย่างในพระไตรปิฎกก็มีเล่าถึงผู้หญิงคนหนึ่งนะ ที่บรรลุโสดาบันแล้ว แต่ว่าสามีนี่เป็นนายพราน ซึ่งก็เรียกว่าตรงกันข้ามเพราะว่าเขาไม่รักษาศีลแล้ว แต่ว่าภรรยานี่พอถึงเวลาตอนเช้าเขาก็จะจัดเครื่องไม้เครื่องมืออาหารเอามาให้สามีสำหรับออกป่า

    ก็มีผู้ถามไปทูลถามพระพุทธเจ้าว่า เอ..ผู้หญิงคนนี้ใครๆ ก็บอกเป็นพระโสดาบัน แล้วไปอยู่กับพรานที่ทำการฆ่าสัตว์ตัดชีวิตอย่างนี้ได้อย่างไร ท่านก็รับสั่งว่าเขาทำตามหน้าที่ คือหน้าที่ของภรรยา แต่จิตใจที่เขาเตรียมอะไรให้..เขาไม่ได้เห็นดีเห็นชอบด้วย เขาก็ได้ตักเตือนได้บอกกล่าวกันมานักหนาแล้ว แต่ว่าสามีเขาเลือกทางเขาอย่างนั้น แต่นี่ในฐานะที่เขายังเป็นภรรยาอยู่ ก็ต้องทำหน้าที่ของภรรยา แต่ไม่ได้เห็นดีเห็นชอบด้วย อย่างนั้นจะถามว่าเขาจะบาปกรรมอะไรไหม ก็บอกเขาก็ไม่เกี่ยวข้องมันเป็นเรื่องของสามี แต่ถ้าหากว่าเมื่อใดที่เขาตัดตัวเขาออกไปเสียได้มันก็หมดเรื่อง มีอะไรอีกไหมคะ ถ้ามีก็ถามได้ ไม่มีนะคะ แหม..แจ่มแจ้งดีนะ หวังว่าจะแจ่มแจ้งอยู่ในจิตแล้วก็เอาไปปฏิบัติให้แจ่มแจ้งในใจ ..... กิเลสค่ะ เพราะเบื่อนี่มันจะมีอารมณ์นะคะ สังเกตดูมันมีอารมณ์ เพราะฉะนั้นเมื่อมีอารมณ์ออกขึ้นมาก็หมายความว่าจิตนี้ไม่ได้สงบเย็นแล้ว มันก็ไม่เป็นธรรม ….. เป็นแน่ๆ เลยละค่ะ ..... ดีแล้วละค่ะ นั่นสังเกตไหมคะว่ามันมีความอยากซ่อนอยู่ เพราะความอยากนี่ มันมีอย่างอยากได้กับไม่อยากได้ ไม่อยากได้ ไม่อยากเป็น นี่ก็ตกอยู่ในความอยากอย่างหนึ่งเหมือนกัน เพราะฉะนั้นจะสังเกตได้ มันมีอารมณ์ มันได้มีความเย็นสบายอยู่ในขณะนั้น .. ก็คือมีสติรู้ตัวอยู่ในขณะนั้น อุเบกขา .. ใช่ค่ะ เพราะฉะนั้นต้องปรับใจเสียใหม่ .. มีอะไรอีกไหมคะ ถ้ามีก็เชิญถามได้ … ใครจะรู้ได้ ไม่มีใครรู้ แต่ชาตินี้เดี๋ยวนี้เรารู้แน่ๆ ว่าเราเป็นมนุษย์มีสติปัญญา มีโอกาสที่จะปฏิบัติได้

    เพราะฉะนั้น ก็อย่าปล่อยโอกาสทองอันนี้เสีย มันอาจจะไม่กลับมาอีกก็ได้ อย่างนั้นก็จงเร่งรีบทำให้สามารถเท่าที่จะทำได้ ที่จริงมีเรื่องเยอะแยะที่เราจะพูดกันในเรื่องของธรรมะ แต่ที่ให้เสาร์นี้เป็นเสาร์สุดท้ายนี่ ก็เพราะมีความเกรงใจผู้ที่มานี่ รู้สึกว่าบางคนนี่มาอย่างชนิดที่ว่า อืม..ตั้งใจจะมาแล้วก็ต้องมา เดี๋ยวอาจารย์จะว่า เดี๋ยวคุณแม่จะว่า ว่าวันนี้ไม่มา..หายไป ก็เลยไม่อยากจะไปฝืนใจ แต่บางคนก็รู้มาด้วยความตั้งใจ แล้วก็อยากจะมา แล้วก็อาจจะคิดถึงก็ได้นะ ว่า เออ..วันเสาร์นี่มันหายไป บางคนอาจจะเป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้นก็จะให้โอกาสนะคะ ว่าถึงแม้ว่าจะถือว่าเสาร์นี้เสาร์สุดท้าย แต่เมื่อใดอยากจะสนทนาธรรมะ แล้วก็อยากจะคุยธรรมะ รู้สึกมีความสุข ก็นัดกัน จะเป็นกี่คนเท่าที่เราจะนัดกันได้ แล้วก็โทรศัพท์มาบอกไปที่คุณอุ๊ยก็จะได้พบกันได้ จะเป็นเสาร์อาทิตย์ไหนก็ตามสะดวก เวลาอะไรก็กำหนดมา แล้วก็ไม่ต้องเป็นห่วงว่ารำคาญเหลือเกินนะ รำคาญคนที่ อุ๊ย..เดี๋ยวคุณแม่จะเหนื่อย เดี๋ยวคุณแม่จะไม่สบาย นี่มันเรื่องของคนนี้นะ..จะพิจารณาเองว่าสามารถจะทำได้ไหม ไม่ใช่เรื่องของคนอื่นที่จะมาตัดสินว่า นี่จะเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ ที่ตัดสินอย่างนี้เพราะตัวเองนั่นแหละ แก้ตัว ไม่อยากจะเข้ามาปฏิบัติ แล้วก็แก้ตัว หาข้อแก้ตัวให้ตัวเอง อย่าหาข้อแก้ตัวเลย ให้นึกถึงว่าคนที่เขาเป็นนักดนตรี ถ้ามีนักดนตรีมาเล่นด้วยกันเขาก็มีความสุขใช่ไหม หรือว่าเป็นนักอ่านนี่ถ้ามีคนอ่านหนังสือด้วยกันมาคุยด้วยกันเขาก็มีความสุข เช่นเดียวกับนักธรรมะถ้ามีคนที่สนใจธรรมะพูดธรรมะด้วยกันก็เป็นความสุขอย่างหนึ่งเหมือนกัน

    นอกจากใครจะมีความทุกข์ในขณะนั่งฟังไม่ทราบนี่ ถ้าหากไม่มีคำถามอะไรอีกนะคะ ก็รู้สึกว่าความทุกข์อันหนึ่งที่เกิดขึ้นนี่ เพราะคนเราชอบเพ่งโทษซึ่งกันและกัน ชอบเพ่งโทษคนอื่น แล้วก็ส่วนตัวเองไม่มีโอกาสได้มาดูจิตของตัวเอง นี่เรียกว่าขาดการปฏิบัติหมวดไหน หมวดไหนของอานาปานสติ หมวดที่ ๓ หมวดจิต ไม่มีโอกาสได้ดูจิต ได้รู้จักจิต เพราะมัวแต่ไปดูคนอื่น และผลที่สุด..ใครทุกข์ คนที่ชอบเพ่งโทษเขานั่นแหละทุกข์ คนที่เขาถูกเพ่งโทษเขาก็สบายๆ ไม่เห็นเขามีอะไร เพราะฉะนั้นอันนี้เป็นกลอนของท่านอาจารย์พุทธทาสที่ท่านได้เขียนเอาไว้ แล้วต้องบอกว่าเป็นกลอนที่กว้างขวาง Popular มาก แม้แต่องค์สมเด็จพระบรมราชชนนีก็ได้ยินว่าพระองค์ทรงใช้อันนี้ ที่จะให้ข้าราชบริพารทั้งหลายนี่ได้ท่องเอาไว้ จะได้ไม่ต้องคอยเพ่งโทษซึ่งกันและกัน จะได้อยู่ด้วยกันด้วยความรักใคร่กัน ชื่อว่า..มองแต่แง่ดีเถิด เขามีส่วนเลวบ้างช่างหัวเขา.. หลายคนคงเคยได้ยินแล้ว แต่จะเอามาใช้หรือเปล่าไม่ทราบ จงเลือกเอาส่วนที่ดีเขามีอยู่ เป็นประโยชน์โลกบ้างยังน่าดู ส่วนที่ชั่วอย่าไปรู้ของเขาเลย มันมักจะรู้ส่วนชั่วมากกว่าส่วนดีใช่ไหม มันรู้แล้ว แหม..มันอร่อยปาก เพราะฉะนั้นตอนนี้ก็เปลี่ยนเสีย จะหาคนมีดีโดยส่วนเดียว อย่ามัวเที่ยวค้นหาสหายเอ๋ย เหมือนเที่ยวหาหนวดเต่าตายเปล่าเลย ใครเคยเห็นหนวดเต่าบ้าง เต่ามีหนวด ไม่มี ฝึกให้เคยมองแต่ดีมีคุณจริง นี่ท่านอาจารย์ท่านเขียนไว้เยอะ แต่กลอนนี้ Popular มาก แจกได้ทุกคนนะคะ ถ้าไม่พอก็ขออีกได้ อันนี้แจกทางด้านนี้คนละแผ่นๆ ถ้าไม่พอก็บอกค่ะ ให้ทั่วถึงค่ะ ถ้าแจกไปเถอะให้ทั่วถึงไม่พอก็มีอีก ส่งไปเลยค่ะ..ส่งไป ส่งไป ขาดตรงไหนก็บอก ก็เก็บๆ ของส่วนตัวไว้สิคะ ไม่ต้องส่งไปหมด เก็บไว้แล้วยัง จะได้ไม่ต้องส่งกลับไปอีก ใครยังไม่ได้อีกคะ ใครยังไม่ได้อีกคะ มีอีก ให้ครบทุกคนหรือยัง ได้ครบทุกคนหรือยังคะ มีใครไม่ได้อีกไหม แล้วถ้าหากว่าใครมีลูกน้องมีใครมากๆ ก็เอาไปติดเอาไว้ที่บ้าน ช่วยกันอ่าน แล้วก็ช่วยกันปฏิบัติ เอาไปถ่ายเอาเองก็ได้..เยอะแยะ.

     

logo

  • เกี่ยวกับเรา
  • ติดต่อเรา
  • จดหมายข่าว
  • Privacy Policy
  • Terms of Service