PAGODA
  • หน้าแรก
  • ฐานข้อมูล
  • เสียง
  • วีดิทัศน์
  • E-Books
  • กิจกรรม
  • บทความ
PAGODA
  • หน้าแรก
  • ฐานข้อมูล
  • เสียง
  • วีดิทัศน์
  • E-Books
  • กิจกรรม
  • บทความ

Search

  • หน้าแรก
  • เสียง
  • อุบาสิกา คุณรัญจวน อินทรกำแหง
  • การปฏิรูปชีวิตเพื่อความบังเกิดขึ้นแห่งศานติในหมู่มนุษย์ (ตอน1)
การปฏิรูปชีวิตเพื่อความบังเกิดขึ้นแห่งศานติในหมู่มนุษย์ (ตอน ... รูปภาพ 1
  • Title
    การปฏิรูปชีวิตเพื่อความบังเกิดขึ้นแห่งศานติในหมู่มนุษย์ (ตอน1)
  • เสียง
  • 12472 การปฏิรูปชีวิตเพื่อความบังเกิดขึ้นแห่งศานติในหมู่มนุษย์ (ตอน1) /upasakas-ranjuan/1-56.html
    Click to subscribe
    • Share
    • Tweet
    • Email
    • Share
    • Share

ผู้ให้ธรรม
อุบาสิกา คุณรัญจวน อินทรกำแหง
ชุด
URI 021
  • แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [ลองพูดคุยกับ AI ทาง Line]

  • ธรรมสวัสดี แด่ท่านผู้มีเกียรติทุกๆ ท่าน ก่อนอื่นดิฉันก็ขออนุญาตกล่าวคำขอบพระคุณต่อท่านเลขาธิการสภาสถาบันราชภัฏ ต่อท่านประธานคณะกรรมการกองทุนการศึกษาเพื่อสันติภาพ ต่อท่านอธิการบดีสถาบันราชภัฏสกลนคร ทั้งนี้ก็หมายถึงรวมทั้ง ท่านกรรมการกองทุนทุกๆ ท่าน ท่านผู้บริหารสถาบันราชภัฏสกลนคร รวมทั้งท่านคณาจารย์ทุกๆ ท่านด้วย และตลอดถึงท่านผู้มีเกียรติที่ได้กรุณามาร่วมในโอกาสนี้ ดิฉันรู้สึกว่าอยากจะกล่าวคำขอบพระคุณด้วยน้ำใจจริง ที่ท่านเลขาธิการก็ดี ท่านประธานกองทุนการ ศึกษาเพื่อสันติภาพก็ดี ตลอดจนกระทั่งท่านกรรมการและท่านอื่นๆ ที่ได้อุตส่าห์เดินทางมาจากกรุงเทพฯ มาร่วมงานในวันนี้ เป็นสิ่งที่ดิฉันเชื่อว่าท่านได้สละเวลาที่หาได้ยาก เพราะว่าต้องทำกิจการงานอันเป็นภาระรับผิดชอบ แต่กระนั้นก็ยังได้อุตส่าห์สละเวลามา นอกจากนั้น ยังได้อุตส่าห์เรียบเรียงถ้อยคำกล่าวยกย่องดิฉันโดยท่านประธานกรรมการสรรหา ก็อยากจะเรียนว่าแม้ดิฉันจะเป็นคนเคยพูดในที่ประชุมมาก็ตาม แต่ก็เป็นคนขี้อายเหมือนกันค่ะ คือก็ขี้อายหรือว่าเก้อเขินที่จะได้ยินคำยกย่องชมเชย แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อได้ยินแล้ว ก็ต้องยอมรับอีกแล้วว่าขอบพระคุณที่ได้อุตส่าห์เรียบเรียงมาให้ฟังนะคะ แล้วก็ทำให้ดิฉันรู้จักตัวเองในมุมที่ไม่รู้จักขึ้นมาอีกบ้างเหมือนกัน นอกจากนี้ก็ขอขอบพระคุณ ท่านอธิการบดี ท่านผู้บริหารและคณะอาจารย์ของสถาบันราชภัฏสกลนครเป็นอย่างยิ่ง ที่ได้มีน้ำใจไมตรีจิตมิตรภาพต่อดิฉันตลอดเวลา ตั้งแต่ดิฉันมาอยู่สกลนคร คือคิดว่าดิฉันมาคนเดียวอย่างโดดเดี่ยว แต่ไม่เคยรู้สึกว้าเหว่เปล่าเปลี่ยวหรือเดียวดายเลย เพราะเหตุว่ามีเพื่อน มีเพื่อนที่สถาบันราชภัฏสกลนครที่ได้กรุณา มาให้น้ำใจไมตรีดูแลช่วยเหลืออยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ได้มีความเหน็ดเหนื่อยในการจัดงานในโอกาสนี้ ถึงแม้ว่าจะเป็นงานที่สดุดดี ท่านเจ้าคุณอาจารย์พระธรรมปิฎกก็ตาม แต่ดิฉันก็เผอิญมีส่วนหนึ่งที่ได้เป็นภาระทำให้ท่านอธิการและคณะต้องเหน็ดเหนื่อยในวันนี้ ก็ขอขอบพระคุณด้วยน้ำใจจริงต่อทุกๆ ท่านนะคะ แล้วก็จะรำลึกถึง พระคุณของทุกๆ ท่านที่ได้กล่าวมาแล้วนะคะ คือจะกล่าวอีกก็จะทำให้เวลายืดยาวไป ก็ขอจงทราบว่าขอบพระคุณด้วยความรำลึกด้วยน้ำใจจริง  ก็ขออนุญาตกล่าวคำ ธรรมาสวัสดีอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งเป็นคำที่ดิฉันเริ่มคิดขึ้นเมื่อตอนที่ต้องออกรายการเกี่ยวกับทางสื่อมวลชน ทางวิทยุและโทรทัศน์ ก็ได้กราบเรียนปรึกษาท่านอาจารย์ ท่านเจ้าคุณ อาจารย์ของดิฉันที่สวนโมกข์ ว่าดิฉันจะใช้คำว่าธรรมสวัสดี ดีไหม เพราะคำว่าสวัสดีพูดกันเรื่อยพร่ำเพรื่อ ทีนี้เราจะพูดถึงเรื่องของธรรมะ เราอยากจะให้ท่านผู้ฟังทั้งหลายนั้น มีความสวัสดีด้วยพระธรรม คือด้วยพระบารมีของพระธรรม ดิฉันก็เลยใช้คำว่าธรรมะสวัสดีมาในโอกาสต่าง ๆ แล้วก็เป็นคำสั้นๆ แล้วก็มีความหมายดี แล้วก็หวังว่าท่านผู้ฟังที่รู้สึกว่าชอบคำนี้นะคะ คงจะได้ลองนำไปใช้บ้าง บางทีอาจจะเป็นการนำธรรมะสู่เพื่อนมนุษย์โดยไม่ได้ตั้งใจ หรือโดยไม่รู้ตัวก็ได้นะคะ


    ทีนี้หัวข้อที่จะพูดในวันนี้นะคะ การปฏิรูปชีวิตเพื่อความบังเกิดขึ้นแห่งศานติในหมู่มนุษย์ก็ เป็นความรู้สึกที่ดิฉันตั้งใจไว้แต่แรกว่า นี่ไม่ใช่การบรรยายทางวิชาการ หรือเป็นการบรรยายอย่างเป็นทางการที่เรียกว่าจะเป็น formal lecture อะไรทำนองนั้นนะคะ เพราะดิฉันไม่ได้นึกว่าอยากจะเป็นนักวิชาการ แต่อยากจะเป็นเพื่อนกับท่านผู้ฟังทั้งหลายมากกว่า ว่าเป็นการพูดกันในหมู่มิตร ซึ่งอาจจะมีการเห็นด้วย เห็นด้วยตรงกันก็ได้ หรืออาจจะขัดแย้งกันก็ได้ แต่ก็เป็นการขัดแย้งฉันมิตร ซึ่งจะนำไปสู่ความเข้าใจที่ดีต่อกันต่อไปนะคะ แล้วก็ขอโอกาสไว้ก่อนนะคะว่า ในการพูดในวันนี้นั้น ดิฉันจะขออนุญาตพูดแบบคุยไปเรื่อย ๆ แล้วก็จะไม่กังวลกับเวลา แล้วก็เมื่อพูดไปแล้วก็จะจบ เมื่อรู้สึกว่าสมควรแก่เวลา ทั้งนี้เพราะอะไรก็เพราะว่า ดิฉันอยากจะเป็นคนมีอิสระจากการเป็นทาสของเวลา เพราะดิฉันมีความเห็นใจเหลือเกินค่ะ เห็นใจเพื่อนทุกๆ คนในโลกนี้ โดยเฉพาะในสังคมเมืองไทย ที่ต้องรีบวิ่งตามเวลา ด้วยความกระหืดกระหอบแล้วก็เกิดความกระวนกระวาย ในการที่ต้องเป็นธาตุของเวลา โดยอาจจะไม่เคยได้คิดหรือได้นึกก็ได้ว่า สิ่งหนึ่งที่บีบคั้นจิตใจชีวิตของคนเราทุกวันนี้ ไม่น้อยกว่าเรื่องเงินทองทรัพย์สินอำนาจกิตติยศทั้งหลาย ก็คือ เรื่องของการที่ต้องตกเป็นทาสของเวลา จะจริงหรือไม่ก็ลองโปรดพิจารณาดูนะคะ เพราะฉะนั้นการพูดในวันนี้ ดิฉันจึงคิดว่า จะไม่กังวลกับเรื่องของเวลา และส่วนจะพูดจบหรือไม่จบ ก็ไม่กังวลอีกเหมือนกัน ทำไมจึงไม่กังวล ก็เพราะเรื่องของชีวิตนั้นไม่มีจบ ใช่ไหมคะ เรื่องของชีวิตนั้นไม่มีจบ ดิฉันก็ไม่ยังไม่จบ ท่านทั้งหลายผู้ฟังก็ยังไม่จบ เราจะต้องมาคิดใคร่ครวญไตร่ตรองเกี่ยวกับเรื่องของชีวิตอีกเป็นเวลานานเลย เพราะฉะนั้น จึงคิดว่าสิ่งที่เราจะได้มีโอกาสพูดกันคุยกันในตอนนี้ขณะนี้นั้น คงจะเป็นฐาน ฐานของความเข้าใจ ที่จะนำไปสู่การคิดใคร่ครวญไตร่ตรองต่อไปนะคะ อันที่จริงหัวข้อเรื่องนี้จะพูดกันได้กว้างขวางมาก ในหลายแง่หลายมุม แต่ในเช้าวันนี้ดิฉันก็จะขออนุญาตพูดถึงแต่ในเรื่องของชีวิต คือในแง่มุมของชีวิต ทีนี้หัวข้อที่บอกว่า การปฏิรูปชีวิต การปฏิรูปชีวิต เพื่อ ความบังเกิดขึ้นแห่งศานติในหมู่มนุษย์ ปฏิรูปทุกท่านก็คงทราบแล้วว่า เป็นการต่อยอด ต่อยอดจากฐานที่มีอยู่แล้ว ขึ้นไปให้สมบูรณ์ขึ้นไม่ใช่เป็นการเพิกถอนของเก่า ของเก่าสิ่งใดที่มีอยู่แล้วดีอยู่แล้วก็ยังคงรักษาไว้ แต่จะต่อยอด ให้สูงขึ้นไปอีก เพราะฉะนั้น เมื่อเราจะต่อยอด คือจะปฏิรูปชีวิต เราจะต่อยอดชีวิต เราก็คงจะต้องทำความเข้าใจ เกี่ยวกับคำว่าชีวิต คือต้องศึกษาต้องรู้จักเรื่องของคำว่าชีวิตค่อนข้างจะรอบด้านพอสมควร ฉะนั้นก็ขออนุญาตเริ่มด้วยการพูดถึงเรื่องของชีวิตนะคะชีวิตนั้นโดยความหมายหรือโดยอัตถะของมันของคำคำนี้ ถ้าตามภาษาที่พูดกันทั่วไปก็จะหมายถึงความที่ยังไม่ตาย อะไรที่ยังเคลื่อนไหวได้นั่นคือความที่ยังไม่ตาย แต่ในทางพระพุทธศาสนา ท่านบอกว่า ชีวิต เป็นเพียงสิ่งที่เป็นไปตามเหตุตามปัจจัยที่เกี่ยวข้องโปรดรำลึกอันนี้ไว้นะคะ ชีวิตที่เรากำลังนั่งกันอยู่นี่นะคะเป็นเพียงสิ่งที่เป็นไปตามเหตุตามปัจจัยที่เกี่ยวข้องเท่านั้นเอง ตัวอย่างเช่น ชีวิตทางร่างกาย ถ้าหากว่าประกอบเหตุปัจจัยด้วยความถูกต้องเช่นมีการบริหารกายที่ถูกต้อง ด้วยอาหาร ด้วยน้ำ ด้วยอากาศ ด้วยการออกกำลังกายเป็นต้น ชีวิตของร่างกายนั้น ก็จะมีสุขภาพอนามัยที่แข็งแรง แล้วก็จะเป็นเครื่องมือของจิต ได้อย่างมีประสิทธิภาพ กายนั้นจะเป็นเครื่องมือของจิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทีนี้ส่วนเหตุปัจจัยทางจิต ก็เช่น ถ้าเรามีการบริหารจิตอย่างถูกต้อง ด้วยการให้จิตได้มีโอกาสพักบ้าง อย่าให้อ่อนเปลี้ยเพียรแรงนัก พักจากอะไร พักจากการหยุดคิดปรุงแต่งที่เหลวไหลไร้สาระ ถ้าจะนึกดูในวันหนึ่งวันหนึ่งๆ ที่ว่าไม่มีเวลา แล้วลองมานั่งคิดดูว่า เวลาที่หมดไปเพราะการปรุงแต่งคิดโน่นคิดนี่อย่างไร้สาระนั้นน่ะ มันกินเวลาไปซักเท่าไหร่ มันทำให้จิตนี้ต้องเหน็ดเหนื่อยซักเท่าไหร่ เพราะฉะนั้น ถ้าหากว่าพัก จากการคิดปรุงแต่งที่เหลวไหลไร้สาระ พักจากการตกเป็นทาสของอารมณ์ อารมณ์ที่ขึ้นๆลงๆด้วยประการต่างๆ แล้วก็ลองปฏิบัติสมาธิภาวนาดูบ้าง อย่างนี้ก็จะเรียกว่า เป็นการประกอบเหตุปัจจัยเพื่อการบริหารจิตที่จะทำให้จิตนั้นมีพลัง ที่บอกว่าเหนื่อยเพลียไม่มีกำลังใจ ตื่นขึ้นไม่มีกำลังใจจะทำอะไรเลย นั่นแหละเพราะจิตขาดพลังขาดพลังก็เพราะว่าไม่ได้มีโอกาสพัก บางทีร่างกายได้นอนได้พักแต่จิตไม่เคยพักเพราะ กังวลอยู่กับการคิดปรุงแต่งตลอดเวลาไม่ได้หยุดนิ่งไม่ได้เงียบเลยทีเดียว ฉะนั้นถ้าหากว่าได้บริหารจิตด้วยเหตุปัจจัยที่ถูกต้องก็จะเป็นจิตที่มั่นคงมีพลังนิ่งสงบเย็น สะอาดเกลี้ยงแล้วก็ว่องไว พร้อมที่จะทำงานทั้งการงานทางโลกและการงานทางธรรม กล่าวได้ว่าจะเป็นจิตที่สามารถเป็นประธานของชีวิตได้อย่างสง่างาม


    ถ้าชีวิตใดขาดความสง่างามนะคะอย่าไปเพ่งหาเหตุที่อื่น โปรดเพ่งกลับมาที่จิตภายในทันที เพราะจิตนี้เองที่ขาดพลังจึงไม่สามารถจะทำหน้าที่ประธานของชีวิตได้อย่างสง่างามแต่กลับทำหน้าที่ประธานของชีวิตอย่างน่าสมเพชที่สุด ทีนี้ ต่อไปที่อยากจะพูด เกี่ยวกับชีวิตอีกก็คือว่า องค์ประกอบของชีวิตนั้นก็อย่างที่ทุกท่านคงทราบคือนามรูปหรือใจกาย นามรูปหรือกายใจนี้ เป็นองค์ประกอบของชีวิตมีเงื่อนไขว่า จะต้องทำงานร่วมกันอย่างที่จะแยกจากกันไม่ได้เลย ถ้าหากว่าชีวิตใดแยกกายส่วนหนึ่งใจส่วนหนึ่ง ก็ขาดความเป็นชีวิต ถ้าทำงานรวมกันนั่นแหละจึงจะมีสิ่งที่เรียกว่าชีวิตเกิดขึ้น จริงหรือไม่ก็ลองโปรดนึกดูนะคะ แต่ถ้าทำงานแยกกันเมื่อใดคือแยกกายแยกใจเมื่อใดชีวิตนั้นจะหมดสภาพของความเป็นชีวิตทันทีทีเดียว ทีนี้การทำงานของชีวิตนั้นย่อมหมายรวมถึงระบบการดำเนินชีวิต ฉะนั้นที่บอกว่าชีวิตนั้นประกอบด้วยกายใจไม่ใช่เพียงแค่นั้นจะต้องรวมไปถึงระบบของการดำเนินชีวิต ซึ่งในระบบของการดำเนินชีวิตนั้นก็จะต้องมีองค์ประกอบตามสมควรแก่กรณี เช่นมีปัจจัยแห่งชีวิต มีสิ่งแวดล้อมแห่งชีวิต มีความรู้ที่ถูกต้องมีการกระทำที่ถูกต้องเป็นต้น นี่เป็นปัจจัยในระบบของการดำเนินชีวิต เพราะฉะนั้น ชีวิตจึงต้องการกระบวนการเรียนรู้ที่ถูกต้อง ไม่ใช่ปล่อยให้เป็นชีวิตป่าๆ เถื่อนๆ เหมือนม้าเถื่อน ช้างเถื่อน หมูเถื่อน อะไรเถื่อนทั้งหลายซึ่งลำบากแก่การควบคุม ล้วนแล้วแต่เป็นปัญหานำปัญหามาสู่แม้แต่ผู้ที่เป็นเจ้าของชีวิตเอง เพราะฉะนั้นเพื่อให้มีความสามารถในการเรียนรู้ที่ถูกต้อง มีการกระทำที่ถูกต้องให้เกิดประโยชน์แก่ตนและเพื่อนมนุษย์ ระบบการศึกษาก็จะเข้ามาเกี่ยวข้องที่ตรงนี้ซึ่งจะทิ้งเสียไม่ได้ ฉะนั้น จึงต้องมีสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสมประกอบ และสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสมในที่นี้ก็ขอเจาะจงลงไปที่ว่าคำว่าเหมาะสมในทางธรรมก็คือหมายถึงสัมมาทิฏฐิเป็นสิ่งแวดล้อมที่เป็นสัมมาทิฏฐิทั้งที่บ้านที่โรงเรียนที่วัดที่สังคมจะต้องเป็นจุดแวดล้อมที่ประกอบ ด้วยสัมมาทิฏฐิ และแน่นอนที่สุดก็คือ จะต้องมีครูผู้ให้ความรู้ที่ถูกต้อง และกระบวนการเรียนรู้ที่ถูกต้อง เพื่อเป็นแนวทางให้ใฝ่รู้ใฝ่เรียนต่อไปในอนาคต ถ้าหากว่าผู้ใด คือชีวิตใดนะคะได้เกิดได้อยู่คือดำรงอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่เป็นสัมมาทิฏฐิ ดังนี้บ้านก็แวดล้อมด้วยผู้คนที่เป็นสัมมาทิฏฐิ โรงเรียนก็แวดล้อมด้วยครูบาอาจารย์เพื่อนฝูงที่เป็นสัมมาทิฏฐิ ไปที่วัดพระเจ้าพระสงฆ์อุบาสกอุบาสิกาทั้งหลายก็ล้วนแล้วแต่อยู่ในสัมมาทิฏฐิแห่งคำสอนขององค์พระบรมศาสดาอย่างโดยตรงเที่ยงตรงมิได้ออกนอกทาง สังคมที่เข้าคลุกเคล้าอยู่ที่แวดล้อมอยู่ก็ล้วนแล้วแต่ประกอบด้วยบุคคลที่เป็นสัมมาทิฏฐิ ลองนึกดูเถอะค่ะ ถ้าชีวิตใดอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่เป็นสัมมาทิฏฐิเช่นนั้น จะเป็นชีวิตที่เย็นไหมสบายไหมมีความสุขไหมแล้วก็ถ้าพูดอย่างธรรมดาทั่วๆไปมีบุญหรือเปล่านะชีวิตอย่างนี้ ที่ได้ไปอยู่อย่างนั้นสำหรับดิฉันก็อยากจะบอกว่าในทางพระพุทธศาสนาเราอยากจะพูดว่าชีวิตใดที่มีบุญก็คือชีวิตที่สามารถอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่เป็นสัมมาทิฏฐิเช่นนี้แหละ เพราะปัญหาจะน้อยหรือไม่มีเลย ถ้ามีก็สามารถร่วมมือร่วมใจร่วมกำลังกันแก้ฉันมิตรฉันเพื่อนไม่ใช่ฉันคู่แข่งแต่เป็นฉันมิตรและฉันเพื่อน


    เพราะฉะนั้น ดิฉันจึงนึกขึ้นมาว่า เด็กไทยของเรานี่ จะมีบุญหรือไม่นะคะ เด็กไทยของเราในยุคปัจจุบันนี้ มีบุญหรือไม่ ขอจงได้โปรดช่วยกันคิดดู แล้วก็ถ้าหากว่าท่านผู้ใดจะอธิษฐานให้ลูกหลาน ว่าขอให้ได้เกิดมาเป็นคนมีบุญเถอะ แทนที่จะบอกว่าขอให้ได้เป็นเจ้าคนนายคน ได้อยู่ในตำแหน่งใหญ่ๆๆ โตๆ มีเงินทองทรัพย์สินมากมาย เราจะเปลี่ยนการอธิษฐานเสียดีไหมคะว่า ขอให้ลูกหลานของเรานะ ได้อยู่ในที่แวดล้อมที่เป็นสัมมาทิฏฐิเถิด นี่แหละคือความประเสริฐ ของการมีชีวิตอยู่ ในขณะนี้ ดังนั้น ถ้าเราจะพูดถึง สัจจะของชีวิต หรือชีวิตโดยสัจจะ ที่ควรจะสังวรและสำเหนียกไว้เสมอก็คือว่า ชีวิตนี้ประกอบด้วยกายใจ และต้องทำงานร่วมกัน แต่ทว่า โดยไม่ต้องมีอัตตา ธรรมชาติให้ชีวิตมา ให้กายมา ให้ใจมา ประกอบกันเป็นชีวิต แต่ธรรมชาติไม่ได้บอกว่า ให้อัตตามาด้วยนะ หรือมีอัตตา อัตตานี้มันเกิดขึ้นได้อย่างไร มันมีที่เกิดเหมือนกัน แต่มีที่เกิดนอกเหนือ จากที่ธรรมชาติได้ให้ มันเกิดขึ้น จากอารมณ์ จากความรู้สึก จากความคุ้นเคยที่เคยได้ยินมา แต่ในสมัยแต่เล็กแต่น้อย ว่า นี่บ้านของเรานะ นี่ชื่อของเรานะ นี่คุณพ่อคุณแม่นะ นี่อะไรต่ออะไรก็เป็นของเราแล้วก็เพิ่มขึ้น ตามลำดับ นี่คือความเคยชินของการสะสม สิ่งที่เรียกว่าอัตตา ขึ้นมาในความรู้สึกนึกคิด โดยไม่ได้ตั้งใจนะคะ ทีนี้ ท่านจะเชื่อหรือไม่ ว่ากายใจหรือนามรูปนั้นน่ะ มันเกิดขึ้นโดยธรรมชาติ จะมีอัตตาหรือไม่มีอัตตา กายใจนามรูปมันก็เป็นชีวิตอยู่อย่างนี้ ถ้าไม่เชื่อ อยากจะขอเชิญให้ลองนั่งกลั้นใจ เดี๋ยวนี้นะคะ สักอึดใจนึงดูสิคะ ลองกลั้นใจสักอึดใจสักนาทีนึงไม่หายใจเลยในขณะนี้ ลองดูสิคะสัมผัสกับอัตตาหรือเปล่าคะ ในขณะที่กลั้นใจนิ่งสนิท ค่ะ สัมผัสกับตัวอัตตาไหมคะหรือว่าตัวอัตตาออกมารบกวนอาระวาดบ้างหรือเปล่าคะมีไหมคะ ไม่มีเพราะอะไรเพราะในขณะใดที่เราไม่ไปผูกพันยึดมั่นกับมัน เราไม่เกี่ยวข้องกับมัน มันไม่กล้าปรากฏโฉมหน้าออกมาหรอกค่ะ อัตตาตัวนี้มันไม่ใช่ผู้กล้าหาญอะไรหรอก แท้ที่จริงมันขี้ขลาดแสนขี้ขลาด แต่ทว่าถ้าผู้ใดให้โอกาสแก่มัน มันก็ต้องออกมาครอบงำ มันต้องออกมาทำทีมีอำนาจบาตรใหญ่ชี้นิ้วให้กระทำ สิ่งต่างๆตามบัญชาของมันแล้วก็เผอิญหลือเกิน สิ่งที่มันบัญชาให้ทำนั้นหานำความสุขสงบเย็นมาให้ไหม ล้วนแล้วแต่นำความร้อนความเดือดร้อนใจมาให้ทั้งสิ้น เมื่อเจ้าอัตตาชี้นิ้วขึ้นมาเมื่อไหร่แล้วมันจะออกมาในลักษณะนั้นทั้งสิ้น แต่ทว่ามนุษย์ไม่ค่อยได้สังเกตไม่ได้สังเกตในจุดนี้ก็เลยหลงไปเป็นทาสของเจ้าอัตตานิยมชมชอบ จนกระทั่งคิดไปว่าถ้าอัตตาอยู่เมื่อไหร่ เราก็ใหญ่เมื่อนั้นเราใหญ่ เราเป็นสุขใครๆจะต้องกลัวเรา ลืมคิดไปว่าบางทีที่เขายกมือไหว้น่ะแข็งใจเต็มทีเลยที่ต้องยกมือไหว้ก็มี ทำไมจึงทำให้เขาแข็งใจก็เพราะอัตตาที่ไม่น่าปรารถนานั่นแหละค่ะ มันทำให้กลายเป็นคนน่าเกลียดทั้ง ๆที่เป็นคนนะหน้ารูปร่างหน้าตาน่ารักรูปหล่อความรู้ดีพูดจาเก๋ไก๋คมคายน่าฟังแต่พอเจ้าอัตตาโผล่เข้ามาทีไร ทุกคนวิ่งหนีด้วยความเกลียดด้วยความกลัว เพราะฉะนั้นธรรมชาติจึงบอกว่านี่เป็นสัจจะของชีวิตนะมีแต่เพียงกายใจนามรูปแต่อัตตาหามีไม่ ไม่ต้องมีอัตตา นี่เป็นจุดที่ดิฉันคิดว่าเราคงจะต้องใคร่ครวญแล้วก็นำมันมาพิจารณามากๆ เมื่อมีเวลาที่เหลือ ทีนี้ถ้าจะลองสรุปประเด็นสำคัญนะคะ ที่เกี่ยวกับชีวิตที่พูดมาสั้นๆ นี้ เพื่อเป็นข้อสังเกตก็คือว่าองค์ประกอบของชีวิตคือกายใจ จะต้องทำงานร่วมกันอย่างแยกกันไม่ได้จึงจะมีสิ่งที่เรียกว่าชีวิต นอกจากนี้ก็คือ ชีวิตโดยสัจจะตามธรรมชาติไม่มีอัตตา มีแต่กายใจนามรูปนอกจากนี้แล้ว ชีวิตเป็นเพียงสิ่งที่เป็นไปตามเหตุตามปัจจัย ประการนี้ข้อสังเกตนี้ค่อนข้างสำคัญมากนะคะ ถ้าหากว่าท่านผู้ใด หรือมนุษย์ผู้ใด ยอมสละเวลามาศึกษาในประเด็นนี้ว่า ชีวิตที่เกิดมาทั้งชีวิตนี่แหละนะ ตั้งแต่เริ่มรู้ความหรือตั้งแต่เริ่มหายใจ จนกระทั่งหยุดหายใจ มันเป็นชีวิตที่ดำรงอยู่ตามเหตุตามปัจจัยเท่านั้นเอง ตัวที่คิดว่าเป็นอัตตา หามีอำนาจที่จะบงการชีวิตให้เป็นอย่างนั้นอย่างนี้แต่ประการใดไม่ ไม่มีเลย ไม่ว่าจะเป็นพระพรหมบันดาล หรือ พระอะไรก็ไม่สามารถจะบันดาลได้ มันเป็นแต่เพียง เป็นไปตามเหตุตามปัจจัย ดังที่ยกตัวอย่างเหตุปัจจัยของทางกาย เหตุปัจจัยของทางจิต


    ดังที่พูดแล้วในตอนต้น ถ้าหากว่า ได้รำลึกถึงจุดนี้อยู่เสมอ ก็จะค่อยๆ ซึมซาบเข้าไปถึงความคิดที่ว่า ชีวิตนี้ที่เป็นสิ่งที่เป็นเพียงตามเหตุตามปัจจัยนั้น มันเป็นไปตามกฎของธรรมชาติ กฎธรรมชาติบอกอย่างนี้มันก็เป็นไปตามกฎของธรรมชาติ ถ้าอยากจะเรียกชื่อเพื่อจำได้ง่ายๆก็คือกฎอิทัปปัจจยตา อิทัปปัจจยตาหรือเรียกสั้นๆว่ากฎอิทัป กฎอิทัปนี้จะบอกให้รู้ว่ากระทําเหตุปัจจัยอย่างใดผลจะต้องเป็นอย่างนั้นคือผลจะต้องสนองอย่างนั้นทั้งทางบวกและทางลบ จะไม่เป็นอื่นไปได้เลยฉะนั้นถ้าผู้ใดมองเห็นว่าชีวิตเป็นเพียงสิ่งที่เป็นไปตามเหตุตามปัจจัย ก็จะมองชัดไปถึงว่า ชีวิตนี้นะเป็นเพียงผลรวมของร่างกายจิตใจที่อาศัยการดำรงอยู่เท่านั้นเอง เท่านั้นเองจริงๆจริงหรือไม่คะอย่างที่ได้ลองกลั้นใจดูเมื่อกี้นี้ มันเท่านี้เองจริงๆพอเห็นว่ามันแค่เท่านี้เองจริงๆเท่านั้น ความรู้สึกที่อยากจะยึดมั่นถือมั่น อยากจะเอานั่นเอานี่ให้ได้ตามอัตตาที่เรียกร้องจะชะลอชะงักแล้วก็หยุด เพราะจะเกิดความคิดที่สะดุดขึ้นมาซ้อนขึ้นมาว่าทําไมถึงต้องอยาก ทําไมถึงต้องยึดทําไมถึงต้องอยากแย่งเพราะอะไร จะยึดจะอยากจะแย่งจะดึงเอามาไว้เป็นของอัตตานี้สักเพียงใดก็ตามหรือได้มาแล้วเป็นของอัตตานี้ก็ตามรักษาไว้ได้ไหม ย้อนดูชีวิตที่ผ่านมาจากประสบการณ์ที่ผ่านมามีอะไรบ้างที่รักษาไว้ได้ทั้งที่พอใจและไม่พอใจไม่มีเลยสักอย่างเดียวทุกอย่างมันจะต้องเป็นไปตามเหตุปัจจัยที่เกิดขึ้นทั้งนั้น อยากรักษาไว้เก็บเอาไว้ก็ทําไม่ได้ เมื่อเหตุปัจจัยเปลี่ยนแปลงเหมือนอย่างเช่นสังขารร่างกายนี้จะเห็นชัดที่สุดไม่มีใครอยากแก่ไม่มีใครอยากงุ่มง่ามเงอะงะหรือว่าอ่อนเปลี้ยเพลียกําลัง อยากแข็งแรงอยากกระชุ่มกระชวยอยากสวยคล่องแคล่วแต่เหตุปัจจัยของกาลเวลา ไม่มีใครที่จะบังคับได้ ถ้ายอมรับเสียแก่ก็ไม่ต้องทุกข์ มันเป็นธรรมดาอย่างนั้นเองเพราะฉะนั้นอันนี้ถ้ามองเห็นว่าเป็นเพียงเหตุปัจจัยจะทำให้ศานติความสุขสงบเย็นบังเกิดขึ้นในจิตเพราะหยุดความดิ้นรนของความเร่าร้อนที่เกิดจากเพราะความอยากของอัตตาตัวนั้น เพราะฉะนั้น เมื่อพูดไปอีกแล้วว่า ถ้าเช่นนั้น ถ้ามีแต่กายใจ ที่เป็นไปตามธรรมชาติ อัตตาตัวตนนี้ก็ไม่มี แล้วมนุษย์จะมีหน้าที่ต่อชีวิตนี้ยังไง ปล่อยให้ลอยลอยไปอย่างงั้นเหรอ ไม่ต้องทำอะไรเลยเหรอ หน้าที่ของมนุษย์ต่อชีวิต ที่เรียกว่าชีวิตนี้นะคะ ธรรมชาติก็บอกว่าก็ดำเนินชีวิตให้ถูกต้องตามกฎของธรรมชาติ เพื่อให้อยู่รอด อยู่รอดอย่างดีๆ นะ อยู่รอดอย่างสบายๆ ไม่ต้องอยู่รอดอย่างกระเสือกกระสน ให้เป็นประโยชน์ ให้สงบเย็น แล้วก็ให้ก้าวหน้าไปตามลำดับ จนกว่าจะถึงขั้นสุดยอด นี่ธรรมชาติให้แนวทางไว้ โดยบอกว่าชีวิตเป็นเพียงเหตุ เป็นไปตามเหตุปัจจัยเท่านั้นนะ ถ้ามนุษย์ผู้ใดรู้จักใช้ความคิดสติปัญญาใคร่ครวญ ซึ่งจะเป็นการใคร่ครวญที่มีคุณค่าต่อชีวิตอย่างยิ่ง เพราะจะไม่เสียเวลาไปกับสิ่งที่เหลวไหลไร้สาระ แต่เมื่อใคร่ครวญแล้วกลับจะยิ่งได้สาระ ได้สาระของชีวิตยิ่งขึ้น ยิ่งขึ้นแล้วก็จะเกิดความสุขสงบเย็น ที่เกิดจากความจางคลาย แล้วก็ปล่อยวางยิ่งขึ้นทีละน้อยเพราะฉะนั้น นี้เป็นแนวทางการปฏิรูปชีวิต เพื่อให้อยู่รอด ให้เป็นประโยชน์ ให้สงบเย็น แล้วก็ก้าวหน้าไปตามลำดับ ฉะนั้นจึงจะต้องมีระบบของการดำเนินชีวิตประกอบด้วยนะคะ ดังนี้ก็อาจจะกล่าวได้ว่า เหมือนกับเป็นกฎเกณฑ์ของชีวิตทีเดียวว่า เมื่อมีชีวิตแล้วชีวิตนี้จะปล่อยให้นิ่งลอยไปเฉยๆเหมือนสวะนั้นไม่ได้ ชีวิตนี้เป็นสิ่งที่ต้องพัฒนา เพราะตามที่ธรรมชาติบอกเมื่อกี้นี้ว่าให้อยู่รอดให้เป็นประโยชน์ให้สงบเย็นให้ก้าวหน้าไปตามลำดับจนกว่าจะถึงขั้นสุดยอด นี่แสดงถึงวิวัฒนาการของการพัฒนา เพราะฉะนั้นเมื่อหันมามองดู โปรดระวังศึกษาโดยรอบเราก็จะเห็นคนพิการมีการพัฒนา มีการปฏิรูปจากฐานที่เขามีอยู่มี อยู่แค่ไหนปฏิรูปขึ้นไปเรื่อย ๆจนกระทั่งมีความสุขแม้แต่ในความเป็นพิการของตน ฉะนั้นนี่โดยอัตโนมัติเป็นกฎเกณฑ์ของชีวิตที่บอกว่าชีวิตเป็นสิ่งที่ต้องพัฒนาและพัฒนาได้นี่เป็นกำลังใจอย่างยิ่ง


    ถ้าจะมองทุกชีวิตที่นั่งอยู่ ณ ที่นี้ ก็เป็นชีวิตที่พัฒนามาเป็นลำดับ และถ้าจะหันไปมองดู ส่วนใหญ่หรือคงจะเกือบทุกท่านมีความพึงพอใจมีความภูมิใจ มีความอิ่มใจที่ได้พัฒนาชีวิตมาจนถึงแค่นี้ เพียงแต่เติมอีกสักนิดนึงเย็นแล้วหรือยังมีสันติสุขในใจแล้วหรือยัง ถ้ายังก็ขอได้โปรดพัฒนาต่อไปให้ก้าวหน้าต่อไปตามลำดับเท่าที่สามารถจะทำได้นะคะ แต่โปรดระวังนะคะอย่าให้เป็นมิจฉาพัฒนาพัฒนาเถิด แต่อย่าให้เป็นมิจฉาพัฒนาก็ทราบแล้วว่า ปัญหาตามมาทันทีความทุกข์ตามมาทันที นี่ก็เป็นข้อฝากเพื่อเตือนสตินะคะ ฉะนั้นถ้าหากจะมีชีวิตใดเกิดความรู้สึกขึ้นมาว่า มีชีวิตไปทำไมนะมันอยู่นานเกินไปแล้วล่ะ หยุดหายใจเสียทีถ้าจะดี ถ้าเกิดมีชีวิตใดเกิดคิดอย่างนั้นนะคะ ก็ขอได้โปรดรำลึกต่อไปอีกสักนิดนึงว่า การมีชีวิตอยู่นี่มีอานิสงส์นะคะ เป็นอานิสงส์อย่างยิ่งเลยอานิสงส์ของการมีชีวิตอยู่คืออะไร ก็คือการได้มีโอกาสที่จะพัฒนาใช่ไหมคะ เหมือนอย่างในยุคเศรษฐกิจของ IMF อะไรนี่นะคะ ที่ว่ามีหลายชีวิต ไม่สามารถจะทนอยู่ได้ในโลก จนกระทั่งต้องกลั้นใจตายไปเสียด้วยวิธีการต่างๆกัน น่าเสียดาย น่าเสียดายอย่างสุดซึ้งเลยทีเดียว ถ้าจะใช้คำว่าสุดซึ้งต้องใช้ในกรณีนี้ น่าเสียดายจริงๆเพราะอะไร เพราะไม่รู้ค่า เข้าไม่ถึงความมีค่าของการมีชีวิตที่ยังมีอยู่ในขณะนี้ น่าเสียดายอย่างยิ่ง เพราะตราบใดที่ยังมีลมหายใจอยู่ ตราบนั้น ถ้าใช้คำชาวโลก มีโอกาสแก้ตัวใช่ไหมคะ มีโอกาสแก้ตัว มีโอกาสปรับเปลี่ยน มีโอกาสแก้ไข มีโอกาส ทำสิ่งที่เป็นปัญหา ให้ลบล้างหายไป ทำสิ่งที่เป็นทุกข์ให้เบาบางลง เพราะอะไร เพราะกฎธรรมชาติบอกเอาไว้ว่า ไม่มีสิ่งใดเที่ยง ไม่มีสิ่งใดคงทน ใช่ไหมคะ อนิจจัง ไม่เที่ยง ทุกขัง ทนอยู่ไม่ได้ อนัตตา ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน นี่เป็นกฎไตรลักษณ์ ที่เป็นลักษณะธรรมดาสามประการ ส่งกระดาษให้เดี๋ยวนี้จะได้เรียงความสวยๆเพราะๆมาเลย เรื่องไตรลักษณ์ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา แต่ทว่าในขณะที่เขียนด้วยมือ คิดด้วยสมอง ใจเห็นแล้วหรือยังคะ สัมผัสแล้วหรือยัง ถ้ายังไม่สัมผัส นี่ก็เป็นโอกาสที่จะได้พัฒนาต่อไป จนจะถึงซึ่งความเย็น เป็นที่สุด จนถึงซึ่งความเย็น อันเป็นความดับสนิทก็ได้ เพราะฉะนั้น อานิสงส์ของการมีชีวิตอยู่ เป็นอานิสงส์ที่วิเศษที่สุด เงินทองทรัพย์สินจะสิ้นไป ช่างมัน เกียรติยศตำแหน่ง การงานจะสิ้นไป ช่างมัน เจ้าประคุณท่านอาจารย์สวนโมกข์ท่านยังบอกว่า เรามีมันสมอง 1 ปอนด์ หนัก 1 ปอนด์ เรามีมือ 2 มือ นี่เป็นต้นทุนที่มากมายมหาศาลแล้ว ที่จะปฏิรูปจากต้นทุนนี้หรือว่าฐานนี้ต่อไปข้างหน้า ให้ได้พบความที่ประเสริฐยิ่งขึ้น ฉะนั้นการที่ยังมีลมหายใจอยู่นี่แหละ คือโอกาสที่แสนวิเศษ เป็นโชคมหาศาลเพราะเป็นโอกาสที่จะได้มีความพัฒนา ทำการพัฒนา และถ้าหากชีวิตใดได้รับการพัฒนาแล้ว คือหมายถึงว่า เมื่อพัฒนาแล้วจริงๆ ชีวิตนั้นจะเป็นชีวิตที่อยู่เหนือปัญหา หรือความทุกข์ ก็ยิ่งเป็นอานิสงส์ที่มีคุณค่ามหาศาลประเสริฐสุดทีเดียว ในชีวิตที่มนุษย์จะสามารถหาได้

    ทีนี้เพื่อให้มีความชัดเจนสักนิดนึงในสิ่งที่ดิฉันได้พูดมานะคะ ก็อยากจะขออนุญาตเล่าเรื่องของท่านพระองคุลิมาล ซึ่งเชื่อว่าทุกท่านที่นั่งอยู่ในที่นี้คงจะรู้เรื่องดีแล้วใช่ไหมคะ ให้ฟังสักนิดนึง เพื่ออะไร ก็เพื่อเสนอให้ลองวิเคราะห์ คือฟังแล้วก็โปรดวิเคราะห์พิจารณาดูว่า สิ่งที่เกี่ยวข้องกับชีวิตแล้วก็มีอิทธิพลต่อชีวิตทั้งในทางลบและทางบวกนั้นน่ะมีอะไรบ้างเมื่อดูจากชีวิตของท่านพระองคุลิมาลที่ผ่านมานะคะ ซึ่งทุกท่านก็คงทราบว่า ที่ดิฉันเรียกว่าท่านพระองคุลิมาล ดิฉันเรียกในจุดสุดท้ายของชีวิตที่ได้พัฒนาอย่างสูงสุดแล้วที่ได้ท่านได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์องค์หนึ่ง ทั้งๆ ที่ใครๆ เรียกท่านว่าโจรองคุลิมาล แม้แต่ทหารนักรบก็เกรงกลัว แม้แต่กษัตริย์ก็เกรงกลัวคือกษัตริย์ก็คือพระเจ้าปเสนทิโกศล ซึ่งเป็นพระเจ้าแผ่นดินในแผ่นดินที่โจรองคุลิมาลกำลังอาละวาด พอรู้สึกว่าตอนนี้ถึงเวลาจะต้องไปปราบ เพราะทหารที่ส่งไปกี่คนกี่คนหรือกี่กองทัพ เตลิดกลับมาหมด ไม่สามารถจะปรามได้ ถึงคราวแม่ทัพหลวงคือจอมทัพหลวงจะต้องออกเอง ก็มีความตะหนกตกใจเหลือเกินที่จะต้องไปปรามโจรองคุลิมาล ซึ่งได้ชื่อว่าวิ่งเร็วที่สุด ไม่ว่าจะม้าวิ่งเร็วหรือว่าช้างวิ่งเร็วหรือว่ารถวิ่งเร็ว ถ้ามีเครื่องบินสมัยนี้ที่บินเร็ว องคุลิมาลก็คงจะเร็วกว่า นี่เขาเปรียบถึงความเร็วความเก่งกาจสามารถนะคะ ทีนี้องคุลิมาลนั้นก็คงได้ทราบแล้วว่า ตามประวัติบอกว่าเวลาที่เกิด คือเวลาที่คลอดที่เขาเรียกว่าตกฟากนั่นนะคะ ก็เกิดไปตกฟากในฤกษ์ของดาวโจร เพราะฉะนั้นพอมารดาคลอดออกมาเท่านั้นเอง บรรดาศาสตราวุธต่างๆ ในเมืองนั้นประเทศนั้น จะอยู่ ณ ที่ใดก็มีประกายแสงแปลบปลาบออกมาแล้วก็กระทบกันดังกึงกังไปหมด แม้แต่พระแสงที่อยู่ข้างพระที่นั่ง คือข้างพระที่นั่งของพระเจ้าปเสนทิโกศล ก็มีแสงแปลบปลาบแล้วก็ดังอะไรขึ้นมาเหมือนกัน ก็บิดาของเด็กผู้นั้นก็เผอิญเป็นพราหมณ์ปุโรหิตผู้ใหญ่ของเมืองนั้น เมื่อดูฤกษ์ยามคำนวณตามความรู้แล้วก็บอกตัวเองว่านี่ลูกของเราเกิดในฤกษ์ดาวโจร และเมื่อขึ้นชื่อว่าโจรก็มีความหมายว่าต้องไปเบียดเบียนแหละ จะเบียดเบียนด้วยประการใดก็ตาม ก็เพื่อที่จะไม่ให้ลูกไปเบียดเบียนจึงตั้งชื่อลูกว่าอหิงสกะซึ่งหมายถึงว่าผู้ไม่เบียดเบียน เป็นการตั้งชื่อเพื่อเอาเคล็ดว่าไม่เบียดเบียนแล้ว ก็ส่งอหิงสกะนี้ไปศึกษาเล่าเรียนกับอาจารย์ทิศาปาโมกข์คนหนึ่งที่มีชื่อว่าเป็นอาจารย์ที่เก่งกาจมีความรู้ดีสอนลูกศิษย์เก่งอะไรทำนองนั้น อหิงสกะก็ได้รับการสั่งสอน สอนอบรมจากท่านบิดามารดาให้เป็นเด็กดีมีกตัญญูรู้จักรับใช้ผู้ใหญ่แล้วก็เอาใจใส่ในการเล่าเรียน เผอิญสติปัญญาไอคิวก็สูงเพราะฉะนั้นพอไปเล่าเรียนเข้า เรียนอะไรรู้หมด แล้วก็รู้ได้เร็วด้วยแล้วก็เก่งด้วยกิริยามารยาทก็เรียบร้อยรับใช้ท่านอาจารย์ทิศาปาโมกข์อย่างเป็นที่ถูกใจก็เป็นที่รักใคร่ของอาจารย์ทิศาปาโมกข์ท่านนั้นเป็นอันมากจนกระทั่งเพื่อนๆอิจฉาพากัน อิจฉาแหม เจ้าอหิงสกะนี่ มันจะมาเกินหน้าเราก็พยายามหาอุบายที่จะกลั่นแกล้งต่างๆ เพื่อให้อหิงสกะลดการที่อยากจะเป็นคนดีทำความดีเรียนเก่ง ไม่สำเร็จเพราะเหตุว่าเขาได้รับการอบรมจากพ่อแม่เรียกว่าเบื้องต้นมีฐานที่ดีพอสมควรในที่สุดบรรดาเพื่อนๆ เหล่านั้นก็เลยมาคบคิดกันว่าเราต้องหาโอกาสไปพูดกับท่านอาจารย์ทิศาปาโมกข์ ให้เห็นว่าเจ้าอหิงสกะนี่กำลังคิดการไม่ดีนะคือคิดการทรยศต่ออาจารย์ คิดจะแย่งตำแหน่งอาจารย์แต่ว่าถ้า หากว่าเราไปกันคนเดียวหรือกลุ่มเดียว อาจารย์คงไม่เชื่อก็เลยแบ่งกันออกเป็นสามกลุ่มนี่ก็คงเป็นวิธีการที่ใช้กันมานานแล้วนะคะ จนเดี๋ยวนี้ก็ยังใช้กันอยู่เรียกว่าไม่มีเก่าเลย เพราะฉะนั้นก็ผลัดกันไปทีละกลุ่มกลุ่มแรกอาจารย์ก็ไม่เชื่ออหิงสกะเป็นคนดีออกจะตายเรียนเก่งจงรักภักดีกตัญญูรับใช้ไม่เคยบ่นไม่เหนื่อย กลุ่มที่สองก็ไปอีกพูดอย่างเดียวกันตอนนี้อาจารย์ก็ชักจะกระเทือนละ นี่กลุ่มสองก็มาเยอะนะแล้วมาพูดอย่างเดียวกันอีก แต่ก็เอาละยังช่างใจอยู่ ไม่ช้าเจ้ากลุ่มที่สามก็ไปอีกพูดแบบเดียวกันอีก อาจารย์ก็นึกนี่ทั้งหมดนี่มันมาสามกลุ่มมันก็หมดลูกศิษย์เราแล้ว แล้วมาพูดอย่างเดียวกันหมด มันจะไม่มีความจริงบ้างเลยเชียวหรือ ฟังดูก็คงทราบนะคะว่า อาจารย์ท่าน มีชีวิตวิญญาณของความเป็นครู เต็มเหนี่ยวหรือเปล่า ถ้าเต็มเหนี่ยวแล้วเราก็ไม่ต้องกระเทือนน่ะค่ะ แล้วคงมีวิธีการที่จะศึกษาคิดค้นหาความจริงได้ แต่บัดนี้ฟังไปฟังมา 3 กลุ่ม อาจารย์ทิศาปาโมกข์โมหะเชื่อเต็ม 100% แน่แล้วเจ้านี่มันต้องคิดแย่งตำแหน่งอาจารย์จากเราวันหนึ่ง แล้วเราจะกำจัดมันยังไงล่ะ ถ้ากำจัดด้วยการฆ่าเสีย ทำร้ายเสีย แล้วเดี๋ยวเรื่องนี้เกิดดังออกไป ถึงบ้านเมืองอื่น ก็จะไม่มีใครส่งลูกหลานมาเป็นลูกศิษย์เรา เราก็หมดลาภสักการะสิ นี่เป็นห่วงลาภสักการะ ก็แทนที่จะคิดทำร้าย หรือว่ากำจัดอหิงสกะด้วยตนเอง ก็จึงใช้กลอุบายอย่างที่ท่านทั้งหลายทราบ ก็บอกว่า เรียนมาก็มามากแล้วนะ บัดนี้มีวิชาชั้นสูงสุดยอดอีกหนึ่งวิชา จะสอนให้ แต่ว่าอุปกรณ์ของการเรียนอันนี้ มันลำบากหน่อย ต้องไปฆ่าคนมาให้ได้พันคน ถ้าฆ่าคนครบพันคนเมื่อไหร่ล่ะก็ นั่นแหละอาจารย์จะสอนวิชาสูงสุดยอดนี่ให้ อหิงสกะก็ ทีแรกก็ปฏิเสธ เพราะเหตุว่าได้รับการอบรมมาให้เป็นคนดีมีศีลและธรรมไม่เบียดเบียนใคร แต่เมื่ออาจารย์ย้ำว่า ถ้าอยากได้วิชาความรู้สูงสุดยอด เรียกว่ายอดของปริญญาเอกนะคะ เหนือปริญญาเอกขึ้นไปอีกแล้วก็ ต้องไปทำอย่างนี้ ความอยาก ผลที่สุดก็เลย ตกลง ออกไปฆ่า ไปคอยฆ่าคนอย่างที่ได้ทราบกันนั่นน่ะค่ะ ในเรื่องขององคุลิมาล เมื่อฆ่ามากๆเข้า ก็ทีแรกก็นับๆเอาไว้ ทีหลังนับมากมันก็ลืม เพราะฆ่ามากเข้ามาก็คงจะลืมเลือนเลอะเลือนใน จิตใจชั้นแรกที่เป็นจิตใจที่อ่อนละมุน แต่ก็ค่อยๆกระด้างคางแข็งอะไรขึ้นมาเรื่อยๆ ผลที่สุดเลอะเลือนก็จึงตัดนิ้ว แล้วก็คล้องเอาไว้เป็นพวงมาลัย เพื่อจะได้นับได้ง่ายเข้า จนผลที่สุดก็ได้ถึง 999 นิ้ว ก็ยังเหลืออีกนิ้วเดียว คืออีกชีวิตเดียวก็จะครบพัน แล้วก็จะได้กลับไปหาอาจารย์เพื่อขอความรู้วิชาสุดยอดนั้น ก็ให้เผอิญ อย่างที่ท่านทั้งหลายทราบว่า ในตอนเช้ามืด สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็จะทรงตรวจดู ว่า จะมีมนุษย์ผู้ใดอยู่ในข่ายพระญาณ ที่ควรแก่การที่จะไปโปรดบ้าง องคุลิมาลก็ปรากฏในข่ายพระญาณ ในเช้าวันนั้น เพราะฉะนั้นพระองค์ก็ ทรงดำริแล้วก็เห็นว่า ถ้าเราไม่ไปช่วยองคุลิมาลเช้านี้ องคุลิมาลจะตกต่ำจนไม่มีโอกาสจะแก้ตัว เพราะอาจจะต้องทำอนันตริยกรรมคือฆ่าแม่ แม่ที่กำลังเดือดร้อนใจวิตกเป็นห่วงกังวลลูก ว่าลูกจะต้องถูกพวกทหารหรือถูกใครฆ่าเป็นแน่เลยทีเดียว เพราะฉะนั้นแม่ก็จะต้องรีบไปตัดเตือนลูกแล้วก็พาลูกกลับมาอยู่บ้าน ก็กำลังจะกระเซอะกระเซิงเข้าไปหา แล้วก็พระองค์ก็ทรงทราบว่าขณะนี้องคุลิมาลอาจจะจำแม่ไม่ได้ก็ได้ เพราะจากความทุกข์และกรรมลำบากในป่าแล้วก็จากการที่ได้ฆ่าคนมาเป็นจำนวนมาก ก็คงจะมีอะไรเลอะเลือนบ้างล่ะ เพราะฉะนั้นพระองค์ก็ทรงตัดสินพระทัยว่าจะเสด็จไปช่วยโปรดองคุลิมาล ก็ดังที่ทราบกันแล้วนะคะ ก็เสด็จไปแต่พระองค์เดียว ในขณะที่ เสด็จดำเนินไปนั้นชาวบ้านล้างตลาดก็พากันมากราบทูลว่า อย่าเสด็จไปเลยทางนั้น เพราะทางนั้นเป็นทางที่โจรองคุลิมาลอยู่ ถ้าขืนไปล่ะก็คงไม่พ้นมือแน่ พระองค์ก็ทรงฟังเฉยๆแล้วก็คงเสด็จเดินไปเรื่อย ๆ ข้างองคุลิมาลแอบอยู่ข้างป่าก็มองเห็น ก็นึกในใจว่า แถวนี้นะ อย่าว่าแต่คนเดียวจะเดินเลย มากันเป็นหมู่ๆ สามสิบ ห้าสิบ คน ร้อยคนยังไม่กล้ามาเลย เพราะรู้ว่าเราอยู่ที่นี่แล้วสมณะองค์นี้เป็นยังไงถึงกล้ามาคนเดียว องคุลิมาลก็แอบ แอบแล้วพอท่านเสด็จผ่านก็เดินตามหลังไป เดินตามหลังไปพร้อมกับอาวุธคู่มือ ทั้งธนูทั้งมีดพร้าอะไรของเขาพร้อม แต่เดินเท่าใดก็ตามไม่ทันสักที ทั้งๆที่สมเด็จพระบรมศาสดานั้นเสด็จดำเนินอย่างช้าๆ และส่วนองคุลิมาลนั้นวิ่ง เคยได้ชื่อว่าวิ่งเร็วทันหมดทุกอย่าง แต่คราวนี้ไม่ทัน ก็จึงได้ร้องตะโกนบอกว่า หยุดก่อน พระหยุดก่อน ท่านก็ทรงหันมาแล้วก็บอกว่า เราหยุดแล้ว ท่านสิยังไม่หยุด องคุลิมาลก็อย่าลืมว่าเป็นคนไอคิวสูงมาแต่เดิม ฉลาดมาก พอได้ยินประโยคนี้เขาก็นึก นี่หมายความว่าอะไร ก็ท่านก็เดินอยู่แท้ๆ แล้วท่านกลับมาบอกเราว่า ท่านหยุดแล้ว ส่วนเราน่ะกำลังเดินอยู่ ท่านกลับว่าเรายังไม่หยุด ไม่ได้จะต้องถามให้รู้ความว่าอย่างไร ก็ย้อนถามว่าท่านหมายความว่าอะไร ที่ท่านบอกว่าท่านหยุดแล้ว แล้วว่าเรายังไม่หยุดนี่ ว่าข้าพเจ้ายังไม่หยุด องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ทรงอธิบายว่า เรานั้นหยุดการเบียดเบียนแล้ว หยุดการเบียดเบียนทำร้ายชีวิตผู้คนทั้งหลาย จึงเรียกว่าเราหยุดแล้ว แต่ท่านสิ ยังเบียดเบียนฆ่าฟันคนอยู่ทุกวี่ทุกวัน ท่านจึงเป็นผู้ที่ยังไม่หยุด เพียงเท่านี้ ถ้าเป็นโจรอื่นก็คงผ่านไปนะคะ แต่โจรองคุลิมาลได้สติ หยุดคิดทันที นี่ก็ต้องย้อนไปนึกถึงภูมิหลัง คือเหตุปัจจัยภูมิหลังของโจรองคุลิมาล ว่าจะเป็นสิ่งที่พอเป็นไปได้ไหม เป็นผู้ที่ได้รับการอบรมมาอย่างดี มีศีลและธรรมละเอียดอ่อน แล้วก็เป็นผู้ที่มีสติปัญญาเฉลียวฉลาดใฝ่ดีมาโดยตลอด เพราะฉะนั้นก็เข้าใจว่าของเก่าที่มีอยู่น่ะมาสะกิด พอสะกิดก็หยุด วางอาวุธลง แล้วก็นึกว่า สมณะของ พระสมณโคดมนี่ พูดจริง ไม่มีใครพูดเท็จเลย หรือว่า ท่านองค์นี้จะเป็นองค์สมเด็จพระสมณโคดม เสด็จมาโปรดเรา พอเมื่อพิศดูพระพุทธลักษณะอะไรต่างๆ แล้ว ก็แน่ใจว่านี่ต้องเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมาโปรด โปรดเราเองเป็นแน่ทีเดียว พอนึกเท่านั้นก็เกิดความปลื้มปิติ เป็นอย่างยิ่ง ก็กราบทูลว่า เสด็จมาช้าเหลือเกินพระเจ้าค่ะ คือน่าจะมาเร็วกว่านี้ ก็จะได้ไม่ต้องตกนรกทั้งเป็น อย่างที่เขาเป็นอยู่ แล้วก็ก้มลงกราบแทบพระบาท แล้วก็ขออนุญาตที่จะอุปสมบท เพราะจิตใจนั้นปล่อยของเก่าทิ้งหมดในทันที พร้อมที่จะรับของใหม่ที่สะอาดบริสุทธิ์ขึ้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ทรงอนุญาต และองคุลิมาล หรืออหิงสกะนั้น ก็เลยได้บวชเป็นพระภิกษุองค์หนึ่งอยู่ในพระพุทธศาสนา แต่เมื่อมาบวชแล้วก็ได้ใช้ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา ที่เป็นพละ 5 เป็นอินทรีย์ 5 ในการฝึกฝนอบรม จิตของตนอย่างเต็มที่ ตามที่ได้รับพระพุทธองค์โอวาทจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่กระนั้น ในขณะที่กำลังเป็นพระภิกษุอยู่นั้น เมื่อออกไปบิณฑบาตในตอนเช้าก็อย่างที่ทราบนะคะ บรรดาประชาชนครั้งแรกกลัววิ่งหนี แต่พอตอนหลังเห็นว่าองคุลิมาลเฉยๆ เพราะว่าเป็นพระแล้ว ละแล้วเลิกแล้ว ไม่ทำอะไร ก็ได้ใจ ได้ใจก็คือจะชดเชยความแค้นความโกรธ ที่เคยได้รับความเดือดร้อนมา ก็พากัน อย่างง่ายๆ ไม่ใส่บาตรให้ อย่างต่อไปก็คือขว้างไม้ขว้างก้อนหินอะไรเข้ามาสู่องคุลิมาล องคุลิมาลก็เฉย คือพระองคุลิมาลก็เฉยไม่ตอบโต้ คงเดินต่อไปด้วยความสงบ ได้ประพฤติปฏิบัติธรรมจนกระทั่งบรรลุถึงขั้นที่สุด วันนั้นหลังจากนั้นแล้วก็เข้าไปบิณฑบาตในหมู่บ้านขว้างปากัน บางทีเขาไม่ได้ขว้างปามาที่ท่าน แต่ทุกอย่างมันจะมาลงที่พระองคุลิมาล จนกระทั่งเลือดไหลโทรมกายบาดเจ็บสาหัส มีแผลลึกๆ อยู่ในที่หลายแห่ง แต่ก็เฉยสงบมีทั้งขันติ คือความอดทนอดกลั้น มีทั้งธรรมะ ความข่มใจ แล้วก็กลับ ก็ไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ก็ตรัสปลอบใจให้รู้ว่านี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัย เหตุปัจจัยที่ได้ประกอบไว้อย่างไรผลต้องสนองอย่างนั้น ช้าหรือเร็ว เพราะฉะนั้นก็ขอจงอดทนเถิด ในตอนนี้ก็มาเป็นสมณะศากยบุตรแล้วและผลที่สุด ท่านพระองคุลิมาลนี้ก็ ได้บรรลุถึงขั้นของพระอรหันต์ ได้มีความสุขสงบเย็น ถ้าจะว่าไปก็ได้รับความรู้สูงสุดสุดยอด แต่เป็นอีกรูปแบบหนึ่งที่ท่านไม่ได้เคยคิด ทีนี้จากชีวิตของของท่านพระองคุลิมาลที่ว่ามานี้นะคะ ก็อยากจะขอเชิญให้ลองพิจารณาว่ามีข้อคิดที่ควรสนใจ ที่ควรวิเคราะห์นั้นอะไรบ้าง ก็เชื่อว่าท่านคงจะนึกได้อยู่ในใจนะคะ ทีนี้ดิฉันก็อยากจะลองเรียงไปเรื่อยๆ คือเรียงลำดับไปเรื่อยๆ เริ่มต้นตั้งแต่การที่ท่านบิดาตั้งชื่อว่าอหิงสกะ ว่าผู้ไม่เบียดเบียนนั้น ถ้าจะว่าไปก็เหมือนกับตั้งเป็นเคล็ดใช่ไหมคะ เกิดมาเลิกดาวโจรมันจะเบียดเบียนคนอื่น เขาตั้งชื่อว่าอหิงสกะ ไม่เบียดเบียน ก็จะได้ไม่ไปเบียดเบียนใคร แต่นี่มันเป็นเพียงเคล็ด ชีวิตของคนจะเป็นอะไร เช่น จะเป็นผู้เบียดเบียน หรือจะไม่เป็นผู้เบียดเบียน เพราะชื่อหรือเปล่าคะ ก็ไม่ใช่ใช่ไหมคะ ไม่ใช่เพราะชื่อ แต่เพราะอะไร ก็เพราะเหตุปัจจัยที่ได้กระทำ เห็นไหมคะเราหนีไม่พ้นธรรมชาติเลย ธรรมชาติบอกอะไรมาไม่เคยขี้ปดมดเท็จกับมนุษย์ แต่มนุษย์แหละ มักจะคดโกงกับธรรมชาติอยู่เรื่อย ๆ เพราะฉะนั้นธรรมชาติบอกอยู่แล้วว่าชีวิตนี้เป็นเพียงตามเหตุตามปัจจัย ฉะนั้นการตั้งชื่อเป็นเคล็ดว่าอหิงสกะ แล้วก็เพื่อว่าต่อไปลูกเราจะได้ไม่ไปเบียดเบียนใครมันก็เป็นไปไม่ได้ เพราะมิใช่การแก้ปัญหาด้วยการใช้สติปัญญา ถ้าจะใช้ก็คงน้อยนิดเดียว คือคิดดูว่า ใช้ชื่ออะไรดี แล้วก็นึกได้ว่าอหิงสกะไม่ได้ใช้สติปัญญาอะไรที่มากมายเลยนะคะ เพราะฉะนั้นการแก้ปัญหาด้วยวิธีนี้ มันก็เป็นการเสี่ยง เป็นการเสี่ยงที่เราจะแน่ใจในผลที่เกิดขึ้นไม่ได้เลย


    เพราะฉะนั้น นี่ก็เป็นข้อแรก เพื่อจะขอเสนอว่า การแก้ปัญหาด้วยวิธีนี้เป็นพุทธศาสน์หรือไสยศาสตร์ ในฐานะเป็นชาวพุทธ ควรจะแก้ปัญหาด้วยวิธีของพุทธศาสน์หรือไสยศาสตร์ ทีนี้ข้อที่สอง ถ้าเรานึกต่อไป แล้วเหตุใดชีวิตของอหิงสกะ ซึ่งเคยเป็นคนดีมีศีลและธรรมแล้วจึงกลายเป็นอหิงสกะผู้เบียดเบียนเพื่อนมนุษย์ อย่างโหดเหี้ยมอย่างนี้ เพราะอะไร เพราะฉะนั้นอันนี้ก็ ถ้าจะพิจารณาอย่างละเอียด ก็จะเห็นได้ว่าก็เพราะเหตุว่าอหิงสกะนั้นเป็นคนดีมีศีลธรรมก็จริง แต่เป็นคนดีมีศีลธรรมเพียงแค่พื้นฐานของศีลธรรมอย่างธรรมดาไม่ได้เป็นคนดีมีศีลธรรมที่มีปรมัตถธรรมเป็นรากฐานเพราะฉะนั้นฐานของการเป็นคนดีมีศีลธรรมจึงไม่มั่นคงคลอนแคลนได้ง่ายด้วยเหตุนี้เอง จึงแสดงให้เห็นชัดว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับชีวิตของอหิงสกะนั้นเป็นไปตามกรรมคือตามเหตุตามปัจจัย แต่ถ้าพูดอย่างชาวบ้านทั่วไปก็คือเป็นไปตามกรรม แต่กรรมที่บรรดาคนทั่วๆไปนึกถึงก็คือว่าถ้าพูดถึงกรรมล่ะก็ต้องมีอะไรบันดาลสักอย่างหนึ่งไม่ได้หวนมานึกถึงว่ากรรมที่เกิดขึ้นนั้นอย่างพุทธศาสนาคือกรรมที่ชีวิตนั้นเองเป็นผู้กระทำขึ้น เป็นผู้คิดผู้กระทำขึ้นไม่นึก นึกไม่ถึงนึกไม่ออกแต่นี่แหละชีวิตของอหิงสกะชี้ให้เห็นถึงเรื่องของกรรมอย่างพุทธศาสนาที่เป็นไปก็เพราะการกระทำของตนเอง ทีนี้ทำไมอหิงสกะถึงได้มาเป็นคนที่เบียดเบียนคนอื่นอย่างนี้ พิจารณาทีละขั้นอย่างละเอียดช้าๆข้อแรกก็เพราะเผอิญถลำตัวเรียกว่าเข้าไปสู่หนทางถลำใช่ไหมคะโดยไม่รู้ตัวโดยไม่ตั้งใจถลำไปไหน ถ้าคำตอบของดิฉันก็คือว่าถลำไปคบ อสัตบุรุษ บุรุษที่ไม่มีคุณค่าของความดีอสัตบุรุษ เพราะฉะนั้นจึงต้องพลัดตกออกนอกทางของความถูกต้องดีงาม แล้วก็เผอิญด้วยนะที่อสัตบุรุษผู้นั้นนะคะมาอยู่ในตำแหน่งครูอาจารย์ของอหิงสกะใช่ไหมคะ นี่แหละเป็นเคราะร้ายมหันต์ ถ้าใช้ว่าคำว่าเคราะร้าย เคราะร้ายมหันต์ทีเดียวของอหิงสกะ ที่เผอิญผู้ที่เป็นครูเป็นอาจารย์ที่อหิงสกะเคารพบูชารักใคร่ยกย่องนับถือเชื่อฟังอย่างหมดชีวิตจิตใจใครจะบอกยังไงไม่เชื่อแล้วเขานี่เป็นครูของฉันเป็นอาจารย์ของฉันที่สอนฉันมารักแล้วหลงแล้วเพราะฉะนั้น เชื่อเต็มประจำอ่าเต็มประตูว่างั้นเถอะ ให้ความเชื่อถือบูชาอย่างที่กล่าวนี้เพราะถลำถลำไปคบอสัตบุรุษ ถ้าหากว่าไม่ถลำไปคบอสัตบุรุษแต่ได้สัตบุรุษเป็นครูก็คงไม่เป็นอย่างนี้นะคะ นอกจากนี้ อีกข้อนึงก็เพราะว่า อหิงสกะนั้นมีศรัทธาที่ขาดปัญญาคือเป็นศรัทธาที่ถูกสนตะพาย ดิฉันอยากจะใช้คำนี้ ถ้าเราไม่อยากใช้คำว่าไสยศาสตร์เป็นศรัทธาที่ถูกสนตะพายเหมือนวัวเหมือนควาย เขาชี้ยังไงเขาบอกยังไงเชื่อตามเขาให้เขาจูงจมูกไปทุกหนทุกแห่งไปนรกก็ไปไปลงทะเลไฟก็ไป ไปอะไรที่ร้อนๆก็อุตส่าห์บอกว่าเย็น นี่แหละเรียกว่าเป็นศรัทธาที่ขาดปัญญาก็เลยนำหายนะมาสู่ชีวิตจนเกือบสิ้นเนื้อประดาตัว ทำไมดิฉันถึงใช้คำว่าจนจนเกือบก็เพราะยังโชคดีอยู่นิดที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เสด็จไปโปรด ทั้งๆที่อหิงสกะเป็นคนฉลาดใช่ไหมคะ เป็นคนไอคิวสูงเรียนหนังสือก็เยี่ยม ทำไมถึงขาดปัญญาพิจารณาไตร่ตรองว่าอะไรถูกต้อง อะไรดีงาม ทำไมถึงเป็นไปได้ถึงปานนั้นดูต่อไปเพราะอะไร ก็คงได้คำตอบว่าเพราะอะไรคะ ตัณหา ใช่ไหมคะ ตัณหา พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้แล้วในอริยสัจสี่ สมุทัยของความทุกข์ทั้งหลายของมนุษย์ ก็คือตัณหา ความอยาก เมื่อมีตัณหา ความอยาก เกิดความดิ้นรน จะเอาให้ได้ ให้ได้ตามใจของอัตตา ก็ขาดสติ ที่จะไตร่ตรองหาเหตุหาผล เพราะตัวตนอยากได้ ให้ตัวตน ตัวตนก็ต้องเอาให้ได้ วิชาความรู้ขั้นสูงสุด ก็เพราะเป็นแค่คนดี มีศีลและธรรมไม่มีปรมาตถธรรมเป็นรากฐาน ปรมาตถธรรมก็หมายถึงธรรมะสูงสุด ที่แสดงสัจจธรรมให้เห็น นั่นก็คือกฎของธรรมชาติ อย่างกฎไตรลักษณ์ที่ได้พูดแล้ว กฎอิทัปปัจจยตา แล้วก็ อริยสัจสี่ นี่คือสัจจธรรม ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ทรงสอน แต่ทีนี้เผอิญ ท่านบิดามารดา ของอหิงสกะนั้น เป็นพราหมณ์ ไม่ใช่พุทธจึงคงไม่มีความเข้าใจในทางพุทธ ที่จะนำมาอบรมลูก ให้เข้าถึงพุทธศาสตร์ ถ้าหากว่าลูกได้เข้าถึงพุทธศาสตร์ ก็แน่นอนที่สุดล่ะ ก็คงจะมีฐานที่มั่นคง ของความเป็นคนดีและก็จะไม่ถอยห่าง จากความเป็นคนดี มีศีลและธรรมง่ายๆ เหมือนอย่าง เราคงเคยได้ยินเพื่อนฝูงใช่ไหมคะ ที่มักจะพูดว่า เลิกแล้ว ไม่ทำความดีอีกต่อไปแล้ว ทำดีไม่เห็นได้ดี ทำชั่วดีกว่า เห็นไหม ทำชั่วก็ได้ดี นี่แหละ ที่พูดอย่างนี้ ก็เพราะไม่รู้ถึงกฎของธรรมชาติ ที่ว่าชีวิตต้องเป็นไปตามเหตุปัจจัย ไปเห็นว่าเขาทำดี แล้วไม่ได้ดี หรือเขาทำชั่ว แล้วไม่ได้ชั่ว แท้จริงได้แล้ว

logo

  • เกี่ยวกับเรา
  • ติดต่อเรา
  • จดหมายข่าว
  • Privacy Policy
  • Terms of Service