แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ธรรมสวัสดีค่ะ สําหรับรายการวรรณกรรมกับธรรมะในวันนี้นะคะ เราก็จะได้พูดกันถึงเรื่องของหนังสือสําหรับเด็กๆ คือเด็กเล็กและก็ตลอดไปถึงเยาวชนด้วยอีกสักเล่มหนึ่ง เล่มนั้นก็คือชื่อเรื่องว่าต้นส้มแสนรักเป็นหนังสือแปลที่ดิฉันเชื่อว่าท่านผู้ชมเป็นส่วนมากจํานวนมากคงจะได้อ่านหนังสือเล่มนี้แล้วนะคะ หนังสือเล่มนี้ผู้ที่เขียนเป็นชาวบราซิล เป็นนักเขียนมีชื่อของบราซิลชื่อว่าโจเซ่วาสคอนเซลอส หนังสือเล่มนี้ได้รับความนิยมยกย่องจากผู้อ่านในหลายประเทศทีเดียว แล้วก็แน่นอนรวมทั้งในประเทศไทยด้วย แต่เมื่อเรามาอ่านต้นส้มแสนรักแล้วก็ไปเปรียบเทียบกับบ้านพิลึกที่เราได้พูดกันมาสองสามครั้งในรายการที่ล่วงแล้วมา จะรู้สึกว่าความรู้สึกที่เกิดจากการอ่านหนังสือสองเล่มนี้มันช่างแสนจะแตกต่างกันเป็นอันมากเลย ความแตกต่างกันก็คือในขณะที่เราอ่านบ้านพิลึกนะคะ เรามีความรู้สึกพร้อมไปด้วยเสียงหัวเราะมีความชื่นชมมีความปลื้มปีติในเรื่องที่ดําเนินไปอย่างน่ารักและก็ยังชวนให้เราเกิดความอิ่มเอิบเบิกบานและยินดีด้วย ในการที่ครอบครัวไทยครอบครัวหนึ่งทั้งพ่อแม่ลูกสามารถที่จะดํารงรักษาความเป็นไทยของตนไว้ได้อย่างถูกต้องและก็ยังรักษาวิถีทางของการดํารงชีวิตไว้ได้อย่างถูกต้องโดยสม่ำเสมออีกด้วย และที่สําคัญยิ่งกว่านั้นก็คือว่าด้วยความสุขนะคะ ด้วยความสุขในการที่สามารถดํารงชีวิตในวิถีทางเช่นนั้นได้อย่างสม่ำเสมอ
แต่ส่วนต้นส้มแสนรักนี่เมื่อเราอ่านเข้า คือพออ่านจบความรู้สึกมันตรงกันข้าม ในขณะที่เราได้ยินเสียงหัวเราะความชื่นชมปลื้มปีติจากเรื่องบ้านพิลึก แต่จากเรื่องต้นส้มแสนรักเราจะได้สัมผัสกับเสียงคร่ำครวญสะอึกสะอื้นร้องไห้ด้วยความขมขื่นด้วยความเจ็บปวดในใจเป็นความสะอึกสะอื้นคร่ำครวญร้องไห้ที่รบกวนใจผู้อ่านเป็นอันมากทีเดียว เพราะอะไรก็เพราะเหตุว่ามันเป็นเสียงร้องไห้คร่ำครวญของเด็กผู้ชายเล็กๆ คนหนึ่งตัวเล็กนิดเดียวใครๆ ก็บอกว่าผอมแห้งเหมือนกุ้งเพราะความอดอยาก ความขาดแคลน แต่ว่าในขณะเดียวกันเด็กเล็กๆ คนนี้กลับมีความรู้สึกที่ต้องปวดร้าวในใจของเขาอยู่เป็นนิจจากการปฏิบัติของผู้ที่อยู่แวดล้อมรอบตัวเขา ในขณะที่บ้านพิลึกนั้นการดําเนินเรื่องของผู้เขียนเป็นเสมือนหนึ่งว่าผู้เขียนจงใจ จงใจในการเขียนที่จะให้เหตุการณ์มันเกิดขึ้นเช่นนั้นเรื่องราวดําเนินไปเช่นนั้นตามลําดับ เพื่อที่ว่าผลที่สุดเด็กหญิงเกี้ยวก็จะมองเห็นเองว่า อ๋อเรื่องมันเกิดขึ้นเช่นนี้ก็เพราะเหตุว่าจิตใจของเขานี้ได้พัฒนาสติปัญญาไปตามลําดับของเหตุการณ์ แล้วก็จบหรือว่าลงเอยลงด้วยความสุข ความสุขใจความสมหวังและความแน่ใจของเกี้ยว เหมือนหนึ่งกับว่าผู้เขียนนี่จงใจ แต่วิธีเขียนเช่นนั้นมันก็เหมาะเหมือนกันสําหรับเด็กและเยาวชนที่ผู้เขียนปรารถนาจะได้เห็นผลให้เห็นผลแห่งการกระทํานั้นให้ชัดเจนว่าความถูกต้องนั้นควรดําเนินไปเช่นใด
แต่ส่วนต้นส้มแสนรักนี้ผู้เขียนได้พรรณนาชีวิตที่ลําเค็ญขัดสนของคนจนของครอบครัวคนจน ที่หาเช้ากินค่ำ พ่อต้องตกงานแล้วเพราะความที่ตกงานไม่มีงานทําของพ่อนี่ก็เลยทําให้ชีวิตในครอบครัวของลูกๆ แล้วของภรรยาพลอยขัดสนพลอยลําบากไปด้วย ลูกก็มีกินบ้างอิ่มบ้าง ไม่อิ่มบ้าง แล้วก็มักจะไม่อิ่มนั่นแหละเสียมากกว่า เหมือนอย่างเช่นในวันคริสต์มาสซึ่งก็ถือว่าเป็นวันสําคัญในชีวิตและก็เป็นวันสําคัญของปี บ้านไหนๆ ส่วนมากก็จะเตรียมอาหารที่ดีที่สุดในมื้อนั้น แต่ว่าในบ้านของเซเซ่เด็กน้อยคนนี้นี่จะมีแต่เพียง เฟร้นช์โทสต์สําหรับรับประทานกันทั้งครอบครัว แต่ละคนก็รับประทานกันด้วยความหมองหม่นแล้วก็ไม่มีใครรู้สึกสนุกสนานอิ่มเอิบปีติยินดี ไม่มีกําลังใจแม้แต่จะขอบคุณพระเจ้านะคะ
ฉะนั้นต้นส้มแสนรักนี่พอเราเปิดอ่านถึงแม้ว่าเราจะได้สัมผัสกันกับความสนุกสนาน อารมณ์รื่นเริงชื่นบานของเซเซ่ในบางครั้ง แต่ในขณะเดียวกันผู้อ่านก็จะสัมผัสกับความทุกข์ยากความขัดสนจากการที่ครอบครัวนี้พ่อตกงานและแม่ซึ่งควรที่จะได้มีโอกาสอยู่ดูแลบ้าน ดูแลลูก ให้ความสุขแก่ลูก แม่ก็กลับต้องเป็นผู้ไปทำงานเพื่อที่จะหาเงินมาเลี้ยงครอบครัว ฉะนั้นลูกๆ ที่มีอยู่ในบ้านทั้งหญิงทั้งชายก็ต้องทำงานกันตัวเป็นเกลียว บางคนก็ต้องออกไปหางานทำนอกบ้านเพื่อจะได้มีรายได้มาช่วยเหลือในครอบครัว แต่อันที่จริงแล้วนะคะดิฉันเชื่อว่าท่านผู้ชมก็ทราบอยู่แก่ใจดีว่าเรื่องของความมีความจนนี่มันเป็นของธรรมดาโลก ประเดี๋ยวก็มี ประเดี๋ยวก็จน มันสลับกันไปและบางทีก็ไม่ได้หมายความว่าผู้ใดที่มีความมีคือหมายความว่าร่ำรวยทรัพย์สินเงินทองนั้นจะเป็นผู้ที่ไม่มีความจนอยู่ในหัวใจ จนอะไรก็คือจนความสุข เราเคยพบผู้ที่มั่งมีร่ำรวยเงินทองมากมายนี่ร้องไห้บ่อยๆ เศร้าหมองบ่อยๆ ต้องถอนใจเฮือกๆ อยู่บ่อยๆ ฉะนั้นนี่ก็เป็นเครื่องแสดงว่าเรื่องความมีความจนนี่มันเป็นของธรรมดาโลกจริงๆ บางคนร่ำรวยเงินทองข้างนอกแต่ว่าจนความสุขข้างในใจ บางคนอาจจะขัดสนทรัพย์สินแต่ทว่าร่ำรวยความสุขอยู่ในใจข้างในก็เป็นได้เหมือนกัน มันเป็นสิ่งที่เป็นธรรมดาโลกทีเดียวนะคะ แต่เสร็จแล้วเนื่องจากว่าในขณะที่เราอ่านวรรณกรรมนี่บางครั้งเราก็อดไม่ได้ที่จะมีหัวใจเหมือนอย่างคนธรรมดาๆ นะคะ เมื่ออ่านไปแล้วก็พบว่าครอบครัวของเซเซ่เด็กน้อยอายุ 5 ขวบที่ผอมแห้งเหมือนกุ้งเพราะความอดอยากนี่มีความทุกข์กันทุกคน เจดิราพี่สาว ลาล่าพี่สาว กลอเรียพี่สาวของเซเซ่รวมทั้งโททอก้าที่เป็นพี่ชายของเซเซ่หรือว่าหลุยส์น้องชายคนเล็กสุดท้องต่างก็เป็นคนที่มีความทุกข์อยู่ในใจ แต่ว่าส่วนใหญ่ในครอบครัวนั้นพ่อเป็นต้น พี่สาวเป็นต้น พี่ชายเป็นต้น ยกเว้นหลุยส์น้องชายคนเล็กมักจะพากันเอาความทุกข์ของตัวนี่มาโยนใส่ ขว้างปาใส่เด็กผู้ชายตัวเล็กๆอายุ 5 ขวบนี้อย่างทารุณ ที่ดิฉันว่าเอาความทุกข์มาขว้างปาใส่นี่ก็คือหมายความว่าชีวิตของเซเซ่นั้นเรื่องของการถูกตีเป็นของธรรมดาที่สุด จนเจ้าตัวเขาเองเขาก็มีความรู้สึกเสียแล้วว่าเรื่องการถูกตีกับชีวิตของเขานี่เป็นของคู่กัน ถ้าวันไหนไม่ถูกตีวันนั้นรู้สึกว่าจะเป็นวันพิเศษหรือเป็นวันแปลกประหลาด และการถูกตีนี้นะคะไม่ใช่ว่าถูกตีครั้งเดียวในวันเดียวบางทีถูกตีถึงสองสามครั้งและการถูกตีบางครั้งก็ค่อนข้างที่จะทารุณเอาการอยู่ทีเดียว ด้วยเหตุนี้ดิฉันจึงมีความรู้สึกว่าผู้อ่านที่อ่านวรรณกรรมสองเล่มนี้ซึ่งเป็นวรรณกรรมของเด็กเหมือนๆ กันเป็นวรรณกรรมของเด็กและเยาวชนจะมีความรู้สึกสะเทือนใจเหมือนกัน แต่จุดของความสะเทือนใจนั้นมันแตกต่างกันก็คือว่าเล่มที่ชื่อว่าบ้านพิลึกของ ว.วินิจฉัยกุล นั้นผู้อ่านจะประทับใจในความรักใคร่กลมเกรียว ของสมาชิกในครอบครัวพ่อแม่ลูกแล้วก็จะรู้สึกประทับใจในความมั่นคงหนักแน่นของสมาชิกของครอบครัวของเด็กหญิงเกี้ยวและอันที่จะกระทำในสิ่งที่ถูกต้องโดยไม่สะเทือนต่อคำวิพากษ์วิจารณ์ของผู้ใดเลย เพราะเขาแน่ใจเสียแล้วว่าชีวิตของคนที่เกิดมานี่จุดมุ่งหมายที่สำคัญก็คือว่าจงทำสิ่งที่ถูกต้องในชีวิต ไม่ใช่ทำสิ่งที่เราคิดเอาเองว่าสิ่งนี้ดีแล้วก็สิ่งนั้นไม่ดีแต่ว่าทำสิ่งที่ถูกต้องเพราะสิ่งที่ถูกต้องนั้นย่อมจะเกิดประโยชน์ เป็นสิ่งที่เกิดประโยชน์ ประโยชน์แก่ผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งส่วนตัวและส่วนรวมนะคะ ฉะนั้นครอบครัวของเกี้ยวในบ้านพิลึกนั้นจึงเป็นครอบครัวที่มีความหนักแน่นกันมากจะเปรียบเหมือนกับความหนักแน่นของภูผาก็ยังได้ ส่วนอีกเล่มหนึ่งที่เรากำลังพูดถึงกันในรายการนี้คือต้นส้มแสนรักนั้นจุดของความสะเทือนใจที่จะเกิดขึ้นในใจของผู้อ่านก็คือในความรู้สึกเห็นแก่ตัว ในความรู้สึกเห็นแก่ตัวของสมาชิกในครอบครัวส่วนใหญ่ที่ต่างก็จมอยู่กับความทุกข์ด้วยความเห็นใจตัวเองเห็นแก่ตัวเพราะเหตุว่ามีแต่ความเห็นใจตัวเองมากกว่าที่จะเห็นใจของคนอื่น แล้วเสร็จแล้วยิ่งกว่านั้นก็ชดเชยความทุกข์ของตัวเองหรือว่าความเห็นใจตัวเองนั้นด้วยการด่าว่าเฆี่ยนตีน้องชายตัวเล็กๆ คำที่ว่าขอประทานโทษนะคะ สัตว์หมาหรือคนเลวเป็นคำประจำที่เซเซ่เด็กน้อย 5 ขวบนี่ได้ยินเสียจนเจนใจจนกระทั่งครั้งแรกๆ นี่เขาคงรู้สึกว่ามันบาดลงไปในความรู้สึกของหัวใจน้อยๆ ที่มีความละเอียดอ่อนเป็นอันมากแต่เมื่อฟังมาทุกวันๆๆ เกือบจะตลอดชีวิต 5 ขวบของเขามันก็ค่อนข้างจะเป็นคำธรรมดา แต่เขาก็แปลกใจอยู่เหมือนกันว่าถ้าเขาเอ่ยคำว่าหน้าสัตว์หมาหรือว่าคำหยาบอะไรทำนองนี้ละก็เขาจะถูกตีบางทีก็ถูกตบปาก แต่เมื่อผู้ใหญ่ด้วยกันพูดนี่ว่าคนอื่นว่าสัตว์หมาหรือว่าโกหก เซเซ่ก็แปลกใจว่าไม่เห็นมีใครไปตบปากผู้ใหญ่คนนั้นเหมือนอย่างเมื่อเวลาเด็กๆ พูดบ้างเลย นี่เป็นสิ่งที่เด็กช่างสังเกตอย่างเซเซ่นี่ได้สังเกตถึงสิทธิของความแตกต่างระหว่างเด็กกับผู้ใหญ่เพราะผู้ใหญ่พูดไม่เป็นไรเพราะเป็นผู้ใหญ่แล้ว แต่เด็กพูดละก็มันมีความเป็นไรขึ้นมาทีเดียว แล้วความเป็นไรนั้นมันเกิดจากการตัดสินของผู้ใหญ่จะยุติธรรมหรือไม่ก็หวังว่าผู้ชมจะใคร่ครวญดูเองนะคะ ก็เรียกได้ว่า ทุกข์ส่วนใหญ่ของสมาชิกครอบครัวของเรื่องต้นส้มแสนรักนี่ก็จะเอาความทุกข์ของตัวมาโยนใส่เด็กน้อยๆ สมาชิกน้อยๆ ของครอบครัวนี้ด้วยการด่าว่าบ้าง ด้วยการเฆี่ยนตีบ้างอย่างทารุณ และบางครั้งก็ค่อนข้างจะเหี้ยมโหดเหมือนกับจะฆ่าชีวิตเล็กๆ นั้นให้ตายเสียคามือทีเดียว นี่ด้วยเหตุอะไร ก็ด้วยความที่เห็นใจในความทุกข์ของตนและก็เห็นว่าการกระทำของเด็กคนนี้กระทำให้ตนต้องลำบากต้องพูดต้องว่ามากยิ่งขึ้น ไม่ได้อย่างใจ เพราะความที่ไม่ได้อย่างใจเท่านั้นเองก็เลยพยายามที่จะเอาความทุกข์ที่ไม่ได้อย่างใจนี่ลงไปโถมถาให้แก่เด็กคนนั้นอย่างสาสม เรื่องต้นส้มแสนรักหรือที่ในภาษาอังกฤษชื่อว่า My Sweet Orange Tree นี้ก็เขียนโดยนักเขียนมีชื่อของบราซิลอย่างที่ดิฉันกล่าวในตอนต้น คือ โจเซ่ วาสคอน เซลอส ได้รับการแปลเป็นภาษาต่างประเทศหลายภาษามีจำหน่ายในหลายประเทศในยุโรปและก็รวมทั้งประเทศไทยด้วยที่มีการแปลเป็นภาษาไทย เป็นหนังสือที่ได้รับความนิยมมากเท่าที่ดิฉันได้ทราบอยู่ในขณะนี้เฉพาะในประเทศไทยเรานี้นะคะพิมพ์ถึงครั้งที่ 7 แล้ว เป็นหนังสือที่ได้รับความนิยมจนทำลายสถิติของการขายหนังสือทั้งหมดของประเทศบราซิล หมายถึงว่าหนังสือที่ยกย่องกันว่าเป็นวรรณกรรมสำหรับเยาวชนแล้วละก็หนังสือเรื่องต้นส้มแสนรักได้รับการยกย่องว่าเป็นหนังสือที่ดีที่สุดที่บราซิลเคยมีมา
นอกจากนี้นักวิจารณ์นะคะก็ยังยกย่องว่าเป็นเอกสารทางสังคมและจิตวิทยาอีกด้วยเพราะเหตุว่าผู้เขียนได้บรรยายถึงชีวิตของครอบครัวจนๆ ของชาวบราซิลครอบครัวหนึ่งซึ่งอาจจะเป็นตัวแทนของอีกหลายๆ ครอบครัวในบราซิลก็ได้และชีวิตของการดำเนินเรื่องของบุคคลที่เกี่ยวข้องอยู่ในท้องเรื่องนี้ก็อาจจะเป็นชีวิตที่มันแสดงถึงความซับซ้อนของจิตใจของมนุษย์มันแสดงถึงการกระทำของมนุษย์เกิดจากความผลักดันที่ข้างใน นักวิจารณ์ยกย่องว่าเป็นเอกสารทางสังคมและจิตวิทยาส่วนครูอาจารย์ก็ได้ใช้หนังสือนี้เป็นหนังสืออ่านประกอบการสอนอีกด้วย กล่าวกันว่าหนังสือเรื่องต้นส้มแสนรักนี้เป็นหนังสือที่เต็มไปด้วยความรักความนุ่มนวล ความละมุนละไม ความเอื้อเฟื้ออาทรต่อกันเมื่อดิฉันมาพูดเช่นนี้ท่านผู้ชมก็คงจะรู้สึกว่าไม่เห็นตรงกับที่ดิฉันพูดเมื่อตอนต้นสักครู่นี้เลยนะคะว่าหนังสือนี้มันทำให้เราเกิดความสะเทือนใจในความรู้สึกที่ค่อนข้างทารุณต่อเด็กน้อยอายุ 5 ขวบตัวเล็กๆ คนนั้น มันก็มีค่ะ มันก็มีอย่างที่มีผู้กล่าวกันว่าเป็นหนังสือที่เต็มไปด้วยความรักความนุ่มนวล ความละมุนละไม ความเอื้อเฟื้ออาทรต่อกันแต่ในขณะเดียวกันนี่ค่ะ มันก็บีบคั้นจิตใจผู้อ่านอย่างยิ่งเพราะมีความรู้สึกประจักษ์ถึงความทารุณเหี้ยมโหดที่อันที่จริงแล้วผู้ที่กระทำความทารุณต่อกันนั้นก็เป็นผู้ที่มีความรัก ความเอื้ออาทรต่อกัน
การที่พ่อตีลูกไม่ได้หมายความว่าพ่อไม่รักลูกพ่อก็มีความรักลูก มีความอาทรต่อลูกแต่ด้วยความรู้สึกในใจที่อยากจะทำอะไรตามใจอยากขณะเมื่ออาการของความอยากมันเกิดขึ้นจากโทสะจริตก็ไม่สามารถจะบังคับได้ และก็ได้กระทำสิ่งซึ่งแม้แต่พ่อเองเมื่อกระทำไปแล้วหรือพี่สาวก็ดีที่ได้ตีน้องอย่างทารุณก็มีความรู้สึกเสียใจ เศร้าใจในการกระทำของตนแต่เมื่อโทสจริตเข้าครอบงำก็ทำ ทำแล้วก็เสียใจ เสียใจแล้วก็แก้ไขไม่ได้ แต่ผลที่เกิดขึ้นในจิตใจของเด็กน้อยที่ได้รับความทารุณนั้นมันฝังรากลึกเหลือเกินเป็นบาดแผลลึกที่ยากจะแก้ได้ ซึ่งความทารุณต่อการด่าว่าด้วยการด่าว่าหรือว่าเฆี่ยนตีนี้มันไม่ได้เกิดขึ้นเพราะความเกลียดชังของผู้กระทำ มันเกิดขึ้นเพียงแต่ว่าเด็กน้อยเซเซ่คนนี้มีความแตกต่าง มีความไม่เหมือนความต้องการของพี่หรือของพ่อ ไม่ทำตามความต้องการของพ่อของพี่ เพราะฉะนั้นทั้งพ่อทั้งพี่ก็ใช้ความแตกต่างอันนี้เป็นทางออกระบายความทุกข์ของตนผสมกับความโกรธแค้นชีวิตลงไปที่เซเซ่เด็กน้อยอย่างทารุณ เมื่ออ่านวรรณกรรมเรื่องนี้ในแง่ของธรรมะก็จะมองเห็นชัดในเรื่องของความทุกข์ว่า ชีวิตของคนเรานั้นมีความทุกข์เกิดจากอะไร ทุกข์ของพ่อเกิดเพราะไม่มีงานทำ เมื่อไม่มีงานทำความที่จะมีกินมันก็น้อยลง เรื่องของการกินเรื่องของปากท้องก็เป็นปัจจัยที่สำคัญอย่างยิ่งอย่างหนึ่งต่อชีวิตของมนุษย์ ความทุกข์ของแม่ก็อยู่ที่ต้องออกไปทำงานหนักมากเกินไปเพื่อที่จะทำหน้าที่เลี้ยงครอบครัวแทนพ่อในขณะที่พ่อหางานทำไม่ได้ พี่ๆ ก็ต้องทำงานหนักช่วยพ่อแม่ช่วยครอบครัว ขาดแคลนและก็ต้องข่มขี่บังคับใจอยากของตนที่จะไม่ให้อยากสบายเหมือนเด็กๆ หรือคนวัยรุ่นหนุ่มสาวคนอื่นๆ ที่อยู่ในวัยเดียวกัน พอมีทุกข์มากเข้าก็หาทางออกได้อย่างเดียวไม่มีทางออกอื่นด้วยการทุบตีด่าว่าเด็กอายุ 5 ขวบที่ทำอะไรไม่ได้อย่างใจ
เพราะฉะนั้นต้นส้มแสนรักนี้จึงเกิดขึ้นเพื่อเป็นเพื่อนให้ความรักความอบอุ่นเพื่อชดเชยความรู้สึกเดียวดายความรู้สึกที่ทั้งถูกกดถูกบังคับแก่เด็กน้อยเซเซ่คนนี้ และเซเซ่ก็รำพันออกมาว่าฉันอยากมีลูกสัก 12 คน วันหนึ่งนะคะเด็กน้อยเซเซ่อายุ 5 ขวบนี่ก็รำพันออกมาว่าฉันอยากมีลูกสัก 12 คน และ 12 คนแรกนี่นะจะไม่ให้ถูกตีเลยเชียวแล้วก็ให้เป็นเด็กตลอดไป แล้วก็จะมีอีก 12 คน อีก 12 คนหลังนี่จะอนุญาตให้เป็นผู้ใหญ่และก็จะคอยถามว่าลูกจะต้องการเป็นอะไรแล้วก็จะอนุญาตให้ลูกเป็นอย่างนั้น นี่เป็นคำปรารถเชิงรำพึงของเซเซ่เด็กน้อย 5 ขวบที่เขาพูดกับต้นส้มแสนรักของเขา เหมือนกับเขาได้พูดกับเพื่อนร่วมใจ ในคราวหน้าเราจะได้คุยกันอีกนะคะ ถึงความในใจของเด็กเล็กๆ 5 ขวบ ที่น่าเห็นใจแล้วก็น่าสงสารคนนี้ สำหรับวันนี้ธรรมสวัสดีค่ะ