แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [ลองพูดคุยกับ AI ทาง Line]
... แต่ว่าคนส่วนมากมักจะรู้สึกว่า ลมหายใจใช้แต่เพียงเป็นสิ่งที่ทำให้ร่างกายยังมีชีวิตอยู่ เคลื่อนไหวได้ แต่คุณค่าสูงสุดของลมหายใจนั้น สามารถใช้เป็นเครื่องมือสร้างพลังที่จะนำทั้งความหนักแน่น มั่นคง แล้วก็ความสงบเย็น ให้บังเกิดขึ้นภายใน ฉะนั้นก็ขอเรียนว่า โปรดลองเพ่งใจ หรือเพ่งสติลงไปที่ลมหายใจ ซึ่งผ่านเข้าออก ผ่านเข้าออกก็คือที่ตรงช่องจมูกนะคะ กำหนดใจ ทำความรู้สึกสัมผัสกับลมหายใจที่ผ่านเข้าและผ่านออก
ให้ทุกขณะ ถ้าสามารถตามลมหายใจเข้าไปได้จนสุดสาย แล้วก็ตามออกจนกระทั่งพ้นจมูก ก็อยากจะกล่าวว่า ขอรับรองว่า พลังนั้นจะไม่เสื่อมคลายจะสามารถคงมีอยู่ได้อย่างสม่ำเสมอ สำหรับการพูดในวันนี้ดิฉันก็จะขอพูดอย่างเจริญรอยตามพระยุคลบาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่พระองค์ทรงมีหลักในการทรงงานทุกโครงการ ด้วยวิธีการ..ทรงทำให้ง่าย แล้วก็ไม่ทรงติดตำรา เพราะฉะนั้นดิฉันก็จะขออนุญาตพูดอย่างง่ายๆ แล้วก็ไม่ติดตำรา โดยจะขอเสนอความคิดที่เป็นเหตุผล ซึ่งจะนำมาเป็นทฤษฎีของการปฏิบัติได้ต่อที่ประชุมแห่งนี้ เพื่อประกอบการพิจารณาแนวทางการร่วมสร้างเป็นพลังของแผ่นดิน อันที่จริง 6 ข้อการบรรยายในบ่ายนี้ ที่ตั้งเอาไว้ว่า “การร่วมสร้างเป็นพลังของแผ่นดิน” นั้น ก็มีความหมายที่ชัดเจนอยู่ในตัว แต่ดิฉันก็อยากจะขออนุญาตพูดถึงความหมายของ..พลังของแผ่นดิน..สักเล็กน้อยเพื่อความเข้าใจที่ตรงกัน ดิฉันอยากจะขออุปมาลักษณะอาการของ..พลังของแผ่นดิน.. เหมือนอย่างลักษณะของช้างอาเนญชะ อาเนญชะ..ไม่ใช่ชื่อของช้างนะคะ แต่เป็นขั้นสุดท้ายของวิธีการฝึกช้างป่า คือจะฝึกช้างป่านั้นไม่ให้มีความสะทกสะท้าน ให้มีความอาจหาญอย่างถึงที่สุด
ความหมายของ..อาเนญชะ..ก็คือ ไม่สะทกสะท้าน หนักแน่น มั่นคง เหมือนแผ่นดิน ทีนี้เพื่อจะให้ท่านผู้ฟังได้เห็นภาพอุปมานี้ ก็จะขอเล่าที่มาของเรื่องการฝึกช้างขั้นอาเนญชะสักเล็กน้อย เรื่องนี้มีอยู่ในพระไตรปิฎก ฉบับภาษาไทย ฉบับสังคายนา พ.ศ. ๒๕๓๐ เล่มที่ ๑๔ ที่หน้า ๒๖๗ ว่าด้วยความสำคัญของการฝึก ซึ่งเป็นเรื่องยาว แต่ในที่นี้จะขอกล่าวถึงเฉพาะการฝึกช้างป่าท่านอาเนญชะเท่านั้น ก็กล่าวถึงว่ามีพระราชาพระองค์หนึ่งได้รับสั่งให้พรานช้าง พาช้างหลวงไปต่อช้างป่าก็ที่ในป่าละค่ะ เมื่อได้ช้างป่ามาแล้ว ก็รับสั่งให้ควาญช้างที่เก่งกล้าสามารถมากฝึกช้างป่านั้นให้เชื่อง จนสามารถเป็นช้างศึกของพระราชาได้ ควาญช้างก็เริ่มฝึกช้างป่าตั้งแต่พูดกับช้างป่า ด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน ด้วยถ้อยคำที่นุ่มนวล ไพเราะ ช้างก็ค่อยๆ สำเหนียกในไมตรีจิตมิตรภาพ ที่ควาญช้างพยายามหยิบยื่นให้ แล้วก็ยอมรับอาหารที่ควาญช้างนำมาให้ ควาญช้างก็รู้สึกว่า เมื่อช้างเริ่มเชื่อง ควรจะฝึกขั้นต่อไปได้นะคะ ก็ฝึกให้รู้จักวิธีรับ วิธีวาง วิธีรุก วิธีถอย ให้รู้จักการยืน ให้รู้จักการหมอบ แล้วก็ฝึกไปเรื่อยๆ จนสุดท้ายก็ถึงการฝึกขั้นที่เรียกว่า..อาเนญชะ วิธีฝึกในขั้นนี้ก็คือ ควาญช้างจะเอาโล่อันใหญ่ทีเดียวมาผูกเข้าที่งวงช้าง แล้วก็จะจัดบุรุษถือศัสตราวุธชนิดต่างๆ เช่น หอก ดาบ ธนู และอื่นๆ ก็หมายความว่าจะจัดบุรุษผู้หนึ่งนั่งที่คอช้างถือหอกเอาไว้ และบุรุษอื่นๆ ก็จะถือหอกรายล้อมรอบตัวช้าง และก็มีนักแม่นธนู นักฟันดาบ และก็เครื่องประหัตประหารอื่นๆ ส่วนตัวควาญช้างเองก็จะถือของ้าวยาวทีเดียว ยืนอยู่หน้าช้างป่านั้น พอควาญช้างให้สัญญาณ บุรุษที่ถือหอกก็จะพุ่งหอกเข้าทิ่มแทงช้าง ที่เป็นนักดาบก็ฟัน ที่เป็นนักธนูก็ยิงลูกศรเข้าเสียบแทงช้าง และเครื่องประหัตประหารอื่นๆ เรียกว่าอย่างไม่ปรานีปราศรัยต่อช้างนั้นเลย
นอกจากนี้ ก็ยังมีกลองศึก มโหระทึก ตีเสียงกึกก้องสนั่นหวั่นไหวอึกทึกไปหมด แล้วก็ฝึกอย่างนี้นะคะ ในขั้นอาเนญชะ ด้วยการใช้อาวุธทิ่มแทงทดลองความอดทนของช้างมาตลอด จนในที่สุดช้างนั้นก็รู้สึกว่านี่เป็นการฝึกขั้นอาเนญชะ คือขั้นที่ต้องไม่มีความกระทกสะท้าน มีความหนักแน่นมั่นคง เหมือนแผ่นดิน เพราะฉะนั้นช้างจึงยืนนิ่ง ตระหง่าน ไม่ขยับเขยื้อนเลย ในพระไตรปิฎกนั้นกล่าวอย่างละเอียดให้มองเห็นภาพว่า ช้างนั้นไม่ขยับเท้าหน้า ไม่ขยับเท้าหลัง ไม่เขยื้อนกายไปเบื้องหน้า ไม่เขยื้อนกายไปเบื้องหลัง ไม่โคลงหัว ไม่กระดิกหู ไม่เคลื่อนไหวงา ไม่แกว่งหาง ไม่แกว่งงวง พูดง่ายๆ ก็คือว่าไม่มีอาการสะทกสะท้านต่ออาวุธทั้งหลายนั้นสักเท่าเส้นขน ดิฉันอยากจะเปรียบอย่างนี้นะคะ ช้างนั้นได้สลัดความเป็นช้างป่าออกหมด เหลือแต่ความสำนึกในหน้าที่ ในฐานะที่เป็นช้างศึกที่อาจหาญแกล้วกล้าของพระราชา ก็กล่าวได้ว่าเป็นช้างที่ทรงพลังอย่างมหาศาล ในความคิดความรู้สึกของดิฉันจึงเห็นว่า พลังของแผ่นดินที่จะร่วมกันสร้างนั้น ควรจะต้องสร้างให้ถึงขั้นอาเนญชะ คือให้มีพลังรวมกันเป็นหนึ่ง หนักแน่นมั่นคงเหมือนแผ่นดิน ไม่สะทกสะท้านหวาดกลัวต่อวิกฤตการณ์ใดๆ ที่เกิดขึ้นสักเท่าเส้นขน เหมือนหนึ่งช้างที่ได้ฝึกแล้วถึงขั้นอาเนญชะ พร้อมที่จะเผชิญศึกใหญ่ทุกรูปแบบ ถ้าหากสามารถร่วมสร้างพลังได้ในลักษณะนี้ จึงจะเป็นพลังของแผ่นดินที่แท้จริง ที่ทรงพลังมหาศาล สามารถชนะวิกฤตการณ์ที่บังเกิดขึ้นได้ ในทุกกรณีและทุกโอกาส นี่เป็นสิ่งแรกที่ดิฉันคิดว่าน่าจะได้ทำความเข้าใจกันในเรื่องความหมายของพลังของแผ่นดิน จากนี้ดิฉันจะขอแบ่งการพูดออกเป็น ๔ หัวข้อ
หัวข้อแรก ก็คือ อุปสรรคที่ขัดขวางความสัมฤทธิ์ผลของการร่วมสร้างเป็นพลังของแผ่นดิน
หัวข้อที่สอง กระบวนการปฏิบัติงานเพื่อเอาชนะอุปสรรค
หัวข้อที่สาม กุศโลบายในการประสานสัมพันธ์
แล้วก็สุดท้ายก็จะสรุปความสั้นๆ
แต่แม้จะได้แยกเป็นหัวข้อเพื่อความชัดเจน แต่การพูดก็อาจจะมีความซ้ำซ้อนกันอยู่บ้างอย่างหลีกเลี่ยงได้ยากนะคะ เพราะเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องสัมพันธ์กัน จึงเรียนที่ประชุมเพื่อโปรดทราบไว้ล่วงหน้าด้วย การที่ดิฉันขอพูดถึงเรื่องอุปสรรคที่ขัดขวางความสัมฤทธิ์ผล ของการร่วมสร้างเป็นพลังของแผ่นดินเป็นข้อแรก เพราะรู้สึกว่าเป็นสิ่งที่มีความสำคัญมาก จะกระทำการสิ่งใดก็ตามเป็นความจำเป็นที่จะต้องรู้อุปสรรค จะมองเห็นว่าจะไปรู้สึกว่าการกระทำงานสิ่งใดนั้นมันมีแต่ความราบรื่นไปทั้งหมด เป็นไปไม่ได้ ถ้าหากว่าได้พิจารณาดู ใคร่ครวญให้รอบคอบว่า มีอะไรเป็นอุปสรรค ดูเรื่องอุปสรรคเสียก่อน เรียกว่ามีตอมีหนามมีหินใหญ่อยู่ที่ไหนกวาดทิ้งเสียก่อน นี่แหละจึงจะเป็นหนทาง ที่จะทำให้การทำงานนั้นดำเนินไปได้อย่างราบรื่น ดิฉันจึงขอนำเรื่องอุปสรรคที่ขัดขวางมาพูดก่อน ถ้าหากว่าได้นำมาพูดแล้วก็พิจารณากันในที่แจ้ง ที่แจ้งก็คืออย่างนี้ค่ะ เราพูดกันต่อหน้ารู้กันเท่าๆ กัน เหมือนกัน ให้ชัดเจน ก็จะเป็นปัจจัยให้การปฏิบัติงานเพื่อร่วมสร้างเป็นพลังแผ่นดินดำเนินไปได้สมตามเจตนารมณ์ อุปสรรคที่ดิฉันจะกล่าวนี้มองเผินๆ เหมือนไม่ใช่อุปสรรค เพราะเป็นอุปสรรคที่มีลักษณะเป็นเสมือนเส้นผมบังภูเขา ซึ่งถ้าไม่พยายามดึงเส้นผมบางๆ นี้ออกให้ได้ก็จะไม่สามารถเห็นภูเขา ไม่สามารถปีนขึ้นสู่ยอดเขาได้ อุปสรรคที่เหมือนเส้นผมบังภูเขา แต่สำคัญอย่างยิ่งก็คือ ความไม่รู้จักเรื่องของชีวิต เห็นไหมคะพอฟังจะรู้สึกเหมือนกับธรรมดา นี่นะเหรอคืออุปสรรค แต่ขอได้ลองโปรดพิจารณาดูเถอะค่ะว่ามันจะเป็นอุปสรรคจริงไหม
แต่สำหรับในความรู้สึกของดิฉันนั้น ความไม่รู้จักเรื่องของชีวิต ไม่รู้ว่าชีวิตนี้คืออะไร ชีวิตนี้เกิดมาทำไม และชีวิตนี้อยู่เพื่ออะไร ถ้าผู้ใดได้รู้จักว่าชีวิตนี้คืออะไร ชีวิตนี้เกิดมาทำไม และชีวิตนี้อยู่เพื่ออะไร ผู้นั้นก็จะทะนุถนอมชีวิต ระวังรักษาชีวิตไม่ให้ถลำไปในทางของอบาย ไม่ยอมให้เป็นชีวิตที่สูญเปล่า จะรู้จักใช้ทุกเวลานาทีของชีวิตอย่างมีคุณค่า ให้เกิดประโยชน์สูงสุด เพื่อนำความสุขความเบิกบานมาสู่ตนเองและเพื่อนมนุษย์ เพราะรู้แล้วว่าชีวิตนี้เกิดมาทำไม มีคุณค่าอย่างไร ก็จึงใช้อย่างทะนุถนอม ซึ่งก็จะเป็นชีวิตที่เต็มไปด้วยพลัง แต่ถ้าไม่รู้จักเรื่องของชีวิต ผู้นั้นก็จะใช้ชีวิตอย่างไม่รู้คุณค่าของการมีชีวิต ใช้ชีวิตอย่างหละหลวม อย่างมักง่าย หรือบางทีก็ตกเป็นทาสของอบาย เพราะไม่มีทิศทางของการดำเนินชีวิต จนก่อให้เกิดปัญหาทั้งแก่ตนเองและแก่สังคม ก็เป็นชีวิตที่ไร้พลังเกือบสิ้นเชิง ชีวิตคืออะไร ชีวิตคือองค์รวมของกาย-ใจ การบำรุงรักษาชีวิตจึงแยกส่วนไม่ได้ แต่มนุษย์เราส่วนมากมักจะแยกส่วนของชีวิต คือแยกบำรุงรักษาแต่กายอย่างเดียว ให้อยู่ดีกินดี แต่ละเลยการดูแลรักษาใจ ซึ่งเป็นประธานของชีวิต ก็ย่อมจะทำให้ชีวิตนั้นขาดดุลยภาพถ้าแยกส่วน การบำรุงรักษาชีวิตย่อมทำให้ชีวิตนั้นขาดดุลยภาพ เมื่อขาดดุลยภาพก็ขาดพลัง ขาดศักยภาพที่จะพัฒนาชีวิตให้มีทั้งพลังและคุณภาพ ถ้าใจซึ่งเป็นประธานของชีวิตถูกละเลย ขาดการบำรุงรักษา ใจนั้นก็มีโอกาสที่จะเห็นผิด คิดผิด ตามสิ่งยั่วยุ ซึ่งมีมากมายเหลือเกินในปัจจุบัน แล้วก็จะหลงผิด จนกระทั่งเกิดความยึดมั่นถือมั่นว่า ชีวิตนี้ร่างกายนี้เป็นอัตตาตัวตนของฉัน นี่แหละคืออุปสรรคที่สำคัญอย่างใหญ่หลวงที่สุด เพราะอะไร?
ก็เพราะว่าเมื่อหลงผิดว่าชีวิตนี้ร่างกายนี้เป็นอัตตาเป็นตัวตนของฉัน การกระทำใดๆ ก็จะมุ่งประโยชน์เพื่อตัวฉันและพวกของฉันก่อนเป็นอันดับแรก ขาดความเมตตากรุณา ขาดความเห็นอกเห็นใจบุคคลอื่น ที่ถือว่าไม่ใช่พวกของฉัน เพราะใจที่หลงผิดอย่างนี้ เป็นใจที่คิดถึงแต่ส่วนตัวมากกว่าส่วนรวม คิดแต่จะเอามากกว่าคิดจะให้ คิดแต่จะเรียกร้องเอาสิทธิ แต่ไม่สนใจการทำหน้าที่ของตนให้ถูกต้องสมบูรณ์ บูชามูลค่าคือ เงินทอง มากกว่าคุณค่าคือคุณธรรมความดี เห็นสิ่งไม่ธรรมดาว่าเป็นธรรมดา เช่น การทำตามใจชอบอย่างปราศจากระเบียบวินัย อย่างปราศจากสัจจะ เห็นว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งธรรมดา ทั้งๆ ที่มันไม่ธรรมดา ที่เห็นอย่างนี้ ก็อ้างเหตุผลว่า เพราะใครๆ เขาก็ทำกัน เหล่านี้เป็นต้น ที่เป็นอุปสรรคที่เป็นรายละเอียดออกมา จากอุปสรรคใหญ่ คือความไม่รู้จักชีวิต เท่าที่กล่าวมาเป็นตัวอย่างทั้งหมดเหล่านี้ ล้วนแล้วแต่เป็นเหตุปัจจัยที่ก่อให้เกิดความแตกแยก เป็นอุปสรรคทำให้ไม่สามารถร่วมสร้างเป็นพลังของแผ่นดินได้ เพราะเมื่อมีการแบ่งเป็นฉัน เป็นเขา เป็นท่าน เป็นเรา ความแตกแยกเกิดขึ้นแล้ว ฉะนั้นที่หวังจะสร้างเป็นพลังของแผ่นดิน ย่อมเป็นสิ่งสุดวิสัย จึงจำจะต้องรู้จักอุปสรรคข้อนี้ให้ละเอียดรอบคอบและรอบด้าน เพราะฉะนั้นการบำรุงรักษาชีวิตจึงต้องทำเป็นองค์รวม คือบำรุงรักษาทั้งกายใจพร้อมๆ กัน ในขณะที่บำรุงรักษากายให้มีสุขภาพแข็งแรง ก็ต้องบำรุงรักษาใจให้มีสุขภาพแข็งแรงด้วยเช่นเดียวกัน ใจที่มีสุขภาพแข็งแรงก็คือใจที่ประกอบด้วยสติและปัญญาที่เป็นสัมมาทิฏฐิ สติและปัญญาที่เป็นสัมมาทิฏฐิก็คือ สามารถรู้คิด รู้พูด รู้กระทำ ในสิ่งที่ถูกต้อง งดงาม เกิดประโยชน์ที่สร้างสรรค์
บุคคลใดจะสามารถกระทำสิ่งที่ถูกต้องงดงาม เกิดประโยชน์ที่สร้างสรรค์ ก็เพราะบุคคลนั้นมีปัญญาที่เป็นสัมมาทิฏฐิ ทิฏฐิคือความเห็น สัมมาคือถูกต้อง มีสัมมาทิฏฐิจึงจะสามารถพูดในสิ่งที่ถูกต้อง กระทำในสิ่งที่ถูกต้อง อันเนื่องมาจากความคิดที่ถูกต้อง ซึ่งก็มาจากใจที่ได้ฝึกอบรมแล้ว ที่ได้รับการบำรุงรักษาแล้วนั่นเอง นี้ก็จะเป็นการส่งเสริมให้เกิดพลังร่วม ทั้งในครอบครัว สถานที่ทำงาน และสังคม บังเกิดเป็นพลังของแผ่นดินโดยอัตโนมัติ เพื่อให้ประจักษ์ใจในคำตอบของคำถามที่ว่า ชีวิตนี้เกิดมาทำไม และมีชีวิตอยู่เพื่ออะไร ดิฉันก็อยากขอเสนอให้ท่านผู้มีเกียรติได้ลองติดตาม เฝ้าดู และศึกษาใคร่ครวญในพระราชจริยวัตรของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวว่า พระองค์ทรงพระดำเนินชีวิตอย่างไร พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงดำรงตำแหน่งพระมหากษัตริย์ ทรงเป็นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ทวยราษฎร์ได้เทิดทูนพระองค์ไว้ ในฐานะทรงเป็นพระประมุข เพื่อทรงเป็นศรีสง่าของชาติบ้านเมืองไทย พระองค์ทรงมีสิทธิทุกประการที่จะประทับอยู่แต่ในพระบรมราชวัง เพื่อความทรงพระเกษมสำราญในสิ่งอันน่าเพลิดเพลินเจริญพระทัยทั้งปวง แต่ก็ดังที่ประชาราษฎรไทยแม้กระทั่งชาวต่างประเทศ ต่างก็ได้ประจักษ์ใจว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระองค์นี้ มิได้เคยประทับอยู่นิ่งเฉยเลย แต่ได้เสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมเยียนทุกข์สุขของประชาชนทั่วแว่นแคว้นแดนไทย ปัญหาความทุกข์เกิดขึ้น ณ ที่ใด ก็ได้เสด็จพระราชดำเนินถึง ณ ที่นั้น
ตลอดเวลาที่ได้เสวยสิริราชสมบัติมากว่ากึ่งศตวรรษ พระองค์ได้ทรงงานหนัก ตรากตรำพระวรกายมาโดยตลอด ไม่มีการทรงเกษียณ ไม่เคยทรงมีกำหนดชั่วโมงการทรงงาน เหมือนอย่างบุคคลทั้งหลาย ว่า ๘ โมงทำงาน ๔ โมงเลิก ไม่เคยทรงมีกำหนดชั่วโมงการทรงงานเลย พระองค์ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ ทรงเป็นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นพระเจ้าแผ่นดินของแผ่นดินไทยนี้ เพราะฉะนั้นพระองค์ย่อมทรงมีพระราชประสงค์ที่จะให้แผ่นดินนี้ เป็นแผ่นดินที่พสกนิกรของพระองค์ได้อยู่เย็นและเป็นสุข พระองค์จึงทรงยอมเสียสละทั้งหมดแห่งพระชนม์ชีพของพระองค์ เพื่อทรงปัดเป่าความทุกข์ และเพื่อทรงบำรุงจิตใจของประชาราษฎร์ให้ชุ่มชื่นเบิกบาน มีพลังขึ้น มีความอาจหาญขึ้น ในการที่จะพัฒนาคุณภาพชีวิตแห่งตน เนื่องด้วยความรู้สึกที่ซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่เปรียบมิได้นั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมิได้เคยเอ่ยพระโอษฐ์ตรัสว่า นี่แหละคือหน้าที่ของชีวิต ไม่เคยเอ่ยพระโอษฐ์ตรัสเลย หรือชีวิตที่เกิดมาต้องทำหน้าที่ ก็ไม่เคยตรัสเหมือนกัน หรือชีวิตที่มีอยู่นี้ก็เพื่อทำหน้าที่อย่างถูกต้อง ก็ไม่เคยตรัสเหมือนกัน หากแต่พระองค์ได้ทรงปฏิบัติให้เห็นเป็นแบบอย่าง ให้พสกนิกรทั้งหลายได้เรียนรู้เองจนประจักษ์แก่ใจของตน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงทรงเป็นพลังชีวิตในดวงใจของคนไทยทั้งชาติ ดิฉันจึงมองว่าความไม่รู้จักเรื่องของชีวิตว่า ชีวิตนี้คืออะไร ชีวิตนี้เกิดมาทำไม และมีชีวิตอยู่เพื่ออะไร เป็นอุปสรรคที่ขัดขวางความสัมฤทธิ์ผลในการร่วมสร้างเป็นพลังของแผ่นดิน
ดังนั้น เรื่องของชีวิตจึงเป็นเรื่องที่สมควรต้องได้พูดคุยและศึกษากันให้ลึกซึ้ง ทั้งที่บ้าน ที่โรงเรียน มหาวิทยาลัย ตลอดจนในสังคม จนกระทั่งสามารถซึมซาบในความหมายและเข้าถึงความมีคุณค่าที่แท้จริงของชีวิต คือมีความยอมเสียสละอุทิศตนเพื่อทำหน้าที่ของตนให้เกิดประโยชน์ที่สร้างสรรค์แก่เพื่อนมนุษย์ แก่ชาติบ้านเมือง และแก่โลก พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานพระดำรัสว่า เมืองไทยนี้มีความหวังที่จะพัฒนาให้อยู่ได้ แต่ว่าจะต้องใช้คำว่าเสียสละและต้องรู้จักคำว่าสามัคคี สองคำนี้เป็นคำที่มีความสำคัญมากในการพัฒนาชาติบ้านเมือง ในการพัฒนาคุณภาพชีวิต ในการที่จะรักษาส่วนรวมของแผ่นดินไว้ ฉะนั้นจึงได้ตรัสว่ามีความหวังที่จะพัฒนาให้อยู่ได้ แม้จะวิกฤตเพียงใดก็พัฒนาให้อยู่ได้ แต่ว่าจะต้องใช้คำว่าเสียสละ และต้องรู้จักคำว่าสามัคคี การรู้จักเรื่องของชีวิตจะเป็นปัจจัยให้มนุษย์รู้จักคำว่าเสียสละ ถ้าไม่รู้จักเรื่องของชีวิต เสียสละไม่เป็นเสียสละไม่ได้ เพราะจะห่วงกังวลแต่เรื่องของฉันและพวกของฉัน ในความมีในความได้ เพราะฉะนั้นการรู้จักเรื่องของชีวิตจะเป็นปัจจัยให้มนุษย์รู้จักคำว่าเสียสละ และมีความสามัคคีที่จะช่วยกันรับผิดชอบทำหน้าที่ของตนให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ส่วนรวม เพราะนี้คือสิ่งที่เป็นคุณค่าและศักดิ์ศรีของชีวิต แล้วพูดอีกนัยหนึ่งก็คือ ศักดิ์ศรีและคุณค่าของชีวิตมนุษย์อยู่ที่ตรงนี้ไม่ใช่อยู่ที่อื่น ตรงนี้ก็คือตรงที่สามารถทำหน้าที่ของตนให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ส่วนรวม คุณค่าและศักดิ์ศรีของมนุษย์อยู่ตรงนี้เองไม่ใช่อยู่ที่อื่น ไม่ใช่อยู่ที่เงินทองทรัพย์สิน ตำแหน่งการงาน ชื่อเสียงเกียรติยศ หรือบริวาร หาใช่สิ่งเหล่านั้นไม่
ชื่อที่ได้รับการจารึกเทิดทูนในประวัติศาสตร์ ก็เพราะเหตุว่าในระหว่างที่มีชีวิตตั้งแต่อย่างบางเบาจนถึงขั้นที่ร้ายกาจ ฉะนั้น สรุปง่ายๆ ได้ว่าความเห็นแก่ตัวนี้เองคือรากเหง้าของปัญหาและอุปสรรค ความเห็นแก่ตัวก็จะเป็นอุปสรรคที่ขัดขวางความสำเร็จผล ในการร่วมสร้างเป็นพลังของแผ่นดินแน่นอน ฉะนั้นสิ่งที่ผู้ปรารถนาจะสร้างเป็นพลังของแผ่นดิน จะต้องปะทะก่อน จะต้องเผชิญก่อน จะต้องป้องกัน กำจัด ให้ค่อยละลายๆ ไปทีละน้อย ก็คือความเห็นแก่ตัวซึ่งเกิดจากความไม่รู้จักชีวิตนั่นเอง นี้ก็เป็นปัญหาหรืออุปสรรคที่เหมือนกับเส้นผมบังภูเขาใช่ไหมคะ มนุษย์เรามีชีวิต ตราบใดที่ยังคงมีลมหายใจอยู่ก็เรียกว่ามีชีวิต แต่ถ้าจะได้รับคำถามว่าชีวิตคืออะไร ต้องหยุดคิด ตอบทันทีไม่ได้ นี่เป็นสิ่งแสดงว่าเพราะเรื่องของชีวิต ไม่ใช่เรื่องที่อยู่ในใจ ที่อยากจะคิดหรือใคร่ครวญ ถ้าหากว่าคิดหรือใคร่ครวญ ย่อมจะสามารถตอบได้ทันที และก็จะรู้จักคุณค่าของชีวิต นี่ก็คืออุปสรรคที่ดิฉันสรุปในหัวข้อแรกที่พูดนะคะ ทีนี้หัวข้อต่อไปก็คือกระบวนการปฏิบัติงาน เพื่อเอาชนะอุปสรรค ประการแรกก็น่าจะต้องกำหนดจุดหมายสูงสุดของกระบวนการปฏิบัติงานนี้ อย่างเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน คือผู้ที่จะร่วมกันปฏิบัติงานคงจะต้องร่วมใจกัน กำหนดจุดหมายสูงสุดของการปฏิบัติงาน ในเรื่องนี้ก็คงไม่มีจุดหมายสูงสุดอื่นใด นอกจากจุดหมายสูงสุดว่า ในการปฏิบัติงานนี้จะต้องสร้างเป็นพลังของแผ่นดินให้สำเร็จให้จงได้ นี่คือเป้าหมายสูงสุดที่กำหนดมองไว้เบื้องหน้า
ประการต่อมาก็คือ การที่จะต้องเรียนรู้ให้ถึงจุดลึกที่สุดของปัญหา ไม่ใช่ตื้นๆ ให้ถึงจุดลึกที่สุดของปัญหา ก็คือสาเหตุของปัญหา เปรียบเหมือนกับว่าถ้าต้องการปลาต้องการไปจับปลาในน้ำ ก็ต้องปักฉมวกลงไปให้ถึงตัวปลา จึงจะได้ปลามากิน ถ้าไม่ปักฉมวกให้ถึงตัวปลา ปลาก็จะลื่นไหลไป ไม่สามารถจะจับปลามากินได้ เช่นเดียวกับเมื่อจะกระทำการงานใด ก็ต้องใคร่ครวญเรียนรู้ให้ถึงจุดลึกที่สุดของปัญหา อาจจะมีปัญหามาก เป็นสิบๆ ก็ได้ แต่อะไรคือปัญหาที่ลึกที่สุด ที่เป็นตัวสาเหตุเป็นรากเหง้า ที่ควรจะต้องถอนออกมาทำลายเสีย แล้วการดำเนินงานต่อไปทุกอย่างก็จะเป็นไปด้วยความราบรื่น เมื่อพบแล้วก็แก้ปัญหาหรืออุปสรรคนั้นให้ตรงจุด คือแก้ที่เหตุอย่าแก้แต่ปลายเหตุ หรือแก้ปัญหาเฉพาะหน้า อย่างที่กระทำกันอยู่ ถ้าสนใจแก้ปัญหาเฉพาะหน้าอย่างเดียว หรือแก้ปัญหาที่ปลายเหตุอย่างเดียว จนสิ้นลมก็กล้าไม่หมด ปัญหาจะทยอยกันมา เพราะฉะนั้นถ้าไม่ต้องการใช้ชีวิตทั้งชีวิตเพื่อแก้ปัญหา ก็จำจะต้องแก้ที่สาเหตุ และก็ดังที่ได้เสนอแล้วว่าความเห็นแก่ตัวนี่แหละ คือรากเหง้าของปัญหาและอุปสรรค ที่เกิดจากความไม่รู้จักชีวิตและคุณค่าของชีวิต ความเห็นแก่ตัวเกิดที่ไหน ทุกท่านก็ทราบ..ก็เกิดที่ใจ เพราะฉะนั้นจึงต้องพุ่งฉมวกให้ปักที่ใจ เพื่อทำลายตัวต้นเหตุของปัญหา หลักที่ควรใช้ในกระบวนการปฏิบัติงานเพื่อเอาชนะอุปสรรค ก็ขอเสนอหลักของสัปปุริสธรรม ๗ ประการ .. สัปปุริสธรรม 7 ประการ ซึ่งเชื่อว่าท่านผู้มีเกียรติคงจะได้ทราบอยู่แล้ว แต่ก็ขอได้โปรดถือเป็นเสมือนการทบทวน
หลักของสัปปุริสธรรม 7 ประการนั้น ท่านถือว่าเป็นธรรมะของสัตบุรุษ สัตบุรุษก็คือบัณฑิตนั่นเอง เป็นหลักในการปฏิบัติงานเพื่อให้สัมฤทธิ์ผลอย่างงดงามในทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นงานเล็ก ไม่ว่าจะเป็นงานใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นงานในทางโลก หรือไม่ว่าจะเป็นงานในทางธรรม ถ้าใช้หลักสัปปุริสธรรม 7 เข้ามาเป็นแนวทางในการใคร่ครวญพิจารณา ความสำเร็จนั้นก็จะมองเห็นได้โดยง่าย เพราะจะช่วยให้เกิดความรอบคอบ ละเอียดถี่ถ้วน ลึกซึ้ง มองเรื่องราวในการที่จะต้องเกี่ยวข้องนั้นอย่างรอบด้าน เมื่อจะกล่าวถึงสัปปุริสธรรม 7 ดิฉันจะขอพูดเป็นคำไทยเพื่อความเข้าใจง่ายนะคะ แล้วก็ไม่ต้องเสียเวลามาก ถ้าพูดเป็นคำไทย..หลักสัปปุริสธรรม 7 ประการ ก็คือ ความรู้จักเหตุ รู้จักผล รู้จักตน รู้จักประมาณ รู้จักกาล (กาลคือกาลเวลา) รู้จักประชุมชน แล้วก็รู้จักบุคคล จะมีทั้ง 7 ประการ ที่ท่านบอกว่า 7 ประการนี้ เป็นสิ่งที่ต้องศึกษาทำความรู้จัก ใคร่ครวญ ให้รอบด้าน เมื่อจะทำกิจการงานใด สิ่งที่ต้องใคร่ครวญคิดเป็นข้อแรก ก็คือเรื่องของเหตุ เหตุที่จะต้องทำ เช่น จะร่วมสร้างเป็นพลังของแผ่นดิน..มีเหตุอะไร เหตุอะไรที่มาเป็นสิ่งจูงใจ หรือกระตุ้นให้คิดทำสิ่งนี้ ให้คิดทำเรื่องนี้ อะไรเป็นเหตุ ค้นหาเหตุให้ได้ ถ้าดูเหตุก็คงจะมองเห็นแล้วว่า เพราะแผ่นดินจะอยู่ได้อย่างมั่นคง หนักแน่น ไม่แบ่งแยก ไม่แตกแยก ไม่มีรอยร้าว จะก้าวไป ณ ที่ใดก็เหยียบลงไปได้อย่างปลอดภัย มั่นคง มีความรู้สึกเป็นสุข มีความรู้สึกเชื่อใจ ว่าแผ่นดินนี้คือแผ่นดินของเรา
บัดนี้ อาจจะเกิดความไม่แน่ใจ หรือก็แน่ใจอยู่หรอก แต่อยากจะให้มั่นคงหนักแน่นยิ่งขึ้น จึงได้พูดกันถึงร่วมสร้างเป็นพลังของแผ่นดิน นี่คือเหตุ เพราะฉะนั้นเมื่อได้เหตุเหมือนกับเป็นจุดที่จะนำไปสู่การใคร่ครวญในแง่มุมอื่นต่อไป ก็อย่าเพิ่งพอใจแค่นี้ ศึกษาลงไปให้ลึกซึ้งอีก ว่าอะไรล่ะเป็นเหตุที่อาจจะทำให้เกิดแผ่นดินร้าวหรือว่าแผ่นดินยุบ ไม่แน่นเหมือนอย่างเคย มีอะไรอีกที่เป็นสาเหตุ ฉะนั้นคิดค้นให้ละเอียด ดิฉันไม่อยากจะพูดให้เข้าไปลึกถึงขนาดนั้นในส่วนตัวของดิฉัน เพราะดิฉันเชื่อว่าท่านผู้มีเกียรติทุกท่านทราบสาเหตุทั้งสิ้นทั้งปวงนี้เป็นอย่างดีด้วยใจของท่านเอง ด้วยงานที่ต้องกระทำอยู่ในหน้าที่นั้นแล้วทุกๆ ท่าน ฉะนั้นนี่คือเป็นเหตุ ถ้าใช้หลักสัปปุริสธรรม นั่งใคร่ครวญแต่เรื่องของเหตุอย่างเดียว บางทีอาจจะต้องใช้เวลาเป็นวันๆ เป็นเดือนๆ แล้วก็ไม่ใช่คิดคนเดียว ประชุมปรึกษาหารือกัน ทีนี้เมื่อได้ตัวเหตุเห็นเหตุชัดเจนแล้ว มองไปยังผล ถ้าหากว่ากระทำเหตุนี้แล้วผลจะเกิดอะไรขึ้น คือจะมีอะไรเป็นผลที่เกิดตามมา ถ้าจะร่วมสร้างเป็นพลังของแผ่นดิน แล้วมีผลอะไรที่จะเกิดตามมา ฉะนั้นผลนั้นก็คือความมั่นคง ความอยู่เย็นเป็นสุข ความรู้รักสามัคคี ความเป็นหนึ่งเดียวกัน เรียกว่ามีแต่ความยิ้มแย้ม ชื่นบาน อิ่มเอิบ สงบเย็น เป็นแผ่นดินที่เหยียบไปตรงไหนก็เย็นตรงนั้น สุขตรงนั้น สบายตรงนั้น นี่เป็นผลที่จะเกิดขึ้น ถ้าสามารถสร้างเป็นพลังของแผ่นดินได้สำเร็จ ฉะนั้นการพิจารณาเหตุ ก็คือเหตุที่ต้องทำ ทำเพื่ออะไร
ทีนี้เมื่อพิจารณาผลก็อนุมานผลที่จะเกิดขึ้น ถ้าได้ประกอบเหตุอย่างถูกต้องไปตามลำดับ อนุมานผลที่จะเกิดขึ้น ซึ่งอันที่จริงก็คือเป็นจุดหมายที่มาจากเหตุนั้นเอง ทีนี้ข้อที่สาม..เหตุผลตน ข้อที่สามคือตน ตนนั้นก็คือพิจารณาที่ตัวของผู้ปฏิบัติธรรม ที่จะปฏิบัติงานนั้นเองว่า ผู้ที่จะปฏิบัติงานหรือตัวเราที่จะเป็นผู้ปฏิบัติงาน ตนนี้มีความพร้อมเพียงใด อย่างที่ในสมัยนี้ก็ใช้ว่าต้องศึกษาความพร้อม มีความพร้อมเพียงใดในการที่จะปฏิบัติงานในเรื่องนี้ เช่น มีความรู้รอบด้านในเรื่องนี้พอแล้วหรือยัง มีประสบการณ์ในเรื่องนี้อย่างมากมายเชี่ยวชาญมาแล้วหรือยัง มีฉันทะความรักความพอใจที่จะทำแล้วหรือยัง ฉันทะเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ถ้าจะกระทำสิ่งใดไม่มีความรัก ไม่มีความพอใจ ทำอย่างฝืนใจ เหมือนกับถูกบังคับให้ทำ ก็เรียกว่าซังกะตายทำ เมื่อซังกะตายทำเรี่ยวแรงก็ไม่มีจะทำ ไม่เกิดขึ้น น้ำใจที่อยากจะทำก็ไม่มี ความสนุกเบิกบานเพลิดเพลินไม่มี มันเหี่ยวแห้งไปหมด เพราะฉะนั้นผลของงานที่คิดว่าควรจะเป็นประโยชน์ ควรจะสร้างสรรค์ ควรจะงดงาม ย่อมเกิดขึ้นไม่ได้ เพราะฉะนั้นฉันทะจึงเป็นสิ่งที่ทุกๆ คนหรือทุกๆ ท่านที่ปรารถนาจะทำงานต้องปลูกฝัง รดน้ำพรวนดินในใจของตนให้เกิดฉันทะ ความรักความพอใจให้ได้ ให้เกิดขึ้นให้ได้ ถ้าไม่ได้เมื่อใด ไม่พร้อมแน่นอน พอมีฉันทะเท่านั้น วิริยะความอุสาหะความเพียรติดตามมาทันที พร้อมที่จะทุ่มเทกำลังกายกำลังใจ กำลังแรงสมองสติปัญญาทุกอย่าง ตลอดจนกระทั่งพร้อมที่จะเสียสละอุทิศตน เพื่อกระทำงานนี้เพื่อปฏิบัติงานนี้
นอกจากนี้ นอกจากจะดูในเรื่องความรู้ ประสบการณ์ ฉันทะ วิริยะ เพียงพอหรือยัง ก็น่าจะลองสำรวจวิสัยทัศน์ของตนเอง ว่าใจของตนนี้เป็นใจที่คับแคบ หรือเป็นใจที่กว้างใหญ่ กว้างไกล มีจิตใจกว้าง พร้อมที่จะรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น พร้อมที่จะมองเรื่องใด ไม่ใช่มองเฉพาะหน้า แต่มองไปไกล ไปไกลให้เห็นว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น อย่างไรต่อไป ไม่ใช่มองแค่สั้นๆ ถ้าหากว่าวิสัยทัศน์ยังแคบอยู่ ชอบมองอะไรเฉพาะหน้า ก็แน่นอนต้องเปิดม่าน หรือว่าเบิกฟ้าของวิสัยทัศน์นั้น ให้กว้างให้ไกลยิ่งขึ้น จึงจะมีความรอบด้าน นอกจากนี้ก็ลองสำรวจทบทวนประสบการณ์ที่ผ่านมาว่า เมื่อมีปัญหาเกิดขึ้น ตนนี้มีวิธีแก้ปัญหาอย่างไร สิ่งนี้สำคัญ การที่จะดูวิธีการแก้ปัญหา แสดงถึงสมรรถภาพหรือศักยภาพของบุคคลนั้นด้วย ว่ามีวิธีแก้ปัญหาในลักษณะใด พอปัญหาเกิดขึ้น โกรธก่อนหรือเปล่า ตวาดออกไปก่อน ใช้คำพูดที่จะกระทบกระทั่ง ทำให้ผู้เกี่ยวข้องมีแต่ความเสียใจ เสียกำลังใจ ไม่อยากร่วมงานด้วย หรือเมื่อเกิดปัญหาขึ้น..นิ่ง..นิ่งก่อน หายใจยาว ลึก ผ่อนคลายอารมณ์ที่เกิดขึ้น เรียกสติกลับมา เพิ่มความสุขุมรอบคอบ แล้วจึงพูด จึงอธิบาย หรือจึงซักถาม พูดง่ายๆ ก็คือว่า มีวิธีแก้ปัญหาอย่างผู้มีความรู้ อย่างผู้มีประสบการณ์ อย่างผู้มีความสุขุมรอบคอบ แก้ปัญหาเพื่อให้ปัญหานั้นลุล่วงไปด้วยความเรียบร้อย ราบรื่น เกิดประโยชน์แก่ทุกฝ่าย หรือว่าเป็นผู้ที่ชอบแก้ปัญหาแล้วก็เกิดปัญหาซ้อนขึ้นมาอีก แทนที่จะแก้ปัญหาก็ก่อก่อปัญหาต่อไป
สำรวจตนในเรื่องนี้เพื่ออะไร ถ้าหากว่าเป็นผู้ชอบแก้ปัญหาด้วยอารมณ์ หรือปัญหาซ้อนปัญหา ก็แน่นอนจะต้องแก้ไขปรับปรุงวิธีแก้ปัญหาในลักษณะนั้น เพราะนั่นเป็นวิธีลบ ลบคะแนนของตัวเอง แล้วก็ลบความเจริญก้าวหน้า ความราบรื่นในการปฏิบัติงาน กลายเป็นอุปสรรคขัดขวางไม่ให้การปฏิบัติงานนั้นสำเร็จได้ นอกจากนี้ก็ลองสำรวจที่ใจของตนว่า มีความพร้อมที่จะยอมรับความคิดเห็นของผู้อื่น ให้ความยกย่องเคารพนับถือเพื่อนร่วมงาน เหมือนอย่างกับว่าเป็นบุคคลเป็นผู้คนที่มีความเสมอกัน มีความรู้สึกอย่างนี้มีการปฏิบัติอย่างนี้หรือเปล่า หรือมีความรู้สึกว่าความคิดของฉัน โครงการของฉัน ความรู้ของฉัน อะไรๆ ของฉันนั้นดีที่สุดวิเศษที่สุด เหนือของผู้ใดอื่นทั้งสิ้น รับของใครไม่ได้ ก็แน่นอนที่สุดถ้าสำรวจแล้วเป็นอย่างนี้ แล้วก็บอกว่าแก้ไม่ได้ ก็ต้องทำงานคนเดียว ทำงานกับคนอื่นไม่ได้ และสร้างพลังแผ่นดินไม่ได้ ต้องหาแผ่นดินเล็กๆ นิดๆ อยู่คนเดียวอีกเหมือนกัน สิ่งเหล่านี้แล้วก็ยังมีอื่นๆ อีกนะคะ ที่ดิฉันเอ่ยมาก็อาจจะเป็นเพียงตัวอย่าง ก็ต้องสำรวจพิจารณาความพร้อมของตนในแง่มุมต่างๆ อย่างซื่อตรง นี่สำคัญมากๆ อย่างซื่อตรง แล้วก็อย่างเป็นกลาง คือไม่เข้าข้างตัวเอง เพราะโดยสัญชาตญาณมนุษย์เราก็มักจะรู้สึกว่า อะไรๆ ที่เป็นของเรานี่มันดี มันดีทั้งนั้น มันน่ารักทั้งนั้น แม้แต่สิ่งเหม็นก็อยากจะบอกว่าหอม เพราะมันเป็นของเรา
เพราะฉะนั้น เมื่อเวลาที่จะสำรวจความพร้อมของตน ก็อยากจะเรียนว่า ถ้าสามารถนำเอาความรู้สึกที่เป็นตนนี่ ไปวางไว้ข้างนอกที่ใดที่หนึ่ง แล้วก็เหลือแต่ความเป็นกลาง เหมือนกับที่เวลาที่มองพิจารณาในเรื่องงานของผู้อื่น ก็จะสามารถทำให้การสำรวจความพร้อมของตนเองนั้น เป็นไปอย่างเที่ยงตรง แล้วก็จะได้รู้จักสิ่งที่จริงที่เกี่ยวกับตนเอง ทีนี้ข้อที่สี่ เหตุผลตน ข้อที่สี่ก็คือประมาณ คำว่าประมาณนี้ค่อนข้างยากนะคะ ที่จะมากะเอาว่า ประมาณแค่ไหน ถึงจะเหมาะสม ถึงจะใช้ได้ เพราะคำว่าประมาณนี้ ถ้าเอาคนสิบคนมานั่งประมาณด้วยกัน การประมาณของคนสิบคนก็คงแตกต่างกัน หนักไปบ้าง เบาไปบ้าง น้อยไปบ้าง มากไปบ้าง เป็นต้น เพราะฉะนั้นความประมาณถ้าพูดง่ายๆ ธรรมดาก็หมายถึง ความพอเหมาะ พอควร ความพอดี ทีนี้จะใช้อะไรเป็นเกณฑ์ตัดสิน ว่านี่พอดีแล้ว ดิฉันก็อยากจะขอเสนอว่า ถ้าเมื่อใคร่ครวญดูทุกอย่างแล้ว แล้วก็ลงมือกระทำ การกระทำนั้นจะไม่ก่อให้เกิดปัญหาซ้อนปัญหา พูดง่ายๆ ก็คือว่าไม่มีปัญหาตามมา มันเรียบร้อยราบรื่นไปได้ ก็แสดงว่าสิ่งที่ทำนั้นเป็นสิ่งที่พอเหมาะพอดี หรืออีกนัยหนึ่งก็คือว่า เป็นสิ่งที่ได้ดำเนินตามหนทางของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นั่นก็คือเป็นทางสายกลาง ไม่สุดโต่ง ไม่เหวี่ยงซ้ายไม่เหวี่ยงขวา ไม่ปีนตลิ่ง แต่จะอยู่ตรงกลาง เพราะฉะนั้นเมื่ออยู่ตรงกลาง ก็จึงเป็นสิ่งที่ไม่กระทบกระเทือนบุคคลเพื่อนผู้ใด แต่จะมุ่งเพื่อประโยชน์ของส่วนรวม ประโยชน์ของงานที่จะเกิดขึ้น ทีนี้ข้อที่ห้าก็คือ..กาล.. ก็ ก-ไก่ สระ-อา ล-ลิง .. กาลเวลา .. เมื่อดูแล้วเหตุก็สมควร ผลก็สมควร ตนก็พร้อม ประมาณก็พอรู้ว่าขนาดไหน ก็มาถึงเรื่องของ..กาล..คือ กาลเวลา พร้อมรึยังที่จะลงมือทำ กาลเวลาก็หมายถึงจังหวะหรือโอกาสนั่นเอง จังหวะหรือโอกาสขณะนี้ พร้อมรึยังที่จะเริ่มทำงานนี้
ถ้าหากว่าทุกอย่างพร้อม แต่กาลเวลายังไม่อำนวย จังหวะยังไม่เหมาะ โอกาสยังไม่เหมาะ ก็แน่นอนต้องคอยไว้ก่อน ยอมได้คอยได้ แม้จะดูเหมือนกับว่า เป็นผู้แพ้ ก็ยอมแพ้..เพื่อที่จะรักษาความเป็นผู้ชนะในภายภาคหน้า ฉะนั้นสัปปุริสธรรมจะเสนอหรือแนะแนว แนะแนวทางให้มีความรอบคอบในการดำเนินงาน ด้วยสติและปัญญาที่เป็นสัมมาทิฏฐิ ซึ่งถ้าสติและปัญญาที่เป็นสัมมาทิฏฐิเข้ามาควบคุม การคิดการพูดการกระทำก็กล่าวได้ว่าไม่มีเสีย มีแต่จะเป็นผลดีที่งดงามได้ตลอดไป ฉะนั้น..กาล..นี่ก็คือ ดูจังหวะดูโอกาสที่เมื่อคิดรอบคอบแล้ว ไม่มีสิ่งที่จะเป็นสิ่งที่เสียอันควรแก่การเสีย ข้อที่หก..ประชุมชน ประชุมชนก็คือหมายถึงชุมชนนั่นเอง ชุมชนที่จะเข้าไปเกี่ยวข้อง และในชุมชนนั้นก็ยังมีชุมชนย่อยออกไป เช่น มีวัด มีกลุ่มคน มีองค์กร มีชมรม มีสมาคม หรืออื่นๆ นะคะ เมื่อได้ไปศึกษาสำรวจแล้วก็จะรู้จักว่าประชุมชนนั้นมีใครมีอย่างไรบ้าง ทีนี้เมื่อเข้าไปจะศึกษาประชุมชนอย่างไร ซึ่งดิฉันเชื่อว่าท่านผู้มีเกียรติที่จะทำงานเกี่ยวกับด้านนี้ ย่อมจะรู้จักวิธีสำรวจชุมชนหรือทำการศึกษาชุมชนมาแล้วเป็นอย่างดี แต่ในทัศนะที่เราจะใช้เกี่ยวกับเรื่องของสัปปุริสธรรม ก็คงจะไม่แตกต่างมากนักจากที่ท่านผู้มีเกียรติได้ทราบมา หรือได้ดำเนินงานมา นั่นก็คือศึกษาในลักษณะของชุมชน ซึ่งดิฉันไม่ต้องขออธิบายรายละเอียดนะคะ ชุมชนนี้มีลักษณะอย่างไร รวมทั้งชุมชนย่อยที่เป็นวัด ที่เป็นกลุ่มคน ที่เป็นองค์กร ที่เป็นชมรมสมาคม มีลักษณะอย่างไร มีท่าทีอย่างไร มีวิสัยทัศน์อย่างไร มีอุดมคติอย่างไร มีทัศนคติอย่างไร มีจุดอ่อนมีจุดแข็งอย่างไร เรียกว่าศึกษาดูไปให้รอบด้าน ตลอดจนกระทั่งวิธีแก้ปัญหาของชุมชนนั้นด้วย
วิธีแก้ปัญหาก็เหมือนอย่างที่ดิฉันได้พูดแล้วเมื่อกี้นี้ ก็ดูในลักษณะนั้น เมื่อมีปัญหาเกิดขึ้นแก่ชุมชน หรือเกิดขึ้นแก่กลุ่มย่อยในชุมชนนั้น..ในส่วนย่อยของชุมชนนั้น มีการแก้ปัญหาอย่างแตกหัก พอเกิดปัญหาขึ้นเอาแตกเอาหัก ฟันต่อฟันตาต่อตา หรือแก้ปัญหามีวิธีการแก้ปัญหาอย่างชนิดยอมรอมชอมกัน โอนอ่อนผ่อนกัน ด้วยการถือเหตุผล ถือประโยชน์ส่วนรวมร่วมกัน นี่ก็จะเป็นแนวทางให้มีความรู้จักในวิธีที่จะเกี่ยวข้อง หรือดำเนินงานสัมพันธ์กับชุมชนนั้น ถ้าเป็นชุมชนย่อยก็ศึกษาดูอีกให้ละเอียด ก็มีความกลมกลืนกับชุมชนใหญ่ มากน้อยแค่ไหน มีความสนับสนุนซึ่งกันและกัน หรือมีความเป็นปฏิบัติต่อกันและกัน ข้อที่เจ็ดก็คือ บุคคล อันที่จริงในขณะที่ศึกษาชุมชน ก็คงจะได้ศึกษาบุคคลไปด้วย แต่ทีนี้ก็เจาะลงไป เพื่อให้ลึกและให้ได้รายละเอียดให้มากขึ้น ก็แน่นอนที่สุดเมื่อจะศึกษาบุคคล ก็ย่อมจะเป็นบุคคลที่เป็นกุญแจสำคัญ ที่เป็นประธานของชมรม หรือเป็นท่านสมภารเจ้าอาวาส หรือเป็นผู้ที่สามารถที่จะเป็นศูนย์กลาง ได้รับการเคารพยกย่องจากชุมชนนั้น เรียกว่า เป็นการเจาะลึกลงไป ถ้าหากว่าหลังจากที่ได้ใช้สัปปุริสธรรมทั้ง ๗ ประการนี้แล้ว ดูหมดอย่างรอบด้านทุกๆ ข้อ บุคคลที่เข้าไปดู ไปทำความรู้จัก ไปเกี่ยวข้อง รู้จุดอ่อน จุดแข็ง จุดดี จุดเด่น จุดด้อย
เมื่อรู้หมดทั้งสิ้นแล้ว ก็จะกำหนดได้ไว้ในใจเองว่า จะสามารถพึ่งพาอาศัย เพื่อให้ได้กำลังสนับสนุน มากน้อยเพียงใด หรือจะเป็นกำลังที่ต่อต้านเป็นปฏิปักษ์ ซึ่งเมื่อทราบดังนี้แล้ว ก็เท่ากับว่าผู้ที่ปฏิบัติงานรู้ต้นทุนของตนเอง แล้วก็รู้ได้ว่าถ้าทำงานนี้ จะมีกำไรหรือจะขาดทุนแค่ไหน ถ้าหากว่ามีกำไรมากน้อยเพียงใด ถ้าหากว่าขาดทุนคุ้มแก่การขาดทุนไหม ถ้ายังไม่คุ้มก็อาศัยกาลเวลา ตอนนี้รอไว้ก่อน ยอมไว้ก่อน ฉะนั้นสัปปุริสธรรม 7 ถ้าหากว่าบุคคลใดใช้สัปปุริสธรรม 7 ประการเป็นแนวทางในการพิจารณาดำเนินงาน ก็จะเป็นการส่งเสริมให้เกิดปัญญาที่เป็นสัมมาทิฏฐิ ในขณะที่ใคร่ครวญแต่ละข้อๆ ข้อนี่นะคะ ปัญญาที่เป็นสัมมาทิฏฐิ คือ ปัญญาที่มีความคิดเห็นที่ถูกต้อง ถูกต้องก็คือเกิดประโยชน์ เกิดประโยชน์แก่ส่วนรวม เกิดประโยชน์ที่สร้างสรรค์ สามารถที่จะมองปัญหาได้อย่างทะลุนะคะ มีปัญหาอะไรเกิดขึ้นในการปฏิบัติงาน ปัญญาสัมมาทิฏฐิจะช่วยบุคคลนั้นให้มองปัญหาอย่างทะลุ ทะลุตลอดโล่งไปเลย ไปจนกระทั่งถึงจุดของปัญหา ไปจนกระทั่งถึงจุดเมื่อพ้นจากปัญหานี้แล้วจะเป็นอย่างไร เรียกว่าจะไม่มองอย่างตันๆ อยู่แค่นั้น แต่จะมองทะลุสมบัติที่สำคัญอย่างยิ่งของทุกคน ไม่ว่าจะเป็นผู้ใหญ่หรือเป็นเด็ก ถ้าหากสามารถสอนอบรมพัฒนาให้เกิดวิจารณญาณที่ละเอียด ลึกซึ้ง รอบด้าน การที่จะตัดสินใจกระทำการสิ่งใดหรือพูดสิ่งใดจะมีความถูกต้องมากกว่าความผิดพลาด แล้วก็จะไม่เป็นผู้ที่หลงเชื่อคนง่าย ไม่เป็นผู้ที่จะถูกใครจูงจมูกได้ และบุคคลที่มีวิจารณญาณในลักษณะนี้แหละจะเป็นพลังของแผ่นดินที่น่าปรารถนาอย่างยิ่ง
นอกจากนี้ก็จะส่งเสริมให้รู้จักเอาความถูกต้อง หรือประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นแก่ส่วนรวม เป็นศูนย์กลางของการพิจารณา โดยวางความรู้ความรู้สึกของความเป็นตัวตน ไว้นอกวงของการพิจารณา คือในขณะที่จะพิจารณาเรื่องของสัปปุริสธรรม 7 ก็ดี พิจารณาในการทำงานก็ดี ถ้าสามารถวางความรู้สึกเป็นตัวตน คือเป็นฉัน ไม่ว่าจะเป็นฉันที่อยู่ในตำแหน่งใด วางไว้ก่อน เอาแต่เรื่องของงานเหตุผลของงานเข้ามาพิจารณา ก็จะส่งเสริมการทำงานนั้นให้เป็นไปด้วยความราบรื่น และได้ประโยชน์สมความปรารถนา ทีนี้นอกจากว่าในกระบวนการปฏิบัติเพื่อเอาชนะอุปสรรค จะใช้สัปปุริสธรรม 7 เป็นหลักในการดำเนินงานแล้ว ก็ควรจะได้ใช้หลักกาลามสูตรเป็นแนวทางในการพิจารณาตัดสิน คือในขณะที่ทำงานไป ก็แน่นอนที่จะต้องมีความสงสัย ความไม่แน่ใจเกิดขึ้นบ้าง เมื่อมีความสงสัยไม่แน่ใจเกิดขึ้น ลังเล จะเอาอะไรเป็นแนวทางเกณฑ์ตัดสิน ในทางพระพุทธศาสนาหรือในทางธรรม ท่านก็จะให้ใช้หลักกาลามสูตร ท่านผู้มีเกียรติก็คงจะได้เคยได้ยินนะคะ และคงจะได้ทราบเกี่ยวกับเรื่องของหลักกาลามสูตรมาแล้ว หลักกาลามสูตรนั้นก็กล่าวถึงแคว้นกาลามะ มีครูบาอาจารย์ผ่านเข้ามาที่นี่ ที่ชุมชนแห่งนี้มาก อาจารย์คนหนึ่งมาก็สอนอย่างนี้ แล้วก็บอกอย่างนี้ถูกนะ ต้องทำตามนี้ ถ้าไม่ทำตามนี้ล่ะก็จะไม่ได้ประโยชน์ หรืออะไรก็แล้วแต่ อาจารย์อีกคนหนึ่งมาก็บอกว่าอย่างนี้นะถึงจะถูก ต้องทำอย่างนี้ ถ้าทำอย่างอื่นล่ะก็พลาดแน่ แล้วก็อาจารย์คนไหนมา ก็จะพูดอย่างนี้เรื่อย จนกระทั่งชาวกาลามะเกิดความสับสนไม่แน่ใจ อาจารย์คนนั้นมาก็ท่าทางน่าเชื่อถือ ท่าทางว่ามีความรู้ แล้วก็บอกว่าให้ทำอย่างนี้ ให้เชื่ออย่างนี้ อีกคนหนึ่งก็มาอย่างนี้ แล้วเราซึ่งไม่มีความรู้เพียงพอ จะตัดสินว่าควรจะเชื่อใคร ก็ไม่แน่ใจ
จนกระทั่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เสด็จไปที่นั้น ชาวกาลามะก็กราบทูลถามว่า ในกรณีที่มีครูบาอาจารย์จากเมืองต่างๆ ผ่านมา แล้วก็มาสั่งสอนแนะนำอย่างนี้ พวกข้าพระองค์ควรจะเชื่อใคร ว่าคำสอนของใครถูก คำสอนของใครที่ไม่ควรเชื่อถือ แทนที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะตรัสว่า อย่างนี้สิถูก อย่างนั้นไม่ถูก นี่เป็นแนวทางนะคะ เป็นแนวทางขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อพระองค์จะทรงบอกอย่างใด แทนที่ท่านจะตรัสอย่างนั้น ท่านก็ประทานหลักการที่เรียกว่าเป็นสูตรออกมา มีอยู่ 10 ข้อ ก็บอกว่าเอาอย่างนี้ ให้ระลึกไว้อย่างนี้ สิบข้อนั้นจะบอกว่า อย่าปลงใจเชื่อ เพราะฟังตามๆ กันมา คือฟังตามๆ กันมาแต่โบร่ำโบราณนมนาน เพราะฉะนั้นพอได้ยินอีก ก็จะเชื่อทันที อย่า อย่าไปปลงใจเชื่อ เพราะฟังตามกันมา อย่าปลงใจเชื่อเพราะถือสืบต่อกันมา คือเพราะเป็นประเพณีหรือเป็นอะไรก็แล้วแต่ ว่านี่เป็นประเพณีที่ทำกันมา อย่างที่ว่าเขาทำกันมานั่นแหละ ก็อย่าเพิ่งไปเชื่อ อย่าปลงใจเชื่อเพราะได้ยินเล่าลือกันมา เขาเล่าลือกันมาหนาหูเหลือเกิน อ้างตัวคนได้ คนนั้นก็ว่าอย่างนั้น คนนี้ก็ว่าอย่างนี้ ก็อย่าเพิ่ง อย่าเพิ่งเชื่อ อย่าปลงใจเชื่อเพราะมีผู้อ้างบอกว่าเรื่องนี้นะมีอยู่ในตำรา หรือว่ามีอยู่ในพระคัมภีร์ ก็ยังอย่าเพิ่งปลงใจเชื่อ หรืออย่าปลงใจเชื่อว่าเหตุผลมันเป็นอย่างนั้น เหตุผลมันว่าอย่างนี้ คือคิดไปคิดมาตามตรรกะแล้วก็ว่าเหตุผลมันเป็นอย่างนี้ เพราะอย่างนี้มันจึงเป็นอย่างนี้ ก็อย่าเพิ่งเชื่อ
หรืออย่าเพิ่งเชื่อเพราะว่ามองๆ ดูคิดไปตามแนวทางในนี้ นัยนี้ก็ว่าอย่างนี้ นัยนี้ก็ว่าอย่างนี้ ดูมันจะเป็นไปได้ ก็อย่าเพิ่งเชื่อ รอไว้ก่อน หรืออย่าเพิ่งเชื่อเพราะอนุมานเอาว่ามันน่าจะใช่ มันน่าจะถูก มันน่าจะเป็นอย่างนั้น ก็อย่าเพิ่งเชื่อ อย่าเพิ่งเชื่ออย่าเพิ่งปลงใจเชื่อ เมื่อฟังแล้วรู้สึกว่าสิ่งที่พูดนั้นมันเข้ากันกับทิฏฐิของตน เข้ากันกับทิฏฐิของตนความเห็นของตนก็หมายความว่า มีความรู้สึกว่าทำอย่างนี้ดี ถูกต้อง พอมีคนทำอย่างนี้แล้วก็พูดว่าต้องทำอย่างนี้ ก็เห็นด้วยเชื่อทันที เพราะมันมาตรงกับที่ใจของตัวเองเชื่ออยู่แล้ว ก็อย่าเพิ่งปลงใจเชื่อว่ามันเข้ากันได้กับทิฏฐิของตน หรือผู้พูดมีลักษณะน่าเชื่อถือ คนนี้พูดจาอะไรน่าจะเชื่อถือได้ ก็อย่าเพิ่งเชื่อถือ และข้อสุดท้ายแม้แต่ว่าผู้พูดนั้นเป็นครูอาจารย์ของตนนั่นแหละ ก็อย่าเพิ่งเชื่อ เพราะอาจจะเปลี่ยนแปลงได้ นี่พระองค์ก็ประทานแนวทาง ๑๐ ประการดังที่กล่าวแล้วว่า ถ้าเป็นเพราะฟังตามกันมาก็ดี หรือว่าถือสืบต่อกันมาก็ดี เล่าลือกันมาหรืออ้างตำราหรือเหตุผล หรืออนุมานหรือเพราะมันตรงกับทิฏฐิ หรือท่าทางน่าเชื่อถือ หรือแม้แต่เป็นครูอาจารย์ ก็อย่าเพิ่งเชื่อถือ แต่ให้นำสิ่งที่ได้ยินได้ฟังนั้นมาพิสูจน์ ทดลอง พิสูจน์ทดลองที่ไหน ก็พิสูจน์ทดลองที่ข้างใน ใคร่ครวญดูที่ข้างในที่ในใจของตน
ด้วยความสงบ นิ่งๆ ให้ชัดเจน จนกระทั่งประจักษ์ว่า เออ..สิ่งนี้ใช่ ถูกต้อง เป็นไปได้ เหมือนอย่างเช่น ท่านบอกว่า ความทุกข์เกิดจากความยึดมั่นถือมั่น ยึดมั่นถือมั่นในสิ่งใดเป็นทุกข์เพราะสิ่งนั้น แม้แต่ยึดมั่นถือมั่นในความดี ก็เป็นทุกข์เพราะความดี ทั้งๆ ที่ความดีก็เป็นสิ่งที่ดีล่ะ ใครๆ ก็อยากจะเห็นคนดี อยากจะเห็นใครๆ ทำความดี แต่ถ้าทำความดีอย่างยึดมั่นถือมั่น ก็ต้องเป็นทุกข์ จริงไหม เชื่อได้ไหม ก็เอามาใคร่ครวญดู เอ.. ที่ว่าถ้ายึดมั่นถือมั่นในความดีแล้วเป็นทุกข์ จริงไหม ใคร่ครวญดูช้าๆ ในใจ ก็ท่านผู้มีเกียรติที่นั่งอยู่ในที่นี้ ดิฉันเชื่อว่าเป็นคนดีทุกท่าน ก็โปรดถามตัวเองว่า เคยมีความทุกข์ทั้งๆ ที่ท่านเป็นคนดี มีความทุกข์ไหม แน่นอน คนดีถ้าจะว่าไปทุกข์มากกว่าคนชั่วอีก เพราะอะไร เพราะเมื่อทำดี อดไม่ได้ ที่จะอยากให้เขาชมว่าดี อดไม่ได้ ที่หวังว่าจะมีสิ่งใดตอบแทนความดีนั้น เป็นต้น ทีนี้ มันไม่เป็นอย่างหวัง ชมเขาก็ไม่ชม มิหนำซ้ำบางทีเอาไปนินทา หาเรื่องว่าเสียอีก รางวัลตอบแทน สองขั้นสามขั้นควรจะได้บ้าง ก็ไม่เวียนเทียนมาถึงเราสักที ทำความดี แต่หวังผลตอบแทน ยึดมั่นว่าเมื่อทำดีแล้วต้องมีผลตอบแทน นี่เองคือต้นเหตุของความทุกข์ ถ้าทำความดีโดยไม่ยึดมั่นถือมั่น ทำความดีเพราะความดี หรือเพื่อความดี มันเกิดประโยชน์แน่ พอทำเสร็จก็เป็นสุขในตอนนั้น สุขใจสุขอยู่ข้างใน ความทุกข์ก็ไม่เกิด นี่การนำมาใคร่ครวญคือหมายความว่าอย่างนี้ อ๋อ..พอใคร่ครวญในใจ มันประจักษ์ชัดในประสบการณ์ของชีวิตที่ผ่านมา อ๋อ..จริงทีเดียว ถ้าหากว่าการทำการสิ่งใดด้วยความยึดมั่นถือมั่นแล้ว ทุกครั้งนั้นเพราะมันไม่เย็น มันมีความทุรนทุราย ดิ้นรน อยากจะได้สิ่งตอบแทน
แต่ถ้าทำโดยไม่ยึดมั่นถือมั่น เพื่อประโยชน์ที่จะเกิดขึ้น ความทุกข์ไม่เกิด..ความทุกข์นะ จริงไหม ดูที่ใจ อย่างนี้คือหมายความว่าตามที่พระพุทธองค์ทรงสอน อย่าเพิ่งเชื่อ แต่พอใครเขาสอนเราก็เอามา เอามาใคร่ครวญดูในใจ จนประจักษ์ชัดว่า ใช่หรือไม่ใช่ ด้วยใจของตนเอง ที่สัมผัสกับสิ่งที่เป็นความจริงนั้น แล้วจึงค่อยตัดสิน แล้วจึงค่อยเชื่อ นี่ก็หลักกาลามสูตรที่จะนำมาใช้ในการปฏิบัติงานนั้น คิดว่าเป็นสิ่งที่มีความจำเป็นมากทีเดียวนะคะ เป็นสิ่งที่มีความจำเป็นมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคสมัยปัจจุบัน เพราะอะไร ทุกท่านก็ทราบแล้วว่า ยุคนี้เป็นยุคข่าวสารข้อมูล มากมายทั่วทุกสาระทิศประดังกันเข้ามา จนกระทั่งอาจจะทำให้คนนี้ หลงคิดผิด ได้หลงเชื่อผิดได้ ถลำไปในหนทางผิดพลาดได้อย่างง่ายๆ ฉะนั้น ถ้าหากว่าจะลองศึกษาหลักของกาลามสูตร แล้วก็นำมาใช้เพื่อประกอบบ้าง ก็คงจะทำให้มีความสุขในการทำงาน เพราะจะไม่ตกเป็นทาสของการโฆษณาชวนเชื่อด้วยประการทั้งปวง ขอประทานโทษนะคะที่ดิฉันจะอมอะไรนิดหน่อย เพราะดิฉันเป็นโรคเลือดไม่ค่อยขึ้นไปเลี้ยงสมอง ทีนี้ข้อที่สี่นะคะ ข้อที่สี่ที่เสนอในเรื่องของกระบวนการปฏิบัติงานก็คือ น่าจะต้องมีแบบอย่างและปฏิบัติตนเป็น