แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ขอขอบพระคุณนะคะ ทุกท่านที่มีความสนใจและก็มาพบกันในบ่ายวันนี้ ไม่ทราบว่าทุกท่านรู้สึกว่าพร้อมหรือยังในขณะนี้ มีความพร้อมในใจหรือยังคะ คำว่าพร้อมก็คือว่า รู้สึกสบายใจไหมคะ ตอนนี้ค่ะ กำลังรู้สึกสบายใจ กำลังรู้สึกปลอดโปร่งใจแล้วหรือยัง ถ้าท่านผู้ใดยังรู้สึกว่า ใจยังไม่โปร่ง ก็โปรดนั่งพิงตามสบาย หายใจสบายๆ ช้าๆ เพื่อที่จะขับไล่ความกังวล ความไม่สบายใจ ออกไปเสียให้หมด เพราะการที่เราจะฟังเรื่องของธรรมะ เราไม่ได้ฟังด้วยสมอง หวังว่าทุกท่านคงเข้าใจแล้ว เราไม่ได้ฟังด้วยสมองนะคะ เมื่อเราจะฟังธรรมะ เราใช้ใจฟัง เพราะเมื่อใจฟังแล้วนี่ ใจก็จะรู้สึกด้วย รู้สึกในสิ่งที่ได้ฟัง จะสัมผัสกับสิ่งนั้นว่ามันจะมีคุณประโยชน์ มีอะไรบ้าง เกี่ยวกับชีวิตของเราหรือไม่ ในวันนี้ที่ดิฉันได้มีโอกาสมาที่โรงพยาบาลสกลนครนี้ ก็คงทราบแล้วว่าเนื่องด้วยเหตุ 2 อย่าง อย่างแรกก็คือว่า วันนี้เป็นวันที่ 21 ตุลาคม ซึ่งเป็นวันสำคัญเนื่องจากเป็นวันประสูติของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี เรียกว่าเป็นที่สุดเคารพสุดบูชาของชาวไทย ประจักษ์พยานอันนี้ก็จะเห็นได้จากการถวายพระเพลิงที่ได้มีพวกประชาราษฎรไทย พากันหลั่งไหลไป ด้วยความรัก ด้วยความอาลัย ด้วยความคารพบูชา โดยไม่ได้มีการบังคับเลยสักอย่างเดียว ฉะนั้นเมื่อวันนี้มาถึง ก็ได้มีโอกาสที่จะมายังสถานที่นี้เพราะเนื่องด้วยวันที่ 21 ตุลาคม นี้มิได้เป็นแต่เพียงเฉพาะวันประสูติของพระองค์ท่านเท่านั้น แต่เป็นวันพยาบาลแห่งชาติด้วย เมื่อดิฉันได้รับการติดต่อว่า ให้มาพูด ว่าจะพูดกันเรื่องอะไร ก็เลยเสนอว่า เราพูดกันเรื่องคุณภาพชีวิตเห็นจะดีกว่า เพราะเหตุว่าองค์สมเด็จพระบรมราชชนนีนั้น ทุกท่านก็ทราบดีแล้วว่า โดยวิชาชีพพระองค์ได้ทรงเข้าศึกษาวิชาพยาบาลตั้งแต่พระชนมายุเพียง 13 เท่านั้น ทรงมีอายุน้อยที่สุด ในบรรดานักเรียนพยาบาลในสมัยนั้นที่ศิริราชพยาบาลในตอนแรก และก็กล่าวได้ว่าพระชนมายุเพียง 13 ก็ยังเป็นเด็กๆ นั่นเองนะคะ ถ้าพูดตามคำธรรมดา ยังชอบสนุก ชอบซน ชอบเล่น เหมือนดังที่สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอได้ทรงเล่าไว้ในพระนิพนธ์ที่ชื่อ “แม่เล่าให้ฟัง” ท่านทรงเล่าไว้ตอนหนึ่งว่า เมื่อมีการทำคลอด แล้วก็มีผู้ต้องการให้สมเด็จพระราชชนนีซึ่งเป็นนักเรียนพยาบาลในตอนนั้นไปช่วยทำคลอด ต้องไปตามพระองค์ท่านลงจากต้นมะม่วง นี่ก็คือแสดงถึงว่า ก็ยังทรงเป็นเด็กจริงๆ อายุเพียง 13 เท่านั้นเอง แล้วก็อีกคราวหนึ่ง ทรงรับหน้าที่ ต้องเข้าเวรคนไข้ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอก็ทรงเล่า คือทรงเล่าเขียนไว้ตามที่สมเด็จพระบรมราชชนนีเล่าประทานว่า พอคนไข้เห็นหน้าพวกพยาบาลก็ร้องไห้ ก็ไม่ทราบ คือท่านไม่อธิบายว่าที่ร้องไห้เพราะอะไร ร้องไห้เพราะกลัวตัวเองว่า พยาบาลหน้าเด็กๆ นี่ จะมาดูแลรักษาเรา ถูกต้องหรือเปล่า หรือว่าร้องไห้เพราะสงสาร ปัดโธ่ เด็กเท่านี้ต้องมาเป็นพยาบาล สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอท่านไม่ได้ทรงอธิบายนะคะ แต่อย่างไรก็ตาม ท่านก็ทรงเล่าว่าสมเด็จพระบรมราชชนนีนั้น ทรงเรียนได้ดีทีเดียว คือเขียนหนังสือได้ดี อ่านหนังสือได้ดี แล้วในงานปฏิบัติในหน้าที่ของพยาบาลนั้น ทรงทำได้คล่องแคล่วมาก ก็ทรงจบการศึกษาพยาบาลที่ศิริราช เมื่อพระชนมายุได้ 16 พรรษา จากนั้นก็ได้ทรงมีโอกาสเสด็จไปศึกษาต่อที่สหรัฐอเมริกา คือศึกษาทางด้านวิชาอนามัยและโภชนาการ แล้วพระองค์ก็ได้ทรงใช้วิชาที่ได้ศึกษามานี้เป็นประโยชน์แก่ประเทศชาติมาก ถึงแม้เราจะไม่ได้เห็นหรือไม่ได้ยินในแง่ที่ว่า พระองค์ทรงรับหน้าที่เป็นพยาบาลที่โรงพยาบาลแห่งใด แต่พระองค์ได้ทรงใช้ ในหน้าที่ของพระบรมราชชนนี ของพระมารดา ของพระธิดาและพระโอรส กล่าวได้ว่า พระองค์ได้ทรงบำรุงเลี้ยง พระโอรสและพระธิดา อย่างถูกสุขภาพอนามัย สะอาด รับประทานอาหารที่ถูกสุขภาพ แล้วก็ทรงเลี้ยงอย่างมีระเบียบวินัยอีกด้วย เพราะฉะนั้นก็จึงไม่น่าสงสัยว่า เราคนไทยนั้นมีโชคดีเหลือเกิน ที่ได้มีพระมหากษัตริย์ไทยถึง 2 พระองค์ ที่ทรงสามารถปฏิบัติพระราชกรณียกิจของพระมหากษัตริย์ของแผ่นดินไทย ให้ประชาราษฎรได้รับความสุขเกษมสำราญ ผ่อนคลายทุกข์เข็ญ ทุกขณะ ทุกเวลาเมื่อเกิดปัญหาขึ้น พระองค์จะเสด็จลงมาเพื่อช่วยแก้ปัญหาแก่ประชาชนทุกครั้ง เพราะฉะนั้นวันที่ 21 ตุลาคมก็ได้รับการประกาศจากทางราชการให้เป็นวันพยาบาลแห่งชาติ ดูเหมือนว่าประมาณสี่ห้าปีมาแล้วนะคะ ตั้งแต่สมเด็จพระบรมราชชนนียังทรงพระชนอยู่ เพราะฉะนั้นในการที่เราจะพูดกันถึงเรื่องคุณภาพชีวิตในวันนี้ ดิฉันก็รู้สึกว่าเป็นสิ่งที่เหมาะสมแล้วก็สมควร เพราะเหตุว่าเป็นวันอันเกี่ยวกับสมเด็จพระบรมราชชนนีผู้ทรงมีคุณภาพชีวิต อย่างประเสริฐ อย่างงดงาม อย่างเป็นแบบอย่างที่หาได้ยาก
นอกจากนั้นวันนี้ก็ยังเป็นวันพยาบาลแห่งชาติ ในความรู้สึกของดิฉันนั้น ดิฉันรู้สึกว่าพยาบาลมีหน้าที่เสริมสร้างคุณภาพชีวิตให้แก่เพื่อนมนุษย์อยู่แล้วโดยหน้าที่ ท่านจะรู้สึกอย่างนั้นหรือเปล่าไม่ทราบ ในบรรดาคุณพยาบาลทั้งหลายนะคะ แต่ตัวดิฉันเองในฐานะที่เคยเป็นคนไข้บ้าง รู้สึกว่าหน้าที่ของพยาบาลนี่แหล่ะ คือการเสริมสร้างคุณภาพชีวิตให้แก่เพื่อนมนุษย์ แต่เผอิญหนักไปในทางคุณภาพชีวิตในทางกาย จนกระทั่งบางครั้งอาจจะลืมหรือมองผ่านเลยไปว่า ชีวิตของเรา ที่เราเรียกว่าชีวิตนี้ประกอบด้วยกายและใจ มันไม่ได้มีแต่กายเท่านั้น และอันที่จริง ชีวิตที่จะมีคุณภาพนั้น จะต้องมีความสมบูรณ์พร้อมทั้งกายและใจ จะเอาแต่กายอย่างเดียวไม่ได้เพราะความเป็นจริงแล้ว ใจนี่แหล่ะ คือสิ่งที่บงการชีวิต ที่นำชีวิต ชีวิตจะดำเนินไปฉันใดนั้น อยู่ที่ใจ ใจเป็นสิ่งที่นำชีวิต แล้วนอกจากนี้เราจะเห็นความจริงได้ว่า ดิฉันเชื่อว่า คุณพยาบาลก็คงจะได้สังเกตนะคะว่า ผู้ป่วย ผู้ป่วยไข้ที่มาที่โรงพยาบาล ที่มาหาแพทย์ มาหาพยาบาลนั้น มีไม่น้อยรายเลยทีเดียวที่สาเหตุของความป่วยไข้เกิดมาจากการป่วยทางใจก่อน จริงไหมคะ เจ็บอยู่ที่ใจ แล้วก็ใจนี่อยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ ดิฉันทำมือชี้ๆ ไปอย่างนี้ ไม่ได้หมายความว่าที่หัวใจนะคะ มันไม่ใช่ที่หัวใจ แต่มันอยู่ที่ข้างในนี่ เพราะใจที่เราพูดถึงนี้ เป็นสิ่งที่ไม่มีรูป ไม่มีกลิ่น จับต้องไม่ได้ แต่เรารู้สึกได้ เหมือนอย่างเวลาบอกว่า แหมฉันเจ็บใจจริง หยิบใจที่เจ็บออกมาให้ดูได้ไหมคะ ท่านผู้ใดหยิบได้บ้าง หยิบไม่ได้ เพราไม่รู้มันอยู่ที่ไหน แต่รู้ว่าเจ็บใจจริง หรือแหมฉันแสนจะสบายใจวันนี้ ใจที่สบายมันเป็นอย่างไร ก็บอกไม่ได้อีกเหมือนกัน แต่เรารู้ว่ามันรู้สึก เพราะฉะนั้นใจนี่แหละคือความรู้สึก ความรู้สึกที่มันเกิดขึ้น เพราะฉะนั้นเมื่อบุคคลใด มีความเจ็บที่ใจ พูดง่ายๆก็คือเป็นโรคความทุกข์ที่ใจ เป็นโรคป่วยที่ใจ นี่แหละ มันเป็นต้นเหตุ ต้นเหตุที่ทำให้เกิดการป่วยทางกายขึ้นมาต่างๆ นานาเพราะความไม่สมหวังด้วยประการต่างๆ ไม่สมหวังทางครอบครัวบ้าง ไม่สมหวังทางส่วนตัว ทางสังคม ทางการงานสารพัด เพราะมันไม่ได้อย่างใจของตัว จุดสำคัญคือมันไม่ได้อย่างใจที่ต้องการ ทีนี้ก็เก็บสะสมไว้มากเข้าๆๆ จนผลที่สุดโรคทางกายก็ตามมา นั่นก็เช่นโรคกระเพาะ ปวดศีรษะ ไมเกรน ประสาท หัวใจ จนกระทั่งถึงอัมพฤกษ์ อัมพาต แล้วก็ทำความลำบากให้แก่ผู้ที่เป็นหมอ เป็นพยาบาล ทำให้ต้องมีงานมาก แม้แต่อุบัติเหตุบางรายที่เกิดขึ้นในท้องถนน ดิฉันว่าบางครั้งมันก็มาจากผู้เกี่ยวข้องในอุบัติเหตุนั้นเป็นโรคเจ็บที่ใจอีกเหมือนกันใช่ไหมคะ ในขณะที่ใจที่เจ็บอยู่นี่ ไปขับรถเข้ามันก็ขาดสติ มีความประมาท ไม่มีความระมัดระวังเพียงพอ เพราะฉะนั้นก็เลยเกิดอุบัติเหตุขึ้น นี่เป็นสิ่งแสดงให้เห็นว่า สิ่งที่เรียกว่าชีวิตนั้น ใจเป็นสิ่งที่สำคัญ ใจ บงการชีวิต ออกคำสั่ง กายนี้น่ะเหรอคะ มันเป็นอะไร นี่ร่างกายที่เรารักกันนัก ยึดถือนัก บำรุงรักษานัก ต้องแต่งตัวให้สวย ต้องกินให้อิ่ม กินอาหารดีๆ ต้องมีความสะดวกสบายในการอยู่การนอนสารพัด รักเหลือเกินร่างกายนี่ ทะนุถนอมบำรุง จริงๆแล้วมันคืออะไร มันคือสำนักงานเท่านั้นเองล่ะค่ะ หน้าที่ของมันน่ะ เจ้าร่างกายนี่เป็นเหมือนสำนักงานของใจ หรือเป็นเครื่องมือของใจ ถ้าหากว่าใจปราศจากร่างกาย ใจก็ไม่สามารถจะแสดงอะไรได้เหมือนกัน รู้สึกอะไร อยากจะทำอะไรก็ทำไม่ได้ เช่นอยากจะเขียนหนังสืออย่างนี้นะ ใจอยากเขียน อยากเขียน แต่มือไม่มี ใช่ไหมคะ มือมันพิการแล้ว ก็เขียนไม่ได้ อยากจะฟัง อยากจะฟัง เผอิญเกิดอุบัติเหตุทางหู ไม่สามารถจะได้ยินได้ นี่ก็เรียกว่ากายมันก็สำคัญ แต่มันสำคัญเพียงแค่เป็นคนใช้เขาก็เท่านั้นเอง เพราะฉะนั้นอย่าไปให้เกียรติมันมากนักเลย มันจะลืมตัว มันลืมตัว หลงตัว จนกระทั่งมันคิดว่ามันเป็นใหญ่กว่าเขา ในชีวิตนี้ แท้ที่จริงไม่ใช่ เพราะความหลงนี่แหละ จึงทำให้คนทำอะไรผิดๆ ทะนุถนอมร่างกายจนมันได้ใจ และเสร็จแล้วมันก็ก่อปัญหาต่างๆ ให้เกิดขึ้นแก่ชีวิตของเรานี้มากมายเหลือเกิน เพราะฉะนั้นกายนี้เป็นเพียงสำนักงานเท่านั้นนะคะ หรือเป็นออฟฟิศ เป็นคนใช้ เป็นเครื่องมือของใจ
ฉะนั้น เมื่อจะพูดกันถึงเรื่องคุณภาพชีวิตในวันนี้นะคะ ก็ขอเรียนว่า จะเจาะจงพูดในเรื่องการพัฒนาคุณภาพของใจ ดิฉันจะไม่พูดเรื่องของกาย เพราะอะไร ก็เพราะว่าได้รับการทะนุถนอมบำรุงมากพอแล้ว หรืออีกนัยหนึ่ง เกินพอไปเสียอีก ฉะนั้น จึงขอพูดถึงใจที่อาภัพมาก ถูกละเลย ไม่มีใครทำนุบำรุงใจเลย ดิฉันถามจริงๆ เถอะค่ะ ท่านที่นั่งอยู่ในห้องนี้ มีกี่ท่านที่ได้ให้เวลาทำนุบำรุงรักษาใจของท่าน มีไหมคะ โปรดยกมือให้ชื่นใจกันสักหน่อย มีไหมคะ มีบ้างไหมคะ เห็นไหมคะ เห็นความแห้งแล้งของชีวิตไหม ไม่มีเลยสักมือเดียว มือเดียวก็ไม่มีที่จะยกว่านี่ นี่แหละได้บำรุงรักษาใจอยู่เสมอ เห็นไหมคะ ไม่มีเลย เพราะฉะนั้นชีวิตที่มีปัญหา ชีวิตที่มีความทุกข์ ที่มันเกิดขึ้น อย่าไปถามเลยค่ะว่า ปัญหามันมาจากไหน ปัญหามันเกิดขึ้นตรงนี้แหละ ตรงที่ไม่ได้มีการทะนุบำรุงรักษาใจเลยแม้แต่นิดเดียว และถ้าจะถามต่อไปว่า และถ้าจะบำรุงรักษาใจทำยังไง ก็อาจจะยังตอบไม่ได้ แต่เราจะพูดกันต่อไปในวันนี้นะคะ ทั้งนี้ก็เพื่อว่า ถ้าหากว่าทั้งกายและใจได้รับการทะนุบำรุงอย่างได้สัดส่วนกัน ชีวิตก็จะมีคุณภาพที่สมบูรณ์ เป็นคุณภาพที่สมบูรณ์พร้อม ทั้งกายและใจ แล้วก็จะเป็นชีวิตที่มีประโยชน์อย่างยิ่ง ทั้งแก่ตนเอง ทั้งแก่ครอบครัว สังคม ประเทศชาติ บ้านเมือง แล้วก็เป็นการเจริญรอยตามพระบาทของสมเด็จพระบรมราชชนนี ที่เป็นแบบอย่างอันประเสริฐ ของความที่ทรงมีคุณภาพชีวิตที่งดงาม ทีนี้ความหมายของคุณภาพชีวิต คืออย่างไร นี่เป็นความเข้าใจของดิฉันนะคะที่จะพูดไปในความหมายอันนี้ ถ้าไม่ตรงกันก็โปรด อภิปรายออกความเห็นในตอนหลังได้นะคะ คุณภาพ ก็หมายถึง ความมีลักษณะที่ดี คุณภาพ อะไรที่มีคุณภาพนี่ ที่เราบอก แหมนี่มันคุณภาพดีนะ นั่นก็คือมันมีลักษณะที่ดีอยู่ในตัวของมันเอง ลักษณะที่ดีในที่นี้ก็หมายถึงคุณประโยชน์ มันมีคุณประโยชน์ สิ่งนั้นมีคุณประโยชน์ ถ้าหากว่าเป็นวัตถุสิ่งของ ก็สามารถใช้สำเร็จประโยชน์ได้ตามที่ต้องการ และก็คงทนต่อการใช้สอย สิ่งนั้นจึงจะมีคุณภาพ ยกตัวอย่างก็เช่นไม้กวาด มีสุภาพสตรี 90 เปอร์เซ็นต์ละมังในห้องวันนี้ แสดงว่าสุภาพสตรีสำนึกในความสำคัญของใจมากกว่าสุภาพบุรุษหรือเปล่าก็ไม่ทราบนะคะ เพราะฉะนั้นจึงได้มีมามากในวันนี้ เช่นไม้กวาด ไม้กวาดที่มีคุณภาพเป็นอย่างไร คุณแม่บ้านทั้งหลายคงตอบได้นะคะ อย่างไม้กวาดอ่อนนี่ ที่เรากวาดพื้นในบ้านนี่ ไม้กวาดที่จะมีคุณภาพ นั่นก็คือว่า กวาดแล้ว มันปัดเอาฝุ่น ปัดเอาผง ไปได้เกลี้ยงเกลา แล้วก็เบา แล้วก็ไม่มีขน หรือว่าไม่มีผงนี่ ร่วงตามมา และขนาดของไม้กวาดคือด้ามไม้กวาดนั้น ก็พอดิบพอดี กับระยะของมือที่จะจับ ไม่สั้นเกินไป ถ้าสั้นเกินไป เราต้องตะแคงตัว แล้วก็เกิดความปวดเอว โดยเฉพาะผู้ที่มีอายุมาก นี่จากประสบการณ์ของดิฉันเองนะคะ พอปวดเอวมากๆ อ๋อ วันนี้เรากวาดบ้านมากเกินไป แล้วไม้กวาดมันไม่มีคุณภาพสมบูรณ์ มันสั้น ด้ามมันสั้น แล้วบางทีมันก็หนัก เพราะฉะนั้น มันก็ไม่สำเร็จประโยชน์ตามที่ต้องการ นอกจากนั้นบางทีก็ไม่คงทนต่อการใช้สอย เช่นเดียวกันกับรถยนต์หรือโทรทัศน์ หรือตู้เย็น ซึ่งจะมีคุณภาพอย่างไรก็โปรดพิจารณาเอาเองก็แล้วกันนะคะ
ทีนี้ถ้าเป็นสิ่งมีชีวิต เป็นสิ่งมีชีวิตอย่างคนเรานี่ค่ะ คุณภาพชีวิตของคน ดิฉันอยากจะแบ่งออกเป็น 2 ระดับ ระดับเบื้องต้นก็คือ มีคุณภาพชีวิตที่ช่วยให้สามารถหาความสุข หรือความสุขที่เกิดจากความสำเร็จ คือนี่เป็นความต้องการของบุคคลทั่วๆ ไป ที่อยู่ในโลกนี้ ที่อยู่ในโลกฝ่ายโลกนี่ ก็ต้องการอันนี้ ต้องการความสุข แล้วความสุขนี้มันก็จะเกิดจากความสำเร็จ ความสำเร็จในการงาน ความสำเร็จทางครอบครัว ความสำเร็จทางสังคมหรืออื่นๆ พอได้รับแล้ว มันก็มีความสุข แต่เผอิญมันไม่ค่อยอยู่นานใช่ไหมคะ ความสุขอย่างนี้ มาประเดี๋ยวมันก็ไป ประเดี๋ยวมันก็หายไป นี่เป็นระดับเบื้องต้น ซึ่งเป็นความต้องการความสุข อย่างนี้ของมนุษย์เราทุกคน ส่วนระดับเบื้องสูงมีอีกระดับนึง คือคุณภาพชีวิตในระดับนี้ จะส่งเสริมให้บุคคลนั้น สามารถรักษาความเป็นปกติ หรือปกติภาค ความปกติหรือปกติภาคอยู่ได้ในทุกภาวะและทุกกรณี คำว่าปกติดิฉันขออนุญาตขยายความ คำว่าปกติก็คือหมายความว่า ปกติข้างในนะคะ ไม่ใช่ปกติข้างนอก แต่ข้างในปกติมันก็สะท้อนออกมาถึงข้างนอก แต่บางคนก็เก่งบังคับ คือข้างนอกเรียบร้อย แต่ข้างในไม่เรียบร้อย มันเต้น ตึกตักๆๆ อยู่ข้างใน มันซัดส่าย มันกระเทือน มันโยนไปโยนมา มันฟัดกัน มันวุ่นวายอยู่ข้างใน นั่นคือความไม่ปกติ คือความไม่ปกติ มีนิทานเซนเรื่องหนึ่งนะคะ พูดถึงอาจารย์เซนท่านหนึ่ง ดิฉันจำชื่อไม่แน่ ชื่อท่านกาซานหรือยังไงนี่ค่ะ ท่านเป็นอาจารย์มีลูกศิษย์มากเลย แล้วก็ท่านมักจะบอกว่า ถ้าหากว่าใครปฏิบัติ สอนในเรื่องของธรรมะแต่ปฏิบัติไม่ได้ คนนั้นฆ่าพระพุทธศาสนา ท่านพูดคำรุนแรง แล้วทีนี้วันหนึ่งนี่ ท่านก็ได้รับเชิญไปประกอบพิธีกรรมในงานศพของเจ้าครองนคร ของจังหวัดนั้นนะคะ แล้วในวันนั้นก็มีผู้มีบรรดาศักดิ์มากันมากมาย เยอะแยะเลย ในที่ประชุมแห่งนั้น ซึ่งท่านอาจารย์กาซานไม่เคยพบที่ประชุมที่เต็มไปด้วยผู้มีเกียรติเหมือนอย่างวันนั้น ท่านเหงื่อแตก เหงื่อแตกพลั่กๆเลย ตลอดเวลาที่ท่านประกอบพิธี พอท่านกลับมาที่สำนักของท่าน ท่านก็ประชุมลูกศิษย์ แล้วก็กล่าวขอโทษ กล่าวขอโทษ กล่าวลุแก่โทษต่อลูกศิษย์ว่า ท่านคิดว่าท่านนี่สามารถจะรักษาความเป็นปกติของจิตใจได้แล้ว แต่บัดนี้ นี่เป็นเครื่องพิสูจน์แล้วว่า ท่านยังไม่สามารถจะรักษาปกติภาคในใจให้เกิดขึ้นได้ทุกขณะ และสม่ำเสมอเพราะท่านไปเหงื่อแตก ไปเกิดประหม่าในขณะที่ต้องไปทำพิธีประกอบในงานศพอันนั้น ท่านจึงบอกว่าด้วยความเสียใจและด้วยความสำนึกถึงความจริงอันนี้ ว่าการปฏิบัติของท่านยังหาถึงที่สุดไม่ ท่านจึงขอหยุด ขออนุญาตหยุดการเป็นอาจารย์ชั่วคราว แล้วก็ไปศึกษาอยู่ในสำนักของท่านอาจารย์ท่านอื่น ที่ท่านเคารพนับถือเป็นเวลาถึง 8 ปี จนท่านมั่นใจว่าบัดนี้ท่านจะสามารถรักษาความเป็นปกติของภายในจิตของท่าน ไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น ในที่ใด คือในภาวะใด ในกรณีใด ท่านจะสามารถรักษาความเป็นปกติ คือความนิ่ง ความสงบ ความเฉย ความเย็น ในความเฉยนั้นมีความเย็น มีความเย็น มีความสงบ ปราศจากซึ่งความกระเทือนหรือความประหม่าใดๆ ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะมีเหตุการณ์ดีหรือร้ายเพียงใดเกิดขึ้นก็ตาม ท่านแน่ใจ และท่านถึงกลับมาสอนหนังสือใหม่ และที่ดิฉันติดใจมากก็คือว่า ต่อมาก็เกิดมีกองทหารกองหนึ่งของญี่ปุ่นนี่ค่ะ ผ่านไป และก็ไปขอพักที่วัด ท่านก็ให้บรรดาพระช่วยกันจัดอาหาร ตามมีเติมเกิด เพราะว่าอาหารของเซนนี่เป็นพวกอาหารผักหญ้าต่างๆ นะคะ หรือเรียกว่าเป็นอาหารสุขภาพ พอจัดไปให้ ก็ท่านก็จัดเหมือนอย่างที่บรรดาพระรับประทานกันนั่นน่ะ พระท่านฉันนั่นนะ พอจัดไปให้ พวกนายทหารซึ่งมียศฐาบรรดาศักดิ์โกรธมากเลย พอเห็นอาหารพื้นๆ ธรรมดาๆ ก็มาต่อว่า ว่านี่เห็นพวกเราทหารนี่ที่เสียสละชีวิตออกไปรักษาประเทศชาติให้ เป็นอะไร ถึงได้จัดอาหารอย่างนี้มาให้เรากิน ทีนี้คำตอบของท่านนะคะ ท่านไม่ได้ตอบ แต่ท่านก็ถามย้อนถามไปว่า แล้วพวกท่านล่ะ เห็นพระของเรานี่เป็นอะไร ท่านเห็นพวกพระเราเป็นอะไร ท่านรู้ไหมว่า เรานี่แหละคือทหารของมนุษยธรรม เรานี่คือทหารของมนุษยธรรม เรามีหน้าที่นำความสุขความสงบให้พ้นจากความทุกข์ มาสู่มนุษย์และสัตว์ทั้งหลาย เป็นคำตอบที่เก่งไหมคะ เก่ง กล้า แล้วก็จริงด้วย นี่เพราะท่านแน่ใจแล้วว่า ท่านถึงซึ่งความเป็นปกติ ฉะนั้นที่ดิฉันพูดว่า ระดับเบื้องสูง คุณภาพระดับเบื้องสูงก็คือ ส่งเสริมให้สามารถรักษาความเป็นปกติของภายใน คือของจิตหรือใจนั้น อยู่ได้ในทุกภาวะและทุกกรณี เพราะเหตุว่าเป็นผู้ที่มีอิสระอยู่เหนือปัญหาและความทุกข์และถ้าหากว่าผู้ใดถึงซึ่งภาวะเช่นนี้ ดิฉันอยากจะบอกว่านี่แหละคือสิทธิมนุษยชนที่แท้จริง เราได้ยินเขาประกาศเรื่องสิทธิมนุษยชน ใช่ไหมคะ อย่างขององค์การสหประชาชาติ สิทธิมนุษยชนต่างๆ อย่างนั้น อย่างนี้ แต่นั่นมันคนเขาให้ ต้องไปขอสิทธิในทางการศึกษา ทางวัฒนธรรม ทางเศรษฐกิจ สารพัด แต่สิทธิมนุษยชนประการนี้ ไม่ต้องไปขอที่ใคร ทุกคนสามารถทำได้ ให้เกิดขึ้นแก่ตัวเอง และเป็นสิทธิมนุษยชนที่ดิฉันอยากจะพูดว่า เป็นของกลางและเป็นสากล
ทีนี้ในการที่จะพูดถึงคุณภาพชีวิตนะคะ ดิฉันอยากจะขออนุญาตเล่าเรื่องให้ฟังสักเรื่องหนึ่ง แล้วก็เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องที่เขียนขึ้นเป็นนวนิยายขนาดสั้น หรือว่าจะเรียกว่าเป็นเรื่องสั้นขนาดยาวก็ได้เหมือนกัน แล้วก็หลายท่านที่นั่งอยู่ในที่นี้อาจจะได้เคยดูจากละครโทรทัศน์ หรือจากภาพยนต์ หรือบางท่านก็อาจจะได้อ่านจากหนังสือ ดิฉันน่ะไม่มีโอกาสดู แต่ว่าได้มีโอกาสอ่าน อ่านนานแล้วตั้งแต่เขายังไม่ได้พิมพ์เป็นเล่ม พอเอ่ยชื่อก็คงจะนึกออก เรื่องนั้นก็คือเรื่องเหยื่อ ของโบตั๋น ท่านผู้ใดนึกออกบ้างคะ เรื่องเหยื่อของโบตั๋น ไม่มีนักอ่านหนังสือ ไม่มีนักดูละครโทรทัศน์ ไม่มีนักดูภาพยนต์นะคะ ไม่มีก็ไม่เป็นไรค่ะ ฟังดิฉันเล่า จะเล่าอย่างย่อๆ นะคะ เรื่องเหยื่อนี่ก็คือว่า กล่าวถึงครอบครัวๆ หนึ่ง ก็สองสามีภรรยา มีลูกชาย 2 คน ลูกชายนี้ก็อยู่ในวัยรุ่น วัยรุ่นตอนต้นอายุประมาณสัก 12-13 ปี แล้วก็วัยรุ่นตอนกลางก็อายุประมาณ 15-16 ปี มีลูกชาย 2 คน สองสามีภรรยาหรือว่าพ่อแม่นี้ก็เป็นคนที่เรียกว่าอยู่ในฐานะดีพอสมควร พ่อต้องไปทำงานต่างจังหวัด สุดสัปดาห์ทีถึงจะได้กลับบ้านทีหนึ่ง แต่ก็มีรายได้ดี ส่วนแม่นั้นทำงานบริษัท ก็มีรายได้ดีแน่ แต่ว่าเรื่องของงานเอกชนนั้นเขาก็ใช้คุ้มเลยใช่ไหมคะ ใช้คุ้ม ใช้เหนื่อย เพราะฉะนั้นกว่าจะได้กลับบ้านแต่ละวัน นี่ก็เย็นค่ำทุกวัน เพราะจราจรในกรุงเทพมันก็ไม่ใช่เล่น สกลก็ไม่ใช่เล่นเหมือนกัน เพราะฉะนั้น แม่กับพ่อ มีเงิน มีรายได้ดี มีบ้านช่องให้ลูกสองคนอยู่อย่างสุขสบาย มีสาวใช้ไว้ดูแลบ้าน แล้วก็ทำอาหารให้รับทาน ซักเสื้อผ้า เรียกว่าดูแลความสะดวกความสบาย ให้แก่ลูกชายทั้งสองคน ในตู้เย็นนี่ก็ มีอาหารเต็มเสมอ ทั้งอาหารที่หยิบแล้วทานได้เลย ผลไม้ กับจะมาทำอะไรๆ ก็ได้ รวมความว่าสิ่งที่ประกอบความสะดวก ความสบายทั้งหลายทุกประการนั้น พ่อแม่จัดหาไว้ให้ลูกเรียบร้อยหมดเลย ทีนี้ข้างฝ่ายลูก 2 คนนี่นะคะ ก็ได้ไปเรียนหนังสือในโรงเรียนที่ดี ซึ่งพ่อแม่ก็วางใจ วางใจว่า ลูกเราได้เรียนหนังสือในโรงเรียนที่ดี เพราะฉะนั้นก็ไม่ต้องเป็นห่วงแล้ว ได้จัดบ้านช่องให้ อาหารการรับทาน การศึกษาก็ให้เข้าโรงเรียนที่ดี พ่อแม่ก็วางใจว่าเราไปทำงานได้เต็มที่ ไม่ต้องเป็นกังวลกับสิ่งเหล่านี้แล้วนะคะ ฉะนั้นพ่อก็ไปทำงาน วันศุกร์เย็นก็กลับมาถึงบ้าน แม่ก็ไปทำงานทุกวัน เย็นค่ำก็กลับถึงบ้านก็เหนื่อย ไม่มีเวลา ไม่มีแรงจะทำอะไรแล้ว ข้างฝ่ายลูกสองคน อยู่บ้าน ไปเรียนหนังสือ แล้วกลับมาบ้าน กลับมาบ้านมันก็มีบ้าน คือมีบ้านน่ะแหละ บ้านโล่งๆ ว่างๆ มีเฟอร์นิเจอร์ โต๊ะรับแขก มีตู้เย็น มีอะไรต่ออะไรวางไว้ แต่หาคนหาพ่อหาแม่ที่จะคอยยิ้มแย้มแจ่มใส คอยไต่ถาม เป็นยังไงลูกวันนี้มีปัญหาบ้างไหม สนุกไหม หรือว่าเกิดอะไรขึ้นที่โรงเรียน หรือว่าลูกไม่สบายเรื่องอะไร หรือว่ามีอะไรดีใจจะเล่าให้พ่อฟัง แม่ฟัง ไม่มีโอกาส เพราะฉะนั้นลูกก็ต้องหาเพื่อนสำหรับตัวเอง เพื่อนที่ลูกสองคนนี่ไปหาก็คือวิดีโอ ซึ่งเป็นสิ่งที่ทันสมัยมากใช่ไหมคะ แล้วพ่อแม่ก็ให้เงินไว้มากพอ เพราะฉะนั้นทั้งสองคนพี่น้องก็ไปเช่าวิดีโอมา ก็ไปเช่าวิดีโอ ที่ตรงกับรสนิยมของตัวเอง โดยดูจากโทรทัศน์ แล้วก็ชอบประเภทไหนก็ไปเช่าวิดีโอมาดูต่อ น้องชายคนเล็กนั้นน่ะ ชอบพวกที่ร้ายแรง ที่ทารุณกรรม ที่เขาเรียกว่าซาดิสซึม ที่ทำอะไรกันรุนแรง รุนแรง ชอบอย่างนั้น ก็ไปซื้อวิดีโอต่างๆ ที่มันมีเรื่องราวที่ทารุณกันนี่มาดู มาดูอยู่ในห้องของตัวนั่นล่ะค่ะ ตลอดเวลา...