แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ธรรมะสวัสดีต่อท่านผู้สนใจชีวิตเย็นทุกคนนะคะ อาจจะมีคำถามว่า “ชีวิตเย็นอะไร ร้อนออกจะแย่” เพราะว่าเผอิญในฤดูนี้เป็นอากาศร้อน แต่ทุกท่านก็ทราบดีว่า ความร้อน หรือความเย็น มันไม่ได้เกิดที่ข้างนอก ที่บอกว่ารู้สึกร้อน มันก็ร้อนมาจากข้างใน รู้สึกเย็น มันก็เย็นมาจากข้างใน ถ้าหากว่าความร้อน หรือความเย็น มันเกิดจากข้างนอก เราก็ไม่จำเป็นจะต้องมีอุปกรณ์ต่างๆ ที่จะมาช่วยผ่อนคลาย แต่นี่เพราะว่ามันเกิดที่ข้างใน ฉะนั้น การที่จะมีชีวิตเย็น หรือชีวิตร้อน มันก็ขึ้นอยู่กับว่า เราจะจัดข้างในของเราอย่างไร มันจึงจะพ้นจากความร้อนแล้วก็มาสู่ความเย็นได้ ดิฉันก็ได้นึกดูว่าในหนึ่งชั่วโมงนี้ควรจะพูดกันเรื่องอะไร ที่คิดว่าอาจจะเป็นประโยชน์กับทุกท่านได้มากที่สุด เมื่อนึกไปนึกมาก็เห็นว่า เรื่องที่เราจะพูดกันนั้น ก็เห็นจะไม่มีเรื่องอะไรอื่นที่เกี่ยวกับเรื่องของ “ชีวิต” ใช่ไหมคะ เพราะทุกวันนี้ที่ยังหายใจอยู่ทุกวันนี้ ก็เพราะเราบอกว่า เรายังมีชีวิตอยู่ เพราะลมหายใจมันยังอยู่ แต่ในขณะเดียวกันเราก็รู้สึกว่าทั้งๆ ที่ยังหายใจอยู่ ยังเคลื่อนไหวได้ ยังทำอะไรได้ทุกอย่าง แต่ว่าชีวิตนี้มันยังมีปัญหา ชีวิตนี้มันยังไม่เย็น ชีวิตนี้มันยังไม่สบาย ชีวิตนี้มันยังทุรนทุราย ฉะนั้น ก็อยากจะขอพูดถึงเรื่องของชีวิต ถ้าหากว่าเผอิญท่านพระอาจารย์ท่านได้พูดเรื่องของชีวิตมาแล้ว ก็อาจจะมีบางแง่บางมุมที่ซ้ำซ้อนกันบ้าง เพราะว่าเผอิญไม่ได้เรียนถามท่านว่า ท่านได้พูดเรื่องอะไรมาแล้ว ถ้าเผอิญซ้ำซ้อนกันก็ขอได้นึกเสียว่าเป็นการทบทวนนะคะ ในสิ่งที่ท่านรู้แล้ว แล้วก็มาดูซ้ำอีกทีหนึ่งว่ามันจะเป็นอย่างนั้นจริงไหม ฉะนั้นวันนี้เราก็จะพูดกันถึงเรื่องของชีวิต
อันแรกที่สุดก็คือ ควรจะต้องมีการตั้งคำถามว่า “ชีวิตคืออะไร?” เคยถามไหมคะ ถามตัวเองไหมคะ ชีวิตคืออะไร เชื่อว่าเราคงเคยถามตัวเราเองเสมอ ชีวิตคืออะไร แล้วได้คำตอบว่าไงคะ ก็ได้สารพัดตามแต่ว่าท่านผู้ใดมีความคุ้นเคยอยู่กับเรื่องอะไรก็จะตอบว่า ชีวิตคือสิ่งนั้น หรือถ้าเป็นนักประพันธ์ก็จะบอก ชีวิตคือลมหายใจ มันก็ถูก ตราบใดที่ยังหายใจอยู่ ชีวิตก็ยังอยู่ แล้วคนเราก็เลยเข้าใจว่า ลมหายใจมีความสำคัญต่อชีวิต เพราะทำให้ชีวิตนี้ยังเคลื่อนไหวได้ เดินได้ ทำอะไรได้ ก็เลยรู้ค่าของลมหายใจน้อยไป แต่อันที่จริงแล้วจะตอบว่าอะไรก็ตามที แต่ในทางธรรมนั้นเราอาจจะพูดกันได้ว่า ชีวิตก็คือ “กาย จิต” หรือถ้าพูดให้เป็นคนธรรมะธัมโมเข้าไปอีกหน่อยก็จะบอกว่า ชีวิตคือ “นาม รูป” หรือ ชีวิตคือ “เบญจขันธ์” หรือ “ขันธ์ 5” เราอาจจะพูดอะไรก็ได้ทั้งนั้น แต่รวมแล้วเราก็รู้อยู่ในใจว่า ชีวิตนี้ คือ กาย จิต มันต้องอยู่ด้วยกันสองอย่างนี้ มันต้องมีกาย และมันก็ต้องมีจิต หรือต้องมีใจ มันถึงจะเป็นชีวิตขึ้นมาได้ ถึงจะเคลื่อนไหวได้ ยังทำอะไรต่ออะไรได้ ถ้าปราศจากสิ่งใดสิ่งหนึ่งเสีย ชีวิตนั้นก็หยุด ถ้าปราศจากใจ ชีวิตนั้นก็ไม่สามารถที่จะทำอะไรได้ ถ้าปราศจากกาย ใจก็หมดเครื่องมือ หรือหมดสำนักงานที่จะรับบัญชาการว่า ใจต้องการอย่างนั้นอย่างนี้ แล้วกายนี้มันก็ทำหน้าที่ตามที่ใจบงการหรือว่าใจสั่ง เพราะฉะนั้นชีวิตคืออะไร ชีวิตก็คือ กาย จิต เรารู้ แต่ถ้าหันมาดูสอบสวนกับการประพฤติปฏิบัติในชีวิตของเรา เราให้ความยุติธรรมแก่กาย และจิต อย่างเสมอเหมือน หรือว่าเท่าเทียมกันไหมคะ ในชีวิตที่ผ่านมานี้ เราให้การดูแลรักษาแก่กาย และจิต อย่างเสมอภาคกันหรือไม่ ก็รู้อยู่แก่ใจดีแล้ว เราก็มักจะเอาใจใส่แต่เรื่องของกายนี่แหละ ต้องให้กินดีๆ กินอิ่มๆ กินอร่อยๆ จะแพงสักเท่าไรก็ยอมเสีย จะไกลสักเท่าไรก็ยอมขับรถไป เพื่อให้กายนี้ได้กิน และเราก็หลง หลงว่ากายนี้มันต้องการ พอมันได้กินแล้ว เราก็สนองเจ้ากายนี้ รักษาดูแลมันแล้วอย่างดี แต่เมื่อนึกดู กายก็ไม่เคยบอก ไม่เคยพูดเลยว่า ฉันอยากกินหูฉลาม อยากกินหมูหัน อยากกินส้มตำปูเค็ม อยากกินไก่ย่าง ไม่เคยพูดเลย มันล้วนแล้วแต่อะไรที่พูด “ใจ” ทั้งสิ้น ใช่ไหมคะ
ใจ คือ สิ่งที่อยู่ข้างใน ที่เป็นนามธรรมที่เรามองไม่เห็น มันล้วนแล้วแต่บงการ แล้วเราก็ตอบสนองมัน ไปเดินดูตามร้านสรรพสินค้า เสื้อตัวนั้นหรู กางเกงตัวนั้นงาม กระเป๋าใบโน้นสวย รองเท้าคู่นี้เก๋ นี่มันเหมาะกับกายนี้ทั้งนั้นเลย ร่างกายนี้ควรจะต้องแต่งชุดนั้น ควรจะต้องได้เครื่องอุปกรณ์เครื่องนุ่งห่มอย่างนั้นอย่างนี้ ก็ซื้อให้กับกาย เรียกว่า อาหารก็ต้องกินดี เครื่องนุ่งห่มก็ต้องสวยๆ เก๋ๆ ทันสมัย ที่อยู่อาศัยก็ต้องสะดวกสบาย เครื่องบำรุงบำเรอที่จะดูแลกายมีพร้อมทุกอย่าง แต่เมื่อหันมาดูใจของเรา หันมาดูจิตของเรา เคยทะนุถนอม เคยบำรุงรักษา เคยตรวจสอบว่าต้องการอะไรบ้างไหมจิตนี้ เคยไหมคะ น้อยคนเต็มทีที่จะหันมาดูความต้องการของใจ และอันที่จริงแล้ว ใจของมนุษย์นั้นเรียกร้องน้อยที่สุด หรือพูดอีกอย่างหนึ่งอาจจะบอกได้ว่ามันไม่เคยเรียกร้องอะไรเลย ใช่ไหมคะ มันไม่เคยเรียกร้องว่า ขอได้ทะนุบำรุงดูแลฉันบ้าง หรือมันอาจจะเรียกร้อง แต่มนุษย์หูหนวกไม่ได้ยินตาบอดมองไม่เห็นก็อาจจะเป็นได้ เพราะฉะนั้นด้วยความที่ละเลย ไม่เคยหันมาดูแลทะนุบำรุง สิ่งที่เรียกว่าจิตหรือใจเพราะมันมองไม่เห็น มันไม่เหมือนกับกายที่มันจับต้องได้ มันรู้สึกได้ พอถูกตีก็เจ็บ พอสัมผัสอ่อนโยน ก็แหมพอใจเพราะว่ามันถูกใจ แต่ว่าใจนี้มันมองไม่เห็น มันเป็นนามธรรม ไม่มีรูป ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น ให้เราได้จับต้องได้ ให้เราได้สัมผัสได้ เพราะฉะนั้นมนุษย์ก็เลยละเลย แล้วก็ปล่อยให้ใจนี้เป็นไปสารพัดที่มันจะต้องการเป็น หรือพูดง่ายๆ ก็คือว่าปล่อยให้ใจนี้ทำอะไรต่ออะไรก็ได้ตามที่มันต้องการ ไม่เคยฝึกหัดอบรม มันจึงเป็นใจที่เกเร เกะกะ พยศ ป่าเถื่อน แล้วผลก็คือ ชีวิตนี้ ร้อน ร้อน ร้อนมากขึ้นทุกที ทุกที ทุกที แล้วชีวิตนี้ก็ประสบแต่กับปัญหาต่างๆ นานาสารพัด ลงเอยด้วยคำว่า “ความทุกข์” พอความทุกข์หรือปัญหาเกิดขึ้น ก็โยนออกไปที่ข้างนอก เพราะคนนั้น เพราะเพื่อน เพราะพ่อแม่ เพราะผู้บังคับบัญชา เพราะเพื่อนร่วมงาน เพราะกฎระเบียบไม่ยุติธรรม เพราะโชคชะตาตลอดจนดินฟ้าอากาศสารพัด แต่ไม่เคยหันมาดูว่าสิ่งที่เป็นต้นเหตุนั้น มันคืออะไร เพราะฉะนั้นสิ่งที่ใจเรียกร้อง สิ่งที่ใจอยากจะมี หรือขอร้องต่อมนุษย์ที่เป็นเจ้าของชีวิตก็คือ ขอให้ได้พักบ้าง สิ่งที่ใจขอนั้นคือ “ขอให้ได้พักบ้าง”
การพักของใจ คืออะไร เคยคิดบ้างไหมคะ การพักของใจคืออะไร การพักของกายเรามองเห็นได้ง่าย เมื่อเรานั่ง ไม่ไปวิ่งเต้น ไม่ไปทำงานที่เหน็ดเหนื่อยออกแรง เมื่อถึงเวลานอนเราก็บอกว่ากายได้พัก แต่ใจละพักหรือเปล่า ในขณะนั้นใจไม่ได้พักเลย ใจดิ้นรน กระวนกระวาย ระส่ำระสายตลอดเวลา ด้วยอะไร ด้วยความคิดใช่ไหมคะ คิดตลอดหยุดไม่ได้ และก็ความคิดที่มันคิดเรื่อยเปื่อย ฟุ้ง ฟุ้งซ่าน หรือบางทีก็เพ้อเจ้อ เหลวไหลตลอดเวลาไม่เคยหยุด ความคิดหยุดไม่ได้นี่แหละ คือการที่ทำให้ใจนั้นต้องเหน็ดเหนื่อย เพราะมันต้องทำงานอยู่ตลอดเวลา มันถูกกระทบกระแทกด้วยความคิด ถูกกระทบกระแทกด้วยความรู้สึก คือ เวทนาที่มันเกิดขึ้นในจิต และใจนี้ก็โยนขึ้นโยนลง ระส่ำระสายฟัดฟาดอยู่ตลอดเวลา ในขณะที่กายได้รับการบำรุงบำเรอสารพัด แต่ใจไม่มีโอกาสเลย เพราะฉะนั้นสิ่งที่ใจต้องการก็คือการพักผ่อน
เมื่อชีวิตประกอบด้วย กาย ใจ แต่มนุษย์เรามัวแต่ไปทะนุบำรุงสิ่งที่มองเห็นข้างนอก เพราะมันสัมผัสได้ด้วยความมักง่าย แต่ละเลยสิ่งที่สำคัญที่สุด สิ่งที่เป็นสิ่งที่นำชีวิตนั่นคือใจ เพราะฉะนั้นชีวิตมันจึงประสบปัญหาต่างๆ นานา สารพัดปัญหา ปัญหาส่วนตัว ปัญหาการงาน ปัญหาการเรียน ปัญหาการสมาคม ปัญหาส่วนรวม สารพัดปัญหา จิตใจนี้มันก็ยุ่งเหยิง เหน็ดเหนื่อย อ่อนล้า จนบางทีบอกตัวเองว่า ขอพัก ขอพัก แล้วขอพักนี่คือพักอะไร พักเงียบๆ นั่นแหละจึงจะเป็นการพัก ไม่ใช่พักแล้วก็หอบข้าวของไปชายทะเลขึ้นป่า พร้อมกับเพื่อนฝูง สุราเมรัยทั้งหลายไปพร้อม นั่นหาใช่การพักไม่ แต่เป็นการเพิ่มพูนเติมยาพิษให้แก่ใจยิ่งขึ้น เพราะฉะนั้นปัญหามันจึงตามมา นี่คือสิ่งที่เรียกว่า ชีวิต และปัญหาเกิดขึ้นก็เพราะ มนุษย์ละเลยสิ่งที่เรียกว่า ใจ ไม่ได้ดูแลบำรุงรักษามัน ทั้งๆ ที่มันเป็นสิ่งนำชีวิต มันบงการชีวิตอยู่ตลอดเวลา แต่ไม่ได้ทะนุบำรุง ไม่ได้ให้การพักผ่อน ไม่ยอมหยุดคิด ทำร้ายใจด้วยการคิด คิดที่เกินความจำเป็น คิดที่ไม่จำเป็น คิดเพ้อเจ้อ คิดถึงอดีต คิดล่วงหน้าไปถึงอนาคตที่ยังไม่มาถึง คิดวิตกกังวลด้วยประการต่างๆ นี่คือ “การทำร้ายใจ” เบียดเบียนใจ ทำให้ใจนี้เป็นทุกข์ ทำให้ใจนี้เหน็ดเหนื่อย ทำให้ใจนี้อ่อนเปลี้ยจนกระทั่งหมดแรง หมดแรงที่จะกระตือรือร้นกระทำสิ่งที่เกิดประโยชน์กับชีวิต
ฉะนั้น ชีวิตคืออะไร คือประกอบด้วย กาย ใจ หรือ กาย จิต ทีนี้เมื่อรู้ว่าชีวิตคืออะไรแล้ว ก็ควรจะใคร่ครวญต่อไปว่าแล้วเราเกิดมาทำไม? มีชีวิตอยู่ทำไม? มีชีวิตอยู่เพื่ออะไร? เชื่อว่าหลายท่านคงเคยถามคำถามนี้กับตัวเองใช่ไหมคะ เมื่อใจมันรู้สึกว่ามาถึงทางตัน มันเศร้าหมอง มันอึดอัด มันมองอะไรมันก็ไม่ได้อย่างใจจนขัดใจ เกิดมาทำไมนะ เกิดมาทำไม บางทีก็แหมกัดฟันถามด้วยว่า ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ถามตัวเองเกิดมาทำไม ถ้าหากว่ามันเหลือจะทนทานก็ไปขบเขี้ยวเคี้ยวฟันถามกับพ่อแม่ ให้ฉันเกิดมาทำไมนี่ ทำให้ฉันเกิดมาทำไม อันที่จริงเราก็ควรถามคำถามนี้ แต่ไม่ใช่ถามด้วยอาการกราดเกรี้ยวด้วยโทสะ แต่ควรจะถามด้วยสติปัญญาเพื่อจะได้รู้ว่า ชีวิตที่มีอยู่นี้มีทำไม แล้วก็เกิดมาทำไม เกิดมาเพื่ออะไร หรือถ้าพูดอย่างภาษาชาวบ้าน ก็อาจจะบอกว่า มันจะเอายังไงกันแน่กับชีวิตนี่ จะเอายังไงกันแน่ ทั้งๆ ที่เมื่อหันมามองดูชีวิตที่เป็นอยู่ก็มีอะไรต่ออะไรพร้อม บ้านช่องก็มีอยู่ เงินทองก็มีใช้ ครอบครัวก็มี ลูกหลานก็มี ตำแหน่งการงานก็มี ชื่อเสียงเกียรติยศก็มีพอใช้ได้ แล้วจะเอายังไงกันอีกละ จะเอาอะไรอีก ยังไม่พออีกเหรอ ทำไมชีวิตมันถึงยังมีปัญหา เมื่อตอนเด็กๆ อยากเล่นก็ได้เล่น อยากเที่ยวก็ได้เที่ยว อยากมีเพื่อนก็ได้มี อยากเรียนก็ได้เรียน อยากทำงานก็ได้ทำงาน อยากจะมีคู่ครองก็มีคู่ครอง อยากจะมีลูกก็มี แต่พอมีเข้าแล้ว ทำไมมันถึงไม่เป็นสุข อยากมีอำนาจได้อำนาจ อย่างที่เราเห็นๆ กันอยู่ แต่ทำไมมันถึงร้อนนัก นั่งอยู่บนเก้าอี้อำนาจ แต่มันกระโดดโหยงๆ เหมือนกับนั่งอยู่บนเตาไฟ เพราะอะไร อยากมีอะไรมันก็ได้มีทั้งนั้น ท่านผู้ใดที่บอกว่า ไม่จริงหรอก ฉันยังไม่มี ดิฉันก็ต้องขอย้อนกลับไปบอกว่า ไม่จริง ดูให้ดีดี มีแล้วทั้งนั้น ที่พูดมาแล้วนะ มีแล้วทั้งนั้น ถ้าไม่มีแล้วละก็ยังจะมานั่งอยู่อย่างนี้ไม่ได้ มันสิ้นใจไปเสียก่อนนี้แล้ว เพราะฉะนั้นมีแล้วทั้งนั้น เพียงแต่ว่ามันอาจจะมีไม่สมใจอยาก มันอยากจะได้มากกว่านั้น มีเงินเท่านี้ อยากได้มากกว่านั้น มีงานตำแหน่งนี้ อยากสูงขึ้นไปอีก มีบ้านพออยู่ได้สุขสบาย อยากได้หลังใหญ่ๆ ขึ้นไปอีก อย่างที่เขาอวดกันในบรรดาชาวสมาคมที่เขาเรียกว่า ไฮโซไซตี้ (High Society : สังคมชั้นสูง) ทั้งหลาย มีบ้านเป็นคฤหาสน์ ห้องตั้งหกเจ็บสิบห้อง นึกแล้วอัศจรรย์ ตัวแค่นี้ ยาววาหนาคืบ มีห้องตั้งห้าสิบหกสิบห้อง เอาอะไรไปอยู่ ต้องถามว่าเอาอะไรไปอยู่ ตัวก็แค่นี้ เอาอะไรไปอยู่ นี่คือ “ความบ้า” บ้าของอะไร บ้าของใจ ใจที่มันเกะกะเกเร ใจที่มันไม่เคยได้รับการอบรม ใจเถื่อน ใจพยศ มันจึงมีแต่ตัณหา เต็มไปด้วยตัณหา ความอยาก จะเอาจนกระทั่งไม่มีเวลานึกถึง “ความพอดี”
เพราะฉะนั้นมีทุกอย่างละค่ะ ทุกคนมีกันแล้วทั้งนั้น ที่นั่งอยู่ที่นี่มีกันแล้วทั้งนั้น เพียงแต่ว่าอาจจะมีไม่สมใจอยาก เมื่อมันมีไม่สมใจอยากอย่างที่ต้องการมันก็เลยเกิดเป็นปัญหา ปัญหาเกี่ยวกับเรื่องของการเรียน การศึกษา ปัญหาเกี่ยวกับเรื่องของการทำงาน ปัญหาเกี่ยวกับเรื่องของทางบ้าน เกี่ยวกับคู่รัก เกี่ยวกับสามี เกี่ยวกับภรรยา เกี่ยวกับลูก ลูกเล็กบ้าง ลูกโตบ้าง เกี่ยวกับเรื่องของสังคม เกี่ยวไปหมด ไม่ว่าจะไปเกี่ยวข้องกับอะไร สิ่งนั้นมันเป็นปัญหาไปเสียทั้งหมดทั้งสิ้น ก็เพราะไม่สามารถจะหยุดใจอยากได้นี่เอง
ทีนี้ถ้าหากเราจะมาลองดูว่า ลองดูไปจนกระทั่งถึงต้นรากเหง้าของปัญหาว่าอะไรคือเหตุของปัญหาของชีวิต ทำไมชีวิตมันถึงต้องมีปัญหา จะว่ามีรูปร่างพิกลพิการก็ไม่มีพิกลพิการอะไร รูปร่างก็แข็งแรงพอจะทำอะไรๆ ได้ สติปัญญาก็ดี อะไรๆ ก็มีอย่างพอใช้ได้แล้วทั้งนั้น แต่ทำไมมันถึงยังมีปัญหาอยู่อีก ถ้าตอบตามทางธรรม ทางธรรมะนะคะ คำตอบก็เพราะเหตุว่า มีความยึดมั่นถือมั่นว่า “ชีวิตนี้เป็นของเรา” ชีวิตนี้เป็นของฉันนี่คือต้นเหตุของปัญหา รับได้ไหมคะ ว่านี่แหละคือต้นเหตุของปัญหาของชีวิต ไม่ว่าจะปัญหาในแง่มุมใด มันเกิดมาจากสาเหตุของความยึดมั่นถือมั่นที่มีอยู่ในใจ ที่ยึดเอาว่าชีวิตนี้เป็นของฉัน ชีวิตนี้เป็นของเรา เพราะฉะนั้นเมื่อนึกว่าชีวิตนี้เป็นของเรา มันก็มีตัวตนของเรานี่ ตัวตนของเรานี้เป็นผู้ที่มีปัญหา เป็นผู้ที่มีความทุกข์ อะไรที่ไปเกี่ยวข้องเข้า มันก็จะมีตัวตนออกไปรับ ฉะนั้นก็ต้องมามองดูว่า ชีวิตนี้เป็นของเราจริงหรือเปล่า ชีวิตนี้เป็นของเราจริงหรือเปล่า จะตอบว่ายังไงคะ จะยืนยันว่าชีวิตนี้เป็นของเรา ชีวิตนี้เป็นของฉัน หรือจะลองคิดต่อไปว่า ชีวิตนี้เป็นของฉันจริงหรือเปล่า ก็เชื่อว่าทุกท่านก็คงเคยลองคิดดูแล้วว่าชีวิตนี้มันเป็นของเราจริงไหม ถ้ามันเป็นของเราจริงความเปลี่ยนแปลงคงไม่เกิดขึ้นใช่ไหมคะ เราคงบังคับได้ ผู้ใดที่กำลังอยู่ในวัยสาวสวย กำลังอยู่ในวัยหนุ่มหล่อ คงอยากจะรักษาวัยนี้ไว้จนหยุดหายใจที่เขาเรียกกันว่า หายใจเฮือกสุดท้าย ก็ให้มันจบไปกับความหล่อ ความเก๋ ความสาว ความหนุ่ม รักษาได้ไหม ก็รักษาไม่ได้ มันกำลังผ่านพ้นไปทุกขณะ ตั้งแต่ทารกน้อยจนกระทั่งเด็กเล็กเข้าวัยหนุ่มสาวเข้าวัยผู้ใหญ่ แล้วก็เข้าวัยแก่ชรา เรามองดูได้ตั้งแต่เส้นผมจนกระทั่งถึงเล็บเท้า ไม่มีสิ่งใดที่เราสามารถจะรักษาเอาไว้ได้เลย มันเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา แม้แต่ความคิดในใจก็รักษาให้มันคิดสิ่งเดียวไม่ได้ ความรู้สึกที่เกิดขึ้นในใจก็จะบังคับให้มันรู้สึกอย่างเดียว รัก รัก รัก รัก รักตลอดเวลาก็ไม่ได้ วันหนึ่งความรักก็เปลี่ยนเป็นความชัง หรือว่าเกลียดแสนเกลียด ไม่หันหน้ามอง แต่วันหนึ่งความเกลียดก็จางหาย มันกลายเป็นความพอใจ เป็นความชอบ เมื่อเราพยายามมองในแง่มุมใหม่ของกันและกัน มันก็ทำให้ความรู้สึกนี้มันเปลี่ยนไปได้อีกเหมือนกัน
เพราะฉะนั้นเมื่อเรามาดูว่าชีวิตประกอบด้วย กาย จิต กาย จิตนี้มาจากไหนที่เป็นชีวิตนี้ บางท่านหรือว่าทุกคนก็มักจะบอกว่า ก็มาจากพ่อแม่ฉันน่ะสิ ก็ย้อนถามต่อไปหน่อยนะคะ แล้วพ่อแม่ฉันละมาจากไหน ก็มาจากตา จากยาย จากปู่ จากย่า ก็แล้วตายายปู่ย่ามาจากไหน ย้อนถามไปอีก ก็มาจากทวด ตาทวด ปู่ทวด ยายทวด ย่าทวด ก็แล้วทวดทั้งหลายนั้นมาจากไหน ซักไปเถอะค่ะ ซักไปอีก ย้อนหลังไปจนกระทั่งถึงมนุษย์คนแรกในจักรวาลนี้มาจากไหน แล้วเดี๋ยวนี้เขาเหล่านั้นไปไหน เดี๋ยวนี้เขาเหล่านั้นไปไหน ถ้าเขาไม่ไปไหน เราคงไม่มีที่อยู่ เดี๋ยวนี้ก็มีพูดอยู่แล้วประชากรกำลังล้นโลก แต่ก็นึกดูเถอะเราไม่รู้ว่าจักรวาลนี้มีมาสักกี่พันปีกี่ล้านปี ถ้าหากว่ายังอยู่กันทั้งหมด เราก็คงไม่มีที่อยู่ อยู่กันไม่ได้เบียดเสียดกันยิ่งกว่ามด ทำลายล้างกันยิ่งกว่านี้ ลองนึกดูสิคะว่ามาจากไหน ถ้านึกว่ามาจากไหนไม่ออก คือนึกไม่ได้ก็โปรดนึกดูว่า เมื่อหยุดหายใจแล้วไปไหน ถ้าหยุดหายใจแล้วไปไหน เราเองก็ยังไม่หยุดหายใจ เรายังหายใจอยู่ แต่ในชีวิตที่ผ่านมาเราก็ได้พบคนมากมายที่หยุดหายใจแล้วไปไหน เราเคยไปงานศพมาหลายครั้ง เชื่อว่าทุกท่านเคยไปงานศพมาแล้ว เขาเหล่านั้นไปไหน คำตอบก็คือว่าเขาเหล่านั้นก็กลับไปสู่ดิน สู่น้ำ สู่ลม สู่ไฟเหมือนอย่างที่เขามา
เพราะฉะนั้นถ้าจะถามว่า แล้วชีวิตนี้เป็นของใคร เป็นของฉันใช่ไหม คำตอบก็คือว่า “ไม่ใช่” ไม่ใช่ของฉัน ถ้าเป็นของฉัน ฉันต้องบังคับได้ ฉันต้องจัดมันได้ ถ้าหากว่ารูปร่างหน้าตาอย่างนี้ไม่ชอบ ฉันก็ต้องเปลี่ยนมันเสียใหม่ ก็อาจจะมีบางท่านเถียงในใจว่า เดี๋ยวนี้เขาเปลี่ยนกันออก เปลี่ยนจากผู้หญิงเป็นผู้ชายยังได้เลย เปลี่ยนจากผู้ชายเป็นผู้หญิงยังได้เลย จมูกแฟบทำเป็นจมูกโด่ง เนื้อย่นทำเป็นเนื้อตึง เขาทำกันได้สารพัด แต่ก็ดูเถอะอยู่ได้นานไหม เหมือนอย่างในนักร้อง นักร้องมีชื่อของอเมริกัน นายแจ็กสัน หรืออะไรนั่นนะ เวลานี้ก็กำลังมีการอภิปรายว่า นายแจ็กสันนี่ไปผ่าตัดหน้ามากี่ครั้งแล้ว เจ้าตัวเขาเองก็บอกไม่เกินสองครั้ง แต่บรรดาผู้เชี่ยวชาญทางการทำพลาสติกเซอร์เจอรี (Plastic Surgery : ศัลยกรรมตกแต่ง) ก็บอกว่า นายคนนี้ต้องผ่าตัดมาแล้วไม่น้อยกว่าเก้าครั้ง แต่เจ้าตัวก็พยายามที่จะบอกว่าน้อย แต่เรามองดูอาการปริต่างๆ ที่มันกำลังเกิดขึ้นจากการผ่าตัดนี่แสดงให้เห็นว่า แม้วิทยาศาสตร์จะก้าวหน้าเพียงใดก็ตาม แต่ก็หาชนะธรรมชาติไม่ หาชนะไม่ เราคงมองเห็นบางท่านที่มีอารมณ์ขันเกิดขึ้นในใจ อยากจะหัวเราะให้เต็มที่ หัวเราะได้ไหม เพราะว่าไปทำหน้างามมา หน้าตึงมา หัวเราะไม่ได้ อย่างมากก็ได้แต่เพียงยิ้ม และก็ต้องยิ้มอย่างระมัดระวังด้วย นี่คือ การต่อสู้กับธรรมชาติที่พยายามจะฝืนกฎของธรรมชาติ
เพราะฉะนั้นอันนี้ ถ้าจะถามว่าแล้วเขาเหล่านั้นไปไหนละ เขาก็กลับคืนไปสู่ธรรมชาติ แล้วเขามาจากไหนละ เขาก็มาจากธรรมชาติ มาจากธรรมชาติอย่างไร ก็อยากจะขอให้ทุกท่านลองนึกดู ลองนึกดูถึงสภาพร่างกายของเราเวลานี้ เรามองดูข้างนอกเราก็เห็นแต่เพียงว่า มีเส้นผม มีศีรษะ มีหน้าตา อวัยวะส่วนต่างๆ ไปจนกระทั่งถึงลำคอ แขน ขา เท้า มือ แล้วพอมองดูข้างใน ท่านที่เป็นแพทย์ เป็นพยาบาล ถึงแม้ไม่เป็นก็คงเคยมองเห็นภาพที่เค้าผ่า ผ่าร่างกายนี้ออกไป เขากรีด ตั้งแต่นี่ลงไป เขาแบะออกมาเหมือนอย่างเขาแบะเนื้อหมู แบะตัวหมูออกมา พอมองลงไปเห็นอะไรบ้าง ตรงนี้หัวใจ ตรงนี้ปอด ตับ ม้าม ไต กระเพาะ ลำไส้ มดลูก กระบังลม อะไรต่ออะไรต่างๆ มองดูแล้วรู้สึกวิจิตรไหมคะ วิจิตรมหัศจรรย์ ท่านผู้ใดเคยมีความรู้สึกอย่างนี้บ้าง หรือว่ามองไม่ได้ ไม่กล้ามอง แล้วก็จะอ้วก จะอาเจียน สะอิดสะเอียน ดูไม่ได้ แต่อันที่จริงแล้ว ถ้าเรามองลงไป เราจะรู้สึกว่าที่ใครๆ เขาบอกว่า คนนั้นเป็นจิตรกรชั้นเลิศ เป็นศิลปินชั้นเอก ดิฉันอยากจะบอกว่าธรรมชาตินี้แหละเป็นศิลปินชั้นเอกเลอเลิศที่สุดในจักรวาลนี้ ลองนึกดูสิคะว่า ทุกอย่างที่มนุษย์มี เอากายที่เรามองเห็น ทุกอย่างจัดสรรอย่างเหมาะเจาะงดงาม และก็อยู่ในที่ที่มันควรอยู่ใช่ไหมคะ ตั้งแต่ศีรษะมาจากข้างนอก จากส่วนหัว มีตา มีจมูก มีปาก มันได้จังหวะจะโคน ลำคอ บ่า ไหล่ แขน แล้วอย่างข้างในอีกที่คนไม่กล้ามอง แต่ว่าธรรมชาติจัดเอาไว้อย่างถูกส่วน เหมาะเจาะ เพื่อให้มันมีโอกาสทำงานร่วมกันได้ ทำงานร่วมกัน คืออวัยวะส่วนต่างๆ เหล่านั้น สามารถทำงานร่วมกันได้ ดิฉันมักจะเรียกว่า อย่างเป็นสหกรณ์ สหกรณ์ที่ร่วมมือกันอย่างดีด้วย ไม่มีการทุจริต คดโกงกัน เป็นหุ้นส่วนกันอย่างดีที่สุดด้วย เคยคิดอย่างนั้นไหมคะ ถ้าไม่คิดก็อยากจะขอร้องให้คิด ลองคิดเสียเดี๋ยวนี้แล้วจะมองเห็นที่ชีวิตของเรา ถึงแม้ว่าจิตมันจะร้อน แต่ทางกายนี้มันยังมีความเป็นไปได้ ก็เพราะธรรมชาติที่เป็นนายช่างอันเลอเลิศที่จัดสรรทุกอย่างในร่างกายมนุษย์นี้ มาอย่างเหมาะเจาะ อย่างได้สัดส่วน และก็ยังให้ทำหน้าที่อย่างสอดประสานกันอย่างถูกต้องอีกด้วย ใช่ไหมคะ และก็ปู่ย่าตาทวดขึ้นไปนี้มีอะไรแตกต่าง...