แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ทีนี้ก็จะลองยกตัวอย่างว่าเราจะใช้สัปปุริสธรรมในเรื่องต่อไปนี้อย่างไร เช่นเรื่องการมีคู่ครอง หนุ่มสาวจะเลือกคู่ครองเองหรือผู้ใหญ่จะเลือกคู่ครองให้ลูกให้หลาน จะใช้สัปปุริสธรรมเข้ามาเกี่ยวข้องในเรื่องนี้ได้อย่างไร นี่ก็เป็นตัวอย่างที่ลองคิดเสนอนะคะเพื่อพิจารณาว่ามันจะเป็นไปอย่างนี้ได้ไหม
ข้อแรก ถ้าเราเอาธัมมัญญูคือเหตุเข้ามาจับ ก็จะต้องนึกทีเดียวว่าทำไมถึงจะต้องมีคู่ครอง มันก็คล้าย ๆ อริยสัจ 4 ทำไมถึงจะต้องมีคู่ครอง ทีนี้พอพูดอย่างสัปปุริสธรรมก็คือความเป็นผู้รู้จักเหตุ ก็คือจะต้องมีเหตุมีหลักการอย่างไรหรือจุดหมายอย่างไรในการที่จะมีคู่ครอง ไม่ใช่จู่ ๆ ก็ถือว่าเป็นธรรมชาติของมนุษย์ก็จับคู่กันไปตามเรื่องตามราว บางทีก็เพราะเหงา บางทีก็เพราะจังหวะโอกาสมันให้ อะไรอย่างนี้เป็นต้น นั่นไม่ใช่ นั่นไม่ได้ใช้สัปปุริสธรรม แต่ถ้าเป็นสัปปุริสธรรมก็จะต้องมีหลักการในใจว่าจะแต่งงานทำไม พูดง่าย ๆ นะคะจะมีคู่รักทำไมจะแต่งงานทำไม ซึ่งจากจุดหมายที่ตั้ง ตั้งคำถาม ถามตนเองหรือผู้ใหญ่จะถามให้ลูกให้หลานนี่นะคะ ก็จะมาเป็นเหตุหรือเป็นหลักการให้ใคร่ครวญในข้อต่อไปได้ว่าเช่น หนึ่งเพื่อมีกัลยาณมิตรเป็นผู้ร่วมเดินทางชีวิต คิดอย่างนี้หรือเปล่า ไม่ว่าผู้ใดก็ตามจะอยู่ในวัยใดก็ตามเมื่ออยากจะมีคู่สักคนหนึ่งเคยนึกบ้างไหมว่าเราต้องการกัลยาณมิตร กัลยาณมิตรก็คือมิตรที่ดีที่พร้อมจะร่วมทุกข์ร่วมสุขร่วมปัญหาในทุกกรณี ไม่ใช่เป็นเฉพาะเพื่อนร่วมสุขหรือว่าร่วมสนุก หรือว่าร่วมเล่นร่วมกินร่วมเที่ยว แต่เป็นผู้ที่จะรับรองร่วมปัญหากันในทุกกรณี นี่คือมีกัลยาณมิตรเป็นผู้ร่วมเดินทางของชีวิต แล้วเมื่อพูดว่าร่วมเดินทางของชีวิตก็คงไม่ได้หมายว่าเอาล่ะตอนนี้เราอยู่ด้วยกันปีหน้าคิดกันใหม่ เป็นการทดลองกัน ลองกันก่อน อยู่ด้วยกันได้ก็อยู่ ไม่อยู่ก็ไม่ต้องอยู่ด้วยกันอย่างที่เดี๋ยวนี้คำว่าฟรีเซ็กส์เริ่มมีมาก แล้วก็แผ่เข้ามาบ้างแล้วในบางกลุ่มบางแห่งของเมืองไทย เห็นด้วยไหม ถ้าหากว่าบุคคลใดเห็นอย่างนั้น ก็ย่อมจะรู้สึกเองว่าการกระทำอย่างนี้ไม่แตกต่างอะไรกับสิ่งมีชีวิตอื่นที่ไม่ใช่คน ก็ทำอย่างนี้เหมือนกัน พอใจก็พบกัน ประกอบเหตุตามปัจจัยของเขา พอเสร็จแล้วก็แยกกันไป พอไม่ถูกใจก็ฟัดกันต่อไปอีกแล้วก็ถูกใจเมื่อไหร่ก็มาร่วมกันใหม่อีก ถ้าอย่างนั้นมันไม่ใช่การกระทำของบุคคลที่ได้ชื่อว่าเป็นคนหรือเป็นมนุษย์นะคะ เพื่อมีกัลยาณมิตรเป็นผู้ร่วมเดินทางของชีวิต ก็คือหวังว่าจะเป็นกัลยาณมิตรกันได้ตลอดไปหรือเปล่า มีสิ่งนี้เป็นหลักการในใจหรือเปล่า นอกจากนี้เพื่อเป็นการรวมพลัง พลังของคนสองคนที่มีพร้อมทั้งสติปัญญามีทั้งคุณธรรมอยู่ในใจ รวมพลังของคนสองคนที่จะมาช่วยกันสร้างสรรค์ครอบครัวให้เป็นปึกแผ่น ไม่ใช่เพียงแต่มาอยู่ด้วยกันเฉย ๆ แต่ประสงค์ที่จะสร้างครอบครัวให้เป็นปึกแผ่นเพราะมีความรู้หรือว่าสำนึกอยู่ในใจว่า ครอบครัวนั้นคือรากฐานที่สำคัญของสังคม ครอบครัวที่เป็นปึกแผ่นสังคมก็เป็นปึกแผ่น ครอบครัวที่อบอุ่นสังคมก็อบอุ่น ครอบครัวที่หิวกระหายสังคมก็หิวกระหาย ครอบครัวที่อยู่ด้วยกันด้วยความเบียดเบียน ความเบียดเบียนในครอบครัวมันก็เป็นอนุสัยของสมาชิกในครอบครัวแล้วก็เป็นอาสวะไปเที่ยวเบียดเบียนคนอื่นเขาต่อไป ฉะนั้นเราดูสิ่งที่เกิดขึ้นในสังคมรอบตัวเราก็ดูได้ว่ามันมาพื้นฐานจากครอบครัวทั้งนั้น ฉะนั้นเคยนึกบ้างไหม พอจะแต่งงานกันแล้วละก็เพื่อรวมพลังสร้างสรรค์ครอบครัวให้เป็นปึกแผ่น ทำไมถึงต้องการครอบครัวที่เป็นปึกแผ่น ก็เพื่อเป็นการช่วยสร้างสรรค์พัฒนาสังคมไปด้วยในตัวโดยอัตโนมัติ เมื่อประกอบเหตุปัจจัยด้วยการสร้างครอบครัวที่เป็นปึกแผ่นอบอุ่นมั่นคง ผลก็สะท้อนไปถึงสังคม จะไม่ก่อให้เกิดปัญหาหรือเป็นปัญหาแก่สังคมต่อมา นั่นก็เช่นเมื่อมีลูกเต้าเข้า ลูกเต้าก็จะเป็นกำลังแก่สังคมต่อไป เป็นกำลังแก่ครอบครัวนั้นแน่นอน แต่จะเป็นกำลังแก่สังคมต่อไป ไม่กลายเป็นปัญหาภาระหนักแก่สังคมที่จะต้องมาช่วยแก้ไขโอบอุ้มค้ำชูเหมือนอย่างที่เราเห็นอยู่แล้วทุกวันนี้ นี่คือหลักการ มีอย่างนี้ไหมหรือว่าทั้ง 3 ข้ออย่างนี้ไม่เคยอยู่ การขายข่าวอย่างนี้มีทุกวัน ทำให้เกิดความอเนจอนาถแก่ชีวิตไม่ใช่เพราะว่าแก่แล้วถึงรู้สึก ถึงจะยังสาวกว่านี้ก็จะรู้สึกอย่างนี้เหมือนกัน แล้วก็จะต้องเกิดความสงสัยว่านี่เราสร้างสังคมอะไร เราทำสังคมที่ปู่ย่าตาทวดให้มานั้นสูงขึ้นงามขึ้นดีขึ้น เพื่อจะมอบให้แก่ลูกหลานที่จะมารับต่อไปข้างหน้าอย่างชนิดที่เราภาคภูมิใจได้ หรือเรากำลังทำสังคมที่ปู่ย่าตาทวดให้มาให้มันลดต่ำลง ๆ จนกระทั่งต่ำกว่าสภาพของสังคมคน นี่เป็นสิ่งที่จะต้องคิด เฉพาะฉะนั้นครอบครัวนี่เป็นสิ่งที่สำคัญมากที่สุดนะคะ
ทีนี้ข้อที่ 2 อัตถัญญูก็คือผล คือมองไปถึงผล การมีครอบครัวนั้นผลเพื่ออะไร แต่งงานทำไม มีคู่ครองทำไม มีผลอะไร ก็ส่วนมากเพื่อมีความเป็นอยู่ด้วยความมั่นใจอบอุ่นเป็นสุขในการที่ได้มีกัลยาณมิตรเป็นผู้ร่วมเดินร่วมเดินทางของชีวิตใช่ไหม ไม่ใช่เพียงความใคร่ซึ่งรสมันจืดจางเร็ว เกิดความเคยชินเข้ามันก็ไม่ตื่นเต้นแล้ว ไม่หวือหวาวาบหวิวแล้ว เพราะฉะนั้นความใคร่มันจางหายรวดเร็วเหลือเกินจึงจะมาถือเป็นจุดหมายปลายทางของการมีคู่ครองไม่ได้ แต่หวังว่าจะมีความสุข จากความใคร่นั้นจะเป็นความรักคือมีความรักปนความใคร่ แต่เมื่อความใคร่จืดจางไปความรักนี้ยังคงอยู่ แล้วก็จะเป็นความรักที่นำความอบอุ่นมั่นใจให้เกิดขึ้นแก่ทั้งสองฝ่ายว่าเรามีเพื่อนเดินทาง มีเพื่อนที่จะปรึกษากันได้หารือกันได้ช่วยกันแก้ไขปัญหาชีวิตที่จะเกิดขึ้นได้ เป็นการผ่อนคลายความเครียดแล้วก็ยังประโยชน์ให้เกิดขึ้นทั้งแก่ส่วนตนเอง สังคม ตนเองครอบครัวสังคมไปด้วยกัน นี่คือผลที่เกิดขึ้น หวังอย่างนี้ได้ไหมที่จะได้ช่วยเหลือกันและกันต่อไปจนตลอดชีวิต
ทีนี้มาดูอัตตัญญูก็คือตนเอง ฉะนั้นผู้ที่จะเข้าแต่งงานต้องการจะมีคู่ครอง ไม่ใช่พัวะเสร็จ พัวะเสร็จ จะต้องคิดรายละเอียดหลายอย่างว่า ผลนั้นข้อแรกจะต้องรู้จักสถานะแห่งตนว่ามีความพร้อมในเรื่องนี้เพียงใด อยากจะมีคู่ครอง อยากจะแต่งงาน หญิงก็ตามชายก็ตามมีความพร้อมเพียงใด ไม่ใช่พร้อมเพียงเพื่อความใคร่อันนั้นไม่ใช่ความพร้อม อันนั้นเป็นตัณหาเป็นกิเลสที่หนาปราศจากคุณธรรม นี่หมายความว่าความพร้อมในเรื่องนี้เพียงใด เช่นมีความเข้าใจในเรื่องของชีวิตคู่มากน้อยแค่ไหน อยู่คนเดียวเป็นยังไง ที่อยู่คนเดียวอยู่แล้วนี่มีปัญหาของตัวเองมากน้อยแค่ไหนที่อยู่คนเดียวนี่ แล้วเคยนึกบ้างไหมเมื่อไปอยู่ 2 คนเข้า ปัญหามันต้องทวีคูณ อยู่คนเดียวเอาใจตัวเองยังไม่ค่อยจะเอาใจได้หมดทุกสิ่งทุกอย่าง เดี๋ยวนั่นก็ชอบเดี๋ยวนี่ก็ไม่ชอบทั้งที่ตัวเองทำให้ตัวเองไม่ใช่คนอื่นทำให้ก็ยังไม่ค่อยจะชอบ ผู้หญิงทำกับข้าวให้ตัวเองกินน่ะ เอ้อวันนี้กินอร่อยไม่ได้ทำให้คนอื่นกินนะ กินเองวันนี้อร่อย พรุ่งนี้ทำ อุ้ยอยากเททิ้งหมดทั้งหม้อไม่อร่อยเลย เห็นไหมตัวเองทำให้ตัวเองกินไม่ได้ทำให้คนอื่นกินปัญหาก็ยังเกิดขึ้น เพราะฉะนั้นมีความเข้าใจไหมว่าความมีชีวิตคู่นั้น แน่นอนที่สุดว่าจะต้องมีปัญหาเกิดขึ้นและพร้อมที่จะรับปัญหาไหม พร้อมที่จะลดความเป็นอิสระลงไหม คนที่บอกว่าฉันชอบความอิสระ พร้อมที่จะลดความอิสระลงไปได้ไหม เคยทำอะไรตามใจของตัวพร้อมที่จะยอมตามใจคนอื่นบ้างไหมนี่คือสถานะแห่งตนที่ควรจะศึกษาดู พร้อมไหม นอกจากนี้มีความพอใจจริง ๆ หรือเปล่า สอบทานย้ำลงไป มีความพอใจจริง ๆ หรือเปล่าในการที่จะครองชีวิตคู่ หรือว่าเพื่อนเราคนนั้นเขาก็แต่ง คนโน้นเขาก็แต่ง คนนี้เขาก็แต่ง เราจะมาเอกาเดียวดายอยู่ยังไงมันว้าเหว่ นี่ไม่ใช่หลักการ นี่แสดงว่าไม่ได้รู้จักว่าชีวิตคู่มันจะมีปัญหาอย่างไรและตัวเองก็อาจจะไม่ได้พอใจจริง ๆ ด้วยเพียงแต่ว่าตามเขาไป เหมือนกับอย่างเขาเอนทรานซ์สอบเข้าวิชาอะไรเพื่อนรักก็ตามเขาไป แต่การแต่งงานนี่มันตามกันไม่ได้เพราะเป็นเรื่องของความพอใจที่จะต้องเหมาะสมกันหลายอย่างหลายกรณี เพราะฉะนั้นถามใจตัวเองให้มาก ๆ ให้รู้จักสถานะใจของตัวเองจริง ๆ ว่าเป็นอย่างไร นอกจากนี้ดูสถานะของตนเองว่ามีความใจเย็นมีความใจกว้างเพียงใด ใจเย็นใจกว้างก็คือพร้อมที่จะให้โอกาสแก่อีกฝ่ายหนึ่ง ใจเย็นอดทนได้ยอมได้รอได้ ใจกว้างที่จะเปิดโอกาสให้แก่อีกฝ่ายหนึ่ง เช่นถ้าเผอิญผู้ชายไปพบผู้หญิงเก่ง ใจกว้างพอจะรับผู้หญิงเก่งคนนั้นได้ไหมหรือว่าจะเริ่มเป็นคู่แข่ง คู่แข่งกับคู่ชีวิตของตัวเอง นี่ใจกว้างรับไม่ได้ เคยมีผู้หญิงก็แข่งผู้ชาย ผู้ชายก็แข่งผู้หญิงโดยเฉพาะอย่างยิ่งในปัจจุบันนี้ เพราะฉะนั้นครอบครัวที่ทั้งผู้ชายและผู้หญิงทำงาน น้อยนักที่จะมีความอบอุ่นเกิดขึ้นในครอบครัวเพราะแข่งกันเองโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ และอะไรละคะทำให้แข่ง นึกออกไหมอะไรทำให้แข่ง อัตตา เห็นไหมอัตตาของแต่ละคน เวลารักกันก็อุ้ยฉันรัก ผมก็รัก ยอม ยอมให้ทุกอย่าง แต่พอถึงเวลาจริง ๆ เข้า ความยึดมั่นถือมั่นในอัตตามันก็โผล่ออกมา
เพราะฉะนั้นต้องนึก ใจเย็นพอไหมใจกว้างพอไหมที่จะยอมรับอีกฝ่ายหนึ่ง ยอมรับทั้งข้อบกพร่องของเขา จะเป็นใครก็แล้วแต่จะหญิงหรือจะชายก็แล้วแต่ ความผิดพลาดของเขาซึ่งจะต้องเกิดขึ้นตามวิสัยของปุถุชน มากบ้างน้อยบ้าง แล้วก็พร้อมที่จะให้อภัยได้ จุดนี้เป็นจุดที่สำคัญมาก ถ้าผู้หญิงผู้ชายคนไหนไม่รู้จักสถานะแห่งจิตของตนในเรื่องนี้จะต้องเอาให้ได้อย่างใจฉัน ยอมไม่ได้อภัยไม่ได้ เธอของฉันจะต้องดีเสมอสมบูรณ์เสมอไม่มีข้อบกพร่อง เวลาที่คบกันทีแรกมันก็เอาแต่ของดีโชว์ไป ใจกว้าง ใจดี สปอร์ต เมตตากรุณา ไม่เห็นแก่ตัว เธอก่อนเสมอ ผู้หญิงก็ยอมที่จะเดินเป็นช้างเท้าหลัง ผู้ชายก็พร้อมที่จะประคับประคอง แต่พอพ้นวัยหวานวันหวานซึ่งมันไม่นานเท่าไหร่ก็ลืม ของเดิมกลับออกมา ตอนนี้แหละอะไร ๆ ที่ซ่อนเอาไว้มันจะออกมาทุกอย่าง แล้วพร้อมไหม ต้องมองไปกว้าง ๆ ครูอาจารย์ที่จะสอนลูกศิษย์ในเรื่องนี้ก็น่าจะชี้ให้ลูกศิษย์ได้เห็นประเด็นแง่มุมที่สำคัญเช่นเดียวกับพ่อแม่ที่จะสอนลูก ไม่ใช่ดูแต่เพียงว่านี่เขามีฐานะเงินเดือนรวย เงินในธนาคารเยอะ มีตำแหน่งการงานดี ลูกแต่งไปกับเขาเถอะลูกจะเจริญ แล้วพบมานักต่อนักแล้วที่ลูกอกไหม้ไส้ขม เพราะถ้าเขาก็เขามีเงินมากมีเกียรติยศอำนาจมาก เขาก็ไม่เห็นจะต้องแคร์ ผู้หญิงเยอะแยะไป เช่นเดียวกับผู้ชายบางคนที่เขาเปรียบผู้หญิง เคยได้ยินเขาบอกเขาจะแต่งงาน เพื่อนก็ถามว่านี่เกาะอะไร ขนาดเกาะลังกาหรือว่าเกาะออสเตรเลียหรือว่าเกาะเล็ก ๆ ของฟิลิปปินส์หรือว่าของญี่ปุ่น เกาะขนาดไหน ถ้าผู้ชายคนใดหวังเกาะใหญ่ ๆ ก็แน่ล่ะ วันหนึ่งเกาะนั่นก็ขึ้นมาเหยียบ ตอนนี้ทนไม่ได้ศักดิ์ศรีลูกผู้ชายไม่เหลือแล้ว เพราะฉะนั้นสิ่งนี้เป็นสิ่งที่จะต้องพิจารณาว่าพร้อมที่จะให้อภัยกันไหม การจะให้อภัยกันได้ก็เกิดจากความเข้าใจกัน ยอมรับว่าเกิดเป็นคนที่ยังไม่ได้บรรลุนะคะ มันต้องมีข้อบกพร่องทั้งนั้นแหละมากบ้างน้อยบ้าง ฉะนั้นในเวลาที่พบปะสนทนารู้จักกันในครั้งแรก นี่แหละคือตอนที่จะสำรวจซึ่งกันและกัน สำรวจสถานะแห่งตนของกันและกันว่าข้อดีอะไรและข้อบกพร่องของเขาทนได้ไหม ในจุดที่เขาเป็นน่ะทนได้ไหม ถ้าพอทนได้แก้ไขกันได้ตักเตือนกันได้มันก็พอจะไปกันได้ แต่ถ้ามันไม่สามารถจะทนกันได้ถอยซะก่อนจนกว่าจะแน่ใจว่าแก้ไขปรับปรุงได้
ข้อต่อไปในเรื่องของอัตตัญญูก็คือ สามารถยอมรับได้ไหมว่าความใคร่หรือกามารมณ์นั้นเป็นเพียงส่วนประกอบของชีวิตคู่ ไม่ใช่พื้นฐานของชีวิตคู่ จริงหรือไม่จริง แต่ส่วนมากสิ่งนี้มีหลายคู่ที่มันนำหน้าแล้วมันก็ทำให้ชีวิตคู่นี่มันเพี้ยนไป ฉะนั้นถ้ามองเห็นว่าความใคร่หรือกามารมณ์เป็นเพียงส่วนประกอบของชีวิตคู่ แต่ละฝ่ายก็จะได้พยายามสร้างสรรค์คุณธรรมความดีให้เกิดในตัวขึ้นมาก ๆ เพื่อที่จะได้ทะนุถนอมประคับประคองชีวิตคู่นั้นให้อยู่ด้วยกันด้วยความอบอุ่น ด้วยความเป็นสุข ด้วยความเห็นใจซึ่งกันและกัน เมื่อความใคร่หรือกามารมณ์มันจางลงตามธรรมชาติ ในขณะเดียวกันก็ต้องเห็นว่าสิ่งที่เป็นรากฐานของความรักที่มั่นคงถาวรยั่งยืนนั้น คือความเข้าใจและความเห็นใจในกันและกันอย่างแท้จริงที่ยอมรับข้อบกพร่องของกันได้อภัยกันได้ ช่วยกันตักเตือนประคบประหงมกันได้ นั่นแหละคือรากฐานของความรักที่มั่นคงถาวรจริง ๆ
และอีกข้อหนึ่งที่สำคัญมากก็คือทั้งสองฝ่ายสามารถข่มใจให้ลดละอัตตาของตัวตนได้มากน้อยเพียงใด เหมือนอย่างที่เขาเล่าว่าผู้ชายแต่งงานกับผู้หญิงที่เป็นครูเป็นอาจารย์ ก็ขึ้นชื่อว่าครูอาจารย์แล้วก็ฟังไม่เป็น ได้แต่พูดแล้วก็พูดมากด้วย แล้วก็สามีก็ต้องคอยเตือน นี่เธอฉันไม่ใช่ลูกศิษย์นะ นี่บ้านนะไม่ใช่ห้องเรียนนะ เพราะฉะนั้นลดละอัตตาได้ไหม ความเป็นครู ความเป็นอาจารย์ ความเป็นผู้อำนวยการ ความเป็นหมอ ความเป็นพยาบาลหรือเป็นนักดนตรีหรือเป็นนักกีฬาเป็นอะไรสารพัดเป็นนั่นน่ะ ลดอัตตาของความเป็นที่อมเอาไว้ในภพนั้นลดลงได้บ้างไหม เมื่อเวลาที่อยู่บ้านเราไม่ใช่เป็นหนึ่ง มันเป็นสองอยู่ด้วยกัน สามารถจะลดอัตตานั้นได้บ้างไหม ถ้าลดอัตตาลงได้ก็จะยอมรับกันได้ นี่ก็คืออัตตัญญูและยังมีอีกเยอะนะคะ นี่เท่าที่นึกได้
ทีนี้ข้อที่ 4 มัตตัญญู ก็คือความรู้จักความพอเหมาะพอดีในการครองชีวิตคู่ที่จะไม่ก่อให้เกิดปัญหา สิ่งนี้เป็นสิ่งที่สำคัญมากนะคะ อะไรคือความพอดี อย่างผู้หญิงถ้าหากว่าไม่แต่งงานก็งานมาที่หนึ่งได้ นี่พูดถึงผู้หญิงที่ทำงาน งานมาที่หนึ่งงานต้องมาเป็นอันดับแรก แต่เมื่อแต่งงานแล้วผู้หญิงก็ต้องนึกว่านี่มีหน้าที่อะไรเพิ่มขึ้นมา หน้าที่ของภรรยา หน้าที่ของแม่บ้าน หน้าที่ของแม่ซึ่งเป็นหน้าที่ ๆ สำคัญที่สุด สิ่งที่สังคมขาดเวลานี้อย่างยิ่งก็คือขาดแม่จริงหรือเปล่า ที่เป็นปัญหาของสังคมทุกวันนี้เพราะสังคมขาดแม่ไม่มีแม่ ไม่มีแม่อยู่ที่บ้านเพราะแม่ต้องพากันไปทำงานหมด ลูกกลับมาก็พบบ้าน พบตู้เย็น พบเก้าอี้นั่ง พบเตียงนอน พบวิทยุโทรทัศน์วีดีโอ มีเงินแม่ให้ไปใช้ สิ่งเหล่านี้คืออะไร คืออะไร คือวัตถุใช่ไหมคะ คือวัตถุ เพราะฉะนั้นทำไมใจของลูกเดี๋ยวนี้ถึงมักจะแข็งกระด้างไม่ค่อยเห็นใจพ่อแม่ และพ่อแม่บางคนก็ออกปากว่าลูกไม่รู้จักความกตัญญูเลย ไม่มีความกตัญญูกับพ่อแม่ ก็เพราะพ่อแม่โดยทั่วไปเจตนาหรือไม่เจตนาก็ตาม เอาอะไรเลี้ยงลูก เอาวัตถุเลี้ยงลูกใช่ไหม วัตถุมันแข็งกระด้าง มันไม่มีน้ำใจไม่มีความรู้สึกไม่มีความอบอุ่นอ่อนโยนที่จะให้ แล้วเราจะมาหวังให้ลูกนั้นมีความอ่อนโยนนุ่มนวลกตัญญูรู้คุณ รู้อยู่กับบ้านไม่เที่ยวตะลอน ๆ ออกไปนอกบ้านได้อย่างไร ฉะนั้นสิ่งที่สังคมขาดที่สุดคือแม่ ถ้าผู้หญิงที่ไม่แต่งงาน งานออกหน้า เห็นด้วย ทุ่มเทลงไปให้เต็มที่ แต่ถ้าแต่งงานแล้วงานยังเป็นที่หนึ่งออกหน้าอยู่ นั่นเรียกว่าขาดหน้าที่ของความเป็นแม่และความเป็นแม่บ้าน เพราะฉะนั้นบ้านมันจึงเป็นแต่ House ไม่มี Home Home Sweet Home ไม่มีวันได้ยิน สังคมทุกวันนี้ขาด Home Sweet Home ลงไปยิ่งขึ้นทุกวันทุกวัน ดิฉันเชื่อว่าที่นั่งอยู่ที่นี่หลายท่านมีความเห็นจริงตามที่ดิฉันพูดว่าครอบครัวคือรากฐานที่สำคัญของสังคม และครอบครัวจะมั่นคงอบอุ่นเป็นสุขเพราะคนที่เป็นแม่ แต่คนที่เป็นพ่อก็ไม่ใช่ว่าจะหนีความรับผิดชอบนะ ถ้าพ่อถือว่าแม่จะต้องอยู่โยง เป็นหน้าที่ของแม่จะต้องดูแลบ้าน พ่อนี่มีหน้าที่เป็นนกบินไปได้ทุกหนทุกแห่ง นั่นก็หาทำหน้าที่ของตัวถูกต้องไม่ และไม่สมควรแก่การที่จะเป็นพ่อหรือเป็นสามี ถ้าเป็นอย่างนั้นอย่าแต่งงาน อยู่คนเดียวจะได้ไม่ทำบาปให้แก่คนอื่นเขา ไม่นำความเจ็บปวดรวดร้าวความแตกแยกให้เกิดขึ้นแก่ครอบครัว ฉะนั้นที่บอกว่านี่เป็นพ่อนั่นเป็นแม่ขอจงเข้าใจเถิดว่า พ่อแท้ ๆ แม่แท้ ๆ นี่เกิดจากการทำหน้าที่ของพ่อและของแม่ไม่ใช่เพียงแต่ให้กำเนิดเขามา เพียงให้กำเนิดมันไม่สำคัญ ไม่สำคัญจริง ๆ ยิ่งเอาเขามาทิ้ง ๆ ขว้าง ๆ ไม่ได้ให้ความอบอุ่น ไม่ได้ทำให้เขาเป็นสัมมาทิฏฐิ ทำให้เขาเห็นกงจักรเป็นดอกบัวไม่รู้อะไรถูกอะไรผิด ถ้าจะพูดแบบนี่แหละคือการทำลายคนทำลายสังคมหรืออยากจะใช้คำว่าบาปใช้ได้เต็มที่เลย ฉะนั้นสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ดิฉันรู้สึกอยู่ในใจ แล้วก็อีกหลาย ๆ คนในวงสังคมนี้มีความรู้สึกเช่นเดียวกัน แต่ก็ละเลยในการที่จะทำหน้าที่ของตัวเองอย่างถูกต้องเพราะอะไร ก็เพราะความเห็นแก่ตัว เพราะละเลยต่อจริยธรรมไม่หันมาสนใจธรรมะ นี่จึงเป็นข้อแสดงให้เห็นว่าสิ่งที่เรียกว่าจริยธรรมหรือธรรมะมีความจำเป็นที่จะเป็นรากฐานในจิตใจของมนุษย์เพียงใด จะสามารถทำหน้าที่พ่อถูกต้องแม่ถูกต้องช่วยให้ครอบครัวเป็นสุขได้ ฉะนั้นมัตตัญญูก็คือความรู้จักความพอเหมาะพอดีที่จะไม่ก่อให้เกิดปัญหา