แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ไฟล์ถอดเสียงนี้ยังไม่ได้ผ่านพิสูจน์อักษร นำขึ้นมาเพื่อช่วยในการศึกษาค้นคว้าของผู้สนใจ
ที่คุยกันหลังทำวัตรนี้ก็ในหลักการสำคัญ ๆ ก็ได้พูดไปคลุมพอสมควร ทีนี้เราได้พูดกันมาเรื่องทานศีลภาวนาจนกระทั่งมาถึงข้อภาวนา นี่ภาวนาเรื่องการพัฒนาก็มาลงที่ว่า ที่พระพุทธเจ้าที่เน้นสำหรับคฤหัสถ์กับเมตตาภาวนา แต่ว่าภาวนานั้นมันก็กว้างสามารถโยงไปถึง อย่างน้อยในความหมายที่จำกัดเอาภาวนาด้านใน ก็คือ จิตใจและปัญญา ตอนนี้เราไม่ต้องพูดถึงกายภาวนาและศีลภาวนา ก็เอาจิตภาวนาและปัญญาภาวนา นี้ด้านจิตใจกับด้านปัญญาแล้วก็ออกไปสู่สมถะวิปัสสนา ทีนี้เรื่องด้านจิตใจอันหนึ่งที่สำคัญก็คือ เมื่อเราพัฒนาทางด้านจิตใจไป มันก็จะมีภาวะของจิตใจอันหนึ่งที่สำคัญก็คือเครื่องความสุข ซึ่งมนุษย์เรานี่เป็นยอดปรารถนา ทีนี้ความสุขในพุทธศาสนานี้ก็จะมีความหมายพิเศษที่ว่า ความสุขนั้นก็จะพัฒนาไปพร้อมกับจิตใจและปัญญาที่พัฒนาด้วย แล้วความสุขที่มนุษย์ได้มีเพิ่มขึ้นจากการพัฒนาชีวิตทางจิตใจและปัญญาจะเป็นความสุขที่เป็นอิสระมากขึ้น มนุษย์ในตอนต้นนี่ความสุขของเขาจะขึ้นต่อสิ่งเสพวัตถุภายนอก ถ้าเขาไม่พัฒนาภายในต่อไปเขาจะยิ่งขึ้นต่อวัตถุเสพภายนอกมากขึ้นตามลำดับ จนกระทั่งทั้งชีวิตและความสุขของเขานี่ไม่สามารถมีความสุขด้วยตนเองต้องอาศัยความสุขจากวัตถุเสพภายนอก ก็เท่ากับหมดอิสรภาพของชีวิต แต่ในพุทธศาสนานี่ลักษณะทั่วไปก็คือว่า เมื่อพัฒนาจิตใจและปัญญาขึ้นมานี่ เราจะสามารถมีช่องทางที่ได้ความสุขเพิ่มขึ้น ๆ ความสุขจากการอาศัยสิ่งเสพกลับลดน้อยลง เราขึ้นต่อสิ่งเสพน้อยลงในการที่จะมีความสุข อันนี้ก็เป็นลักษณะทั่วไปอย่างหนึ่ง ฉะนั้นเรื่องความสุขก็ควรจะนำมาเน้นกันด้วย ทีนี้ขอโยงกลับไปถึงตั้งแต่ต้นที่เคยพูดเรื่องอริยสัจ บอกว่าคนที่ไม่เข้าใจพุทธศาสนาชัดเจนเนี่ย พอมาเห็นหลักอริยสัจเริ่มด้วยทุกข์นี่ อย่างเช่นฝรั่งเราไปเปิด Encycloedia ของฝรั่งเนี่ย ก็จะมองพระพุทธศาสนาว่า อ้อ พุทธศาสนานี่เห็นชีวิตเป็นทุกข์มองโลกในแง่ร้ายอะไรไปทำนองนี้ มักจะมีความเข้าใจอันนี้ไม่ถูกต้อง อย่างน้อยเราได้ทำความเข้าใจกันแล้วว่าพุทธศาสนาพูดถึงธรรมชาติของสิ่งทั้งหลายที่เราต้องไปเกี่ยวข้อง ตามที่มันเป็นจริง นี่ตรัสทุกข์ไว้เป็นข้อแรก อันนี้เป็นจุดที่มนุษย์จะไปสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมในการดำเนินชีวิตของเขา ถ้าเขาตั้งท่าทีไม่ถูกขาดปัญญาปั๊บ มันก็จะเป็นเหตุให้ไอ้ทุกที่มีอยู่ในภาวะธรรมชาติเข้ามาเป็นทุกข์ในตัวคนเลย ทีนี้พระพุทธเจ้าก็ตรัสหน้าที่ต่อทุกข์ไว้แล้ว ว่าทุกขังปริญเญยยัง ทุกข์เป็นสิ่งสำหรับกำหนดรู้ ทุกข์เป็นสิ่งปริญญาคือรู้เท่าทันรู้ตามสภาวะของมัน นั้นพูดง่าย ๆ ก็คือทุกข์นี่เป็นสิ่งสำหรับปัญญารู้ สำหรับเรารู้จักน่ะ รู้เท่าทันไม่ใช้สำหรับเป็นทุกข์ นั้นในการศึกษาพุทธศาสนา ถ้าในด้านของความรู้เรื่องปัญญาและรู้เข้าใจเท่าทันทุกข์ มันจะออกมาในรูปธรรมชาติของมันเองหรือออกมาในรูปที่มาเกี่ยวข้องกับชีวิตของเราที่เข้าไปสัมพันธ์กับมันก็ตาม แต่ว่าในแง่ของการดำเนินชีวิตหริอปฏิบัติ พอเราเริ่มปฏิบัติพุทธศาสนานี่มันจะกลายเป็นเรื่องของความสุข ศัพท์ในเชิงปฎิบัตินี้เป็นศัพท์เชิงของสุขมาก ศัพท์ในเชิงปัญญารู้นี่มีเรื่องทุกข์ เพราะว่าอันนั้นเกี่ยวกับเรื่องธรรมชาติของสิ่งทั้งหลาย เพราะว่าเมื่อสิ่งทั้งหลายมันไม่เที่ยงเกิดดับ มันก็อยู่ในภาวะเดิมมันไม่ได้ ธรรมดามันเป็นอย่างนั้น มันก็เป็นไปตามสภาวะของมัน ๆ ก็สวนทางกับกระแสความยึดมั่นของมนุษย์ ทีนี้พอพูดถึงแนวทางของการปฏิบัติ คือการเอามาใช้ในการดำเนินชีวิต ในพุทธศาสนาก็จะมีเรื่องสุขนี่มากเหลือเกิน พระพุทธเจ้าตรัสเรื่องสุขไว้มาก กระบวนการปฏิบัติที่เคยพูดไปแล้วเนี่ย อย่างเราบอกว่าเราปฏิบัติเพื่อให้เกิดสมาธิ สมาธินี่ก็เป็นจุดสำคัญอันหนึ่ง คนเราจะมีสมาธิได้นี่สุขต้องเป็นตัวสำคัญ จนกระทั่งท่านบอกว่า สุขะบันทัดถาโน สมาธิ สมาธิมีสุขเป็นบรรทัดฐาน บันทัตถา แปลว่าเหตุใกล้คนเราจะมีสมาธิได้มาจิตเป็นสุข ถ้าจิตเป็นทุกข์จิตมันก็ดิ้นรนซิ ดิ้นรนมันก็อยู่ไม่ได้มันก็สงบไม่ลง มันก็คงกระวนกระวายพลุ่งพล่าน ฉะนั้นคนที่เป็นทุกข์นี้สมาธิเกิดยาก ต้องสุข พอสุขก็สงบ แต่ก็อย่างที่ว่าให้สุขกับสมาธินี่ มันมีลักษณะอย่างหนึ่งก็คือว่า มันดีไม่ดีมันจะเพลินสงบนิ่งก็เลยเฉื่อย พอเฉื่อยแล้วก็ขี้เกียจ เพราะฉะนั้นเข้ากันได้กับเรื่องนี้ ในพุทธศาสนาก็ไม่ได้อยู่แค่นี้ไม่ให้ติดอยู่กับสุขใช่ไหม ฉะนั้นเรามีข้อปฏิบัติอื่นที่เกี่ยวข้องเยอะเป็นกระบวนการเป็นระบบการฝึกฝนพัฒนามนุษย์ ไม่ใช่มาอยู่แค่อันเดียว นี่เรื่องสุขก็เป็นเรื่องที่เราจะต้องทำความเข้าใจ ทีนี้อย่างในการปฏิบัติที่เจริญ แสดงถึงการที่พัฒนา แม้แต่เครื่องมือวัดผลการปฏิบัตินี่ มันจะมีเรื่องสุขเยอะ อย่างชุดหนึ่งที่ผมพูดบ่อย ๆ เวลาพระพุทธเจ้าตรัสถึงบุคคลกำลังปฏิบัติธรรม พอปฏิบัติธรรมมันเดินจิตถูก มันจะมีปราโมทย์ร่าเริงเบิกบานใจ มีปีติอิ่มใจ ปิติอิ่มใจความปลาบปลื้มใจ แล้วปะสะทิ ความสงบเย็นผ่อนคลายกายใจ แล้วก็สุขหมายถึง การที่คล่องใจ โปร่งใจโล่งไม่มีอะไรมาบีบคั้นติดขัดคับข้องตรงข้ามกับทุกข์ แล้วจิตก็สงบเป็นสมาธิ พอได้สุข ๆ เป็นบรรทัดฐาน จิตเกิดสมาธิ สมาธิก็ตั้งมั่นแน่วแน่ไม่มีอะไรกวน ไม่กระวนกระวายอยู่ตัว พออยู่ตัวดีก็ถ้าใช้เป็นก็เอาสมาธินี้ไปเป็นฐานในการที่ว่าจิตเหมาะแก่การใช้งาน เพราะเป็นจิตที่อยู่ตัวของมันแล้ว ไม่มีอะไรกวน มันก็พร้อมจะใช้งานอะไรก็ได้ตามปรารถนาก็นำจิตนี้ไปใช้งานในการที่ว่าพิจารณาสิ่งต่าง ๆ ให้เกิดปัญญา นี่จุดมุ่งหมายจะมาเผชิญ แล้วนอกจากนั้นแล้วจิตเป็นสมาธิมันก็มีพลัง ทั้งสงบทั้งมีพลังด้วยก็เป็นเอื้อในการที่จิตมันใส มันทำงานในการพิจารณาให้เกิดปัญญาได้ผลดี เป้าก็จะไปประสานกันสมาธิเป็นฝ่ายสมถะก็ไปเข้ากับปัญญาเป็นฝ่ายวิปัสสนาทำให้ได้ผล แต่ว่าตอนที่ถึงสมาธิ ซึ่งเกี่ยวกับเรื่องสุขด้วยเนี่ย มันก็ต้องระวังเขว อย่างที่ว่า ถ้าเขวไปก็ไปมัวเพลินกับการ ฝ่ายหนึ่งก็ใช้พลังจิตที่เป็นสมาธินั้นมุ่งฤทธิปาฏิหาริย์ หรือไม่งั้นก็ไปเสวยสุข ก็เลยเพลินเกียจคร้านไปเลย ก็เลยจมอยู่นั่น เป็นสิ่งกล่อมไป พระพุทธศาสนาก็เลยว่า ทั้งเห็นคุณค่าของสุขแต่ในเวลาเดียวกันก็ให้ไม่ประมาท ระวังโทษที่เกิดจากสุขด้วยเหมือนกันน่ะ ต้องระวังทั้งคู่ ก็รู้จักใช้นั่นเอง แต่ว่าในกระบวนการปฏิบัติแล้วเราจะเห็นเยอะเลยสุขนี่
เรื่องสุขอย่างที่ว่า ข้อคุณสมบัติของจิต 5 ประการนี่เป็นสิ่งที่ควรจะปลูกฝังไว้เป็นประจำ และคุณสมบัติที่ดีคือว่า ปราโมทย์ ร่าเริงเบิกบานใจ ปิติอิ่มใจ ปาสาทิ สงบเย็นผ่อนคลายกายใจสุข คล่องโล่ง โปร่งใจ แล้วก็สมาธิก็สงบแน่วแน่อยู่ตัว ไม่มีอะไรกวนได้ อันนี้เป็นสิ่งที่มีไว้เป็นประจำแล้วจะทำให้พัฒนาก้าวหน้าไปด้วยการปฏิบัติ พระพุทธเจ้าจะตรัสบ่อยธรรมะชุดนี้ในกระบวนการปฏิบัติ ก็เลยมาวัดคนที่ปฏิบัติธรรมนี้ด้วยว่า เอ้ ปฏิบัติแล้วได้ไหมนี่ ถ้าปฏิบัติไปแล้วมันไม่ได้สิ่งเหล่านี้มันอาจจะเกิดความวุ่นวายจิต กลายเป็นแทนที่จะปฏิบัติแล้วจิตดีกลับเป็นจิตวุ่นหนัก แสดงว่ามันผิดใช่ไหม มันเป็นเครื่องวัดในตัวเลย แต่ว่าที่พูดในวันนี้มุ่งให้เห็นว่าเรื่องความสุขเนี่ยสำคัญมากในการปฏิบัติ ในแง่ของปัญญารู้จักทุกข์ ๆ เป็นสิ่งสำหรับปัญญา แต่ในแง่ปฏิบัติแล้วมันออกเรื่องสุขแหล่ะ มันจะทุกข์น้อยลงตามลำดับ มันจะสุขมากขึ้น พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่าแห่งหนึ่ง ถ้ามองเห็นนิพพานเป็นสุข มีทางเจริญก้าวหน้าในการปฏิบัติ ถ้าเห็นนิพพานเป็นทุกข์หมดทาง ว่างั้น ตรัสไว้อย่างนั้นเลยในพระไตรปิฎก ถ้ามองเห็นนิพพานว่าเป็นทุกข์ แล้วก็แสดงว่าไปไม่ได้แล้วในการปฏิบัติ ไม่สำเร็จ เอ้า เพราะฉะนั้นเรื่องสุขนี่ก็เป็นเรื่องที่สำคัญ บางทีชาวพุทธนี่มองข้ามไปเน้นเรื่องทุกข์ โดยจับผิดแล้วไม่รู้จักหน้าที่ต่ออริยสัจคือ ทุกข์ ต้องจำให้แม่นเลยหน้าที่ต่อทุกข์คือปริญญา รู้เท่าทันมัน ทุกข์เป็นสิ่งสำหรับปัญญารู้หน้าที่ต่อทุกข์ เรามีแต่รู้ปัญญาเท่านั้น เราไม่มีหน้าที่เป็นทุกข์ ถ้าเราไปเป็นทุกข์เมื่อไหร่แสดงว่าพลาดแล้วนะ ฉะนั้นในการปฏิบัตินี่มันมีแต่ต้องหมดทุกข์ ๆ น้อยลง แล้วก็สุขมากขึ้นจนกระทั่งว่า สุขชนิดไม่มีทุกข์เหลือเลย ก็เป็นบรมสุขเพราะว่ามันไม่มีทุกข์เหลือนั่นเอง เพราะฉะนั้นท่านจึงใช้คำว่าหมดทุกข์หรือไม่มีทุกข์ก็เป็นอันว่าแสดงว่าเป็นภาวะที่สมบูรณ์ เพราะว่าสุขโดยทั่วไป นี่มันยังมีทุกข์เหลืออยู่ ลึกลงไปก็คือ มีทุกข์ ๆ แฝง พอทุกข์หมดจริง ๆ ก็เป็นอันว่าไม่ต้องพูดถึงคำว่าสุข
อันนี้พระพุทธเจ้าจะตรัสเรื่องสุขไว้มีเยอะแยะหมด อย่างในหมวด 2 นี้ สำหรับคฤหัสถ์ก็เป็นแต่เพียงว่าสุขของคนที่ควรจะมุ่งหมาย ควรจะทำให้มีให้เป็นขึ้น พระพุทธเจ้าก็ตรัสไว้นะ สุขคฤหัสถ์ 4 ไปดูในพระไตรปิฎกจะตรัสไว้ว่า ควรจะเข้าถึงอยู่เสมอ
1.สุขจากความมีทรัพย์ อธิสุข
2.สุขจากการใช้จ่ายทรัพย์ โฃคสุข
3.อนณสุข สุขจากการไม่เป็นหนี้
4.อนวัชชสุข สุขจากความประพฤติที่ไม่มีโทษ ทั้งกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ทีนี้มาแปลกันว่า สุขเกิดจากการงานให้ไม่มีโทษ เลยแปลความหมายกันเป็นการทำงานที่ไม่ผิดกฎหมายเลย ไปดูพระไตรปิฎกก็ชัดเลยว่า อนวัชชสุข สุขเกิดจากการกระทำที่ไม่มีโทษคือยังไงคือ มีกายกรรมวจีกรรมมโนกรรมที่เป็นสุจริต พระไตรปิฎกอธิบายเอาไว้ชัด ไม่ใช่หมายถึงว่าไปประกอบการงานอาชีพ
หลวงลุงถาม หลักสูตรประกอบการงาน
พระตอบ ก็นั่นแหล่ะ
มันยุ่งตอนที่ว่าสัมมากัมมันตะ ทำการงานชอบก็เข้าใจเป็นประกอบอาชีพการงานซิ คำว่าการงานสมัยก่อนหมายถึงการกระทำ การกระทำทางกายนี่ สัมมากัมมันตะทำการงานชอบหมายถึงอะไร เว้นจากปาณาติบาต เว้นจากอทินนาทาน เว้นจากกาเมสุมิจฉาจาร ถูกไหม แล้วทำไมอันนี้ การงานเลย การอะไร การกระทำที่ถูกต้องมันเป็นสำนวนโบราณ เราเป็นหลงเอง เราไปนึกว่าการงานของท่านหมายถึง ประกอบอาชีพ การงานหมายถึงการกระทำ นี่สุขเกิดจากการงานไม่มีโทษนี่หมายถึง กายกรรมวจีกรรมมโนกรรมที่สุจริต ใครติเตียนไม่ได้ทั้งกายวาจาใจ อันนี้เป็นสุขสำหรับคฤหัสถ์แต่มันยังมีอีก อย่างในหมวด 2 พระพุทธเจ้าตรัสสุขไว้ตั้งกี่คู่เยอะแยะหมด เช่นว่าที่ สุขจากบรรพชิตสุขของคฤหัสถ์ สุขของบรรพชิต แล้วก็มี กามสุข สุขทางกาม พระพุทธเจ้า ก็ไม่ได้ปฏิเสธนะกามสุข สุขกามไม่มี มีแต่ตรัสกามสุข แต่ว่ามันมีปัญหาที่มันยังมีทุกข์มีโทษ กามสุขมีเป็นสุข สุขจากกาม มีข้อดีของกาม ถ้าเรียกว่า อัสสาทะของกาม ส่วนดีของกามเป็นอย่างไร แต่ว่ามันมีส่วนเสีย เอ้อ เพราะฉะนั้นส่วนเสียมันอาจจะทำให้เกิดโทษมากมายก็ต้องแก้ไขป้องกัน ถ้าคนจะเสพกามมีสุขจากกาม ก็ต้องระวังโทษจากมันด้วย อย่าไปลุ่มหลงมัวเมา แล้วพยายามไม่ประมาท แต่ว่ามันยังมีสุขอื่นที่พัฒนาได้กว่านี้ นั้นมีกามสุข มีเนตขมสุข ก็คู่กัน เนตขมสุข สุขจากการออกจากกามไม่ต้องอาศัยกาม แล้วมีอะไรอีก มีอุปาทิสุข สุขของคนมีกิเลส เป็นสุขโลกียะ แล้วก็ นีรูปธิสุข สุขไม่มีปธิ สุขแบบโลกุตระ เป็นโลกุตระสุข สาสวะสุข สุขที่ยังมีอาสวะ อนาวะสุข สุขที่ไมมีอาสวะ สุขที่มีอาสวะก็ทำให้วนเวียนอยู่ในสังสารวัฏ ถ้าเป็น อนาควะสุข สุขที่ทำให้ไม่มาวนเวียนในสังสารวัฏ แล้วก็ยังมีอะไรอีก อริยะสุข สุขของพระอริยะ อนาริยสุขของอนารยชน ว่าอย่างนั้น แล้วมีอะไรอีก มี อามิสสุข สุขที่อาศัยอามิสต้องอาศัยเหยื่อล่อ ต้องอาศัยวัตถุเสพ และก็ นิรามิสสุข สุขที่จะไม่ต้องอาศัยอามิตร ไม่ต้องขึ้นต่ออามิตร ไม่ต้องมีวัตถุเสพสุขได้ มีอะไรอีก มี กายิกสุข สุขทางกาย เจติกสุข สุขทางใจ เยอะแยะหมด พระพุทธเจ้าตรัส สาทะสุข สุขที่มีความอร่อย และอุเบกขาสุข สุขแบบอุเบกขา อุเบกขาก็เป็นสุข เหมือนกันน่ะ อุเบกขาอย่างในจตุรฌาน เป็นอุเบกขาที่มาประสานระหว่างภาวะจิตที่มีดุยภาพกับเวทนาที่เป็นอุเบกขาด้วยมาประสานกัน อุเบกขาเวทนาปกติสำหรับมนุษย์ปุถุชนมันจะมากับโมหะ คือมันเพลิน ๆ ที่เคยเล่าให้ฟังอธิบาย คนที่เป็นมนุษย์ปุถุชนนี่ มันเฉย ๆ เฉื่อย ๆ มันก็สบาย ถ้าบอกว่ามันโมหะ แต่ถ้าเป็นอรหันต์นี่อุเบกขาของท่านมากับปัญญาตรงข้ามเลย แล้วอุเบกขาเวทนาก็จะมากับอุเบกขาฝ่ายสังขารที่เป็นภาวะจิตที่ได้ดุลยภาพ เกิดจากปัญญารู้ความจริง เป็นกิจที่ลงตัวเลย มีดุยภาพเป็นกลาง อันนี้ นี่เพียงยกตัวอย่างไว้ให้เห็นว่า พระพุทธเจ้าตรัสเรื่องสุขไว้เยอะแยะ ฉะนั้นคำว่าสุขนี้มากมาย บางทีชาวพุทธเองไปปฏิบัติก็บางทีไปรังเกลียจสุขเลยก็มี บางคนเป็นอย่างนั้นเข้าใจเป็นว่าพระพุทธเจ้าสอนเรื่องทุกข์ ให้เห็นทุกข์อะไรต่าง ๆ อะไรไปมองในแง่หาทางทำให้ตัวทุกข์จะได้เป็นทุกข์ ฉะนั้นอันนี้ก็เป็นเรื่องหนึ่งที่จะต้องทำความเข้าใจกัน จะเทียบกับลัทธินิครนถ์ ในพระสูตรหนึ่ง เทวทหสูตร เคยเล่าให้ฟังแล้ว ในพระไตรปิฎกเล่มที่ 14 เป็นสูตรแรกเลย พระพุทธเจ้าตรัสถึงเรื่องลัทธินิครนถ์
อ้อ ก่อนนี้ที่อื่นก็มี เล่าอันนั้นสั้นดี เล่าให้ฟังเสียก่อน พระพุทธเจ้าเคยตรัสบอกว่า มีลัทธิบางพวกเขาถือว่าสุขจะบรรลุถึงได้ด้วยทุกข์ คือลัทธินิครนถ์ พระพุทธศาสนาไม่ได้ถืออย่างนั้น ลัทธินิครนถ์เขาถือว่า คนเราจะบรรลุสุขได้ด้วยทุกข์ เพราะฉะนั้นเขาจึงบำเพ็ญตบะ ลัทธินิครนถ์บำเพ็ญตบะน่ะ แกจะทำทรมานร่างกาย อย่างที่ผมเคยเล่า แม้แต่จะโกนผมนี่ เขาจะถอนทีละเส้นเลยน่ะ เอาแหนบถอนทีละเส้น เจ็บไหม ถอนผมทีละเส้น จนหมดหัวแหละ แล้วก็มีการทรมานร่างกายด้วยวิธีต่าง ๆ เยอะแยะ ทีนี้เขาบอกว่าคนเราจะบรรลุสุขได้ต้องด้วยทุกข์ เพราะฉะนั้นเขาจึงทรมานร่างกายเพื่อจะได้บรรลุสุขที่แท้จริง ทีนี้ในพุทธศาสนา ไม่ถือว่ามนุษย์จะบรรลุสุขได้ด้วยทุกข์ ทุกขาปฏิปทาจันทราปริญญา สุขาปฏิปทา คิปาปริญญา สุปฏิปทา ทันทาปิญา สุขาปฏิปทา คิปาพินยา มีตั้งเยอะ หมายความมนุษย์มีความแตกต่างกันแต่ละบุคคลไม่เหมือนกันในเชิงข้อปฏิบัติ บางคนปฏิบัติยากรู้ช้า บางคนปฏิบัติยากรู้เร็ว บางคนปฏิบัติสุขง่ายรู้ช้า บางคนปฏิบัติเป็นสุขแล้วก็รู้ไวก็มี แต่นี่เป็นเพียงแยกประเภทบุคคลแต่เอาหลักการ ในแง่หลักการก็พระพุทธศาสนาไม่ถือว่าสุขจะต้องบรรลุได้ทุกข์ สุขก็บรรลุได้ด้วยการทำเหตุแห่งความสุขซิ ว่างั้น เหตุปัจจัยที่ทำให้เป็นความสุข ซึ่งเกตุแจจัยนี่ก็มีหลายอย่าง ซึ่งมันไม่จำเป็นจะต้องเป็นอย่างหนึ่งอย่างเดียว เอ้าทีนี้มาสู่ เทวะทหะสูตร จะขยายความเรื่องสุขไม่จำเป็นต้องบรรลุด้วยทุกข์ชัดยิ่งขึ้น พระพุทธเจ้าก็ตรัสบอกว่า นี่น่ะ มันมีลัทธิอยู่พวกหนึ่ง เขาถือว่าคนเราจะได้สุขได้ทุกข์อย่างไร หรือไม่สุขไม่ทุกข์ก็ตาม เป็นเพราะกรรมที่ทำไว้ในชาติก่อน เป็น บุพเพคเหตุวา พระพุทธเจ้าก็ตรัสไว้ว่า พวกนิครนถ์เขามีความเห็นอย่างนี้ ทีนี้ ในเมื่อถือว่าสุขทุกข์จะได้อย่างไงมันขึ้นต่อกรรมที่ทำไว้ในชาติปางก่อน พวกนิครนถ์ก็เลยจะต้องทำให้กรรมในชาติปางก่อนหรือกรรมเก่านี้หมดสิ้นไปเสีย ทำอย่างไรจะทำกรรมเก่าหมดสิ้นไป ก็ทำได้ด้วยการบำเพ็ญตบะ ฉะนั้นพวกนิครนถ์ ซึ่งปัจจุบันเรียกกันว่า ศาสนาเชน ก็จะบำเพ็ญตบะ ด้วยการบำเพ็ญตบะนั้น ก็จะทำให้กรรมเก่านั้นสิ้นไป แล้วก็ไม่ทำกรรมใหม่ ทำกรรมเก่าให้สิ้นไป ไม่ทำกรรมใหม่ เมื่อบำเพ็ญตบะทำกรรมเก่าให้สิ้นไปแล้วเนี่ย เมื่อกรรมเก่ามันสิ้นไปแล้วเราก็ไม่ถูกบังคับเข้าใจไหม เพราะว่าไอ้ที่เราจะเป็นยังไง ๆ เนี่ยเป็นเพราะกรรมเก่ามันบังคับตัวเราอยู่ พอบำเพ็ญตบะแล้วทำให้หมดกรรมเก่า กรรมเก่าหมดไปกรรมใหม่ก็ไม่ทำก็ไม่มีอะไรมาบังคับ เมื่อเราไม่ถูกบังคับ กรรมสิ้นไป ทุกข์ก็สิ้นไปด้วย ทุกข์สิ้นเวทนาก็สิ้นไปทุกข์ก็หมด ทุกข์เป็นอันว่าหมด นี่คือลัทธินิครนถ์ มองในทัศนะพุทธศาสนาพระพุทธเจ้าถือว่า ลัทธินิครนถ์นี้เอาทุกข์มาทับถมตนโดยไม่มีเหตุผล ก็ตัวเองอยู่ ๆ แล้วก็ไปเอาทุกข์มาทับถม มาเป็นตบะ เป็นทุกข์ที่ตัวเองไม่ได้มี ตัวเองมีทุกข์มอยู่แล้วแถมไปเอาทุกข์มาเพิ่มให้ตัวเอง มาบำเพ็ญตบะมาทรมานร่างกาย
พระพุทธเจ้าก็เลยตรัสหลักเรื่องความสุขในพุทธศาสนาหรือเป็นข้อปฏิบัติต่อสุขและทุกข์นี่สรุปได้เป็น 4 ข้อด้วยกัน
1.ไม่เอาทุกข์ทับถมตนทีไม่มีทุกข์ 1.แล้วน่ะไม่เอาทุกข์ทับถมตนที่ไม่ได้เป็นทุกข์
2.ไม่ละทิ้งสุขที่ชอบทำ ท่านใช้คำว่า ธรรมิกัง สุขังปริชาติ ไม่ละทิ้งสุขที่ชอบธรรม
3.ถึงแม้ในสุขที่ชอบทำนั้นก็ไม่สยบ ไม่ลุ่มหลงมัวเมานี่ ๆ เอาแล้วนะ สุขที่ชอบทำนั้นเราไม่ละทิ้ง แต่ก็ไม่สยบ ไม่หลงมัวเมาในสุข แม้แต่ที่เป็นธรรมนั้น แล้วก็
4.เมื่อรู้เข้าใจอยู่ว่าเหตุของทุกข์ยังไม่หมดไป ก็เพียรพยายามปฏิบัติเพื่อให้ทุกข์หมดสิ้น อันนี้ จะเห็นเป็นลำดับเลยนะ
เอ้า ขอทวนอีกทีหนึ่ง
1. ไม่เอาทุกข์ทับถมตนที่ไม่มีทุกข์
2. ไม่ละทิ้งสุขที่ชอบธรรม
3. แม้ในสุขที่ชอบธรรมนั้น ก็ไม่สยบลุ่มหลงมัวเมา
4. เมื่อรู้เข้าใจอยู่ว่าเหตุของทุกข์ยังไม่หมดไป ก็รู้จักปฏิบัติเพื่อให้ทุกข์หมดสิ้นไปเสีย 4 ขั้น
ของนิครนถ์นี่เอาถูกทับถมตนที่ไม่มีทุกข์ ก็เลยรับเลยละทุกข์ละทิ้งสุขที่ชอบธรรมที่ควรจะมี แต่ว่าคนที่ได้สุขชอบธรรมแล้ว ก็มักสยบลุ่มหลงเสียอีกใช่ไหม ก็ติด แล้วก็ไม่ก้าวไปอีกขั้นหนึ่งก็คือว่าเหตุของทุกข์ยังไม่หมดไปนี่ ไอ้คนที่มีสุข ๆ ทั่วไปเนี่ย ยังไม่หมดเหตุแห่งทุกข์ใช่ไหม เมื่อยังไม่หมดเหตุแห่งทุกข์นี่ มันก็ทิ้งศักยภาพเชื้อของการที่จะเป็นทุกข์ได้อยู่ เพราะฉะนั้นพระพุทธศาสนาก็ปฏิบัติให้หมดทุกข์ก็คือ ให้มันสิ้นเหตุของทุกข์ไปซะเลย อันนี้เลยก็จึงต้องถึงขั้นที่ปฎิบัติตามหลัก ศีลสมาธิปัญญา ไตรสิกขา จนกระทั่งถึงกระบวนการภายในที่เป็นสมถะ วิปัสสนา ให้ปัญญารู้ความจริงของสัจธรรม จนกระทั่งว่า ทุกข์มันเป็นภาวะอยู่ในธรรมชาติ ตามธรรมดาของสังขาล มันก็เป็นทุกข์ตามธรรมชาติไม่เข้ามาเป็นทุกข์ในตัวเรา จิตก็เป็นอิสระไปได้ นี่ก็กำจัดถึงเหตุปัจจัยแห่งทุกข์เลย ก็เป็นอันว่า 4 ขั้น นี่ข้อปฏิบัติต่อทุกข์ในพุทธศาสนาที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้นะเป็นหลักที่สำคัญดี เราจะได้ มองถูกต้อง ไม่งั้นแล้วการปฏิบัติต่อทุกข์ต่อสุขนี่อาจจะพลาดได้ หลักใหญ่ที่ว่าเป็นต้นก็คือว่า ทุกขังปริญเญยยัง ทุกขะอริยสัจ เป็นสิ่งสำหรับปัญญารู้น่ะเป็นทุกข์น่ะ แล้วก็มาหลักนี้อีก หลักนี้ 4 ข้อนี่ เอาไว้ได้เลยช่วยได้เยอะเลย
นี้เป็นอันว่า พวกนิครนถ์ก็เป็นพวกที่เอาทุกข์มาทับถมตน ก็เลยพลอยละทิ้งสิ่งที่ชอบทำ ทีนี้คนที่ไม่ละทิ้งสุข บางทีก็ไม่เอา เอาทั้งสุขที่ไม่ชอบทำก็เอา ก็พลาดแล้วใช่ไหม นี่ท่านให้เอาแต่สุขที่ชอบทำ แล้วสุขที่ชอบทำ คนนี่แม้ได้สุขที่ไม่ชอบทำก็หลงอีก สุขชอบธทำก็หลงอีก หลงมกมุ่นมัวเมาก็ไปไม่รอด แล้วเชื้อแห่งทุกข์เหตุแห่งทุกข์มีอยู่ก็ไม่แก้ไข ฉะนั้นจะต้องก้าวไปให้ครบ ทีนี้พอมาในการปฏิบัติ พระพุทธเจ้าก็สอนวิธีปฏบัติต่อทุกข์ให้ถูกต้อง ซึ่งเป็นท่าทีต่อทุกข์อย่างถูกต้อง ซึ่งไม่จำเป็นจะต้องไปทำให้ตัวเองต้องทุกข์ด้วยซ้ำ
1.การปฏิบัติที่บอกว่าจะกำจัดเหตุแห่งทุกข์ให้หมดสิ้นไปเลยเนี่ยการปฏิบัติ แม้ในข้อสุดท้ายก็ข้อ 4 ที่สูงสุดนี่ก็ไม่จำเป็นจะต้องเป็นทุกข์ 1. แล้วนะไม่จำเป็น มีวิธีปฏิบัติ แต่
2.ในบางกรณีที่พระพุทธเจ้าก็ตรัสว่า มันก็มีอยู่ที่ว่าเราอาจจะต้องฝึกตนพัฒนาตน แล้วจะต้องยอมทุกข์บ้าง ในกรณีอย่างนี้ก็คือ เพื่อฝึกตน เพราะว่าถ้าว่าไม่ยอมก็คนเรามันจะเอาอย่างใจตน นี่มันนึกจะในแง่ตัณหาใช่ไหม จะสนองตัณหาของตัวเองนี่ ทีนี้พอไปฝืนตัณหาเข้ามันกลายเป็นทุกข์ โดยที่จริงนะถ้าคนที่ฝึกแล้วจะไม่ถูกใช่ไหม แต่ว่าคนที่ยังไม่ได้ฝึกนี่ มันมองเห็นเป็นทุกข์ ท่าเช่นนั้นในกรณีนี้ก็ต้องฝึกยอมทุกข์บ้าง นั้นการที่ปฏิบัติในระหว่างนั้น การที่ว่าอาจจะต้องมีการทุกข์บ้างนี่ก็มีได้ พระพุทธเจ้าก็เปรียบเทียบบอกในกรณีอย่างนี้ ก็เหมือนกันเรากำลังจะดัดลูกศรให้ตรง การที่จะดัดลูกศรให้ตรง คือหมายความพัฒนาชีวิตฝึกตนให้ดี ให้เป็นชีวิตที่ดีงามสมบูรณ์ เป็นชีวิตที่ได้ฝึกฝนพัฒนาดีแล้ว บางทีมันก็ต้องมีการดัดกันบ้างนะ ว่าอย่างงั้น เหมือนลูกศรที่จะดัดให้ตรง คนโบราณเขาจะดัดลูกศรเขาใช้ไฟลนใช่ไหม เขาเรียกว่า ข่า ผมก็ไม่รู้จักไม่เคยเห็น คือเอาลูกศรมาวางบนข่า ก็คงจะเป็นที่สำหรับตั้งวางลูกศร แล้วก็เอาไฟลนแล้วก็ดัด บอกว่านี่ เขาจะดัดลูกศรให้ตรง เขาต้องใช้ไฟลน ก็เหมือนกับผู้ที่จะปฏิบัติเพื่อกำจัดเหตุแห่งทุกข์ให้สิ้น ก็อาจจะต้องมีการที่มองในแง่ของตัวเองที่เคยมากับการเห็นสิ่งเหล่านี้เป็นสุขหรือตามใจตัวเองแบบนี้นะ เพื่อมาปฏิบัติอย่างนี้ก็รู้สึกว่ามันเป็นทุกข์ไป ก็ทำด้วยเจตนาเพื่อฝึกตนเอง มันก็อาจจะต้องลำบากหรือทุกข์บ้าง ในกรณีนี้ก็ถือเป็นเรื่องฝึกไป แต่ไม่ใช่เป็นเรื่องการเอาทุกข์มาทับถมตน เป็นเรื่องของกระบวนการฝึก ซึ่งมันอยู่ในเรื่องของตัวเองที่ว่า เมื่อเจอสภาพอย่างนี้มันจะเอาแต่ใจของตัวเองตามสบายในความเคยชินตามอำนาจตัณหาหรือกระแสกิเลสก็เลยมองเห็นการปฏิบัติอย่างนี้เป็นทุกข์ ซึ่งถ้าฝึกตัวเองดีแล้วก็จะไม่รู้สึกอะไร ถ้างั้นก็จะต้องมีการฝึกกันบ้าง ถ้ามองความยากลำบากหรือทุกข์นี้เป็นเรื่องของการฝึกฝนตัวเอง มันก็เป็นขั้นหนึ่งในกระบวนการปฏิบัติให้ผ่านไปเพื่อจะกำจัดเหตุแห่งทุกข์ให้หมดสิ้นไป นี่ให้หลักการทั่วไปก่อน
นี่พรุ่งนี้ถ้ามีเวลาก็จะต่อไปถึงสุขในระดับต่าง ๆ ว่าคนเรานี่สามารถพัฒนาชีวิตให้มีความสุขในลักษณะต่าง ๆ ประเภทต่าง ๆ ได้อย่างไรบ้าง ซึ่งที่จริงก็พูดไปเยอะแล้วนะ แต่คล้าย ๆ ว่าเอามาพูดเฉพาะในเรื่องสุขกันอีกทีหนึ่ง คล้าย ๆ ประมวลจากที่พูดไปแล้ว เพราะพูดไปแล้วกระจายไปโน่นไปนี่ ก็วันนี้ก็มีอะไรไหมครับ เฉพาะสำหรับวันนี้โดยตรงที่เป็นเรื่องคำถามข้อสงสัย ถ้าไม่มีก็จะผ่านไปก่อน