แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ไฟล์ถอดเสียงนี้ยังไม่ได้ผ่านพิสูจน์อักษร นำขึ้นมาเพื่อช่วยในการศึกษาค้นคว้าของผู้สนใจ
นี้หัวข้อต่อไป หัวข้อย่อยๆ นิดหน่อย ที่พูดพาดพิงไว้จะไม่บรรยายรายละเอียด ก็คือเรื่องว่า เมื่อเราปฏิบัติไปก้าวหน้าไป จนกระทั่งบรรลุจุดหมาย ตามขั้นตามตอนถึงที่สุดแล้ว แล้วก็เราได้พ้นอุปสรรคสิ่งกีดขวาง แก้ไขความเข้าใจคลาดเคลื่อนหมดแล้ว ได้พบความจริง ก็จะพูดถึงว่า ความจริงอะไรที่ถูกเปิดเผย ความจริงที่ถูกเปิด เผยโดยวิปัสสนา
ก็อย่างที่กล่าวแล้วเนี่ย เราจะพูดกันถึงการที่ได้รู้เห็นสภาวธรรมตามที่เป็นจริง คือเห็นว่า สิ่งทั้งหลายก็เป็นรูปธรรมนามธรรมที่เกิดดับเป็นไปตามเหตุปัจจัย แต่ทีนี้มันมีหัวข้อที่ยกขึ้นมาพูดในที่นี้สักหน่อย ก็คือว่า ในการที่เรารู้เข้าใจสภาวธรรมตามเป็นจริงเนี่ย เราก็รู้เท่าทันสิ่งหนึ่งด้วยก็คือว่า สิ่งที่เรียกว่าสมมุติบัญญัติและปรมัตถ์ ซึ่งตรงข้ามกับคนทั่วไปที่เป็นปุถุชนเนี่ย จะหลงไปตามสมมุติบัญญัติ
เดิมสมมุติบัญญัตินั้นก็ไม่มี แล้วเสร็จแล้ว มันมีสิ่งทั้งหลายที่รูปธรรมนามธรรมมาประกอบกันขึ้น เป็นไปตามเหตุปัจจัย เป็นไปตามรูปลักษณะอาการต่างๆ แล้วเราก็มีการบัญญัติขึ้น ให้เรียกอย่างนั้นอย่างนี้ แล้วก็สมมุติคือยอมรับกันใช้กันในชื่อในรูปร่างในลักษณะ กำหนดกันอย่างนั้น และเราก็หลงติดกันว่าเป็นอย่างนั้นจริงๆ ยึดมั่นถือมั่นไปเลย และความยึดมั่นถือมั่นนี้ มันก็กลับมามีอิทธิพลต่อชีวิตของเรา มีอิทธิพลต่อความคิดนึก กิจกรรมการแสดงออกพฤติกรรมทั้งหลาย ตลอดจนความรู้สึกนึกคิด จิตใจ ความทุกข์ความสุขเนี่ย อยู่ใต้อิทธิพลสมมุติบัญญัติ ไปหมด นี้คือสภาพที่ครอบงำมนุษย์ปุถุชนอยู่ นี้พอเรารู้เข้าใจความจริงนี้คือ อาการหนึ่งเกิดขึ้น คือความรู้เท่าทันสมมุติบัญญัติ
ฉะนั้นอันนี้ก็คือว่า จะมีหลักที่เรียกว่า สัจจะ 2 อย่าง เรียกว่า สมมุติสัจจะ กับปรมัตถสัจจะ สัจจะที่เป็นขั้นสมมุติ เป็นความจริงในขั้นที่ว่า ตามที่ตกลงกัน ยอมรับร่วมกัน กับปรมัตถสัจจะ ความจริงที่เป็นความจริงแท้สูงสุด เป็นสาระแท้ๆ เป็นพื้นฐาน ก็อย่างที่กล่าวแล้ว ตัวปรมัตถสัจจะ ความจริงที่แท้ ก็อย่างมองเห็นสภาวธรรมที่เป็นรูปธรรมนามธรรม และก็สมมุติบัญญัติก็คือ สิ่งที่เรามากำหนดวางตกลงกัน ฉะนั้นก็ในเมื่อเข้าถึงความรู้แจ้งอย่างนี้ก็จะเปิดเผยความจริงนี้ขึ้น คือความรู้เท่าทันสมมุติบัญญัติ และก็ทำให้ไม่หลงติด สิ่งเหล่านั้นก็ไม่มีอำนาจครอบงำ เราก็อยู่กับสมมุติบัญญัติอย่างรู้เท่าทัน ใช้มันได้ แต่ไม่หลงติดและไม่ให้มันมีอิทธิพลครอบงำได้
ทีนี้ อีกอันหนึ่งที่สำคัญ ที่วิปัสสนาจะเปิดเผยให้เห็นความจริงก็คือ เห็นไตรลักษณ์ ลักษณะ 3 ประการของสภาวธรรมทั้งหลาย ทุกสิ่งทุกอย่างเนี่ย ที่เป็นขั้นสมมุติบัญญัติก็ตาม ที่เป็นขั้นปรมัตถ์ก็ตาม ถ้าเป็นสิ่งที่เกิดจากเหตุปัจจัยปรุงแต่ง ก็ตกอยู่ในภาวะที่เป็นไตรลักษณ์ เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ทั้งสิ้น เมื่อเราได้พัฒนาปัญญา เจริญวิปัสสนาไปก็รู้แจ้งเห็นจริงในความจริงนี้ ในการที่สิ่งทั้งหลายเกิดดับไม่คงที่ ถูกความเกิดดับนั้นบีบคั้นให้คงอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้ ต้องสลายตัวแปรปรวน เปลี่ยนแปลงไป และก็ไม่เป็นตัวเป็นตนที่ยั่งยืน แต่ว่าเป็นไปตามเหตุปัจจัย ปัจจัยปรุงแต่งให้เป็นอย่างไร ก็ปรากฏในสภาพอย่างนั้น และเราก็จะตามเห็นรู้ทันสภาวธรรมตามความเป็นจริงด้วยการเห็นไตรลักษณ์นี้ขึ้นมา
อันนี้ก็เป็นความจริงที่ถูกเปิดเผยขึ้น ที่ควรจะนำมากล่าวไว้ และก็ต่อไปก็จะพูดถึงว่า แล้วผลที่หมายคืออะไร เมื่อได้รู้เข้าใจความจริง เกิดญาณเป็นขั้นเป็นตอนในการทำวิปัสสนา มาถึงที่สุดแล้ว ผลที่หมายก็คือ การบรรลุสิ่งที่เรียกว่า วิชชาวิมุตติ
วิชชาวิมุตติก็คือ วิชชาและวิมุตติ
วิชชาก็คือ ปัญญารู้แจ้ง ความรู้แจ้งความจริงนั่นเอง และเมื่อเกิดปัญญารู้แจ้งความจริงแล้ว ก็จะเกิดวิมุตติ ความหลุดพ้นเป็นอิสระ ก็คืออิสรภาพของจิตใจที่เกิดขึ้น ทำให้หลุดพ้นจากกิเลสและความทุกข์ ทำให้ประสพภาวะที่มีสันติความสงบ และก็มีวิสุทธิความบริสุทธิ์ และก็ตัวความเป็นอิสรภาพ ภาวะที่ดีงามต่างๆ อันจะทำให้เราเนี่ยดำเนินชีวิตอยู่ในโลกอย่างที่เรียกว่าประสพภาวะที่อยู่ในโลก แต่ว่าอยู่เหนือโลกได้ อยู่ในโลกแต่ว่าไม่ติดในโลก เพราะประสพสิ่งที่เรียกว่าเป็น โลกุตรธรรม อันนี้ก็คือการบรรลุมรรคผลนิพพาน
อันนั้นก็เป็นส่วนผลที่ไม่ต้องนำมากล่าวในที่นี้ให้มากไป เพราะว่าในที่นี้ จุดประสงค์นั้นต้องการพูดในตัวกระบวนการปฏิบัติ คือตัวปัญญาภาวนา ทีนี้ ตอนนี้ได้พูดมาก็เป็นเรื่องของหลักทั่วไปแล้ว เมื่อพูดหลักทั่วไปให้เห็น อย่างน้อยเป็นภาพรวม มีความเข้าใจคร่าวๆ เป็นพื้นฐาน ต่อไปก็จะได้ไปพูดในตัวการปฏิบัติ อย่างที่บอกไว้ แล้ว บอกว่า จากจิตตภาวนา สู่ปัญญาภาวนา ตามวิธีสติปัฏฐาน 4
นี้เราก็จะมาถึงขั้นที่ว่า เข้าสู่ปัญญาภาวนาตามสติปัฏฐาน และก็ได้พูดตั้งเค้าไว้ให้แล้ว โดยสติปัฏฐานก็ปรากฏตัวให้เห็นในโพธิปักขิยธรรมแล้ว เป็นตัวทำงาน นี้ตัวทำงานนั้นก็จะมาแสดงจริง ตอนต่อไปก็จะพูดเน้นจำเพาะลงไปในเรื่อง สติปัฏฐาน 4 คือการปฏิบัติเจริญวิปัสสนา หรือทำปัญญาภาวนาตามวิธีของสติปัฏฐาน เป็นหัวข้อในคราวหน้า สำหรับคราวนี้ก็ได้พูดมายาวนาน เนื้อหาก็มากมาย คิดว่าควรจะยุติได้แล้ว เพราะฉะนั้น อาตมาก็ขอจบการบรรยายครั้งนี้เพียงเท่านี้ ขออนุโมทนาทุกท่าน ขอเจริญพร