แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ไฟล์ถอดเสียงนี้ยังไม่ได้ผ่านพิสูจน์อักษร นำขึ้นมาเพื่อช่วยในการศึกษาค้นคว้าของผู้สนใจ
สวัสดีปีใหม่คะท่านผู้ชม รายการธรรมะวันอาทิตย์นี้ ขอนำท่านผู้ชมกราบนมัสการท่านพระเดชพระคุณ พระพรหม คุณาพร พร ปอปยุตโต ซึ่งมาปฏิบัติธรรมอย่างสมาถะ ณ ที่พักสงฆ์แห่งหนึ่งในจังหวัดเพชรบุรี เพื่อนำข้อคิดคติธรรมเพื่อเป็นแนวปฏิบัติเป็นพรปีใหม่ ประจำปี 2558 ต่อไปคะ
เจริญสุขสวัสดี ต้อนรับปีใหม่ วันนี้เราก็ได้เข้ามาในพุทธศักราชใหม่ 2558 แล้ว ในระยะเวลาช่วงสิ้นปีเก่า ขึ้นปีใหม่นี้ ก็ถือกันมาเรียกได้ว่าเป็นวัฒนธรรมประเพณีแล้ว ที่จะมีงานต้อนรับปีใหม่ ก็เป็นเรื่องของการสนุกสนานรื่นเริง แต่สาระสำคัญอยู่ที่ว่า จะให้มีความสุข และการที่จะให้มีความสุขนี้ ไม่ใช่ว่าหมายถึงความสุขเฉพาะตัว แต่ว่าจะช่วยกันและกันให้มีความสุข เราถึงจะได้มีประเพณี ส่งความสุข ส่ง สคส. ส่งความสุขก็หมายความว่า ส่งความรัก ส่งความปรารถนาดีไปให้แก่ผู้อื่น แล้วผู้อื่นได้รับ แต่ผู้อื่นได้รับความปรารถนาดี เมตราปราณี ปรารถนาดี ก็ชื่นใจหล่ะ อนุโมธนา และก็มีความสุขด้วย พูดง่าย ๆ ก็คือการทำให้คนอื่นมีความสุข นอกจากว่าแสดงออกถึงความปรารถนาดีในใจ การแสดงออกด้วยวาจา และบางทีก็มีการให้ของให้แก่กัน ของกินของใช้ต่าง ๆ ให้เขาได้ไปใช้อย่างมีความสุข เป็นประโยชน์ยิ่ง ๆ ขึ้นไป อันนี้ก็เป็นประเพณีที่ดีงาม คือตามหลักธรรมะนั้นถือว่า เวลานั้นก็เป็นของกลาง ๆ ไม่ดีไม่ชั่วในตัวของมันเอง อย่างที่มีหลักธรรมะสอนไว้ ว่า ให้เราทำความดี เพื่อให้เวลานั้นเป็นเวลาที่ดี ท่านว่า ทำดีเวลาใด ก็เป็นฤกดิ์งามยามดีเวลานั้น ฉะนั้นในทางตรงข้าม ถ้าเราทำไม่ดี เวลานั้นก็เป็นเวลาที่ไม่เป็นมงคล เป็นเวลาของความทุกข์ เป็นเวลาของความเสียหายไป ฉะนั้น ท่านที่มาถือตามประเพณีเนี่ยะ เข้าใจว่าตัวเองก็ดีหล่ะ ส่งความส่งความปรารถนาดีต่อผู้อื่น ตัวเองก็มีความสุข คนอื่นก็พลอยชื่นใจ มีความสุข สังคมที่อยู่ด้วยเมตตาไมตรีปรารถนาดีต่อกันอย่างงี้ก็ร่มเย็นเป็นสุข แต่นี่ก็ เราก็ต้องรู้ทันถึงความจริงว่า ในช่วงนี้ก็มีบางท่านบางคน ที่แทนที่จะปฏิบัติตามวัฒนธรรมประเพณีที่ดี แทนที่จะให้ความสุขแก่กัน ก็กลายเป็นว่า ไปหาความสุขให้แก่ตัวเองอย่างเดียว บางทีก็สนุกสนานเลยเถิดอย่างที่ว่า กินเหล้าเมายากัน อะไรกันไป เรียกว่าจนกระทั่ง เกิดการทะเลาะวิวาทขัดแย้งกัน ตีรันฟันแทงอะไรต่ออะไร เกิดการบาดเจ็บล้มตายกันไปหมด เลยกลายเป็นว่า ปีใหม่แทนที่จะเป็นปีที่เป็นสิริมงคลก็กลายเป็นปีไม่ดี ปีที่ไม่เป็นมงคลอย่างงี้ไม่ได้เรียกว่าต้อนรับปีใหม่ เสียหล่ะ เพราะฉะนั้น แทนที่จะสุขสันต์วันปีใหม่ ก็จะมีคนล้อ บอกว่าพวกคุณนี่ไม่ใช่สุขสันต์ปีใหม่หรอก เป็นสุกสั่นปีใหม่ ทำไมสุกสั่นหล่ะ พอเมาก็ตัวสั่นหล่ะ และเสร็จแล้วก็ไปเต้นกันอีก ตัวสั่นอีก และเสร็จแล้วก็ได้ยินว่า ไปทำผิดทำโทษทำร้ายเขา ถูกตัวสินลงโทษจนตัวสั่น เพราะจะเข้าคุกอะไรเงี่ยะ และที่สำคัญที่สุดก็คือสั่นคอนสังคม เพราะฉะนั้นไม่ดีเลย เพราะฉะนั้นท่านที่คิดจะทำอย่างงั้นหรือทำไปแล้วเนี่ยะ ต้องได้สติหล่ะ เพราะต่อไปเราจะไม่ทำอย่างงี้ เราจะต้องทำให้ปีใหม่เป็นเวลาดีงามเป็นเวลาที่เป็นสิริมงคล ทำให้มีความสุขอย่างแท้จริงทั้งแก่ตัวเองและผู้อื่น คือทำให้สังคมของเรา สังคมไทยเรา สังคมโลกของเราเนี่ยะ มีความร่มเย็นเป็นสุข เราก็เริ่มต้นจากปีใหม่นี่แหล่ะ เพราะฉะนั้นปีใหม่เนี่ยะถ้าจะให้ดีเนี่ยะ เพราะเป็นเวลาแห่งความสุข เราพยายามทำคนให้ได้มาก ๆ มีความสุข คนไหนทำคนอื่นให้มีความสุขได้มาก ๆ หลายคนหลายคนเนี่ยะให้ดีใจ ว่า เอ่อ ถึงเวลาปีใหม่เราเอาของ นอกจากจะเอาของไปทำบุญถวายพระอะไรก็แล้วแต่แล้ว เลี้ยงพระ ก็เลี้ยงดูคนเด็กเล็ก เด็กพิการ คนชราอะไรต่าง ๆ ยิ่งช่วยคนให้ความสุขได้มากเท่าไหร่ ก็แสดงว่าปีใหม่ปีนั้น เป็นปีแห่งความสุขอย่างแท้จริง อันเนี่ยะเป็นสิริมงคล นี่ เป็นการต้อนรับปีใหม่ที่น่ายกย่องสรรเสริญแล้ว แต่ ก็ยังไม่พอ การต้อนรับปีใหม่ที่บอกเมื่อกี้ย้ำอีกทีว่า ต้อนรับปีใหม่ทางกาย อย่างคนที่ออกจากสุขทางกายไปเสพสุขอะไรงั้นนะ สุขทางจิตใจก็มีคุณธรรมให้ความสุขแก่กันอะไร ๆ ต่ออะไร สร้างความดีงามเนี่ยะ นี่เป็นสุขทางจิตใจ ยังต้องต้อนรับปีใหม่อีกขั้นหนึ่ง คือต้อนรับปีใหม่ด้วยปัญญา ต้อนรับปีใหญ่ด้วยปัญญาเป็นยังไง คือ ต้องรับด้วยความรู้เข้าใจ รู้เข้าใจว่า ปีใหม่มีความหมายอย่างไร เราจะต้องปฏิบัติ ต้องทำอะไรต่อปีใหม่ เนี่ยะ เรื่องของปีใหม่นั้นเป็นเรื่องของกาลเวลา กาลเวลาเราบอกว่าใหม่ ทางพระถือว่าเป็นสมมุติทั้งนั้น กาลเวลานั้น ที่จริงไม่เก่าไม่ใหม่ นะ กาลเวลาก็ไม่เหมือนกับสิ่งทั้งหลายที่ว่าใหม่ว่าเก่า สิ่งทั้งหลายอื่นนั้น เราได้มา เรามาตั้งไว้ มันก็นั่งอยู่กับที่เลย แปลว่า เวลาไม่ได้นิ่ง เวลามันเคลื่อนไหวตลอดเวลา เพราะฉะนั้น ความหมายของใหม่ ของปีใหม่ของเวลาใหม่เนี่ยะ ไม่เหมือนกับสิ่งของทั้งหลาย แต่เป็นเรื่องความเคลื่อนไหวใหม่ ๆ ในปีใหม่นี้ ที่ไม่นิ่งที่เคลื่อนไหวนั้น เราจะพบกับสถานการณ์ใหม่ ๆ เราจะพบเรื่องราวเหตุการณ์ใหม่ ๆ เราจะพบคนใหม่ ๆ แล้วเราจะมีปัญหาใหม่ ๆ ที่จะต้องจัดการแก้ไข นี่คือเรื่องของปัญญาทั้งสิ้น เราจะต้องเตรียมพร้อม ที่จะต้อนรับปีใหม่ในความหมายอย่างงี้ เพราะฉะนั้นสิ่งทั้งหลายเก่าได้ ทิ้งไว้ไม่นานก็ เมาหมองหรือว่าแปดเปื้อนเป็นมลทินต่าง ๆ แต่กาลเวลานั้นไม่ได้เก่าอย่างนั้น เพราะฉะนั้นถ้าพูดให้ถูกทางพระหรือแม้แต่ภาษาทางการเขาไม่เรียกว่าเก่าหรอก เวลาเก่าไม่มี เขาเรียกว่า เวลาที่ล่วงแล้ว และเวลาที่ยังไม่มาถึง ขอให้นึกดู ทางพระเรียกเวลาที่ล่วงแล้วว่าอดีต แปลว่าล่วงแล้ว ที่อยู่ข้างหน้าเรียกว่า อนาคต ยังมาไม่ถึง ไม่มีเวลาเก่าไม่มีเวลาใหม่ ทีนี้ เวลาที่ล่วงไปแล้วนี้ กับเวลาที่จะมาข้างหน้า เราจะต้องให้ความสำคัญทั้งคู่ เก่าก็เป็นเหตุปัจจัยสืบเนื่องมาถึงปัจจุบัน ปัจจุบันคือเกิดขึ้นเฉพาะหน้าในบัดนี้ แล้วสิ่งที่เป็นเหตุปัจจัยที่เราทำ ที่เกิดขึ้น ในปัจจุบันก็จะเป็นเหตุปัจจัยส่งผลต่อเนื่องไปยังอนาคต นี่คือเรื่องปัญญาทั้งสิ้นที่จะต้องรู้เข้าใจ ฉะนั้นเรื่องปีใหม่ที่แท้นั้น เป็นเรื่องของปัญญา อย่างที่บอกเมื่อกี้ว่า เรายังต้องเดินไปในกาลเวลาใหม่ของปีใหม่นี้ ข้างหน้ายังไม่รู้จะเจออะไรอีกบ้าง สถานการณ์ใหม่ ปัญหาใหม่ ๆ จะต้องจัดการ ต้องดูตัวเราว่า เรามีความพร้อมที่จะก้าวไปพบกับสิ่งใหม่ จัดการแก้ไขได้ดีหรือยัง เพราะฉะนั้นให้มองว่า เวลานี้ กาลเวลานั้น มีความหมายว่า หนึ่ง เวลาเป็นที่แสดงตัวของความเปลี่ยนแปลง ความเปลี่ยนแปลงแสดงตัวออกมาด้วยกาลเวลานี่แหล่ะ นะ คนที่เป็นเด็กก็เติบโตขึ้นมา คนที่เติบโตเป็นผู้ใหญ่ก็แก่เฒ่าชราลงไปอะไรอย่างงี้ นี่ก็คือความเปลี่ยนแปลงอย่างง่าย ๆ ที่ตัวคน แต่สิ่งทั้งหลายรอบตัวของเราก็เปลี่ยนแปลงไป เวลา ย้ำอีกทีว่า เวลาเป็นที่แสดงตัวของความเปลี่ยนแปลง แล้วอีกอย่างหนึ่งที่สำคัญก็คือ กาลเวลาเป็นแหล่งอำนวยโอกาส นี่แหล่ะ กาลเวลาข้างหน้ามากมายทั้งหลายนี่คือ โอกาสทั้งนั้น และในโอกาสนั้น ก็มีช่องทาง แล้วทางนั้นก็คือนำไปสู่จุดหมาย สิ่งเหล่านี้ ต้องใช้ปัญญาทั้งสิ้น ในโอกาสที่เวลาอำนวยให้แก่เรา คนที่มีปัญญาก็จะมองเห็นทางที่จะไป แต่ทางที่จะไปนั้นก็เพื่อไปสู่จุดหมาย คนที่มีปัญญาก็จะมองเห็นจุดหมายว่าจะไปไหน มองจุดหมาย มองทางไป แล้ว เราก็จะเดินหน้าไปด้วยดีกับกาลเวลา ปีใหม่จึงจะมีความหมายที่แท้จริง พระท่านบอกว่า ให้ใจอยู่กับปัจจุบัน ใจอยู่กับปัจจุบัน แต่ปัญญานั้นเห็นยาวไปข้างหลัง มองกว้างมองไกลไปข้างหน้า อันเนี่ยะสำคัญ ให้แยกระหว่างจิตใจกับปัญญา จิตใจอยู่กับปัจจุบัน ปัญญาเห็นยาวไปข้างหลัง เห็นกว้างไกลไปข้างหน้า คนที่เห็นกว้างไกลไปข้างหน้าก็อย่างที่บอกแล้วนี่แหล่ะ ยิ่งเห็นกว้างเห็นไกล ก็จะมองด้วยความรู้เท่าทันทั่วตลอดทั่วรอบแล้วก็จะรู้เหตุปัจจัยสิ่งทั้งหลายองค์ประกอบอะไรที่เกี่ยวข้องที่จะจัดการ ปฏิบัติต่อสิ่งทั้งหลาย แก้ปัญหาได้ดี เพราะฉะนั้นเรากำลังเดินหน้าและถอนหลัง กำลังก้าวไป ขอให้ทุกท่านมองให้ดี ว่า ปัญญาของเรามองเห็นจุดหมายอะไร เราจะเอาอะไรเป็นจุดหมาย เช่น ของชีวิตของเราของสังคมของเรา ของประเทศไทย แล้วก็ ดูทาง ทางที่ไปนั้นดูให้ชัดว่าจะไปอย่างไร แล้วเราก็จะก้าวต่อไป และในการที่จะก้าวไปนี้ แน่นอนว่าต้องมีกำลัง กำลังที่จะไปนี้ ก็มีหลายอย่าง กำลังเบื้องแรกที่สุด ทุกคนต้องบอกว่า ฉันมีชีวิตเป็นคนนี่ฉันก็ต้องมีกำลังกาย ถ้าไม่มีกำลังกายก็จบกัน ร่างกายก็ต้องเป็นร่างกายที่แข็งแรว มีสุขภาพดีก้าวไปได้ อันนี้กำลังกายต้องมี เพราะฉะนั้นเราก็ไม่ต้องพูดมากล่ะ อย่างน้อยต้องมีกำลังกาย ทีนี้อย่างที่สอง กำลังใจ กำลังใจนี่สำคัญเหมือนกัน ความเข้มแข็ง ใจสู้ อันนี้ทางพระเขาเรียกว่า วิริยะ แต่ที่จริงนิยมคือ วีรยะ เราแปลว่า ความเพียร ความเพียรเนี่ยะ เรายังเข้าใจยังแคบอยู่ ความเพียรจากวีริยะ วีริยะ มาจากต้นศัพท์ว่าวีระ วีระชน วีระชล วีระบุรุษ วีระสตรี วีระ ก็แปลว่า กล้าหาญแกล้วกล้า ใจสู้ คนที่มีความเพียร วีระ ใจสู้นี่ก็หมายความ จะบุกฝ่าไปข้างหน้า ก้าวไป ไม่ถอยอย่างงี้เรียกว่า มีความเพียร ก็ต้องมีกำลังใจ ใจสู้นั่นเอง เพราะฉะนั้นเราจะเดินไปข้างหน้า ทางยาวไกลอย่าไปกลัวนะ แต่ให้เห็นจุดหมายให้ชัด ถ้าจุดหมายไม่ชัดหล่ะก่อ ก็ไม่มีกำลังแน่ เอาหล่ะ กำลังใจมี ทีนี้ต่อไปก็กำลังปัญญา กำลังปัญญาก็สำคัญมากที่พูดไปแล้วเนี่ยะ มันก็อยู่ที่อันนี้แหล่ะ ก็กำลังกายก็จะเดินไป กำลังใจก็พาให้เดินไปได้ แล้วก็มุ่งจุดหมายที่มองเห็นด้วยปัญญา กำลังปัญญาต้องมองว่า จะไปที่นั่นได้ จะต้องรู้เหตุปัจจัยอะไร จะต้องทำอะไร อันนี้ก็ เมื่อมีปัญญารู้เหตุปัจจัยแล้ว ทำได้ถูกต้อง มันก็บรรลุจดหมายเดินก้าวหน้าไปในทางได้ ปัญญาก็จึงสำคัญ ไม่ต้องบรรยายมาก เอาหล่ะ เราต้องมีกำลังปัญญา อันนั้นแน่นอน พอมีกำลัง 3 อย่างเนี่ยะ ก้าวไปได้แล้ว เป็นอันว่า ปีใหม่ก็มาถึงแล้ว ก็ขอให้คนไทยทุกคน มีกำลังกาย มีกำลังใจ มีกำลังปัญญา พร้อมกำลังความสามัคคี ไปสู่ความเจริญงอกงาม ไปสู่ความก้าวหน้ามั่นคงและสันติสุข ทั้งในใจของทุกคน ทั้งในบ้านเมืองสังคมประเทศชาติ และให้โลกนี้ทั้งหมด ร่มเย็นเป็นสุข โดยชีวิตก็ดีงาม ธรรมชาติก็รื่นรมย์ สังคมก็มีสันติสุข ก็ขอให้สัมฤทธิ์ผลดังที่กล่าวมานี้ทุกประการเทอน
หลังว่าข้อคิดคติธรรมอันทรงคุณค่า ที่พระเดชพระคุณพระพรหมคุณาพร มอบให้คุณผู้ชมและชาวไทยในวันนี้ จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับผู้ที่นำไปประพฤติปฏิบัตินะคะ สำหรับวันนี้ เวลาหมดลงแล้ว พบกันใหม่ในวันอาทิตย์หน้า สวัสดีปีใหม่คะ
จบการบรรยาย