แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ไฟล์ถอดเสียงนี้ยังไม่ได้ผ่านพิสูจน์อักษร นำขึ้นมาเพื่อช่วยในการศึกษาค้นคว้าของผู้สนใจ
นั่งพับเพียบ ตั้งใจนะครับ นั่งครึ่งชั่วโมงไหวไหมครับ ไม่ไหว วันนี้ พงษ์กระพัน จะบวชเณรนะครับ ก็จะบวชเณรก็ต้องรู้ว่าบวชเรณคือยังไงนะ ก็มีคำว่า บวช และก็ เณร ทีนี้ บวชเณร เนี่ยะ ทีเรียกให้เต็มก็ บอกว่า บวชเป็นเณร ถ้าบอกว่าบวชเป็นเณรก็ยังไม่เต็มดี ถ้าจะเรียกให้เต็มแท้ ๆ ต้องเรียกว่า บวชเป็นสามเณร ทีนี้ก็ พงษ์กระพันจะบวชเป็นสามเณร ก็ควรจะรู้ความหมายของคำว่าเณร หรือสามเณร และก็บวช คืออย่างไร เอาว่าจะบวชเป็นสามเณร ทีนี้ สามเณรคือใคร รู้จักไหมครับ บอกได้ไหมครับว่าใครคือสามเณร คือ พระเด็ก ๆ ก็ใกล้แล้วแหล่ะ สามเณร พระเด็ก ๆ ก็ถูก แต่ว่าถ้าแปลให้ตรงจริง ๆ จำไว้นะครับ แปลว่า เหล่าก่อแห่งสมณะที่ภาษาทางการ อ้าว พูดตามครับ สามเณรแปลว่า เหล่าก่อแห่งสมณะ เหล่าก่อรู้จักไหมครับ อะไร ไม่รู้จัก เหล่าก่อก็แปลว่า เชื้อสายลูกหลาน ลูกหลานของพระนั่นเอง ลูกหลานสมณะ ก็ใกล้ ๆ กับที่พงษ์กระพันบอกว่า พระเด็ก ๆ ก็คือ ลูกหลานของพระ เชื้อสายของสมณะ ทีนี้เป็นเชื้อสายของสมณะ สมณะคือใคร เป็นอย่างไง สมณะคือพระ ก็ใช้ได้อยู่ สมณะแปลตรง ๆ เลยนะ จำเลยนะ เพราะว่าตอนนี้จะเป็นจริง ๆ แล้ว อย่าลืมว่าพงษ์กระพันนี้จะเป็นสามเณรต้องรู้ว่า สามเณรแปลว่าอะไร ใครมาถามก็ต้องอธิบายถูก สมณะแปลว่าผู้สงบ ผู้สงบ ก็อะไรสงบหล่ะ กาย วาจา ใจ สงบ และสงบอยู่ไหนที่ว่าสงบ ก็ถ้ารู้ว่าบวชและเป็นสามเณร บวชและก็เป็นสมณะ นั้นแหล่ะ ก็สงบด้วยการบวช ถ้ารู้ว่าบวชเป็นยังไงแล้วจะรู้ว่าสมณะเป็นยังไงนะ
อ้าวทีนี้บวช บวชคือยังไงครับ ลองอธิบายซิ
เอ่อ บวชเป็นยังไง พออธิบายได้ไหมครับ เนี่ยะที่กำลังทำอยู่เนี่ยะก็คือบวชใช่ไหม
บวช แปลว่า สลัดออกไป สลัดออกไป ปลีกออกไป สลัดออกไปนี่สลัดอะไรบ้าง หนึ่งสลัดออกไปจากความพลุ่กพล่านวุ่นวาย อยู่ในสังคมชาวบ้านนี่มีเรื่องยุ่งวุ่นวายมาก ก็ สลัดออกไปจากความพรุกพร่านวุ่นวาย และจะไปได้อะไรครับ ได้อะไรครับ ออกจากความวุ่นวาย พรุกพร่าน จอแจ เรื่องเยอะแยะ แล้วไปแล้วจะได้อะไรครับ ลองคิดสิครับ วันนี้จะบวชต้องมาทายปัญหากันก่อน คือจะได้เข้าใจนะ บวชแล้วทีนี้ จะมีความสามารถ แล้วถ้ามีใครมาถามก็จะตอบได้หมด ว่าเราทำอะไรต้องเข้าใจ ทำอะไรทำด้วยความเข้าใจ ชัดเจนและก็จะมีความมั่นใจในตัวเอง ทีนี้สลัดออกจากความพรุกพร่านวุ่นวายก็จะได้ความสงบใช่ไหมครับ จริงไหมจากความพรุกพร่านวุ่นวายก็จะได้ความสงบนะ ก็ พงษ์กระพันบวชเณรและก็ไปอยู่วัด ซึ่งไปอยู่วัดที่มีธรรมชาติต้นไม้อะไรต่าง ๆ เดี๋ยวก็สงบ จริงไม่จริงครับ จะไปอยู่วัดอะไรครับ
วัดอะไรครับที่จะไปเนี่ยะ นึกไม่ออกหล่ะ (หัวเราะ) อยู่ที่ไหน อยู่ที่ไหน
สวนโมก
สวนโมกใช่ไหมครับ สงบไหมครับ เคยไปหรือเปล่าครับ อ๋อ ยังไม่เคย เดี๋ยวถ้าไปรู้เองว่าสงบ เอาหล่ะองเยอะแยะ แล้วไปแล้วจะได้อะไรครับ ลองคิดสิครับ วันนี้จะบวชต้องมาทายปญหากัน้อะไรครับ ออกจากความวุ่นวาย พรุกพร่าน จอแจ นนี่มี พอไป ไปหาความสงบนะ สละความพรุกพล่านวุ่นวายไปหาความสงบ
สองสลัดออกจากอะไรเอ่อ สลัดออกไปจากความพะรุงพะรัง มีอะไรต่ออะไรเยอะแยะไปหมด อย่างพงษ์กระพันนี่สงสัยจะมีของเล่นเยอะ ใช่หรือเปล่าครับ มีหรือเปล่าครับ นี่ก็คือ สลัดของพะรุงพะรัง แล้วสลัดคามพะรุงพะลังแล้ว จะได้อะไรครับ ไหน ได้ความโล่งเบาเป็นอิสระ อิสระ ตอนนี้อะไรต่ออะไรมันยุ่งนุงนังไปหมด มันทำให้เรา อึดอัด ติดตรงโน้นติดตรงนี้ ใช่ไหม พอเราสลัดออกได้ เราก็โล่งเบาเป็นอิสระ สองได้ความเป็นอิสระ ต่อไป
สาม สลัดออกไปจากอะไรครับ สลัดไปจากเรื่องที่ไม่ดีไม่งาม เคยรู้จักคำว่าอบายมุขไหมครับ รู้จักไหมครับ อบายมุข ลองยกตัวอย่างสถานที่อบายมุขมาดู (หัวเราะ) นะ เอ่อ ที่เขาไปเล่นอะไรต่ออะไรที่วุ่นวาย แต่รู้จักใช่ไหมครับ อบายมุข รู้จักนะ พวกอบายมุขเรื่องไม่ดีอะไรต่าง ๆ ทั้งหลายเนี่ยะก็สลัดออกไปนะ และก็สลัดออกจากสิ่งที่ไม่ดีแล้วได้อะไรครับ ก็ได้สิ่งที่ดีใช่ไหม (หัวเราะ) ที่จริงพงษ์กระพันอาจจะอยู่กับสิ่งที่ดีแล้วก็ได้ แต่ว่าคนที่อยู่ในโลกเนี่ยะ ก็จะมีปัญหา บางคนเขาก็อยู่กับพวกสิ่งไม่ดี อบายมุข ถ้าเป็นผู้ใหญ่เขาก็จะมีสุรายาเสพติดอะไรต่าง ๆ เหล่าเนี่ยะ หรือว่าการเล่นการบันเทิงสนุกสนานที่มันทำให้เสียเวลากินเหล้าเมายาอะไรพวกเนี่ยะ เราก็สลัดไปหมด ทีนี้ ถึงจะเป็นคนที่ไม่ยุ่งกับเรื่องสิ่งเหล่านี้อยู่แล้ว แต่ว่าออกไปนี่จะไปห่างไกล ห่างไกลจากสิ่งที่ไม่ดี หรือเราเรียกว่าสิ่งชั่วร้าย สลัดออกไปห่างเลย ไปอยู่วัดนี่ห่างเลยใช่ไหมครับ ใช่หรือเปล่าครับ ห่างออกไปจากสิ่งที่ไม่ดี ทีนี้เดี๋ยวสลัดสิ่งไม่ดี นี้มันมี 2 อย่าง สิ่งไม่ดีข้างนอกอย่างหนึ่ง สิ่งไม่ดีข้างในอย่างหนึ่ง สิ่งไม่ดีที่บอกเมื่อกี้เนี่ยะ ที่เขาไปยกพวกตีกันก็มีนะ เขาไปกินเหล้าเมายาอะไรต่ออะไรพวกนี่สิ่งไม่ดีอันนี้ข้างนอก ทีนี้สิ่งไม่ดีข้างในอะไรครับ ในใจเราเนี่ยะ เช่น ความโกรธดีไหมครับ ไม่ดี เนี่ยะ สลัดความไม่ดีข้างใน ความโลภ ความโกรธ ความหลง ความเครียดแค้นอะไรต่าง ๆ ความชิงชังอะไร ไปหาความดี ไปหาความรัก ไปหาจิตใจที่สบาย มีความสุขเน้อะ ไม่มีเรื่องทุกข์เรื่องเดือนร้อน อันนี้คือไปหาความดี ทางด้านจิตใจ ก็แปลว่าดีทั้งนอกดีทั้งในนะ เอานะ 3 อย่างนะครับ 1 สลัดจากความพลุกพล่านวุ่นวายไปหาความสงบ 2. สลัดจากสิ่งผลุงผลังไปหาความโล่งโปร่ง เป็นอิสระ และก็ 3. สลัดให้ห่างไกลจากสิ่งที่ไม่ดีทั้งข้างนอกข้างในนะ จำไว้ นี่คือบวชนะ ทีนี้ บวชไปแล้ว ไปได้ความสงบ ไปได้สิ่งที่ดีงามนี่เราจะไปทำอะไร ทีนี้ไปทำอะไร จะไปทำอะไร ก็บวชแล้วจะไปทำอะไร นี่ ก็บอกว่า สละออกไปแล้วจากสิ่งที่ไม่ดี สละจากสิ่งที่ผลุงผะลังวุ่นวาย ทีนี้เราก็ไปอยู่อิสระสงบแล้ว แล้วจะไปทำอะไรหล่ะ ไปอยู่เฉย ๆ หรือยังไงครับ นี่ เดี๋ยวต้องตอบให้ได้ ตอนนี้จะทิ้งไว้ก่อน ให้รู้เข้าใจความหมายของบวช พอพงษ์กระพันบวชอย่างที่ว่าแล้วเนี่ยะ ก็จะเป็นสมณะหรือว่าเหล่ากอของสมณะ ก็เป็นผู้ที่ห่างไกลจากสิ่งที่ไม่ดีต่าง ๆ มีความสงบนะ ทีนี้ เดี๋ยวจะบอกว่า บวชแล้วไปทำอะไร อันนั้นเอาไว้ทีหลัง ทีนี้ ที่คงกระบันจะบวชในวันนี้ ถามว่าคิดยังไงจึงบวชครับ เอ่อ พูดง่าย ๆ ก็ถามว่า มีเหตุผลอะไรจึงจะบวช ตอบได้ไหมครับ (หัวเราะ) คิดยังไง คิดยังไงถึงจะบวช มีวัตถุประสงค์อะไรนะ หรือมุ่งหมายอะไร หรืออะไรทำให้บวชนะ ได้ไหมครับ เอาอย่างงี้ พงษ์กระพันคิดเองว่าจะบวชหรือว่าใครขอให้บวช (หัวเราะ) จำไม่ได้หล่ะ คุยกันหน่อย จะได้รู้นะ คือว่ามารู้จักกันแล้วจะได้ทราบว่า เรื่องไปยังไงมายังไง เพราะว่าหลวงพ่อไม่รู้ว่า เอ้ะ นี่อยู่ ๆพงษ์กระพันมาหาว่าจะบวช อ้าว แล้วทำไมจะบวชหล่ะ ทีนี้ถ้าถูกถามอย่างงี้จะตอบว่าไงครับ เนี่ยะ มาหาแล้วว่า “ขอบวชนะเนี่ยะเอาจีวรมาถวายเนี่ยะ ขอให้บวชผมหน่อย ทีนี้ หลวงพ่อก็ถามว่า “อ้าว แล้วเธอคิดยังไงถึงจะบวชหล่ะครับ” จะตอบว่าไงครับ ว่าไงครับ คิดเองหรือว่าใครชวน ไม่รู้เน้อะ (หัวเราะ) เอาหล่ะ ก็ คิดว่า รวมกัน พงษ์กระพันเคยบวชใช่ไหมครับ ไม่เคยเหรอ อ๋อ ยังไม่เคยบวช แต่ว่าตอนนี้ก็พร้อมใจหล่ะ มาขอบวชเองแล้วเนี่ยะ มาขอบวชก็แสดงว่าตัวเองก็จะบวช แต่ว่า มีผู้ร่วมใจด้วย ร่วมใจสนับสนุน ลองบอกซิครับใครบ้างสนับสนุนให้บวช บอกได้ไหมครับ ใครบ้างที่ร่วมใจ สนับสนุนนะ ผู้สนับสนุนในการบวชครั้งนี้นะ คุณพ่อคุณแม่หรือเปล่าครับ ใช่เนี่ยะ ก็มีคุณพ่อคุณแม่และใครอีก ก็ผู้ใหญ่มีคุณปู่คุณย่าคุณตาคุณยาย ลุงป้าน้าอานี่มาร่วมกันเนี่ยะ ทุกท่านเนี่ยะสนับสนุนทั้งนั้น นี่คือผู้สนับสนุนนั่งอยู่ข้างหลังเต็มหมดเลยเนี่ยะ ใช่ไหมครับ เนี่ยะแหล่ะ ท่านที่นั่งอยู่ข้างหลัง คือผู้สนับสนุน แสดงว่า ที่พงษ์กระพันจะบวชในวันนี้นั้น มีผู้สนับสนุนเยอะเลย ผู้สนับสนุนเยอะอย่างงี้ก็ต้องมีกำลังใจนะ โห้วันนี้เราดีใจว่า มีผู้สนับสนุนเยอะเลย ตั้งแต่คุณพ่อคุณแม่เป็นต้นไป ทีนี้คุณพ่อคุณแม่ที่อยากให้บวชนี่เพราะอะไรครับ เพราะอะไร เพราะรักใช่ไหมครับ ใช่นะ รักคืออะไรครับ รักก็คืออยากให้ลูกมีความสุข อยากให้ลูก อยากให้พงษ์กระพันเนี่ยะมีความสุข มีความดี มีความเจริญก้าวหน้า ได้เรียนรู้อะไรต่าง ๆ แล้วก็จะได้เจริญงอกงามเติบโต มีความสุข นะ เนี่ยะ คือความหมายว่ารัก เพราะคุณพ่อคุณแม่และก็ลุงป้าน้าอาทุกท่านเนี่ยะรักอยากให้พงษ์กระพันมีความสุข มีความเจริญก้าวหน้า ก็ให้พงษ์กระพันเนี่ยะสบายใจนะ สบายใจ ใจดีนะ วันนี้ต้องทำใจให้เป็นสุข ให้สมกับที่คุณพ่อคุณแม่ตั้งใจ ว่า โห้ คุณพ่อคุณแม่อุตสาห์เตรียมทุกอย่าง อยากจะให้ลูกบวชเนี่ยะ ท่านรักมากรู้ไหม เตรียมทุกอย่าง คิดมาตั้งกี่วัน คิดมาหลายเดือนใช่ไหมครับ ท่านอยากให้ลูกได้บวช ท่านอยากให้ลูกมีความสุข ให้เจริญงอกงามเนี่ยะ ท่านรักมาก เพราะฉะนั้น พอพงษ์กระพันได้ทราบอย่างนี้แล้วก็ต้องคิดว่า โอ้ เราจะต้องตั้งใจนะ บวชและก็ให้ดี และเราก็มีความสุขด้วย และให้คุณพ่อคุณแม่มีความสุขด้วย คุณพ่อคุณแม่ยังจะตามไปด้วยมั่งเนี่ยะ ไปอยู่ใกล้ ๆ ก็เพราะรักพงษ์กระพันนี่แหล่ะ เพราะท่านรัก ท่านจึงอยากให้ลูกเป็นสุข ลูกพงษ์กระพันก็อยากให้คุณพ่อคุณแม่เป็นสุขด้วยนะ เพราะเรารักพ่อแม่ใช่ไหมครับ รักก็อยากให้ท่านเป็นสุข ก็ทำอย่างไร ก็ทำให้ดี ก็รู้ว่าบวชเนี่ยะจะทำอะไรบ้าง เราก็ต้องตั้งใจทำ ไปเล่าเรียนไปศึกษาไปฝึกตัวเอง แล้วคุณพ่อคุณแม่ได้เห็นนะ เห็นพงษ์กระพันเนี่ยะห่มผ้าเป็นเณรเรียบร้อยงดงาม กิริยาวาจาดี พูดไพเราะอะไรเงี่ยะคุณพ่อคุณแม่ก็มีความสุขด้วย ปลื้มใจมาก อยากให้คุณพ่อคุณแม่มีความสุขไหมครับ อย่างงั้นตั้งใจทำให้ดีนะครับ นะ บวชแล้วคราวนี้บอกว่าทำให้ดีที่สุดเลย ให้คุณพ่อคุณแม่และก็ลุงป้าน้าอาทุกคนมีความสุขด้วยกัน แล้วก็เจริญก้าวหน้าด้วยกัน เอาหล่ะครับ ทีนี้ถือว่าเข้าใจนะครับ เข้าใจความหมายกัน ตั้งใจให้ดี เนี่ยะ มีอยู่อย่างเดียวคือตั้งใจให้ดี บอกว่าขอให้คุณพ่อคุณแม่ลุงป้าน้าอา ปู่ย่าตายายทุกคนมีความสุขนะ เราจะบวชครั้งเนี่ยะให้ทุกคนมีความสุข ตั้งใจอย่างนี้เลย เราตั้งใจอย่างนี้แล้วตัวเองก็มีความสุขด้วย เราสุขด้วยกันคราวนี้บวชสุขด้วยกันทั้งตัวพงษ์กระพันเองและก็คุณพ่อคุณแม่และก็ผู้ใหญ่ทุกคน ทีนี้พร้อมหล่ะ ตอนนี้จะให้จีวรไปห่มนะ ทีนี้ให้กล่าวคำพระก่อนนะ ว่าตามนะครับ แต่ว่าพงษ์กระพันคงท่องไว้แล้ว ที่ว่าเนี่ยะ สำหรับเอาไว้ทำใจให้สงบ เวลาเราคิดอะไรวุ่นวาย แล้วก็นาน ๆ เราก็มาท่องซะทีหนึ่ง เวลาท่องอะไรใจอยู่กับสิ่งอยู่ที่ท่องเนี่ยะ ใจก็จะเป็นสมาธิได้ ว่าตามนะครับ
เกศา โลมา ณ ขา ทันตา ตะโจ
ทีนี้ว่าย้อนกลับบ้าง
ตะโจ ทันตา ณ ขา โลมา เกศา
ว่าเอาได้ไหมครับ ว่าทั้งตามลำดับแล้วก็ย้อนลำดับนะ ว่า 3 รอบเลย
เอาหล่ะครับ ตั้งใจ และเดี๋ยวจะให้ผ้านี่ครอง เอาเสื้อ เดี๋ยวเปลี่ยนหล่ะ คราวนี้จะเข้าชุดพระถอดเฉพาะเสื้อนะ (หัวเราะ) ก้มศรีษะเข้ามาครับ เอาแขนขวาสอดเข้ามา เอาหล่ะ ก้มลงหน่อย ผ้ากาสาวพัตร ผืนนี้เรียกว่า อังษะ เอาหล่ะ พนมมือขึ้น แล้วก็เอาแขนมารับ เอาหล่ะ สาธุ ไปห่มผ้าหล่ะ (หัวเราะ)
คือตอนต้นก็ตั้งใจนี่แหล่ะ ตั้งใจก็คือ อยากให้เขาเป็นสุข ขอให้เขาเป็นสุข การที่ว่ามีจิตปรารถนาอยากจะให้คนเป็นสุขนี่คือ เมตตา ทีนี้ก็ จะมีเครื่องช่วย เครื่องช่วยก็คือตัวนำจิต ตัวนำจิตก็เช่น คำแผ่เมตตา ที่ให้บอกว่า สัพเพสัตตาเป็นต้นเนี่ยะ ขอให้สัตว์ทั้งหลายจงเป็นสุขเถอด อย่าได้มีเวรมีภัยแก่กันเลย อย่าได้เบียดเบียนกันอะไรต่าง ๆ เนี่ยะก็คือ คำโน้นนำจิตใจ คือให้จิตใจนี่ เดินไปทางนั้น ให้คิดไปทางนั้น คือพอโน้มความรู้สึกว่าให้มีความปรารถนาดีและก็คิดในทางที่ดี คิดช่วยคิด ทีนี้ถ้าออกมาเป็นพฤติกรรม ก็จะมานำจิตให้หนักแน่นยิ่งขึ้น เพราะฉะนั้น ในเชิงปฏิบัติ ก็จะให้มีสังคหะวัตถุ เช่นว่า มีการให้ พอการให้แล้วเรามีจิตใจที่เราเตรียมไว้ว่า เราอยากให้เขาเป็นสุข พอให้เขาเช่นว่าเราไปเลี้ยงเด็กเนี่ยะ พอเห็นเด็กสนุก ร่าเริง หน้าตาแจ่มใสหายทุกข์ เราก็จะมีความสุขด้วย ทีนี้เมตตาก็จะหนักแน่นขึ้นนะ พ่อแม่ก็จะง่าย ๆ คืออยากเห็นลุกเป็นสุขอยู่แล้วคือเมตตาอยู่หล่ะ ลูกจะเป็นสุขได้ยังไง ลูกกำลังมีทุกข์หรือมีอะไรอยู่ก็ทำให้เขาเป็นสุข ให้เขาเป็นสุข พอเขาเป็นสุขแล้ว เราก็สุขด้วย ก็ จิตใจมันก็จะพร้อมที่จะเป็นสุข ทีนี้ก็เลยมีวิธีการแบบเนี่ยะหนึ่งก็คือการให้ เช่นไปให้คนที่เขาต้องการความช่วยเหลืออะไรเงี่ยะ เมตตากรุณาก็ไปด้วยกัน ทีนี้ก็ หนึ่งก็ทาน การให้นะ สองก็คือปิยะวาจา การพูด ก็ พยายามตั้งใจพูดให้เขาสบายใจ ให้เขามีความสุข พูดให้กำลังใจ พูดปลอบโยน เวลาเขามีทุกข์ก็พูดปลอบโยนเขา หรือเขาอยู่เป็นปกติ เราก็พูดด้วยคำสุภาพอ่อนหวานเพื่อให้เขาสบายใจมีความสุข ก็ด้วยการพูด ต่อไปก็ด้วยการทำประโยชน์ให้ ก็คือ มีอะไรที่จะช่วยกันได้ แม้แต่ว่า หยิบข้าวของให้ ยกเก้าอี้ให้อะไรเงี่ยะ มาบริการช่วยเหลืออะไรต่าง ๆ เล็ก ๆ น้อย ๆ เนี่ยะ ก็คืออยากให้เขาเป็นสุข ก็คือทำใจไว้ด้วย ไม่ใช่ว่า ยกให้เป็นเพียงกิริยามารยาท แต่หมายความว่าเราทำด้วยใจจริง พอใจเราอยากให้เขาเป็นสุข ให้เขามีความสบาย เราก็ทำให้ บริการต่าง ๆ ช่วยเหลือ อะไรเงี่ยะ มันก็จะทำให้สภาพจิตนี้เคยชิน ต่อไปเมตตาก็จะอยู่ตัว และ หลักสำคัญก็มี 3 อันเนี่ยะ
เอามาหล่ะ นั่งคุกเข่า เอาผ้าวางครับ กล่าว
(พงษ์กระพันกล่าว)
เอาหล่ะ ตั้งใจนะครับ
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุท ธัสสะ
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุท ธัสสะ
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุท ธัสสะ
ยะมะหัง วัสทา มิตัง วัสเตหิ พุทธัง สะระนัง ขัตฉามิ ธัมมัง สะระนัง ขัตฉามิ สังฆัง สะระนัง ขัตฉามิ
ทุติยังปิ พุทธัง สะระณัง ขัตฉามิ ทิติยังปิ ทุติยังปิ ธัมมัง สะระณัง ขัตฉามิ ทุติยังปิ สังคัง สะระณัง ขัตฉามิ
ตะติยังปิ พุทธัง สะระณัง ขัตฉามิ ตะติยังปิ สังคัง สะระณัง ขัตฉามิ ติสะระณะ คะมะนัง นิธิตัง
ปาณาติปาตา เวรมณี สิกฺขาปทํ สมาทิยามิ
อทินนาทานา เวรมณี สิกฺขาปทํ สมาทิยามิ
อพรมมจริยา เวรมณี สิกฺขาปทํ สมาทิยามิ
มุสาวาทา เวรมณี สิกฺขาปทํ สมาทิยามิ
สุราเมรยมชฺชปมาทฏฺฐานา เวรมณี สิกฺขาปทํ สมาทิยามิ
วิกาละโพ ชะนาเวรมณี สิกฺขาปทํ สมาทิยามิ
นัตจะ คีตะวาทิตะวิสู กะทะสะนา เวรมณี สิกฺขาปทํ สมาทิยามิ
มาลาคันทะ วิเลปะณะ พาระนะ มันดะนะ วิพูสะนัตถานา เวรมณี สิกฺขาปทํ สมาทิยามิ
ปุจจา สะยานะ มหา สะยะนา เวรมณี สิกฺขาปทํ สมาทิยามิ
ชาระรู ปะระชะตะ ปติคาหะนา เวรมณี สิกฺขาปทํ สมาทิยามิ
อิมานิ ทัสสะ สิขา ปะทานิสะมาทิยามิ
ว่า 3 เที่ยว
กราบครับ กราบ 3 ครั้ง
นั่งพับเพียบครับ พับเพียบสวย ๆ ตอนนี้พงษ์กระพัน เป็นสามเณรแล้วนะครับ จำได้ไหมครับ สามเณรแปลว่าอะไรเอ่ย แปลอีกทีสิ เหล่ากอแห่งสมณะ หมายความ เชื้อสายพงษ์เผ่าเหล่ากอ ลูกหลานของสมณะ คือผู้สงบ ผู้เว้นจากสิ่งที่ไม่ดีไม่งามทั้งหลาย เว้นจากเรื่องพะลุงพะลัง เป็นอิสระ ตัวเบาหล่ะตอนเนี่ยะ พงษ์กระพันมีผ้ากาสาวพัตรเนี่ยะห่ม เรียกชื่อถูกนะครับ มี 3 ผืน อะไรบ้างเมื่อกี้ ผืนที่คล้องให้เรียกว่าอะไรครับ
อังษะ ตัวนั้นอยู่ข้างใน ทีนี้ ที่ห่มข้างนอกนี่ อันนี้เอาภาษาชาวบ้านเรียกว่า จีวร เอาง่าย ๆก่อน ที่จริงเขาเรียกว่า อุตตะราสม เดี๋ยวจำได้ ทีนี้ก็ ผืนที่นุ่งนั้นเรียกว่า รู้จักไหมครับ เดี๋ยวต้องไปใช้นะ เดี๋ยวไปเจอพระอาจารย์แล้วบอกไม่ถูกนะ เรียกว่า สบง ครับ ตกลงมี 3 ล่ะ หนึ่ง จีวร ที่ห่มเนี่ยะ 3 นี่ก็ อังษะ แล้วก็ ที่นุ่ม สบง ว่าอีกที ว่าเอง 3 อย่าง เอาล่ะ ได้หล่ะ ทีนี้รู้จักหล่ะ เดี๋ยวไปหล่ะ และมีอีกอย่าง มาดูว่า ได้บินฑบาตรหรือเปล่าไปอยู่โน้นนะ รู้จักไหมครับบาตร รู้จักนะ ออกบิณทบาตร เคยเห็นพระออกบิณทบาตรไหมครับ มีบาตรอยู่ใบหนึ่ง ไม่รู้ว่าไปโน้นนะได้บินทบาตรหรือเปล่านะ ไม่เป็นไรนะ ไม่ต้องห่วงถึงไม่ได้บิณทบาตร พระท่านก็เลี้ยง เพราะว่าเป็นลูกหลานพระแล้วเนี่ยะ ใช่ไหม พระต้องเลี้ยงอยู่ดีแหล่ะเน้อะ เอาหล่ะ ตั้งใจนะครับ พงษ์กระพันได้บวชเป็นสามเณรแล้วเนี่ยะ นึกถึงหน้าโยมคุณพ่อคุณแม่ ตอนนี้เรียกว่าโยมนะ เรียกโยมพ่อ โยมแม่ เรียกว่างั้นได้ไหมครับ ไหนเรียกตาม โยมพ่อโยมแม่ ทีนี้ก็ โยมพ่อโยมแม่ก็จะไปอยู่ใกล้ ๆ เพราะว่าท่านมีความรักเมตตาอยากให้สามเณรพงษ์กระพันเนี่ยะมีความสุข มีความเจริญก้าวหน้า แล้วก็ได้บวช บวชนี่บอกเมื่อกี้แล้ว มีความหมายยังไง แล้วทีนี้จะไปทำอะไรหล่ะที่เนี่ยะ บวชแล้วไปทำอะไรเอ่ย ลองคิดสิครับเราจะไปทำอะไร ไปอยู่ทำอะไร รู้แล้วว่าบวชทำไม แล้วจะไปอยู่ทำอะไรบ้าง
นั่งสมาธิ
เอาหล่ะ นั่นก็ใช่อย่างหนึ่ง อย่างอื่นอีก เขาพูดรวม ๆ ว่าอย่างงี้ครับ เขาเรียกง่าย ภาษาไทยเขาเรียกว่าไปฝึกตน เข้าใจไหมครับ ฝึกตน โห้ สำคัญ คนที่จะเก่ง จะมีความสามารถเนี่ยะเชื่อไหมต้องฝึกตนทั้งนั้นเลยใช่ไหม ถ้าไม่ฝึกทำอะไรไม่ได้ ที่ไปก็เพื่อไปฝึกตน ฝึกด้านไหนบ้าง ฝึกอะไรบ้างครับ ลองดูสิว่าฝึกอะไรบ้าง
ฝึกสติ
ใช่ถูกต้อง ลองบอกมาอีกสักอย่างสองอย่าง อีกอย่าง
สมาธิ ฝึกสติ ฝึกสมาธิ เยอะแยะหมดนะครับ พงษ์กระพันนะ สามเณรเนี่ยะ ที่ฝึกเนี่ยะ เอาง่าย ๆ ที่จริง สามเณรพงษ์กระพันนี่ฝึกไหมเนี่ยะ ฝึกไหม นั่งเนี่ยะฝึกไหม ใช่ ฝึก ไม่ฝึกจะนั่งได้ยังไง ต้องฝึก ต้องนั่งพับเพียบ ต้องนั่งคุกเข่าทั้งนั้นนะ อย่างงี้เขาเรียกว่า ฝึกกาย เอาหล่ะครับ มีหนึ่ง ฝึกกาย จะเดินอะไร นั่ง ต้องระวัง ต้องทำให้เรียบร้อย งดงาม เนี่ยะ สามเณรพงษ์กระพัน เดี๋ยวไปเดิน เดินอย่างเณร เดี๋ยวนั่งอย่างเณรด้วย นี่ สามเณร เดินอย่างเณร นั่งอย่างเณร เป็นต้น ให้โยมพ่อโยมแม่ท่านปลื้มใจนะครับ เห็นสามเณรพงค์กระพันเดินเรียบร้อย นั่งสงบเรียบร้อย โยมพ่อโยมแม่ก็ปลี้มใจมีความสุข เชื่อไหมครับ นี่แหล่ะเขาเรียกว่าฝึกกายนะ สอง ฝึกพูด พูดให้เพราะ ไม่พูดคำหยาบ พูดคำดี ๆ ไม่พูดคำเท็จ พูดแต่คำจริงเป็นต้นเนี่ยะเรียกว่าฝึกอะไรครับ ภาษาพระเขาเรียกว่า ฝึกวาจา เคยได้ยินไห้ครับ ได้หล่ะ หนึ่งฝึกกาย สอง ฝึกวาจา ยังไม่จบ เมื่อกี้ที่สามเณรพูดว่าฝึกสติ ฝึกสมาธิ อันนี้อยู่ในไหน อยู่ในใจ และมีอะไร ฝึกความขยัน ฝึกความอดทน ฝึกความรักความเมตตา โยมพ่อโยมแม่รัก เณรก็รักโยมพ่อโยมแม่ ลุงป้าน้าอานั่งข้างหลังนี่รักทุกคน ผู้สนับสนุน สามเณรก็ต้องรักบ้าง เนี่ยะฝึกรัก ฝึกไม่โกรธ เห็นอะไรต่ออะไรก็อยากจะทำให้ดี ฝึก อยากให้สะอาด อยากให้เรียบร้อย ให้เป็นระเบียบ เห็นวัดสกปรกนี่ไม่ได้ อะไรต่ออะไรรกรุงรัง จัดให้เรียบร้อยให้สะอาด พื้นไม่สะอาด สกปรก ทำให้สะอาด อันเนี่ยะใจรักความสะอาด ใจรักความสงบ ใจรักอยากจะขยันหมั่นเพียร อยากมีเมตตา อยากช่วยเหลือคนอื่น อันนี้เรียกว่าฝึกใจนะครับ 3 แล้วนะครับ ต่อไปยังมีอีก ฝึกอะไรเอ่ย จะเหลืออะไรอีกอย่างเดียว ฝึกอีกอย่าง ตอนนี้จบหลักสูตรเลย เอาหล่ะ เหลืออีกอย่างหนึ่ง สามเณรว่าฝึกอะไรครับ เนี่ยะ ที่เรียนหนังสือต้องการอะไร ต้องการความรู้ ความรู้ภาษาพระเรียกว่าอะไรครับ ปัญญา ถูกต้อง นี่คือฝึกปัญญา ทีนี้ สามเณรพงษ์กระพันบวชแล้วนะครับ เดี๋ยวก็ไปเรียนกับพระอาจารย์ พระอาจารย์ก็จะสอนบอกให้รู้อะไร ให้รู้จักศีลเป็นยังไง สมาธิเป็นยังไง สติเป็นยังไง จะต้องปฏิบัติยังไง อะไรต่าง ๆ เหล่าเนี่ยะให้เรียนรู้ทุกอย่าง แม้แต่ว่า รู้จักต้นไม้ ไปอยู่สวนโมก นั่นต้นอะไร นี่ต้นอะไรเงี่ยะ ใช่ไหม ต้นไหนมีดอกสวน สีแดง สีม่วง สีชมพูอะไรเงี่ยะ ทั้งหมดเนี่ยะ เรียกว่า ฝึกปัญญานะ ให้ได้ความรู้ ตกลงมีกี่อย่างครับ ที่ฝึก 4 นะ เอาที่ง่าย ๆ คือฝึก กาย วาจา ฝึกใจ และ 4 ก็คือฝึกปัญญา เอาหล่ะได้หล่ะ ได้ความหล่ะ นะ เนี่ยะ ที่เณรจะไปทำเนี่ยะที่จะปอยู่สวนโมกเนี่ยะ ฝึก 4 อย่างเนี่ยะ ฝึก กาย วาจา แม้แต่ฉันท์ ฉันท์ข้าวก็ต้องรู้ว่าฉันท์ไปทำไม ฉันท์เพื่ออะไรครับ ฉันท์ ถ้าเป็นคฤหัตรเขาเรียกว่าอะไร ชาวบ้านเรียกว่า กิน กินข้าวกินทำไมครับ กินเพื่ออะไร ฉันท์เพื่อให้ร่างกายแข็งแรงใช่ไหมครับ ให้มีสุขภาพดีอย่างเงี่ยะนี่ไปเรียนเหมือนกัน ไปเรียนฉันท์อาหาร เพิ่งรู้ว่าฉันท์ไปเพื่ออะไร ห่มผ้าเนี่ยะห่มเพื่ออะไร ต้องไปเรียนต้องไปรู้หมดแหล่ะ และอยู่ร่วมกับคนอื่นทำยังไงดี ประพฤติปฏิบัติตัวยังไงเรียนหมด อย่างงี้เขาเรียกว่า ฝึกกายวาจา เรียกว่าฝึกศีลนะ กายวาจาศีล และฝึกจิตใจ และก็ฝึกสมาธิ และฝึกความรู้ ให้รู้จักคิด รู้จักพิจารณา ได้เรียนต่าง ๆ นี่เรียกว่าฝึกปัญญา ตกลงก็ ฝึกกายวาจาใจและก็ปัญญา และก็รวมว่า ฝึกศีล สมาธิ ปัญญา เอานะครับ เอาหล่ะ วันนี้ สามเณรพงค์กระพันก็ได้เข้าใจหล่ะว่า บวชทำไม การบวชมีความหมายอย่างไร เป็นสามเณร สามเณรคือใคร ตอบได้หมดไหมครับ และจะไปทำอะไรนะ ตอนนี้จะไปฝึก ไปฝึกศีลสมาธิปัญญา กายวาจาใจและปัญญา ได้หมดแล้ว ถ้าได้แค่นี้พอไหมครับ พอไหมครับ พอแน่เลย ใคร ๆ ที่ใครได้เท่านี้ก็เจริญงอกงามมีความสุข เพราะฉะนั้นสามเณรพงษ์กระพันบวชและก็ทำให้ได้วัตถุประสงค์เข้าใจไหมครับ คำว่า วัตถุประสงค์ ให้สำเร็จ ตามจุดมุ่งหมายนี้ เพราะว่าบวชเนี่ยะ มีแรงสนับสนุนเยอะ ผู้บวชคนเดียว คนมาสนับสนุนตั้งกี่คนเนี่ยะ เยอะหมดเลยใช่ไหม ก็ให้ได้สำเร็จสมความปรารถนา ของคุณพ่อคุณแม่ ของโยมพ่อโยมแม่ ลุงป้าน้าอาทุกท่าน ให้ท่านมีความสุข กับสามเณรพงษ์กระพันด้วย และก็มีความสุขด้วยกันนะครับ อย่าลืมนะครับ ไม่ได้บวชคนเดียวนะ สามเณรนะ คุณโยมพ่อโยมแม่ก็เหมือนบวชด้วย สามเณรบวชกายด้วย ต้องบวชใจด้วย โยมพ่อโยมแม่นี่บวชใจ ไปอยู่ใกล้ ๆกับโยมก็บวชใจแหล่ะ เอาหล่ะ บวชด้วยกันหล่ะ ทีนี้ อนุโมทนาสามเณรและก็โยมพ่อโยมแม่ ลุงป้าน้าอาทุกท่านนะ อนุโมทนาแปลว่าอะไรครับ อนุโมทนา เนี่ยะ ได้ยินพระพูดบ่อยไหมครับ อนุโมทนา อนุโมทนาแปลว่า เห็นชอบด้วย ยินดีด้วย ก็ พลอยยินดีด้วย ที่สามเณรพงษ์กระพันบวช และก็ได้สนใจปรารถนา สนกับความรักของโยมพ่อโยมแม่ลุงป้าน้าอา ก็ขอให้สามเณรตั้งใจบวช ได้ไปฝึกกายวาจาใจและปัญญา เรียกว่า ศีล สมาธิ ปัญญา ก็ขอให้มีความสุขความเจริญงอกงาม ให้สามเณรพงษ์กระพัน โยมพ่อโยมแม่ ท่านผู้ใหญ่ ลุงป้าน้าอา ญาติพี่น้องทั้งหลายเนี่ยะ ได้อยู่ในร่มของพระรัตนตรัย มีความสุข มีความเจริญงอกงาม ด้วยกันทุกท่านทุกคน ได้บรรลุประโยชน์สุขทั่วกัน ทุกเมือง เทอญ เอาหล่ะ
กราบครับ ลุกขึ้น เอาล่ะ สาธุ เดี๋ยวก็กรวดน้ำกันนะครับ กรวดน้ำกัน จำได้ไหมครับ สามเณร เดี๋ยวไปทวนนะ เดี๋ยวคุณลุงคุณป้าคุณน้าไปถามเอา ไปทวนกันเอง (หัวเราะ) เณรยังไม่คุ้น ลองให้โยมประเคนสักที เณรจะได้คุ้น เอากลับไปให้โยมก่อน จะให้คุ้น พอไปถึงโน้นแล้วจะได้เรียบร้อยเลย นี่ เณรทำสวย ๆ ครับ คุณป้าคุณน้าจะถ่ายรูปด้วย ถ้าท่านไหนจะถ่ายรูปก็ถ่ายตอนนี้ก็ได้ ตั้งใจให้ดีนะ จับไว้ก่อน จับผ้านี่ (หัวเราะ)
ญาติโยมบอก บวชเณรสนุกดี (หัวเราะ) โห้มีบาตรหล่ะ ตกลงเณรไม่ต้องไปหาบาตรหล่ะ มีบาตรให้เสร็จ โยมพ่อโยมแม่เตรียมให้พร้อมหมดเลย เดี๋ยวสามเณรพงษ์กระพัน มาหัด มาหัดก่อน ฝึกไว้ นี่ฝึกศีล จับ ถ่ายรูปไว้นะ (หัวเราะ) จับเหมือนเดิม จับให้สวย ๆ จะถ่ายรูปไว้ด้วย ยกขึ้น ยกถวาย เอาหล่ะ เอาหล่ะครับ วางบนนี้สาธุ
เอาหล่ะ กรวดน้ำ ตั้งใจรับพร อย่าลืมนะ ตั้งใจนะ ให้โยมพ่อโยมแม่มีความสุขและลุงป้าน้าอาทุกท่านมีความสุขด้วย และขอให้เณรเนี่ยะเจริญงอกงามในความดีนะครับ ตั้งใจ โยมพ่อโยมแม่กรวดน้ำเลย
ยะถา วาริวะหา ปูรา ปริปูเรนติ สาคะรัง เอวะเมวะ อิโต ทินนัง เปตานัง อุปะกัปปะติ อิจฉิตัง ปัตถิตัง ตุมหัง ขิปปะเมวะ สะมิชฌะตุ สัพเพ ปูเรนตุ สังกัปปา จันโท ปัณณะระโส ยะถา มะณิโชติระโส ยะถา
สัพ พีติโย วิวัชชันตุ สัพพะโรโค วินัสสะตุ มา เต ภะวัตวันตะราโย สุขี ทีฆายุโก ภะวะ อะภิวาทะนะสีลิสสะ นิจจัง วุฑฒาปะจายิโน, จัตตาโร ธัมมาวัฑฒันติ, อายุ วัณโณ สุขัง พะลัง ระตะนัตตะยานุภาเวนะ
ระตะนัตตะยะเตชะสา
ทุกขะโรคะภะยา เวรา โสกา สัตตุ จุปัททะวา
อะเนกา อันตะรายาปิ วินัสสันตุ อะเสสะโต
ชะยะสิทธิ ธะนัง ลาภัง โสตถิ ภาค๎ยัง สุขัง พะลัง
สิริ อายุ จะ วัณโณ จะ โภคัง วุฑฒี จะ ยะสะวา
สะตะวัสสา จะ อายู จะ ชีวะสิทธี ภะวันตุ เต ภะวันตุ สา พะมัง กะลาลระขันตุ สะ
ภะวะตุ สัพพะมังคะลัง รักขันตุ สัพพะเทวะตา
สัพพะพุทธานุภาเวนะ สะทา โสตถี ภะวันตุ เต
ภะวะตุ สัพพะมังคะลัง รักขันตุ สัพพะเทวะตา
สัพพะธัมมานุภาเวนะ สะทา โสตถี ภะวันตุ เต
ภะวะตุ สัพพะมังคะลัง รักขันตุ สัพพะเทวะตา
สัพพะสังฆานุภาเวนะ สะทา โสตถี ภะวันตุ เต
เอาวันนี้ สามเณรต้องกราบบ่อยหน่อย เอาเณรนั่งตรง ๆ และก็กราบ กราบสวย ๆ นะครับ ตั้งใจ จะได้เป็นบุญกุศล ถ้าตั้งใจทำนี่เป็นบุญมากนะเอาหล่ะเรียบร้อยหล่ะ และสามเณรก็ต้องกราบอีกนะ กราบหลวงพ่อนี่ กราบสวย ๆ ตั้งใจให้ดี วันนี้บวชเณรและตั้งใจให้ดี จะได้บุญได้กุศลเต็มที่
จบการบรรยายธรรม