แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ไฟล์ถอดเสียงนี้ยังไม่ได้ผ่านพิสูจน์อักษร นำขึ้นมาเพื่อช่วยในการศึกษาค้นคว้าของผู้สนใจ
มีอีกอันหนึ่ง ก็คือว่า ตัวความเจริญก้าวหน้าอีกอย่างหนึ่งที่จะถือว่าสำคัญก็ได้ แต่ก็ไม่จำเป็นต้องรู้เท่าไหร่ อันนี้ท่านเรียกว่า ปริญญา เหมือนกับเรามาวัดปริญญา ในสมัยปัจจุบันนี้เอาคำว่าปริญญามาใช้วัดความรู้ที่ได้สำเร็จการศึกษาในระดับต่างๆ เป็น 3 ขั้น เป็นปริญญาตรี ปริญญาโท ปริญญาเอก
ในเรื่องของความก้าวหน้าในวิปัสสนา ท่านก็จัดเป็นปริญญาเหมือนกัน เป็นปริญญา 3 ขั้น แต่ชื่อของท่านไม่เหมือนของเรา ปริญญา 3 ขั้นนี้ อันที่ 1 เรียกว่า ญาตปริญญา อันที่ 2 เรียกว่า ตีรณปริญญา และอันที่ 3 เรียกว่า ปหานปริญญา ก็มี 3 ปริญญาด้วยกัน
ปริญญานี้แปลว่าการรู้ทั่วรอบ ทีนี้การรู้ทั่วรอบที่เป็นปริญญา 3 อย่างนี้ ก็มาสอดคล้องกับเรื่องวิสุทธิ 7 ก็จะจัดวิสุทธิ ๗ นี้ย่อให้สั้นลงอีก ก็เข้าไปอยู่ในปริญญา 3 ทีนี้วิสุทธิ 7 เข้าในปริญญา 3 อย่างไร วิสุทธิที่ 1 ที่ 2 นี้เป็นเรื่องของศีลสมาธิ ก็ไม่เกี่ยว ปริญญานี้ต้องเรื่องระดับปัญญา
ก็ต้องเริ่มจากข้อที่ 3 ทิฏฐิวิสุทธิไป ทิฏฐิวิสุทธิ ความบริสุทธิ์แห่งความเห็น ที่เห็นสิ่งทั้งหลาย รู้เท่าทันสมมติบัญญัติ เห็นสภาวะที่เป็นนามรูป ก็จัดเข้าในญาณ 3 ปริญญา พร้อมทั้งกังขาวิตรณวิสุทธิด้วย 2 ข้อ ก็เป็นอันว่าวิสุทธิข้อที่ 3 ที่ 4 นี้ เรียกว่าเป็นญาตะ เป็นขั้นของญาตปริญญา ญาตปริญญานั้นคืออะไร ก็คือการกำหนดรู้ตามที่มันเป็นตามสภาวะนั้นเอง ก็สอดคล้องกับที่ว่าเมื่อกี้ ทิฏฐิวิสุทธินั้นมีญาณหยั่งเห็น รู้ว่าเป็นนามรูปตามสภาวะ ญาตปริญญานี้รู้ตามที่มันเป็น ถ้าแปลอย่างง่ายๆ ก็คือขั้นรู้ว่าคืออะไร อะไรเป็นอะไร อะไรคืออะไร
ทีนี้ต่อไป มัคคามัคคญาณทัสสนวิสุทธิ จัดเข้าในปริญญาที่ 2 เรียกว่า ตีรณปริญญา ตีรณปริญญานี้ขั้นพิจารณาเห็นไตรลักษณ์ ตีรณนั้นแปลว่าพิจารณา ปริญญาขั้นกำหนดรู้ด้วยการพิจารณาจนกระทั่งเห็นไตรลักษณ์ ก็คือความรู้ขั้นที่ว่าเป็นอย่างไร เป็นอย่างไรก็เป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา นี่ก็เป็นปริญญาข้อที่ 2
แล้วต่อไปวิสุทธิข้อที่ 6 กับที่ 7 ก็อยู่ในขั้นที่เรียกว่าเป็นปหานปริญญา เป็นปริญญาที่ 3 ปหานปริญญาก็เป็นปริญญาขั้นที่ทำให้ละกิเลสได้ ละความหลงผิดได้ ละความเข้าใจผิดต่างๆ ได้ ปหานปริญญานี้ก็คือความรู้ขั้นให้เกิดผล คือรู้ขั้นที่ 1 ญาตปริญญา รู้ว่าคืออะไร ขั้นที่ 2 ตีรปริญญา รู้ขั้นว่าเป็นอย่างไร แล้วปหานปริญญาขั้นที่ 3 รู้ขั้นให้เกิดผล เพราะฉะนั้นความรู้ถ้าไม่เกิดผลก็เป็นความรู้ที่ไม่ได้ประโยชน์อะไร ความรู้ที่เป็นปริญญาครบ 3 ขั้นก็ให้เกิดผลสำเร็จ คือทำให้กำจัดความหลงผิดต่างๆ ทำให้ละความยึดมั่นถือมั่นอะไรต่างๆ ได้ อันนี้ก็เป็นความรู้พิเศษที่พูดขึ้นมา ก็เรียกว่าจัดเข้าในปริญญา 3
คราวนี้ ตอนนี้เราพูดกันจบไปแล้วถึงเรื่องของความเจริญก้าวหน้า ขั้นตอนต่างๆ ของความก้าวหน้าเหล่านี้ ก็จะมีข้อสังเกต หลายท่านก็อาจจะสงสัยบอกว่า โอ้โห ขั้นตอนของความก้าวหน้านี้มากมายเหลือเกิน เป็นปริญญา 3 เป็น
วิสุทธิ 7 เป็นวิปัสสนาญาณ ต ขยายไปเป็นถึงญาณ 16 นี้มันมากมายเหลือเกิน แล้วอย่างคนปฏิบัตินี้ จะต้องค่อยเป็นค่อยไป กว่าจะครบ 16 ขั้นนี้ไม่ต้องใช้เวลากันนานนักหนาหรือ จะก้าวเป็นลำดับกันไปอย่างไร แล้วอย่างเรา มีเรื่องเล่าในพระสูตรที่ว่า บางท่านนี้ไปพบพระพุทธเจ้าฟังธรรม ประเดี๋ยวเดียวก็บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ไปแล้วก็มี แล้วจะต้องมาตามลำดับ 16 ขั้นเลยหรือเปล่า อะไรอย่างนี้ เป็นต้น
อันนี้ ก็นี่แหละ ให้ทำความเข้าใจว่าสาระสำคัญของการปฏิบัติก็คือ การได้เกิดปัญญาหยั่งรู้เห็นความเป็นจริงนั่นเอง ทีนี้การเข้าถึงความจริงขั้นสุดท้ายนี้ โดยสายตาภายนอกมองดูกันอาจจะรวดเร็วปุ๊บปั๊บก็ได้ ขณะจิตคนเป็นไปรวดเร็ว อันนี้บางคนก็อาจจะช้า ปฏิบัติมากมายนานเหลือเกินก็ไม่ก้าวหน้า แต่ว่าที่จริงแล้ว เราจะนับขั้นหรือไม่นับขั้นก็ตามเนี่ย ที่จริงนั้นเมื่อจะสำเร็จผลถึงสูงสุดก็ผ่านหมดนั่นแหละ จะผ่านอย่างไร ผ่านโดยไม่ต้องนับขั้นก็ได้ คือเราไม่ต้องมามัวนับขั้นกันอยู่ โอ้ ตอนนี้ขึ้นถึงนามรูปปริจเฉทญาณ ตอนนี้ปัจจยปริคคหญาณ อะไรต่างๆ นี้ ก็จะเปรียบเทียบให้เห็นอย่างนี้ก็แล้วกัน
สมมติว่า จะขึ้นภูเขาสักลูกหนึ่ง สูงซักเท่าไหร่ดี สูงซักหมื่นฟิต เอ้า สมมติว่าอย่างนี้ สูงหมื่นฟุต ก็นับว่าเป็นภูเขาที่สูงไม่ใช่น้อยทีเดียว ทีนี้จะขึ้นเขานี้ ทำยังไง ก็ขึ้นได้หลายวิธี อาจจะเดินขึ้นไป ก็ใช้เวลานานเหลือเกิน เดินขึ้นไป อาจจะใช้วิธีขึ้นรถ ถ้ามีทางไปไหว เอารถขึ้นไป ก็ไวขึ้นอีกเยอะเลย แต่บางคน ไม่ใช้ทั้งเดินขึ้น ไม่ใช้ทั้งรถ ใช้เครื่องบินเลย อาจจะเป็นเฮลิคอปเตอร์ ขึ้นปั๊บก็บินขึ้นไป ประเดี๋ยวเดียวปรากฏว่าไปถึงยอดแล้ว หมื่นฟุต แต่ไม่ว่าจะขึ้นโดยวิธีไหน ลำดับขั้นในการที่จะถึงยอดภูเขาเหมือนกันหมด ใช่หรือเปล่า ต้องผ่านทุกขั้นนะ แม้จะขึ้นด้วยเครื่องบิน แค่ไม่กี่นาทีก็ต้องผ่านทุกขั้นตอนของภูเขานั้น ผ่านหมดทุกอย่างที่ภูเขานั้นจะมีให้ผ่าน เช่นเดียวกัน แล้วถ้าเราจะขึ้นโดยเดินนี้ เราก็เห็นชัดเลย กว่าจะผ่านไปแต่ละขั้นได้ เห็นรายละเอียดไปหมดเลย แต่ว่าขึ้นเครื่องบินเนี่ย เดี๋ยวเดียวถึงยอดแล้ว แต่ก็ผ่านหมดเหมือนกัน ไม่มีอะไรที่จะไม่ผ่าน
เพราะฉะนั้น อันนี้ก็ขอให้ใช้คำอุปมาทำนองนี้ นี่แหละก็ขอให้เห็นว่า เราอาจจะบรรลุญาณต่างๆ โดยชนิดไม่ต้องนับขั้น แต่ที่จริงคือผ่านทั้งหมด โดยที่ใช้เวลาอย่างรวดเร็วก็เป็นไปได้ เอาล่ะ ก็จะขอผ่านไป อยากจะพูดเติมอีกสักอันหนึ่ง