แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ไฟล์ถอดเสียงนี้ยังไม่ได้ผ่านพิสูจน์อักษร นำขึ้นมาเพื่อช่วยในการศึกษาค้นคว้าของผู้สนใจ
ทีนี้จะเล่าต่อไปอีก มาในยุคหลังๆ นี้ พระอาจารย์ต่างๆ ก็พยายามที่จะกำหนดให้ชัดลงไปว่าวิสุทธิในข้ออื่นๆ เนี่ย ที่ไม่ใช่ปฏิปทาญาณทัสสนวิสุทธินี้ มีญาณอะไรที่เป็นเครื่องกำหนดให้ชัดเจน ในคัมภีร์ระยะหลังๆ นี้ก็มีการขยายเรื่องญาณในลำดับต่างๆ นี้เพิ่มขึ้นจนกระทั่งเรียกว่าญาณ 16
ในวงการวิปัสสนาปัจจุบันนี้จะพูดกันบ่อยถึงญาณ 16 ก็คือญาณที่ในวงการวิปัสสนานี้ได้ประมวลขึ้นมา ซึ่งก็มาจากคัมภีร์ที่ท่านแสดงไว้อย่างคัมภีร์ปฏิสัมภิทามรรค ซึ่งอยู่ในพระไตรปิฎก และก็คัมภีร์วิสุทธิมรรคก็มาประมวลมาจัดลำดับเข้ามาให้เห็นชัดขึ้น จนกระทั่งว่าเป็นญาณที่เพิ่มจากวิปัสสนาญาณ 9 เป็น 16
แต่ว่าญาณที่เพิ่มเข้ามาเป็น 16 ก็คือว่าอีก 7 ญาณ อันนั้นนะ ไม่เรียกว่าเป็นวิปัสสนาญาณ เป็นญาณก่อนวิปัสสนาญาณบ้าง เป็นญาณหลังจากวิปัสสนาญาณบ้าง แต่ก็ทำให้ชื่อญาณทั้งหมดนี้เพิ่มเป็น 16 เพิ่มตอนไหนบ้างอาตมาก็จะอธิบายให้ฟัง
เมื่อกี้นี้เราบอกว่าขั้นตอนของความก้าวหน้าที่เริ่มเป็นวิปัสสนา ในการเจริญวิปัสสนาถึงขั้นพัฒนาปัญญา ตอนเกิดญาณ ก็คือเริ่มตั้งแต่ทิฏฐิวิสุทธิ ทิฏฐิวิสุทธิที่เป็นความบริสุทธิ์แห่งความเห็น ที่เข้าใจสิ่งทั้งหลายตามเป็นจริงว่าเป็นนามรูป ไม่หลงสมมติบัญญัติ ตอนนี้ท่านบอกว่ามันเกิดญาณขึ้นมาญาณหนึ่ง
ญาณนี้ถือเป็นญาณข้อแรกทีเดียวในญาณ 16 เรียกว่า นามรูปปริจเฉทญาณ แปลว่า ญาณที่ทำให้กำหนดแยกได้ว่าเป็นนามเป็นรูป ตอนนี้คือเริ่มต้น แล้วจึงทำให้เกิดทิฏฐิวิสุทธิไง คือรู้เท่าทันสมมติบัญญัติ ให้เห็นสภาวะที่เป็นรูปธรรมนามธรรม เพราะว่าแยกได้ พอเห็นอะไรต่างๆ ก็ อ๋อ นี่เป็นรูป นี่เป็นนาม อ๋อ ที่จริงแล้วดูไป คือทุกอย่างนี้ก็เป็นแต่เพียงรูปกับนามเท่านั้น ที่บัญญัติชื่ออะไรต่างๆ กันขึ้นมานั้นเป็นเรื่องที่สมมติกันเท่านั้นเอง โดยแท้จริงแล้วหามีเช่นนั้นไม่ เอาล่ะ ทีนี้ นี่เป็นญาณที่ 1
ต่อไป ต่อจากนามรูปปริจเฉทญาณ ก็จะไปข้อที่ 2 ข้อที่ 2 นี้เป็นญาณที่เกิดขึ้นในระดับของกังขาวิตรณวิสุทธิ คือ ญาณที่จะทำให้ข้ามพ้นความสงสัยเสียได้ ญาณในตอนนี้ที่เรียกว่า ปัจจยปริคคหญาณ แปลว่าญาณที่กำหนดปัจจัยของนามรูปได้ อันนี้คือการมองเห็นเหตุปัจจัยนั่นเอง คือเรารู้นามรูปไปแล้ว ตอนนี้เราเห็นปัจจัยของนามรูป มองเห็นนามรูปทั้งหลายนี้เป็นไปตามเหตุปัจจัย ต้องมีปัจจัยเกิดขึ้น แล้วก็นามรูปก็เกิดเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ขึ้นมา ก็ต้องกำหนดปัจจัยได้ เรียกว่า ปัจจยปริคคหญาณ ญาณกำหนดปัจจัยได้ เป็นญาณที่ 2 ในญาณ 16 แล้วก็อยู่ในขั้นกังขาวิตรณวิสุทธิ
ต่อไปก็จะเกิดญาณที่ 3 เรียกว่า สัมมสนญาณ สัมมสนญาณแปลว่าญาณ แปลตามตัวคือพิจารณาเห็นไตรลักษณ์ แปลตามตัวแค่พิจารณา แต่โดยใจความ หมายถึงพิจารณาเห็นไตรลักษณ์ ตอนนี้นอกจากจะเห็นกำหนดปัจจัยของนามรูปได้ ก็จะก้าวไปถึงขั้นที่ว่ามองเห็นไตรลักษณ์ แต่การเห็นไตรลักษณ์ในขั้นนี้ ยังไม่เห็นไตรลักษณ์ชนิดที่ทันความเกิดดับของรูปธรรมนามธรรม คือเห็นเป็นภาพรวม คือเห็นความจริง แต่ยังเห็นเป็นภาพรวม ตามดูรู้ทันรูปนามที่กำลังเกิดขึ้น มอง เห็นความไม่เที่ยง ความคงอยู่สภาพเดิมไม่ได้ ความไม่ใช่เป็นตัวเป็นตน เป็นไปตามเหตุปัจจัย เป็นไตรลักษณ์ มองเห็นแต่มองเห็นเป็นภาพรวม ยังไม่ทันทุกขณะ คือสติปัญญานี้ยังไม่ทันเห็นความเกิดดับที่เป็นแต่ละขณะ ทันกับรูปนามที่ดับจริงๆ อันนี้ก็เป็นการเกิดขึ้นของญาณในระดับที่เรียกว่าเป็น มัคคามัคคญาณทัสสนวิสุทธิ คือความบริสุทธิ์แห่งการหยั่งรู้หยั่งเห็นที่แยกได้ เป็นทาง มิใช่ทาง อันนี้ก็คือเข้าสู่การเห็นไตรลักษณ์ ทีนี้พอได้สัมมสนญาณมองเห็นไตรลักษณ์แล้ว เป็นภาพรวมอย่างนี้ ก็ก้าวต่อไป
ตอนนี้จะก้าวไปถึงขั้นที่เริ่มจะมองเห็นการเกิดดับของรูปนามที่กำลังตามดูรู้ทันอยู่นั้น ตอนนี้ตามดูรู้ทันก็เห็นการเกิดดับขึ้นมา เห็นน้อยๆ เห็นอ่อนๆ ตอนนี้คือการเริ่มเข้าสู่อุทยัพพยญาณ ที่อาตมาบอกเมื่อกี้แล้วว่าเป็นญาณที่ 1 ในวิปัสสนาญาณ 9 อันนี้ก็มาเชื่อมกับวิปัสสนาญาณ 9 วิปัสสนาญาณ 9 จะมาเริ่มตรงนี้ แต่ว่าอุทยัพพยญาณที่เห็นในตอน นี้นั้นยังอ่อนอยู่ แล้วก็นี่แหละเมื่อกี้บอกแล้วว่าพอเริ่มถึงตรงนี้ก็จะเป็นวิปัสสนา วิปัสสนาญาณก็เริ่มจากอุทยัพพยญาณ มองเห็นความเกิดดับ แต่นี้อุทยัพพยญาณตอนนี้ยังอ่อนอยู่ ก็เป็นวิปัสสนา แต่ท่านเรียกว่าวิปัสสนาอ่อนๆ ในภาษาพระเรียกว่า ตรุณวิปัสสนา เกิดตรุณวิปัสสนาขึ้นมาแล้วนะ
แล้วต่อจากนี้ก็จะก้าวไปสู่ความเข้มแข็งของอุทยัพพยญาณนั้น คือการที่ว่าเห็นการเกิดดับของนามรูปอย่างชัดเจนยิ่งขึ้น รู้ทันความเกิดดับของนามรูปที่เป็นไปในแต่ละขณะ ซึ่งอันนี้ก็จะเข้าสู่วิปัสสนาญาณ 9 ที่อาตมากล่าวมาแล้ว ซึ่งอยู่ในขั้นปฏิปทาญาณทัสสนวิสุทธิ
อันนี้ก็จะมีข้อแทรกเข้ามาอย่างหนึ่งคือว่า ในตอนที่เริ่มได้อุทยัพพยญาณ เริ่มรู้ทันเห็นความเกิดดับของนามรูปนี้ ตอนที่ได้วิปัสสนาอ่อนๆ อุทยัพพยญาณกำลังเริ่มต้น กำลังเริ่มเห็นนามรูปเกิดดับเนี่ย ตอนนี้มันเป็นความก้าวหน้าที่สำคัญ ก็จะมีตัวอุปสรรคเกิดขึ้นมา ตัวแซง คือจะเกิดสภาพจิตและปัญญาที่ดีงาม ซึ่งน่าพอใจอย่างมาก จนกระทั่งทำให้หลงผิดว่าตัวเองนี้บรรลุธรรมสำเร็จแล้ว อาจจะนึกว่าตัวนี้เป็นพระอรหันต์แล้ว หรือได้มรรคได้ผลเป็นอริยบุคคลไปแล้ว นี่ในตอนนี้ เรียกว่าปัญญาญาณก้าวหน้าไปมาก ก็จะเกิดสภาพจิตสภาพปัญญาที่ดีงามเหลือเกินอย่างที่ไม่เคยพบเคยเห็นมาก่อน
ซึ่งอันนี้ท่านเรียกว่าเป็นตัวทำให้วิปัสสนาเศร้าหมองเสียหาย มีถึง 10 ประการด้วยกัน เรียกว่า วิปัสสนูปกิเลส แปลว่าอุปกิเลสของวิปัสสนา เป็นสิ่งที่ดีงาม เช่นว่า เกิดเป็นความสว่าง เกิดเป็นความสบาย เกิดความปีติอิ่มเอิบใจเหลือ เกิน อะไรต่างๆ เหล่านี้ ความพอใจ ความเชื่อมั่นอย่างชนิดที่เรียกว่าไม่มีเคลือบแคลงสงสัยอะไรเลยเนี่ย มันทำให้ชวนหลงผิดว่าตัวบรรลุธรรมแล้ว เนี่ยตอนนี้แหละที่ว่า มันถึงขั้นที่จะต้องให้รู้ว่าเป็นทางผิดทางถูก
พอเรารู้เท่าทันวิปัสสนูปกิเลสเหล่านี้ว่ามันไม่ถูกต้องแล้ววินิจฉัยได้ ก็จะข้ามพ้นวิปัสสนูปกิเลสไป ตัวอุปสรรคของวิปัสสนาก็ผ่านพ้น พอผ่านพ้นไปได้ เราก็จะก้าวเข้าสู่อุทยัพพยญาณที่แท้จริง
อุทยัพพยญาณที่ว่า มองเห็นรูปนามเกิดดับเมื่อกี้นี้ ก็จะแก่กล้าขึ้นมา ก็เข้าสู่ตัววิปัสสนาญาณที่แท้จริง วิปัสสนาญาณที่แท้จริงนี้ ก็คือปฏิปทาญาณทัสสนวิสุทธิที่ว่าเมื่อกี้ อันนี้ก็จะก้าวหน้าต่อไป ตอนนี้วิปัสสนูปกิเลส 10 ประการมีอะไรบ้างนี่ อาตมาจะไม่พูดถึงก่อน เพราะเราจะพูดต่อไปข้างหน้า
เอาเป็นว่า ตอนที่จะก้าวเข้าสู่วิสุทธิขั้นปฏิปทาญาณทัสสนวิสุทธิ ตอนที่จะเกิดวิปัสสนาญาณ 9 ขึ้นมาอย่างแท้จริง ตอนนี้จะมีตัวอุปสรรคแซงเข้ามา ซึ่งมันเป็นสิ่งที่ดี แต่ว่าดี ทำให้หลงผิด แล้วชวนให้หลงผิด แล้วก็เกิดโทษคือไม่ปฏิบัติต่อไป เอาละทีนี้ก็เป็นอันว่าต่อจากนี้ก็เข้าสู่วิปัสสนาญาณ 9 ที่ได้บอกชื่อไปแล้ว
ต่อจากวิปัสสนาญาณ 9 ท่านก็ยังบอกว่ามีญาณต่อๆ ไปอีก ญาณที่จะเกิดขึ้นในวิสุทธิข้อต่อไปก็คืออะไร ก็คือตอนญาณทัสสนวิสุทธิ ซึ่งเป็นวิสุทธิข้อที่ 7 ในวิสุทธิข้อที่ 7 นี้ ก็จะมีญาณที่เกิดขึ้นมาที่ท่านนำมาจัดเข้าให้เป็นญาณ 16 เนี่ย ที่เพิ่มขึ้นในตอนนี้มีอะไรบ้าง ก็จะเพิ่มต่อจากวิปัสสนาญาณ 9 คือต่อจากสัจจานุโลมิกญาณนั้น หากเรานับตาม ลำดับตอนนี้จะเป็นญาณที่ 13 รวมทั้งหมดเลย
ญาณที่ - นี้เรียกว่า โคตรภูญาณ โคตรภูญาณแปลเป็นภาษาไทยกันตามประเพณี เรียกว่าญาณครอบโคตร ญาณครอบโคตรหมายความว่าไง โคตรหมายถึงว่าเป็นคำที่ใช้เหมือนกับเปรียบเทียบว่า พวกปุถุชนนี้ก็เป็นโคตรหนึ่ง เป็นพระอริยะก็เป็นโคตรหนึ่ง คนละโคตร คนละวงศ์ คนละเหล่า นี้เหล่าพระอริยะกับเหล่าปุถุชนนี้คนละเหล่า ทีนี้ในตอนที่จะข้ามไปจากความเป็นปุถุชนไปสู่ความเป็นพระอริยะเนี่ย ก็จะเท่ากับเปลี่ยนโคตร เปลี่ยนเหล่า การเปลี่ยนเหล่านี้ก็จะมีญาณที่เป็นตัวที่มาอยู่ในระหว่างที่จะทำให้ก้าวไป อันนี้ญาณนี้เรียกว่าโคตรภูญาณ ญาณที่เป็นตัวก้าวจากโคตรปุถุชนไปสู่โคตรของพระอริยะ เรียกว่า โคตรภูญาณ
แล้วต่อจากนั้นก็จะมีญาณที่เป็นตัวญาณทัสสนวิสุทธิ ที่เป็นวิสุทธิขั้นสุดท้าย ขั้นที่ 7 อันนี้ก็คือมัคคญาณ ญาณที่เป็นตัวมรรคที่ทำให้เกิดผล ทำให้เกิดความเป็นอริยบุคคล แล้วพอเกิดมัคคญาณแล้ว ญาณที่ตามมาก็คือผลญาณ ญาณที่เป็นผลของการบรรลุความเป็นพระอริยบุคคลนั้น เช่นว่า มัคคญาณได้บรรลุโสดาปัตติมรรค ก็จะตามมาด้วยผลญาณที่เป็นโสดาปัตติผล อย่างนี้เป็นต้น พอผ่านผลญาณไป อันนี้ก็ยังถือว่าอยู่ในญาณทัสสนวิสุทธิ แล้วก็ตามด้วยสุดท้าย
ญาณที่ 16 เรียกว่า ปัจจเวกขณญาณ ญาณที่พิจารณาทบทวน เอามรรคผลนิพพานที่ตนได้บรรลุแล้วนี้มาพิจารณา แล้วก็ถ้าเป็นการบรรลุมรรคผลในระดับต่ำๆ ก็พิจารณากิเลสที่ตนได้กำจัดแล้ว ละได้แล้ว และกิเลสที่ยังเหลือ อยู่ด้วย อันนี้ท่านเรียกว่าปัจจเวกขณญาณ ก็เป็นญาณสุดท้าย ก็รวมเป็นญาณ 16
อันนี้ใช้ในวงการวิปัสสนาในเมืองไทยนิยมกันมาก ซึ่งเป็นของที่วงการวิปัสสนานี่ ท่านมาประมวลขึ้นจากปริยัติที่มีอยู่เดิม แล้วก็มาวางเป็นหลักเป็นขั้นเป็นตอนให้เห็นความชัดเจนยิ่งขึ้น ก็เลยเราใช้เป็นมาตรฐานกันอยู่ในวงการ อันนี้อาตมาก็นำมาเล่าให้ฟังด้วย
ตกลงว่าขั้นตอนที่เป็นแบบแผนใหญ่ ในการก้าวหน้าของวิปัสสนาก็คือวิสุทธิ 7 แล้วซอยญาณที่เกิดขึ้นในระหว่างนี้ ที่มีเป็นตัวสำคัญเรียกว่าวิปัสสนาญาณ 9 อยู่ในขั้นของวิสุทธิข้อที่ 6 ชื่อว่าปฏิปทาญาณทัสสนวิสุทธิ แล้วมีการที่ว่ามาจัดแสดงให้เห็นลำดับการเกิดญาณอื่นๆ ที่อยู่ก่อนหน้านั้นและหลังนั้นให้ครบถ้วน ก็เป็นญาณ 16 เริ่มตั้งแต่ญาณที่ 1 นามรูปปริจเฉทญาณ ญาณที่ให้กำหนดแยกนามรูปได้ จนกระทั่งถึงปัจจเวกขณญาณเป็นญาณสุดท้าย ก็เป็นอันว่าจบญาณ 16 ก็ครบถ้วนบริบูรณ์