แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ไฟล์ถอดเสียงนี้ยังไม่ได้ผ่านพิสูจน์อักษร นำขึ้นมาเพื่อช่วยในการศึกษาค้นคว้าของผู้สนใจ
คนฟังถาม เจริญพระเจ้าคุณครับ ที่ค่อนข้างเจริญรุ่งเรื่องและมั่นคงมี 3 ประเทศมี ไทย พม่า แล้วก็ลังกา ผมรองพิจารณาดูว่าเอ้ทำไมประเทศที่มีศาสนาพุทธค่อนข้างจะรุ่งเรืองหรือรับเป็นการยอมรับนี่ทั้ง 3 ประเทศ ไม่มีประเทศไหนที่เจริญทางวัตถุแล้วสงบมั่นคงภายในประเทศเองก็มีปัญหา ยกตัวอย่าง อย่างทางพม่าที่ก็ยังไม่เรียบร้อย ผมก็สงสัยว่าเอ้ศาสนาเรานี่ แสดงว่าประเทศที่นับถือ ผู้ที่นับถือ ประเทศที่นับถือไม่สมารถเข้าถึงฐานและรากแก่นถึงตัวศาสนาพุทธได้เลย เป็นเพียงแต่รูปแบบใช่ไหม่ครับ
พระตอบ ไอ้ที่นับถือพุทธศาสนาสายนี้มีแต่ยุ่งทั้งนั้นเถอะ ว่างั้นเถอะ
คนฟังถาม คือไม่ถึงขนาดอย่างนี้ หมายความว่าทางด้านวัตถุก็ไม่เจริญ ขนาดที่เป็นด้านความสงบมั่นคงนี่ ก็ไม่ว่าดีซะทีเดียว ก็ไปเปรียบเทียบอย่างประเทศสวิสเซอร์แลนด์ หรืออย่างนิวซีแลนด์ ที่อยู่ศาสนาอื่นเขาก็มีความสงบภายในประเทศ ความสามัคคีประชาชนสูงกว่าพอไปเปรียบเทียบทางด้านวัตถุประเทศอเมริกา เยอรมัน หรือญี่ปุ่นหรืออะไร เขาก็อย่างนี้แสดงว่า ประเทศทั้ง 3 ประเทศ ที่รับการได้รับการยอมรับจากอารยะประเทศว่า เป็นประเทศที่มีศาสนาพุทธที่รุ่งเรืองหรือมั่นคงนี่ เราอาจจะมีเฉพาะรูปแบบใช่ไหม ไม่ใช่มีสาระ สาระอาจขาดหายไปเสียแล้ว
พระตอบ ก็มีข้อพิจารณาหลายอย่าง อันนี้มันก็เป็นเรื่องของการพิจารณาเกี่ยวกับยุคสมัยด้วย
1 ประเทศนั้นโดยตัวของตัวเอง
2 ประเทศนั้นกับตัวปัจจัยอื่นที่เข้ามาของยุคสมัย เช่น อิทธิพลของต่างประเทศ
3 ประเทศนั้นกับความสัมพันธ์กับศาสนาของตนเองด้วย มันเป็นยังไงบ้าง พุทธศาสนาถ้าเอาจากปัจจุบันเข้าไป เวลานี้มันเป็นยุคที่มีอิทธิพลของตะวันตกนี้เข้ามาใช่ไหม ก็นับตั้งแต่มีอิทธิพลตะวันตกเข้ามาก็ก่อให้เกิดความวุ่นวายเดือดร้อน เพราะเข้ามาหาอนานิคมใช่ไหม 1 เขายอมรับว่าประเทศเรานี้สมัยก่อนมีความสุขสบายพอสมควรนะใช่ไหม อย่างตอนที่อยุธยา นี่ฝรั่งเข้ามาบันทึกไว้นะ ถึงแม้ว่าจะไม่ได้เจริญมากมายทางวัตถุ แต่ก็เรียกว่าอารยธรรมสมัยเก่านี้เราเริ่มก่อนเขาไม่ใช่หรือถูกไหม สมัยที่ฝรั่งยังแย่อยู่เลยก็ทางตะวันออกนี้เจริญก่อนในสมัยที่อารยธรรมตะวันออกเจริญ จีน อินเดียเจริญนั้น ฝรั่งยังเป็นอนารยชน ยังเป็นพวกเรร่อนใช่ไหม พวกนี้ก็เจริญรุ่งเรืองมาก็มีความเจริญเสื่อม วงจรอันหนึ่งก็คือพอเจริญแล้วก็จะมัวเมา ลุ่มหลงประมาท แล้วก็เสื่อม และในความเจริญและความเสื่อมนั้นเอง ก็คือกิเลสของคน เช่นว่าผู้ปกครองแย่งอำนาจกันเป็นต้นใช่ไหม นี้ยุ่งมาก สำหรับคนไทยนี้มีปัญหาอันนี้มากน่ะ เรื่องของการแย่งชิงอำนาจของผู้ปกครองนี่ เป็นลักษณะสำคัญของอยุธยาเลยว่าการเปลี่ยนแปลงในด้านอำนาจไม่ค่อยเป็นไปโดยสงบใช่ไหม เวลาเปลี่ยนแผ่นดินทีต้องตายกันแย่ไปเลย ไม่มีระบบวิธีที่จะทำให้การเปลี่ยนแผ่นดินนี้เป็นไปด้วยเรียบร้อย นั้นพอเปลี่ยนแผ่นดินทีหนึ่งก็ทำให้สังคมนี่เสื่อมถอยมาก อย่างพระเจ้าปราสาททองนี้ขึ้นใช่ไหม ก็ฝ่ายตรงข้ามนี่ไม่มีฆ่าแทบไม่เหลือเลยใช่ไหม นี่คนที่มีฝีมือ คนมีความรู้ความสามารถตายแทบเรียบ ประเทศก็อ่อนแอลง ก็เริ่มต้นกันใหม่ ก็จะมีปัญหาเรื่องนี้ด้วยเรื่องนี้ด้วย เรื่องด้านการปกครองที่ขาดระบบที่จะสืบอำนาจกันอย่างที่สันติที่สุด ทีนี้ว่าถึงทั่วไปก็ประชาชนให้อยู่กันก็ดีนะ อย่างที่ว่าฝรั่งเข้ามาในสมัยอยุธยา ประชาชนก็อยู่กันสุขสบายแต่ว่าเป็นแบบอยู่ใกล้ธรรมชาติหน่อย แล้วก็แผ่นดินมันก็อุดมสมบูรณ์ถูกไหมครับ เอ้อแผ่นดินมันก็เอื้อธรรมชาติแวดล้อมอำนวย อันนี้อีกด้านหนึ่งพร้อมกับที่มีด้านดีที่ธรรมชาติอุดมสมบูรณ์เอื้ออำนวยนั้น แต่มันก็ทำให้ประชาชนนี่ไม่ค่อยเข้มแข็งใช่ไหม อันนี้เป็นปัจจัยในด้านสภาพแวดล้อม ที่ว่าคนที่ไม่เผชิญกับความทุกข์ยากนี่ จะไม่ค่อยมีนิสัยในการดิ้นรนขวนขวายก็จะมีความโน้มเอียงในการที่ว่าจะเสวยความสุขใช่ไหม นี้ก็ต่อไปก็เห็นแก่ความง่าย ถ้าหากว่าไม่ระวังให้ดีก็เป็นคนมักง่ายใปเลย ทีนีไอ้ความไม่ค่อยดิ้นรนต่อสู้ไม่เข้มแข็งนี่ ก็เป็นปัจจัยหนึ่งแห่งการที่จะเจริญในทางการสร้างสรรค์ได้ยากเหมือนกัน คล้าย ๆ ว่าอยู่ยังไงก็พอใจอย่างนั้น
ทีนี้เราก็ไปดูการที่มานับถือพุทธศาสนาอีกก็เหมือนอย่างที่ผมพูดวันนั้นเพราะเรานับถือพุทธศาสนาเราปรับธรรมมาใช้นี่ ก็อาจจะมุ่งเพื่ออยู่ร่วมกันเป็นสุขแล้วกันพอกันใช่ไหม อย่างเอาสันโดษมาใช้เนี่ย ก็สันโดษก็เราก็มองแค่ว่าพอใจในสิ่งที่มีแล้วก็สบายมีความสุข ก็ไม่เดือดร้อนไม่ทะเยอทะยานไม่ดิ้นรนมันก็ดีตัวเองก็มีความสุขเราก็ไม่เบียดเบียนกันใช่ไหม แต่ว่ามันไม่ใช่สันโดษทีถูกต้องตามความมุ่งหมายพุทธศาสนาที่ท่านให้สันโดษเป็นเพียงการเตรียมตัวให้พร้อมเพื่อจะได้ก้าวไปใช่ไหม ไอ้นี่ตรงนี้คนไทยขาด ธรรมะแทบทุกข้อเอามาใช้เพื่อหยุดนิ่ง เพื่อจะได้สบาย ไม่เฉพาะไทยหรอกพวกประเทศพม่าอะไรต่ออะไรก็แบบเดียวกันหมด ฉะนั้นก็ต้องมาดูปัจจัยสภาพแวดล้อมที่ว่าดีแต่พลิกอีกด้านหนึ่งก็กลายเป็นทำให้ตัวเองขาดความเข้มแข็ง ไม่ก้าวหน้า
2 การนำธรรมะในพระพุทธศาสนามาใช้ก็ใช้ในเชิงที่ทำให้หยุดนิ่งอีก
3 พอปัจจัยฝ่ายตะวันตกอิทธิพลภายนอกเข้ามา เข้ามาในลักษณะคุกคามแบบหนึ่ง อีกแบบหนึ่งคุกคามเลย เข้ามาเอาไว้ในอำนาจ เช่น อย่างพวกพม่าโดนตกเป็นอาณานิคมไปเลยใช่ไหม มันก็ต้องกดขี่ ฉะนั้นชนพวกนี้ก็หมือนกับว่า ถ้าใช้คำแรงก็ว่าเป็นทาสทั้งชาติใช่ไหม ภาวะที่จะเป็นตัวของตัวเองไม่มีก็เป็นปมปัญหาอันหนึ่ง นี่อิทธิพลต่างชาติเข้ามาใช่ไหม ที่นี้ 2 สำหรับไทยนอกจากอิทธพลคุกคามตอนแรก ต่อมาก็เป็นเรื่องของอิทธิพลในทางวัฒนธรรม เช่นว่าความรู้สึกที่เห็นว่าพวกนี้มีความเจริญ มีของกินของใช้มีเทคโนโลยีเจริญ แล้วเมืองไทยไปมองในแง่ของการที่จะใฝ่หาสิ่งเสพสิ่งบำรุงบำเรอสิ่งฟุ่มเฟือยไปใช่ไหม ทีนี้การทีมีท่าทีต่ออารยธรรมตะวันตกหรือความเจริญทางวัตถุในทางที่ไม่ถูกต้อง อันนี้ก็เลยตัวเองห่างจากหลักธรรมในพุทธศาสนาอยู่แล้วก็ไปปฏิบัติมีท่าทีต่อสิ่งที่เข้ามาที่เป็นความเจริญที่ไม่ถูกต้องอีก ก็เลยกลายเป็นสะสมหมักหมมปัญหาใหญ่เลย พอพัฒนาก็แทนที่จะจับจุดเรื่องไอ้เหตุที่มันทำให้ไม่ก้าวหน้าได้มันมีด้านดีอะไรแล้วก็มาเสริมแก้ส่วนที่มันพบพร่อง มันกลายเป็นพลิกเปลี่ยนเลยใช่ไหม ส่งเสริมให้คนทะเยอทะยานอยากได้วัตถุฟุ่มเฟือยไปเลยไปอีกทิศหนึ่งเลย นี้ก็เลยกลายเป็นว่าสร้างปัญหาก็ออกจากหลักในพุทธศาสนาไปเลย นั้นในด้านหนึ่งที่เสื่อมก็เพราะออกจากพุทธศาสนาใช่ไหม ต้องวิเคราะห์ว่าเป็นเพราะนับถือพุทธศาสนาหรือเป็นเพราะออกจากพุทธศาสนา ด้านหนึ่งก็ก้าวมายังไม่ถึงหลักการของพุทธศาสนายังใช้ธรรมะไม่ถูกด้วยซ้ำใช่ไหม เสร็จแล้วกลับไอ้ส่วนที่ดีที่มีอยู่บ้างก็ทิ้งอีก แล้วไปรับแนวคิดตะวันตก นอกจากรับแนวคิดตะวันตกมาแล้วมันรับผิวเผินอีก ไอ้ของดีของเขาที่มีอยู่ก็ไม่ได้รับอีก มันเลยกลายเป็นว่าของดีของตัวที่มีอยู่บ้างก็ทิ้ง ของที่เขามีดีก็ไม่ได้รับเอามาใช่ไหม มันก็กลายเป็นเอาแต่ส่วนที่เสียหมดเลย ท่านจะว่าอย่างไร
คนฟังถาม คือประเด็นตรงนี้ที่ว่า เข้าใจที่พระอาจารย์พูดครับ แต่ที่กำลังมอง คือจริง ๆ แล้ว 3 ประเทศนี้คงไว้แต่รูปแบบแล้วใช่ไหม สาระทางพุทธศาสนาเริ่มจะเลือนหายไปจากโลก ใช้คำว่าออกจากโลก
พระตอบ มันก็มีอยู่บ้าง มันกลายเป็นเหลืออยู่ในร่องรอยของวัฒนธรรมหรือสิ่งที่สืบสายกันมาโดยไม่รู้ตัวใช่ไหม เข่นอย่างการมีจิตใจดีมีเมตตากรุณาก็เป็นที่ยอมรับกันอยู่ ซึ่งเราก็บอกว่าเนี่ยมันก็เป็นการปฏิบัติธรรมไม่ครบใช่ไหม เข่นอย่างคนไทยเมตตากรุณาปั้บ แต่ว่าไอ้มุทิตาก็ด้อยไป ไอ้อุเบกขาก็ไม่รู้จักใช่ไหม นี่แล้วก็เอามาธรรมะมาใช้เป็นแยกส่วนแทนที่จะเอามาทั้งชุดก็เอามาเป็นข้อ ๆ แล้วก็มาเน้นใช้กัน ทีนี้เมตตากรุณาก็ทำให้มีน้ำใจดีในแง่ดีก็ดีจิตใจยิ้มแย้มแจ่มใสช่วยเหลือกันเต็มที่ แต่ว่ามันทำให้เกิดการที่หวังพึ่งพาอย่างที่ว่าทำให้อ่อนแอและช่วยกันจนกระทั่งเสียความเป็นธรรมที่ไม่มีอุเบกขา แล้วมาสู่ระบบอุปถัมภ์ใช่ไหม ทางสังคมวิทยาก็ระบบอุปถัมภ์ก็เกิดขึ้นเป็นพวกไหนช่วยเหลือกันอะไรอย่างนี้น่ะ กลายเป็นเมตตากรุณาอยู่ในหมู่ในพวกของตัวเอง ก็ทางพุทธศาสนาก็บอกแล้วนี่กุศลเป็นปัจจัยแก่อกุศลก็ได้ อกุศลก็เป็นปัจจัยแก่กุศลก็ได้ใช่ไหม เหมือนอย่างฝรั่งนี่เพราะเหตุที่มันมีความขัดแย้งมีความบีบคั้นมากก็ทำให้ต้องดิ้นรนขวนขวายเกิดความเพียรถูกไหม พอถูกภัยคุกคามนอนไม่ได้ถูกไหม ต้องลุกขึ้นดิ้น นี่เข้าหลักเรื่องคนเราปุถุชนเนี่ย เมื่อยังมีกิเลสเมื่อถูกทุกข์บีบคั้นภัยคุกคามก็ลุกขึ้นดิ้นรนขวนขวาย เมื่ออยู่สบายก็มีความโน้มเอียงที่จะเสวยสุขใช่ไหม แล้วก็ประมาทตกอยู่ในความเกียจคร้านเฉื่อยชาผลัดดเพี้ยน ทีนี้ของฝรั่งนี้โดนความบีบคั้น หนึ่งโดยภัยธรรมชาติหรืออย่างน้อยก็ธรรมชาติที่ไม่ค่อยเอื้อ ทำให้ต้องดิ้นรน ทำให้ต้องคอยไม่ประมาทระวังตัวอยู่เสมอ ต้องตื่นตัวต่อภัยอันตรายแล้วก็ต้องรีบเร่งทำการต่าง ๆ ให้ทันเวลาใช่ไหม แม้แต่ในฤดูกาลแต่ละปีเนี่ย อย่างที่เคยยกตัวอย่างบ่อย ๆ พอถึงฤดูหนาวทีฝรั่งรอไม่ได้เลย บ้านต้องซ่อมให้เรียบร้อยอาหารการกินต้องเตรียมไม่งั้นอยู่ไม่ตลอดฤดูหนาวตายก่อนใช่ไหม นั่นมันผลัดเพี้ยนไม่ได้ คนไทยนี่จะซ่อมบ้าน ผลัดไปเดือนหน้า ผลัดไปเดือนหน้าอีกปีเดียวนี่ยังไม่ได้ซ่อมสักทีมันไม่มีเหตุให้ตาย ถ้ามีเหตุให้ตายเลยกับคนไทยก็อยู่ไม่ได้เหมือนกันใช่ไหม นี่มันไม่ตายมันไม่ได้เดือดร้อนอะไรนักหนาก็ผลัดเพี้ยนไปเรื่อย ๆ เนี่ยฝรั่งมันก็สร้างเป็นนิสัยใช่ไหม ว่าเมื่อมีอะไรต้องทำต้องรีบทำจะมัวรอ จะมาผลัดเพี้ยนไม่ได้ธรรมชาติบีบคัน แล้วทีนี้มนุษย์ด้วยกันก็ฝรั่งนี่ก็ประวัติการสู้รบไม่เบานะ ประวัติการสู้รบการคุกคามกันการกดขี่ข่มเหงมันก็ทำให้คนนี่เมื่อมีแรงกดดันมากก็จะมีการดิ้นรนมาก ถูกไหมครับ ทีนี้การดิ้นรนของฝรั่งนี่นำมาซึ่งการตั้งกฎเกณฑ์กติกาทำให้ฝรั่งมีความชำนาญในด้านนี้ เพราะเมื่อคนมาละเมิดต่อกันอยู่เสมอ ในที่สุดก็หาทางแก้ไขด้วยการใช้กฎเกณฑ์กติกา ฝรั่งก็ชำนาญในเรื่องนี้จนกระทั่งเกิดในเรื่องสิทธิมนุษยชนเรื่องอะไรต่าง ๆ เหล่านี้ใช่ไหม Mac Nakata Wind of Life อะไรพวกนี้ ฝรั่งมีประวัติการต่อสู้ระหว่างมนุษย์เยอะ เมื่อกี่ต่อสู้ธรรมชาติ ทีนี้สู้กับมนุษย์ ไอ้การสู้กับธรรมชาติก็นำไปต่อสู่แนวคิดที่ว่าจะต้องพิชิตธรรมชาติถูกไหม คนไทยไม่คิด ตะวันออกโดยทั่วไปไม่คิดพิชิตธรรมชาติ ไม่คิดสู้เอาชนะธรรมชาติ เพราะธรรมชาติมันเอื้อ มันอยู่สบาย ๆ แต่ฝรั่งนี่ธรรมชาติปรากฏในลักษณะที่มีความคุกคามอยู่เสมอเลย นั้นมันมองธรรมชาติเป็นศัตรู จะต้องสู้ต้องเอาชนะ ก็เลยเกิดเป็นแนวความคิดว่าถ้าเมื่อไหร่เราชนะธรรมชาติเมื่อนั้นเราจะมีความสุขสมบูรณ์ด้วยใช่ไหม ถึงกับเป็นแนวความคิดเป็นทิฏฐิพื้นฐานของอารยธรรมตะวันตกไปเลย ผมเคยเล่าแล้วนี่ ที่ฝรั่งอาจารย์เป็นเยอรมันมาสอนที่มหิดล ทีนี้ไปกับอาจารย์ไทย ไปที่ภูเขา ผมก็พูดเรื่องนี้ คุยกันเรื่องอะไรก็ไม่รู้แล้วก็มาวกเอาเรื่องนี้ ผมก็นี่เมืองฝรั่งมีความคิดที่จะพิชิตธรรมชาติ มองธรรมชาติเป็นศัตรู เขาก็นิ่งอึ้งไป แล้วสักครู่เขาก็บอกว่าเขาก็ชี้มือไปข้าง ๆ ภูเขาก็ต้นไม้ธรรมชาติทั้งนั้นใช่ไหม ก็บ้านเมืองท่านนี่ธรรมชาตมัน Friendly แล้วบ้านผมนี้ไม่อย่างงั้น แล้วก็บอกว่าเมื่อคืนนี้ ลูกยังโทรศัพท์ ลูกสาวโทรมาบอกจะแย่แล้วหนาวเหลือเกิน นี่เขาก็บอกว่าก็อย่างงี้ ก็ธรรมชาติบ้านเมืองท่านก็หมายถึงของเรานะมัน Friendly มันก็ไม่ต้องไปต่อสู้อะไร ของเขามันต้องบีบคั้นเขาก็รู้ตัวอยู่ใช่ไหม ฉะนั้นเมื่อคนถูกบีบคั้นมันก็รู้สึกต่อสิ่งนั้นในทางเป็นปฏิปักษ์ มันก็ต้องคิดต่อสู้จะเอาชนะธรรมชาติตลอดเวลา ของเราไม่รู้จะเอาอะไรต่อสู้เอาชนะทำไม มันสบายใช่ไหม มันก็คนละแบบ ทีนี้นอกจากต่อสู้กับธรรมชาติแล้วก็ต่อสู้กับคนด้วยกันก็ต้องตื่นตัวอยู่เสมอและก็ต้องหากฏหาเกณฑ์ขึ้นมาตั้งเป็นกติกาที่จะให้ไม่ละเมิดต่อกันใช่ไหม แล้วก็เกิดความชำนาญในเรื่องกฎหมายเรื่องของกติกาสังคม แล้วก็อีกอย่างหนึ่งก็คือความบีบคั้นทางสติปัญญา นี่ศาสนาของเรานี่เป็นศาสนาให้เสรีภาพมากและใช้ปัญญาใช่ไหม ทีนี้การใช้ปัญญานี่มันต้องตั้งใจฝึกตัวเอง ก็ตั้งใจเรียนรู้ ไม่งั้นมันก็ไม่ได้เรื่องใช่ไหม มันก็ไม่พัฒนา นี้เราสามารถรักษาระบบนี้ไว้ได้ไหม ระบบการฝึกคนที่จะให้เรียนรู้ให้ฝึกตัวอยู่เสมอ ถ้าทำไม่ได้ระบบปัญญาที่เสรีเนี่ยก็ทำให้คนนี่ไม่ก้าวไปเลยใช่ไหม ไม่พอใจฉันก็ไม่ทำไม่ ไม่เรียนรู้ไม่ต้องฝึกก็อยู่ไปอย่างนั้นตามกิเลส ทีนี้ของศาสนาตะวันตก ศาสนาแห่งศรัทธาบังคับเลย ถูกไหม ยิ่งสมัยก่อน สมัยนี้มันผ่อนแล้วใช่ไหม สมัยก่อนนี้เอาตายใช่ไหม แต่ตอนนี้เริ่มด้วยศาสนาคริสต์เองเกิดขึ้นมาก็โดนเล่นงานใช่ไหม โดนเล่นงานบังคับแล้ว พวกโรมันก็จับพวกคริสต์ไปสู้กับเสือใช่ไหม สู้กับสิงห์โต เพื่อจะฆ่าเพราะว่าถือเป็นคนชั่วร้าย เอาอย่างนั้นเลยใช่ไหมเนี่ย ก็บีบคั้นเลยใช่ไหม บีบคั้นในเรื่องทางความคิดทางสติปัญญาความเชื่อ พอทีนี้พอคริสต์ใหญ่ขึ้นมา เอ้าเล่นงานคนอื่นบ้าง เอาอีกน่ะใช่ไหม แล้วคริสต์แตกเป็น 2 นิกายก็เล่นงานกันเองถูกไหม คาทอลิก กับ โปรเตสแตนด์ อย่างในอังกฤษ โอ๋ถึงกับต้องหนี้ไปอเมริกาใช่ไหม เพราะการไปอเมริกานี่ ผจญภัยอย่างยิ่งเลยน่ะ เสี่ยงตายใช่ไหม โอกาสรอดก็น้อย แต่ว่ามันอยู่ไม่ได้อยู่ตายแน่ ไปอาจจะรอดบ้าง นี่ก็เป็นเหตุหนึ่งที่ทำให้คนฝรั่งต้องไปสู่โลกใหม่ คือประเทศอเมริกา ทีนี้การกำจัดกันตอนนั้นมันรุนแรงขนาดที่ว่าฆ่ากันทั้งหมู่บ้าน แม้แต่เด็กเล็ก ๆ ก็ไม่เหลือ เขายังมีรูปเล็ก ๆ ให้รูปที่ตอนที่อยู่อังกฤษทีตอนโปรเตสแตนต์กับคาทอลิก โปรเตสแตนต์ก็ฆ่าคาทอลิกอย่างที่ว่าล้างบางล้างหมู่บ้านอะไรกันอย่างนี้ มันรุนแรงมากใช่ไหม ทีนี้มันบีบคั้นความเชื่อ ไอ้นี่มันเป็นปฏิปักษ์เป็นคนละนิกายก็ฆ่ากันขนาดนี้ ที่นี่ในนิกายเดียวนั่นแหละ ถ้าคนไหนเกิดสงสัยคำสอนในศาสนา เช่นสงสัยBible นี่ใช่ไหม ฆ่าอีกใช่ไหม เกิดถามว่าพระเจ้ามีจริงหรือเท่านี้แหละโดนจับขึ้นศาลแล้วใช่ไหม พอศาสนาคริสต์คิดยิ่งใหญ่ขึ้นมีอำนาจสวมมงกุฎให้กษัตริย์ในยุโรปใช่ไหม ตอนนี้ตั้งศาล Impression ศาลไตร่สวนศรัทธาขึ้นทั่วยูโรปเลย เฉพาะสเปนนี่รุนแรงมาก เผาทั้งเป็นเลยเป็นหมื่นเลยนะ เผาทั้งเป็นนี่ คนไหนถามเรื่องพระเจ้าโดนจับขึ้นศาล คนไหนสงสัย Bibleโดนจับขึ้นศาล ไม่ละทิ้งความคิดเห็น ไม่ละทิ้งความเชื่อก็โดนเผาทั้งเป็น หรือดื่มยาพิษอะไรพวกนี้ มันบีบคั้นอย่างนี้ ยิ่งบีบยิ่งดิ้นใช่ไหม ไอ้คนที่มันอยากจะแสวงหาปัญญามันก็ไปจับกลุ่มกันใช่ไหม หลบลี้หลีกไปอยู่เป็นลับ ๆ สืบความคิดอะไรต่ออะไรกันเนี่ย มันก็เป็นการบิดคั้นในด้านปัญญาอีกอย่างใช่ไหม คนดิ้นรนเรื่องปัญญาจนกระทั่งต้องฝังเป็นการอยากรู้ คนยิ่งบีบยิ่งอยากรู้ใช่ไหม ยิ่งปิดยิ่งอยากรู้ ทีนี้ของพุทธเปิดเสรี ถามอะไรก็ไม่ว่าขี้เกียจถาม ไม่ถามดีกว่าน่ะ ไป ๆ มา ๆ ไม่ถาม เออขี้เกียจถาม ถามแล้วก็ไม่เห็นว่าอย่างไรใช่ไหม ก็ตอบว่าก็เรียนเอาสิ เอ้าพอถามใช่ไหม เออแกอยากรู้เอาสิจะตอบให้ กับขี้เกียจฟังอีกแล้ว ขี้เกียจค้นอีก บอกเปิดโอกาสให้เรียนใช่ไหม กับขี้เกียจค้น ขี้เกียจเรียน ไอ้ตอนบีบปิดนี่ดีน่ะ อยากจะรู้ พอเปิดให้มันต้องใช้ความเพียร ต้องเรียน ต้องรู้ ต้องไปค้นเลยขี้เกียจไม่เอาอีกใช่ไหม นั้นของเรามีข้อเสียมีระบบการฝึกหายไปเมื่อไหร่ก็หมดเลยพุทธศาสนา ศาสนาที่ให้เสรีภาพ เพราะฉะนั้นเราแรงบีบคั้นในด้านธรรมชาติแวดล้อมก็แพ้เขา แรงบีบคั้นในการดิ้นรนต่อสู้ระหว่างมนุษย์มีอยู่บ้าง แต่มันไม่รุนแรงไม่มาก ถ้าเทียบของเรา ของฝรั่งและเรา เราน้อยกว่าเขาเยอะ ของเราบีบกันอยู่แค่นี้ ไทยก็สู้กับพม่ากับลาวใช่ไหม ของฝรั่งนี่มันข้ามแดนกันไปไกล ๆ นะใช่ไหม ฝรั่งมันโดน มันเป็นแผ่อาณาอนาจักรที่มันกว้างขวางมาก
คนฟังถาม ต้องโดนบีบอย่างนี้ เขาจึงค้นพบใช่ไหมครับ
พระตอบ ใช่ไหม ก็นั่นแหละมันการดิ้นรนก็ดีอย่างนี้ใช่ไหม มันทำให้คนไม่ประมาทและแสวงหาค้นคว้ากันไป
คนฟังถาม ถ้าอย่างนี้ ต้องถือโอกาสให้ถามที่ละคน
พระตอบ เดี๋ยวให้จบอีกนิดนึง 2 แรงบีบคั้นมีแต่คนต่อสู้บีบคั้นกันเอง แล้ว 3 แรงบีบคั้นจากศาสนาคือเรื่องบีบคั้นทางปัญญาใช่ไหม ฝรั่งมีครบ ของไทยนี่ได้แรงบีบคั้นจากคนด้วยกันบ้าง แต่ก็ไม่ถึงกับขนาดฝรั่ง แล้วก็เลยมีความโน้มเอียงที่ตกอยู่ในความประมาท ทีนี้การสงครามในขอบเขตที่กว้างขวางนี่มีดีอย่างทำให้มีการถ่ายทอดทางวัฒนธรรม เพราะว่าชาตินี้อยู่ไกลพอมารบที่นี่ มันเอาสิ่งแปลกใหม่มาซึ่งคนในถิ่นนั้นไม่เคยรู้จัก อย่างไทยกับพม่ารบกัน ก็อยู่แค่นี้ใช่ไหม เจออะไรมันก็เจอของประเภทเก่า ๆ อยู่นั่นแหละ ไม่มีอะไร ของยุโรปนี่ไปไกล โอ้เวลารบกันแล้ว มันจะเจอสิ่งแปลกใหม่มีการถ่ายทอด มีความตื่นตาตื่นใจอะไรต่าง ๆ ทำให้งานก้าวหน้าเปลี่ยนแปลงมากมาย ทีนี้ท่านถามครับ
คนฟังถาม ก็กลับไปสู่ที่พระเดชพระคุณอธิบายครับ ผมคิดว่าโลกนี้มีความ ผมใช้คำว่าความบังเอิญอย่างสมดุล ขนาดที่สังคมตะวันตก ที่เราวิเคราะห์จากประวัติศาสตร์ของเขา จากแรงธรรมชาติก็ดี แรงบีบคั้นจากมนุษย์กันเองก็ดี ศาสนาก็ดี ผมมีความคิดว่าจริง ๆ พระพุทธองค์น่าจะมีคนเป็นไปในลักษณะตะวันตก คนที่เป็นชาวตะวันตกมากกว่าตะวันออก แต่ก็เป็นความบังเอิญที่แปลกว่า ประเทศเขามีใฝ่รู้สู้สิ่งยากไปสร้างสรรค์ กลับมีพระศาสดาที่เน้นเรื่องศรัทธา ขนาดตะวันออกอย่างเอเชียเรา ที่มีศรัทธาหลงงมงายเยอะนี่น่ะครับ กับมีพระศาสดา เป็นบรมศาสดาที่ใฝ่รู้และเตรียมไปด้วยเหตุผล ซึ่งผมว่าเป็นความบังเอิญอย่างสมดุล ถ้าเกิดพระพุทธเจ้า ท่านไปอุบัติที่ตะวันตกแล้วพระเยซูกลายเป็นศาสนาหลักของทางตะวันออกแทน ผมว่าโลกคงจะหายยานะเร็วกว่านี้ เพราะว่าทางด้านพระพุทธองค์คงรุ่งเรืองอย่างที่พิชิตโลกทั้งใบ ในขณะเดียวตะวันออกก็คงจะต้องกลายเป็นทาสของเขาอย่างสมบูรณ์ แต่พอปรากฏมาวิเคราะห์แล้ว มันมีลักษณะที่มันไม่ทราบจะอธิบายว่ายังไง อย่างที่สองก็คือ ทุกศาสนาที่ผมรองมองนะ ทั้ง 3 ศาศนาเลน่ะท้ายที่สุด มันจะกลายเป็น 2 นิกายเสมอ โดยยกตัวอย่างอย่าง คริสเตียนโปรเตสแตนต์ มุสลิมก็จะกลายเป็น ซุนนี กับ ชีอะห์ แล้วพุทธเองก็เป็นหินยาน มหายาน ก็เลยไม่ทราบว่า เอ้มันเป็นความบังเอิญ ที่มันมาสอดคล้องต้องกันหรือว่ามันมีเหตุปัจจัยอะไรที่
พระตอบ มันมีเหตุปัจจัยซิครับ ก็มันเป็นความโน้มเอียงจากการแตกนิกาย คนมันก็มีลักษณะอย่างนั้นอยู่แล้วที่ว่ามันจะต้องมีความคิดความเห็นแตกต่างกันใช่ไหม มันก็เป็นไปเองโดยเหตุปัจจัยธรรมดาในเรื่องของพฤติกรรมของมนุษย์และความคิดความเห็นความเชื่อใช่ไหม เมื่อประพฤติความแตกต่างออกไปก็ต้องถามทำไมคุณประพฤติอย่างนี้ แต่เกิดนายคนนั้นมีอิทธิพลและทีนี้ เอ้าไปทำอย่างไงไม่ได้แล้วใช่ไหม มีพฤติกรรมผิดเพี้ยนไปแต่มีอิทธิพลมากคนอื่นทำอะไรไม่ได้ พวกนี้ก็กลับเป็นเจ้าสำนัก ตั้งคณะขึ้นมาเดี๋ยวก็แยกกันใช่ไหม มันก็เป็นเรื่องที่ว่าในหมู่มนุษย์ทั้งหลายก็อย่างเงี้ย ทีนี้ทำยังไงจะให้มนุษย์นี่อยู่ด้วยดี ก็คือการที่ว่าเราต้องมีการทวนกระแสใช่ไหม ก็เลยต้องมีพระพุทธศาสนาก็ใช้หลักการฝึกถือว่ามนุษย์นี้เป็นสัตว์ที่มีความประเสริฐที่ฝึกได้นี่ แต่ขอให้ฉันใช้ความประเสริฐหรือธรรมชาติที่อำนวยอันนี้มาแล้วมันจะทำให้อยู่กันด้วยดีโลกอยู่ดีที่สุด ที่นี้ของฝรั่งก็มีคนที่มีความคิดอยากจะให้สิ่งทั้งหลายดีเหมือนกันแต่มันไม่เอาแล้วมันจะบังคับเลยใช่ไหม แกต้องเอาอย่างงี้ว่าอย่างนั้น นี่อย่างของอิสลามนี่รุ่นแรงใช่ไหม ไม่ใช่เขาไม่อยากดีน่ะ เขาอยากจะให้ดีเหมือนกัน แต่ว่าคำสอนออกไปในทางที่กลายเป็นบังคับไปใช่ไหม คือมันไม่มองในแง่ของฝึกมนุษย์ขึ้นไปให้รู้จักการเรียนรู้และก็พัฒนาคือไม่มองทั่วตลอดถึงธรรมชาติของมนุษย์และความเป็นจริงของสิ่งทั้งหลายเพราะถึงยังไงเนี่ยแต่ละคนมันจะพัฒนาได้จริงมันต้องได้เกิดปัญญาเห็นความจริงนั้น แต่เขาเอาแค่ว่าเช่น เหมือนอย่างผู้ปกครองง่าย ๆ บางทีก็เอาแค่อยู่กับให้สงบเรียบร้อยก็แล้วกัน ไม่ต้องอะไรมัน เพราะฉะนั้นก็ตั้งกติกามาเลย แกจะทำอย่างนี้นะ ถ้าแกทำก็ฆ่า จบพอแล้วใช่ไหม ก็ถือว่าทำอย่างนี้แล้วจะได้อยู่ร่วมกันสงบสุข ยอมสละไอ้คนที่มันไม่ถูกต้องจัดการมันไปเลยไม่ต้องไปรอช้าไม่ต้องคิดมาก นี่บางศาสนาก็บอกไม่ได้ไม่ได้ชีวิตมนุษย์ทุกชีวิตมีค่า เหมือนอย่างฝรั่งมาคริสต์สมัยนี้ใช่ไหม เดี๋ยวนี้ฝรั่งก็พยายามถือเป็นเรื่องสำคัญว่าชีวิตมนุษย์นี่จะต้องเคารพหมดใช่ไหม ก็เลยเกิดมีเรื่องสิทธิมนุษยชนเรื่องอะไรต่าง ๆ ขึ้นมา แต่ฝรั่งที่คิดอย่างนี้เพราะผ่านประวัติแห่งการบีบคั้นอย่างรุนแรงมา มันก็ความคิดเกิดนี่เรื่องนี้ก็เลยแรงขึ้นมาด้วย ทีนี้อย่างคนที่มีสิ่งเหล่านี้อยู่เป็นปกติจะไม่ค่อยคิดเรื่องนี้ใช่ไหม ก็จะเฉย ๆ จนกระทั่งบางทีก็มีความโน้มเอียกก็จัดการเลยอย่าไปคิดมากว่าอย่างงั้น ก็รวมแล้วก็คือว่ามนุษย์เนี่ยโดยพื้นฐานก็เป็นปุถุชนใช่ไหม ปุถุชนมันก็มีโลภะ โทสะ โมหะ หรือมีตัณหา มานะทิฏฐิ ที่นี้ไอ้เจ้าสิ่งเหล่านี้มันก็จะเข้ามาครอบงำชักจูงพฤติกรรมและความคิดไปก่อน นอกจากตัวเองจะมีสติแล้วก็ใช้ปัญญาพยายามดำเนินชีวิตด้วยปัญญาด้วยความรู้ความเข้าใจความจริง แล้วก็พยายามที่จะดำรงอยู่ในเหตุผลและก็พัฒนาคุณธรรมขึ้นมาใช่ไหม เพราะฉะนั้นในแง่นี้ก็เหมือนกับว่าโดยหลักการทั่วไปนี่การที่มนุษย์จะทำอะไรให้ดีขึ้นก็เหมือนกับทวนกระแสก็คือทวนกระแสกิเลสอยู่เป็นธรรมดา เพราะฉะนั้นในสังคมมองกว้างออกไป ก็เป็นประวัติการณ์แห่งการต่อสู้กับกิเลสภายในของมนุษย์เองด้วยนะนอกจากการต่อสู้ภายนอกสู้กับธรรมชาติสู้กับเพื่อนมนุษย์ด้วยกันสู้กับระบบความคิดความเชื่อเป็นต้น หรือแม้แต่ระบบทฤษฎีทางสังคมเลยอะไรพวกนี้น่ะ แล้วก็ยังต้องต่อสู้กันตัวเองก็คือกิเลสของตัวเอง ต่อสู้กับอวิชาความไม่รู้เป็นต้นใช่ไหม และก็ต่อสู้ตลอด แต่ในที่สุดแกนที่จะออกไปต่อสู้ข้างนอกก็ต้องต่อสู้ภายในนี่แหละใช่ไหม ต่อสู้กับกิเลสเริ่มตั้งแต่ความไม่รู้
คนฟังถาม ขอรบกวนพระเดชพระคุณถามคำถามเกี่ยวกับสังคม คือเท่าที่ศึกษาทั้งหลักของศาสนาพุทธและหลักของกิจกรรมของมนุษย์น่ะครับ ผมมีความรู้สึกว่าศาสนาพุทธนี้เป็น เป็นศาสนา ถ้าไล่ลำดับแล้วน่าจะเป็นศาสนาอุดมคติสูงสุดในจำนวนศาสนาที่มีอยู่ เท่าที่ผมเคยศึกษามานะครับ แล้วก็ขณะเดียวกันนี่ตัวมนุษย์เองเนี่ย กลับมีลักษณะที่ใฝ่ต่ำ หรือลักษณะทางด้า เรียกว่าติดลบความเห็นแก่ตัวก็ตาม เอาแต่ความใคร่เข้าว่า ผมเกรงว่าพอท้ายที่สุดนี่ ลักษณะศาสนา พุทธนี่เป็นศาสนาที่สูงมากยากแก่ความเข้าใจแล้วก็มี คือเป็นสิ่งที่ดีมาก ถ้าเข้าถึง ในขณะเดียวกันมนุษย์จะมีกระแสที่จะใฝ่ต่ำ ท้ายที่สุดนี้ที่เรียงลำดับ ผมคิดว่าศาสนาพุทธนี้ ผมไม่ทราบว่าผมจะคิดอะไรเลยเถิดไปหรือเปล่า ศาสนาพุทธจะหายออกไปจากโลกเร็วที่สุด แล้วถัดจากนั้นก็จะเป็นศาสนาที่มีเหตุและผล มาเผยสภาพอุดมคติ เป็นลำดับลงมาเรื่อย ๆ
พระตอบ ก็เป็นธรรมดาของสิ่งที่มันลึกซึ้งปราณีตความจริงนี้น่ะ มันเป็นเรื่องที่ต้องใช้ปัญญาและปัญญาก็ต้องซับซ้อนพอสมควร มันก็กลายเป็นเรื่องยากใช่ไหม ก็จึงบอกว่าทวนกระแส นี้การที่จะรักษาไว้อยู่ก็ต้องมีระบบที่ดีช่วยไว้ ระบบเช่นการระบบการฝึกคน ก็คือการวางระบบสังคมที่จะให้มันเอื้อต่อการที่จะให้มนุษย์นี่ฝึกตนเอง ถ้ามันไม่มีระบบช่วยมันก็แน่นอนมันก็ย่อมเลือนหายไปได้ง่าย ศาสนาที่ใช้ศรัทธาบังคับมีปรับความเชื่อตายตัวมีข้อปฏิบัติตายตัวมันไม่มีอะไรซับซ้อน พอเข้ามาบอกว่า เอ้อแกเชื่ออย่างนี้นะ 1 2 3 4 5 และปฏิบัติอย่างนี้นะ 12345 แค่นี้ก็แกพอใช้ได้ จบมันก็อยู่ใช่ไหม ไม่ต้องอะไร ทีนี้พุทธศาสนามันต้องมาเรียนความจริง เออชีวิตของเราเป็นยังไงความดีความชั่วมันเป็นยังไงเพราะเหตุใดเราจึงต้องประพฤติอย่างนี้ใช่ไหม จริงไหมล่ะที่สอนอย่างนี้ใช่ไหม จริงไหมล่ะสอนอย่างนี้ เอ้อเห็นด้วย ถ้าเห็นด้วยก็เอานะประพฤติตามมันจะได้เป็นประโยชน์อะไรนี่ แหมมันรู้สึกว่ามันต้องใช้หัวสมองอยู่เรื่อยเลยใช่ไหม เพราะฉะนั้นมันก็เลยต้องมีระบบอันหนึ่งที่เป็นแกนไว้ก็คือจิตสำนึกในการฝึกตัวเองแล้ววางระบบสังคมให้เอื้อต่อการฝึกฝนพัฒนา ถ้าไม่มีระบบการฝึกฝนพัฒนาเรียนรู้จบเลย ถูกไหม ศาสนิกต่อมา นี่ยังอาศัยรูปแบบเอาไว้น่ะ มันกลายเป็นรูปแบบอื่นซึ่งอาจจะไม่เอื้อต่อการฝึกด้วยซ้ำเป็นเพียงรูปแบบทางวัฒนธรรมประเพณี ว่ามาวัดวันนั้นมีประเพณีพิธีกรรม วันสำคัญอย่างงั้นอะไรอย่างนี้ใช่ไหม ก็เหลือรูปแบบนี้รักษาไว้ ทีนี้ระบบที่แท้คือระบบการที่จะวางแนวทางในการฝึกฝนมนุษย์ให้เรียนรู้เนี่ยมันเหลือน้อย เมื่อมันเหลือน้อยแล้ว ทีนี้ศาสนิกไม่ได้เรียนเลย ไม่ได้เรียนรู้หลักของพระศาสนา ทีนี้มันไม่มีให้อย่างที่ว่าหลักความเชื่อตายตัวข้อปฏิบัติตายตัวมันแทบไม่มีในพุทธศาสนาสำหรับคฤหัสใช่ไหม ต่อไปก็จะลางจางหมดไม่รู้ศาสนาคืออะไร ก็เหลือแต่รูปแบบที่มาทางประเพณีวัฒนธรรมเท่านั้นใช่ไหม เหลือเป็นการยกช่อฟ้าโบสถ์ หล่อพระประธานใช่ไหม หรือไปถวามสังฆทาน นี่พุทธศาสนา ดีไม่ดีก็เหลือพระเครื่องใช่ไหม รดน้ำมนต์ ที่นี้ชักใกล้ออกไปศาสนาอื่นแล้วใช่ไหม ไม่รู้ศาสนาคืออะไร หรือว่าอยู่ที่ตรงไหน ต่างกับศาสนาอื่นอย่างไร แยกไม่ออก ต่อไป ๆ ก็ถูกกลืนซิใช่ไหม อย่างพุทธกับฮินดู พอศาสนิกชนไม่รู้หลักการพระศาสนา จับหลักไม่ได้แม้แต่พฤติกรรมหรือเรื่องเดียวกันมันก็ความหมายคนละอย่างใช่ไหม เพราะเขาแยกความหมายไม่ออกไอ้รูปแบบมันเหมือนกันอยู่แล้วนี่มันก็ไปเลย รูปแบบก็พาจูงไปสู่ความหมายที่นอกพุทธศาสนา
คนฟังถาม พระคุณอาจารย์ครับ คือในความคิดผม ความคิดเห็นส่วนตัว นี่อย่างนี้เป็นสัจธรรมอย่างหนึ่ง เป็นความจริงอย่างหนึ่ง หรือเปล่า ที่ทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อคือ หมายความว่าถึงจุดสู่ที่สุดก็ต้องตกต่ำที่สุด อย่างเช่นในพุทธศาสนาเช่นเดียวกัน แต่ที่สิ่งสำคัญที่สุดคือผู้ที่ปฏิบัติ ถ้าเกิดผู้ใดปฏิบัติได้ ก็จะเป็นประโยชน์กับบุคคลผู้อื่นใช่หรือเปล่าครับ
พระตอบ คือไอ้นี้เป็นการพูดแบบสรุปจากไอ้สิ่งที่เคยเป็นมา เรามักจะพูดอย่างนี้เหมือนเจริญสูงสุดแล้วก็จะลงอะไรอย่างนี้น่ะ คล้าย ๆ ว่าเป็นหลักอนิจจัง แต่เป็นอนิจจังเทียม ๆ คืออนิจจังก็หมายความ สิ่งทั้งหลายไม่เที่ยงแท้แน่นอนมันก็มีการเปลี่ยนแปลงไปเรื่อย ๆใช่ไหม เปลี่ยนแปลงเราก็เลย อ้อที่ว่ามันเปลี่ยนแปลงมีการเกิดดับ อ๋อถ้าอย่างนั้นถ้าเจริญแล้วก็ต้องเสื่อมได้ใช่ไหม แล้วก็เลยมองไปในแง่นั้น แต่ที่จริงที่ว่าเสื่อมเจริญนี่ มันเป็นไปตามเหตุปัจจัย ทำไม่ที่ว่าเจริญสูงสุดแล้วเสื่อม ก็เพราะอย่างที่ว่า พอมันเจริญแล้วก็มันสุขสบายมนุษย์มีกิเลสใช่ไหมมันก็มีความโน้มเอียงที่จะนอนเสวยสุขตกอยู่ในความประมาท ไอ้ตัวเหตุที่ทำให้เสื่อมคือความประมาท นี้ถ้ามนุษย์เป็นผู้ฝึกตนเองจริง ๆ ใช่ไหม เขาก็จะใช้สติปัญญาคุณธรรมมาทำให้ตัวเองไม่ประมาท เมื่อไม่ประมาทมันก็รักษาความเจริญไว้ได้ก็เจริญต่อไปเพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าจึงตรัส ว่านี่มนุษย์นี่ฝึกฝนพัฒนาได้แล้วก็ถ้ามนุษย์ไม่ประมาทก็ไม่จำเป็นจะต้องเสื่อม พระพุทธเจ้าตรัสไวอย่างนั้นใช่ไหม ทีนี้ว่ามนุษย์ปุถุชนมันมีกิเลสมันก็มีความโน้มเอียงที่ว่าจะประมาทใช่ไหม พอเจริญมากแล้วสบายมันไม่มีอะไรบีบคั้น ไม่มีภัยคุกคาม ก็ประมาทก็ปล่อยปะละเลย เฉื่อยชา มัวเมาใช่ไหม จากความมัวเมาก็ลุ่มหลงแล้วมันก็เสื่อมใช่ไหม เหมือนโรมันพอเจริญรุ่งเรื่องขึ้นมาแล้วทีนี้ทุกอย่างมีพรั่งพร้อม พวกโรมันเป็นไงล่ะเสพสุข กินเหล้าเมายากามถูกไหม ลุ่มหลงแต่สิ่งเหล่านี้ก็อ่อนแอ อ่อนแอมาก็ Barbarian ก็เข้ามาตีแตกใช่ไหม ฉะนั้นมันก็เกิดจากมนุษย์นี่แหละก็เป็นกระแส ที่ความเป็นปุถุชนคือมีกิเลสของตัวเอง แต่ว่าทั่วไปก็คือมีหลักการว่า สำหรับมนุษย์ปุถุชน สำหรับมนุษย์ปุถุชนคือผู้มีกิเลส เมื่อทุกข์บีบคั้นภัยคุกคามก็ลุกขึ้นดิ้นรนขวนขวาย พอสุขสบายก็นอนเสวยสุขใช่ไหม เพราะฉะนั้นไอ้ทุกข์บีบคั้นภัยคุกคาม ทำให้คนเจริญ เจริญก้าวหน้าพอสบายแล้วมีหวังเสื่อม ก็จะนอนเสพสุข ก็จะเกียจคร้านเฉื่อยชา
คนฟังถาม เรียนถามท่านเจ้าคุณอาจารย์ เรียนถามสั้น ๆ ว่า จะมีไหมครับ ที่พระศาสนาพุทธจะกลายเป็นพุทธจักรมั้ง
พระตอบ อ๋อก็เชื่อกันในสมัยพระเจ้าอโศกเป็นใช่ไหม เพราะพระเจ้าอโศกนี่มีประวัติของการที่ต่อสู้มามากแล้ว แต่พอมาเปลี่ยนก็เลิกเลยสงคราหยุดทันทีเลย แล้วใช้ทรัพย์และอำนาจเปลี่ยนเป็นเครื่องมือของการสร้างสรรค์ไปใช่ไหม สร้างสรรค์ สร้างวัดวาอารามเป็นศูนย์กลางการศึกษา และก็สร้างถนนหนทาง สร้างโรงพยาบาล สร้างสวนปลูกป่า ขุดอ่างเก็บน้ำอะไรต่าง ๆ เหล่านี้ทำเป็นการใหญ่ใช่ไหม ทีนี้ในแง่หนึ่งมันก็ดีที่พระเจ้าอโศกเคยมีอำนาจมาก คนมันก็กลัวเหมือนกันใช่ไหม ในแง่ของการเสวยสุขมันก็เลยไม่ค่อยประมาท ก็ใช้สิ่งที่สร้างสรรค์ในทางที่เป็นไปได้
คนฟังถาม ศาสนาคริสต์เข้ามีพุทธจักรแยกออกจาก ก็กลายเป็นเด่นขึ้นมา ศาสนาพุทธไม่มีพุทธจักร ไม่มีชนชั้นวรรณะอะไร จะเป็นไปได้ไหม เป็นไปได้ไหมครับ จะเผยแพร่ไปทั่วโลก
พระตอบ ก็มันอยู่ชาวพุทธเองจะมีความสามัคคีแค่ไหนใช่ไหม ตอนนี้ชาวพุทธแต่ละประเทศเนี่ยมันไปอยู่ในประเทศที่เรียกว่าถ้าเทียบกันในยุคสมัยที่ผ่านมามันอยู่ในประเทศที่เรียกว่าเป็นฝ่ายด้อยใช่ไหม คือขาดแคลนทางวัตถุมากกว่า ขาดกำลังพวกทางด้านอำนาจทางวัตถุ ฉะนั้นก็เลยไอ้ภาวะด้อยนี้ก็ทำให้คนในประเทศของตัวเองเนี่ยหันมองไปที่ข้างนอกถูกไหม อย่างคนไทยเนี่ยคนไทยเองก็จะมองไปหาเมืองฝรั่ง ไม่ได้มองเห็นคุณค่า เมื่อไม่เห็นคุณค่าก็ไม่มีความคิดที่จะมาร่วมมือเอาใจใส่หรือการที่จะเชิดชู เพราะสายตามันมองออกไปข้างนอกหมด
คนฟังถาม ขนาดประเทศไทยยังมีหลายนิกาย หลายอะไรต่ออะไร พม่าก็มี อเมริกาก็มี มีศาสนาพุทธมีศาสนาเดียวไม่มีชนชั้นอะไร
พระตอบ ก็คือจะให้เป็นเหมือนแบบอาณาจักรคงเป็นไปได้ยาก แต่ว่าให้เป็นในแง่ของนามธรรมว่าทำไงจะให้คนเนี้ยได้มีจิตใจที่ดีงามมีปัญญารู้เข้าใจสิ่งต่าง ๆ และอยู่กันด้วยดีนี่ ก็ถือว่าเป็นดินแดนของธรรมะไปเองโดยต้องมีตราใช่ไหม ถ้าเป็นไปได้อย่างนี้ก็ใช้ได้อยู่ ทีนี้ปัญหาก็คือชาวพุทธเองรักษาหลักการได้หรือเปล่า เข้าใจหลักการของศาสนาของตัวเองมั้ยแค่นี้ก็แย่เลยใช่ไหม เดี๋ยวนี้ขนาดนี้ก็ถือว่าปัญหาพื้นฐานเลยว่าทำไมชาวพุทธจะรู้หลักการของพระพุทธศาสนาแล้วประพฤติปฏิบัติให้เข้าแนวทาง แล้วทีนี้เรื่องความเจริญความเสื่อมก็อย่างที่ว่า พระพุทธเจ้าก็ตรัสว่ามันอยู่ที่ความประมาทและไม่ประมาท นี้ถ้าหากว่ามนุษย์พ้นจากภาวะปุถุชนที่ใช้ทุกข์บีบคั้นภัยคุกคามมาเป็นตัวเร่งแล้วก็พอสุขสบายแล้วก็ไม่ไปตกอยู่ในความประมาทเสียก็เรียกว่าไม่ประมาทด้วยสติปัญญา คือหมายความว่ามีสติรู้ทันเหตุการณ์ต่าง ๆ อะไรจะทำให้เกิดความเสื่อมก็แก้ไข โดยไม่รอช้า อะไรจะทำให้เกิดความเจริญก็สร้างสรรค์ใช่ไหม โดยที่ว่าไม่มีไอ้ตัวความขี้เกียจความเฉื่อยชาเกียจคร้านมาเหนี่ยวรั้งดึงไว้ ทำในสิ่งที่ควรทำและใช้ปัญญาจัดการไปเลยใช่ไหม อย่างนี้มันก็ไม่เสือม ท่านก็บอกว่าท่านก็รับประกันว่าถ้าคุณไม่ประมาทคุณก็ไม่เสื่อม ถ้าคุณจะทำได้ไหมล่ะ นี่คุณมันทำไม่ได้นี่ มันสบายเข้ามันประมาททุกทีมันก็เลยต้องตกอยู่ในวงจรแห่งความเสื่อมอย่างที่ท่านโอรัตนว่าใช่ไหม ทีนี้กิเลสตัวนี้สิยาก ก็เลยพูดว่าเนี่ยความไม่ประมาทและสติปัญญาเป็นเครื่องพิสูจน์การพัฒนามนุษย์โดยมองในแง่สังคมว่าสังคมมนุษย์จะอยู่ได้ไหม ดูซิว่ามนุษย์จะมีการพัฒนาโดยทั่ว ๆ ไปถึงขั้นที่อยู่ด้วยความไม่ประมาทด้วยสติปัญญานี้ได้หรือเปล่า เพราะฉะนั้นมันก็ต้องอยู่ในวงจรนี้พอทุกข์บีบคั้นภัยคุกคามก็ลุกขึ้นดิ้นรนขวนขวายพอสบายก็เสพสุข ก็แคว้นวัชชีกับแคว้นมคธก็สู้กันใช่ไหม ในสมัยพุทธกาล วัชชีนี้เข้มแข็ง มคธตีไม่ได้เลย เพราะอะไร เพราะว่าเป็นนักรบไม่ประมาท พระพุทธเจ้าตรัสที่ยกมาไว้ในหนังสือเนี่ย นอกจากอปริหานิยธรรมแล้วนะ แล้วก็เรื่องของความไม่ประมาทฝึกซ้อมศิลปะอยู่ตลอดเวลา ที่พระพุทธเจ้าตรัสเวลานี้พวกเจ้าวิชวีทั้งหลายนี่นอนหนุนหมอนไม้หมั่นฝึกซ้อมศิลปการรบตลอดเวลาเลย เพราะฉะนั้นพระเจ้าอชาตศัตรูไม่มีโอกาสเลยใช่ไหม แต่ต่อไปเจ้าวิชวีทั้งหลายนี้ก็จะนอนจนตะวันโด่งใช่ไหม แล้วก็นอนฟูกนอนอะไรสบายมีความสุขไม่เอาใจใส่ในการฝึกซ้อมศิลปะใช่ไหมก็อ่อนแอพระเจ้าอชาตศัตรูก็ได้ช่อง นี่มันเป็นลักษณะทั่วไปของมนุษย์เลย นี้มันก็เลยต้องอาศัยปัจจัยนั้นปัจจัยนี้มาประกอบถ้าไม่ใช่ปัจจัยภัยคุกคามบีบคั้นก็ต้องมีระบบที่ดีหรือมีผู้นำเข้มแข็ง เช่นมีผู้นำที่เข้มแข็งคนเชื่อหมดใช่ไหมแล้วผู้นำนี่มีหลักการแกก็จะทำให้คนนี้ไม่อยู่ในความประมาทได้เหมือนกัน แต่บางที่การที่เชื่อผู้นำบางทีก็เป็นเพราะมีภัยอีกแล้วใช่ว่ามีภัยภายบีบคั้นจากภายนอกใช่ไหม ทำให้คนยอมรับผู้นำได้ดีขึ้นถูกไหมใช่ไหม ถ้าไม่มีภัยคุกคามบีบคั้นอาจจะไม่เกิดผู้นำนี้ก็ได้ใช่ไหม ฉะนั้นปัจจัยเรื่องของมนุษย์นี่มันซับซ้อนพอสมควร แต่ว่ารวมความก็คือโดยหลักใหญ่อย่างที่ว่าสำหรับมนุษย์ปุถุชนนี้ต้องมีภัยคุกคามทุกข์บีบคั้นก็จะดิ้นรนขวนขวาย ถ้าสุขสบายก็ใช่ไหม นี้ทำอย่างไงให้พ้นวงจรนี้ พระพุทธเจ้าย้ำเรื่องความไม่ประมาท ไม่ประมาท ไม่ประมาทใช่ไหม แล้วมนุษย์จะทำได้ไหมตรงนี้ ถ้าทำได้พระพุทธเจ้ารับรอง บอกว่าถ้าท่านไม่ประมาทรับรองได้ท่านไม่เสื่อม แล้วท่านจะปฏิบัติได้ไหม ทีนี้บางคนปฏิบัติได้แต่สังคมทั่วไปมันไม่ยอมปฏิบัติใช่ไหม ปฏิบัติ 10 คน 5,000 คนมันไม่เอาด้วย มันนอนสบายมันดื่มแต่สุราใช่ไหม พอมันสบาย มันก็มาตั้งวงเหล้ากินกันแหละใช่ไหม
คนฟังถาม แต่คนผู้ปฏิบัติก็ไม่เสื่อม เสื่อมก็เสื่อมเฉพาะสังคม แต่ตัวผู้ปฏิบัติถึงความไม่ประมาทก็ไม่เสื่อมไม่ใช่หรือครับ พระตอบ ไหน
คนฟังถาม ในกรณีที่พระเดชพระคุณ พระตอบ ตัวคนเขาไม่ประมาทในตัวของเขา ในแง่ของบุคคลเราก็ว่าเป็นเฉพาะตัวอีกที
คนฟังถาม ในสังคมโดยรวมก็เสื่อม พระตอบ ก็เพราะว่าโดยคนส่วนใหญ่
คนฟังถาม พระเดชพระคุณอาจารย์ครับ ข้อย้อนกลับมาที่อนิจจัง ไม่ทราบว่าผมต้องการอยากสอบถามความเข้าใจที่ผมเข้าใจไม่ทราบว่าถูกหรือผิด อนิจจังแปลว่ามีการเปลี่ยนแปลงไปเป็นตามธรรมดา เสร็จผมคิดว่าการเปลี่ยนแปลงเป็นตามธรรมดานี่ โดยมากหลัง ๆ ที่พูดว่ามี เจริญสูงสุดแล้วก็เสื่อมมีต่ำสุด ผมเข้าใจแต่ถ้าผมพูดว่า การเปลี่ยนแปลงไปเป็นธรรมดาเนี่ย จริงๆแล้วต้องพูดว่ามีการเกิด แล้วมีการดับเนี่ย อันนี้จะถูกต้องกว่าไหมครับ
พระตอบ อ้อที่ว่า อะไรนะอนิจจังเทียม นั่นเพราะว่ามันไม่ใช่ตัวอนิจจัง อนิจจังมันยังคงที่ตามเดิม อนิจจังมันแน่นอนก็คือว่าในความเจริญ ที่มันเจริญอยู่น่ะ ก็คืออนิจจังนะไม่ได้หมายความว่าเจริญแล้วเสื่อม มาเป็นอนิจจัง เจริญแล้วเจริญต่อไปก็อนิจจัง เพราะว่าสิ่งทั้งหลายมันต้องเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาแหละแล้วยิ่งในตอนสภาพแวดล้อมที่มันจะเจริญอยู่ได้ มันต้องมีการเปลี่ยนแปลงน่ะ มันจึงอยู่ได้ใช่ไหม เพราะว่าเหตุปัจจัยที่ว่าก็จะดึงให้เสื่อมมีอยู่ การที่เจริญอยู่ได้นี่แสดงว่าอนิจจังเต็มที่เลย เจริญต่อไปหรือเจริญยิ่ง ๆ ขึ้นไป หรือเสื่อมแล้วก็เสื่อมต่อไป ก็อนิจจังทั้งนั้นแหละ เสื่อมก็เสื่อม อนิจจังไม่มีพ้นไปหรอกเพราะฉะนั้นโดยหลักธรรมะความเป็นจริงตามธรรมชาติแล้ว อนิจจังตลอดเวลาไม่ว่าเสื่อมหรือเจริญ หมายความว่าเสื่อมแล้วเสื่อมต่อไปก็อนิจจัง เจริญแล้วเจริญต่อไปก็อนิจจัง เสื่อมแล้วเจริญก็อนิจจัง เจิรญแล้วเสื่อมก็อนิจจังทั้งนั้นแหละ
คนฟังถาม คือที่ผมคิดนะ ถ้าเจริญต่อไปเนี่ยนะ มันเป็นไปได้แต่มันยาก ผมคิดว่าสังคมสำหรับอารยะบุคคล ขนาดที่เจริญแล้วเสื่อม มันเป็นไปได้โดยส่วนใหญ่
พระตอบ เอ้าก็แน่ล่ะ ประมาท
คนฟังถาม ของปุถุชน พระตอบ ใช่
คนฟังถาม ในขณะที่จะคิดเปรียบเทียบแล้วนี่ เจริญแล้วก็ต้องเจริญต่อ ต้องเข้าใจเหตุปัจจัย พระตอบ ก็ต้องไม่ประมาทไง
คนฟังถาม เอ้าก็เป็นสังคมขออริยบุคคล
พระตอบ ก็ต้องไม่ประมาท ทีนี้เจริญแล้วเสื่อม ก็มันเป็นธรรมดาของปุถุชน พูดง่าย ๆ เราจะใช้คำว่าธรรมดาให้มันมีตัวจำกัดขอบเขตว่าจะปุถุชนมาเป็นอย่างนั้นเพราะมันสบายแล้วมันก็เจริญแล้วก็มีความโน้มเอียงที่จะประมาท ที่เหตุมันเสื่อมเพราะประมาทว่างั้นเถอะ
คนฟังถาม ถ้าพูดถึงอนิจจัง เฉพาะมีเกิดแล้วมีดับ ไม่ทราบว่าผิดไหมครับ
พระตอบ อนิจจังนั้น ก็คือเกิดดับ การที่สิ่งทั้งหลายเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป แต่ว่าจะมาใช้กับไอ้คำศัพท์ว่าเจริญแล้วเสื่อม เพราะเดี๋ยวมันจะสับสน เพราะว่าไอ้นี่เป็นคำลวง คำลวงสมอง เรียกว่าเจริญแล้วเสื่อม
คนฟังถาม แล้วก็ขอย้อนกลับมาที่ว่า เมื่อความไม่ประมาท พระพุทธเจ้าตรัสว่าเป็นปัจฉิมวาจา คำที่เป็นรอยเท้าช้างอันนี้ผมก็มากลับมาตั้งข้อสงสัยอีกว่า เอ้ในเมื่อความไม่ประมาทคอยคุมตัวอื่น แล้วก็เป็นตัวสติปัญญาที่คอยดูอย่างอื่นด้วย แต่ตัวความไม่ประมาทเองจะมีอะไรที่จะมาคอยช่วยตัวความไม่ประมาท
พระตอบ ความไม่ประมาท ท่านบอกว่าการเป็นอยู่อย่างไม่ขาดสติ สติเป็นตัวนี่ สติเป็นตัวที่ทำให้ไม่ประมาท
คนฟังถาม ระหว่างความมีสติ เพราะความไม่ประมาท ในความรู้สึกของผมเหมือนหนึ่งกับจะเป็นตัวเดียวกัน แต่ถ้ามีสติตลอดเวลายังความไม่ประมาทให้ถึง
พระตอบ ความไม่ประมาทนี้มันเล็งที่สภาพชีวิตการเป็นอยู่ใช่ไหม เช่นออกมาทางพฤติกรรม การดำเนินชีวิตความเป็นอยู่เนี่ย นี่เรียกว่าไม่ประมาท แต่ว่าไอ้ตัวที่ทำให้มีชีวิตอย่างนี้ดำเนินชีวิตอย่างนี้คือตัวอะไร ก็คือตัวสติ ถูกไหม ตัวสตินี้เป็นองค์ธรรมเป็นคุณสมบัติเป็นพื้นรองรับความไม่ประมาทนี้อยู่ พอจะแยกได้ไหมครับ สตินี่เป็นตัวคุณสมบัติประกอบอยู่ในจิตใจใช่ไหม มันคอยรับรู้คอยที่จะทันตื่น คอยที่ระลึกคอยนึกไว้ พอสติก็แปลว่านึกระลึกใช่ไหม คอยนึกคอยระลึกถึงสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นเป็นไปอยู่ ทีนี้พอเราตื่นตัว ระลึกนึกถึงรับรู้สิ่งต่าง ๆ แล้วเอามาพิจารณาสติมันทำงานคู่กับปัญญาใช่ไหม สติมาระลึกมานึกแล้วมาส่งให้ปัญญาไตร่ตรองวินิจฉัยว่าอันนี้จะเป็นเหตุให้เกิดความเสื่อม อันนี้จะเป็นเหตุให้เกิดความเจริญและจัดการ ไอ้การที่ว่ามีการใช้สติแล้วก็ดำเนินการไปตามสตินี้ เรียกว่าความไม่ประมาท ถูกไหม นึกออกไหม หมายถึงการเป็นอยู่การดำเนินชีวิตของบุคคลก็ตาม หรือขยายออกมาสังคมก็ตาม การดำเนินชีวิตที่เป็นไปตามสตินั้นใช่ไหม สติมันเป็นตัว มันเป็นเพียงคุณสมบัติในใจเท่านั้นเอง แต่ว่าความไม่ประมาทนี้เป็นการดำเนินชีวิตเลยหรือการเป็นอยู่เข้าใจใช่ไหม
คนฟังถาม ผมเข้าใจว่าหลงความไม่ประมาท นี้เป็นชื่ออีกชื่อหนึ่งของสติ พระตอบ อ๋อ
คนฟังถาม ในลักษณะหมวดธรรมแต่เราจะเรียกชื่อต่างกันตรงลักษณะปัจจัยของเหตุและผลของมันครับ
พระตอบ มันเป็นอาการของสติพูดอย่างนั้นได้ เมื่อมีสติแล้วก็จะทำให้มีลักษณะการดำเนินชีวิตมีความเป็นอยู่เริ่มตั้งแต่ด้านจิตใจความคิดเป็นต้นที่เป็นอาการของความที่มีสติ ถูกไหม เมื่อมีสติแล้วก็ต้องมีการ เอ้อระลึกเรื่องนี้ขึ้นมาแล้ว ไอ้นึกเรื่องนี้มามันจะเป็นยังไงล่ะ ก็ต้องมีการคิดการว่า เอ้อันนี้เกิดขึ้นแล้วมันจะเกิดความเสื่อมนะไม่ได้จะหาทางแก้ไข อะไรอย่างนี้ใช่ไหม ไอ้พฤติกรรมความเคลื่อนไหวในทางจิตในทางความคิดก็เกิดขึ้น เสร็จแล้วก็ออกมาสู่พฤติกรรมการกระทำ เราเรียกง่าย ๆ ว่าความเป็นอยู่หรือการดำเนินชีวิตใช่ไหม เพราะฉะนั้นท่านจึงให้คำจำกัดความความไม่ประมาทว่า คือการเป็นอยู่อย่างไม่ขาดสติใช่ไหม หรือการพูดง่าย ๆ การอยู่อย่างไม่ขาดสติ แยกได้แล้วนะ
คนฟังถาม สตินี้เป็นคุณธรรมข้อที่กว้างมากเลย อย่างยกตัวอย่าง เป็นก็ต้องใช้สติ
พระตอบ ก็สติเป็นตัวจุดประกาย เป็นตัวเริ่มต้น เป็นตัวเริ่มงาน
หลวงลุงถาม ในคำเขาประมวลไว้หมวดสติ สติเป็นธรรมมีอุปการะ 84000 พระธรรมขันธ์ ถ้าไม่มีสติหมด ใช่ไหมครับ เขาบัญญัติไว้นะ
พระตอบ อย่าไปเรียกว่าบัญญัติ หลวงลุงหมายความว่าท่านแสดงความจริงตามที่มันเป็น
หลวงลุงถาม ไม่มีสติ ไม่ได้หมดเลย
พระตอบ นีก็เป็นอันว่า สตินี่เป็นตัวเริ่มต้นที่ช่วยให้ว่าส่งงานให้ปัญญาพูดง่าย ๆ พอสติมาระลึกนึกถึงอะไรปั้บปัญญาก็มารับช่วงเอาไปพิจารณาใช่ไหม ก็สติมันก็ระลึกว่า เวนี้มีอะไรเกิดขึ้นใช่ไหม แล้วมันรู้ทัน ทันต่อเหตุการณ์ สติทำให้ตื่นตัวทันต่อเหตุการณ์ เพราะอะไรเกิดขึ้นมันจับดูหมดดึงเอามาดูจับเอามาดู ระลึกก็คือจับมาดู แล้วก็พอดูก็คือปัญญามาแล้วใช่ไหม จับเอามาให้แล้วปัญญก็ดูพิจารณา เอ้ไอ้นี้ไม่ได้ล่ะ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี่ ปล่อยไว้ไม่ได้มีหวังทำให้เกิดความเสื่อมต้องรีบจัดการใช่ไหม หรือว่าเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นมาไอ้สติจับมาปั้บปัญญาบอกเลยไอ้นี่ดีนะเนี่ยเป็นโอกาสแล้วถ้าเรารีบทำอย่างนั้นอย่างงี้แล้วจะเกิดความเจริญใช่ไหม พอปัญญาบอกอย่างนี้ก็ดำเนินการเลยใช่ไหม อย่างนี้เรียกว่าไม่ประมาท คือสติมันจะทำให้เป็นตัวที่เราไม่พลาดพลั้งไปสู่ความเสื่อมแล้วก็ทำให้ไม่เสียโอกาสในความเจริญ ไอ้คนนี้มันมีปัญหาเรื่องนี้อ้าวทั้ง ๆ ที่มีเหตุปัจจัยจะให้เกิดความเสื่อม มันก็ขี้เกียจนอนใจผัดเพี้ยนอีกใช่ไหมนี่แหละประมาทก็มาแล้ว แล้วก็ทั้ง ๆ ที่ว่ามีเหตุการณ์มีโอกาสเกิดขึ้นที่จะให้เจริญงอกงามทำอะไรได้ผลดีมันก็ไม่ใช้โอกาสนั้นเพราะมันประมาทเสียอีกใช่ไหม มันก็เฉื่อยชามันก็สบายมันก็ผลัดเพี้ยนไปใช่ไหม ไอ้การผลัดเพี้ยนนี้สำคัญอย่างยิ่งในหมู่มนุษย์ใช่ไหม พอเราไม่มีเหตุบีบคั้น อย่างที่ว่าทุกข์ไม่มีมันมีความโน้มเอียงมันจะผลัดเพี้ยนตลอดเวลา มันก็เลยต้องฝึกกัน ว่าอย่างไงจะฝึกคนให้เป็นคนที่มีนิสัยเลยไม่ประมาทโดยนิสัย เมื่อสติจับเรื่องมาให้ปัญญาบอกแล้วว่าอันนี้ควรจะทำ ถ้าอย่างนี้ได้ก็ไม่ประมาท
คนฟังถาม สติเกิดจากหล่อหลอมกรรม
พระตอบ ก็สติก็มันเป็นคุณสมบัติอยู่ในใจนี่แหล่ะ ที่เราคอยระลึกคอยนึกไว้ไม่ปล่อยผ่านใช่ไหม ถ้าปล่อยผ่านก็แสดงขาดสติ มีอะไรเกิดขึ้นมีความเป็นไปอะไรที่มันจะก่อความเสื่อม มันก็เกิดขึ้นมาปรากฏเราทางสายตาทางหูก็ได้ยินบ้าง แล้วเราก็ปล่อยผ่านไม่เอาใจใส่ แสดงว่าสติไม่เอาเรื่องแล้วใช่ไหม ทีนี้เมื่อเราใช้มันบ่อยสติมันก็เกิดบ่อยใช่ไหม มันก็มีความโน้มเอียงที่จะเกิดขึ้นได้เรื่อย ๆ ถ้าเราไม่เอาใจใส่ก็คือไม่ใช้สติ เมื่อไม่ใช้สติมันก็เลยกลายเป็นความเคยชินก็กลายเป็นนิสัยปล่อยปละละเลย
คนฟังถาม ความหมายก็แปลไปตามความการระลึกรู้
พระตอบ สติระลึก ยังไม่ต้องรู้ สติระลึก นึก ภาษาไทยแบบง่าย ๆ ก็คือ นึก แล้วภาษาไทยจะมีคู่ นึกคิด ถ้าคิดแสดงว่าไปถึงเรื่องปัญญาแล้ว นึกเป็นเรื่องสติ นึกนี้ยังไม่ต้องคิดน่ะใช่ไหม นึกถึงนั่น นึกถึงนี่ นี่สติ
คนฟังถาม ภูมิปัญญาของคนโบราณก็เก่งนะครับ ก็อย่างคำว่าสติปัญญา สติสัมปชัญญะ หรือสติสมาธิ เอาคำว่าสตินำหน้าเสมอ
พระตอบ ก็มาในบาลีเลยสติ ปัญญา สติสัมปชัญญะ มันคู่กัน เพราะว่าเจ้า 2 ตัวนี้ต้องทำงานด้วยกัน โดยเฉพาะสติสัมปชัญญะนี่ บางทีพูดตัวเดียวหมายรู้ทั้งคู่เลย
คนฟังถาม รวมถึงสัมปชัญญะ พระตอบ เอ็ช เอ็ฟ แอช อันเดอร์สตูด
คนฟังถาม หมายถึงในทางธรรมะในทางศาสนา
พระตอบ รู้กันหมายถึงว่า เอาสติสัมปชัญญะด้วย เพราะเจ้าสติมันไม่ได้มีหน้าที่รู้หรอก มันแค่จัดอารมณ์มาให้คือนึกหรือระลึก แต่ว่ามันอาจจะมีคล้าย ๆ รู้ในกรณีที่ว่าเรื่องนั้นมันเป็นผลงานของปัญญาเก่าที่เก็บไว้ในความทรงจำเรียกเอามาใช้ เอ้าก็มีตัวความรู้ คือความรู้เดิมที่เป็นผลงานเดินของปัญญา มันก็ระลึกมาใช้ได้เลย ระลึกสิ่งที่ได้ใช้ปัญญาเสร็จเรียบร้อยไปแล้วใช่ไหม เป็นผลผลิตของปัญญาเก่า ที่นี้ไอ้ผลผลิตปัญญาเก่านี่มันพร้อมที่จะใช้งานเวลาเกิดสถานการณ์แบบเดียวกันก็เรียกใช้ได้เลย เพราะฉะนั้นสติในบางกรณีก็เหมือนกับมีปัญญาอยู่ด้วยเพราะว่ามันเรียกเอาสิ่งที่เป็นผลผลิตเก่าที่สัญญาเก็บเอาไว้ สติก็เลยมีความซับซ้อนในตัวของมันเหมือนกันใช่ไหม เพราะเราระลึก พอเราสัญญากำหนดหมายอะไรปั้บ ไอ้สัญญานี้เรียกเก็บเข้าเป็นความทรงจำไว้ พอเก็บเป็นความทรงจำไว้ไอ้เจ้าสติก็ระลึกขึ้นมาใช้ใช่ไหม จะใช้สำนวนคอมพิวเตอร์ เรียกว่าอะไร เรียกเก็บข้อมูล สัญญาเรียกเก็บข้อมูลใช่ไหม ไอ้สติเรียกใช้ข้อมูล สติมันก็เป็น Retrieval ใช่ไหม เอ้าวันนี้ก็เลยเป็นรายการสนทนาก็ดีแล้วน่ะ ถ้ามีอะไรสงสัยก็มาคุยกันแบบนี้น่ะ แทรกว่าถ้ามีอะไรที่มันเป็นเรื่องที่ใช้ในชีวิตประจำวันใช้ปฏิบัติจริงเราเอามาคุยกัน
คนฟังถาม แล้วก็ยังสงสัยอยู่นะ ย้อนกลับมาเรื่องสังฆะ น่ะครับ ว่าอย่างยกตัวอย่างประเทศใกล้เคียงเช่น ประเทศพม่าที่มีศาสนาพุทธ บางครั้งที่ถูกของศาสนาพุทธในพม่านี่ ขณะมีการรณรงค์เคลื่อนไหว ต่อต้านกับรัฐบาลหรือว่าอะไร ไม่ทราบว่าจริง ๆ แล้ว ถ้าเรามองการที่พุทธศาสนิกชน เหมาะสมหรือไม่เหมาะสม อย่างไรแค่ไหน
พระตอบ ก็ในฝ่ายประเทศเขาเองเขาก็มีปัญหาเหมือนกันน่ะเรื่องความขัดแย้ง แต่มันเป็นความโน้มเอียงของสังคมส่วนใหญ่ มันต้องดูภูมิหลังด้วย คือเดิมเขาก็คงไม่เกี่ยวข้องหรอกการเมืองอะไรนี่น่ะ หรือของเราอาจจะเลยเถิดไปในทางตรงข้ามก็ได้ ของเราอาจจะสุดโตงเกินไปคือว่าพระก็เลยยอมรับการเมืองเอาง่าย ๆ ก็ได้เหมือนกันใช่ไหม ยอมรับอำนาจเอาง่าย ๆ เลย แต่ว่ามันมีอยู่ขอบเขตหนึ่งที่เป็นบทบาทอันเหมาะสมของพระ พระนี้ในแง่หลักการในแง่การสั่งสอน แม้แต่แนะนำผู้บริหารปกครองต้องเอาใช่ไหม พระพุทธเจ้านี่สอนเลยนักปกครอง แต่ที่นี้ว่าในการเข้าไปลงมือในบทบาทนี่มันเกินบทบาทพระ ก็ที่ว่าในพม่านี่มันทำไมเลยไป ก็ต้องดูภูมิหลังเขาด้วย เดิมเขาก็อาจจะคล้าย ๆ ไทยพอสมควร อาจจะไม่เหมือนทีเดียว แต่ว่าเมื่ออังกฤษเข้ามาปกครองเป็นเมืองขึ้นแล้วก็กดขี่ ทีนี้พระนี่เป็นสถาบันที่มีพลังถึงยังไงอังกฤษก็ไม่ค่อยกล้าเหมือนกันเพราะว่าถ้าไปกระทบกระทั่งแล้วมันมีผลถึงแกจะปกครองจะกดขี่แกก็ต้องอาศัยการที่ว่าไม่เกิดโทสะของประชาชนมากเกินไปใช่ไหม ถ้าไปทำให้ประชาชนเกิดความรุนแรงขึ้นมามันอาจจะเอาไม่อยู่ ฉะนั้นเขาก็ต้องคอยระวังแล้วก็ไม่เข้ามายุ่มย่ามในสถาบันพระ อาจจะต้องเข้ามาช่วยเกื้อหนุนบ้างตามสมควร หรืออาจจะใช้วิธีบีบบังคับว่าโดยอ้อม ทีนี้พอพม่าจะกู้เอกราช ชาวบ้านมันทำได้ยาก เพราะวว่าถ้าใครทำอะไรขึ้นมา ฮือขึ้นมา มันโดนตัดเอาง่าย ๆ ถ้าพระทำอะไรขึ้นมานี่อังกฤษต้องระวังท่าทีใช่ไหม ทีนี้ชาวพม่ามันไม่มีช่องทางอื่น ชาวบ้านก็คล้าย ๆ ว่ามาอาศัยพึ่งพระแล้วให้ช่วย พระเองก็เห็นชาวบ้านไม่มีโอกาสก็ขยับตัวบ้างใช่ไหม พอนาน ๆ เข้าชักเคยตัวแล้วมันชักจะออกนอกขอบเขตแล้วกลายเป็นผู้นำชาวบ้านไปเลย เพราะสถานการณ์นี้เองสถานการณ์ของการดิ้นรนต่อสู้เพื่อเอกราชทำให้พระพม่าและพระลังกานี่เข้าสู่วงการเมือง จนกระทั่งพอได้เอกราชมาแล้ว คนพม่าคนลังกาเองกับเดือดร้อนที่ว่าพระไปเลยเส้นใช่ไหม แต่ไอ้ตอนที่กำลังสู้เพื่อเอกราช ชาวบ้านก็ชอบว่า หนุนพระเลย เอาเลยท่าน เพราะว่าตัวเองทำไม่ได้ พระก็เลยกลายเป็นผู้นำ ทีนี้พอนำในการต่อสู้เพื่อเอกราชเสร็จแล้วทีนี้พระไม่ถอยแล้วทีนี้ ก็เลยยุ่งมากจนกระทั่งบัดนี้
คนฟังถาม พระเดชพระคุณครับ ถ้าประวัติศาสตร์ของสองประเทศนี้เคยโดนคุกคามจากนิคมของอังกฤษ แต่ปรากฏว่า 2 ประเทศนี้ ก็ยังรักษาศาสนาพุทธไว้ได้ พอจะเป็นเครื่องยืนยันได้ไหมว่า ศาสนาพุทธในสองประเทศนี้ ต้องอยู่ในขั้นที่เข้มแข็ง
พระตอบ ก็มีความเข้มแข็มพอสมควร ก็เป็นนิสัยปุถุชนอันหนึ่งเหมือนกันนะว่า เมื่อมันถูกภัยภายนอกมาเนี่ย มันจะมีความปกป้องตัวเองสูงใช่ไหม ทีนี้พอคนพม่าคนมันลังกานี่ถูกกดขี่ มันจะเกิดความยึดมั่นปกป้องตัวเองอะไรที่เป็นของฝรั่งปฏิเสธ อะไรที่เป็นของชาติมันจะยึดมั่น ฉะนั้นเราจะเห็นได้ชัดเจนคนพม่าคนลังกาจะยึดถือในวัฒนธรรมประเพณีรุนแรง ขนาดเสื้อผ้ายังไม่ยอมใช้แบบฝรั่งเลยใช่ไหม เนี่ยไอ้ความยึดมั่นมันแรง มันเกิดแรงต้าน มันพร้อมกับปกป้องตัวเองยืดของตัวเองก็แรงต้านฝรั่งเกิดขึ้น อะไรเป็นของฝรั่งไม่เอา ฉะนั้นอย่างในเมืองลังกานี่ คริสต์ก็เข้าอนานิคมใช่ไหม อาศัยอำนาจการปกครองพยายามนักหนาแต่ก็ไม่สำเร็จใช่ไหม มันไม่ได้ใช้ถึงมุสลิมมันฆ่าเลยใช่ไหม มุสลิมในอินเดียให้เลือกเอา นักประวัติศาสตร์ นักประวัติศาสตร์มุสลิมเองเขียนไว้ อวดด้วยนะ ด้วยความภูมิใจตอนที่ทำสงครามเมื่อพ.ศ 2300 ทีเข้าไปเผาล้างฆ่า เขาบอกเขาว่า เราได้รบพระ เพื่อทำการนี้เพื่อพระอัลเลาะห์เจ้า เราได้ไปทำการสำเร็จเราจับเขาได้ เราให้เขาเลือกอัลเลาะห์ กับ ดาบ เลือกอัลเลาะห์ก็อยู่ ไม่เลือกอัลเลาะห์ก็ดาบลง ทีนี้มันหมด มันหมดชีวิตไปเลย ทีนี้ของฝรั่ง มันไม่ได้ใช้ถึงขนาดนั้นใช่ไหม อันนี้ก็ไอ้แรงความบีบคั้นยิ่งทำให้คนปกป้องตัวสูงยึดมั่นในตัวเอง แล้วปฏิเสธต่อต้าน นั้นในเมืองฝรั่งจะไม่มีค่านิยม โรงเรียนฝรั่งสูงเหมือนเมืองไทยถูกไหม ลังกาไม่เอาหรอกโรงเรียนฝรั่ง ไม่มีค่านิยมที่จะต้องไปเรียนโรงเรียนฝรั่งแล้วมีค่าสูงเหมือนอย่างเมืองไทย เมืองไทยนี้ โอ้โฮได้ไปเรียนโรงเรียนฝรั่ง แล้วก็ แหมโก้ถูกไหม นี่คนไทยไม่มีแรงบีบคั้นกลับไปรับเขาเห็นเขาดีกว่าใช่ไหม นี่มันเป็นอย่างนี้โลกมนุษย์ปุถุชน นี่ก็เลยพม่าลังกาก็ไปยึดมั่นจนกระทั่งบางทีก็เลยเถิดกลายเป็นขัดขวางความเจริญของตัวเอง เพราะอะไรที่เป็นของฝรั่งแล้วต้านหมด แล้วจะต้องยึดมั่นยึดอะไรเป็นของตัวก็ยึดเอาใช่ไหม ทั้ง ๆ ที่ว่าสิ่งที่ยึดมันอาจจะไม่ถูกแล้วก็ได้ควรจะปรับปรุงเปลี่ยนแปลงก็ไม่เปลี่ยนแปลง
คนฟังถาม มันก็สุดโต่งไป พระตอบ ใช่ สุดโต่งไป
คนฟังถาม ไทยก็สุดโต่ง
พระตอบ ใช่ไทยสุดโต่งไป ใช่ ใครก็สุดโต่งไม่เอาอะไรของตัวเลย อะไรเป็นของไทยดูถูกหมดใช่ไหม ต้องของฝรั่ง นี่มันไม่เป็นไปด้วยสติปัญญาถูกไหม ถ้ามันอยู่ด้วยสติปัญญามันจะเกิดความพอดี อันนี้มันเป็นไปตามความรู้สึก อันนี้เป็นเรื่องปุถุชน เข้าถึงคำสอนพระพุทธเจ้า ยากนัก
คนฟังถาม พระเดชพระคุณครับคำถามสุดท้ายครับ เพราะถ้าพูดอย่างนั้น ถ้าพูดโดยตรง การที่พระจะต้องเป็นผู้นำชุมชนในบางสถานะการณ์ ยกตัวอย่าง อย่างไปร่วมเรียกร้องสิทธิหรือความชอบธรรมบางอย่างเนี่ย ถ้ามองโดยสายตาของพุทธศาสนิกชนต้องมองเห็นปัจจัยให้ครบใช่ไหมครับ อาจารย์จะไปวิเคราะห์จะไปตัดสินว่า พระนี่จะไปทำอย่างนั้นผิดวินัย ผิดอภิสมาจารย์ เป็นการด่วนลงความคิดเห็นไปใช่ไหมครับ
พระตอบ ก็มันต้องไปหลายชั้น มองในแง่รูปธรรมก่อน ก็ระดับวินัย ว่ามันผิดวินัยไหม ถ้าผิดวินัยก็ต้องยอมรับว่าผิด อันนี้ขั้นที่ 1น่ะ ถือเป็นเกณฑ์ตัดสิน 2 ว่าในการที่ผิดของท่านนั้นเรามองในทางปัญญาอาจจะเห็นใจ แต่เห็นใจแต่ก็ต้องเรียกร้องหรือรั้งทานให้อยู่ในกรอบ คือมันจะมีเกณฑ์เป็นขั้น ๆ ขั้นของกติกาสังคม หรือกติกาของที่พระศาสนาวางไว้เป็นวินัยก็ต้องรักษา เสร็จแล้วเราเห็นใจในการที่ท่านไปทำนอกเกินขอบเขตอันนี้ เพราะเราเข้าใจเหตุปัจจัยแต่ว่าด้วยความเห็นใจนั้นจะทำให้เราปฏิบัติต่อท่านได้ถูกต้องดียิ่งขึ้นพอเหมาะพอสม
เอ้าที่นี้ก่อนจะจบ ก่อนจะหยุดกันนี้ก็เกือบจะลืมไปอันหนึ่ง ก็คือว่า ในเมื่อหมู่มนุษย์เนี่ยมันมีความโน้มเอียงที่เป็นไปตามกระแสกิเลส วิสัยปุถุชน เช่นว่า ทุกข์บีบคันภัยคุกคามลุกขึ้นดิ้นรนขวนขวายพอสบายก็จะนอนเสพสุขอะไรนี่ พระพุทธเจ้าจึงเน้นเรื่องหนึ่ง ก็คือว่าเพื่อจะให้ธรรมะนี้ เช่นหลักของสติปัญญามันได้ผลนี่ จึงต้องวางระบบสังคม ทำไงเราจะวางระบบสังคมที่ได้ผลดีที่สุดที่จะช่วยให้คนนี่อยู่ในแนวทางที่จะเจริญได้ต่อไปเรื่อย ๆ ที่ทำให้เขามีชีวิตที่ไม่ให้ตกไปในหลุมประมาทใช่ไหม คือทำไงให้วางระบบชีวิตที่เป็นระบบชีวิตข้อความไม่ประมาทอันนี้แหละเป็นเรื่องของวินัย เพื่อจะให้ธรรมได้ผล พระพุทธเจ้าจึงต้องสร้างระบบสังคมขึ้นมาเรียกว่าวินัย เป็นการจัดตั้งในสังคมมนุษย์เพื่อให้ธรรมะมาเกิดผลเป็นประโยชน์ดีที่สุดในสังคมมนุษ์ ฉะนั้นจึงมีคู่กันว่าธรรมกับวินัย ซึ่งจะบอกไว้แล้วว่า จะพูดอีกตอนหนึ่ง แต่ว่าก็เลยเอามาพูดเรื่อย ๆ อันนั้นจึงต้องคู่กัน พุทธศาสนาให้ความสำคัญเรื่องของระบบสังคมการจัดตั้งมาก ทีนี้ว่าชาวพุทธกลับเป็นคนที่ไม่มีความสามารถในการจัดตั้งให้เป็นจุดอ่อนน่ะ นี้ใครจัดตั้งเก่งคนนั้นก็จะประสบความสำเร็จได้ดีแม้แต่ไม่ถูกต้องตามธรรมใช่ไหม ทีนี้เราต้องการให้ระบบการจัดตั้งเนี่ยมันไปสอดรับกับตัวธรรมะนี่ที่เราต้องการ ว่าทำไงจะให้ธรรมะมาบอกผลในหมู่มนุษย์ด้วยการวางระบบการจัดตั้งที่มีประสิทธิภาพได้ผลที่สุด แล้วระบบการจัดตั้งนั้นก็เป็นไปเพื่อให้บรรลุจุดหมายของธรรมะด้วย ก็เลยอาศัยธรรมะเป็นฐานของวินัยและวินัยนั้นก็เพื่อเข้าถึงจุดหมายของธรรมะอีก หมายความว่าธรรมะนั้นเป็นทั้งฐานและเป็นทั้งจุดหมายของวินัยจริง ธรรมะคือตัวหลักความจริงตามธรรมชาติมีอยู่ตามธรรมดาของมัน ส่วนวินัยก็คือระบบการจัดตั้งในสังคมมนุษย์ใช่ไหม เพื่อให้มนุษย์ได้ประโยชน์จากธรรมะอย่างที่ว่า อันนี้ว่านี่แหละทำไงเราจะมีระบบการจัดตั้ง เช่นระบบสังคมที่ดี ระบบสังคมที่ดีเป็นระบบการจัดตั้งนี่ ในสมัยปัจจุบันก็มาแยกออกเป็นระบบเศรษฐกิจ ระบบการเมืองการปกครอง ระบบสังคมในด้านต่าง ๆ เยอะไปหมด ก็เลยเป็นปัญหาอีกว่ามนุษย์เนี่ย จัดตั้งวางระบบได้ผลดีไหม แล้วได้ผลดีที่เกิดจากความเข้าใจตัวธรรมะหรือเปล่าใช่ไหม แล้วจัดทำเพื่อธรรมะหรือเปล่า นี่ก็เป็นปัญหาใหญ่อีกแหละ อันนี้ถ้าเขาไม่เข้าถึงความจริงแท้ไม่รู้ความจริงของกฎธรรมชาติ ความเป็นไปตามเหตุปัจจัยไอ้ความรู้ความจริงไม่พอมาตั้งระบบในสังคมมันก็บกพร่อง มันก็ไม่ได้ผลอย่างแท้จริง แล้วแถมวางบางทีไม่ได้วางเพื่อจุดมุ่งหมายของความจริงและความถูกต้องธรรมะนั้นไปวางเพื่อผลประโยชน์เพื่ออะไรต่ออะไร มันก็เลยไปกันใหญ่น่ะ เป็นอีกเรื่องนึงแล้ว แต่ว่าย้ำเสียก่อนว่าเพื่อจะให้ธรรมะเป็นไปได้เช่นเรื่องการที่สังคมจะอยู่ในความไม่ประมาทได้ เราจึงต้องหาทางทำให้สำเร็จผลด้วยระบบการจัดตั้งซึ่งเรียกว่าวินัย ทีนี้ตอนนี้สังคมฝรั่งกับเป็นสังคมที่มีความชำนิความชำนาญมีประสบการณ์ในการจัดตั้งมากกว่า สังคมของเราเรื่อย ๆ เปื่อย ๆ ไป ไม่ค่อยใส่ใจในเรื่องระบบการจัดตั้ง แต่ประสบการณ์ของการต่อสู้ของเขาสูง เพื่อการต่อสู้มากก็ทำให้คนนี่พยายามคิดหาทางวางระบบการจัดตั้งให้ได้ผลเหมือนกันน่่ะครับ ก็เรื่องของมนุษย์ก็เลยมาด้านหนึ่งก็คือ เครื่องวิถีของกิเลสที่มนุษย์จะต้องต่อสู้ด้วยอำนาจ โลภะ โทสะ โมหะ อีกด้านหนึ่งก็คือการที่วิถีของการเข้าถึงความจริงด้วยสติปัญญาแท้ ๆ 2 อันนี้มันก็สู้กันอยู่ในตัวตลอดเวลา ในหมู่มนุษย์เองน่ะ