แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ไฟล์ถอดเสียงนี้ยังไม่ได้ผ่านพิสูจน์อักษร นำขึ้นมาเพื่อช่วยในการศึกษาค้นคว้าของผู้สนใจ
คุยกันต่อวันนี้จะพูดเรื่องธรรมะง่ายๆ ที่ได้ยินได้ฟังกันบ่อยมาก คิดว่าทุกท่านคงรู้จักและก็อาจจะได้อ่านพบ แม้แต่ที่เป็นหนังสือที่ผมอธิบายนี้ก็คือเรื่องอิทธิบาท 4 ที่เอามาพูดในวันนี้ก็เพราะว่าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องที่เราพูดไปแล้วคือเรื่องตัณหาและก็ฉันทะ ก็เลยยกเอามาตอบมาด้วยถือว่าเป็นเรื่องสืบเนื่อง ทีนี้อิทธิบาท 4 นี่อย่างที่บอกเมื่อกี้ว่าเข้าใจว่าทุกท่านเคยได้ยินหรือได้รู้จัก ถ้าหากว่าเห็นเป็นเรื่องง่ายก็ถือเป็นการทบทวน ก็มาไล่กันตั้งแต่ความหมายของคำว่าอิทธิบาท 4 และก็มาดูหัวข้อทั้งสี่ อิทธิบาทนี่ทุกท่านคงแปลได้ แปลว่าอะไร ธรรมะที่ทำให้ประสบความสำเร็จหรือว่าธรรมะที่ให้ถึงความสำเร็จ ก็มาจากคำว่า”อิทธิ”+”บาท” บาทหรือบาลีว่าปาทะ บาทหรือบาทะก็แปลว่าเท้านี่แหละ เท้ามันเป็นยังไง เท้าก็พาเราให้ไปถึงที่หมายสิใช่มั๊ย และนั่นก็คำว่าเท้านี่แปลว่าให้ถึง ก็นั่นศัพท์บาลีตัวนี้ที่เราแปลว่าเท้า เท้านี่แหละมีความหมายในตัวเอง อวัยวะที่ทำให้เราไปถึงที่หมาย และนี้ในที่นี้มีคำว่า ”อิทธิ” นำหน้าก็แปลว่าให้ถึงความสำเร็จก็คือให้บรรลุความสำเร็จหรือว่าทางแห่งความสำเร็จ และว่าเครื่องให้ถึงความสำเร็จ คล้ายกับว่าเครื่องให้ถึงนี่ ถ้ามองในแง่ของสิ่งที่เราอาศัยเพื่อจะไปให้ถึงความสำเร็จนั่นก็คือทาง เพราะฉะนั้นก็เลยแปลอีกอย่างว่าทางแห่งความสำเร็จ แต่ว่าคำว่าทางแห่งความสำเร็จได้แก่คำว่า”อิทธิ” ซึ่งคำว่า”อิทธิ”นั้นเรามักจะแปลกันว่าฤทธิ์ เพราะคำว่า”อิทธิ”คือคำภาษาบาลีตรงกับสันสกฤตว่าฤทธิ์ แต่เวลาใช้เป็นภาษาไทยแล้วคำว่า “ฤทธิ์” นี่ก็จะนึกไปถึงเรื่องเหาะเหินเดินอากาศทันที ทีนี้ในภาษาบาลีนั้นหรือภาษาสันสกฤตเอง “ฤทธิ์” นี่ก็คือความสำเร็จ ทีนี้ความสำเร็จที่ถือว่าเก่งจริงๆก็คือที่เหาะเหินเดินอากาศได้นี่ถือว่าความสำเร็จที่สูงมากก็เลยเอาไปใช้ในแง่ของการที่มีความสามารถทำอะไรเป็นอัศจรรย์ แต่เอาความกว้างๆว่าความสำเร็จ เพราะฉะนั้นอิทธิบาทก็แปลว่าทางแห่งความสำเร็จหรือทำเครื่องให้ถึงความสำเร็จ จะแปลเป็นฤทธิ์ด้วยก็รวมอยู่ในนี้เสร็จ ทีนี้ความสำเร็จนี้ก็อาจจะหมายไปถึงการสำเร็จบรรลุธรรมะก็ได้ บรรลุคุณธรรมเบื้องสูง
อันนี้ก็มี 4 ข้ออะไรบ้าง ไหนเธอลองว่าว่ามี 1 ฉันทะ 2 วิริยะ 3 จิตตะ 4 วิมังสา ก็ง่ายแต่ว่าคำไทยพวกนี้นี่ก็เพี้ยนนิดหน่อย ฉันทะก็ถือว่าถูกต้อง วิริยะๆนี่บาลีปกติจะใช้คำว่าวีริยะ วิริยะนี่มาใช้เป็นไทยและในพระไตรปิฎกก็ยังมีใช้เพี้ยนๆกันบ้าง เป็นวิริยะก็มีแต่โดยปกติจะเป็นวีริยะ และก็จิตตะก็ตรง และก็วิมังสาก็บาลีก็เป็นวีมังสา ไม่ใช่ ”วิ” ไทยก็มาพูดให้เหมาะกับลิ้นไทยก็เลยเป็นวิมังสา ก็มี 4 ข้อ นี่เราก็มาดูแต่ละข้อไป ทีนี้หนึ่งก็ฉันทะ ก็แปลกันมาแล้วก็พูดกันมามากเหลือเกินคำนี้ แปลว่าความใฝ่ดีใช่มั๊ย ใฝ่ดีหรืออยากให้มันดี เราแปลกันง่ายๆว่าความรักความชอบพอใจเช่นว่า งานนั้นเราชอบใจรักงานนั้นแต่ที่จริงของพระนั้นท่านมุ่งให้เป็นความอยากที่เกี่ยวกับการกระทำ ทีนี้อยากดีอยากให้มันดีก็ต้องอยากทำให้มันดี เราอยากจะเห็นที่นั่นสะอาด เราก็อยากทำให้มันสะอาดแล้วก็กวาดมัน เราเห็นต้นไม้เหี่ยวแห้ง เราอยากให้ต้นไม้นั้นงาม นี่เรียกว่าอยากให้มันดี เราก็ไปรดน้ำมันไปทำให้มันดี หมอเห็นคนไข้ไม่สบายเจ็บป่วย ร่างกายอ่อนแอ ก็อยากให้คนไข้นี้ร่างกายแข็งแรงสุขภาพดีก็อยากจะไปแก้ไขบำบัดโรค อยากจะไปทำให้คนไข้สุขภาพดี ครูเห็นนักเรียนเห็นเด็กๆก็ยังไม่มีความรู้ อยากให้เด็กเจริญเติบโตเป็นคนดีมีกิริยามารยาทมีความประพฤติดีมีสติปัญญา อยากให้เด็กดี อยากให้เด็กสมบูรณ์ให้เก่งนี่เรียกว่าอยากให้ดี ก็เลยอยากจะทำให้ดีก็คือ อยากจะสอนอยากจะแนะนำต่างๆน่ะ ความอยากทำให้มันดีก็เลยเป็นฉันทะ เพราะฉะนั้นในภาษาพระก็จะแปลว่าฉันทะคือความปรารถนาจะทำ ตัวบาลีจะแปลว่าตุกรรมยตา นั่นฉันทะจะเรียกเต็มว่าตุกรรมยตาฉันทะ ฉันทะคือความปรารถนาที่จะทำ หมายถึงทำให้มันดี ถ้าแปลเป็นภาษาไทยปัจจุบันก็คือฝ่ายสร้างสรรค์นั่นเอง ทั้งนี้ถ้ามีตัวนี้อยู่แล้วก็มันก็เกิดกำลังขึ้นมาจะทำอะไรต่างๆอันนี้ก็ข้อที่ 1 ฉันทะข้อที่สองก็วิริยะ บาลีว่าวีริยะ วิริยะก็มาจาก “วีระ”+”ริยะ” ตามหลักภาษาบาลีวิริยะก็แปลว่า ความเป็นวีระๆคืออะไรก็แปลว่าแกล้วกล้า ใจสู้ เพราะฉะนั้นวิริยะหรือวีริยะนี่ความเป็นผู้แกล้วกล้าใจสู้ เราแปลคำว่าความเพียร เพียรนั้นไม่ได้แปลหรอก เพียรก็ตัวเดิมนั่นแหละ แปลง “อี” เป็น “เอีย” แปลง “วอ” เป็นพอ วีระมันก็แปลว่าเพียร เพราะฉะนั้นเพียรนี้ที่จริงแปลว่ากล้านั่นเอง มาจากภาษาบาลีแท้เลยแผลงไปหน่อย ทีนี้เพียรหรือวีระก็แปลว่าแกล้วกล้าใจสู้ ก็หมายความว่าไม่ท้อไม่ถอยไม่อ่อนแอ คนเรานี้จะมีปัญหาอย่างหนึ่งก็คือว่าเวลาเจออะไรต้องทำแล้ว มันไม่อยากจะทำก็เรียกว่าใจไม่สู้ หรือแม้จะทำไปแล้วก็ท้อถอยก็คือขาดวิริยะเนี่ย ทีนี้ถ้ามีวีริยะหรือวิริยะ ความเพียรคือใจกล้าแกล้วกล้าใจสู้ เจอสิ่งที่ยากก็เหมือนกับท้าทาย บางคนนี่ถ้าเจออะไรที่ยากหรือจะต้องทำแล้วจะรู้สึกเป็นเรื่องท้าทาย ใจสู้ขึ้นมาทันทีเลยเกิดกำลัง เพราะฉะนั้นวิริยะนี่เป็นตัวกำลัง เพราะว่าใจแกล้วกล้าใจสู้ก็เกิดกำลังขึ้นมา ถ้าหากว่าท้อถอยซะก็อ่อนแอหมดกำลัง เพราะฉะนั้นคนเรานี้อยู่ที่เนี่ยใจสู้หรือไม่ต้องวิริยะก็แปลว่าความเป็นผู้ใจสู้แก้วกล้า อยากจะเอาชนะทำให้สำเร็จ ชนะงานนะไม่ใช่ชนะคน ชนะงานทำให้สำเร็จ เห็นงานเป็นสิ่งท้าทาย เห็นอะไรที่จะต้องทำให้นี่มันท้าทายความสามารถ ต่อไปก็จิตตะๆนี่ก็ความมีใจจ่อจิตตะก็ตัวจิตนี่แหละ จิตก็ไปอยู่กับสิ่งนั้น จิตไปอยู่กับสิ่งนั้นก็ใจจดจ่อ ใจจดจ่อเหมือนคนที่ว่าเห็นความสำคัญของสิ่งนั้น จนกระทั่งใจนี่ไม่ไปคิดถึงเรื่องอื่นเลย ยกตัวอย่างบ่อยๆก็เหมือนอย่างคนกู้ระเบิด คนที่จะกู้ระเบิดนี่จะเห็นความสำคัญของเรื่องของระเบิดเนี่ย จนกระทั่งตั้งใจไม่ไปเรื่องอื่นเลย ใจอยู่กับเรื่องของการที่จะแก้ไขเรื่องลูกระเบิดนี้ไม่ให้ระเบิดเลยเนี่ย เห็นความสำคัญอย่างยิ่ง มีใจจดจ่อแบบนี้เรียกว่าจิตตะ ต่อไปก็คำสุดท้ายวีมังสาหรือไทยว่าวิมังสาแปลว่าการทดลอง ทดลองทดสอบ เจออะไรก็อยากจะทดสอบดูว่ามันเป็นยังไงอยากจะรู้ความจริงของมัน ว่าทำอย่างนี้จะเกิดผลยังไง ทำยังงั้นจะเกิดผลยังไง แบบนี้เป็นนักทดลอง นักทดลองนี่ก็ทำให้ทำเหมือนกันใช่ไหม นี้เป็นเรื่องของเกี่ยวกับปัญญา มันโยงไปหาปัญญาเลย ว่าจะต้องใช้ความคิด เพราะว่าการทดลองนี่ก็เกี่ยวกับการที่คิดถึงว่าทำยังไงจะเกิดผลยังไง ถ้าไม่ทำอย่างนี้จะทำยังไงดี ถ้าต้องการผลอย่างนี้จะทำได้แบบไหนบ้างหรือเวลาทำอันนี้ทำเหตุนี้ ผลอะไรจะเกิดขึ้นมาบ้าง แล้วก็ทดสอบทดลองไป 4 ข้อ 4 ข้อนี่เป็นเรื่องที่จะทำให้เกิดผลสำเร็จได้อย่างไร จุดสำคัญก็คือว่ามันทำให้เกิดสมาธิใจมันแน่วแน่ เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าจะตรัสถึงสมาธิ 4 ประเภท เวลาตรัสถึงอิทธิบาทนี่ในหมวดธรรมนี่ จะจัดเรื่องอิทธิบาทไปควบคู่กับเรื่องสมาธิ แล้วก็เรียกชื่อสมาธิตามหลักอิทธิบาท 4 เรียกว่าฉันจะสมาธิแปลว่าสมาธิที่เกิดจากฉันทะ วิริยะสมาธิ สมาธิที่เกิดจากวิริยะหรือความเพียร จิตตะสมาธิ สมาธิที่เกิดจากจิตตะ วิมังสาสมาธิ สมาธิที่เกิดจากวิมังสา การที่จะสำเร็จจุดสำคัญก็คือเกิดสมาธิใจแน่วแน่ตั้งมั่นเกิดกำลัง แล้วมันไม่พร่า ไม่กระจัดกระจายมันรวม เพราะฉะนั้นก็เป็นตัวสำคัญในการทำให้สำเร็จเท่ากับว่าอิทธิบาท 4 นี่สร้างความสำเร็จโดยผ่านสมาธิ ก็เลยกลายเป็นว่าเรื่องอิทธิบาทนี่สัมพันธ์กับเรื่องสมาธิ ทีนี้ทั้ง 4 ข้อนี่ ถ้ามีความสัมพันธ์กันส่งผลต่อการสืบเนื่องและทั้งในแง่ที่ว่า แต่ละอย่างก็สามารถส่งผลของมันเองได้ คนเรานี่ชอบอะไร สิ่งที่จะทำแล้วเราชอบ ใจก็เข้ามาเกิดความสนใจอยู่กับสิ่งนั้นได้ ถ้าไปทำสิ่งที่ไม่ชอบใจ ใจมันก็ดิ้นมันก็หนี มันจะออกไปเรื่องอื่นๆเรื่อย สมาธิก็เกิดยาก เพราะฉะนั้นคนที่ทำสิ่งที่ตัวรักตัวชอบนี่ก็เกิดสมาธิง่าย เพราะฉะนั้นฉันทะจึงเป็นตัวปัจจัยหรือเป็นตัวธรรมะที่ช่วยให้เกิดสมาธิ เพราะฉะนั้นตัวแรกตัวสามัญเลยก็คือชอบอยากจะทำมันต้องการให้บรรลุจุดหมายของสิ่งนั้น อันนี้จะทำให้เกิดสมาธิได้ เพราะฉะนั้นวิธีทำให้เกิดสมาธิโดยวิธีธรรมชาติก็อาศัยอิทธิบาท 4 เนี่ย อันแรกอันง่ายที่สุดก็คือให้เขาทำสิ่งที่เขาอยากจะทำ แต่ว่าให้เป็นสิ่งที่ดี ให้เขาต้องการจุดมุ่งหมายของมันเห็นคุณค่าและประโยชน์ของสิ่งที่ทำนั้น คือถ้าเพียงจะชอบเนี่ยมันก็ยังไม่ค่อยชัดเท่าไหร่ แต่ถ้าเขาพอใจอยากจะได้บรรลุจุดหมายของมัน เห็นว่าโอ้ สิ่งนี้ดีเราต้องการให้เกิดผลสำเร็จอย่างที่ว่า หมอเห็นคนไข้และอยากให้คนไข้มีสุขภาพดีนี่คือหมอมีจุดหมาย เพราะอยากให้คนไข้มีสุขภาพดีนี่คือ อยากในจุดหมายที่ดีงามใช่มั๊ย ที่ว่าอยากให้มันดี คราวนี้แกก็อยากจะรักษาคนไข้ใช่มั๊ยมาเอง เพราะฉะนั้นให้อยากในจุดหมายที่ดีงาม ก็จะได้เข้าข้อฉันทะนี้ทำให้เกิดสมาธิ ใจจะมุ่งเลย ทีนี้ก็หนึ่งละ ทีนี้สองนี่ก็คือวิริยะนี่ก็ถ้าเราไปทำอะไร สมมุติว่าเราเกิดไม่ชอบ แต่ถ้ามันเกิดความรู้สึกขึ้นมาว่ามันท้าทายๆเรา ท้าทายความสามารถอยากจะเอาชนะ อยากจะทำให้สำเร็จขึ้นมา ใจสู้ ถ้าใจสู้แล้วเกิดสมาธิเหมือนกัน ใจจะอยู่กับสิ่งนั้นได้ ก็จิตตะก็เหมือนกันน่ะ ลองเราเห็นความสำคัญของสิ่งใด ใจก็มาอยู่กับสิ่งนั้น อย่างข้อวิริยะเมื่อกี้นี้ถ้าบอกว่าใจสู้เนี่ย ทั้งๆสิ่งนั้นเราไม่ได้ชอบก็ได้ใช่มั๊ย บางทีเราไม่ได้ชอบไม่ได้รักมันแต่ว่าเพราะเกิดใจสู้เห็นมันท้าทายความสามารถก็เอาเหมือนกัน และทีนี้ข้อสามก็ทั้งๆที่ไม่ได้ชอบ แต่ว่ามันเห็นความสำคัญอย่างที่ว่าคนไปกู้ระเบิดอย่างที่ยกตัวอย่าง ใครไปชอบลูกระเบิดใช่มั๊ย และเสร็จแล้วเป็นไงล่ะ ใจเป็นสมาธิได้ใช่มั๊ย ได้เพราะอะไรได้เพราะเห็นความสำคัญ เพราะฉะนั้นนี่ก็สำคัญ นี่ก็เรื่องใหญ่เรื่องจิตตะ ส่วนข้อที่ 4 ก็วิมังสาเมื่ออยากทดลองอยากจะรู้ว่ามันจะเป็นยังไงๆนี่เป็นเรื่องทางปัญญา เป็นเรื่องการทดสอบ และความอยากเห็นว่ามันเป็นยังไงๆอยากทดลองทดสอบมันก็ทำให้เกิดใจแน่วแน่เป็นสมาธิ เพราะฉะนั้นแต่ละข้อเนี่ยมันเป็นตัวทำให้เกิดสมาธิได้ทั้งนั้น เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าจึงตรัสว่าตัวไหนก็ได้ มันทำให้เกิดสมาธิได้ทั้งนั้น สมาธิเกิดจากตัวไหนก็เรียกชื่อโดยเอาตัวนั้นนำ อย่างที่บอกว่าสมาธิเกิดจากฉันทะ ก็เรียกว่าฉันทะสมาธิ สมาธิที่เกิดจากวิริยะเรียกวิริยะสมาธิ สมาธิที่เกิดจากจิตตะ เรียกจิตตะสมาธิ สมาธิเกิดจากวิมังสาเรียกว่าวิมังสาสมาธิ แต่ว่า 4 ข้อนี้นั้นมันส่งผลกันด้วย แม้แต่เริ่มจากอันใดอันหนึ่งก็มีทางทำให้อันอื่นตามมา โดยทั่วไปเราจะเริ่มจากข้อแรกๆนี้จะเป็นพื้นๆว่าจะให้เขาทำอะไรก็ให้เขาทำสิ่งที่เขาชอบถ้าเขายังไม่ชอบ เราก็หาทางปลุกใจหรือว่าพูดจาหว่านล้อมอย่างว่า คนที่จะรักพอใจทำสิ่งนั้นนี่เขาเห็นคุณค่าเห็นประโยชน์พอเห็นคุณค่าเห็นประโยชน์ของมันแล้ว สิ่งที่ดีอย่างนั้นอย่างนี้เลยเนี่ยนะ ก็ทำให้เกิดความรักความอยากจะทำ เหมือนอย่างกับเด็กเนี่ยถ้าหากว่าแกไม่อยากกวาดบ้าน เราก็ต้องหาทางให้เห็นแก่ให้เห็นคุณค่าของความสะอาด ให้รักความสะอาดขึ้นมา ถ้าเมื่อไหร่เห็นคุณค่าเห็นประโยชน์ความดีของความสะอาดซึ่งครูอาจารย์พ่อแม่ก็อาจจะต้องพูด ให้เห็นว่าความสะอาดมันดียังไงอะไรต่างๆ พอเด็กเกิดความรักความสะอาดขึ้นมา หรือว่าพ่อแม่ก็ไม่ใช่ว่าจะไปพูดอย่างเดียว อาจจะกวาดให้เด็กเห็น ทำความสะอาดได้ให้เด็กดูว่าโอ้นี่เห็นมั๊ย สะอาดแล้วมันดียังไง เด็กมันก็มีอยู่แล้วตามใฝ่ดีอย่างที่เคยยกตัวอย่างว่า เขามีมือเขาก็อยากให้มือของเขานี่สวยงามสะอาดเรียบร้อยน่ะ ร่างกายของเขาหน้าตาของเขาๆก็อยากจะให้เรียบร้อยสวยงามสดใสสมบูรณ์ ทีนี้ความใฝ่ดีปรารถนาอยากจะให้มันดีเนี่ยมันมีอยู่ แต่ว่าอย่าให้เด็กนี้เบนไปทางอื่นซะรู้จักใช้ให้เป็นประโยชน์ก็ให้มันขยายออกไป ขยายความใฝ่ดีนี้ออกไปสู่สิ่งต่างๆ อย่างที่เคยพูดว่า ไปนั่งที่ไหนก็อยากให้ที่นั่นมันเรียบร้อยสะอาด อยากไปเจออะไรเกี่ยวข้องอะไรก็อยากให้มันดี พอขยายความใฝ่ดีนี้ออกไปแล้วก็ ฉันทะก็ตามมามันก็อยากทำให้มันดี เด็กก็จะเกิดฉันทะขึ้นมา ซึ่งจะตรงข้ามกับเรื่องของฝ่ายตัณหาที่ว่าเจออะไรก็อยากจะได้อยากจะเสพน่ะ มุ่งหาแต่อาหารอร่อยและอะไรต่ออะไร เด็กจะไปอย่างนั้นจนกระทั่งว่าบดบังด้านฉันทะไปหมด เด็กก็อยากกินอาหารอร่อย อีกด้านหนึ่งก็อยากให้จานสะอาด ถ้าอยากให้จานสะอาดก็เป็นฉันทะ เจออะไรก็อยากให้มันดีให้มันเรียบร้อย ล้างจานก็ล้างให้มันสะอาด ทีนี้ต้องทราบเหมือนกันทีนี้เราไป เราไปกระตุ้นฝ่ายตัณหาซะมาก แม้แต่พ่อแม่ก็เลยทำให้เด็กนี่ไม่พัฒนา ฉันทะไม่เกิด นั่นก็ควรจะจับจุดให้ได้ ก็พัฒนาจากฐานที่เด็กมีเค้าอยู่แล้วในตัวนี้แหละ ให้ออกไปขยายไปในสิ่งต่างๆนั้นก็ทำให้เห็นคุณค่าเห็นประโยชน์ แล้วก็จะอยากทำให้มันดีเกิดฉันทะ พอเกิดฉันทะแล้ว มันจะเกิดความเครียดขึ้นมาได้ง่ายใช่มั๊ย เหมือนกับว่าฉันทะนี่มาช่วยต่อไปข้ออื่น ข้อ 2 ความเพียรก็มา เพราะมีความเพียรต่อไปความมีใจจดจ่อก็ตามมา แม้จะไม่แรงนักก็มีขึ้น แล้วถ้าเรารู้จักแนะนิดหน่อยมันก็เกิดวิมังสาขึ้นมาอยากจะเห็นว่าเราทดลองวิธีนี้มันสะอาดเท่านี้ ถ้ารถลองวิธีโน้นมันจะสะอาดกว่ามั๊ย ไม่มีอะไรต่างๆ สมาธิมันก็มาตามด้วยตลอดในทุกข้อแต่ว่า 4 ข้อนี้เท่ากับว่ามาช่วยเกื้อหนุนกันโดยเฉพาะ 1 นำไปสู่ข้อ 2 ข้อ 3 ข้อ 4 แต่ก็ไม่จำเป็น อย่างที่บอกแหละว่า อาจจะเริ่มจะข้อไหนก็ได้ซึ่งขึ้นต่อพื้นนิสัยของแต่ละคน เด็กบางคนนี่ตั้งปลุกด้วยฉันทะคือเอาความชอบใจอยากให้มันดี ให้รับงานเห็นคุณค่าเป็นประโยชน์ใจเจอโน้มไปในทางนี้แล้วก็ทำ ที่นี่เด็กบางคนนี่ ปลุกใจพูดจายังไงอยากจะให้ชอบมันก็ไม่ชอบต้องใช้วิธีที่ 2 คือบางคนนี่ไม่มีนิสัยอย่างที่ว่า ต้องเจอและให้เกิดความรู้สึกท้าทายที่นี้ถ้าพื้นเด็กมีนิสัยอย่างนี้เราก็ต้องใช้วิธีทำให้สิ่งนั้นๆ เป็นสิ่งที่ท้าทายความสามารถ เช่น พูดจาทำให้รู้สึกว่าท้าทายความสามารถของเขา พอรู้สึกว่าท้าทายอยากจะทำให้สำเร็จอยากจะเอาชนะงานนั้น ก็ได้ผลเกิดวิริยะขึ้นมา นี่แสดงว่าคนมันต่างกันพื้นจิตใจไม่เหมือนกันบางคนนี่ ทำให้เกิดความเอาจริงเอาจังขึ้นมาด้วยการกระตุ้นเร้าเรื่องความต้องการจะเอาชนะในสิ่งที่ท้าทายความสามารถ ทีนี้บางคนนี่ปลุกวิริยะไม่ขึ้น ต้องไปเอาข้อ 3 ต้องให้เห็นความสำคัญ ให้เห็นว่าสิ่งนี้เนี่ยนั้นมีความสำคัญต่อชีวิตถ้าไม่รู้ไว้ไม่ทำไว้นะ ตัวเองจะไม่ปลอดภัย หรือจะอาจจะต้องประสบความทุกข์ยากลำบาก อย่างพ่อแม่จะให้เด็กเรียนหนังสือนี่ เราจะเห็นได้เลยเด็กบางคนนี่ก็เรียนด้วยความรักความชอบ ยิ่งเห็นคุณค่าประโยชน์ใจมันก็รักไป แต่บางคนก็ไม่เอาด้านความรักความใฝ่ ต้องให้ท้าทาย บางคนก็ท้าทายความสามารถก็ยังไม่เอาอีก ก็ต้องไปพูดถึงความสำคัญของมันต่อชีวิตของเขาว่า ถ้าเขาไม่เรียนแล้วต่อไปจะประสบความลำบาก ดูสิคนที่ไปมีความยากจนข้นแค้นหรือว่าต้องดำเนินชีวิตระหกระเหินอย่างนั้นๆใช่มั๊ย เนี่ยเพราะว่าไม่ได้ศึกษาเล่าเรียนให้เขาเห็นความสำคัญ พอมันคุกคามต่อความมั่นคงปลอดภัยขึ้นมาก็จะเกิดก็ไอ้ตัวจิตตะ ก็อยู่ที่ว่าจะพูดยังไงเห็นความสำคัญ ถ้าพูดได้ขนาดที่ว่าให้เห็นความสำคัญอย่างกับระเบิดที่มันจะระเบิดล่ะก็ ถ้าได้ผลนะ นี่ก็จิตตะแล้ว ต่อไปวิมังสา ก็บางคนก็มีนิสัยอย่างที่ว่า ชอบทดสอบชอบทดลองอยากจะเห็นยังไงเป็นยังไงถ้าได้ทดลอง นี่ก็เด็กบางคนก็ถูกจูงไปแม้แต่ในความทางเสีย ก็เพราะวิมังสาด้วยใช่ไหม เด็กมีพื้นอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นเราต้องให้เอามาใช้ในทางที่ดี แต่ว่ารวมความก็คือว่า ใช้โดยสัมพันธ์ก็จะอันหนึ่ง ส่งผลเป็นข้ออื่น ช่วยกันถ้าหนุนได้พร้อมกันทั้ง 4 ข้อก็ทำให้มีความเข้มแข็งยิ่งขึ้น มีความพร้อมยิ่งขึ้นที่จะสำเร็จแต่ว่าอาจจะใช้แยกอย่างที่ว่า ให้เหมาะสมกับพื้นนิสัยของแต่ละคนแต่ละข้อๆก็มา เพราะฉะนั้นผู้ที่สอนหรือว่าผู้ที่เกี่ยวข้องกับคนอื่นเป็นผู้บริหารเป็นหัวหน้าหรือว่าแม้แต่เป็นพ่อแม่ก็ต้องดูคนของตัวเองเช่นเด็ก ถ้าหากว่าใช้วิธีนี้ไม่ได้ผล เด็กอาจจะเหมาะกับวิธีนั้น โดยกระตุ้นตัวไหนขึ้นมา และแต่ละอันเมื่อเกิดขึ้นมาแล้ว ก็นำไปสู่สมาธิ แล้วก็เมื่อสมาธิเกิดขึ้นมันก็เป็นการรวมพลังมาแล้วก็ทำให้นำไปสู่ความสำเร็จ ทีนี้ก็เรื่องฤทธิ์ที่เรียกว่าการเดิน เดินบนน้ำ เหาะเหินเดินอากาศอะไรก็ตามวันนี้มันก็มาจากสมาธินี่แหละ ก็อาศัยสมาธิไป นี่ก็คือเรื่องอิทธิบาท ที่เป็นทางแห่งความสำเร็จนอกจากความสำเร็จในเรื่องสิ่งที่ทำการบำเพ็ญเพียรในการกำจัดกิเลสและแม้แต่เรื่องของการที่จะอายุยืนพระพุทธเจ้าก็ตรัสว่า ถ้ามีอิทธิบาท 4 ก็ทำให้อายุยืน พระพุทธเจ้าก็ตรัสว่าถ้าพระองค์จะอยู่ตลอดกัป ก็สามารถอยู่ได้ด้วยการบำเพ็ญอิทธิบาทนี่ กัปในที่นี้หมายถึงอายุกัปนะไม่ใช่หมายความว่ากัปสิ้นโลกไม่ใช่ว่าตั้งหลายพันล้านปีนะ เดี๋ยวว่าพระพุทธเจ้าอยู่เป็นหมื่นเป็นพันเป็นแสนล้านปี ไม่ใช่อย่างนั้น อายุกัปหมายความว่ากำหนดช่วงอายุของมนุษย์ในยุคนั้นๆ อย่างในสมัยพุทธกาลก็ถือว่าอายุคนที่ถ้าตลอดเต็มอายุกัปก็ประมาณ 100 ปี พระพุทธเจ้าท่านทรงพระประสงค์จะอยู่ถึง 100 ปีให้ครบอายุกัปก็ทำได้ด้วยการบำเพ็ญอิทธิบาท แต่ว่าพระองค์ได้ปลงพระชนมายุสังขารปลงใจว่าเอาละแค่นี้พอ เพราะว่าได้ทำงานมาใช้ร่างกายมาพอแล้ว และก็พระศาสนาก็เรียกว่าตั้งมั่น พุทธบริษัท 4 ก็มีความสามารถพร้อมที่จะสืบต่องานของพระองค์ได้แล้ว เพราะฉะนั้นตอนที่จะปลงพระชนมายุสังขารจึงมีเงื่อนไขที่ว่า เมื่อภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกาเป็นผู้มีความรู้เข้าใจปฏิบัติได้ถูกต้อง สามารถที่จะสั่งสอนแนะนำผู้อื่นได้ แก้ไขผู้ที่มากล่าวมาสอนมาพูดสิ่งที่ผิดหลักการได้ พระพุทธเจ้าก็ตรัสว่าถ้าเมื่อพุทธบริษัท 4 มีความพร้อมอย่างนี้แล้วพระองค์ก็ปรินิพพานได้ แต่ถ้ายังไม่พร้อม พุทธบริษัทยังไม่มีคุณสมบัตินี้พระองค์ก็ยังไม่ปรินิพพาน ถ้าอย่างนั้นพระองค์ก็คงจะต้องบำเพ็ญอิทธิบาท 4 เพื่อจะให้อยู่ได้ตลอดกัป นี่พระองค์ก็เห็นว่าตอนนั้นพร้อมแล้วพุทธบริษัท 4 ทำหน้าที่ได้ก็เลยปลงพระชนมายุสังขาร ก็บอกว่าเอาละเท่าเนี้ยอยู่ได้อีก 3 เดือนจะปรินิพพาน ทีนี้ทำไมอิทธิบาท 4 นี้ทำให้อายุยืนอยู่ได้ตลอดกัป ก็เป็นเรื่องที่ว่ามันเปิดไปกำลังปรุงแต่งชีวิตปรุงแต่งเค้าเรียกว่าปรุงแต่งอายุนั่นเอง เครื่องปรุงของอายุ อายุก็คือพลังชีวิต พลังสืบต่อชีวิต ทีนี้ถ้าคนมีฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสามันก็มีเครื่องปรุงแต่งชีวิต ทำให้ชีวิตนี้มีกำลัง เกิดความมีชีวิตชีวาที่จะอยู่ ถ้าไม่มีฉันทะเป็นต้นก็หมดพลังชีวิต ทำไมล่ะ คนเราที่จะอยู่ต่อไปได้เนี่ย มีชีวิตชีวา มันต้องมีตัวฉันทะ ใจมันใฝ่ปรารถนาจะอยู่ทำไมจะอยากจะอยู่ล่ะก็อยากจะทำโน่นทำนี่มีสิ่งที่มุ่งหมายจะทำ อย่างชาวบ้านก็อยากจะเห็นลูกคนนั้นเจริญเติบโต เป็นฝั่งเป็นฝาอะไรต่างๆเหล่าเนี่ย หรือว่าบางคนก็อาจจะอยากทำสิ่งที่ดีงาม ใจตั้งไว้ว่าอยากจะทำสิ่งนั้นให้สำเร็จ ตัวเองเห็นแล้วว่าเป็นสิ่งที่ดีมาก เป็นจุดหมายสูงสุดของชีวิตของเราๆจะต้องพยายามทำให้ได้ เพราะมีฉันทะฝ่ายปรารถนาในอันนี้ที่จะทำให้สำเร็จ มันมาเป็นตัวๆปรุงแต่งอายุมาปรุงแต่งชีวิต ทำให้เกิดพลังที่จะอยู่ เราจึงเห็นได้ว่าผู้ที่เกิดความท้อแท้เกิดความเหี่ยวเฉา เพราะว่าตัวเองไม่รู้จะมีชีวิตอยู่ทำไม ก็มักจะอยู่ไม่ได้ยาวเพราะว่าชีวิตขาดพลัง อย่างที่ว่ามันก็เหี่ยวเฉาไป ยกตัวอย่างง่ายๆอย่างคนที่เกษียณอายุ ตอนที่ทำงานนี่ก็มีพลังแข็งแรงอะไรต่างๆ มีนู่นมีนี่จะทำอยู่เรื่อย คิดจะทำก็เป็นคนเอาใจใส่รับผิดชอบทำงานมีเรื่องต้องทำอยากจะทำ พอเกษียณอายุนี่ไม่รู้จะทำอะไรแล้ว สิ่งที่จะนั้นก็ไม่อยู่ในอำนาจของตัวที่จะทำ ตัวเองหมดหน้าที่หมดความรับผิดชอบ พออย่างนี้แล้วไม่รู้จะทำอะไร ใจก็เคว้งคว้างแล้วก็อ้างว้างๆขาดเป้าหมายที่จะเป็นอยู่ เฉาเลย ดีไม่ดีก็เลยเดี๋ยวเป็นโรคนู้นเป็นโรคนี้ไป เพราะฉะนั้นก็เลยต้องให้หาสิ่งที่เป็นเป้าหมายที่ดีงามมายึดต่อ พอเกษียณแล้วต้องหาอะไรที่ดีงามมาสำหรับให้ใจนี่มาใฝ่ๆปรารถนาอยากจะเห็นสิ่งนี้จุดหมายดีนี่สำเร็จ เป็นเรื่องเกี่ยวกับลูกบ้างเป็นเรื่องเกี่ยวกับตัวเองบ้าง ถ้าเป็นสิ่งที่ดีก็จะเป็น หาอะไรที่ดีงามที่น่าจะทำ ใจก็นึกถึงสิ่งนั้นและอยากจะทำให้สำเร็จ ถ้ามีอันแม้แต่อันเดียวที่เป็นจุดหมายที่ดีชัด เห็นด้วยปัญญาและใจนี่มีความปรารถนามาก จะทำให้แรงให้มีพลังชีวิตแรงมาก อย่างที่พูดว่าถ้าอันนี้ไม่สำเร็จฉันตายไม่ได้ บางคนจะพูดอย่างนี้นะ เนี่ยตัวนี้มันจะทำให้มีชีวิตอยู่ต่อไป เพราะฉะนั้นฉันทะนี่เป็นตัวที่สำคัญมาก มีอันนี้แล้วชีวิตมันก็มีกำลัง เกิดความมีชีวิตชีวาทันทีเลย มาอยู่ไปเรื่อยๆเปื่อยๆเฉา ไม่รู้จะอยู่ไปทำไม ทีนี้คนเราพอมันขาดกำลังใจ เราจะเห็นได้ว่า อย่างคนเจ็บป่วยไข้ พอหมดกำลังใจซะอย่างก็ทรุดรวดเร็ว แต่ถ้ามีกำลังใจแล้วแม้แต่ว่า ร่างกายจะแย่มันก็ยังพยุงร่างกายไปได้ เพราะฉะนั้นฉันทะนี่ก็สำคัญมาก แล้วก็เกิดวิริยะก็เป็นตัวกำลังเลย ใจสู้จะทำอันนั้นทำอันนี้ให้สำเร็จยิ่งยากยิ่งสู้ ถ้าหากว่าเจอว่ายิ่งยากยิ่งสู้ ยิ่งยากยิ่งได้พัฒนาตัวเองมากนะ ใจเอาจริงๆนี้ก็พลังก็ยิ่งเกิดใหญ่ใจก็จดจ่อ ใจจดจ่อก็มีพลังพุ่งสู่เป้าหมาย แต่ก็คิดจะทำอย่างงั้นอย่างงี้จะปรับปรุงจะแก้ไขยังไงอะไรเงี้ยนะ ใจมันก็อยู่กับเรื่องนั้นสมาธิมันก็เกิด ไม่ฟุ้งซ่านไม่พล่า จิตมันก็ดี สุขภาพจิตก็ดีด้วยแล้วเกิดพลังด้วย ได้ผลดีทุกอย่าง เพราะฉะนั้นอิทธิบาท 4 ก็เป็นตัวที่จะมาปรุงแต่งสิ่งที่ท่านเรียกว่าอายุ ทำให้ชีวิตมีพลังที่จะอยู่ได้ต่อไป ก็ทำให้อายุยืน ก็พูดเรื่องอิทธิบาท 4 มาก็พอสมควรนะเป็นหลักธรรมที่ง่ายๆได้ยินกันเป็นพื้นๆ ก็เอามาทบทวนกัน ท่านผู้ใดมีข้อสงสัยอะไรก็มาคุยกันนิดๆหน่อยๆ
ถาม1:???
ตอบ:วีมังสา
ตอบ:วิมังสา???แปลว่าทดลอง ???
ถาม1:เพราะว่าตามที่เคยเรียนสมัยมัธยมแปลว่าการพิจารณาไตร่ตรอง
ตอบ:อ๋อ อันนั้นแปลกันแบบทั่วๆไป เค้าแปลกันอย่างนั้นโดยทั่วไปๆแปลอย่างนั้น แต่ว่าตัวศัพท์จริงๆแปลว่าทดลอง การทดลองมันต้องการการพิจารณาไตร่ตรองใช่มั๊ย ทดลองก็คืออยากจะเห็นว่า ที่เป้าหมายเราจะให้มันดีจะทำไงดีหรือว่าอยากจะรู้ว่า ทำอย่างนี้แล้วจะเกิดผลยังไง ทำยังงั้นจะเกิดผลยังไง และที่ทำแล้วเกิดผลอย่างงี้ ถ้าเราลองไปทำอย่างโน้นจะเกิดผลยังไงใช่ไหม นี่ก็ทำให้ใช้ปัญญาพิจารณา ก็เลยแปลกันว่าพิจารณาไตร่ตรอง เพราะว่ามันรวมไปถึงการตรวจสอบด้วย ว่าทดลองและมีการตรวจสอบว่าให้ทำอย่างนี้ได้ผลไหม ผลเป็นไปตามที่มุ่งหมายหรือเปล่า ก็รวมทั้งตรวจสอบ
ถาม1:คือว่าครอบครัวของสังคมเดี๋ยวนี้คือไม่มีหลักอิทธิบาท ผู้ปกครองว่าง่าย แบบว่าใจต้องการอยากจะให้ลูกเป็นอะไร แต่ไม่ได้ดูที่เด็กๆรัก เด็กชอบ มีฉันทะ มีวิริยะ มีจิตตะ มีวิมังสายังไง คือต้องการที่ว่าตัวเองอยากจะให้ลูกเป็นอะไร ก็บังคับลูกไม่ตรงประเด็น
ตอบ:มันก็ไม่เข้าเรื่อง ใช่ มันก็เป็นปัญหาที่จิตมันก็ต้าน พอจิตต้านก็เกิดความขัดแย้ง แล้วเด็กก็หันไปหาสิ่งอื่นที่มันชอบ พอมันไม่มาทางฉันทะก็ไปทางตัณหาใช่มั๊ย ไปทางเสพ ไปทางอะไรต่างๆ
ถาม1:เป็นปัญหาสังคม
ตอบ:เป็นปัญหา ???
ถาม1:แล้วการเรียนการสอนของการศึกษาก็ไม่ได้เรื่อง คือแทนที่จะเรียนให้ คือเรียนแล้วใช้ปัญญา ???คือการทดสอบการวิจัยอะไรอย่างนี้ สังคมไม่เจริญ อย่างของสหรัฐหรือของญี่ปุ่นใช้การวิจัยเป็นหลัก การทดสอบการทดลองทางวิทยาศาสตร์ แต่ของไทยใช้ระบบท่องจำ คือเรียนกันตามๆหนังสือ ครูดูหนังสือไปแล้วก็สอนเด็กนักเรียนไป ไม่ได้ใช้ความคิด
ตอบ:ก็เลยไม่ได้อิทธิบาทเลย ก็นั่นแหละ
ถาม1:ก็เด็กจะโทษใคร เป็นผู้ใหญ่มีปัญหา
ตอบ:โทษการศึกษาๆบกพร่อง
ถาม1:เพราะผู้ใหญ่ ???
ตอบ:มันก็ตามกันไป หมายความว่า พอผู้ใหญ่ขาดก็ส่งผลต่อเด็ก เพราะว่าพุทธศาสนาที่เรารู้จักก็เป็นเพียงรู้จักสืบๆกันไป มันไม่ได้รู้จักตัวพุทธศาสนา ตัวหลักการ ตัวคำสั่งสอนที่แท้ไม่ค่อยรู้ คำว่าพุทธศาสนาก็เลยหมายถึงว่าไปยกช่อฟ้า ฝังลูกนิมิตร อะไรอย่างนั้น
ถาม1:แล้วการศึกษาของสังคมไทยนี้ล้มเหลว
ตอบ:ก็ต้องมารื้อฟื้นแก้ไขกันใหม่
ถาม2: ??? คือในปัจจุบันเรามองไปทางไหนเนี่ย ปัญหาของสังคมก็มีเยอะมาก ทีนี้ในฐานะที่พวกเราเองก็คือเป็นมนุษย์คนหนึ่ง แล้วก็อยากที่จะช่วยเหลือ แต่ทีนี้ในการช่วยเหลือมนุษย์ด้วยกันเนี่ยนะครับ บางคนคือเรามีใจอยากที่จะช่วยเหลือแต่ในขั้นปฏิบัติจริงๆบางทีพอกระทำไปแล้วเนี่ย เรามีฉันทะเยอะ แต่ว่าบางทีเราเกิดท้อ คือทำไปแล้วอย่างบางคนทำไปแล้ว พวกที่ไม่เห็นด้วยต่อต้านทั้งๆที่ส่วนที่เราทำไปเนี่ย เพื่อช่วยเหลือด้วยกัน บางคนสร้างความกังวลอึดอัดกันเอง ตัวอย่าง ช่วยเหลือ สละตัวเอง ทำแล้วก็ ผลที่ได้ไม่คุ้ม กลายเป็นว่าเบียดเบียนตนเองไป แม้กระทั่งในวันที่ตัวเองเสีย ก็ยังไม่ได้อยู่ที่ประเทศของตัวเองเลย ทีนี้เราทำไปเพื่ออะไร ประโยชน์ของตัวเองก็ไม่ได้ แต่คือเราเสียสละที่จะทำแล้ว คือมีฉันทะแล้ว
ตอบ:ก็ดีแล้ว อย่างน้อยฉันทะเกิดแล้วล่ะ ได้อันหนึ่งแล้ว แต่ทีนี้ว่าฉันทะเกิดแล้วทำไง ฉันทะมากับปัญญา เราได้ปัญญาเบื้องต้นคืออย่างน้อยเรารู้ว่าอะไรมันควรจะเป็นยังไงใช่มั๊ย แต่ทีนี้ปัญญามันควรจะนำฉันทะต่อก็คือปัญญาควรจะต้องมาทำหน้าที่เดินหน้ามองให้กว้าง ให้เห็นสภาพแวดล้อมว่าที่เราจะกระทำนี้มันต้องเป็นไปตามเหตุปัจจัย สภาพแวดล้อมก็เป็นเหตุปัจจัยที่สำคัญมันเอื้ออำนวยแค่ไหน ถ้ามันไม่เอื้อมันมีอุปสรรค มีปัญหาที่จะมาขัดขวางเยอะเราก็ต้องรับรู้ตามเป็นจริง ว่าเราจะทำให้ไม่ง่ายนะหรืออาจจะไม่สำเร็จก็ได้ เตรียมใจไว้ก่อนใช่มั๊ย ด้วยความรู้เนี่ยมันจะทำให้เราเนี่ยวางใจได้ถูกต้อง ที่นี่ว่าเราก็ต้องทำทำเท่าที่เราทำได้ ทีนี้จะทำยังไงล่ะ ก็มองในแง่หนึ่งก็มันมีวิธีมองหลายอย่าง เค้าเรียกว่าโยนิโสมนสิการ เช่นว่าเราก็เรียนรู้ไปด้วย เราก็ทำไป หาวิธีว่าเรารู้แล้วนี่มันยาก สภาพแวดล้อมไม่เอื้ออาจจะไม่สำเร็จ แต่เราจะต้องพยายามทำเท่าที่เราทำได้ หนึ่งเราก็เตรียมใจไว้แล้วถ้ามันไม่สำเร็จก็รู้ตัวว่าเราก็ทำด้วยความเห็นว่ามันควรจะเป็นอย่างนั้น ทีนี้พอทำเราก็ทำได้เรียนรู้ไปว่ามันมีอุปสรรค มีเหตุปัจจัยนี้ เราจะแก้ไขยังไงเรียนรู้ไปแล้วก็ได้ฝึกตัวเองเราก็มองในแง่ว่าจากการที่เราพยายามทำสิ่งนี้นั้นเราได้ฝึกตัวเองไปด้วยใช่ไหม เราก็พัฒนาตัวเองแล้วมองในแง่นี้ เราฝึกฝนพัฒนาแล้วจะไปมองว่าเรานี่เต็มบริบูรณ์แล้ว เราได้เรียนรู้ฝึกฝนตนเองพัฒนาไปแก้ไขปัญหาไป ต่อไปก็อีกอย่างก็ใช้วิธีแบบพระโพธิสัตว์ก็คือมีปณิธาน พระโพธิสัตว์ก็หมายความว่าเห็นว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ดีงามควรจะต้องทำแล้วก็ตั้งเป้าหมายเด็ดเดี่ยวต้องพยายามทำให้สำเร็จ อย่างพระโพธิสัตว์นี้แม้แต่สละชีวิตก็ยอม สละด้วยความเต็มใจไม่ทุกข์ ต้องถึงขนาดนั้น
ถาม2:เราไม่เป็นการเบียดเบียนตนเอง
ตอบ:ถ้าใจมันมองในแง่ฝึก แล้วมันเสียสละใช่มั๊ย หัวใจมันพร้อม ในแง่หนึ่งก็อาจจะเกินไปบ้าง พระโพธิสัตว์นี่ไม่ใช่พระพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์นี่ยังไม่ใช่คนสมบูรณ์ เมื่อเป็นคนสมบูรณ์ก็อาจจะมีทำผิดพลาดบ้าง แต่ว่าการที่มุ่งไปในทางทำดีแล้วมีผิดพลาดบ้างแล้วเป็นบทเรียนมีการพัฒนาตนเองดีกว่าผิดพลาดในเรื่องไม่เป็นเรื่องใช่ไหม ก็ทำสิ่งที่งามก็อาจจะต้องมีพลาดบ้าง แม้เบียดเบียนตนเองแต่ในเวลาที่เบียดเบียนนั้นมันก็มีความที่มองเห็นคุณค่าประโยชน์สิ่งที่ทำมันดุลกันอยู่ใช่ไหม มันไม่เสียไปข้างเดียว ทีนี้ถ้าจะให้สมบูรณ์ก็ปัญญาจะต้องมองเห็นรอบด้านไปหมด ซึ่งพระโพธิสัตว์จะยังไม่ถึงขั้นนี้ เช่นว่าท่านจะทำความดีในระดับของเท่าที่สังคมขณะนั้นหรือมนุษย์ในยุคนั้นรู้กันว่าดี แต่ว่าถ้าจะทำได้มากกว่าเขา ดูยอดเยี่ยมกว่าคนอื่นได้สิ่งที่ยอมรับกันว่าดีแต่ว่าสิ่งที่เขายอมรับว่าดีนั้นถ้าท่านทำไปแล้วท่านอาจจะผิดก็ได้ เพราะสิ่งที่เขายึดถือมันผิด อย่างพระโพธิสัตว์ที่ไปบำเพ็ญฌานได้อภิญญา ได้อภิญญา 5 ก็เก่งกว่าเขาได้อภิญญา 5 แต่ก็ไม่หมายความว่านั่นถูกใช่มั๊ย พระโพธิสัตว์ก็ทำดีสูงสุดเท่าที่เขาทำได้ในสิ่งที่ยอมรับกันว่าดีนั้นๆ นี่คือแง่ของพระโพธิสัตว์ที่ว่าทำดีด้วยใจจริงบริสุทธิ์ใจและทำอย่างเต็มกำลังความสามารถได้ยอดเยี่ยมเลย นี่เป็นความดีของพระโพธิสัตว์
ซึ่งอาจจะทำยิ่งกว่าพระอรหันต์อีก ในแง่นี้ แต่เป็นความไม่สมบูรณ์ในแง่ที่ว่าเพราะท่านปัญญาที่ตรัสรู้ยังไม่มี เพราะฉะนั้นการมองสิ่งต่างๆก็อาจจะมีแง่ผิดแม้แต่ทำความเพียรในความดีเกินไป ไม่ตรงกับเรื่องก็อย่างที่ว่าก็ไปบำเพ็ญฌานสมาบัติ พระโพธิสัตว์หลายชาติก็ไปบำเพ็ญได้ฌานสมาบัติไปเกิดในพรหมโลกก็ไปจบแค่นั้น ก็เก่งแต่ก็ได้ความดีที่เขายอมรับกันทั้งนั้นก็พัฒนาต่อมาจึงเป็นพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นการมองในแง่พระโพธิสัตว์ต้องมองในแง่นี้ด้วย เพราะว่าท่านทำในสิ่งที่เป็นความดีที่คนรู้กันเท่าที่ปัญญาของท่านจะคิดได้ ท่านก็เห็นว่าคนนี้เข้าใจความดีที่ยังไม่ถูกใจก็เดินหน้าให้เขาเข้าใจความดีนั้นถูกต้องยิ่งขึ้น แต่ถึงอย่างนั้นท่านก็ยังไม่จบสิ้นยังไม่บริบูรณ์ แสดงเรื่องพระโพธิสัตว์ก็ยังอยู่แค่ในระดับของมนุษย์ปุถุชน ที่พยายามพัฒนาเต็มที่ แต่ว่าเก่งในแง่ของปณิธาน ความเอาจริงเอาจังความเสียสละตั้งใจทำความดี แต่ยังพลาดได้เพราะปัญญาไม่เต็มที่
ถาม3:พระเดชพระคุณในเรื่องนี้ถ้าเราพิจารณาที่บางครั้งเมื่อถึงคราวคับขันหรืออะไรก็ตามแต่การเสียชีพเพื่อรักษาธรรมเนี่ย ถือเป็นการเบียดเบียนตนเองไหมครับ
ตอบ:ก็คือถ้าจะถือมันก็มีเหตุผลพอ หมายความว่าเหตุผลที่เราทำเนี่ยเหตุผลนี่มันเหนือกว่าถึงกับยอมสละได้ใช่ไหม ก็ยอมสละเพราะฉะนั้นถ้าในกรณีนี้ในเมื่อเหตุผลในทางที่ดีนี่มันสูงกว่าก็เลยไม่ถือเป็นการเบียดเบียน ถ้ามองด้วยเหตุผลธรรมดาก็เป็นการเบียดเบียน ก็เหมือนอย่างกับพระโพธิสัตว์แค่ว่าจะไปช่วยชีวิตคนอื่นและยอมสละชีวิตของตน แค่นี้ถ้ามองในแง่สายตาธรรมดาก็เบียดเบียนตนเอง แต่ว่าถ้าต้องการทำความดีมีตัวเช่นว่ามีเมตตามีกรุณา กรุณานะมันสูงมันแรงมากใช่ไหม เราเอาอะไรมาวัด ก็ต้องเอาตัวคุณธรรมนั้นมาวัดใช่ไหม ว่าตัวกรุณามันตัวที่ทำให้พ้นจากความหมายที่มีการเบียดเบียนตัวเอง ทำเพื่อจุดมุ่งหมายที่ดีงาม
ถาม3:จุดนี้ถ้าเรามองกลับไปที่สังคม สังคมไทยในปัจจุบันนี้มันขาดมุทิตา โดยมากเห็นใครที่ดี ไม่ว่าเจตนาดี ทำดีโดยไม่หวังผลก็ตาม แต่ก็เด่นขึ้นมา ก็ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายบริหารก็ตามหรือคนทั่วไปก็ตาม มีจิตคิดอิจฉา ริษฉาขึ้นมาหรือว่าไม่มีโยนิโสมนสิการที่จะรับฟังข้อเสนอ สุดท้ายก็ทำให้คนที่มีฉันทะ มีวิริยะ มีอิทธิบาทท้อ ก็ท้อได้ ต้องใช้คุณธรรมข้ออื่นเข้ามา
ตอบ:ก็มองว่านี่แหละเป็นบททดสอบเราไง ใช่ไหมเราต้องมองด้วยปัญญาเห็นว่าสภาพสังคมเป็นอย่างนี้ พื้นเพนิสัยของคนทั่วไป ค่านิยมเป็นอย่างนี้ เราทำความดีในสภาพสังคมอย่างนี้ เราจะต้องยอมรับว่าเราจะต้องเจออุปสรรค มาเจอแล้วเราจะต้องถือเป็นบททดสอบ มาเป็นเครื่องพัฒนาตัวเรา แล้วเมื่อมันยาก การทำเพื่อจุดหมายที่ดีงามให้สำเร็จ ถ้าทำวิธีนี้ท่านต้องลำบากตัวแต่ถ้าท่านมีปัญญามากขึ้นท่านอาจจะเห็นวิธีการที่มันดีแยบยลยิ่งขึ้นที่ทำให้ได้ผลดีทุกฝ่ายไม่เกิดปัญหาไม่เกิดความลำบากใช่ไหม ก็ขึ้นกับปัญญาด้วยความสามารถที่จะแก้ปัญหา บางคนแก้ปัญหาเรื่องนี้ ต้องทำด้วยความลำบาก ต้องเจออุปสรรค ต้องเจอคนต่อต้าน แต่อีกคนหนึ่งหรือถ้าคนนั้นเองเมื่อพัฒนาความสามารถสติปัญญาเป็นมากขึ้นมีวิธีการดำเนินการหรือดีลกับเรื่องนี้ดีขึ้นใช่ไหม จนกระทั่งเอาไอ้คนที่จะเป็นอุปสรรคมาเป็นมิตรมาเป็นตัวหนุนได้ อันนี้ก็อยู่ที่ว่าพัฒนาตัวเองให้มีปัญญามากขึ้นใช่ไหม
ถาม3:พระเดชพระคุณครับถ้าในกรณีอย่างนี้เนี่ย ถ้าพูดถึงว่าอิทธิบาท 4 แล้วเราต้องใช้โพธิสัตว์ธรรมด้วยหรือเปล่า เพราะว่าอย่างบางครั้ง
ตอบ:อันนี้เราพูดเฉพาะจุด แน่นอนเลยธรรมะต้องมาประโยชน์ของสังคมประเทศชาติแท้จริงมั๊ย ก็อยู่ที่อันนี้เป็นสำคัญ คือบางเรื่องนี่เราก็จะพูดตัดสินทันทีได้ยากใช่มั๊ย ต้องไปรู้ให้รู้ดีก็รู้ถึงเจตนา ถ้าเจตนาคนนี่เจตนาดีนี่ก็ยังไม่พอถ้าปัญญาไม่ดีพอก็ด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์แม้เจตนาดีก็ทำให้เกิดผลร้าย เพราะฉะนั้นจึงต้องควบกันด้วยใช่ไหม เจตนาดีบริสุทธิ์ไม่ได้คิดร้ายมุ่งสิ่งที่ดีงามเป็นประโยชน์แต่พร้อมกันนั้นปัญญาความรู้เข้าใจก็ต้องพร้อมด้วย ปัญญาจึงต้องพัฒนาอยู่เสมอขาดไม่ได้เพราะว่าปัญญาบกพร่องเมื่อไหร่นี้พลาดทันที
ถาม3: เรื่องของปัญญานี่ไม่ทราบว่า จะให้พระเดชพระคุณแจกแจงหรือจะเก็บไว้คราวหน้า
ตอบ: ก็คงต้องเอาไว้คราวหน้าจะหมายถึงยังไง
ถาม3: คืออย่างปัญญา ส่วนของปัญญาที่จะเป็นองค์ประกอบของคำว่าปัญญา
ตอบ: ชื่อต่างๆ ไม่ใช่องค์ประกอบเป็นชื่อต่างๆของปัญญาหรือปัญญาที่ทำงานในระดับต่างๆหรือทำงานในด้านโน้นด้านนี้ก็เรียกชื่อไปอย่างนั้น ก็ปัญญาที่แสดงออกด้วยอาการอย่างนี้ในเรื่องนี้เพื่อวัตถุประสงค์แบบนี้ อะไรอย่างนี้ ก็จะมีชื่อเรียกต่างๆกัน ปัญญาก็เป็นเรื่องใหญ่อีกเรื่องหนึ่ง วันนี้เดี๋ยวจะเลยเวลาไปมาก
ถาม3: ขอบพระคุณอาจารย์ ในกรณีที่บางครั้งเราใช้อิทธิบาทแล้วถ้ายังไม่สำเร็จในช่วงนั้น ถ้าเราไม่ท้อซะก่อน เราก็ต้องรอเวลาที่เหมาะสมใช่ไหมครับ ในการที่จะทำให้บรรลุเป้าหมาย
ตอบ: คือบางครั้งอาจจะต้องรอ บางครั้งก็ทำให้เกิดความพร้อมด้วยการสร้างความพร้อมขึ้นมา ยกตัวอย่างง่ายๆเหมือนอย่างคนที่เรียนเนี่ย คนที่ปฏิบัติธรรมเขายังมีอินทรีย์ไม่แก่กล้าพอ เรียกสมัยนี้ว่ายังไม่พร้อม จะขาดความพร้อม อ้าวทีนี้ทำไงล่ะ จะให้เขาพร้อมเพราะถ้าเขาไม่พร้อมก็ไม่ได้ผล เราจะให้เขาพร้อมก็ต้องรอสิใช่ไหม ถ้าไม่รอทำไง พยายามทำให้เขาพร้อม ก็มี 2 วิธี ก็แปลว่าต้องให้เขาพร้อมแหละ รอให้เขาพร้อมเองหรือเราจะพยายามทำให้เขาพร้อม บางทีก็ต้องประยุกต์ทั้ง 2 ข้อ อย่างพระพุทธเจ้าจะทรงใช้วิธีว่า อ้าวดูว่าคนนี้ยังไม่พร้อมยัง อินทรีย์ยังไม่แก่กล้า ก็บ่มอินทรีย์เลย
ถาม3: ใช้อุบาย
ตอบ: บ่มอินทรีย์หมายความว่าทำให้มันพร้อมสิทีนี้ ก็หาว่าวิธีการมาทำให้เขาเข้าถึงความพร้อมใช่ไหม แล้วตกลงก็คือว่าต้องพยายามให้เขาพร้อมก่อน แต่ว่าจะรอให้เป็นไปเองหรือจะพยายามทำให้เขาพร้อม
ถาม3: ขึ้นกับปัญญาด้วย
ตอบ: ทีนี้ก็ขึ้นกับปัญญาของผู้ที่จะไปสอนเขาด้วยใช่ไหม ว่าจะมีวิธีการยังไงที่จะสร้างความพร้อม พระพุทธเจ้าก็จะมีวิธีการที่จะทำให้คนพร้อมซึ่งเป็นการปฏิบัติแต่ละบุคคล แต่ละบุคคลนี่มันมีปัจจัยของตัวเองไม่เหมือนกัน เพราะฉะนั้นก็ต้องดูว่าอ้าวคนนี้เป็นยังไงพื้นเพเป็นยังไงมีจริตอัธยาศัยยังไงทำยังไงจะให้เขาพร้อมขึ้นมาได้ ก็จึงมีธรรมะบางหมวดที่เรียกว่าธรรมะเป็นเครื่องบ่มอินทรีย์ ก็ช่วยบ่มอินทรีย์ที่ยังไม่พร้อมให้มันขึ้นมา