แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ไฟล์ถอดเสียงนี้ยังไม่ได้ผ่านพิสูจน์อักษร นำขึ้นมาเพื่อช่วยในการศึกษาค้นคว้าของผู้สนใจ
ตอนแรกก็ว่าจะพูดเรื่องที่ต่อมาเนื่องมาจากเรื่องเก่า พอดีเมื่อเช้านี้คุณสันติสุขมา ก็เลยปรารภไปเรื่องเกี่ยวกับในครอบครัว แล้วโยงไปหาเรื่องศาสนาพราหมณ์ ก็เลยอยากจะพูดอะไรอีกสักนิดนึง
คือว่าเรื่องพระพุทธศาสนานี่ ฝรั่งเวลามาทำความรู้จักกับพุทธศาสนาเนี่ย เขามักจะไปพูดว่าพุทธศาสนานี่เอาแต่เรื่องบุคคลเอาแต่เรื่องจิตใจ ไม่ค่อยจะสนใจเรื่องสังคม ฝรั่งพูดอย่างนี้ ก็เพราะฝรั่งนี่มาสัมผัสกับคำสอนที่ออกไปทางตะวันตก ซึ่งส่วนมากก็จะไปมาเน้นที่จิตใจ เรื่องสมาธิอย่างนี้ อันน้นเขาก็เลยเห็นแต่ในแง่นั้น ความจริงในพระพุทธศาสนามีคำสอนที่ครอบคลุมด้านสังคมนี้ก็เป็นเรื่องที่พุทธศาสนาให้ความสำคัญมาก แต่ว่าฝรั่งไปเจอแต่พุทธศาสนาที่เข้าไปในด้านที่ว่าไปสัมพันธ์กับสภาพสังคมตะวันตกที่มีปัญหาทางจิตใจมานานแล้ว ไปสนองความต้องการด้านนั้น นี้ผู้ที่ไปนำเสนอเพื่อสนองความต้องการของเขาก็เลยเอาแต่คำสอนด้านนั้นไป ฝรั่งมาเจอพุทธศาสนาก็นึกว่า อ้อเหมือนอย่างที่เขาได้เห็นได้พบ มีผู้เข้าไปสอนอย่างนั้น ก็เลยไปสรุปเอาว่าพระพุทธศาสนาแค่นั้น
นี้ว่าถึงเรื่องของด้านสังคมนี่เราก็ดูได้จากสภาพแวดล้อมสมัยพุทธกาลด้วย เรียกว่าคนอินเดียในแง่ของสังคมก็คือการที่มีความเชื่อเรื่องเทพเจ้าอย่างที่เราพูดกันไปแล้ว แล้วก็มีความสัมพันธ์กับเทพเจ้าแล้วในแบบที่ว่า ต้องการความช่วยเหลือให้เทพเจ้ามาใช้อำนาจดลบันดาลนี่ มาทำให้เกิดผลที่ต้องการหรือมาช่วยพ้นภัยอันตราย ก็เป็นสภาพสังคมที่ก็เกิดขึ้นทั่วไป แล้วเกิดมีความสัมพันธ์ในเรื่องของการอ้อนวอน จนกระทั่งที่ชัดเจนก็คือ พิธีบูชายัญ ทีนี้พระพุทธศาสนาเกิดขึ้นมาจะมีการเปลี่ยนแปลงที่ชัดในเรื่องนี้ก็คือว่า แทนที่จะให้มนุษย์นั้นไปสัมพันธ์กับเรื่องเทพเจ้า ไปหวังให้อำนาจดลบรรดาที่เล้นลับมองไม่เห็นอยู่ภายนอกมาช่วยบันดาลให้ด้านหนึ่งก็คือว่าให้มาดูเรื่องการกระทำของตัวเอง ซึ่งก็อยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริงของกฎธรรมชาติว่า ผลต้องเกิดจากเหตุ ทีนี้เราต้องการผลก็ต้องทำให้เหตุเกิดขึ้น ทีนี้เมื่อเหตุยังไม่มีเราก็ต้องทำเอา เพราะฉะนั้นก็สอนเรื่องหลักธรรมก็เน้นมาที่ตัวบุคคลนี้ด้านหนึ่ง แต่ว่ามันไม่ใช่แค่นั้นไม่ใช่ว่ามาสนใจ เฉพาะว่าออกจากความสัมพันธ์กับเทพเจ้าแล้วก็มาดูที่ตัวเองจะต้องทำอะไร แต่อีกด้านหนึ่งก็คือว่า การที่มนุษย์ไปสนใจอ้อนวอนเทพเจ้าคอยพึ่งอำนาจดลบันดาลนะ นอกจากมองไปนอกตัวเองไปพึ่งอำนาจดลบันดาลช่วยเหลือจากภายนอกแล้ว ไม่มองดูตัวว่าไม่ต้องทำอะไรแล้ว ก็ยังมีความหมายอีกอย่างหนึ่งก็คือว่ามนุษย์เนี่ยจะมองข้ามความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ด้วยกันเอง ออกไปมองหาความช่วยเหลือจากอำนาจนอกเหนือธรรมชาติก็มองข้ามผู้คนที่เกี่ยวข้องไป คือจุดสัมพันธ์เขาไม่ได้หยุดที่คนด้วยกัน เขาไปอยู่ที่กับเทวดา เขาต้องการความช่วยเหลืออะไร
เขาก็นึกว่า เอ้อเราต้องไปหาเทพเจ้าองค์ไหน นี้ถ้ามนุษย์นี่ไม่ได้นึกถึงเทพเจ้านี่ มันก็
1 ต้องนึกถึงตัวเองว่าเราจะต้องทำอะไร
2 เรื่องราวที่เกิดขึ้นนี้มันอาจจะสัมพันธ์กับเพื่อนมนุษย์ เราอาจจะต้องแสวงหาความร่วมมือ หรือเป็นปัญหาใหญ่ที่มนุษย์นี่จะต้องมาช่วยกันเราคนเดียวกำลังไม่พอ แทนที่จะไปหวังพึ่งเทพเจ้า มันก็มามองดูมนุษย์ด้วยกันเองก็จะทำให้เกิดการแสวงหาความร่วมมือจากเพื่อนมนุษย์ การร่วมกันแก้ปัญหาในชุมชนเป็นต้นก็เกิดขึ้น มันก็ทำให้เกิดความสัมพันธ์ในชุมชนนั้นและการร่วมกันแก้ปัญหา ก็พัฒนาสังคมหรือชุมชนนั้น ๆ ให้เดินหน้าไปได้ นี่ถ้าหากว่าจะมัวสนใจกันเทพเจ้าแล้ว แกไม่เอาใจใส่แล้วเพื่อนมนุษย์เป็นยังไงใช่ไหม ความสนใจกันแกอยู่ที่ผลประโยชน์ หรือในทางลบก็คือภัยอันตรายของตัวเอง ทำอย่างไรให้พ้นภัย มองไปหาพระเจ้า ทำไงฉันจะเอาผลประโยชน์มองไปหาเทพพระเจ้า เสร็จแล้วเมื่อมองไปหาเทพเจ้า มันก็ทำให้มาเน้นตรงจุดที่ว่าผลประโยชน์ของตัวเอง ต่อไปก็คิดถึงแต่เรื่องตัวเอง แล้วก็อำนาจที่จะมาช่วย เลยไม่ได้เอาใจใส่เพื่อนมนุษย์ด้วยกัน
นี้เราพูดไปแล้วในแง่ที่ว่าพระพุทธเจ้าก็ดึงคนมาจากเทพมาสู่ธรรม ให้มามองสู่การมองความจริงตามกฎธรรมชาติเรื่องของเหตุปัจจัยการทำเหตุให้เกิดผลด้วยการกระทำของตัวเอง ทีนี้อีกด้านหนึ่งพระพุทธเจ้าก็ให้สนใจเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ซึ่งก็เป็นการแก้ปัญหาที่เรื่องเดียวกันของพราหมณ์ จากการดึงจากเทพมาสู่ธรรมะ ด้านหนึ่งก็มาสนใจการกระทำของตัวเองสิ่งที่ตัวเองต้องทำรับผิดชอบต่อการกระทำของตนเอง อีกด้านหนึ่งก็คือการที่มาสนใจที่จะมาร่วมมือกันในหมู่มนุษย์ว่าเราจะต้องแก้ไขปัญหาอย่างไร
นั้นพระพุทธเจ้าก็ให้สนใจเริ่มต้นในการอยู่ร่วมกันระหว่างมนุษย์ เริ่มต้นคือครอบครัวจะเป็นว่าหลักธรรมในพุทธศาสนานี้ให้ความสำคัญเรื่องครอบครัวมาก เริ่มต้นก็คือพ่อแม่ความสัมพันธ์ระหว่างลูกกับพ่อแม่ ถ้ามองกว้างอย่างในทิศ 6 ใช่ไหม แทนที่จะไปไหว้ทิศ พระพุทธเจ้าก็บอกว่า เอ้ามาดูว่าทิศก็คือเพื่อนมนุษย์ที่จะอยู่ในสถานะต่างกันในสังคมเนี่ย แล้วเราก็ปฏิบัติหน้าที่ต่อคนเหล่านั้นให้ถูกต้อง เรียกว่าไหว้ทิศ เริ่มตั้งแต่พ่อแม่ พ่อแม่ก็มาเป็นอันดับหนึ่ง พร้อมกับไหว้พ่อแม่ก็คือต้องมีว่า พ่อแม่ทำหน้าที่ต่อลูกอย่างไรใช่ไหม มันก็เท่ากับบอกด้วยว่า เอ้อเป็นพ่อแม่ก็ต้องมีหน้าที่อย่างนี้ ทีนี้อย่างที่เคยพูดไปแล้วอย่างหลักที่สอนว่ามาตาปิตะโร มารดาบิดาเป็นพรหมของลูกพระสูตรนี้จะมีบ่อยเหลือเกินมาในพระไตรปิฎกมาแล้วมาอีก นี้ก็ตรัสว่าพ่อแม่นี้เป็นพรหมของลูก เป็นบูรพาจารย์ อาจารย์คนแรก เป็นอาหุนัยบุคคล เป็นผู้ที่ควรแก่ของคำนับ ที่จริงเป็นภาษาของพราหมณ์ เป็นผู้ควรกับเครื่องเซ่น เดิมนั้นเขาไว้เซ่นเทวดา พระพุทธเจ้าตรัสเป็นพ่อแม่เป็นผู้ควรรับเครื่องเซ่นของลูก นี่พระพุทธเจ้าก็มาเรียกพ่อแม่ในใน 3 สถานะ แล้วก็ตรัสบอกว่าในบ้านเรือนครอบครัวใด พ่อแม่ได้รับการบูชา บ้านนั้นครอบครัวนั้น ก็ชื่อว่ามีพรหมอยู่ในบ้าน ครอบครัวใดบ้านใดบูชาพ่อแม่ก็ชื่อว่ามีบูรพาจารย์อยู่ในบ้าน บ้านใดบูชาก็คือว่าเคารพยกย่องพ่อแม่ก็ชื่อว่ามีอาหุนัยบุคคลอยู่ในบ้าน อันนี้ก็อาหุนัยบุคคล ก็บุคคลรับเครื่องเซ่นก็พวกเทวดา ก็มีเทวดาอยู่ในบ้านเสร็จแล้ว ถ้าเป็นทางพุทธศาสนาอาหุนัยบุคคลก็หมายถึงพระอรหันต์ก็ได้ ก็ให้ความสำคัญกับเรื่องพ่อแม่มาก ที่ว่าบางทีสมัยนั้นอาจจะเป็นไปได้ว่าคนนี้จะไปสนใจเทวดาจะไปไม่มัวคิดถึงจะไปเซ่นเทวดายังไง จนกระทั้งไม่ได้ดูคนที่เกี่ยวข้องใกล้ชิดเป็นยังไงใช่ไหม พ่อแม่จะเป็นยังไง ลูกเต้าจะเป็นอย่างไงไม่เอาใจใส่
เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าก็ดึงมานี่ ก็จากฐานความเชื่อของเขาเลย จุดที่สอน หลักที่สอนก็จะไปตั้งต้นมาจากเรื่องของสิ่งที่เขาเคารพนับถือเดิม ก็คือเรื่องพระพรหม เรื่องเทวดา แต่ว่าโยงมาหาเรื่องของมนุษย์ด้วยกัน ว่าเอ้อแทนที่จะไปสนใจเทวดาไปมาเอาใจใส่เทวดาอย่างนั้น ก็มาเอาใจใส่เพื่อนมนุษย์ด้วยกัน การที่เราสนใจเพื่อนมนุษย์นี้แหล่ะ มันจะทำให้เกิดสังคมที่ดีงามและการที่มนุษย์ได้พัฒนาตัวเองไม่เห็นแก่ตัวมีความเอาใจใส่มีเมตตากรุณากันช่วยเหลือกันนี่ มันเป็นการช่วยเหลือที่ดีกว่าไปรอเทวดามาช่วยอีกนี้ ถ้ามนุษย์ในสังคมนี้มาตั้งใจมาช่วยเหลือกันเองเนี่ยลองคิดดูสิ แก้ปัญหาดีกว่าไปรอเทวดามาแก้อีกแล้ว นอกจากนั้นก็คือเมื่อมนุษย์ช่วยเหลือกันดีแล้ว คนก็จะไม่อ้างว้างว้าเหว่ คนจำนวนไม่น้อยที่ต้องไปหาที่พึ่งความช่วยเหลือจากภายนอกนี่เพราะว่าเขาไม่มีที่พึ่งในสังคม ไม่มีผู้ช่วยเหลืออับจนก็เลยให้ว่าอย่างน้อยก็ช่วยในทางจิตใจไปหาสิ่งลึกลับไสยศาสตร์อะไรต่ออะไรใช่ไหม มนุษย์พวกนี้ก็ถูกบีบให้ต้องไปหาสิ่งภายนอกมาเป็นที่พึ่ง เช่น พวกเทวดาสิ่งลึกลับต่าง ๆ ฉะนั้นถ้ามนุษย์ช่วยเหลือกันด้วยดี 1 ก็จะช่วยเหลือกันได้ผลดีมากด้วย สังคมก็อยู่ร่มเย็นเป็นสุข มันเป็นการช่วยเหลือที่แท้จริงเป็นของจริงที่ปรากฏชัด เป็นไปตามเหตุผลตามผล แล้วก็จะทำให้คนในสังคมนั้นไม่ต้องอ้างว้างไม่ต้องไปเที่ยวแสวงหาที่พึ่งภายนอก นั้นพระพุทธเจ้าก็มาเน้นเรื่องนี้ แล้วก็อย่างที่เคยพูดแล้วพระพุทธเจ้าก็ไม่ได้ให้ไปลบหลู่ดูหมิ่นพวกเทวดาอะไรใช่ไหม เพียงแต่ว่าให้มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน มีเมตตาต่อเทวดา แล้วก็ทำบุญก็อุทิศส่วนกุศลไปให้ท่าน ก็ไม่ได้ปฏิเสธ แล้วไม่ได้ลบหลู่ แต่ว่าให้มีความสัมพันธ์ที่ถูกต้อง อย่าไปมัวแต่หวังพึ่งอยู่ แล้วก็ถือว่าเทวดาที่ดีมีคุณธรรมก็ด้วยคุณธรรมนั้นก็ควรจะมาช่วยหรือมนุษย์เอง โดยไม่ต้องไปรอให้เขาเป็นเซ่นไหว้ ไม่ต้องไปรอให้ไปอ้อนวอน อย่างที่คอยไปอ้อนวอนก็กลายเป็นว่า คนอ้อนวอนก็ช่วย คนไม่อ้อนวอนก็ไม่ช่วยไม่คำนึงถึงความดีความชั่ว แทนที่ว่าคนดีมีความเดือดร้อนควรจะช่วยเหลือก็ไม่ช่วยไปรอเครื่องเซ่น คนที่ทำความชั่วมาเซ่นไหว้ก็ไปช่วยอย่างนี้มันก็วิปราสหมด ในเรื่องหลักของจริยธรรมและศีลธรรม อันนั้นก็ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับเทวดาจะเป็นตัวอย่างของความสัมพันธ์แม้แต่มนุษย์เอง ว่ามนุษย์สัมพันธ์กับเทวดาโดยที่มีความปรารถนาดีมีเมตตาต่อกัน และก็ให้เกียรติแก่กันและกัน มีการอุทิศกุศลอะไรต่าง ๆ แบบนี้ ก็เลยเล่าอย่างเมื่อเช้าที่ว่าแม้แต่พวกเทวดา อย่างพระอินทร์ เทวดาชั้นดาวดึงส์ ก็จะมีการประชุมในเทวสภา 15 ค่ำ แล้วก็ในระหว่างนั้นพวกเทวดาชั้นจตุมหาราช ซึ่งเป็นพวกชั้นที่มีบริวารของเทวดาชั้นดาวดึงส์ก็จะไปสำรวจดูว่าคนประพฤติดีอยู่ในศีลในธรรมไหม แล้วก็มารายงานต่อเทวสภาอะไรอย่างนี้น่ะ อันนี้ก็เป็นเรื่องของการให้หันมาเอาใจใส่เรื่องความดีความชั่วไม่ใช่ไปเอาใจใส่เครื่องเซ่น หรือการอ้อนวอน แล้วถ้ามนุษย์ทำความดีก็อย่างที่ว่าแล้วเทวดาที่มีความดีก็จะมาช่วยโดยไม่ต้องไปขอร้องเหมือนอย่างในเรื่องนางมณีเมขลาในมหาชนก หรือว่าอย่างเรื่องพระอินทร์ พระอินทร์ตามหลักพุทธศาสนา ก็มีที่ว่าเวลามนุษย์ที่มีความดีเดือดร้อนนี้ หากพระอินทร์กระด้างดังศิลาประหลาดใจใช่ไหม พระอินทร์ก็จะ เอ้ออะไรกันเนี่ย เกิดเหตุอะไรกันขึ้น ก็สอดส่องทิพเนตรดูเหตุภัย ก็แจ้งใจนางรจนาหรืออะไรก็ว่าไป ก็ต้องมาช่วย นี้ก็เป็นเรื่องของความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ด้วความดี ซึ่งบางทีแม้แต่อ่านในวรรณคดีก็ไม่ได้แยกว่านี่ แนวพุทธกับแนวพราหมณ์ต่างกันอย่างไรใช่ไหม แนวพุทธไม่ได้ไปอ้อนวอนไปขอ มนุษย์ทำความดีทำตามหน้าที่ของตนเอง เทวดาเมื่อเห็นคุณค่าความดีของมนุษย์จะช่วยมาช่วยด้วยคุณธรรมของตัวเอง และมนุษย์จะได้มาเอาใจใส่ในหมู่มนุษย์ด้วยกันเองมาแก้ปัญหาสังคมมันก็จะอยู่ดี ไม่วิบัติคลาดเคลื่อนไป ฉะนั้นก็เอาใจใส่กันตั้งแต่ในครอบครัว
นี้ก็จะเล่าให้ฟังสักเรื่องนึงเป็นตัวอย่างในพระสูตร ให้เห็นเรื่องของสภาพภูมิหลังของสังคมอินเดีย แล้วก็มาดูว่าจากภูมิหลังนั้นพระพุทธเจ้าก็ได้สอนให้ประพฤติปฏิบัติอย่างไร ซึ่งมันเกี่ยวกับเรื่องของข้อปฏิบัติในทางสังคมนี้ด้วย
ก็บอกแล้วว่าในสังคมอินเดียเขานับถือเทวดามีความสัมพันธ์แบบว่า เซ่นสรวงอ้อนวอนขอความช่วยเหลือ มันมีพิธีบูชายัญเกิดขึ้น ก็จะเล่าเรื่องการบูชายัญอีกสักครั้งหนึ่ง ครั้งหนึ่งพระพุทธเจ้าก็ประทับที่พระเชตุวัน ที่เมืองสาวัตถี คราวนั้นก็มีพราหมณ์คนหนึ่ง ก็คงเป็นพราหมณ์ผู้ใหญ่พอสมควรแหละ ก็จะประกอบพิธีบูชายัญ ชื่ออุคตะสริระพราหมณ์ ก็ให้จับเอาโคผู้ 500 ลูกโคผู้ 500 โคเมีย 500 ขออภัย ลูกโคเมีย 500 โคเมีย 500ไม่มีน่ะโคผู้ 500 ลูกโคผู้ 500 ลูกโคเมีย 500 โคเมียไม่มี แสดงว่าโคเมียสำคัญ เดี๋ยวจะตัดอาชีพใช่ไหม เดี๋ยวจะไม่มีกิน กินนมวัวนี่ แขกเมืองอินเดียน่ะ แสดงว่าเว้นโคเมียก็ โคผู้ 500 ลูกโคผู้ 500 ลูกโคเมีย แล้วก็ แพะ 500 แกะ 500 ให้จับมาผูกหลักไว้ เสร็จแล้วก็นึกยังไงไม่รู้นะ แกไปเฝ้าพระพุทธเจ้า ก็คงจะได้ยินกิตติศัพท์พระพุทธเจ้าเป็นที่นับถือ แม้แต่ของพระเจ้าแผ่นดิน พระเจ้าปเสนทิโกศล นี้แกก็ทราบว่าพระพุทธเจ้านี้รู้เรื่องพราหมณ์ เรื่องอะไร พระองค์ก็ทราบ ทีนี้พระองค์เคยตรัสเรื่องยันต์ มหายันต์อัสวนีเมศ อะไรต่าง ๆ นี้ก็ไปเฝ้าพระพุทธเจ้า
อันนี้ขอแทรกนิดนึงว่า พระพุทธเจ้าออกบวชจากวรรณะกษัตริย์ อันนี้ก็เป็นข้อดีอย่างหนึ่ง เพราะว่าเป็นคนตระกูลสูงเพราะว่าพวกพราหม์ นี่ก็ปกติเขาต้องดูถูกใช่ไหม เขาถือว่าเขาเกิดตระกูลสูง ถ้าเป็นวรรณะต่ำนี่พุทธเจ้าประกาศพระศาสนายาก นี้พระพุทธเจ้าอยู่ในตระกูลสูงนี่ พระองค์ก็มีความรู้ รู้เรื่องพราหมณ์ รู้เรื่องอะไรต่ออะไรหมด ฉะนั้นพราหมณ์แกก็ เอ้ายอมรับเรื่องของสถานะพระพุทธเจ้า ก็ไปเฝ้า พอไปเฝ้าทักทายปราศรัยกันแล้ว
อุคตะสริระพราหมณ์ก็ทูล บอกน่ะ ข้าพระพุทธเจ้าได้สดับมาว่าการก่อไฟบูชายัญและยกเสาบูชายัญขึ้นตั้งเนี่ยมีผลมีอานิสงส์มาก คือพราหมณ์เขาถือเป็นเรื่องสำคัญ การบูชายัญก็ต้องมีก่อไฟ แล้วก็ต้องมียกเสาบูชายัญขึ้นสำหรับผูกไอ้พวกสัตว์ที่จะฆ่าอะไรพวกนี้ เสาบูชายัญนี้สำคัญ พอทำขึ้นมาก็ถือว่าเป็นส่วนสำคัญของการบูชายัญนี้มีอานิสงส์มาก
พระพุทธเจ้าก็บอก เราก็ได้ฟังมาว่าการก่อไฟบูชายัญและการยกเสาบูชายัญขึ้นตั้งนี่มีอานิสงส์มาก ว่าอย่างนั้นน่ะ
พราหมณ์ก็เอาอีก ข้าพเจ้าก็ได้สดับมาว่าการก่อไฟบูชายัญและการยกเสาบูชายัญขึ้นตั้งมีผลมีอานิสงส์มาก
พระพุทธเจ้าก็ได้ตรัสว่า เราก็ได้ยินมาเหมือนกันว่าการก่อไฟบูชายัญบูชายัญยกเสาบูชายํญขึ้นตั้งมีผลมากมีอานิสงส์มาก เอ้เอาอีกแล้วพระพุทธเจ้าก็ตรัสอยู่แค่เท่ากัน
พรามหมณ์ก็เอาอีก เราก็สดับว่าการก่อไฟบูชายัญยกเสาบูายัญยกเสาขึ้นตั้งมีผลมีอานิสงส์มาก
พระพุทธเจ้าก็ครั้งที่ 3 อีก เราก็ได้ยินมาเหมือนกันว่าการก่อไฟบูชายัญบูชายัญยกเสาบูชายัญขึ้นตั้งมีผลมีอานิสงส์มาก 3 ครั้งแล้วน่ะ
พระอานนท์แทรกเลย พระอานนท์อยู่ใกล้ ๆ พราหมณ์ท่านจะถามพระพุทธเจ้าอย่างนี้สิ ท่านควรจะถาม บอกว่าข้าพเจ้ากำลังก่อไฟบูชายัญยกเสาบูชายัญขึ้นตั้ง ท่านมีอะไรแนะนำข้าพเจ้าบ้าง ว่าอย่างงั้น ท่านควรจะว่าอย่างนี้ คล้ายกับพระอานนท์จะบอกว่าท่านไม่ให้โอกาส ว่าอยากจะฟังพุทธเจ้าใช่ไหม ว่ามีความคิดเห็นอย่างไรมีข้อแนะนำอย่างไร คล้าย ๆ กับว่า พราหมณ์ก็ย่อมถือตัวว่าฉันนี่แน่ใช่ไหม รู้เรื่องบูชายัญใครจะมาสอนใช่ไหม ที่นี้ไม่ให้โอกาสพระพุทธเจ้าก็ให้เกียรติว่าท่านเป็นพราหมณ์ เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าพอเขาพูด ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้ พระพุทธเจ้าก็เราก็ได้สดับมาเหมือนกัน ว่าอย่างงั้นน่ะ
พระอานนท์ก็บอกว่าท่าน ควรพูดอย่างนี้ซิ ว่าข้าพเจ้ากำลังจะก่อไฟบูชายัญยกเสาบูายัญขึ้นตั้งแล้วท่านจะมีอะไรแน่ะนำข้าพเจ้าบ้างล่ะว่าอย่างงั้น เอ้าพราหมณ์ก็เอาตามพระอานนท์ พอกราบทูลพระพุทธเจ้าว่าอย่างนั้น พระพุทธเจ้าก็ตรัสแล้วทีนี้ พระพุทธเจ้าก็ตรัสบอกว่า คนที่ก่อไฟบูชายัญยกเสาบูยัญขึ้นตั้งนั้น เขาก็ยกศาตราขึ้นเงื้อ 3 ศาสตราแล้ว ว่าอย่างนั้นเอาล่ะ
พระพุทธเจ้าว่าอะไรบ้างล่ะ ก็ยกศาสตราขึ้นเงื้อ 3 ศาสตรา 3 ศาสตรามีอะไรบ้าง 1 ศาสตราทางใจ 2 ศาสตราทางวาจา 3 ศาสตราทางกาย ศาสตรานี่คืออะไรครับ มีด มีดที่จะใช้ฆ่าใช่ไหม แล้วก็ตรัสบอกว่า อ้าว ที่ว่ายกมีดหรือศาตราทางใจขึ้นเงื้อแล้วมีอะไร ก็คือว่าก็คิดแล้วว่าเราจะต้องฆ่าวัวเท่านี้ ฆ่าแพะเท่านี้ ฆ่าแกะเท่านี้ ตั้งใจแล้ว พอตั้งใจแล้วมันก็เป็นบาปแล้วเป็นอกุศล แล้วตัวบอกว่าจะทำกุศลจะได้บุญ นี่มันได้อกุศลทั้งนั้น บอกจะได้สุขนี่มันทุกข์เกิดขึ้นแล้วนี่ เอ้าละ 1 แล้วน่ะ
2 ก็ยกศาตราทางวาจาขึ้นเงื้อ ศาสตรทางวาจาคืออะไร ก็ท่านก็ต้องพูด พอก่อไฟบูชายัญยกเสาบูชายัญขึ้นตั้งก็ต้องออกวาจาคำสั่งแล้วว่า เจ้าจงไปเอาสัตว์นั้นฆ่าสัตว์นี้เท่านี้ เท่านี้ใช่ไหม สั่งลูกน้องพวกที่บูชายัญ นี่เงื้ออศาสตราทางวาจาขึ้นแล้วนี่ บอกว่าจะทำกุศล นี่มันทำอกุศลแล้ว จะสร้างความสุข นี่มันสร้างทุกข์ชัด ๆ
งั้น 3 เงื้อศาสตราทางกายคืออะไร ก็คือท่านต้องลงมือ ผู้ที่ประกอบพิธีบูชายัญเขาคงบัญญัติว่าต้องลงมือเองก่อนใช่ไหม แล้วคนอื่นก็ทำ ท่านก็ต้องลงมือฆ่าสัตว์เลย ฆ่าแพะ ฆ่าแกะ ค่าโค ฉะนั้นนี่บอกว่าจะทำกุศล ก็ทำอกุศลชัด ๆ แล้วก็จะสร้างความสุขก็มีแต่ทุกข์ขึ้นมาเลย นี่แหล่ะ
อ้าวแล้วพระพุทธเจ้าว่าแล้วใช่ไหม เสร็จแล้วพระพุทธเจ้าก็บอกว่า ที่นี้เขาพูดถึงฝ่ายบูชายัญ การบูชายัญมันสำคัญที่ไฟ เจ้าบอกว่าไฟมี 3 กอง ว่างั้นน่ะ ทีนี้ถ้าไฟ 3 กองอยู่ในใจนี่ มันก็มีแต่ผลเป็นทุกข์ มันจะไม่ได้ผลดีอย่างไงจะไปเกิดสวรรค์ยังไงมันต้องไปนรกสิว่าอย่างงั้น แล้วก็ก่อแต่ความเดือดร้อนมีแต่ความทุจริต มีอะไรบ้าง 1 ไฟราคะ 2 ไฟโทสะ 3 ไฟโมหะ นี่พระพุทธเจ้าตรัส เอาเรื่องไฟมาพูดแล้ว บอกว่าก่อไฟ ราคะ โทสะ โมหะ มันต้องการผลประโยชน์ นี่ไฟราคะ อยากได้ผลประโยชน์เพื่อตัวเอง โทสะมันต้องฆ่าสัตว์เป็นต้น โมหะมันหลงไม่รู้เรื่อง นี้ถ้าได้ไฟราคะ โทสะ โมหะ นี่มันก็เป็นเหตุให้ประกอบการทุจริต ไม่ได้ประกอบการสุจริต
ต่อไปทีนี้ไฟของพราหมณ์เขามี 3 ชนิดที่เป็นไฟสำหรับบูชายัญ
1 เขาเรียก คะระหะปะยะคะนี เป็นศัพท์สันสกฤต คะระหะปะยะคะนี่เทียบภาษบาลีว่าคาปะตะคิ คาปะตะคิแปลว่าไฟคฤหัสบดี ไฟคฤหัสบดีก็หมายถึงเจ้าบ้าน ของพราหมณ์เขาถือกันว่า ในตระกูลในครอบครัวนี่จะต้องมีไฟประจำบ้านไว้เลย เจ้าบ้านจะต้องรับผิดชอบ จะต้องจุดไฟนี้เลี้ยงไฟนี้ไม่ให้ดับ แล้วก็จากพ่อก็ส่งต่อให้ลูก ลูกก็จะต้องเก็บรักษาไว้เพราะตัวเองสืบตระกูล แล้วพอถึงลูกของตัวเองบ้างก็ส่งต่อให้ลูก โอ้โฮนี่เขาสำคัญมาก ไฟนี้ต้องเก็บรักษาไว้บูชาตลอด
แล้วไฟที่ 2 เรียกว่าอาหะวานีวิยะคนี ตอนนี้จะบูชายันต์แล้วก็ต้องต่ออไฟจากไฟที่ 1 คะระหะปะยะคะนี ที่จุดประจำบ้าน ก็ต่อไฟนี้ไปเป็นไฟรับเครื่องเซ่นนี่คือไฟบูชายัญอันที่ 2 เรียกว่า อะหะวานียะคะนี ก็เอาไปที่นี้พิธีบูชายัญ จะใหญ่ก็ต้องจัด โอ้โฮที่บริเวณกว้างขวางอย่างที่ว่า ผูกสัตว์ตั้งกี่ร้อยแล้วเมื่อกี้ ก็คิดดู วัวผู้ 500 ลูกวัวผู้ 500 ลูกวัวเมีย 500 แพะ 500 แกะ 500 กี่ตัวและ 2,500 ตัว ลองคิดดูสิต้องใช้บริเวณเท่าไหร่ใช่ไหม แล้วอย่างไอ้พวกที่เครื่องตกแต่งอะไรต่าง ๆ บริเวณอีกเยอะแยะ นี่เสร็จแล้วเขาก็จุดไฟบูชายัญกองใหญ่ เขาก็เอาไฟที่จุดจากไฟประจำบ้านเนี่ย เป็นไฟเครื่องรับเครื่องเซ่นไป แล้วไปจุดเป็นกอง กองสำคัญอยู่ที่ทิศใต้ กองที่ทิศใต้นี้เป็นกองที่สำคัญเรียกว่าทักษิณาคะนี ทักษินแปลว่าใต้ คือด้านขวา คำว่าใต้ของแขกเนี่ยคือทักษิณแปลว่าขวา เวลาเขาเทียบทิศนี้ก็หันหน้าไปทิศตะวันออกใช่ไหม มือขวาก็ออกไปทิศใต้ใช่ไหม ทีนี้แขกนี่เขานับถือมือขวา ขวานี่สำคัญแสดงความเคารพ แสดงการทักษิน เคยได้ยินใช่คำว่าทักษิน คำว่าทักษินนี้คือเอาขวาให้ หมายความว่าเคารพ ขวานี้สำคัญ ทีนี้ขวาอยู่ทิศใต้ ก็เอาไฟเนี๊ยะไฟบูชายัญสำคัญนี่ไปของสำคัญก่อไว้ทิศใต้ เรียกว่าทักษิณาคะนี ส่วนไฟกองอื่นก็คงจะแว้ดล้อมด้วยบริวาร ก็เป็นไฟ 3 กองนี่ไฟสำคัญของพราหมณ์คือ 1 คะระหะปะยะคะนี 2 อะหะวานียะคะนี 3 ทักษิณาคะนี
ทีนี้พระพุทธเจ้าก็ตรัสต่อไป พระพุทธเจ้าตรัสไฟ 3 กองบอกว่า ไฟ 3 กองนี้ต้องกำจัดว่างั้นน่ะ ต้องละต้องดับเสีย พระพุทธเจ้าตรัสไฟ 2 ชุด ของพราหมณ์เขามีไฟ 3 ชุด อยู่ชุดหนึ่งที่ว่านี่ พระพุทธเจ้าก็ตรัสว่ามีไฟ 3 อย่าง 1 ราคะคิ 2 โทสะคิ 3 โมหะคิ ก็คือไฟราคะ ไฟโทสะ ไฟโมหะ ไฟ 3 อย่างนี้ พึงละพึงดับเสีย
ต่อไปมีไฟอีก 3 กองที่พึงบริหารบำรุงบูชาให้ดีว่างั้น พระพุทธเจ้าตรัสทั้งฝ่ายดับฝ่ายที่จะต้องบำรุง ไฟ 3 กองนี้พระพุทธเจ้าใช้ศัพท์ของพราหมณ์เลย ของเรานี้เป็นภาษาบาลี เพราะฉะนั้นก็บอก 1 อะหุนัยยะคิ 2 คะหะปะตะคิ 3 ทักคินัยยะคิ ศัพท์เกือบเหมือนกันเลยใช่ไหม เปลี่ยนภาษาซะหน่อย ศัพท์นี้เกือบตรงกันเลย เรียนศัพท์แต่ความหมายไปคนละเรื่องเลย พระพุทธเจ้าก็เอาศัพท์ของพราหมณ์มาแล้วก็มาเปลี่ยนใหม่ บอกว่าไฟ 3 กองนี้ พิ่งบำรุงรักษาดูแลให้ดี ของพราหมณ์เขาคะระหะปะยะคะนี เป็นอันที่ 1 ใช่ไหม เพราะว่าเป็นไฟที่อยู่ประจำเป็นตัวตั้งและมาจุดไปเป็น อะหะวายะคะนี รับเครื่องเซ่นแล้วไปเป็นจุดที่กองที่สถานที่บูชายัญเป็นทักษิณคะนี พระพุทธเจ้าก็
1 อะคุยัยนะคิ ไฟที่ควรรับเครื่องเซ่น ไฟที่ควรรับของบูชา ได้แก่พ่อแม่ ว่าอย่างงั้นน่ะ พ่อแม่เราควรจะบำรุงรักษาดูแลให้ดี พ่อแม่เป็นเหมือนไฟ ถ้าหากเราไม่ดูแลให้ดีก็เป็นเหมือนไฟเผารนเรา ทำให้แล้วเดือดร้อน อาจจะหมายถึงว่ามีผลไปเป็นนรกอะไรต่ออะไรก็แล้วแต่ แต่ว่าหมายถึงว่ามีความหมายในทางที่ไม่บำรุงดูแลให้ดีก็เหมือนไฟเป็นโทษแก่ตัวเอง นี้ควรจะดูแลบำรุงดูแลให้ดีก็เป็นคุณแก่ตนเอง เป็นบุญเป็นอนิสงส์มาก นี้ 1 แล้ว อะหุนัยยะคิ ได้แก่พ่อแม
2 คะหะปะตะคิ ไฟของพ่อบ้านแม่เรือน ได้แก่คนในครอบครัวที่เรารับผิดชอบ ก็พ่อบ้านก็ต้องรับผิดชอบ 1 ลูก 2 ภรรยา แล้วก็ 3 คนรับใช้คนงาน นี่ถือเป็นคะหะปะตะคิ น่ะ บุตรภรรยาและคนรับใช้คนงานจะต้องเอาใจใส่บำรุงรักษาให้เขาอยู่ดีมีความสุข นี่เริ่มตั้งแต่ในครอบครัวนี่ ตั้งแต่พ่อแม่ไปลูกภรรยาคนในครอบครัวต้องดูแลให้ดี นี่ 2 แล้วน่ะ
3 ทักคินัยยะคิ ทักคินัยยะคิแปลว่าไฟที่ควรแก่ทักษินา ของแขกเขาเป็น ของพราหมณ์เป็นทักคินัยยะคิ บาลีก็เป็นทักคินะ ขวาแต่ในที่นี้เปลี่ยนศัพท์ไปเป็นทักคินา แล้วก็เป็นทักคินัยยะ ทักคินัยะแปลว่าคู่ควรกับทักษินา อันนี้ไม่ได้แปลว่าขวาเสียแล้ว ไม่ได้แปลว่าใต้แล้ว คูควรทักคินาแปลว่าทักษินา นี่ก็หมายถึงสิ่งที่ได้ถวายหรือมอบให้เพื่อบูชาคุณความดีด้วยความเชื่องกรรมว่าจะให้ผลในทางที่ดี คือว่าทำบุญอุทิศกุศลให้ผู้ล่วงลับอย่างที่เราเรียกทักษินา อันนี้ผู้ที่ควรรับทักษินาคืออะไร คือสมณพราหมณ์ พระภิกษุสงฆ์ผู้ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบไม่มีความประมาทมัวเมา ก็คือผู้ดำรงศีลดำรงธรรมของสังคมนั่นเอง ซึ่งทุกคนจะต้องช่วยกันรับผิดชอบ จะให้คนประเภทนี้ดำรงอยู่ในสังคม แล้วช่วยกันเพื่อให้ธรรมะอยู่ในสังคมก็ต้องไปบำรุงรักษาคนที่ดำรงธรรมะของสังคมไว้ พระพุทธเจ้าก็ตรัสว่านี่ ไฟ 3 กองนี้จะต้องบำรุงรักษา ก็เปลี่ยนหมดใช่ไหม
นี่จากเรื่องบูชายัญเรื่องไฟ แค่นี้ก็เห็นชัดแล้ว พระเจ้าก็เปลี่ยนของพราหมณ์นั้นแกก็เตรียมตัวก่อไฟเพื่อจะไปสังเวยเทพเจ้าใช่ไหม พระพุทธเจ้าบอกคุณมาดูไฟที่ควรจะต้องกำจัดมีอะไร คุณไฟที่ควรจะบำรุงรักษาดูแลไว้ไม่ให้ดับคือไฟอะไร นี่ก็คือคนที่จะต้องเอาใจใส่กันให้ดี ไม่ต้องมัวไปคิดไปถวายเครื่องเซ่น เราจะได้อะไร มาดูแลเอาใจใส่รับผิดชอบคนที่อยู่ร่วมกันในสังคมนี้ให้ดี
แต่แล้วก็ไฟสุดท้าย ท่านเรียกว่าไฟที่ 7 ก็คือไฟที่ใช้งาน แต่ก่อนเรียกว่ากันทะคิ ไฟที่เกิดจากไม้ เพราะแต่ก่อนก่อไฟใช้ไม้ ไฟที่ 7 นี้เอาไว้ใช้ประโยชน์ก็ต้องจุดต้องดับต้องเก็บรักษาให้ดีให้ระวัง อันนี้ก็เป็นไฟใช้งานทั่วไป แต่ว่าไฟ 6 อย่างแรก อย่างที่ว่าชุดแรกให้ดับ ชุดที่ 2 ให้บำรุงให้ดี นี่ก็คือคำสอนที่ให้เห็นถึงการที่พระพุทธศาสนาเกิดขึ้นแล้วมีการเปลี่ยนแปลงอย่างไร พุทธศาสนามีท่าทีต่อเรื่องราวความเชื่อถือการประพฤติปฏิบัติของคนในสังคมยุคนั้นอย่างไรใช่ไหม เราก็จะได้เห็นจะทำสอนอย่างเนี้ยที่กระจายอยู่ในพระไตรปิฎก ซึ่งทำให้สังเกตก็จะผ่านไปเสียเฉย ๆ ฉะนั้นผมก็เลยยกมาเป็นตัวอย่าง ว่านี่แหละพระพุทธเจ้าทรงได้สอน ฉะนั้นถ้าปัญจุบันนี้เรามาตั้งใจเอาธรรมะของพระพุทธเจ้ามาใช้นี่ มันจะช่วยชีวิตและสังคมแก้ไขปัญหากันไปให้มันเสร็จสิ้นไป นี้สังคมในปัจจุบันนี้ บอกว่านับถือพระพุทธศาสนา แต่ว่าเราจะเห็นว่า มันไม่ได้จับหลักการเหล่านี้เลยใช่ไหม มันมองออกไปข้างนอก ไปหาความช่วยเหลือที่พึ่งอะไรต่าง ๆ ภายนอกกันไป จนกระทั่งอย่างที่ว่ามนุษย์ก็ไม่ได้เอาใจใส่กัน ไม่ได้แสวงหาความร่วมมือ ไม่ได้ร่วมกันแก้ปัญหา ตัวเองก็ไม่ได้คิดว่าตัวเองจะต้องทำอะเไรที่จะพัฒนาตัวเอง 2 แล้วในแง่สังคมก็ไม่มาร่วมมือกันแก้ปัญหาใช่ไหม ก็ไปแสวงหาความช่วยเหลือจากอำนาจเล้นลับบันดาลแบบเดียวกับศาสนาพราหมณ์ในสมัยก่อน ที่พระพุทธเจ้าพยายามสอนนักสอนหนา
ทีนี้ดีไม่ดีชาวพุทธก็จะแบบเมืองอินเดียที่ว่าจะคิดบวงสรวงอ้อนวอนเทพเจ้าให้มาช่วย พระพุทธศาสนาได้ช่วยอินเดียมาก อย่างที่เล่าเมื่อเช้านี้ที่ว่า จนกระทั่งทำให้พราหมณ์ต้องเดือดร้อนเลยสร้างเป็นเรื่องเป็นราวขึ้นมา เราก็เลยได้เห็นเรื่องที่เขาเล่าให้ฟ้องตัวเองใช่ไหม ว่าการที่พระพุทธเจ้าไปเป็นนารายณ์อวตาร เรื่องที่เล่าแสดงพุทธศาสนาได้รุ่งเรืองมากในอินเดีย แล้วเกิดการเปลี่ยนแปลงในสังคมอย่างไรใช่ไหม ที่บอกว่าเทวดาทั้งหลายนี่เดือดร้อนไปหาพระศิวะ ไปหาพระนารายณ์กัน อันที่บอกไปหาพระศิวะก็ร้องทุกข์บอกว่านี่ เวลานี้พวกมนุษย์ทั้งหลายไปเชื่อพวกหลอกลวงเอาเลิกไม่นับถือพระเวทบูชายันต์ เทวดาก็ไม่มีเครื่องเซ่น ว่าอย่างงั้น เทวดาไม่ได้รับของสัยเวย แย่แล้วเดือดร้อนไปตามกันขอให้พระศิวะช่วย พระศิวะก็เลยต้องอวตารลงมา คติศิวะอวตารนี่มีด้วยในฝ่ายสิวะ แต่ว่าเราได้ยินคติพระนารายณ์ คือนารายณ์อวตารมีก่อน ฝ่ายนารายณ์คือ ฝ่ายวิษณุ นับถือพระนารายณ์ วิษณุก็อยากจะเล่นงานพุทธศาสนาเอาก่อนใช่ไหม พัฒนาแนวคิดขึ้นมาเอาพระพุทธเจ้าเป็นนารายณ์อวตาร ก็คือว่าพระวิษณุจะช่วยเทวดาทั้งหลายว่าเทวดานี้เดือดร้อนแล้วเพราะพวกอสูร อสูรมีฤทธิ์มากปราบไม่ได้เพราะว่าอสูรนี้รู้พระเวทย์ แล้วก็บูชายัญ อันนี้นี่ของฝ่ายนับถือพระวิษณุ นารายณ์ว่า ก็เลยเพื่อจะให้เทวดาปราบอสูรได้ก็ต้องไปทำลายฤทธานุภาพของอสูร ทำไงก็เลยพระวิษณุก็เป็นเจ้าใหญ่ก็เลยต้องลงมาเกิดในโลกมนุษย์มาอวตารมาเป็นพระพุทธเจ้า แล้วไปสอนหรอกพวกอสูรให้มันเลิกนับถือพระเวทให้มันเลิกบูชายัญ แล้วทีนี้ก็จะได้ให้เทวดาปราบได้หมดฤทธิ์ใช่ไหม
นี่เรื่องที่พระพุทธเจ้าเป็นอรตารเกิดแล้วก็จะมีอวตารปางสุดท้ายมาอีก พระพุทธเจ้านี้เป็นอวตารปางที่ 9 ตามหลักของพวกพราหมณ์ เป็นพุทธอวตารเป็นอวตารปางที่ 10 เรียกกัลกายวตาร ก็พระนารายณ์จะมาอุบัติเป็นนายกันกิ แล้วก็กันกิก็จะมาปราบพวกมนุษย์ทั้งหลายที่ปล่อยพวกที่พระพุทธเจ้ามาหลอกออกไว้แล้วจัดการให้สิ้นเลย ฆ่าหมด นี่อาจจะเป็นข้ออ้างของพวกพราหมณ์ระยะหลังก็ได้ในการกำจัดพุทธศาสนา ก็ไม่รู้จากเรื่องประวัติศาสตร์ก็ต้องค้นต่อไป แต่นี่มันมาในคัมภีร์ คัมภีร์ปุราณะที่ว่าซึ่งเกิดขึ้นหลังพุทธการประมาณพันปีเป็นต้นมา คัมภีร์ปุราณะมีทั้งหมด 18 คัมภีร์ด้วยกัน เป็นของนิกายนับถือพระวิษณุ 6 คัมภีร ของนิกายนับถือพระศิวะ 6 คัมภีร์ นิกายนับถือพระพรหม 6 คัมภีร์ ก็มีเทพเจ้าใหญ่อยู่ 3 พวกนับถือก็แยกกันไป ทีนี้วิษณุปุราณะเป็นคัมภีร์แรกกล่าวถึงพระพุทธเจ้าเป็นอวตาร แล้วก็เล่าอย่างที่ว่าเมื่อกี้นี้ แล้วมีปุราณะ พาตะปุราคะก็ว่าไว้ยิ่งชัดขึ้นไปอีก
นี่ก็ต่อมาตอนหลังพวกนับถือศิวะก็เลยสร้างเรื่องขึ้นมาบ้าง พวกนี้ก็จะตีวิษณุด้วยเพราะว่าไม่ถูกกัน พราหมณ์ด้วยกัน ก็บอกว่าพระวิษณุนี่ไปหลอกคนไว้ว่า เอาอีกแล้วว่าพระพุทธเจ้านี้ พระศิวะอวตารลงมาเป็นพระพุทธเจ้าแล้วเที่ยวมาหลอกคนไว้แล้วไปสอนให้คนเลิกนับถือ พระเวทแล้วก็ไปเลิกบูชายัญ เวลานี้พวกนับถือผิดอย่างนี้ทั่วต็มแผ่นดินหมด ว่าอย่างง้ันในคัมภีร์ ในคัมภีร์ชื่ออะไรน่ะ ชื่อ ศิวะคิคะวิชัย ว่างั้น ที่เอามาลงในหนังสือแล้ว ทีนี้เลยเมื่อร้องทุกข์อย่างนี้ศิวะทำอย่างไงละ เทวดาเป็นลูกน้องก็ช่วยเทวดา ไม่มีเครื่องเซ่นแล้ว พอไปนับถือผิดกันหมดทั่วเต็มแผ่นดินหมดแล้ว เทวดาไม่ได้รับเครื่องสังเวย ทีนี้พระศิวะก็เลยต้องให้อวตารลงมาเป็นสังกราจารย์มากำจัดพุทธศาสนา เมื่อประมาณ พ.ศ. 2300 นี่ก็เรื่องของฝ่ายไสวะก็จะเล่นงานพระพุทธศาสนา นี่เราก็ต้องทราบภูมิหลังความเป็นมาและแสดงให้เห็นว่า อ้อเมื่อเขาเขียนอย่างนั้นก็แสดงว่าคนนับถือพุทธศาสนากันทั่วหมด ศาสนาพราหมณ์แย่แล้วใช่ไหมในยุคนั้น ทีนี้พวกพราหมณ์มาสร้างทฤษฎีอย่างนี้แล้ว ต่อมาปรากฏว่าได้ผลใช่ไหม พุทธศาสนาเสื่อมลง มันก็เป็นเรื่องที่น่าวิจัยว่าเป็นเพราะอะไรอีก ในหมู่พุทธเอง พระเองเนี่ยจะเสียหลัก อย่างหนึ่งก็คือ เสียหลักไปกลมกลืนกับศาสนาฮินดูไม่แข็งพอ แล้วก็ความเสื่อมในตอนหลัง ๆ ที่ว่า นี้ก็จากเรื่องที่พราหมณ์เขาเขียนไว้ในคัมภีร์ปุราณะของฝ่ายวิษณุคือนับถือพระนารายณ์ก็ตาม ที่เขาสร้างเรื่องนาราณ์อวตาร แสดงเป็นพระพุทธเจ้า และเรื่องของไสวะก็ตาม แสดงว่าพุทธศาสนาได้เจริญรุ่งเรืองมากอย่างที่ว่า เขาก็หาทางที่จะทำอย่างไรให้ลิดรอนพุทธศาสนา เพื่อจะให้ศาศนาพราหมณ์ที่พัฒนาเป็นฮินดูนี่กลับมีกำลังขึ้นมาบ้าง เพราะศาศนาพราหมณ์ นี้มันหมายถึงผลประโยชน์ของพราหมณ์ชัด ๆ ใช่ไหม เพราะว่าที่บอกว่าเทวดาไม่ได้รับเครื่องเซ่น ความหมายหนึ่งก็คือ พราหมณ์นี่อดแล้วใช่ไหม ไม่ได้ประกอบพิธีเลย ไม่มีคนเอาอะไรต่ออะไรค่าจ้างประกอบพิธีบูชายัญไปให้ ดังนั้นพราหมณ์ก็ลำบากสิ ที่นี่ศาสนาพราหมณ์มีหมู่คนที่รับผิดชอบที่จะรับผลประโยชน์ เพราะฉะนั้นเขาเกิดความเสื่อมเขาก็ต้องเอาใจใส่เอาจริงเอาจัง เพราะว่าหมายถึงการที่เขาจะอยู่ได้หรือไม่ได้ด้วย ก็คือว่าเดิมเนี่ยที่ว่าโดยแง่ของพราหมณ์เองทำไมคนพรามหมณ์เนี่ย พวกวรรณะต่ำไม่ฮือขึ้นมาใช่ไหม ทั้ง ๆ ที่ตัวเองเนี่ยไม่มีสิทธิ์มีเสียงมีความเป็นอยู่อย่างแย่ที่สุดเลยนี่ อย่างพระไทยเราไปเห็นแขกชั้นสูตรอยู่บอกว่าเหมือนกับสัตว์เลย เหมือนสัตว์เดรัจฉานอยู่ เขายอมรับสภาพแล้วเขาไม่กล้าทำอะไรที่เป็นการผิดไปจากที่เขาถูกสั่งไว้เพราะเขากลัวบาบใช่ไหม อันนั้นอย่างที่ว่าคนวรรณะสูตรไปทำงานใน Hotel ไปคอยรอเอาน้ำที่คนเขาอาบแล้วเนี่ยมาอาบตัวเอง โดยที่ตัวเองตั้งใจทำ คือทั้ง ๆ ที่มีน้ำดีก็ไม่ใช้ ทำไมถึงเป็นอย่างนี้เพราะความเชื่อ อันนั้นเขากลัวเลยเขาไม่กล้าที่จะไปทำอะไรที่ผิดใช่ไหม เพราะฉะนั้นเขาก็ไม่มีเรื่องที่จะมาคิดเรียกร้องสิทธิ์ไม่มี เพราะถ้าเขาทำอย่างนั้นก็คือเขาทำบาปละเมิด ฝังลึกมาก นั้นอยู่เลย นี้เมื่อมันอยู่ในระบบวรรณะอย่างนี้มันจะพัฒนากันได้ยังไงใช่ไหม ฉะนั้นอย่างพวกผู้นำอินเดียยุคหลังพวกเนรู หรือ อินทิราจะมาแก้ปัญหาแก้ไม่ตก เพราะคนมันเป็นเองที่คนประชาชนมันยึดมั่นอย่างงั้น
คนฟังถาม เปรียบเทียบเหมือนอย่างคนไทยบางที่เชื่อเกี่ยวกับโชครางอะไรต่าง ๆ เชื่อมากเลย ลึกมากเราก็ต้องยอมรับแบบนี้
พระตอบ ลึกมาก ทีนี้ถ้าพระเรามีหลักแล้วเป็นหลักให้ใช่ไหม มันก็ยังมีทางเพราะเราสามารถเอาไอ้ความเชื่อเหล่านั้นมาเป็นสื่อ เป็นจุดเริ่มต้นมาโยงเขาใช่ไหม เอ้า ๆ คุณยังเชื่อสิ่งเหล่านี้ก็ทำให้พอให้ปิดช่องหวั่นใจที่เคยพูดไว้แล้ว แนะนำสั่งสอนไป
คนฟังถาม อย่างสังคมอินเดียนี้ แล้วสังคมยุโรป หรือว่าของจีนอย่างนี้ ทำไมเขาถึงไม่มีการนับถือ การบูชายัญ เทวดา พรหม
พระตอง มี มีมาน่ะ สมัยก่อนบูชายัญ นี้มีแต่ว่าที่นี่มันไม่มีความเชื่อฟังลึกเหมือนอินเดีย ระบบวรรณะของอินเดียนี่แหม ได้ผลมากใช่ไหม ฝรั่งแพ้เลย ฝรั่งนี้มันเรียกร้องสิทธิเลยใช่ไหม เคยมีปัญหามาแล้วทีนี้ เพราะว่ามันไม่มีไอ้ตัวความยึดติดก็ทำให้เขามีการเรียกร้องมีการต่อสู้กัน ก็มีการเปลี่ยนแปลงทางสังคม แต่ว่าการบูชายัญอะไรต่ออะไรนี่ พวกศาสนาโบราณจะมีทั้งตะวันตกและตะวันออก แต่อินเดียเดี๋ยวนี้ก็เบาลงเยอะแล้วนะครับ
คนฟังถาม แล้วของจีน พระตอบ ของจีนตอนก่อนรับพุทธเขา เขาก็พัฒนามาพอสมควร
คนฟังถาม ของเก่าไม่ค่อยมีเรื่องเกี่ยวกับการบูชายัญ
พระตอบ บูชายัญคงจะมี ก็คงเก่ามาก คงยุคโบราณจริง ๆ คนอินเดียนี้ถูกผูกไว้ด้วยความเชื่อก็เลยกลายเป็นตัวเองนั่นแหละไม่ยอมไม่ยอมที่จะสร้างความเจริญไม่ยอมที่จะก้าวออกไป
คนฟังถาม อย่างศาสนาเดิมทีเรียกฮินดูนี่เรียกตัวเองว่าพราหมณ์ ศาสนาพราหมณ์ ชาวพุทธไปเรียกศาสนาพราหมณ์ใช่ไหมครับ
พระตอบ คือชื่อเรียกศาสนาเองเนี่ยคงไม่มีหรอกใช่ไหม เราก็หาคำมาเรียกเหมือนอย่างพุทธศาสนาเนี่ยมันเป็นคำที่ตกลงใช้กันทีหลัง คำเดิมว่าพุทธศาสนานั้นก็คือคำสอนของพระพุทธเจ้าเท่านั้นเอง ความหมายแค่นั้น ทีนี้พออยู่ไป อยู่ไปมันก็เกิดเป็นระบบความเชื่อมีกลุ่มชนมีข้อปฏิบัติเฉพาะ ก็ต้องการหาศัพท์รวมที่จะเรียกทั้งหมด แต่ก่อนก็เรียกพวกนับถืออะไร ก็ว่าอะไรก็ว่าอย่างนั้น เราเรียกพวกนิครนถ์ เรียกนิครนถ์ทั้งหลาย ก็พวกนิครนถ์ แล้วพวกนิครนถ์มันเรียกพวกเราก็ เขาอาจจะเรียกว่าพวกสมณโคดมอะไรอย่างนี้ใช่ไหม ต่อมาก็เลยต้องหาศัพท์เรียกขึ้นมาเพื่อจะเป็นตัวแทนระบบนี้ทั้งหมด ก็ศาสนาพราหมณ์แล้วก็มาเรียกเอาพราหมณ์เป็นหลักใช่ไหมครับ พราหมณ์เป็นหลักเป็นแกนเป็นผู้นำของศาสนานั้น แต่ก่อนที่นี้บางทีฝรั่งเขาเรียกศาสนาพระเวท ตอนหลังมันจึงมีศัพท์เกิดขึ้นมา ศัพท์นี่มันไม่ได้เกิดมาเขาไม่ได้ตั้งศัพท์ขึ้นมาก่อนนี้ใช่ไหม นี้พระพุทธเจ้า เมื่อเริ่มตั้งพุทธศาสนาก็เรียกเฉพาะสิ่งที่พระองค์ทำ ทำอะไรก็เรียกชื่อสิ่งนั้นใช่ไหม มันขยายไปแล้วศัพท์นี้ก็ไม่มีก็ต้องคิดเอา แล้วก็เรียกของเดิม พราหมณ์มินิซึ่ม นี่ฝรั่งเรียก ฝรั่งก็เรียกอย่างนั้นก็เพราะอะไรศาสนานี้นับถือพราหมณ์ มีพราหมณ์เป็นหลักใช่ไหม ถ้าศาสนาของพราหมณ์ ทีนี้เราก็เรียกตามนี้ เรียกตามที่ว่าพราหมณ์เป็นหลักของศาสนานี้ ก็เรียกศาสนาของพราหมณ์ เพราะพราหมณ์เป็นผู้นำทั้งหมด ทีนี้ต่อมาพัฒนาอีกทีหนึ่ง ก็ปรับปรุงใหม่มันก็มีการเปลี่ยนแปลงไป เช่นรับเอาคติพุทธศาสนา เอาธรรมะเอาไปใช้ ศาสนาพราหมณ์ที่ไปปรับปรุงยุคหลังพุทธกาล การเปลี่ยนแปลงไปมากไม่เหมือนกันศาสนาพราหมณ์เดิมใช่ไหม ก็เลยเรียกชื่อใหม่
คนฟังถาม พราหมณ์นี่ก่อนเป็นหลักฝังเชื่อไม่ใช่ศาสนา ที่ผมถามว่าที่ยุโรปนี่ก่อนนี้ไม่มีศาสนาคริสต์เกิดขึ้นการเริ่มต้นไม่มีการบูชายันต์ หรือนับถืออะไรมากมาย เซ็นกลายเป็นเอาความเชื่อผิด ๆ
พระตอบ ยุโรปยุคนั้นมันยังเป็นพวกป่าเถื่อนนี่
คนฟังถาม กรีก พระตอบ กรีกก็มีนับถือเทพเจ้า เทพนินายเต็มหมดเลย
คนฟังถาม เขาไม่มีบูชา
พระตอบ มีมี พวกลัทธิ พวกนี้มีบูชายัญศาสนาเก่า ก็สังเวยเทพเจ้ากันนะ ก็เอาศัตรูไปบูชากันใช่ไหมนีแหละ ต่อมาก็พวกโรมันก็จับพวกคริสต์เอาไปสู้กับพวกเสืออะไรพวกนี้ อันนี้ก็พวกศาสนาของกรีกโรมันมันก็เป็นพวกเทพเจ้าซีอุส
คนฟังถาม แต่ก็ไม่พัฒนามาเป็นอย่างพราหมณ์
พระตอล ก็เขาไม่มีให้ตัวระบบวรรณะที่เข้มที่อยู่เหมือนกับของพราหมณ์ เขามีนะบนวรรณะ วรรณะเจ้ากับวรรณทาส มี 2 วรรณะ พระพุทธเจ้าเคยตรัสเรื่องว่า พวกโน้นเขาไม่ได้มีวรรณะ 4 อาจจะมีวรรณ 2 หรือว่าวรรณะอะไรอย่างนั้น พวกนั้นมันไม่ได้ยึดติดในความเชื่อแบบของพวกพราหมณ์ใช่ไหม มันมีการที่ว่า เอ้เราถูกกดขี่นี่ต้องสู้อะไรอย่างนี้ใช่ไหม มันก็เลยกลายเป็นว่าเกิดการต่อสู้กันแย่งอำนาจในทางสังคมอะไรต่ออะไรขึ้นมา เกิดการเปลี่ยน
คนฟังถาม ความเป็นปัจเจกของชาวตะวันตกนี้สูง นี่พราหมณ์ต้องการรักษาเชื้อชาติ
พระตอบ ก็ไม่รู้มันเป็นอย่างไรไม่รู้พราหมณ์ประสพ
คนฟังถาม คือว่า ของเปอร์เซียกับพวกอิหร่านแล้วก็แขกอินเดียเป็นเผ่าพันธ์เดียวกันใช่ไหม แม่น้ำมาตัด ที่มาแตกนับถือเทพคนละองค์ อิหร่านก็เลยหยุด ก็เลยมุ่งตรงมาทางตะวันออกผ่านช่องแคบตรงเข้ามาทางอินเดีย จะมาลงมาทางใต้ สร้างความเชื่อดูรักษาเผ่าเอาไว้
พระตอบ นั่นซิแต่ว่า อันนี้ก็ส่วนหนึ่งเรื่องระบบวรรณะก็จะมีการกีดกันหรือแต่งงานเป็นต้นใช่ไหม การ แต่งงานนี้เป็นเรื่องสำคัญเลย ทุกวรรณะโดยเฉพาะอย่างพราหมณ์จะต้องบริสุทธิ์ 7 ชั่วคนไม่มีปะปนเลยใช่ไหม คนไหนที่บริสุทธิ์มาตลอดนี่นับเท่าที่นับได้ 7 ชั่วคนนี่ไม่มีปะปนก็คนนั้นก็จะมีเกีรติมากใช่ไหม ทีนี้ถ้าหากเกิดไปแต่งงานข้ามวรรณะก็กลายเป็นจันทานถูกดูถูก อย่างเจ้าศากยะที่ว่าพระเจ้าแผ่นดินโกศลมาขอลูกสาวยังไม่ให้เลยใช่ไหมขนาดนั้นเป็นพระเจ้าแผ่นดินน่ะ ถือชาติถือวรรณะขนาดนั้นต้องเอาลูกทาสให้ไป แล้วก็เลยเกิดเรื่องกลับมาเป็นการทำลายตัวเอง แสดงการยึดถือนี่มันฝังลึกมาก อินเดียก็เลยเนี่ยมาจนกระทั่งปัจจุบันนี้รักษาของเก่าไว้แทบไม่มีเปลี่ยน การบำเพ็ญตบะอะไรต่ออะไรยังมีอยู่ในอินเดียจนกระทั่งปัจจุบัน ใครอยากดูของเก่าๆ เมื่อสมัยพุทธกาลมาดูที่อินเดียได้
คนฟังถาม เห็นท่านเจ้าคุณบอกว่าเป็นตู้โชว์
พระตอบ นั่นแหละ เพราะเป็นลักษณะหนึ่งของอินเดีย จะว่าไปในแง่หนึ่ง เหมือนกับว่ามีความสามารถพิเศษที่รักษาของเก่าได้ดีที่สุดใช่ไหมอยู่อย่างนั้น
คนฟังถาม เมื่อต้นเดือนนี้ที่ว่าได้ข่าวพวกฮินดูไปที่ถ้ำอะไร รัฐปัจจาป พระตอบ อ๋อจะไปไหว้เทพเจ้า
คนฟังถาม ตายเป็นพัน
พระตอบ ตายไปเยอะเลยความเชื่อรุนแรงมาก ก็นี่เขาก็พยายามเข้าไทยอีก ก็เขาจะมาจัดประชุมในเมืองไทย แล้วสังฆราจารย์ สัฆราจารย์นี่เป็นตำแหน่ง สังฆราจารย์คนปัจจุบันจนซึ่งสืบต่อมาตามลำดับในนิกายไสวะ สังฆราจารย์จะเดินทางเท้าเปล่าจากประเทศอินเดียมาประชุมที่เมืองไทย
คนฟังถาม สังฆราจารย์นี้เป็นพราหมณ์ใช่ไหม
พระตอบ สังฆารจารย์นี่เป็นพราหมณ์ใหญ่ที่สืบเล่าให้ฟังที่อวตารจากพระศิวะจะลงมากำจัดพระพุทธเจ้า เมื่อพ.ศ.ประมาณ 1300 ทีนี้สังฆารจารย์นี่สืบต่อตำแหน่งมา นี่ก็สังฆารจารย์ปัจจุบันเนี่ยจะเดินทางด้วยเท้าเปล่าจากอินเดียมาเพื่อมาประชุมเมืองไทยตามกำหนดการนั้น เข้าใช้คำว่าธรรมะยาตรา นี่พอจะเดินทางมาเดินเท้าเปล่าทนี่จะต้องผ่านแดนพม่า ก็ขออนุญาตผ่านแดนพม่าไม่ยอม พม่าคงรู้ทัน เพราะว่าพม่าเอาเรื่องเหมือนกัน แล้วก็มีชาวพุทธที่รู้ทันไปคงจะไปสื่อสารให้รัฐบาลพม่ารู้ ก็เป็นว่าสังฆราจารย์เองจะมาไม่ได้ ก็จะมีคนอื่นที่มาทางเครื่องบิน นั่นก็เขาจะมาจัดการประชุมที่นี่ ทีนี้ก็มีชาวพุทธที่รู้เรื่อง เพราะในอินเดียเขาลงข่าว ในอินเดียนี้มีคนที่ไม่ยอมรับพาไปทั้งหมด มีหนังสือพิมพ์หนึ่งก็ลงมาว่าการประชุมนี้จะมีเงื่อนงัม
คนฟังถาม พม่าไม่ยอมนี้เพราะพม่าไม่มีสายสัมพันธ์ หรือว่าเกี่ยวกับพวกทหารไม่ยอมก็ได้
พระตอบ เขาไม่ยอมนั้นเขารู้ทัน ว่าเป็นฮินดู ทีนี้ของเรา เราไม่รู้ว่าฮินดูว่าจะมา คือเขาไม่รู้ ไม่รู้ความประสงค์ รู้ว่าฮินดูมา คือเขาบอกมาดิว่าจะมาร่วมประชุมพระพุทธจะได้มาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันเป็นการสัมพันธ์ระหว่างศาสนา
คนฟังถาม เรียนแบบแน่เลย
พระตอบ ก็นั่นแหละ คนไทยก็รู้เท่าทัน ไม่มีใครรู้ รู้อย่างนารายณ์อวตาร นี่ยังนึกว่า โอ้นี่เขานับถือยกย่องพระพุทธเจ้าเป็นนายรายณ์ใช่ไหม ทีนี้เขาก็โฆษณาว่าการประชุมครั้งนี้เป็นครั้งที่ 2 ปีที่แล้วประชุมที่อินเดียแล้ว ปีก่อน แล้วที่อินเดีย ก็มีฝ่ายพุธมีพระเข้าประชุมด้วย เขาก็เอารูปมาลงวะเนี่ยมีพระเข้าประชุมก็เห็นร่วมกับเขาได้มีมติร่วมกันในระหว่างพุทธกับฮินดูว่าไปกันได้ ในหลักดูจะ 8 ประการ เขาเขียนสาธะยายมาน่ะ ว่าพุทธกับฮินดูนี่ เข้ากันได้ 8 ประการ แล้วก็มีพระฝ่ายพุทธเข้าประชุมด้วยยอมรับมตินี้เป็นมติร่วมกัน เขาบอกว่าอย่างนั้น แล้วก็เลยจะมาประชุมนี้เป็นครั้งที่ 2 นี่เขาก็หว่านมาเสร็จใช่ไหม หว่านล้อมมา โอ้นี่ มันมีเรื่องที่เป็นไปด้วยดีสามัคคีกันมาดี นี้ต่อมาพระที่อินเดียนี้ก็ส่งข่าวแจ้งกันมาบอกว่าหลงกลไม่ได้รู้เรื่องหรอกไปประชุมเขาไม่รู้อิโหน่อิเหน่เท่าไหร่ ไปนั่งแล้วก็ไม่ได้ไปร่วมให้มติให้ความคิดอะไรถูกถ่ายรูปเอามาอ้าง ทีนี้มติไอ้ที่ว่าพุทธศาสนากับฮินดูนี่เหมือนกัน 8 ประการเนี่ย ก็มีอยู่ข้อหนึ่งว่า ว่าพระพุทธเจ้าเป็นพระนารายณ์อวตารลงมา เป็นอยู่ข้อหนึ่งในข้อเหล่านั้น ทีนี้ชาวพุทธเราก็เลยเริ่มเคลื่อนไหว ในที่สุดก็เลยต้องงดประชุม ทีนี้ผู้ที่จะจัดประชุมนี้มีอิทธิพลมากเพราะว่าเป็นเศรษฐีใหญ่ของอินเดีย พอตกลงว่าชะงักทางนี้ก็จัดไม่ได้ ก็มีเรื่องต่อมาคือว่าตอนนี้มันมีข้อสังเกตอันหนึ่งด้วยก็คือพุทธศาสนาเริ่มกลับเข้าอินเดีย ก็เริ่มฟื้นฟูขึ้นมามีคนหันมานับถือปฏิบัติมีสำนักกรรมฐานอะไรต่าง ๆ เพิ่ม ทีนี้พวกฮินดูใหญ่ ๆ นี้ก็คงจะกลัวพุทธศาสนาจะฟื้นขึ้นมาอีก ก็จะต้องหาทางกั้น ทีนี้อันนี้แผนนี้มันเป็นว่ามาประชุมไทยไม่สำเร็จ ตอนนี้ก็คือโมดีเนี่ยได้ทำเป็นภาพยนตร์สำหรับออกทีวีเป็นชุดเลยไม่รู้กี่ตอนจบเลยออกเป็นประจำเลย ทีนี้ในประเทศอินเดีย ออกในอินเดีย ออกเป็นเรื่องพระพุทธเจ้าเป็นพุทธประวัติ แต่พุทธประวัติฉบับนี้ก็คือเป็นนารายณ์อวตาร ที่นี่เขาก็เล่าให้ฟังว่าที่ออกไปแล้วที่โทรทัศน์เป็นตอน ๆ นี่ ก็ยังตอนเป็นเด็ก ตอนไปกุมาร บอกว่าพระพุทธเจ้าตอนเป็นเจ้าชายนี่ ก็จะเสเพลกินเหล้าเมายา บางทีไปกินเหล้าแล้วไปนอนอยู่ข้างถนนไม่รู้ตัวอะไรอย่างนี้ แล้วก็จะให้เห็นว่าประวัติพระพุทธเจ้าเดิมนี่ประพฤติไม่ดี แล้วมาเป็นฮินดูอะไรอย่างนี้ เขาจะออกเป็นตอน ๆ อย่างนี้ แล้วก็ให้คนอินเดียสร้างภาพพระพุทธเจ้าในแนวที่เขาต้องการใช่ไหม ก็คือเป็นพระนารายณ์อวตาร ก็จะแย่ก็คือเตรียมกันคนอินเดียไว้ไม่ให้รับพุทธศาสนา
คนฟังถาม มีข้อน่าสังเกตน่ะครับ ฮินดูเขาจะมีมหาเศรษฐีที่เล็งเห็นความสำคัญ เราไม่มีมหาเศรษฐีจะมาใส่ใจในทางนี้
พระตอบ ใช่นี่แหล่ะ มันขาดแคลนชองเรา แสดงว่าสังคมพุทธของเขาอ่อนมาก ถึงได้ถูกชักจูงได้ง่ายใช่ไหม แต่ของพราหมณ์มันเกี่ยวกับผลประโยชน์ด้วยน่ะ เพราะว่าความเป็นวรรณะสูงใช่ไหม ความเป็นวรรณะพราหมณ์ ความยิ่งใหญ่ฐานะอะไรต่าง ๆ ในสังคมมันมีผลประโยชน์และเข้าไปเกี่ยวข้อง ทีนี้ต่อมา ผมได้รับนิมนต์ไปพูดที่พ.ส.ร ด้วยการฟื้นฟูพูดศาสนาในอินเดีย แล้วเลยไปพูดเรื่องนารายณ์อวตาร เรื่องอะไรต่าง ๆ ด้วย นี่ก็พอพูดเสร็จแล้วก็มีคนที่ทำงานเกี่ยวกับการศึกษาเรื่องสังคมสงเคราะห์อะไรนี่เข้ามาหา บอกว่าโอ้นี่มาฟังเลยเกิดโยงไปหาสิ่งที่ได้พบได้เห็นคือที่สลัมและในบางโรงเรียนเนี่ย มีการแจกภาพพระพุทธเจ้าเป็นนารายณ์อวตาร ในเมืองไทย บอกสวยงามมาก เขาไม่รู้เรื่อง เขาไม่เข้าใจ พอได้ฟังวันนั้นเขาก็เลยนึกขึ้นมาว่าอ้อนี่มันถ้าอย่างนี้เอง ก็แสดงว่าเขาเดินแผนแล้วขณะนี้ ประชุมครั้งนี้ไม่สำเร็จ แต่เพราะกำลังเงินมหาศาลเขาอาจจะให้คนไทยหรือคนอะไรก็แล้วแต่ใช่ไหม มาดำเนินการโดยใช้ทุนเพื่อจะแทรกซึม ก็เมื่อสองวันนี้ ยังได้ยินที่ว่าเวลานี้ที่วัดอะไรที่ว่ามีผู้ไปขอให้สร้างรูป ก็จะมีสร้างรูปมากที่สุดคือเจ้าแม่กวนอิมกับเจ้าแม่อุมาใช่ไหม แสดงว่าพระอุมาเข้ามา นี่เห็นไหมขนาดพระไม่มีหลักเลยใช่ไหม พระเราบางวัดยังสร้างรูปพระพิฆเนศใช่ไหม นี่ไปว่าถึงคนนอกผู้ใหญ่ในแผ่นดินเลย พระเองยังไม่มีหลักเลย ไม่รู้เรื่อง ก็ไปเป็นเครื่องมือให้เขาเลย ในหนังสือเล่มหนึ่งผมอยู่ที่ภูเขา มีผู้เอาไปให้เป็นเรื่องของเทพเจ้าฮินดูพอเปิดปกไปนี่ ข้างในรองมีภาพพระครูองค์หนึ่ง ข้างล่างเขียนพระครูชื่อนั้นผู้ชำนาญเรื่องเทพเจ้า พระเราเป็นเองเป็นเครื่องมือให้เขาเลย ฉะนั้นมีโอกาสที่เมืองไทยเนี่ย จะไหลลง จะกลายเป็นดินแดนฮินดูไปก็ได้ จะได้อยู่อย่างอินเดีย
คนฟังถาม ตอนนี้อะไรไม่รู้เยอะแยะไปหมด
พระตอบ ก็นั่นซิ ก็ดูซิตามข้างถนนจะเห็นว่าศาลใหม่ ๆ ขึ้น แต่ก่อนนี้ก็ศาลพระภูมิอย่างเดียว ต่อมาก็มีศาลพระพรหมนี่ก็ฮินดูแล้วใช่ไหม ต่อมาศาลพระพรหมเดี๋ยวนี้ขึ้นศาลพระศิวะแล้ว ศาลพระยม ศาลเจ้า เทพเจ้าอะไรต่าง ๆ ขึ้น
คนฟังถาม ตรีมูรติ พระตอบ เห็นไหมขึ้นกันใหญ่เลย
คนฟังถาม ที่แย่นี่ตำราเรียนศาสนาพุทธเองก็ยังที่ไม่ใช่เรื่องหลักธรรม มีเรื่องอภินิหาร ก็มีเยอะ
พระตอบ ก็อภินิหารก็ต้องให้หลักที่ว่าใช่ไหม ต้องให้ อยู่ในหลักที นี้มันจับหลักไม่ได้กลายเป็นว่า
คนฟังถาม พวกพรหม พวกพราหมณ์ พระตอบ ไปเลยใช่ไหม
คนพังถาม เข้าทาง
พระตอบ นี่แหล่ะ ฉะนั้นก็กลายเป็นว่าในเมืองไทขนาดนี้เสียหลัก เป็นเหมือนอินเดียยุคที่เสื่อมใช่ไหม ศาสนาอินเดียต่อนจะเสื่อม ชาวพุทธก็แยกไม่ออกแล้วว่าอะไรเป็นพุทธอะไรเป็นพราหมณ์ นั้นก็ถูกเขาดึงไปได้ง่าย นั่นแหละก็ต้องพยายามสร้างความเข้าใจให้ถูกต้อง
คนฟังถาม ตอนนี้พวกฝรั่งอเมริกานี่กำลังโหยหาเกี่ยวกับเรื่องหลักนี่ น่าจะทุ่มไปในทาง
พระตอบ ตอนนี้ก็จะสนใจมากขึ้น เอ้าก็เล่า เล่าเสียอีกไม่รู้เล่าไปหรือยัง อย่างไปเที่ยวแต่ละเที่ยว แต่ละเที่ยวนี้นะผมก็ฟังสดับว่าเป็นไง เรื่องความเคลื่อนไหวเกี่ยวกับพุทธศาสนา ก็ทุกครั้งก็จะได้ยินว่าความสนใจเพิ่มขึ้น อย่างคราวที่แล้วก็เพิ่มขึ้นในแง่ของสถาบันการศึกษาเวลานี้พวกมหาวิทยาลัย วิทยาลัยต่าง ๆ ก็จัดสอนวิชาพุทธศาสนาเป็นวิชาเลือกกันทั่วไปหมดเลย ที่นี้นอกจากจัดทั่วไปแล้วก็คือผู้เข้าเรียนสมัครกันมาก สมัครมากอย่างที่ผมไปที่อินเดียน่าน่ะ ก็หมอที่เป็นพ่อของเด็ก ๆ แล้วก็พวกครอบครัวภรรยาอะไรพวกนี้ก็คุยกัน ก็อย่างครอบครัวหนึ่งก็พูดถึงว่าลูกไปสมัครเรียน ก็ไปสมัครวิชาพุทธศาสนา และอีกคนนึงก็ไปสมัครเรียน คนหนึ่งเป็นคนพี่อยู่ชั้นสูงก็ได้เรียนอยู่แล้ว แต่อีกคนหนึ่งยังไม่ได้เพราะคนสมัครมากเกินไป แล้วเขาก็เลยต้องคัดว่าให้เด็กที่อยู่ชั้นสูงก็ได้เรียนก่อน พอเขาก็ต้องเอา ซีเนียร์ ก่อน แล้วก็rจูเนียร์ มาโซฟอมอ มาเฟรชชี่ ใช่ไหม เขาก็ให้พวกเรียนชั้นสูงได้เรียนก่อน เพราะว่าคอร์สนี่ว่ามีผู้สมัครมากเกินไป มันเต็ม
คนฟังถาม ผู้สอนนี่เป็นพระไทยหรือ
พระตอบ เฉพาะเด็กที่เจอนี่เป็นแหม่ม เป็นฝรั่ง ก็พุทธศาสนาเข้าไปช่วงนี้หลายปีแล้วนะ มีสำนักของเซ็น สำนักของทิเบตเข้าไปเยอะหลายปีแล้ว ทีนี้ฝรั่งก็มีโอกาสไปเรียนซิ ไปเรียนตามสำนักเหล่านี้ แล้วก็ค้นคว้าเองบ้าง เพราะฉะนั้นก็เลยตอนนี้มีอาจารย์ฝรั่งเองที่สอนพูดเยอะเล ก็ไปถูกต้องเลยคัดเลือกก็มี แล้วเข้าไปที่ไปหาลาภหาผลก็เยอะไปโดยที่ว่าอิทธิพลหรือว่าไปหาลาภ
คนฟังถาม เฉพาะคนมาเรียน มาตั้งหลักได้
พระตอบ ก็นั่นซิ ก็นี่ชาวพุทธก็นับถือกันไม่ได้ถูกหลักถูกแนวมันก็เลยเกิดปัญหา นี้พระที่ไปทำงานในประเทศอเมริกาที่ท่านทำดี ก็หนักใจเหมือนกัน เพราะเป็นพระที่ไปหาลาภหาผลต้องคุมตัวเองให้ดี เพราะว่าไปอยู่ในสภาพแวดล้อมสังคมอย่างนั้น มันก็เหมือนกับเอื้อโอกาสให้เขวได้ง่าย แต่ว่าชุมชนไทยเราบางแห่งมันก็ใหญ่ พระนี่ปกติเราจะอาศัยชาวบ้านคุมใช่ไหม คุมด้วยความเคารพศรัทธา เมื่อชาวบ้านเรารู้เราเข้าใจก็จะเป็นการที่คุมพระไปด้วยในตัว ก็ในอเมริกาก็เป็นอันว่าเรื่องพุทธศาสนาก็เจริญขึ้นมีการเรียนรู้ศึกษา แต่มันเป็นนิมิตดีในแง่ที่ว่าเขาสนใจในแง่ศึกษาใช่ไหม ถ้าเขาจับจุดนี้มันก็เข้าเรื่องซิใช่ไหม เขาตั้งใจเล่าเรียนหาความรู้ว่าพุทธศาสนาคืออะไร สอนว่ายังไง หลักปฏิบัติเป็นยังไง ศึกษาก็ต่อการปฏิบัติหมายถึงเล่าเรียนแล้วปฏิบัติ ทีนี้ฝ่ายเมืองไทยนี่ไม่รู้เลย ศึกษาปฏิบัติไม่เอาเรื่องศึกษาพุทธศาสนา นับถือศาสนาก็หาอ้อนวอน ไปหาผลประโยชน์ไปหาลาภยศให้กับตนเอง
คนฟังถาม ฝรั่งเขาเห็นพุทธเเพื่อใช้ศึกษา แต่คนพุทธใจความเชื่อ
พระตอบ ก็เป็นเพียงเชื่อในเรื่องนั้นแหละ เรื่องเชื่อคล้าย ๆ แบบพราหมณ์ไป ก็กลายเป็นว่าในแง่หนึ่งฝรั่งได้เปรียบกว่า เป็นอันว่าสภาพของไทยเราขณะนี้ก็เอื้อต่อการที่ฮินดูจะแทรกซึมแล้วใช่ไหม ตอนนี้ถ้านโยบายเขาต้องการเข้าก็โอกาสเปิดให้ ได้ยิ่งเขามีทุนดี แล้วเขาเป็นนักธุรกิจใหญ่จะมีอิทธิพลในเชิงธุรกิจ ถ้าเกิดนักธุรกิจของเรานี่ไม่มีฐานทางพุทธศาสนาเลย เห็นแต่ผลประโยชน์ ไอ้พวกนั้นก็ตั้งเงื่อนไขหรือแม้แต่ว่าไม่ตั้งเงื่อนไปแต่ว่าเป็นเพียงว่าทำให้เกรงใจว่าต้องเอื้อต่อเขาในเรื่องศาสนาของเขาใช่ไหม เราก็เปิดทางให้
คนฟังถาม ไม่รู้เท่าทัน
พระตอบ ไม่รู้เท่า แล้วก็เห็นแก่ผลประโยชน์ นี่อันตรายก็จะมีเยอะเลย นั้นของเรานี่พลังในทางป้องกันภูมิต้านนี้ทานแทบไม่มีเลยกลับเปิดช่องเลย
คนฟังถาม ก็อย่างเป็นเพื่อนที่อเมริกา ของเราเองอาจจะเป็นลักษณะว่า คือความศรัทธาในพุทธศานานี่ก็มีน้อย ขณะเดียวกันของเขานี่มีความศรัทธาสูงมาก
พระตอบ เขาแรงมาก ใช่
คนฟังถาม เขาเข้ามาไม่ได้มีศรัทธาในเบื้องต้นก่อน ก็คือปัญญาต่อมา
พระตอบ ก็อย่างนี้ก็ด้วล่ะ คือความเอาใจใส่การที่จะคิดว่ามันเป็นอันตรายต่อศาสนาของเราหรือเปล่าไม่คิด แล้วก็มีความรู้สึกเขามาก็ร่วมมือแสดงว่าเปิดใจกว้างอะไรอย่างนี้ โดยไม่รู้ทันว่าเขามาด้วยความคิดอะไรแรงจูงใจอะไร ก็หลายอย่างละครับ มันล้วนเปิดทั้งนั้น เปิดช่อง
คนฟังถาม ประเทศไทยนี่รอดมาได้เมื่อตอนสมเด็จพระนารายณ์ พระตอบ อ๋อใช่เกือบไปทีหนึ่งแล้ว
คนฟังถาม เจ้าพระยาสรศักดิ์กับเจรจากับเจ้าพระยาวิชัยเยน พระตอบ ใช่ เจ้าพระยาวิชัยเยน
คนฟังถาม มุสลิมก็จะเอา บ้านครัวก็ยกบ้านครัวกำจัดฝรั่งเสร็จ ก็จะยึดสู้กันดำรงอยู่ได้ พระตอบ ไม่งั้นก็ไปแล้ว
คนฟังถาม ป่านนี้ ผมว่าตอนนี้ พระตอบ นี่แหล่ะ ทีนี้ตอนนี้ชักจะป้อแป้แล้วน่ะ
คนฟังถาม ทางจริงนึกว่าส่งเสริมพุทธศาสนา
พระตอบ ตอนนี้เปิดให้ แต่ว่าเท่าที่ทราบก็ มันขาดตอนไปนานคนรุ่นใหม่ไม่รู้จักศาสนา เพราะช่วงตั้งแต่เมาเซตุงขึ้นหลายปีแล้วน่ะ เพราะฉะนั้นมันไม่ได้รู้จักเลย ก็กลายเป็นว่าต้องเริ่มต้นกันใหม่ที่นี่ก็เปิดเนี่ยก็อันตรายเหมือนกันเพราะว่า พอเข้าไปเมืองไทยไปแล้ว เอาอะไรไป เอาพุทธศาสนาแท้ไปหรือเอาอะไรไปใช่ไหม ดีไม่ดีไม่รู้เอาไป
คนฟังถาม ไปช่วยเขาเปิดฮินดูด้วย
พระตอบ นี่ก็ตกลงว่าของเรานี่ไม่มีตัวหลักที่ว่าจะทำให้มันยึดตรึงในตัวเองไว้ให้อยู่ได้ ป้องกันอันตรายได้ แล้วเดินหน้าได้ถูกต้องใช่ไหม หลักมันต้องทำหน้าที่ 3 อย่าง ตรึงไว้ กันอันตรายไว้ และทำให้เดินได้ถูกต้อง ขาดอันนี้มันเสียหมด
คนฟังถาม พระคุณอาจารย์ครับ พอจะมีสิทธิบ้างไหมครับ ศาสนาพุทธจะเข้าไปแทนที่ศาสนาคริสต์ในยุโรป อเมริกา
พระตอบ ก็ยังพูดยากอยู่ เพราะว่าพุทธศาสนาเหล่านี้มันรุนแรงทั้งนั้น
คนฟังถาม สรุปการจัดตั้งดี พระตอบ จัดตั้งอ่อนเต็มที
คนฟังถาม คนเราฉลาดรู้จักเหตุรู้จักผลก็ดี หน้าที่
พระตอบ ก็ในส่วนหนึ่ง คนเรานะในจำนวนมากมันก็ยังมีไอ้เรื่องจิตใจประเภทนี้อยู่ ก็เราจะเห็นว่าความรุนแรงก็ยังมีทั่วไปใช่ไหม รบกันก็เรื่องศาสนา เดี๊ยวนี้ก็ยังฆ่ากันเอาง่าย ๆ เลย นี่อย่างในฝรั่งไม่ใช่ง่าย ๆ น่ะครับ มันยึดมั่นมากเหมือนกันบางถิ่น อย่างกรณีบางทีพระเราถูกฆ่าเราก็ยังเป็นปมอยู่เหมือนกัน ว่ามันมีส่วนเรื่องของการชิงชังเชื้อชาติ ชิงชังศาสนาหรือเปล่าใช่ไหม เพราะฉะนั้นก็ แล้วคริสต์ก็มีประวัติความยึดมั่นสู้กับอิสลามมาใช่ไหม ฆ่ากันมารุนแรง นี่ก็เขามีการฟื้นฟูคูคลักซ์แคลน คูคลักซ์แคลนเคยได้ยินใช่ไหม คูคลักซ์แคนไว้ฆ่าคนดำ เหยียดผิว คูคะคลักซ์แคนก็ยังไม่ล้มหายตายจากไม่หมดไป ก็ยังมีเชื้ออยู่ นี่มันก็อาจจะมาขยาย ขอบเขตว่านอกจากกำจัดคนดำและกำจัดอาเซียใช่ไหม
คนฟังถาม ศาสนาพุทธคือศาสนาหลักแห่งความจริง น่าจะได้การยอมรับศาสนาอื่นนับถือนอกจากธรรมชาติเป็นสิ่งที่พิสูจน์ไม่ได้
พระตอบ แต่คนมันไม่ได้อยู่แค่การที่จะใช้ปัญญาเรียนรู้ความจริง มันอยู่ที่ความยึดมั่นเยอะ แล้วอีกอย่างก็คนไม่ได้มีการศึกษาเสมอกันหมด
คนฟังถาม ที่แท้ศาสนาพุทธก็เหลืออยู่น้อย เป็นพวกมหายาน พวกอะไรคือหลักความจริง ใกล้ ๆ ฮินดู
พระตอบ แต่ก็มันก็มีแนวอยู่ เราก็ต้องคอยดูต่อไป อย่างในอเมริกา เพราะในขณะนี้ แนวโน้มมันขึ้น มันขึ้นอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นก็ความเป็นไปได้ก็มีอยู่ ก็อย่างที่ว่าในมหาวิทยาลัยในสถาบันการศึกษาก็เรียนกันมาก กลายเป็นวิชาที่นิยม ในขณะนี้กลายเป็นว่า เด็กเมืองไทยอยากจะแขวนห้อยไม้กางเขน แต่เด็กอเมริกันอยากจะเรียนวิชาพุทธศาสนา มันก็ชอบกลน่ะ
อ้าวละน่ะ วันนี้ก็คุยกันไปพักใหญ่แล้ว