แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ไฟล์ถอดเสียงนี้ยังไม่ได้ผ่านพิสูจน์อักษร นำขึ้นมาเพื่อช่วยในการศึกษาค้นคว้าของผู้สนใจ
ขอเจริญพรโยมญาติมิตร สาธุชนทุกท่าน ขออนุโมทนาที่ญาติโยมได้มีจิตศรัทธามาทำบุญร่วมกันในวันนี้ซึ่งเป็นวันสำคัญในพระพุทธศาสนาและการมาทำบุญในวันนี้ถือว่ามาทำบุญวันเดียว ๒ รายการพร้อมกันคือ ทำบุญวันอาสาฬหบูชา และทำบุญวันเข้าพรรษา การทำบุญ ๒ วันนี้ติดต่อกัน จนบางท่านแยกไม่ออก อย่างพิธีในวันนี้ก็ทำต่อเนื่องกันในวันเดียวกันและเป็นพิธีเหมือนกับพิธีเดียวกัน แต่ว่าที่จริงเป็นการทำบุญเนื่องในวันสำคัญ ๒ อย่าง และยังกลับกันด้วยคือที่จริงนั้นวันอาสาฬหบูชา ขึ้น ๑๕ ค่ำคือวันนี้ก็มาก่อน พรุ่งนี้จึงจะถึงวันแรม ๑ ค่ำเดือน ๘ วันเข้าพรรษา แต่เวลาเราทำบุญพิธีเมื่อกี้จะเห็นว่าญาติโยมได้ถวายเทียนพรรษาและผ้าอาบน้ำฝนก่อน แล้วต่อจากนี้จึงจะเป็นพิธีเนื่องในอาสาฬหบูชาคือการที่จะเวียนเทียนก็หมายความว่า เราทำพิธีถวายเทียนพรรษาก็เป็นเรื่องของการเข้าพรรษาและก็ผ้าอาบน้ำฝนก็เป็นเรื่องของการถวายผ้าแก่พระที่จะจำพรรษาใช้ในฤดูฝนเป็นเรื่องของการทำบุญในวันเข้าพรรษานี้เราทำเสร็จก่อน แล้วต่อจากนี้ไปเราก็จะประกอบพิธีเวียนเทียน ก็คือการทำบุญในวันอาสาฬหบูชา เรากลับเสียก่อน กลับเอาวันเข้าพรรษาก่อน ทำบุญเข้าพรรษาเสร็จแล้วก็ทำบุญอาสาฬหบูชา ที่เป็นอย่างนี้ก็เพื่อความสะดวกเพราะว่าเวียนเทียนนั้นก็ควรจะเป็นรายการสุดท้ายก็เลยเอาเวียนเทียนอาสาฬบูชาไปอยู่เป็นปิดรายการไป
แต่ว่าอย่างไรก็ตามรวมแล้วก็คือว่าโยมมาทำบุญครั้งเดียวนี้ได้ ๒ อย่างเลย ได้บุญทวีคูณก็ขออนุโมทนาที่โยมได้มีจิตศรัทธา เสื่อมใสมาทำบุญกัน โยมทุกท่านนี้ที่มากันเป็นกลุ่ม เป็นคณะก็เยอะอย่างที่มากันมั่นคงเสมอก็โรงเรียนทั้ง ๓ มีโรงเรียนรุ่งอรุณ โรงเรียนหนูน้อย โรงเรียนทอสีก็มาประจำสม่ำเสมอ แม้อาตมาบางครั้งไม่ได้ลงมาก็ได้ทราบว่ามา คำว่าโรงเรียนนี้ก็เป็นสื่อบอกถึงเด็กและเยาวชนของชาติ นั้นถ้าโรงเรียนยังมั่นในเรื่องพระศาสนา เรื่องธรรมะอยู่ก็ทำให้เราอุ่นใจว่าเด็กและเยาวชนที่เป็นอนาคตของชาตินี่ ยังเดินอยู่ในทิศทางที่ทำให้สบายใจเป็นทางแห่งกุศลความเจริญงอกงามที่แท้จริง
นอกจากนี้ก็จะมีโรงเรียนอนุบาลเด่นหล้าด้วยเพราะว่าพอดีว่าลูกชายมาบวชอยู่จำพรรษานี้ แล้วก็ที่เป็นเจ้าประจำเสมอก็ได้ยินเสียงโมษกตั้งแต่ก่อนลงมาก็คือพลตรีทองขาว เป็นเครื่องหมายของธรรมะร่วมสมัย ซึ่งปัจจุบันนี้ไม่ได้ยินแล้วเพราะว่าอยู่แถวนี้นั้นวิทยุอื่นนั้นกลบหมด ไม่ได้ยินมาหลายเดือนแล้ว ธรรมะร่วมสมัยแต่ว่ามาพบกันก็อนุโมทนาที่ยังได้มาร่วมทำบุญ ฟังธรรม มาร่วมส่งเสริมกิจกรรมในทางพระศาสนาแล้วก็โยมที่มาเป็นส่วนตัวแต่ละท่านมีมากันทั้งครอบครัวก็มี มาทำบุญกันในครอบครัวนี้ก็เป็นเรื่องที่ดี น่าอนุโมทนาอย่างมากก็เป็นการช่วยให้เด็กๆนี่ใกล้ชิดพระศาสนา ได้คุ้นกับกิจกรรมทางธรรมะมาตั้งแต่เด็กๆ โตขึ้นก็จะได้เจริญขึ้นอยู่ในเรื่องของกุศล เราก็หวังกันอย่างนั้น
นี่โยมมาที่จริงก็ได้บุญได้กุศลตลอดแหละ เพียงแค่ใจเราสบาย สงบ ใจเรามีความปรารถนาดีต่อพระศาสนาให้ความสามัคคี พร้อมเพรียงกัน ก็เท่ากับว่า มาช่วยกันส่งเสริมพระศาสนาอยู่แล้ว ก็เป็นบุญอยู่ในตัวหรือใจเราเองนั้นมีความสงบ เบิกบาน ผ่องใส ก็เป็นบุญเป็นกุศล นี้ก็เป็นเรื่องมโนกรรม แล้วส่วนกายกรรม วจีกรรม ก็แสดงออกมาต่อเนื่องจากมโนกรรมนั้นเอง พอใจดีใจสบาย พูดอะไรต่างๆก็พลอยดีไปด้วย พูดจาชักชวนกันในทางที่ดี ที่ท่านบอกว่าเป็นสัมมาวาจา เป็นวาจาจริง วาจาสุภาพ วาจาไพเราะ วาจาพอเหมาะพอดี วาจาสมานสามัคคี นี้เรียกว่าวาจาที่ดีงาม เป็นสุจริตแล้วก็เป็นสัมมาวาจา ก็แสดงออกมาทางกายก็มาช่วยกันขวนขวาย จัดเตรียมการต่างๆและทำการทุกอย่างตลอดจนกระทั่งถวายทานที่ทำไปแล้ว อันนี้ก็เป็นเรื่องที่เรียกว่าบุญ กุศลทั้งสิ้น และยังลงท้ายก็ได้เวียนเทียน และก่อนเวียนเทียนก็คือตอนนี้แหละ ก็มาฟังธรรมะกัน
พอได้อย่างนี้แล้วก็เรียกว่าได้ทำบุญครบ ครบอย่างไรก็คือมีทั้งทาน ทั้งศีล ทั้งภาวนา ทานก็ถวายทานกันไปแล้ว เทียนพรรษา ผ้าอาบน้ำฝน บางท่านก็ถวายมาตั้งแต่เช้า ตักบาตร เลี้ยงพระ แล้วก็มารับศีล โดยทำเป็นพิธีบ้าง หรือแม้ไม่ทำพิธี วันนี้ก็รักษากายวาจาสุจริต ก็อยู่ในศีลนั้นเอง ภาวนาก็ตอนนี้คือมาฟังธรรม เจริญปัญญา แต่ว่าเริ่มตั้งแต่ที่ใจนั้นแหละ ใจที่สบาย สงบ เบิกบาน ผ่องใส ก็เป็นภาวนา เป็นจิตภาวนา และปัญญาภาวนาได้หมดเพราะฉะนั้นเราก็เรียกรวมว่าทำบุญ เพราะว่าเราไม่ได้มาทำทานอย่างเดียว ไม่ได้มาถวายของอย่างเดียว เราได้หมด ทาน ศีล ภาวนา ทำไมไปวัดแล้วบอกว่าทำบุญ ก็เพราะว่าถ้าเราไปบอกว่าทำทานมันก็ไม่ครอบคลุม ฉะนั้นเรามาวัดนี้เราได้หมด ทานเราก็ได้ เป็นเพียงตัวปรารภว่าเราจะมาถวายทาน ถวายผ้าอาบน้ำฝน ถวายเทียนพรรษาแต่ว่าเราได้ศีลด้วย แล้วเราได้ภาวนาด้วย จิตใจเราก็ดีงาม แล้วก็ปัญญา ความรู้ ความเข้าใจเราก็ได้ เพราะฉะนั้นเราต้องพูดว่าไปทำบุญเพราะว่าได้หมด ครบทั้ง ๓ อย่าง
อันนี้ก็เป็นข้อเตือนเราทุกคนด้วยนะว่าเราจะต้องทำให้ได้อย่างนี้ให้ครบทั้ง ๓ อย่างจึงเรียกว่าทำบุญ อันนี้เวลานี้การทำบุญก็เป็นเรื่องที่โยมก็ต้องการให้ได้บุญมากๆ แล้วมาสอดคล้องกับเรื่องของการทำบุญอาสาฬหบูชาก็จะต้องเข้าใจความหมายของอาสาฬหบูชาอีก วันนี้เวลาเราก็น้อย ถ้าพูดทั้ง ๒ เรื่องนี้ก็ยาวเหลือเกิน คือทั้งเรื่องเข้าพรรษาทั้งเรื่องอาสาฬหบูชา แต่เราสามารถพูด ๒ เรื่องนี้ให้มาโยงเป็นอันเดียวกันเสียเลย เพราะว่าการที่โยมทำบุญนี้ ถ้าทำบุญถูกทางหรือทำบุญถูกต้องนี่มันก็เข้าสู่หลักการที่เรียกว่าทางสายกลาง มัชฌิมาปฏิปทา มัชฌิมาปฏิปทาหรือมรรคมีองค์ ๘ นี้เป็นหลักธรรมของอาสาฬหบูชา
อาสาฬหบูชาคืออะไร ญาติโยมตั้งแต่เด็กก็รู้กันอยู่แล้วว่าเป็นการบูชาในวันเพ็ญเดือนแปด เพื่อระลึกถึงการที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงปฐมเทศนา หรือเทศน์ครั้งแรก เทศน์ครั้งแรก คือเรื่องอะไร ก็บอกว่าเทศน์เรื่องทางสายกลางหรือมัชฌิมาปฏิปทา หรือว่ามรรคมีองค์ ๘ และอริยะสัจ ๔ ก็พูดง่ายๆก็ทางสายกลางหรือมัชฌิมาปฏิปทา อันนั้นก็เป็นเรื่องใหญ่ เรื่องอาสาฬหบูชา ปฐมเทศนา แล้วมาวันนี้เรามาทำบุญกันนี้ เรามาถวายเทียนพรรษา ผ้าอาบน้ำฝน แล้วก็ทำบุญเทียนพรรษาอะไรต่างๆเหล่านี้ ถ้าทำถูกต้องเราก็ต้องทำให้เข้ามัชฌิมาปฏิปทา ถ้าทำบุญแล้วไม่เข้ามัชฌิมาปฏิปทาก็แสดงว่าเรายังไม่ก้าวหน้าในพระพุทธศาสนา เพราะฉะนั้นต้องประสานให้ได้วันนี้ก็เลยคิดว่า โยมน่าจะต้องมานั่งคิดพิจารณาให้ดีว่าที่เราทำบุญกันนี่ เราทำบุญเข้าสู่มัชฌิมาปฏิปทาหรือเปล่า
ขอแทรกนิดหนึ่งว่าตอนนี้มีความนิยมเกิดขึ้น อาตมภาพได้ยินมาในระยะ ๓-๔ ปีนี้ มีความนิยมเช่นว่า ไปถวายเทียนพรรษาให้ได้ ๙ วัด แล้วก็ทำอะไรๆ ทำบุญให้ได้ ๙ วัดนี้ ฉันได้ยินมา ๓-๔ ปีนี้ เป็นวิธีที่ทำบุญที่ค่อนข้างใหม่ ทีนี้เรื่องใหม่นี่ก็ไม่ใช่ว่าไม่ดี ใหม่ดีก็มี ใหม่ไม่ดีก็มี และจะวินิจฉัยอย่างไรว่า ดีหรือไม่ดี ใหม่ในการทำบุญแบบว่าไปถวายเทียนให้ได้ ๙ วัด ถ้ามองง่ายๆก็ดีนะเพราะว่าได้ถวายเยอะ ยิ่งถวายเยอะ ทำทานเยอะก็ยิ่งดีสิ ก็ยิ่งได้บุญมาก แล้วก็ได้ไปช่วยอุปถัมท์ บำรุง หลายวัด ก็น่าจะได้บุญมาก แล้วนอกจากนั้นก็จะได้เพิ่มรสในการทำบุญเพราะว่าโยมได้ไปหลายวัด ได้เที่ยวได้อะไรต่างๆได้ไปสนุกสนานไปในตัว ก็ดีเหมือนกันมองในแง่นี้ก็ดี แต่ว่าเราก็ต้องวิเคราะห์พิจารณาให้ครบเหมือนกันว่า พร้อมกับที่ดีนั้นมีแง่เสียไหม บางทีได้ส่วนดีใช่ว่าถ้าได้ ๙ หน่วยแล้วเสีย ๙๐๐๐ นี้จะไม่คุ้มนะ
เพราะฉะนั้นก็ต้องมาพิจารณาว่าที่เราทำบุญอย่างที่ว่าไปถวายเทียนพรรษา ๙ วัดนี้ดีหรือไม่ดีแค่ไหนมาวิเคราะห์กัน อันนี้ก็พูดกันด้วยความหวังดี แล้วใช้หลักอะไรวินิจฉัยหลักการง่ายๆท่านบอกว่า ทำอะไรแล้วกุศลเพิ่ม อกุศลลดนั่นดี ทำอะไรอกุศลเพิ่ม กุศลลดไม่ดี โยมก็บอกอ้าว ก็ทำบุญหลายวัด เทียนพรรษาตั้ง ๙ ต้น ๙ วัดนี่ก็ยิ่งดี ทำบุญมากกุศลยิ่งมาก ก็ยิ่งดี ก็อย่างที่ว่าเมื่อกี้นี้ แง่นี้ก็ดีอยู่ แต่ทีนี้ว่าเราก็ต้องดูให้ครบ มันมีแง่อื่นๆ เช่นว่าบางทีมัน ก็มีการถือโชคลางเข้ามาปนด้วย มีเรื่องไสยศาสตร์เข้ามาปนด้วย เพราะอย่างนี้มันชักจะเขวนิดๆนั่นแหละ แล้วนอกจากนั้นก็คือเราก็ต้องดู เราทำบุญมากๆเรานึกว่าเออ เราจะได้บุญมาก คำว่าได้บุญนี้ เป็นคำที่น่าวิเคราะห์ ขอให้โยมสังเกตนะคำว่าได้บุญ คนไทยชอบพูด แต่ในภาษาพระหรือภาษาบาลี ภาษาในคัมภีร์นี้ ท่านไม่นิยม ถ้าไปดูในคัมภีร์นี้แทบจะไม่พบเลย คำว่า ได้บุญ แทบไม่มีใช้เลย แล้วท่านใช้คำอะไร คำที่ใช้ว่า ก่อให้เกิดบุญ เพิ่มพูนบุญ บุญเจริญ งอกงาม จะพบคำว่า ปุญญัง ปะวัฑฒะติ ปะวัฑฒะติก็แปลว่าเจริญเพิ่มพูน หรือ วัฑฒะติก็คือที่มาของคำว่าพัฒนานั่นเอง ถ้าแปลเป็นแบบภาษาไทยสมัยปัจจุบันก็คือบุญพัฒนาขึ้นไป นี้คือคำนิยมในภาษาพระ ท่านไม่นิยมคำว่าได้บุญ
ทีนี้การที่จะได้บุญนี้ มันมีแง่พิจารณาที่โยงไปหาเรื่องอื่นขอให้ดูกัน ๒ อย่างโยมอยาก ได้บุญมาก อันนี้ก็ดีแล้วแหละ นี้มาดูว่าจะได้บุญมากอย่างไร อ้าวจะได้บุญมากขึ้นมาเฉยๆอย่างไร ก็ต้องทำบุญ นี่โยมก็บอกว่าทำบุญมากก็ได้บุญมาก เอ ไม่แน่นะทำบุญมาก ได้บุญมาก ทำบุญนี้บางทีอาจจะเป็นอาการหรือรูปแบบภายนอกที่บอกไปทำพิธี เป็นทำบุญ ทีนี้พอไปทำพิธีเป็นรูปแบบภายนอก เราก็เรียกว่าทำบุญแล้ว แต่ทีนี้ว่าการที่ทำบุญแล้วมันจะได้บุญนี่ มันต้องผ่านอันหนึ่ง คือว่าเป็นบุญก่อน ถ้าทำบุญแล้วไม่เป็นบุญแล้วมันก็ไม่ได้บุญนะ อาจจะทำบุญได้บุญผิวเผิน เป็นบุญก็เช่นว่า ใจเป็นบุญ เจตนาเป็นบุญ ถ้าใจไม่เป็นบุญ เจตนาไม่เป็นบุญมันก็ทำแต่รูปแบบผิวเผินข้างนอก บุญนั้นก็ไม่ได้มากหรอก นี้ถ้าวิเคราะห์ลงไป อะไรที่เป็นบุญนั้นมีอะไรบ้าง ถ้าเราแยกไปมันนอกจากใจแล้วมีกายกับวาจา ก็เราเรียกว่า กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ก็ต้องให้ กายกรรมเป็นบุญ วจีกรรมเป็นบุญ มโนกรรมเป็นบุญ
แล้วเราทำน่ะมันเป็นบุญไหม เป็นบุญแค่ไหน เวลาทำจิตใจเราเป็นอย่างไร การกระทำทางกายของเราเป็นอย่างไร การกระทำทางวาจาของเราเป็นอย่างไร นี่ก็เป็นวิธีหนึ่ง หรือวิเคราะห์ไปอีกอย่างหนึ่งก็ได้ วิเคราะห์อีกหลักหนึ่ง ก็คือจะให้เข้ากับหลักของอาสาฬหบูชาที่ว่ามัชฌิมาปฏิปทา ทางสายกลางมรรคมีองค์ ๘ ประการ มีสัมมาทิฐิเป็นต้น ๘ ข้อนี้ วิธีสำหรับญาติโยมจะได้วิเคราะห์พิจารณาง่ายๆก็คือมาจัดมรรคมีองค์ ๘ นี้รวมเป็น ๓ อย่างเสียรวมเป็น ๓ อย่างแล้วได้อะไรล่ะ คือเวลาจัดเป็น ๓ อย่างแล้วมันจะง่ายขึ้นพอบอกว่า ๘ นี่เยอะเหลือเกินวิเคราะห์ยาก ถ้ามาจัดสักเป็น ๓ พอบอกว่ามาจัดมรรคมีองค์ ๘ นี่เป็น ๓ ข้อ ได้อะไรบ้าง โยมลองคิดดู ก็ได้ศีล สมาธิ ปัญญา ใช่ไหมนี่ง่ายขึ้นแล้ว ก็มาดูศีล สมาธิ ปัญญาว่าเวลาเราบอกว่าทำบุญนี่ ศีลเราเป็นอย่างไร สมาธิเป็นอย่างไร ปัญญาเป็นอย่างไร แล้วดูที่นี่เราจะรู้เลยว่าเป็นบุญไหม เป็นบุญแค่ไหน แล้วบุญเจริญเพิ่มพูนหรือเปล่า
แล้วโยมที่ทำบุญ แบบเช่นว่าไปถวายเทียนพรรษา ๙ วัดนี่บางทีเวลาไปทำบุญนี้ ดูที่ศีล ทางกายวาจา เพราะเหตุที่จะไปให้ทัน ๙ วัด บางทีก็รีบร้อน กายก็เริ่มรีบละ บางทีกลัวไม่ทันก็ชักจะแสดงอาการออกมาละ ทางวาจาบางทีชักจะไม่ค่อยไพเราะแล้ว ชักจะเร่งกัน อะไรต่ออะไรไปกันใหญ่ เป็นหมู่คณะ บางคนช้าพะวักพะวงอยู่ คนอื่นก็ชักจะใจไม่ดี ใจก็เร่งร้อน ชักหงุดหงิด ชักกระสับกระส่าย เอ ตอนนี้มาดูศีล ก็ชักจะไม่ค่อยจะสมบูรณ์แล้ว มาดูสมาธิจิตใจแทนที่ว่าทำบุญแล้วจิตใจจะสงบ เบิกบานผ่องใส มีปิติ มีความสุข มีความปลาบปลื้มใจ ใจมันไม่อยู่แล้ว ใจมันจะเร่ง มันจะร้อน มันจะไปวัดโน้นทันหรือเปล่า มันเลยกลายเป็นว่าใจไม่ดี มันไม่มีสมาธิ แล้วใจก็ไม่เป็นกุศลมากที่ควร ใจแทนที่จะมีเมตตา นึกถึงพระสงฆ์ นึกถึงพระศาสนา ปรารถนาดีต่อพระสงฆ์ว่า โอ พระสงฆ์ท่านได้รับเทียนพรรษา ได้รับทานของเราไปแล้ว ท่านจะได้มีกำลัง ทำศาสนกิจสืบต่ออายุพระศาสนาได้ พระศาสนาก็จะได้เจริญรุ่งเรือง ใจแทนที่จะได้นึกคิดในเรื่องที่มีความปรารถนาดีเป็นเมตตาเป็นต้น ก็เลยไม่มี ไม่มีเวลาแม้แต่ จะนึกจะคิด ในด้านปัญญาก็อย่างที่ว่า ถ้าทำบุญด้วยปัญญานี้ เราจะนึกไปได้ไกลเลยว่าการทำบุญของเรานี่มีความหมายนะ มันเป็นไปเพื่อประโยชน์ในการที่ว่าอย่างที่บอกเมื่อกี้ ช่วยส่งเสริม ให้พระสงฆ์มีกำลังปฏิบัติศาสนกิจ พระท่านทำศาสนกิจแล้วก็ช่วยสั่งสอนศีลธรรม ให้ประชาชนอยู่กันดีมีความร่มเย็นเป็นสุข สังคมของเราจะได้ไม่มีทุกข์ไม่มีภัยปัญหาอาชญากรรม อบายมุขอะไรจะได้น้อยลงไปต่างๆ เหล่านี้ ปัญญาที่รู้เข้าใจสิ่งเหล่านี้ บางทีไม่ได้นึกเลยนึกแต่ว่าจะไป จะไป ก็เลยทำให้เรื่องบุญเรื่องกุศลนี่มันลดหายไป ลองวิเคราะห์ด้วยศีล สมาธิ ปัญญา เราก็จะเห็นเลยว่ามันชักจะบกพร่องแล้ว
ฉะนั้นโยมจะทำบุญนี่ การที่จะให้บุญมากนี้มันไม่ได้อยู่ที่จำนวนปริมาณนะ มันอยู่ที่นี้แหละอยู่ที่มันเป็นบุญแค่ไหน จะวิเคราะห์ด้วยกายกรรม วจีกรรม มโนกรรมก็ได้ หรือเอาวิธีที่ดีสูงขึ้นไปก็เอาศีล สมาธิ ปัญญา นี่แหละดูว่ากาย วาจา ของเราเป็นอย่างไร แล้วก็สมาธิ ด้านจิตใจของเราเป็นอย่างไร สงบ เบิกบาน ผ่องใส มีปิติ มีความปลื้มใจ มีความสุขไหม แล้วความมีคุณธรรม มีความปรารถนาดี มีศรัทธา อะไรต่างๆ พรั่งพร้อมไหมแล้วก็มีปัญญารู้ เข้าใจมองเห็นเหตุผล ประโยชน์อะไรต่างๆที่จะเกิดขึ้นแก่ส่วนรวมแก่พระศาสนาหรือไม่ อย่างนี้แหละบางทีบุญที่ทำอันเดียวน่ะ แม้แต่ทำน้อยถ้าเขาเจตนา เขาดี เราจึงเห็นได้ในพระคัมภีร์ในประวัติพระศาสนานี่ บางคนทำบุญนิดเดียวปรากฏว่าได้บุญมหาศาลเลยใช่ไหมก็เพราะว่ามันเกิดเป็นบุญขึ้นมา เ พราะฉะนั้นการที่ว่าจะทำบุญ แล้วข้ามไปได้บุญนั้นอย่าเพิ่ง ทำบุญแล้ว ต้องเป็นบุญก่อน แล้วเป็นบุญ จึงจะมาได้บุญ นั้นเอาละอย่างนี้ก็เป็นอีกแง่หนึ่ง โยมจะให้ได้บุญมากนี้ โยมก็จะต้องทำให้เป็นบุญให้มาก เป็นบุญทั้งศีล ทั้งสมาธิ แล้วก็ทั้งปัญญา อันนี้ก็แง่หนึ่ง
ต่อไปอีกแง่หนึ่ง ก็อย่างที่ว่าเชื่อมกับเมื่อกี้ก็คือบอกว่าได้บุญนี่ มันไม่บอกถึงความก้าวหน้า มันเป็นเรื่องของปริมาณ ได้จำนวนปริมาณแต่ว่าเราอาจจะอยู่ที่เดิม ใช่ว่าได้บุญประเภทเดียวกันก็อยู่แค่นั้นแหละ ได้ทานก็ได้ทานอยู่นั่นแหละ ไม่ก้าวไป วันนี้เราบอกว่าเป็นวันอาสาฬหบูชา อาสาฬหบูชาเป็นวันปฐมเทศนา เป็นวันแสดงมัชฌิมาปฏิปทา ทางสายกลางมรรคมีองค์ ๘ ประการ มรรค คือทางนะ เมื่อมรรคคือทางก็แสดงว่าต้องก้าวไปสิใช่ไหม ทางมันต้องเดินหน้า ก้าวไป เรื่องไตรสิกขาก็เหมือนกันก็คือฝึก ศึกษาพัฒนาให้ก้าวไปในมรรคนี้แหละ ทีนี้ถ้าเราไม่ก้าวไป เราได้อยู่แค่เดิม ถึงได้มากปริมาณมากมันก็ไม่ได้เดินไปในมรรคเพราะฉะนั้นเราจะให้ก้าวไปในมรรคให้มาถึงวันอาสาฬบูชาแทน เราต้องเดินไปในมรรคได้ด้วย ฉะนั้นในการทำบุญของเรานี่ จะต้องไม่ใช่การที่จะได้บุญ แล้วก็ไม่ชัดว่าก้าวไปหรือเปล่า
เพราะฉะนั้นถ้าใช้คำของท่านแล้ว ท่านจึงบอกว่าบุญเพิ่มพูน บุญพัฒนา อัตถัง ปุญญัง ปะวัฑฒะติ อย่างที่ว่าเมื่อกี้ ท่านไม่นิยมใช้คำว่าได้บุญ เพราะฉะนั้นโยมอาจจะลองนึกดูว่า เอ จะเปลี่ยนเสียดีไหม ว่าต่อไปนี้แทนที่จะพูดว่าได้บุญนี่ ก็หมายความว่าใช้คำของท่าน เช่นคำว่าก่อให้เกิดบุญ หรือ เพิ่มพูนบุญ หรือบุญเจริญเพิ่มพูนก็แล้วแต่ ก็ด้วยการทำบุญนี่ให้มาประสานกับการที่บุญเจริญเพิ่มพูน แล้วบุญนั้นก็เจริญก้าวไกล คือเจริญก้าวหน้า จากขั้นต้นๆนี่ก้าวไปสู่ขั้นสูงเหมือนอย่างหลักปกติเราก็มี ทาน ศีล ภาวนานี่ เราก็ไม่ใช่ติดอยู่แค่ทานอย่างเดียว แม้แต่โยมมาทำทานนี่ โยมก็อย่าลืมนะ จะเรียกว่าทำบุญแท้ ก็ต้องให้ได้ครบ ใช่ไหม ต้องได้ทั้งศีล สมาธิ ทั้งภาวนาด้วย ไม่งั้นเราจะเรียกไม่เต็มปากเลย ถ้าโยมไปแล้วได้ทำทานอย่างเดียวนี่ โยมจะบอกฉันไปทำบุญนี่ เรียกไม่เต็มปาก อาตมาเคยย้ำบอกว่าในสังคมไทยนี้มีการไปพูดกันบอกว่าถ้าให้แก่คนขอทานเป็นต้นเรียกว่าทำทาน ถ้าถวายแก่พระเรียกว่าทำบุญ อันนี้เป็นความเข้าใจเคลื่อนคลาดไปคิดเอาเอง ความจริงคือคำว่าบุญนี้ เป็นคำที่คลุม ทั้งทาน ศีล ภาวนา ทีนี้เราไปวัดแล้วไปถวายแก่พระนี่เราได้หมด ได้ทั้งทาน ทั้งศีล ภาวนา เพราะฉะนั้นแม้เราจะตั้งต้นด้วยทานอย่างเดียวก็จริงแต่เราไม่ได้จำกัดอยู่แค่ทาน เราไปได้ศีล ภาวนามาด้วย เราก็เลยพูดแค่ทำทานไม่ได้ เพราะมันไม่ครอบคลุม เราจึงต้องพูดว่าไปทำบุญมา แล้วก็โยมก็ต้องตรวจสอบตัวเองว่าเราไปแล้วได้บุญมาครบไหม ได้ทั้งทาน ทั้งศีล ทั้งภาวนา แล้วถ้าขยายให้ดีก็ต้องได้ศีล สมาธิ ปัญญาไปเลย อย่างนี้แหละโยมก้าวหน้าแน่ แล้วมรรคนี้จะก้าวไปแล้วอาสาฬหบูชาก็จะมีความหมาย เพราะฉะนั้นโยมก็อย่าไปติดอยู่แค่อย่างเดียวข้างต้นๆถ้าทานแล้วต้องก้าวไปให้ได้ศีล ให้ได้ภาวนาด้วย โดยเฉพาะจิตใจของเรานี่ มันได้ตลอดเวลาเลย ถ้าโยมทำบุญเป็นนะ จิตใจมันได้ก่อนแล้วได้ตลอดเวลา เวลาทำบุญทำกุศลท่านจึงเน้นไง
อย่างในสมัยพุทธกาลนี้มีพระสาวิกาอย่างนางมัลลิกานี่เกิดเหตุร้ายในวันที่กำลังทำบุญนี้ถ้ารักษาใจไม่ให้ใจเสีย บอกเมื่อทำบุญต้องทำจิตใจให้เป็นบุญ เป็นกุศล เพราะตัวฐานที่แท้ แกนของบุญนี้มันอยู่ที่จิตใจ จิตใจของเราดี จิตใจเป็นบุญ เป็นกุศล เจตนาของเราดี จิตใจผ่องใสเบิกบานก็ดีตลอดเวลาเลย เพราะฉะนั้นบุญก็จะอยู่ประจำจิตใจของเราแล้วเวลาเราทำไปแล้วที่เราทำทานแล้วเราบำเพ็ญศีลอะไรนี่ มันจะมาเพิ่มกำลังให้จิตใจของเรานี้มีความปลาบปลื้ม ปิติ ยินดีขึ้นไปมากขึ้น แล้วเสร็จแล้วสิ่งที่ทำภายนอก ที่เป็นรูปธรรมเป็นทาน เป็นศีลน่ะ ทำเสร็จแล้วมันก็ผ่านไปเป็นเหตุการณ์ แต่สิ่งที่ประทับเข้าไปก็คือ ไปอยู่ในจิตใจ นั้นส่วนที่จะพัฒนาอยู่ประจำยั่งยืนก็คือ ส่วนจิตใจนั่นเอง แล้วจิตใจนี้ก็จะไปเป็นแกน ไปเป็นฐานให้เราสามารถไปบำเพ็ญทาน บำเพ็ญศีล ต่อไปอีก ฉะนั้นใจมันเป็นแกนกลาง เป็นฐานอยู่ตลอดเวลา แล้วฐานศีลก็มาอาศัยใจนั้นเอง เพราะฉะนั้นถ้าโยมทำบุญแล้วใจมันไม่ได้นี่ มันก็ไม่ไปไหนแล้วมันไม่พัฒนาฉะนั้นต้องให้บุญมันเพิ่มพูน พัฒนาไปด้วย แล้วโยมก็จะก้าวไปในมรรคเองแหละ
แล้ววันนี้ก็ทำบุญได้ทั้งวันเข้าพรรษา ถวายเทียนพรรษา ผ้าอาบน้ำฝน ก็ได้เข้ามรรคไปด้วยเลย ได้เข้าอาสาฬหบูชาประสานเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ฉะนั้นบุญของเรานี้เราไม่ได้จำกัดอยู่ แล้วถ้าเราไปคิดว่าได้บุญๆนี่ บางทีมันไปนึกถึงแต่ตัวเอง คนที่ทำบุญที่จะพัฒนาก้าวหน้านี้ท่านไม่ติดอยู่แค่ตัวเองแหละ พอเราทำบุญให้คนขั้นต้นเท่านั้นที่นึกถึงแต่ตัวเอง ว่าฉันทำบุญมาก ฉันจะได้ไปสวรรค์ ฉันจะได้เงินทองมาก ฉันจะได้เกิดเป็นเศรษฐี จะได้ถูกลอตเตอรี่ ก็คิดแต่เรื่องตัวเองแต่ท่านที่ทำบุญก้าวไปในมรรคนี้ ใจท่านขยายกว้างไปเรื่อยๆ ไม่ติดอยู่เรื่องตัวเองแล้ว ฉะนั้นพอไปขั้นสูงนี้ ผู้ที่ทำบุญในขั้นที่มีจิตใจยิ่งใหญ่นี้ ท่านมีคำใช้อยู่ในคัมภีร์ ท่านบอกว่าผันบุญของตนไปเพื่อช่วยให้ชาวโลกทั้งมวลได้ลุถึงความสุขทั่วกัน นี่สิโยม ตอนนี้ล่ะ บุญสำคัญแล้วถ้าคนทำบุญได้ถึงขั้นนี้ นี่คือก้าวไปถึงมรรคแท้จริงแล้ว คือตอนแรกเราต้องยอมรับความจริงคนทุกคนก็ต้องมีความรู้สึกนึกถึงตัวก่อน เราทำบุญเราก็นึกถึงว่า ฉันจะได้ผลนั่นผลนี่ เรียกว่า โอปธิกบุญ บุญที่ยังมีกิเลส ทีนี้พอเราพัฒนาตัวเราขึ้นไป เจริญก้าวไปในบุญมากขึ้นเจริญไปในมรรคมากขึ้น ใจของเราก็จะ สละ ละ ลด ความโลภลงไป ความปรารถนาเพื่อตนเองก็ลดน้อยลง ใจเราก็กว้างขึ้นไป เหมือนอย่างเราเป็นพ่อ เป็นแม่ ก็ไม่นึกถึงตัวเอง เราก็นึกถึงลูกอยากให้ลูกมีความสุข
ถ้าเป็นพระทำงานทำการ ท่านก็ทำบุญเหมือนกันแต่ว่าพระนี้จะไปนึกถึงว่าทำบุญเพื่อตัวจะได้ไปเกิดสวรรค์อะไรอย่างนั้น พระพุทธเจ้าตรัสเธอผิดทันทีเลยเป็น สีลัพพตปรามาส ไม่ได้เลยพระนะ ถ้าหากว่าเราทำบุญนี้ เราได้รักษาศีลอะไรต่ออะไรเราจะได้ไปเกิดในสวรรค์ พระพุทธเจ้าตรัสว่าปฏิบัติผิดทางแล้ว พระก็ต้องปฏิบัติไปคือกำจัดกิเลส ลดละโลภะ โทสะ โมหะ แล้วก็ปฏิบัติเพื่อประโยชน์สุขแก่ประชาชนใช่ไหม พหุชนหิตายะ พหุชนสุขายะ โลกานุกัมปายะ บำเพ็ญกิจทั้งหลายเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุขแก่พหูชน เพื่ออนุเคราะห์ชาวโลก โยมก็เหมือนกันแหละ การพัฒนาไปในมรรค ด้วยการทำบุญก็คือการก้าวไปบุญให้บุญพาก้าวไปในมรรคนั่นเอง และโยมก็จะพัฒนาไปนี้ เพราะฉะนั้น นี้เป็นเรื่องสำคัญเป็นอันว่าเอาเรื่องของการเข้าพรรษา มาโยงเข้ากันกับอาสาฬหบูชาก็จะช่วยให้โยมนี้ก้าวหน้าในบุญไม่ติดอยู่กับบุญข้างต้นเท่านั้น นี่ก็ได้ประโยชน์ ๒ ชั้นเลย
นี่ก็ให้ได้หลักอย่างที่ว่านี้มีคำที่น่าจะเอาไว้สกิดใจ ที่บอกว่าท่านผู้ที่มีจิตใจใหญ่กว้าง แล้ว ทำบุญที่แท้จริง ขยายบุญมหาศาลเข้าไปนี้ ท่านผันบุญของตนไปเพื่อช่วยให้ชาวโลกทั้งปวง ลุถึงความสุขทั่วกัน ถ้าโยมใจใหญ่กว้างขึ้นต่อไปนี้ก็จะนึกขยายออกไปถึงคนอื่นมากขึ้น แล้วใจเราแทนที่จะทุกข์ เรากลับมีความสุขมากขึ้น คนแต่ก่อนนี้ถ้านึกถึงแต่ตัวเองคนเดียว มันก็ได้สุขแคบๆแค่ตัว นี่ต่อไปเรานึกถึงสุขของคนโน้น คนนี้ มากคนขึ้นพอเห็นคนอื่นเป็นสุข เราก็สุขมากขึ้นเพราะว่าจำนวนคน ปริมาณที่จะสุขมันมากขึ้นด้วยอย่างนี้เป็นต้น แต่อย่างไงก็ตามก็คืออย่างน้อยกิเลสมันลดลง ความเห็นแก่ตัวโลภะโทสะ โมหะมันลดลงไปเองแหละเป็นการพัฒนาตัวไปด้วย เพราะฉะนั้นบุญมันก็พัฒนาแน่นอน อย่างนี้เรียกว่า อัคคัง ปุญญัง ปะวัฑฒะติ บุญอันเลิศ ย่อมเจริญเพิ่มพูน
อาตมาคิดว่าวันนี้ก็พูดไม่ให้ยาวนัก ที่จริงก็ถูกเตือนอยู่เรื่อยว่าอย่าพูดให้มาก เอาละเป็นอันว่าวันนี้ก็มาประสานเรื่องโยมทำบุญให้ไม่ใช่แค่ได้บุญ แต่ให้บุญนั้นเจริญเพิ่มพูนด้วยแล้วให้บุญนั้นเป็นการที่เราพัฒนาชีวิตของเราเจริญก้าวหน้าไปในมรรคแล้ววันสำคัญทั้ง ๒ วันนี้ก็จะมาประสานเป็นอันเดียวกันคือวันเข้าพรรษากับวันอาสาฬหบูชา วันเข้าพรรษาเราทำบุญคือการถวายเทียนพรรษาและผ้าอาบน้ำฝนเป็นต้น ก็เป็นเครื่องช่วย เป็นปัจจัยเกื้อหนุนให้เราเจริญก้าวหน้าไปในมัชฌิมาปฏิปทาหรือมรรคมีองค์ ๘ ประการอันประเสริฐที่สรุปลงในศีล สมาธิ ปัญญา ทำให้เราก้าวไปในความหมายของวันอาสาฬหบูชาดังที่ได้กล่าวมาแล้วนั้น อาตมภาพก็ขออนุโมทนาโยมทุกท่านแล้วก็เมื่อโยมทำได้ถูกทางเพียงวางจิตถูก โยมก็ก้าวไปได้เลยเพราะว่าโยมทำอยู่แล้วขณะนี้โยมทุกท่านนี้ ทำบุญเหล่านี้อยู่แล้วเพียงแต่ว่าเราทำแล้วมีความเข้าใจ แล้ววางจิตเดินจิตให้ถูกเท่านั้นเอง แล้วโยมก็ได้เลยทันทีนี้เพราะว่าโยมพร้อมอยู่แล้ว สิ่งที่มี สิ่งที่เป็นปัจจัยเกื้อหนุนอยู่ในใจแล้วก็ได้ทำพร้อมแล้วพอวางจิต เดินจิตถูก โยมก็ก้าวไปในบุญได้เข้าสู่มรรคทันทีเลย
ฉะนั้นก็ขออนุโมทนาอีกครั้งหนึ่งในโอกาสนี้ก็ขอตั้งจิต ตั้งใจ อวยชัยให้พร ขออาราธนาคุณพระรัตนตรัยเป็นเครื่องปกปักรักษา คุ้มครอง ญาติโยมทั้งหลาย ระตะนัตตะยานุภาเวนะ ระตะนัตตะยะเตชะสา ด้วยเดชานุภาพคุณพระรัตนตรัยพร้อมทั้งบุญกุศล ที่ทุกท่านได้บำเพ็ญแล้วด้วยอำนาจคุณธรรม มีศรัทธาและเมตตาเป็นต้น จงเป็นปัจจัยอภิบาลรักษาให้โยมญาติมิตรทุกท่านทั้งตนเองครอบครัว ญาติมิตรทั้งหลายทั้งปวงเจริญด้วยจตุรพิธพรชัยมีความร่มเย็น งอกงามและพระธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั่วกันทุกท่าน ทุกเมื่อ เทอญ