แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ไฟล์ถอดเสียงนี้ยังไม่ได้ผ่านพิสูจน์อักษร นำขึ้นมาเพื่อช่วยในการศึกษาค้นคว้าของผู้สนใจ
บอกไว้ว่า จะพูดเรื่องสันโดษ ก็เกี่ยวข้อง กะ เรื่องตัณหา เรื่องฉันทะ ที่พูดไปแล้ว แต่ว่าเรื่องสันโดษ เคยพูดแทรกมาบ้าง ตอนว่า ด้วย ชีวิตพระ เพราะว่าสันโดษนั้น เป็นธรรมะ ที่พระพุทธเจ้า ตรัส เป็นพิเศษ สำหรับพระภิกษุ สงฆ์ ซึ่งมีชิวิตที่ เน้นในเรื่องของภาคจิตใจ นามธรรม และนอกจากนั้น ชีวิตด้านวัตถุ ยังไปฝากไว้กับชาวบ้านอีกด้วย
นี้เรามาดูเรื่องสันโดษ ในแง่ที่มาสัมพันธ์กับยุคสมัย เมื่อคืนนี้ได้ปรารถเรื่องที่ว่า เมื่อเริ่มยุคพัฒนาในประเทศไทย พ.ศ.2500 เศษๆ ประมาณ 2503 ทางรัฐบาลโดยนายกรัฐมนตรีได้มี สารไปถึงที่ประชุมพระคณาธิการทั่วประเทศ ว่า ประเทศชาติกำลังพัฒนา ต้องการจะสร้างสรรค์ให้มีความเจริญ ก็ขอให้งดสอนหลักธรรมเช่นเรื่องสันโดษนี้ ก็จะทำให้คนเนี่ย เป็นทำนองว่าก็ไม่อยากได้ อยากดีอะไร ทำให้อยู่กันไปตามที่ เป็นอย่างเคย เป็นอย่างไง ก็อยู่อย่างงั้น ก็จะทำให้ไม่ขยันทำการทำงาน แล้วก็ไม่ช่วยกันสร้างอะไร ต่ออะไร ให้เพิ่มพูน ประเทศชาติก็จะไม่เจริญ
นี้มาดูว่า มันเป็นอย่างไง ปัญหามันที่จริง ก็จะไปว่า ทางบ้านเมืองอย่างเดียวก็คงไม่ถูก บ้านเมืองเค้าก็ว่าไปตามความเข้าใจ ของคนในสังคมไทยนี่เอง ซี่งจำนวนมากทีเดียวก็เห็นอย่างนั้น คือมองไปว่า ถ้าคนสันโดษแล้วนี่ ก็ไม่อยากได้อยากดีอะไร สันโดษนั้นความหมายก็จะเป็นว่า มีอย่างไง ก็พอใจอย่างงั้น พอใจในสิ่งที่มีอยู่ นี่ถ้ามันด้วนแค่นี้ มันก็อาจจะตีความผิด เข้าใจพลาดได้ แต่นี้ว่า สำหรับทางฝ่ายบ้านเมืองก็มองไปว่า ถ้าหากว่าคนจะมีความขยันหมั่นเพียร หาเงินหาทองให้มากแล้วประเทศชาติก็จะเจริญ ก็คิดว่าต้องให้คนโลภเยอะๆ อยากมีกินมีใช้เยอะๆ มีของฟุ่มเฟือยมากๆ ที่นี้ถ้าไม่พอใจตามที่มี ตามที่เป็นอยู่ ก็ มันก็ไม่อยากได้วัตถุเหล่านี้ มันก็ไม่ทำการ ทำงาน ไม่หาเงิน หาทอง ก็พัฒนาไม่ได้ แต่คนส่วนใหญ่ในสังคมไทย ก็มองเห็นทำนองนี้เหมือนกัน ก็นึกว่า ธรรมะ เรื่องสันโดษนี่ก็ขัดขวางความเจริญ ทำให้ประเทศชาติไม่พัฒนา ที่นี่พฤติกรรมของชาวพุทธ และความเข้าใจเองด้วย ก็อาจจะมีพลาด ไม่ใช่อาจจะ มันก็ต้องพลาดด้วย ที่ว่า คนไทยชาวพุทธจำนวนมากก็เข้าใจว่า สันโดษ ก็อย่างงั้นแหละ พอใจตามที่มี ที่เป็น ก็ไม่อยากได้อะไร ก็ยังแถมเข้าใจไปว่า “โอ้ว คนมีความสุข” ถ้าคนมีสันโดษ จะได้มีความสุข มีความสุขกับของที่มี เมื่อมีความสุขแล้วก็ไม่ดิ้นรนขวนขวาย มีพฤติกรรมก็ชวนไปในทางที่ว่า โอว้...มีความสันโดษ มีวัตถุอย่างไง ก็อยู่เท่านั้น ก็สบายมีความสุขแล้ว ไม่ขวนขวายหา ลักษณะอย่างนี้มันก็ชวนให้คล้ายกับคนขี้เกียจเหมือนกัน ฉะนั้นมันก็ไม่สร้างสรรค์เหมือนกัน นี่คนไทยเองก็ ชาวพุทธเองนี่แหละ ก็จะเข้าใจความหมายของสันโดษก็ไม่ถูกต้องเหมือนกัน ก็ทำให้คนภายนอก ที่ไม่ค่อยใกล้ชิด หรือเพ่งมองชาวพุทธอยู่แล้ว ก็เลยมองเป็นว่า เนี่ย สันโดษที่ทำให้ ชาวพุทธนี่เป็นคนที่ ไม่ขวนขวาย ไม่สร้างสรรค์ ไม่เพียรพยายาม ไปจนกระทั่งถึงเป็นคนขี้เกียจเลย ก็มีแง่มุมที่ทำให้เค้ามองในแง่นั้นเหมือนกัน ก็ต้องโทษทั้งสองฝ่าย ว่า ฝ่ายบ้านเมืองนั้นในฐานะเป็นผู้ใหญ่ เป็นผู้รับผิดชอบกิจการ ทว่าที่จริงก็จะต้องศึกษาเรื่องสันโดษให้เข้าใจให้ชัด ในขณะที่ประชาชนไม่เข้าใจ ไม่รู้แท้จริง ก็ผู้นำก็จะต้องศึกษาให้ชัด แล้วก็เอาสันโดษที่ถูกต้องมาสอนประชาชนด้วยเช่นเดียวกัน แต่นี่กลายเป็นว่าผู้นำก็ไม่เข้าใจ ก็เป็นเหมือนชาวบ้าน ก็เข้าใจเท่ากัน ก็เหมือนกับทางฝ่ายวิชาการก็เช่นเดียวกัน ก็ต้องติเตียนทางด้านการศึกษาสังคมวิทยาด้วย ถนนวิทยาในเมืองไทยแล้วก็ ตามแบบตะวันตก ในหมู่สังคมวิทยาก็จะเข้าใจ พวกคำสอนทางพระพุทธศาสนา โดยแยกไม่ออกระหว่าง ความเข้าใจและความเชื่อ ที่เชื่อว่าเป็นพุทธศาสนา ตามความประพฤติปฏิบัติ และความเข้าใจของชาวบ้านอย่างหนึ่ง แล้วก็พุทธศาสนาที่เป็นหลักการที่แท้อย่างหนึ่ง
มีพวกนักสังคมวิทยาเวลาศึกษาพุทธศาสนา แกแยกไม่ออก.......แกไม่แยก แกก็จะเอาพุทธศาสนา ตามที่ชาวบ้านเค้าเชื่อและปฏิบัติ คือนึกว่า ที่ชาวบ้านเค้าเชื่อปฏิบัติ นั่นก็คือ พุทธศาสนา หรือว่าสิ่งที่ชาวบ้าน ซึ่งเชื่อว่าเป็นชาวพุทธ เชื่อถือปฏิบัติอย่างใงนั้น เป็นพุทธศาสนา เมื่อแกเข้าใจอย่างนี้ ก็ได้แค่นี้ แกก็ช่วยสังคมไม่ค่อยได้ แทนที่จะช่วยบริการ สร้างปัญญาให้แก่สังคมโดย เอ้อ......ชาวบ้านได้เค้าใจพุทธศานาไม่ถูกต้อง ปฏิบัติไม่ถูกต้อง แล้วเราก็แยกให้เห็นว่า พุทธศาสนาที่แท้ หลักการทีแท้ สอนอย่างไร มันก็จะมาช่วยเหลือสังคมในการพัฒนาสังคมให้ดีขึ้น แกก็ทำไม่ได้ แกไปได้แค่อย่างฝรั่ง ฝรั่งก็มาศึกษา สังคมพุทธศาสนาก็มีบางคนที่พยายามเข้าถึงตัวหลักการแต่ว่าจะโดยมาก ก็ได้แค่แบบเดียวกัน ก็คือว่า ....คำว่าพระพุทธศาสนาของเขาก็คือ พุทธศาสนาตามความเชื่อและการประพฤติปฏิบัติของชาวบ้าน ทีนี้พุทธศาสนานั้น เราเคยพูดไปแล้วว่ามีลักษณะที่เป็นศาสนาแห่งปัญญา ไม่ใช่ศาสนาแห่งศรัทธา ฝรั่งเค้าเคยรู้จักแต่ศาสนาแห่งศรัทธา
ศาสนาแห่งศรัทธา คือ ความเชื่อ ก็เป็นศาสนาที่มีสิ่งที่เรียกว่า “Dogma”
Dogma ก็คือ ข้อกำหนดความเชื่อและการประพฤติปฏิบัติที่ตายตัว ตื่นมาต้องทำอย่างนั้น วันนึงต้องไหว้ ต้องกราบเท่านั้นหน อะไรต่างๆ เหล่านี้ เชื่อต้องเชื่อพระเจ้า เชื่ออะไรต่างๆ ตายตัว ถ้าไม่เชื่ออย่างนี้ ผิดเลย ความเชื่อตายตัว ข้อปฏิบัติตายตัว ต้องอย่างงี้
ในศาสนาประเภทนี้ เราเคยพูดกันไปแล้วว่า ทำให้ดำรงรักษาตัวได้มั่นคงเหมือนกัน ใช่มั๊ย เพราะว่าไม่ต้องถาม ไม่ต้องศึกษาแล้ว มาก็บอกปั๊ปเลย เชื่องัย ทำอย่างงัย ใช่มั๊ย ก็จบ ทีนี้พุทธศาสนานี้ไม่มี Dogma ไม่มีข้อกำหนดตายตัว เพราะให้อิสรเสรี ทางปัญญาทางความคิด ฉะนั้น ก็ต้องศึกษาก่อน ศึกษาและเข้าใจ แล้วก็ เอาสิ ว่าคุณเข้าใจแล้วก็ ใช้วิจารณญาณในการปฏิบัติ ศาสนาแบบนี้ต้องขึ้นต่อการศึกษา ถ้าไม่มีการศึกษา ต่อไปก็เคลื่อนคลาดหมด ก็หลักธรรมในพุทธศาสนาจะเห็นได้ชัดเลย ว่าเมื่อคนขาดการศึกษาแล้วก็ว่ากันตามๆ กันไป พูดต่อๆ กันไป เมื่อพูดต่อๆ กันไปมันก็ชักขาด แหว่ง แหว่งนิดแหว่งหน่อยไปเรื่อยๆ ผลที่สุดแถบไม่เหลือตัว บางที่ตรงข้ามไปเลย เหมือนอย่างประชาธิปไตย ในสังคมไทย ประชาธิปไตย นี่...จะ...ได้ของที่เป็นประโยชน์แท้จริงก็ต้องมีการศึกษาใช่มั๊ย... ถ้าไม่มีการศึกษาก็เคลื่อนคลาดหมด เหมือนอย่างสมัยก่อนนี้ หลายสิบปีมาแล้ว ถามชาวบ้าน “ประชาธิปไตยคืออะไร” ชาวบ้านก็ไม่รู้เรื่อง บอก...โน่นที่อยู่ในพานรัฐธรรมนูญ ที่อนุสาวรีย์ถนนราชดำเนิน นี่ประชาธิปไตย แสดงว่าแกไม่รู้เรื่องอะไรเลย ใช่มั๊ย เนี่ยๆ ประชาธิปไตยในความหมายของชาวบ้านไม่น้อยเลย ไม่รู้เรื่องเลย ปฏิวัติทำให้เกิดประชาธิปไตยก็ได้ โน่น....ในพานรัฐธรรมนูญที่อนุสาวรีย์ เพราะเอาไปตั้งเชิดชูบูชาไว้นี่ ใช่มั๊ย แสดงว่าสำคัญมาก นี้ถึงเดี๋ยวเอง ถึงเดี๋ยวนี้ก็เหอะ มีชาวบ้านเท่าไหร่ที่เข้าใจประชาธิปไตย ก็อาจจะมองว่า การเลือกตั้ง คือประชาธิปไตย และการเลือกตั้งเป็นไปเพื่ออะไร มันมีส่วนสำคัญในระบบการปกครองประชาธิปไตยอย่างไร ก็ไม่ชัด ไม่เจน ทีนี้ประชาธิปไตยที่แท้ ก็ต้องอาศัยคนที่มีการศึกษา
ในพุทธศาสนา เป็นศาสนาที่ให้คนใช้ปัญญา ให้มีเสรีภาพทางความคิด ในเมื่อไม่มีข้อกำหนดความเชื่อและข้อปฏิบัติ แบบตายตัวเหมือนศาสนาอื่น นั่นก็เลยว่า ถ้าคนไม่มีการศึกษามันก็เคลื่อนคลาดกันไปเรื่อยๆ คราวนี้ก็เลยเป็นความจำเป็น ที่ว่าสำหรับศาสนาแบบนี้ ผู้ศึกษาจะต้องแยกได้ระหว่างตัวหลักการที่แท้ของพุทธศาสนา ซึ่งเราจะอาศัยพุทธพจน์ เท่าที่เราจะหาได้ ก็มีในพระไตรปิฎกนี่แหละเป็นแหล่งใหญ่ สำหรับมาวินิจฉัยเป็นมาตรฐาน แล้วก็อีกด้านหนึ่ง ก็คือ พุทธศาสนาตามความเชื่อ ความเข้าใจของประชาชนชาวบ้าน แล้วก็คอยปรับให้ความเชื่อ การปฏิบัติของชาวบ้านให้มันเข้ากับตัวหลักการที่แท้อยู่เสมอ ลักษณะของพุทธศาสนาจะต้องเป็นอย่างนี้ เราจึงต้องมีสิ่งที่เรียกว่า “สังคยานา” เป็นต้น คอยปรับ ความเชื่อการปฏิบัติในเข้าหลักอยู่เรื่อยๆ และให้การศึกษากับประชาชนอยู่ตลอดเวลา ถ้าขาดอันนี้...ก็ มีแต่ความเคลื่อนคลาดไป
เรื่องสันโดษ ก็เช่นเดียวกัน มันก็เป็นเรื่องที่ว่า มีความเข้าใจเป็นพูดๆ ต่อๆ กันมา ก็ได้บางส่วน ทีนี
ไอ้การที่ได้บางส่วนก็คือความไม่สมบรูณ์ ความไม่สมบรูณ์ก็เป็นความผิดพลาดได้แง่นี้ ทีนี้สันโดษเป็นอย่างไง สันโดษนั้น เมื่อคนไทยเข้าใจอยู่ว่า ไอ้ความอยากเนี่ยไม่ถูกต้องนะ เมื่อคืนพูดกันทีนึงแล้ว คนไทยมองว่า สำหรับชาวพุทธความอยากเนี่ยใช้ไม่ได้ ผิด ก็เข้าใจเป็นตัณหาไปหมด พอเข้าใจความอยากเป็นตัณหาไปหมด ก็ทำให้เข้าใจสันโดษผิดด้วย เพราะว่า สันโดษนี้ จะคลุมด้านตัณหา แล้วมาเสริมเรื่องฉันทะ เมื่อไม่เข้าใจเรื่องฉันทะเลย ก็จบ ก็นึกว่าสันโดษ มาคลุม มาละ มาลด ตัณหา ก็ด้วนเลย..ที่นี้..ก็ขาด มันก็ไม่ไปต่อฉันทะแล้ว
อ้าว...ที่นี้เป็นอย่างไง เรามาดูก่อน เริ่มตั้งแต่ว่า โดยทั่วไปแล้ว พระพุทธเจ้าจะตรัสเรื่องสันโดษนี้ จากพระ ตามปกติจะไม่มีตรัสในคฤหัสถ์ เช่นชาวบ้าน ตรัสแก่พระก็จะบอกว่าภิกษุ สันโดษ ด้วยจีวร ด้วยบิณฑบาตร ด้วยเสนาสนะ ตามมี ตามได้ คือตามที่เป็นของตน ตามที่ตนได้มา แม้ถามภิกษุนี้ ได้อาหารมาอย่างไรก็พอใจอย่างงั้น ได้บิณฑบาตร ได้จีวร อย่างงัย ก็ยินดีตามนั้น
คราวนี้ ขั้นต้นความหมายก่อนก็คือว่า จุดที่สังเกตก็คือว่า พระพุทธเจ้าให้พิสูจน์ ในสันโดษกับพวกปัจจัยสี่ ซึ่งเป็นวัตถุ สำหรับอาศัย บริโภค เลี้ยงชีพ งานนี้ด้านนึงแล้วที่ต้องสังเกต ถ้าพูดอย่างนี้ก็หมายความว่า ไม่ได้ตัดเลยเรื่องสันโดษ ในเรื่องการทำกิจหน้าที่ ด้านการบำเพ็ญกรรมฐาน บำเพ็ญสมาธิ บำเพ็ญศิล สมาธิ ปัญญา
พระพุทธเจ้าไม่เคยตรัส ให้พระสันโดษ สันโดษจากปัจจัยสี่ หนึ่งแล้วนะ.....ข้อสำคัญ ให้สันโดษในปัจจัยสี่ ทีนี้ก็เมื่อสันโดษในปัจจัยสี่แล้ว ต่อไป ในธรรมมะชุดเดียวกันนั้น จะตรัสอะไรต่อด้วยรึเปล่า ก็จะเห็นว่าพระพุทธเจ้า จะตรัสต่อไปว่า พอสันโดษแล้วให้มีธรรมมะต่างๆ ตามมา ในบรรดาสิ่งที่ตามมา ต่อจากสันโดษ คือ ความเพียร อ้าว.....สันโดษแล้วทำไมในชุดเดียวกัน ต่อจากสันโดษ จึงให้ มีความเพียร เพียรในการทำกิจหน้าที่ของตัว ใช่มั๊ย ในด้านกิจหน้าที่นี้ไม่ให้สันโดษ ใช่มั๊ย แล้วในธรรมมะที่มาจำเพาะเลยชัดๆ ท่านเรียกว่า “อริยวงศ์ สี่” อริยวงศ์สี่ นี่
หนึ่ง สันโดษ ด้วยจีวร
สอง สันโดษด้วยบิณฑบาตร
สาม สันโดษด้วยเสนาสนะ ที่อยู่อาศัย
แล้วก็สี่ บอกว่า “ยินดี พอใจในการ ละ อกุศลธรรม และ พอใจในการเจริญกุศลธรรม นี่คือเป้าหมาย
เลยไอ้ที่สันโดษในสามข้อต้น ก็เพื่อจะได้มาทำข้อที่สี่ ได้งัย นี่เป็นความสัมพันธ์ แต่เป็นจุดสังเกต ที่ว่า ไม่ได้จบแค่สันโดษ มีเรื่องความเพียร เรื่องการทำหน้าที่ต่อมา แล้วมันสัมพันธ์กันในแง่ว่า..... สันโดษมันเป็นตัวหนุน มันเป็นตัวช่วย เอื้อโอกาส ให้ทำให้ตัวสุดท้าย คือความเพียร พยายามทำกิจหน้าที่ได้ผล เพราะว่า ถ้าไม่สันโดษแล้วมันก็จะมาขัดขวาง ทำไมจึงว่าถ้าไม่สันโดษแล้วขัดขวางการทำหน้าที่
ภิกษุ หน้าที่สำคัญก็คือ การพัฒนาชีวิต ในไตรสิกขา ศิล สมาธิ ปัญญา ทีนี้ ถ้าภิกษุไปไม่สันโดษในวัตถุปัจจัยสี่ ก็มัวแต่จะหา จีวรสวยๆ อาหารอร่อย ฉันอยากจะมีมากๆ มีที่อยู่สบายที่สุด อะไรต่างๆ ขวนขวางแต่เรื่องวัตถุ ปัจจัย เป็นงัยล่ะ.....ทีนี้ใจก็ไม่อยู่กับหน้าที่การงาน ใช่มั๊ย..... ใจไม่อยู่เพราะคอยครุ่นคิด เอ.....ทำงัย จะได้จีวรสวยๆ มา อย่างชนิด เนื้อดีที่สุด ราคาเป็นกี่พัน สมมติ เป็นอย่างงั้น หรือว่า อาหารฉันท์อะไรต่ออะไร คิดอะไรแต่เรื่องอย่างงี้ หนึ่งความครุ่นคิด ใจไปอยู่กับเรื่อง การหาวัตถุเสพ ก็เป็นว่า ไม่มีกะใจจะมาคิดเรื่อง การพัฒนาในไตรสิกขา ว่าจะเจริญในศิล สมาธิ ปัญญา ว่าไง ไม่เอาแล้ว
สอง เมื่อแกครุ่นคิดอย่างงั้นแล้ว ก็ใช้เวลาในการหาสิ่งเหล่านั้น แล้วก็ใช้แรงงานไปในการหาสิ่งเหล่านั้น เวลาก็หมดไป แรงงานก็หมดไป ความคิดก็วุ่นวาย ขลุกขลุ่ยอยู่กับในเรื่องการหาเสพ หาวัตถุ หน้าที่ของตัวก็เสียหมดสิ ใช่มั๊ย
พูดถึงเรื่อง ศิล สมาธิ ปัญญา หรือจะพูดในแง่ของ ศาสนกิจว่า เล่าเรียนปริยัติ แล้วก็ปฏิบัติตามคำสอน หรือปริยัติ ที่เล่าเรียนนั้น แล้วก็ธรรมมะเผยแผ่ ศาสนกิจหน้าที่ของพระสำคัญ สามอย่างนี้ มัวไปยุ่งกับการหาวัตถุเสพสำหรับตัวเองก็หมด งานเรานี้เสียหมด ฉะนั้น ก็คือว่า ถ้าไม่สันโดษแล้ว เวลาแรงงานและความคิด ก็จะหมดไปกับการหาวัตถุเสพ แล้วก็ไม่มีเวลา แรงงาน และความคิดที่จะใช้ในการทำศาสนกิจ ในการที่เจริญสมณธรรม ในการบำเพ็ญไตรสิกขา อย่างที่ว่า ก็เสียหมด ใช่มั๊ย.... ทีนี้ นอกจากนั้นแล้ว ชีวิตของพระนี่ ก็เป็นชีวิตที่ไม่ยุ่งเกี่ยววัตถุอยู่แล้ว พยายามสละมา แล้วจะไปแสวงหาอยู่กับเรื่องเหล่านี้ มันก็ตรงข้ามกับแนวทางของตน และนอกจากนั้น ในชีวิตของพระในด้านวัตถุ ก็ไปฝากไว้กับชาวบ้าน โดยวินัย ให้พึ่งชาวบ้าน ที่นี้เมื่อพระไม่สันโดษ คิดแต่จะหาวัตถุ มันก็เบียดเบียนชาวบ้าน หาทางจนได้ ดีไม่ดีก็หาไปในทางที่ไม่สมควร ไปหลอกลวงชาวบ้าน หรือไปหาทางที่จะล่อชาวบ้านให้มา ให้ลาภ สักการะแก่ตน ถ้าเรียกว่าเกิดเป็นวิชาชีพของพระขึ้นมา เลี้ยงชีพไม่สุจริต แล้วก็ทำให้เบียดเบียน เดือดร้อนชาวบ้าน ทำตนให้เลี้ยงยาก อย่างน้อยก็ทำให้ชาวบ้านลำบาก ถ้างั้นในเมื่อชีวิตของเราด้านวัตถุ ฝากไว้กับชาวบ้าน ก็ต้องทำตัวให้เค้าเลี้ยงง่าย การสันโดษก็ช่วยให้ไม่ไปเบียดเบียน ไม่ไปทำให้ชาวบ้านเค้าเดือดร้อน เค้าถวายมา เค้าศรัทธา เราก็ได้มาฉันท์ให้พอมีชีวิตอยู่ แล้วก็มาทำกิจหน้าที่ของตนเอง นี่พูดในแง่ของพระ ก็เป็นอันว่าสาระสำคัญก็คือว่า สันโดษ... มันเป็นตัวเอื้อ มันช่วยให้.....เราสามารถสงวนเวลา แรงงาน และความคิดเอาไว้
สงวนเวลา แรงงาน และความคิดเอาไว้ เพื่อจะได้เอาเวลา แรงงานและความคิดนั้น มาทุ่มเทให้แก่การทำกิจหน้าที่ ของตนเอง พอพระสันโดษปั๊ป เวลาแรงงาน และความคิด มีเยอะแยะ แล้วคราวนี้ ก็มาทำงานของตัวเองสิ จะมาเล่าเรียน จะปฏิบัติ จะเผยแผ่ธรรม ก็ทำไปเต็มที่เลย ไม่ต้องมากังวล จิตใจก็ไม่ฟุ้งซ่านด้วย มีสมาธิมากขึ้น ใจแน่วแน่ในการทำกิจ บำเพ็ญไตรสิกขาก็เต็มที่ นี่ก็คือวัตถุประสงค์ของสันโดษ เราจะเห็นว่า สันโดษนี้ก็จะไปคลุมตัณหา ตัณหา คือ ความอยากเสพ ใช่มั๊ย.... อยากเสพวัตถุ หาความสะดวกสบายปรนเปรอตัวเอง แล้วก็มาหนุนฉันทะ มาหนุนฉันทะอย่างไง ฉันทะนี่ก็คือความอยากให้มันดี ที่พูดไปแล้ว อยากจะรู้ อยากจะสร้างสรรค์ เนี่ยก็ อยากจะให้ชีวิตของตนเอง เจริญงอกงามในไตรสิกขา อยากจะ ...ทำ อะไรๆ ต่อไปให้บรรลุผลที่ดีงาม บรรลุแม้แต่นิพพาน ใช่มั๊ย.... นี่ก็คือความอยากที่ดี ที่เรียกว่า “ฉันทะ” คืออยากจะเจริญงอกงามในธรรมมะ ที่เรียกว่า อยากในกุศลธรรม นั่นเอง ใช่มั๊ย.... อยากในกุศลธรรม เมื่ออยากในกุศลธรรม มันก็เป็นฉันทะไป ถ้าอยากในวัตถุเสพ มันก็เป็นตัณหา อยากในกุศลธรรม ก็เป็นฉันทะ ที่นี้.. สันโดษก็มาคลุม ความอยากในวัตถุเสพ ลดลงไป แล้วก็ให้มาส่งเสริม เกื้อหนุนความอยากในกุศลธรรม ตอนนี้ ในแง่ของกุศลธรรม ท่าน ให้เอาเต็มที่เลย ก็คือว่า พระพุทธเจ้า ก็จะตรัสเรื่อง ว่า ให้สันโดษในวัตถุเสพ หรือปัจจัยสี่ แล้วพร้อมกันนั้น พระองค์ก็บอกว่า ให้ไม่สันโดษในกุศลธรรม ใช่มั๊ย.... อันนี้ก็คือหลักธรรมที่ชาวพุทธทั่วๆ ไป ไม่คอยนึก พอสันโดษ ก็จบแค่สันโดษ ที่จริง พระพุท
ธเจ้าให้ ไม่สันโดษด้วย คู่กัน เพราะฉะนั้นจึงต้องมีตัวต่อ ว่าสันโดษในอะไร ไม่สันโดษอะไร ไม่ใช่ทิ้งไว้ด้วนๆ ว่า สันโดษ เขาบอก สันโดษในปัจจัยสี่ หรือวัตถุเสพ แล้วก็ต่อด้วย ไม่สันโดษในกุศลธรรม ถ้าในกุศลธรรมแล้วไม่ให้สันโดษ ถ้าสันโดษในกุศลธรรม พอใจในสิ่งดีงาม กิจหน้าที่ ที่ตัวได้ทำแล้ว ว่า..เอ้อ....เท่านี้พอแล้ว ถ้าอย่างนี้ ท่านเรียกว่า ประมาทเลย ถ้าใครพอใจมีสันโดษในกุศลธรรม ผู้นั้น ท่านเรียกว่า เป็นผู้ประมาท ผิดทันที เป็นอันว่าในเรื่องกุศลธรรม สิ่งที่ดีงาม แล้วไม่ให้สันโดษ ต้องก้าวหน้าต่อไป ตลอดเลย ตราบใดยังไม่บรรลุจุดหมายสูงสุด ไม่ให้หยุด เพราะฉะนั้น ก็จะยก พุทธพจน์ ที่ตรัสไว้ อีกอันมาสนับสนุน พระพุทธเจ้าตรัส บอกว่า เราไม่สรรเสริญแม้แต่ความ ตั้งอยู่ได้ในกุศลธรรมทั้งหลาย ไม่ต้องพูดถึงความเสื่อมถอยจาก กุศลธรรม เราสรรเสริญอย่าวเดียว แต่ความก้าวหน้าต่อไปในกุศลธรรม ทั้งหลาย และอย่างใน ธรรมบท ก็จะมีคาถา ที่บอก ภิกษุ จะ...มี ...ความก้าวหน้าในการปฏิบัติ เป็น พหูสูตร คงแก่เรียน มีความรู้ธรรมวินัย เก่ง เชี่ยวชาญ หรือจะเป็น ผู้ที่ได้สมาธิ ได้ชาญ หรือได้มีความสุข ในทาง????????????? จากอยู่ปลีก หลีกเร้น แล้ว อะไรต่างๆ ก็ตาม ตราบใดที่ยังไม่สิ้นอาสวะ อย่าได้ถึงความนอนใจ วิสาสมาปาธิ อัปปัตโต อาสาวขักยัง คือถ้ายังไม่ถึงจุดหมายแล้ว ไม่ให้หยุด ไม่ให้นอนใจ ไม่ให้ ไม่สันโดษ ในพระสูตรหนึ่ง ก็บอกว่า ภิกษุ ได้บรรลุคุณพิเศษ ในระดับอริยบุคคล แล้วก็ เกิดความพอใจสันโดษว่า โอ้.....เราได้บรรลุธรรมพิเศษแล้ว พอสันโดษเท่านั้น พระพุทธเจ้า ตรัสว่า เธอนี่เป็น “ปมาทวิหารี” เป็นผู้อยู่ด้วยความประมาท ถ้าไปอ่านว่า ถ้าสันโดษคือผู้สำเร็จธรรมเมื่อไหร่ เรียกว่า ประมาท ผิดทันที
จับจุดอันนี้ให้ได้ ที่นี่ ความสันโดษ ในวัตถุเสพ ก็มาหนุนความไม่สันโดษในกุศลธรรม อย่างที่ว่าไปแล้ว ตัวเชื่อมก็คือว่า มันสงวนเวลาแรงงาน และความคิดเอาไว้นั่นเอง ก็เลยกลายเป็นตัวเอื้อโอกาสแก่การทำกิจหน้าที่ของตนเอง อันนี้ได้หลักการแล้ว ทีนี้มีข้อสังเกตอีกก็คือว่า คนจำนวนมากไปเข้าใจว่า โอ้....สันโดษแล้วจะได้ความสุข อันนี้เป็นการจับที่ผิดมาก ที่ว่า โอ้ สันโดษแล้วจะมีความสุข มันก็ถูกอยู่ คือคนสันโดษ นั่นก็ ทำให้เป็นคนทีสุขง่าย สุขง่ายในวัตถุน้อย เค้าได้ว่า มีอะไรมาเป็นของตน มีแค่ไหนก็พอใจ เมื่อพอใจก็มีความสุข แต่ความสุขมันไม่ใช่ดี ใช่ชั่ว ความสุขนี้ ไม่ใช่สิ่งดี สิ่งชั่วในตัวมันเอง ไม่ใช่วัตถุประสงค์ ของการปฏิบัติธรรม เป็นเพียงวัตถุประสงค์พลอยได้ เป็นผลพลอยได้ นั้นมันไม่ใช่วัตถุประสงค์ของสันโดษ จุดพลาด ก็คือ ไปเข้าใจว่า สันโดษเพื่อความสุข ก็เอาความสุข เป็นวัตถุประสงค์ของสันโดษไป เราพูดได้เลยว่า ความสุขเป็นเพียงผลพลอยได้ของสันโดษ แล้วมันเป็นตัวหนุน ทำให้เราสามารถมาระดมกำลัง ใช้แรงงานความคิด ในการทำกิจหน้าที่ให้ดียิ่งขึ้น เพราะว่าถ้าเรายังไม่มีความสุขกับวัตถุ จิตใจเราว้าวุ่น ใช่มั๊ย..... ว้าวุ่นมันก็ไม่เป็นอันทำกิจหน้าที่ จะมาบำเพ็ญไตรสิกขา ไอ้ใจก็ไปห่วง วุ่นวาย ตัวเองก็ไม่มีความสุข ร้อนรนกระวนกระวาย มันก็ปฏิบัติไม่ได้ผล ที่นี่พอมีความสุขกับวัตถุแล้ว ด้านนั้นมันก็สงบ สงบมันก็กลับมาช่วยหนุน ให้ปฏิบัติกิจหน้าที่ได้ดียิ่งขึ้น ใจก็จะมาอยู่กับการ กับงาน แล้วมีความสุขจากงานได้ด้วย คราวนี้คนบางคนไปเข้าใจไปว่า สันโดษเพื่อสุข แล้วจริงอย่างงั้นด้วย พอสันโดษปั๊ป ได้วัตถุมาเท่าไหร่ ก็พอใจเท่านั้นก็มีความสุข แต่ว่ามันด้วน เพราะมันไม่ไปรับกัน ไม่ไปส่งต่อ ว่ามันจะเจริญก้าวหน้าต่อไป ในการปฏิบัติธรรมอย่างไร พอมันด้วนอย่างงี้ สันโดษก็ขาดลอย วัตถุประสงค์ก็อยู่แค่สันโดษ ก็สันโดษแล้วก็สุข สุขแล้วก็นอนเลย ถ้าอย่างนี้ก็สันโดษก็ส่งเสริมความขี้เกียจ ถูกอย่างเขาว่า แล้วมันก็สันโดษนี้ก็ส่งเสริมตัณหา เพราะว่า สันโดษแล้วเป็นอย่างไง จะได้สุข พอใจในความสุข อยากได้ความสุขอย่างงั้น ตัณหานั่นไม่ใช่ดีนะ... ขี้เกียจก็คือตัณหา นั่นแหละ คนเรานี้ตัณหามันทำให้ร้นรนกระวนกระวาย วิ่งทะยานพล่านไปอย่างหนึ่ง แล้วอีกอย่างหนึ่งก็ทำให้ขี้เกียจ คือ ตัณหามันทำให้มีสองแบบ ตัณหาแบบพล่าน ตัณหาแบบขี้เกียจ มันสบายมันติดในความสุข มันไม่อย่างทำอะไร มันอยากจะเสพ มันก็มักมีเสพ ในเมื่อมันสบายแล้วมันก็นอนเสพสบายขี้เกียจ อีกอย่างหนึ่งก์คือพล่านมันยังไม่ได้ มันยังไม่ได้ มันก็พล่านหาเสพ คราวนี้มันไปทำอะไรมันก็ทุกข์ ใช่มั๊ย... มันเป็นเงื่อนไข จิตใจมันก็ไม่สบาย เพราะฉะนั้นตัณหานี้ กลายเป็นว่า ขี้เกียจก็ตัณหา ใช่มั๊ย... พล่านไปก็ตัณหาเหมือนกัน ตัณหาทั้งคู่ ฉะนั้น คนที่สันโดษเพื่อความสุุข ก็เป็นสันโดษแบบตัณหา ไม่ใช่เป็นธรรรมมะที่แท้จริง ไม่ถูกต้อง ทีนี้ คนไทยเมื่อไม่เข้าใจเรื่องฉันทะก็เลยต่อไม่ได้ ก็เอาสันโดษมา นึกว่าคุมตัณหา ไม่อยากได้วัตถุมากมาย แต่กลายเป็นว่า สบายก็เลยสุขดี ติดสุขอีก ก็เลย ลุ่มหลงในความสุขนั้นได้เพลินๆ อย่างน้อยก็เป็นโมหะ ไป อันนี้ก็ว่าซะรุนแรง ก็เป็นว่าไม่ดี ผิดนั่นแหละ เพราะฉนั้นสันโดษนี้ด้วน เป็นเหตุให้เค้าว่าได้ ชาวพุทธก็ต้องยอมรับตัวเองเหมือนกัน ว่าปฏิบัติไม่ถูกต้อง หนึ่งแล้วนะ....ไปเข้าใจว่าสันโดษเพื่อความสุข เอาสุขเป็นวัตถุประสงค์สันโดษ ต้องเข้าใจสันโดษเป็นเพียงผลพ่วงมา เมื่อสันโดษแล้วมันก็สุขมาเอง ไม่ต้องไปคิด ไม่ต้องพยายาม มันได้มาเอง พอสันโดษปั๊ป สุขในตัว หมายความว่าสุขจากวัตถุมันได้ทันที เมื่อเราสันโดษ มันพอใจเท่านั้น แต่นี้ สุขตัวนี้ก็จะทำให้ตัดความกระวนกระวายด้านวัตถุ แล้วมันต้องมาส่งต่อฉันทะ ให้ไปทำกิจหน้าที่ ปรารถนาที่จะทำในสิ่งที่ดีงามต่อไป ใช่มั๊ย... มันจึงจะรับกัน แล้วก็มาต่อไม่สันโดษ พอไม่สันโดษในกุศลธรรม ก็คือฉันทะมาแล้ว ฉนั้นสันโดษในวัตถุเสพก็มารับกันกับไม่สันโดษในกุศลธรรม คุมตัณหา ปั๊ป ฉันทะก็มาต่อ สันโดษก็สำเร็จความมุ่งหมาย แล้วก็เป็นไปตามหลักการใหญ่ของพุทธศาสนา ก็คือว่า ธรรมมะต่างๆ ในพุทธศาสนา อยู่ในระบบไตรสิกขา อันนี้ไม่มีใครปฏิเสธได้ เมื่ออยู่ในระบบไตรสิกขา อยู่ในระบบของการฝึกฝนพัฒนามนุษย์ให้ก้าวต่อไป สู่จุดหมายสูงสุดชีวิตที่ดีงามพ้นจากความทุกข์ ตราบใดที่ยังไม่ถึงจุดหมายนี้หยุดไม่ได้ อย่างที่ว่าไปแล้ว อันนี้ธรรมมะทุกข้ออยู่ในระบบไตรสิกขา อยู่ในกระบวนการปฏิบัติก้าวไป ในเมื่อมันอยู่ในกระบวนการที่จะก้าวไปในไตรสิกขา ในการฝึกฝนพัฒนาตัว ธรรมมะข้อปฏิบัติแต่ละข้อ จะต้องมีความสัมพันธ์กับข้ออื่น โดยส่งผลต่อกันอย่างไร ไม่ใช่ด้วนๆ ไม่ใช่มีความหมายเฉพาะตัวมันแล้วก็จบ ถ้าธรรมมะมีความหมายเฉพาะตัวข้อไหนข้อนั้น ก็แสดงว่ามันไม่สัมพันธ์ในระบบ มันไม่อยู่ในกระบวนการของไตรสิกขา ก็แสดงว่าไม่ถูก หรือเข้าใจไม่ครบ เพราะฉะนั้นมันต้องต่อได้ ว่า ข้อปฏิบัติอันนี้ ธรรมมะข้อนี้ มันส่งผลต่อไปอย่างไรให้เราคืบหน้าไปในไตรสิกขา เพราะฉะนั้นเราต้องดูว่า สันโดษนี้ มัมส่งผลต่ออย่างไร ถ้าอย่างงี้ชัดแล้ว ...ใช่มั๊ย พอสันโดษปั๊ป สงวนเวลา แรงงาน และความคิดไว้ และเอา เวลา แรงงาน และความคิดไปใช้ในการบำเพ็ญกุศลธรรม ทำในสิ่งที่ดีงามต่อได้แล้ว อย่างงี้ต่อในไตรสิกขา ได้เลย มันก็หนุนๆ กันไปต่อกับไม่สันโดษในกุศลธรรมก็ได้ ต่อกับความเพียรก็ได้ ไปได้หมด เป็นการเอื้อโอกาสนั้นเอง ก็เป็นธรรมมะเบื้องต้น ในระดับการสร้างโอกาสในการที่จะเจริญก้าวหน้า ในการปฏิบัติ หรือในการดำเนินชีวิตที่ดีหรือในการศึกษา นั่นเอง นี่ก็คือหลักการของไตรสิกขาซึ่งใช้ได้ทั่วไป เช่นเรื่อง สมาธิก็เช่นเดียวกัน ทำใมสมาธิที่ผิด สมาธิผิดเพราะอะไร เพราะว่าไปกล่อม ไปกล่อมก็จบในตัวเอง ได้ความสุขแล้วหยุด ทีนี้สมาธิที่มันถูกต้อง มันอยู่ในไตรสิกขา มันต้องส่งผลต่อ สมาธิเป็นตัวเอื้อให้แก่อะไร เช่น ทำให้จิต เหมาะ พร้อมที่จะทำงาน แล้วจิตน้ไปทำงานในการใช้ปัญญา อย่างงี้เป็นต้น สมาธิก็ส่งผลต่อปัญญา อย่างงี้เรียกว่าปฏิบัติถูก เพราะว่า มันมีการส่งผลต่อกันในระบบไตรสิกขา ให้ก้าวหน้าไปได้ ไม่ใช่ทำให้หยุด ถ้าธรรมมะข้อไหนยังอยู่ในระหว่าง ปฏิบัติ หรือทำให้หยุด ด้วน เลย แสดงว่าพลาดแล้ว นี่ก็เป็นหลักวินิจฉัยทั่วไป ที่ใช้ได้ในข้ออื่นๆ ด้วย ไม่ใช่เฉพาะ ไตรสิกขา เอา.......คิดว่า หลักการได้แล้วนะ เมื่อคนมีฉันทะอยากจะทำสิ่่งที่ดีงาม ที่เราพูดไปแล้ว ก็เป็นอันว่าไม่มีปัญหา การพัฒนาสร้างสรรค์ ก็ต้องอาศัยแบบนี้แหละ ถ้าไปอาศัยตัณหา ก็พลาดเลย คนเราก็อยากได้วัตถุเสพ เห็นแก่ตัว แย่งชิงกัน และไม่อยากทำการทำงาน สังคมก็ปั่นป่วน เรรวน ผุโทรมไปหมด มาดูในแง่ของพระสงฆ์บ้าง........ ของชาวบ้านบ้าง คฤหัสถ์
คฤหัสถ์ นี้ เราเอาคติเรื่อง สันโดษมาใช้ได้ เพราะว่าสาระสำคัญมันอยู่ที่ว่า หนึ่ง..สันโดษในวัตถุเสพ และไม่สันโดษในกุศลธรรม สอง....สันโดษเพื่อสงวนออมเวลา แรงงาน และความคิด แล้วเอาเวลา แรงงาน และความคิดนั้น ไปทุ่มเทให้กับการทำในสิ่งที่ดีงาม แค่นี้ใช้ได้แล้ว ที่นี้ผลพลอยได้ก็คือ คนสันโดษก็มีความสุขง่ายในวัตถุน้อย....ใช่มั๊ย เมื่อสุขง่ายวัตถุน้อย ก็ไปหนุนอีกว่า ทำให้ไม่มัวมาฟุ้งซ่าน จิตใจไม่มาว้าวุ่นกับเรื่องการหาความสุขทางวัตถุ ว่ามันพอแล้ว มันก็ไปตั้งใจ แล้วมันก็มีความสุขในการทำงาน ที่นี้เรามาดูคนไม่สันโดษจะเกิดผลอะไรบ้าง คนไม่สันโดษนะ... คนไม่สันโดษคือคนที่ไม่พอใจ ในสิ่งที่ตนมีอยู่แล้ว ความสุขไปอยู่สิ่งที่ยังไม่มี ไม่ได้ เมื่อความสุขไปอยู่กับสิ่งที่ยังไม่มี ไม่ได้ แกพล่าน...แกจะหาไปหาวัตถุที่ยังไม่มี ไอ้สิ่งที่มีแล้วแกไม่มีความสุข เมื่อแกสามารถ มีความสุขกับสิ่งที่มี แกไป........ความสุขแกไปฝากกิบสิ่งที่ยังไม่ได้ แก...ก็ยังไปไม่ถึงความสุขนั้นเสียที คนไม่สันโดษ...หนึ่ง ความสุขจากวัตถุก็ยังไม่ได้ เพราะว่ามันไปอยู่กับสิ่งที่ยังไม่มี ไม่ได้ ความสุขจากวัตถุยังไม่ได้ หนึ่งแล้วนะ....... สอง แกก็ต้องเอาเวลา แรงงาน และความคิด ไปทุ่มเทให้แก่การหา สิ่งเสพ เมื่ออย่างงี้ แก...ก็อาจจะเบียดบัง....เวลา สมมติว่า แกมีกิจ มีหน้าที่ ทีจะต้องทำอะไรเนี่ย แกก็ไม่เป็นอันทำแล้ว ใจแกก็ไม่อยู่กับการงาน หน้าที่แล้ว แกไปอยู่กับการหาวัตถุเสพอย่างไร แกก็อาจจะเบียดบังเวลา แรงงาน เอาไป ใช่มั๊ย..... ทุจริต ที่นี้บางทีก็ไม่ใช่เบียดบังเฉพาะเวลา และแรงงานด้วย บางที่ว่าสิ่งเสพนั้นต้องซื้้อมา หามาด้วยเงิน เงินไม่พออีก ก็เบียดบัง อาจจะทุจริต เรื่องเงิน เรื่องทองอีก ทุจริตเพื่อเอาทรัพย์ไปซื้อหาสิ่งเสพ เกิดการทุจริต หนุนโลภะ เข้าไป สาม.......ก็คือว่า เพราะความสุขแกอยู่กับวัตถุที่ยังไม่ได้ ไอ้ที่การงานนี่ มันทำให้แกต้องขาดความสุข ที่แกต้องการ เพราะฉนั้นการทำงานคือความเดือดร้อนเป็นทุกข์ ใช่มั๊ย..... เพราะฉนั้น คนไม่สันโดษจะทำงานด้วยความทุกข์เป็นอย่างยิ่ง ทรมานใจ เวลาทำนี่ ไม่ตั้งใจทำงาน งานก็เสียอีก ใช่มั๊ย..... ก็เสียไปหมดเลย ชีวิตตัวเองก็ไม่มีความสุข ยังผลเสียต่อสังคม งานการเสียหมด ถ้าไม่ตั้งใจทำงาน
ที่นี่เราไปดูคนที่สันโดษ ส่วนสันโดษก็ตรงข้าม หนึ่ง.....ความสุุขจากวัตถุก็ได้แล้ว ใช่มั๊ย.... เพราะว่าได้เท่าไหร่ก็ยินดี พอใจเท่านั้น สุขจากวัตถุได้แล้ว สอง.........แกก็มีความสุุุุุุุุุุุจริตได้ง่าย รักษาความสุจริตได้ง่าย เพราะว่าแกไม่ต้องเบียดบังเวลา แรงงาน และความคิด แล้วก็เงินทอง ที่จะเอาไปหาสิ่งเสพ สาม.........ตั้งใจทำงาน มีความรักงาน ใจมันอยากจะให้งานมันสำเร็จ ตอนนี้ไม่มีด้านความห่วง และวัตถุเสพ เข้ามากีดขวาง แกก็อยากจะทำงานให้ได้ผล ใจอยู่กับงาน รักงาน ใช่มั๊ย..... พอรักงานก็คือ รักในกุศลธรรม รักในความดีงาม มีฉันทะ แกก็ทำงานด้วยความสุข และได้ความสุขจากการทำงานอีก แล้วผลที่เกิดแก่สังคม สี่........ สังคมก็ได้ผลประโยชน์ไปด้วย ได้ทั้งในแง่การเบียดเบียนน้อยลง ทั้งในแง่งานที่สังสรรค์ สังคม ตามกิจหน้าที่ก็ได้ด้วย ตกลงได้ประโยชน์ สี่อย่าง สุขของตัวเองก็ได้ ทั้งสุขจากวัตถุก็ได้แล้ว สุขจากการงานก็ได้อีก ได้ซ้ำสอง ไอ้เจ้าคนที่ไม่สันโดษ สุขจากวัตถุไดม่ได้ ยังทุกข์จากการทำงานอีก เสียทั้งคู่
ตกลงว่า สันโดษถ้าใช้ถูกต้องแล้ว เป็นประโยชน์อย่างยิ่ง เป็นฐานสำคัญ ของการพัฒนา ก็เห็นจะพอสมควร ก็เป็นอันว่า นี่แหละ ต้องเข้าใจธรรมมะ ให้มันมีความสัมพันธ์ในระบบการบำเพ๊ญไตรสิกขา อย่างถูกต้อง ฉนั้นก็.... จึงได้พูดบอกว่า มันก็เป็นความผิดพลาดทั้งสองฝ่าย ทั้งผู้บริหารประเทศก็ไม่เข้าใจ ว่าไปตามชาวบ้านที่ว่าสืบๆ กันมา ชาวพุทธเองก็ ไม่เข้าใจเองด้วย ทำให้คนอื่นเค้ามองผิดพลาด ฉนั้น ก็ต้องปฏิบัติธรรมให้มันครบ แง่มุมของมันด้วย ต่อให้ได้ ว่าธรรมมะของแต่ละข้อเชื่อมโยงไปอื่นๆ อย่างไร จุดนี้สำคัญ อย่าไปเข้าใจความหมายของธรรมมะข้อนั้นอย่างเดียว ความหมายนี้จะชัด ต่อเมื่อไปโยงกับระบบ ว่า ธรรมมะข้อนี้อยู่ตำแหน่งไหนในระบบไตรสิกขา แล้วมันมีความสัมพันธ์ส่งผลต่ออันอื่นอย่างไร ถ้าจับอันนี้ไม่ได้แล้วก็ ยังไม่ชื่อ ว่าเข้าใจธรรมมะ เพราะฉนั้นอยู่ในสังคม อยู่ในระบบประชาธิปไตย หรือว่าระบบอะไรก็ตาม เราก็ต้องเข้าใจความสันพันธ์ของเรื่องนั้นๆ ในระบบของมันด้วย..... ใช่มั๊ย จึงจะมีความชัดเจน
คำถาม??????????????? " ความต้องการ คิดถึงสิ่งที่ยังไม่ได้ ไม่มี แล้วเกิดความต้องการ???? เสพ มาสนองความต้องการของข้อนี้ ขึ้นอยู่กับการที่ ได้รับอบรมสั่งสอนมา หรือว่าเกิดจากสาเหตุใด มีการแก้เพื่อลด ละ"
ก็ค่อยๆ ฝึกไป ถ้าเราไปสร้างในหมวดฉันทะ มากขึ้น ด้านนี้ก็จะเบาลงเอง เราไปสร้างใฝ่รู้ อยากทำโน่น ทำนี่ เราเกิดมีงาน มีความคิดที่ดีงาม เห็นด้วยปัญญาว่าดี เราก็จะ..อยากทำมัน พออยากทำ มันก็จะมีความสุขจากการทำนี้ แล้วมันเพลินไปเอง มันจะสุข แล้วเลยลืมเสพ เบาลงไป ในการศึกษาอบรม แน่นอนเลย เริ่มตั้งแต่อิทธิพลทางวัฒนธรรม อิทธพลวิถีชีวิตในสังคม อย่างสังคมปัจจุบันนี้ อยู่ใต้ครอบงำของค่านิยมบริโภค แน่นอนว่า คนที่เกิดในสังคมอย่างนี้ จะต้องมีนิสัยอยากเสพ คิดจะทำอย่างไง จะหาได้ หามาเสพ ...ใช่มั๊ย เหมือนอย่างนักเรียน นักศึกษา เข้ามหาวิทยาลัย ก็ไปพูดกัน คุยกันว่า เมื่อเราเรียนจบแล้ว เราจะเอาอย่างนั้นก่อน ผมจะต้องเอารถเบนซ์ ก่อน คนนั้นบอกว่าจะต้องเอายี่ห้อนั้นก่อน จะต้องสร้างบ้านสวยๆ อย่างดี มีอย่างนั้น นี่มันก็เรื่องเสพ ทั้งนั้น มันคิดถึงแต่ตัว คิดจะเอาท่าเดียว ??????? ใช่สิ .. มันพึ่งจะเข้าเรียนเท่านั้นแหละ คิดแล้ว มาพูดกันแต่เรื่องนี้ เหล่านี้ แทนที่จะคิดว่า เราจะตั้งใจเรียนอย่างไร่ให้มันได้ผลดี แล้วสร้างสรรค์อย่างไรไปช่วยแก้ปัญหาสังคม อย่างไง ไม่พูด เป็นจริงมั๊ย.....เป็นอย่างนี้มาก เดี๋ยวนี้ เพราะฉนั้นการเรียน การทำงานเดี๊ยวนี้ เป้าหมายมันไปอยู่ที่ผลประโยชน์หมดเลย สมัยก่อนก็ไปอยู่ที่อำนาจ ความเป็นใหญ่ เป็นโต แต่ตอนนี้อาจจะเอาทั้งคู่ก็ได้นะ เอาทั้งทรัพย๋ทั้งอำนาจ เลย
ทั้งร่ำรวย ทั่งยิ่งใหญ่เลย นี่ก็ วิถีของสังคม สภาพของสังคมก็ ครอบงำเรา หล่อหลอมจิตใจเรา ที่นี้ถ้าในบ้าน ในครอบครัวไม่รู้ ทัน ก็หนุนอีก ก็ยิ่งไปกันใหญ่เลย ที่นี้ ถ้าในบ้าน ในครอบครัวนี้รู้ทัน ก็จะพัฒนาในด้านฉันทะ ความใฝ่รู้ ใฝสร้างสรรค์ไป ก็จะมาสร้างดุลย์ขึ้นมาได้ คราวนี้ ถ้าหาว่าในบ้าน ในครอบครัว ก็ยังไม่ได้ ก็ต้องมาฝึกตัวเอง คล้ายๆว่า เกิด ความเข้าใจ เรื่องอย่างนี้เมื่อไหร่ ค่อยเข้ามาแก้ไข พยายามพัฒนาไป
ผู้อบรม+ พระบรรยาย " เหมือนผู้หลักผู้ใหญ่ ทั้งในบ้านเมือง ทั้งในครอบครัวก็หลงทาง ให้ศีลให้พร ก็ขอให้่ร่ำรวย มีเงิน มีทอง เป็นคนดี มีศีลธรรม
ก็อย่างงี้แหละ ก็คือ ถูกสภาพสังคมปัจจุบันหล่อหลอมเอา มันเป็นกระแสสังคมทั้งหมดแล้วนะเวลานี้
ทั้งบุคคล และ รอบองค์กร
ก็ใช่แน่นอน องค์กรก็ไปอย่างนี้แน่ แต่ละคนก็มุ่งหาอย่างที่ว่า เช่นแม้แต่ครูอาจารย์ ซึ่งนี่คือฐานของสังคม แล้วใช่มั๊ย...... ผู้ให้การศึกษา ครู อาจารย์ ยังมุ่งแต่เรื่องผลประโยชน์ ใช่มั๊ย... มันก็หมดแล้ว มันระบบ มันการที่จะไปคิดว่า ทำไงจะให้ลูกศิษย์เป็นคนดี ทำไงการศึกษาเค้ามีปัญญา ไอ้ใจมันไม่ได้อยู่ที่จะทำให้ลูกศิษย์ดี ใช่มั๊ย.... มันไปอยู่ที่ตัวเอง จะได้ผลประโยชน์ อย่างไง
พระมาเขกหัวให้เป็นนายก
ก็นั่นแหละ มันก็ไปหนุนอีก ไปหนุนจะให้ยิ่งใหญ่ ก็ต้องเปลี่ยนใหม่ เขกหัวบอกว่าคุณอย่าไปคิดใหญ่โตเลย คิดว่าทำไง คุณจะสร้างสรรค์ทำความดีงาม
พระเดชพระคุณอาจารย์ ที่ทางพระเดชพระคุณเล่านี่ ??????? แม้กระทั่งพระที่เข้าสู่อริย ถูกต้อง ไม่ทราบว่า ได้รับอริย บุคคล รึยัง ครับ ที่ว่า พระคุณตักเตือน ที่ว่าเค้า??????
เป็นอริยสิ..... อริยบุคคล ขนาดโสดาบันแล้ว
โห.......แม้กระทั่งเข้าสู่????? แล้วก็ยัง......มี
ใช่....ตอนนี้ท่าน ท่านสันโดษในกุศลธรรม ไม่ใช่ไม่สันโดษในวัตถุ ถ้าอย่างงี้ก็สูงแล้วนะ คือว่า ถ้าสันโดษในวัตถุเสพ ไม่มีปัญหาเรื่องนั้น ท่านมาปฏิบัติ จนกระทั่งบรรลุคุณวิเศษ ได้โสดาบัน?????? แต่ท่านเกิดความพอใจ ในคุณวิเศษที่บรรลุ แล้ว ท่าน เรียกว่า สันโดษ ศัพท์ให้ตรงเลย สันโดษในธรรมที่บรรลุแล้ว พอสันโดษ พระพุทธเจ้าก็ตรัสเรียกว่า เธอนี้เป็น ปรมาทวิหารี ผู้อยู่ได้ด้วยความประมาท ในทางหลักธรรม บอกเลยว่า มีบุคคลระดับเดียว ที่จะไม่ประมาทแน่นอน คือพระอรหันต์ ตราบใดที่ยังไม่บรรลอนัตผล แล้ว อยู่ใต้อำนาจความประมาท อาจจะถูกครอบงำด้วยความประมาทได้เสมอ ว่างั้น ..... เพราะฉนั้น ความประมาท มันเป็นตัวกับดัก สำหรับคนที่ดี คนที่สุข คนทีสำเร็จ ใช่มั๊ย.... พ้นมาจากทุกข์แล้ว หมายถึงพ้นในระดับสัมพัทธ์ ในระดับทั่วๆไป ได้ประสบความก้าวหน้า มีความสุข สำเร็จ พวกนี้ จะมาตกหลุมความประมาท เพราะฉนั้นพระพุทธเจ้าจึงต้องเตือนนัก ในเรื่องความไม่ประมาท ตราบใดยังไม่ถึง อาสวะไขย คือความสิ้นอาสวะ อย่าได้ถึงความนอนใจ แล้วก็บอกไว้เลยว่า มีบุคคลเดียวที่จะไม่ประมาทแท้ คือ พระอรหันต์ เพราะว่ามันไม่อยู่ใต้อำนาจความติดอะไรทั้งนั้นเลย อย่างพระอริยบุคคล ขนาดโสดา ท่านยังติดในสุข ติดในสุขที่ประณีต ใช๋มั๊ย...... ฉนั้นท่านก็ประมาทได้อีก
มีอะไรสงสัยอีกมั๊ยครับ
แล้วเห็นด้วยมั๊ยว่า ถ้าหาว่าเรา......ท???????
ถ้าหากสันโดษอย่างถูกต้อง ประเทศชาติจะพัฒนาได้ เห็นด้วยครับ......
ที่นี้ ขอแถมสักนิด นี้ถ้าเราเข้าใจสันโดษผิด เป็นว่าสันโดษก็คือว่า พอใจ ตามมี ตามได้ ที่เป็นของตน แล้วหยุดเท่าน้้น ก็สบายสุข ทีนี้ มันจะกลายเป็นหลุมดักคน ได้ส่วนใหญ่ เพราะว่า สุขตัวนี้ มันเป็นเหยื่อของตัณหาเหมือนกัน ใช่มั๊ย....... ฉนั้นกระแสตัณหา มันก็เข้ากันได้ เพราะว่าไม่ทยานหา มันก็มา สุขจากการที่พอ แต่ถ้านี้ ถ้าเราเอาไอ้ตัวสันโดษ ที่คลุมตัณหา แล้วไปหนุนฉันทะ มันจะมีทางที่ว่ามันไม่มา มีตัวคั่นสันโดษแบบหยุด นี้มา ไม่มีตัวนี้ มันมีสันโดษแบบหยุด มันก็มีแบบตัวส่งให้เดิน ใช่มั๊ย.... คือให้พ้นจากไอ้ตัวร้าย ตัณหานี้ไปเดินในฉันทะ ถูกมั๊ย.... อันนี้เราก็จะเห็นว่า คนนี่ ถ้าไปยังไม่ถึงฉันทะ มันก็ยังอยู่กับตัณหา มันก็อยู่สองพวกนี้ มันก็จะพวกดิ้นรนทยานหาเสพ พวกนึง แล้วก็พวกที่มีความเพียรในการทำในสิ่งที่ดีงาม พวกนึง ได้ตัวกลางนี้จะน้อย เพราะฉนั้น....มันก็....เราก็เห็นได้ชัดว่า ไอ้คนที่จะไปได้หมดมันเป็นไปไม่ได้ ไอ้ที่จะไป ฉันทะไม่สันโดษในกุศลธรรม เป็นไปทั้งหมด สังคม เป็นไปไม่ได้ แต่นี้ว่า ไอ้คนที่ยังไปไม่ได้ มันก็อยู่กับเรื่องของไม่สันโดษในวัตถุ มันก็จะมีสองพวกนี้เป็นใหญ่ ที่นี้เราก็จะหนุนให้มาทางด้านฉ้นทะ ซึ่งมันจะเป็นเรื่องของการขวนขวาย เหมือนกัน การไม่หยุดนิ่ง การเดิน แต่ว่าเดินคนละสาย แต่ถ้ามาสันโดษแบบที่ว่า ไม่ต่อด้วยฉันทะ ใช่มั๊ย.... หยุดเลย นอน นิ่ง ขี้เกียจ อันนี้มันจะดึงคนส่วนใหญ่ มาได้มั๊ย ...ดึงมาได้เยอะเลย สามารถสร้างเป็นค่านิยม อันนั้นมันอยู่ในกระบวนการด้านพัฒนา ใช่มั๊ย.....ที่ว่า จากเรื่องของ การหาเสพ มาสู่การสร้างสรรค์ อันนั้นเป็นเรื่องของการพัฒนาคน เดินหน้ากันต่อไป ฉนั้นเราจะเห็นสภาพสังคม ของการเคลื่อนไหว ไม่ใช่สังคมที่หยุดนิ่ง...