แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ไฟล์ถอดเสียงนี้ยังไม่ได้ผ่านพิสูจน์อักษร นำขึ้นมาเพื่อช่วยในการศึกษาค้นคว้าของผู้สนใจ
ขอเจริญพร ญาติโยมสาธุชนทุกท่าน วันนี้คณะพระสงฆ์ขออนุโมทนาท่านผู้มีจิตศรัทธาที่ได้มาร่วมทำบุญกับท่านเจ้าภาพคือ ศาสตราจารย์ ดร. สุจิต บุญบงการ พร้อมทั้งครอบครัวและญาติมิตรของท่าน ท่านศาสตราจารย์ ดร. สุจิต บุญบงการ ได้จองกฐินนี้ไว้ก็เป็นเวลานานทีเดียวคือล่วงหน้าด้วยความตั้งใจจริงจัง นอกจากเป็นการทำบุญตามวัฒนธรรมประเพณีของพุทธศาสนิกชนชาวไทย โดยตั้งอยู่บนฐานของหลักพระธรรมคำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว อีกประการหนึ่งก็เป็นการปรารภโอกาสสำคัญเกี่ยวกับอายุของท่านเองด้วยก็คือในโอกาสที่ท่านมีอายุครบ 60 ปี ท่านศาสตราจารย์ ดร.สุจิต บุญบงการ มีอายุครบ 60 ปี เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม ที่ผ่านมานี้ งานมีอายุครบ 60 ปี หรือเราพูดกันทั่วไปว่า 5 รอบนี้ สังคมของเราก็ถือว่าเป็นรอบอายุที่สำคัญ ถ้าเป็นข้าราชการก็เป็นเวลาของการเกษียณอายุ ก็นิยมกันว่าจะทำบุญใหญ่สำหรับท่านศาสตราจารย์ ดร.สุจิต บุญบงการ ทำบุญใหญ่ในรอบอายุของท่านคราวนี้ด้วยการทำบุญทอดกฐิน ถ้าว่าไปแล้วก็คือการปรารภเรื่องเกี่ยวกับส่วนตนเองมาทำกุศลที่เป็นส่วนรวมหมายความว่าอายุ 60 ปีของชีวิตของท่าน ในแง่นี้ทำบุญก็คือทำให้เกิดประโยชน์แก่พระศาสนาที่เป็นของส่วนรวม ก็จึงเป็นที่น่าอนุโมทนา แล้วก็สอดคล้องกับหลักคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประเพณีชาวพุทธนั้นก็ถือว่าเมื่อมีเหตุการณ์อะไรสำคัญเกี่ยวกับชีวิตเกี่ยวกับหมู่คณะ เราก็ถือเป็นโอกาสที่จะทำบุญทำกุศล ทำบุญกุศลนั้นก็เป็นความหมายที่กว้างคือกินความรวมทุกอย่างไว้ในตัว ในแง่หนึ่งก็คือปรารภเรื่องส่วนตัวและทำความดี เรื่องการปรารภเรื่องส่วนตัวและทำความดีก็เป็นเรื่องประเสริฐอยู่แล้ว แล้วความดีนี้เป็นความดีเพื่อประโยชน์แก่ส่วนรวมด้วย ก็ขยายความหมายกว้างออกไปอีก ฉะนั้นการทำบุญอายุ 60 ปีของท่านก็เป็นมงคลพิเศษ หมายความว่าเป็นมงคลด้วยการทำกุศล กุศลนี่แหละเป็นมงคลที่แท้จริง เพราะมงคลแปลว่าสิ่งที่นำมาซึ่งความสุขความเจริญ อะไรจะนำมาซึ่งความสุขความเจริญก็คือกุศลนั่นเอง กุศลนั้นได้แก่การทำความดีทางกายทางวาจาทางใจ เริ่มตั้งแต่ทำใจคิดดี คิดทำสิ่งที่ดีงามเป็นประโยชน์ คิดเกื้อกูลต่อส่วนรวม คิดเกื้อกูลต่อพระศาสนา คิดบำเพ็ญประโยชน์แก่สังคมเป็นการสร้างสรรค์จิตใจผ่องใสเบิกบานจิตใจสบายมีปิติมีความสุข อันนี้เป็นมงคลแน่นอนเกิดขึ้นในใจเมื่อไหร่มีความสุขเมื่อนั้น และผลดีก็ตามต่อเนื่องไปเรื่อย ต่อจากนั้นจิตใจก็ออกมาทางวาจา วาจาก็ชักชวนตั้งแต่ในครอบครัวญาติมิตรทั้งหลายเอาไปทำบุญร่วมกันนะกล่าวแต่สิ่งที่ดี ๆ เป็นบุญเป็นกุศลก็เป็นมงคลอีก แล้วออกมาทางการกระทำทางกายก็คือการเคลื่อนไหวจัดแจงเตรียมการต่าง ๆ จนกระทั่งได้มาประกอบพิธีนี้ได้ถวายเครื่องไทยธรรมต่าง ๆ เริ่มต้นตั้งแต่ผ้ากฐินเป็นต้นไป อันนี้ก็เป็นกายกรรมวจีกรรมมโนกรรมที่เป็นกุศลครบถ้วนทั้ง 3 ประการ ก็นี่เรียกว่าจึงเป็นบุญแล้วก็เป็นการเริ่มต้นที่ดีก็หมายความว่า ถ้าเริ่มต้นรอบอายุใหม่ต่อไปต่อจากรอบที่ 5 ไปสู่รอบที่ 6 ด้วยการทำกุศล การเริ่มต้นที่ดีก็เป็นนิมิตดี ให้เกิดความสุขความเจริญยิ่งขึ้นไป เพราะฉะนั้นจึงเป็นที่น่าอนุโมทนา และวันนี้ก็นอกจากกฐิน ซึ่งเป็นบุญสำคัญปีหนึ่งก็ทำได้ครั้งเดียวแล้ว
ท่านผู้มีศรัทธาก็เห็นเป็นโอกาสที่จะมาร่วมบุญด้วย นอกจากญาติมิตรที่ร่วมทำบุญกฐินโดยตรงแล้วก็มีคณะของคุณเชษฐ์ รัตกนิต แห่งธนาคารกรุงศรีอยุธยา ก็ปรารภเป็นโอกาสที่จะทำบุญเป็นส่วนพิเศษอีกด้านหนึ่งด้วยก็คือการทอดผ้าป่า ก็นิยมกันว่ามีกฐินแล้วก็ทอดผ้าป่าไปด้วย ผ้าป่านี้เป็นบุญที่ทำได้เรื่อยตลอดปี แต่ว่าในโอกาสสำคัญสำคัญนี้ก็ถือว่านิยมเป็นพิเศษ คุณเชษฐ์ รัตกนิต ก็ได้ทอดผ้าป่าร่วมกับกฐินอย่างนี้ ปีที่แล้วก็ได้ทอดผ้าป่าเช่นนี้เหมือนกัน ก็ขออนุโมทนาตัวท่านและครอบครัวของท่านไว้ ณ โอกาสนี้ด้วย การทำบุญวันนี้ญาติโยมบางท่านอาจจะรู้สึกว่า มีขัดข้องนิดหน่อย คือมีฝนตกเยอะฝนตกมาตั้งแต่เมื่อวานจนกระทั่งเช้านี้ก็ยังตกหนักก็มาให้โอกาสตอนนี้ก็ตอนนี้ก็ปลอดโปร่งฝนว่ากันไปถ้ามองในแง่ดีก็บอกว่าฝนฟ้าเทวดาก็ร่วมอนุโมทนาด้วย อันนี้ชาวพุุทธเราจะพูดกันอย่างนี้ ก็ยิ่งดีใหญ่สิเทวดาก็อนุโมทนากฐินนี้ด้วย แล้วอีกประการหนึ่งญาติโยมจะรู้สึกว่าเหตุการณ์อย่างนี้หายาก คือหมายความว่ากฐินที่มีฝนตกหนักนี่ก็นาน ๆ ที อันนี้เรื่องที่เหตุการณ์ที่หายากนี้ก็จำได้ดี เพราะฉะนั้นกฐินปีนี้จำแม่น เพราะฉะนั้นก็เพิ่มส่วนพิเศษนี่ไปอีกข้อหนึ่ง เป็นกฐินที่หาได้ยากจำได้แม่นเพราะว่ามีฝนตกหนัก นอกจากจากนั้นดีพิเศษยังมีอีก คือว่าอะไรอะไรที่ต้องใช้ความเพียรมากทำได้ยากนี่ ต้องมีความอดทนนี้เป็นกุศลอย่างแรง นี้ญาติโยมที่เดินทางมาฝนตกหนักติดขัด ขัดข้องนี่ต้องใช้ความเพียรต้องอดทน ก็เป็นการทดสอบตัวเองว่าใจเรายังเป็นบุญกุศลผ่องใสได้ดีไหมแล้วจะไปสำเร็จไหม เราทำบุญทำกุศลทำความดีด้วยความพากเพียรนี่ยิ่งเป็นกุศลแรง ฉะนั้นก็เลยได้กุศลกันใหญ่เลย นั้นก็เป็นเรื่องที่น่าอนุโมทนามาก
นี้เรื่องกฐินนี้เป็นเรื่องประเพณีสำคัญเป็นเรื่องการทำบุญที่เกี่ยวกับพระวินัยของพระ คือไม่ใช่เป็นการทำบุญทั่ว ๆ ไป เป็นกุศลใหญ่เพราะเหตุที่ 1 ก็เป็นสังฆทาน สังฆทานก็แปลว่าการถวายเพื่อสงฆ์ หมายความว่าถวายเพื่อเป็นส่วนรวมอย่างที่ท่านเจ้าภาพได้กล่าวคำถวายกฐินถวายแก่สงฆ์ที่จำพรรษาในวัดนี้ ซึ่งปีนี้ก็มี 15 รูป ก็ไม่ได้เจาะจงว่าถวายแก่องค์ใดเพราะเป็นถวายเป็นของสงฆ์ พระท่านจึงต้องมาอัปโหลด อัปโหลดก็คือกล่าวคำปรึกษากันว่าโยมถวายผ้ากฐินเนี้ยไม่ได้เจาะจงพระองค์ใดก็ตั้งข้อเสนอว่าผู้ใดมีคุณสมบัติเหมาะสม ท่านผู้ใดมีความเห็นก็ขอให้เสนอขึ้นมา พระอีกรูปหนึ่ง ก็เมื่อกี้คือหลวงลุง พระครูสังคลักษณ์ปัญญาปทีโป ก็ได้กล่าวคำเสนอว่าให้ถวายแก่อาตมา ก็ไปเกรงใจเจ้าอาวาสแล้วมั้งถ้า ถวายซะ ที่จริงตามพระวินัยนี่ไม่จำเป็นต้องถวายแก่เจ้าอาวาส คือว่าให้พิจารณาคุณสมบัติ คือจำพรรษาด้วยกันมานี่ก็รู้ว่าใครประพฤติดีไม่ดี ก็ถวายแก่ผู้ที่ 1 มีความประพฤติดี 2 ก็ดูว่ามีจีวรเก่าไหม องค์นี้มีจีวรเก่ากว่าเขา นี่สงเคราะห์นะ น่าจะถวาย แล้วก็ถวายกันไป แล้วสงฆ์ก็ต้องพิจารณาเห็นชอบร่วมกันแล้วก็ยกถวายกับองค์นั้น อันนี้ก็เป็นเรื่องของการอยู่ร่วมกันเป็นเรื่องส่วนรวม เราเรียกว่าสังฆกรรม แต่ สังฆกรรมยังไม่จบแค่นี้ หลังรับจากโยมไปนี่แล้ว พระสงฆ็จะต้องเข้าที่ประชุมอีกที บางแห่งเขาก็อาจจะทำหน้าที่ต่อหน้าโยมเลย คือมีการไปทำสังฆกรรม ที่มีการตั้งญัตติส่วนประกาศมติสงฆ์เรียกว่าอนุสาวนากันเป็นภาษาบาลีอีกที ที่วัดนี้ก็ตามปกติก็จะไปถามกันตอนค่ำให้เสร็จจากเรื่องราวต่าง ๆ เรียบร้อยแล้วก็เป็นการประชุมของพระสงฆ์โดยตรง นี้ก็เป็นการถวายแก่สงฆ์ไม่ได้เจาะจง แม้จะมีพระภิกษุรูปหนึ่งอย่างอัตมาภาพเป็นผู้ได้รับก็คือได้รับมอบจากสงฆ์นั้นที่โยมนี่ไม่ได้ถวายเป็นส่วนตัวแก่อาตมาภาพ ก็ถือว่าถวายเป็นของส่วนรวมของสงฆ์ทั้งหมดนั้นเราเรียกว่าสังฆทาน
พระพุทธเจ้าตรัสว่า ทานมี 2 อย่างคือ สังฆทานกับปาฏิบุคลิกทาน สังฆทานถวายแก่สงฆ์ ปาฏิบุคคลิกทานก็คือถวายเจาะจงผู้ใดผู้หนึ่ง พระพุทธเจ้าได้ตรัสสรุปว่า ไม่มีเรา เราไม่กล่าวว่า ทานที่ถวายเจาะจงบุคคลจะมีอานิสงส์มากกว่าสังฆทานหรือทานเพื่อส่วนรวมด้วยประการใด ๆ ว่าอย่างงั้นนะ หมายความว่าแม้แต่ถวายแก่พระองค์เฉพาะพระองค์ก็ยังไม่สรรเสริญเท่าถวายแก่สงฆ์ เพราะว่าอย่างพระศาสนาก็อยู่ด้วยสงฆ์อยู่ด้วยส่วนรวม แล้วก็เรื่องของสังคมก็ต้องเอาประโยชน์ส่วนรวมเป็นสำคัญ อันนี้ก็เหมือนว่าให้เป็นแบบอย่างไว้ เราก็นิยมกันมาว่าสังฆทานนี้มีบุญมีอนิสงฆ์มาก แล้วสังฆทานที่เรียกว่า กฐินนี่ก็เป็นสังฆานพิเศษ ก็คือเติมคำว่าการละทานเข้าไปอีก นอกจากเป็นสังฆทานแล้วเป็นการละทานด้วย เป็นการละทานยังไงก็เป็นการละทานหมายความว่าทานที่ถวายได้เฉพาะกาล คือมีช่วงเวลาตอนเดียวเท่านั้น หลังจากพระสงฆ์จำพรรษาแล้วพระสงฆ์ที่จำพรรษาครบ 3 เดือนในที่นั้นก็มีสิทธิ์ที่จะรับผ้ากฐินได้ แล้วก็ได้ในระยะเวลา 1 เดือนหลังจากออกพรรษาต่อจากนั้นก็รับไม่ได้ นี้ก็มีเวลาจำกัดเฉพาะ ก็เลยเรียกการละทาน ท่านที่ถวายได้เฉพาะกาล แล้วก็ความเป็นเฉพาะทานแก่สงฆ็ก็ชัดเจน เพราะว่าต้องมีการทำสังฆกรรมไม่ใช่แค่เพียงว่ามาถวายแก่ส่วนรวม นี่ต้องมีสังฆกรรมพิเศษด้วยเป็นตามพุทธบัญญัติ นั้นก็ถือเป็นบุญเป็นอนิสงส์ที่สำคัญมาก นั้นการทำบุญวันนี้ก็อย่างที่กล่าวตั้งแต่ต้นแล้วก็เป็นการปรารภเรื่องเกี่ยวกับชีวิตของท่านเองมาทำให้เป็นประโยชน์แก่ส่วนรวม แก่สงฆ์ ก็เรียกเป็นภาษาสำนวนโบราณว่า เอาชีวิตของท่านนี่มาเป็นส่วนร่วมในการสืบต่ออายุพระพุทธศาสนา ก็การถวายทานแก่สงฆ์อย่างนี้ก็เป็นการสืบต่ออายุพระพุทธศาสนาไปช่วยบำรุงพุทธศาสนาให้ดำรงอยู่ยั่งยืน แค่นี้ก็เป็นกุศลที่เรามองเห็นกันง่าย ๆ แต่ก็ยังมีความหมายลึกซึ้งลงไป ที่ว่าถวายเพื่อประโยชน์แก่สงฆ์นี่แหละความหมายพรรณาไปได้มาก คือถ้ายิ่งมีปัญญารู้เข้าใจก็จะยิ่งทำให้จิตใจนี่กว้างขวางแล้วก็ซาบซึ้งและมีปีติสุขมากขึ้น เหมือนอย่างเราถวายสังฆทาน โยมถวายสังฆทานแต่ละครั้งเนี่ย ถ้าทำใจให้ถูกนี่ท่านเรียก ทิฏฐุชุกัมม์ ทำความเห็นให้ถูกต้องเป็นเรื่องปัญญา เขาจะมองว่าโอ้ที่เราถวายทานแก่พระสงฆ์นี้นะ พระสงฆ์ท่านจะได้มีกำลังไปปฏิบัติศาสนกิจทำหน้าที่ของท่านศึกษาเล่าเรียนปฏิบัติแสดงธรรมเผยแผ่คำสอนของพระพุทธเจ้าให้เป็นประโยชน์แก่สังคม ประชาชนได้ฟังธรรมแล้วนำไปประพฤติปฏิบัติสังคมก็จะอยู่กันร่มเย็นเป็นสุข นี่ทานที่เราถวายแค่นี้นะนี่ก็คือเป็นส่วนร่วมในการที่จะช่วยพระศาสนาช่วยพระสงฆ์ให้ทำศาสนกิจช่วยให้สังคมส่วนรวมอยู่ร่มเย็นเป็นสุข พอมองเห็นเข้าใจอย่างนี้แล้วเนี่ยใจจะกว้างขวางและก็มองเห็นคุณค่าแห่งทานของตนเอง ก็จะเกิดความปราบปลื้มปิติสุขขึ้นมา นี่คือสังฆทานที่เกิดจากการทำใจที่ถูกต้อง
นี้ก็เช่นเดียวกันการถวายสังฆทานที่เรียกว่ากฐินนี่ มีความหมายมาก กฐินเป็นพุทธบัญญัติที่มีเจตนารมณ์สำคัญเป็นเรื่องของพระวินัย คือเกิดจากพระวินัยโดยตรงเลย กฐินเป็นพุทธบัญญัติ พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้แล้วว่า เราอนุญาตว่าให้ภิกษุทั้งหลายที่จำพรรษาครบถ้วนไตรมาส 3 เดือนแล้วกาลกฐิน การกาลกฐินนั้นก็เป็นหน้าที่ของพระไม่ใช่หมายความว่าโยมจะต้องมาถวาย คือเรื่องของพระนี่ปกติพระพุทธเจ้าจะไม่ยอมให้รบกวนโยม ให้พระที่ตามคติที่บอกว่าให้พระนี่อยู่เหมือนแมลงผึ้ง แมลงผึ้งนี้ก็เที่ยวไปตามหมู่ไม้ไปเก็บเอาเกสรและน้ำหวานจากดอกไม้มาสร้างรังของตนจนใหญ่โตได้แต่ไม่เบียดเบียน ท่านเรียกว่าไม่ทำให้ดอกไม้ชอกช้ำ แม้แต่กลิ่นและสี แต่กลับช่วยทำให้ต้นไม้เจริญงอกงาม เช่นแพร่พันธ์เป็นต้น ท่านบอกมุนีพึงอยู่ในหมู่ประชาชนฉันนั้น หมายความว่าอย่าได้ทำให้ประชาชนชอกช้ำไม่ว่าทางวัตถุหรือทางจิตใจต้องไปบำรุงจิตใจประชาชน นั้นการอยู่ของพระสงฆ์นี้ก็พระพุทธเจ้าก็จะบัญญัติวินัยต่าง ๆ กันไม่ให้พระไปเที่ยววุ่นวาย อย่างกฐินนี่พระจะไปเลียบเคียงโยมก็ไม่ได้นะ บอกวัดนี้ยังไม่มีใครทอดกฐิน ถ้าไปพูดอย่างนี้ ใครมาทอดเป็นโมฆะเลย แล้วพระนั้นมีความผิด หรืออย่างแม้แต่อาหารบิณฑบาตรนี่ พระภิกษุไม่ป่วยไข้ขออาหารมาเพื่อตนฉันเป็นอาบัติมีสิทธิ์อย่างเดียวคือเดินไปเงียบ ๆ เขาศรัทธาเขาถวายเอง ฉะนั้นพระพุทธเจ้าระวังมากไม่ให้พระสงฆ์รบกวนประชาชน หลักการนี้เป็นเรื่องใหญ่ ทีนี้กฐินนี้ก็เป็นพุทธบัญญัติให้เป็นหน้าที่ของพระเอง เมื่อจำพรรษาครบถ้วนแล้ว จากกาลกฐินคือพระทั้งหลายนี่ที่อยู่ร่วมกันช่วยกันไปหาผ้าจะไปบอกใครขอใครไม่ได้ก็อาจจะไปเก็บตามกองขยะ ตามป่าช้า สมัยก่อนนี้มักจะเก็บตามป่าช้าแล้วก็ได้มารวบรวมมาแล้วก็มาต้มมาตัดมาเย็บมาย้อม คือเอาผ้ามาแล้วก็เอามามอบถวายแก่พระองค์หนึ่ง แล้วก็องค์นั้นก็ได้รับมอบ แล้วก็ต้องไปทำจีวร พอไปทำจีวรท่านก็บอกให้พระที่อยู่ร่วมกันทั้งหมดทุกองค์นี่ช่วยองค์นั้น ไม่ว่าพระแก่พระหนุ่มต้องมาช่วยกันรู้แล้วนะทั้ง ๆ ที่ตอนนี้รู้แล้วว่าฉันไม่ได้แน่นะ เพราะว่ามอบให้แก่พระองค์นั้นไปแล้ว แต่ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าตัวเองไม่ได้ก็ต้องมาช่วยกันทำ ทำจนกระทั่งเสร็จ พอทำเสร็จแล้วก็คือทำในนามขององค์นั้น องค์ที่ได้รับมอบ แล้วองค์ที่ได้รับมอบพอเสร็จเรียบร้อยแล้วก็เข้าที่ประชุมอีกครั้งหนึ่ง แจ้งกับสงฆ์บัดนี้จีวรนี้ได้เสร็จเรียบร้อยแล้ว ซึ่งเป็นเรื่องของสงฆ์ได้มอบให้ ก็ที่ประชุมก็อนุโมทนา แล้วก็ได้รับอนิสงส์ร่วมกัน อันนี้ก็คือเป็นเรื่องของพระวินัยก็เป็นเรื่องพุทธบัญญัติ เพื่อจะเรียกพิสูจน์ความสามัคคีของพระที่อยู่ร่วมกันก็ได้ แล้วก็ให้พระนี่มาทำประโยชน์ให้แก่กันโดยรู้จักสงเคราะห์มาพิจารณาว่า พระองค์ไหนที่อยู่ร่วมกันนี้ เป็นพระที่ประพฤติดีปฏิบัติชอบแล้วมีจีวรเก่าอะไรก็มอบให้ไป
นี่ที่เกิดมาขยายถึงโยมก็เพราะว่า พุทธบริษัทนั้นก็มีศรัทธาในพระสงฆ์ว่าพระสงฆ์นี่เป็นผู้ดำรงธรรมะไว้ให้แก่สังคม ท่านอยู่ก็ช่วยให้สังคมมีความร่มเย็นเป็นสุขมีกิจอะไรพอจะช่วยได้ก็ช่วยก็เห็นว่า เอ้ พระท่านต้องไปเที่ยวเก็บผ้ารวบรวมมาลำบากลำบนนี่เรามาทำจีวรถวายท่านให้ท่านไปมอบกันได้ไหม ในเมื่อเรื่องเช่นนี้ขึ้นมาประชาชนเขามีศรัทธาพระพุทธเจ้าก็บอกว่า เอ้า อนุญาติ ญาติโยมเขาศรัทธาจะเอาผ้าสำเร็จมาถวายก็ตัดตอนไปที่พระจะต้องมาจัดมาหาเอง ก็พระรับของสำเร็จอย่างวันนี้ก็คือ ท่านเจ้าภาพนำเอาผ้าจีวรสำเร็จรูปมาแล้วมาถวาย สงฆ์ก็รับ พอรับไปแล้วก็ต้องไปจัดการ ถ้ายังไม่เสร็จแค่ไหนก็ไปทำต่อ ตอนนี้มอบให้แก่พระองค์หนึ่งก็คืออาตมาภาพแล้วองค์นี้ต้องไปทำต่อ ไปทำจนกระทั่งเสร็จ แล้วองค์อื่นถ้าหากมีอะไรต้องช่วยกันก็ช่วยกันไปเสร็จแล้วก็เข้าที่ประชุมอีกครั้งหนึ่งแจ้งว่าทำเสร็จเรียบร้อยแล้วก็อนุโมทนา
นี่ก็เป็นสาระสำคัญของกฐิน กฐินแท้ก็อยู่ที่ผ้าผืนเดียว ในไตรที่ท่านเจ้าภาพ อาจารย์ ดร.สุจิต บุญบงการ ถวายพร้อมทั้งครอบครัวของท่านนี้ก็ถวายความจริงถวายไตร นะจริง ๆ ถวายใช้ผืนเดียว โยมไม่ต้องเอามาทั้งไตรก็ได้ เอามาผืนเดียวแหละพอ สบงผืนเดียวก็ใช้ได้แล้ว ก็เป็นกฐิน ตัวกฐินอยู่ที่นี่ เขาเรียกองค์กฐิน ส่วนของอื่นนะบริวารปัจจัยเงินกี่ร้อยกี่พันกี่แสนบาทบริวารกฐินทั้งนั้น ไม่ใช่ตัวกฐินไม่มีก็ไม่เป็นไร นั้นตัวกฐินอยู่แค่เนี้ยมีผ้าผืนเดียวก็ไปทำกฐินได้แล้ว โยมไม่ต้องยาก ถ้าใครอยากจะทอดกฐินเนี่ย มีผ้าผืนเดียวทอดกฐินได้ ก็เป็นเรื่องง่ายแต่ว่าเดี๋ยวนี้คงจะลำบาก เดี๋ยวนี้ทอดกฐินก็แทนที่จะคิดถึงองค์กฐิน ก็ไปคิดถึงบริวารกฐินเสียเยอะ
ที่นี้เป็นอันว่าองค์กฐินก็อยู่ที่นี่ เราก็มาดูที่สาระที่สำคัญ เพราะเป็นเรื่องของพระวินัย การที่ท่านเจ้าภาพมาทอดกฐินเนี่ยก็เป็นบุญเป็นกุศลในการสืบต่ออายุพระศาสนา นอกจากที่เราเห็นเป็นวัตถุ เป็นสังฆทานเป็นการละทานอย่างที่ว่าแล้วก็คือเป็นการช่วยส่งเสริมเชิดชูรักษาหลักการของพระศาสนาไว้ด้วย หลักการนี้ก็คือเรื่องของพระวินัย พระวินัยก็จะคู่กับธรรมะ พระพุทธศาสนานั้นอยู่ด้วยหลัก 2 ประการคู่กันก็คือธรรมะกับวินัย ด้านวินัยนี่เป็นเรื่องใหญ่ วินัยนั้นจะมีสาระสำคัญอยู่นอกจากเรื่องของการจัดปรับระเบียบชีวิตของบุคคลให้มีกิจกรรมมีวิถีชีวิตที่ไม่เบียดเบียนผู้อื่นไม่เบียดสังคมแต่เกื้อกูลแล้ว แล้วก็ให้เป็นวิถีชีวิตที่เอื้อต่อการที่จะปฏิบัติตนเพื่อเข้าถึงจุดหมายนอกจากเรื่องนี้แล้วก็สำคัญก็การจัดเรื่องวินัยก็เป็นการจัดเรื่องของการจัดระเบียบเกี่ยวกับการปฏิบัติจัดการกับวัตถุแล้วก็เรื่องของการอยู่ร่วมกัน เรื่องของวินัยก็จะมีอยู่เท่านี้ การปฏิบัติจัดการกับเรื่องวัตถุโดยเฉพาะก็จะเริ่มด้วยปัจจัย 4 อย่างวันนี้ก็เป็นเรื่องปัจจัย 4 ข้อว่าด้วยจีวรหรือเครื่องนุ่งห่มก็เป็นเรื่องสำคัญ วินัยก็เป็นเรื่องหนึ่ง แล้วอีกอย่างหนึ่งก็วินัยก็ปฏิบัติจัดการเกี่ยวกับเรื่องการอยู่ร่วมกันว่าจะทำไงให้ชีวิตที่อยู่ร่วมกันหรือสังคมและชุมชนนี้เป็นสภาพที่เอื้อต่อการที่แต่ละคนจะได้ดำเนินชีวิตและปฏิบัติกิจหน้าที่ให้เข้าถึงจุดหมายของชีวิตของตนและทำวัตถุประสงค์ของส่วนรวมให้บรรลุผลสำเร็จด้วย เรื่องของกฐินสาระสำคัญก็มาอยู่ที่นี้ เราทำกฐินกันถ้าจะให้ได้บุญแท้ ก็ต้องถึงขั้นปัญญาก็คือรู้เข้าใจความหมายความมุ่งหมายหลักการอันนี้ เพราะที่แท้พระศาสนาก็อยู่ด้วยหลักการแห่งวินัยต้องปฏิบัติจัดการกับวัตถุให้ถูกต้อง แล้วก็ปฏิบัติจัดการในเรื่องการอยู่ร่วมกันให้ดี แล้วพอดีว่ากฐินเนี่ยมันเป็นข้อที่การปฏิบัติจัดการกับวัตถุมาประสานกับการปฏิบัติจัดการเกี่ยวกับเรื่องสังคมมาเอื้อต่อกันด้วย เรื่องวัตถุนี้ตามหลักพระศาสนาเนี่ยเราก็จะเห็นได้ชัดตั้งแต่วินัยขั้นต้น ท่านมุ่งว่า 1 ให้ปฏิบัติคือการฝึกการรู้จักเสพบริโภคหรือการใช้สอยด้วยปัญญาอย่างที่เรียกว่า ใช้ให้ตรงตามความมุ่งหมายที่แท้จริง เพราะฉะนั้นวินัยก็จะเริ่มปฏิบัติต่อวัตถุตั้งแต่พระบวชท่านให้ ปะฏิสังขาโย บริโภคตั้งแต่อาหารเป็นต้นไปด้วยการพิจารณา บริโภคด้วยปัญญาจะได้รู้จักประมาณรู้จักพอดี เช่นกินพอดี กินด้วยปัญญาก็จะกินพอดี หรือว่า เอ้ที่เรากิน กินเพื่ออะไร กินเพื่อจะให้ร่างกายแข็งแรงมีสุขภาพดีแล้วจะได้นำร่างกายนี้ไปดำเนินชีวิตที่ดีงามเช่นไปศึกษาเล่าเรียนเป็นต้น ไม่ใช่มุ่งเพื่อความลุ่มหลงมัวเมาเอร็ดอร่อยเท่านั้น ไม่ใช่โก้เก๋เป็นต้นอย่างนี้ อย่างนี้เรียกว่าปฏิบัติต่อวัตถุ โดยเริ่มต้นก็ต้องฝึกตัวเองในการปัญญาก็บริโภคเป็น ปฏิบัติต่อวัตถุถูกต้องให้วัตถุนั้นมาเป็นปัจจัย ไม่ใช่เป็นจุดหมาย ก็หมายความว่าวัตถุที่เรามีนี้ไม่ใช่เป็นจุดหมาย เราไม่ได้อยู่เราไม่ได้ดำเนินชีวิตหรืออะไรเพื่อมาจมอยู่ที่วัตถุ แต่เราเอาวัตถุนี้เป็นปัจจัย พระท่านก็บอกอยู่ด้วยว่าเป็นปัจจัย เป็นปัจจัยหมายถึงเป็นเครื่องเกื้อหนุนให้เราอาศัยมันแล้วเราจะได้ก้าวไปสู่สิ่งที่ดีงามยิ่งขึ้นไป อย่างเรามีวัตถุแล้วเราก็เกิดความสะดวกเราจะศึกษาเล่าเรียน เราจะทำกิจการงานอะไรต่าง ๆ ทำการสร้างสรรค์ก็ทำได้ถ้าเราไม่มีวัตถุเราก็ทำไม่ได้ ฉะนั้นวัตถุก็เป็นปัจจัย เป็นเครื่องเกื้อหนุน เป็นเครื่องอาศัยให้เราก้าวไปสู่จุดหมายที่สูงขึ้นไปได้ ทำการสร้างสรรค์ที่ประเสริฐได้ไม่ใช่เป็นจุดหมาย อันนี้ก็เป็นเรื่องการปฏิบัติต่อวัตถุขั้นต้น ซึ่งวินัยก็จะกำกับเข้ามาให้พระต้องฉันอาหารด้วยพิจารณา แล้วเสร็จแล้วก็ต่อไป ก็วัตถุนี้เมื่อเราใช้ไปปฏิบัติไป เราดำเนินชีวิตประจำวันเราอยู่กับวัตถุเป็นปัจจัยเป็นต้นเหล่านี้เป็นต้น เช่นอาหารเครื่องนุ่งห่ม เราก็ฝึกตัวเองในระดับปัญญา ระดับจิตใจไปด้วย คือถ้าเราดำเนินชีวิตถูกนี่ความรู้จักคิด คิดเป็นมันก็เริ่มจากเรื่องการเป็นอยู่ประจำวัน เมื่อเราใช้เสพบริโภควัตถุ แม้แต่เทคโนโลยีโดยรู้จักคิดพิจารณาเช่น รู้ว่าความมุ่งหมายประโยชน์ที่แท้คุณค่าอะไรของมันอยู่ที่ไหนจะใช้มันอย่างไรนี่ การฝึกทางด้านจิตใจและปัญญาก็จะมาด้วยกัน แล้วจะเป็นฐานให้เราก้าวไปสู่การฝึกตนให้สูงขึ้นไปกว่านั้น เป็นการที่จะเล่าเรียนศึกษาวิชาการต่าง ๆ หรือแม้กระทั่งปฏิบัติเจริญสมถะวิปัสสนาให้รู้เข้าใจความจริงของโลกและชีวิตเข้าถึงจุดหมายทำจิตใจใหเป็นอิสระอะไรทั้งหมด ก็เริ่มมาจากนี่
แต่นี้จุดหนึ่งที่ว่าประสานระหว่างเรื่องวัตถุต่อสังคม ก็คืออย่างกฐินนี่ คนเรามักจะมีปัญหากับวัตถุ โดยเฉพาะที่เราเรียกว่าลาภ เมื่อวัตถุนั้นเป็นลาภเป็นผลประโยชน์ได้มา ลาภผลประโยชน์นั้นมักจะเป็นเหตุให้คนแย่งชิงเบียดเบียนซึ่งกันและกัน แต่กฐินนี้ท่านให้เอาลาภนี่มาเป็นเครื่องช่วยทำให้เกิดความสามัคคี คือว่าเอาวัตถุจีวรผืนหนึ่งที่ได้หรือมาหรือช่วยกันหามานี่ มาสร้างความสามัคคีกันขึ้น ปรารภจีวรผืนเดียวนี่มาสร้างความสามัคคีในหมู่สงฆ์ ทำไงสังคมของเราจะเอาวัตถุมาเป็นข้อปรารภในการสร้างความสามัคคีแทนที่จะเอาผลประโยชน์มาเป็นเหตุให้ตีกัน อันนี้คือเป็นเรื่องสำคัญ ถ้าหากว่าเราทำได้ก็จะได้ประโยชน์จากพระวินัยในแง่กฐินนี้ด้วย จึงบอกว่ากฐินเป็นจุดบรรจบที่ว่าให้ปฏิบัติจัดการกับวัตถุถูกต้องแล้วยังแถมมาเกื้อหนุนสังคมด้วย ทีนี้ถ้าพระสงฆ์ปฏิบัติต่อจีวรนี้ถูกต้องแล้วก็เกิดความสามัคคีมีน้ำใจต่อกันเป็นต้น และหลักการนี้เป็นเรื่องที่สำคัญ เรื่องของวินัยเกี่ยวกับเรื่องความสามัคคีอะไรต่าง ๆ เหล่านี้เราจะเห็นมาตลอดถ้าสังเกต นี่แค่ออกพรรษามานี่ โยมก็เห็นแล้วว่าพระวินัยนี่มุ่งความสามัคคีการอยู่ร่วมกันด้วยดีของชุมชนหรือของสงฆ์
พอวันออกพรรษานี่พระไม่เรียกวันออกพรรษา ภาษาพระเรียกวันมหาปวารณา วันปวารณาก็คือ ให้พระที่อยู่ร่วมกันมานี่วันนั้นแทนที่จะสวดฟังปาฏิโมกข์ให้เปลี่ยนมาเป็นประกอบสังฆกรรมเรียกว่าการปวารณา การปวารณาก็คือการที่พระนี่มาประชุมกันแล้วก็ทุกองค์กล่าวคำปวารณาต่อสงฆ์ ปวารณาแปลว่าเปิดโอกาส เปิดโอกาสแก่กันว่าที่อยู่ด้วยกันมาเนี่ย ท่านผู้ใดก็ตาม ได้เห็นข้าพเจ้าประพฤติอะไรมีการกระทำกายวาจาอะไรที่ไม่เหมาะสมจะได้เห็นการได้ยินก็ตามแม้แต่ระแวงสงสัยก็ตามก็ขอให้บอกกล่าวได้ ข้าพเจ้าพิจารณาได้มองเห็นแล้วก็จะได้แก้ไขตัวเอง ปรับปรุงตัวเอง อันนี้ก็คือชีวิตที่อยู่ร่วมกัน ท่านว่าสามัคคีจะอยู่ได้สังคมก็มีความเจริญมั่นคงรุ่งเรืองจะต้องพูดความจริงกันได้อย่างเปิดใจอันนี้สำคัญมาก ถ้าเราไม่สามารถพูดความจริงกันอย่างเปิดใจแล้วเนี่ยมันก็มีความกินแหนงแคลงใจเป็นต้น แล้วสังคมก็คงจะมั่นคงได้ยาก สามัคคีก็จะไม่สมบูรณ์ นั้นก็หลักพระวินัยนี้จะเน้นให้เรื่อง ให้เกิดความสามัคคีพร้อมเพียงของสงฆ์ ปวารณาก็มาเลยพอออกพรรษ ทีนี้พอมีสังฆกรรมท่านก็ออกอีก เมื่อสงฆ์ทำกิจกรรมอะไรก็ตามที่ต้องการความพร้อมเพียงสามัคคี ถ้ากิจกรรมนั้นการกระทำอะไรในนั้นไม่ถูกใจไม่เป็นที่พอใจของพระภิกษุรูปใดให้ภิกษุรูปนั้นประกาศชี้แจงความเห็นของตนให้แจ้งไม่ต้องเก็บไว้แต่ก็ขอให้รักษาสามัคคีไว้ หมายความฉันจะยอมแก่ส่วนรวมก็จริงพอใช้เช่นมติสงฆ์ คำว่าแต่ท่านบอกว่า กิจส่วนรวมต้องดำเนินไปโดยไม่ปิดกั้นบุคคล ก็หมายความบุคคลนั้นต้องมีสิทธิที่จะมาพูดลงมติกันส่วนรวมแล้ว เอาอย่างนี้แต่ว่ามีบุคคลที่ไม่เห็นด้วยต้องให้โอกาสท่านขึ้นมาพูดชี้แจงว่า ข้าพเจ้ามีความเห็นอย่างนี้ด้วยเหตุลอย่างนี้ แต่ว่าในที่สุดก็รักษาสามัคคีเอาไว้ ก็หมายความเอาส่วนรวมแต่ไม่ละทิ้งบุคคล อันนี้เป็นเรื่องหนึ่งท่านเรียกกิจกรรมนี้ว่าทิฏฐาวิกรรม ก็เป็นเรื่องหนึ่งของการรักษาความสามัคคี ก็เรื่องของชีวิตสงฆ์ก็อย่างนี้ ถือว่าบุคคลจะเจริญงอกงามไปด้วยดีต้องอาศัยปัจจัยเกื้อกูลต่าง ๆ สิ่งที่เกื้อกูลภายนอก 1 พวกวัตถุ 2 ก็คือสังคมสภาพแวดล้อมที่อยู่ร่วมกัน นั้นวินัยก็จะมาจัดไอ้เรื่องเกี่ยวกับการอยู่ร่วมกันให้ระบบการอยู่ร่วมกันนี้เป็นสภาพเอื้อ สภาพเอื้อสำคัญก็คือความสามัคคี ความพร้อมเพียง แล้วหลักการต่าง ๆ ของความสามัคคีก็จะเป็นไปอย่างที่ว่า บุคคลก็เอื้อต่อสังคม สังคมก็เอื้อต่อบุคคล แล้วในที่สุดก็สังคมนั้นก็จะเป็นสงฆ์หรือสังฆะที่ดีงามซึ่งเป็นสภาพแวดล้อมที่ช่วยเกื้อหนุนให้แต่ละบุคคลนี่พัฒนาตัวเองเจริญงอกงามจนบรรลุจดหมาย นี้เป็นเรื่องของสาระสำคัญอย่างหนึ่งของวินัย ซึ่งการที่เรามีการทอดกฐินกันอะไรเนี่ยก็เป็นการธำรงรักษาจะเรียกว่าหลักการและเจตนารมณ์ของพระวินัยนี้ไว้ แต่ว่าการที่จะรักษาไว้ได้ก็ต้องรู้เข้าใจด้วย เพราะฉะนั้นเมื่อทำบุญทอดกฐินจึงได้กุศลหลายชั้น จากที่เห็นง่าย ๆ ก็ที่ว่าเมื่อกี้เป็นสังฆทานเป็นการละทาน ถวายทานได้วัตถุมา ได้ไตรจีวรมา ก็ได้พระสงฆ์ก็จะได้ใช้ท่านก็จะได้ทำหน้าที่อะไรของท่านได้
นอกจากถวายปัจจัยแล้ว โยมยังถวายปัจจจัยกันเสียเยอะอีกด้วย ถวายปัจจัยกันมาพระก็ใช้มาบำรุงวัดทำให้วัดเจริญมั่นคงแค่นี้เราก็เห็น โอ้แค่นี้ก็ได้กุศลเยอะแล้ว เป็นปัจจัยให้พระศาสนาดำรงอยู่ แต่ที่ลึกลงไปก็คือว่าเท่ากับญาติโยมนี่มาช่วยพระสงฆ์ในการดำรงรักษาพระวินัย รักษาหลักการของพุทธศาสนาเจตนารมณ์ของพระวินัยในการที่จะให้สงฆ์หรือส่วนรวมหรือชุมชนนี่เป็นสภาพแวดล้อมที่เกื้อหนุนให้พระสงฆ์ได้เจริญงอกงามทำหน้าที่ของท่านได้ดี นั้นพระพุทธเจ้าจะคำนึงมาในเรื่องความสามัคคีพร้อมเพียงของสงฆ์ แต่ก็ไม่ใช่ว่าสามัคคีนั้นจะอยู่ได้เฉย ๆ ง่าย ๆ เพียงแต่ว่ามีมาพร้อมเพียงใจกันจะพูดยังไงยังไงบางทีมันก็ยากถ้าไม่มีวิธีการ นั้นต้องมีวิธีการที่ออกมาเป็นรูปธรรม อย่างที่กล่าวแล้ว เช่นว่าให้มีปวารณา มีการทำกิจกรรมมาเปิดใจแก่กัน บอกกล่าวให้โอกาสแก่กันหรืออย่างทิฏฐามิกรรมมาประกาศชี้แจงความเห็นของตัวเองให้แจ่มแจ้งชัดเจนว่าไม่เห็นด้วยขัดแย้งยังไงก็ว่ามาโดยไม่ถือว่าจะทำให้สังคมนี่เสื่อมลงหรือเสียหาย แล้วเสร็จแล้วส่วนรวมก็ดำเนินต่อไป วันนั้นก็ไม่ถือเอาแต่ใจตนก็ยอมรับส่วนรวมด้วย แต่ตัวเองก็มีโอกาสที่จะชี้แจงไปด้วย นี่ก็เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับกฐินทั้งนั้น
เป็นอันว่าเรื่องกฐินนี้มีความหมายกว้างขวางมากก็โยงไปหาหลักการของพระพุทธศาสนา ดังที่อาตมาภาพได้กล่าวมาเพราะฉะนั้น การที่ท่านศาสตราจารย์ ดร. สุกิจ บุญวงการ พร้อมทั้งโยม ภรรยาและลูกของท่านและญาติมิตร มาทำบุญร่วมกัน เช่นอย่างวันนี้ท่านศาสตราจารย์ ดร. อมร รักษาสัตย์ ก็เป็นโยมเก่าแก่รุ่นพี่ก็ได้มา ได้มาร่วมทำบุญในวันนี้ด้วย แล้วก็มีหลายท่าน ทั้งโยมวัดนอกวัดแล้วก็ทราบ ได้ทราบ ได้ยินทางวิทยุเอ้าทางธรรมะร่วมสมัยก็มีการเป่าประกาศกันอีกด้วยชวนกันมาอีก วันนี้ก็มีธรรมะร่วมสมัยมากันหลายท่านก็มาทำบุญร่วมกัน แต่จะมากันอย่างไร สาระสำคัญก็คือมีความสามัคคี นั้นกฐินสาระสำคัญก็อยู่ทีสามัคคี นอกจากโยมมาหนุนให้พระดำรงรักษาหลักการแห่งสามัคคีในสังฆะไว้ได้แล้วโยมเองก็มีความสามัคคีกัน ทั้งโยมสามัคคีกับพระด้วย แล้วโยมก็สามัคคีกันเองด้วย โยมสามัคคีกับพระก็ชัดแล้วว่าเป็นพุทธบริษัทฝ่ายบรรพชิตกับฝ่ายคฤหัสถ์ ฝ่ายบรรพชิตคือพระสงฆ์จะทำกิจกรรมนี่ ถ้าเป็นเรื่องของวัตถุก็ทำสำเร็จได้ยาก ญาติโยมนี้ถนัดทางด้านวัตถุกว่า มีวัตถุมากกว่าก็มาช่วยเอื้อมาหนุน ญาติโยมก็มาสามัคคีมาช่วยมาร่วมอย่างที่มาถวามผ้ากฐินก็มาร่วมช่วยหนุนพระ เป็นสามัคคีระหว่างญาติโยมกับพระ นี้ในหมุ่โยมเองก็สามัคคีก็คือว่ามาทำบุญด้วยกัน แม้จะเป็นสามัคคีเป็นกฐินที่มีเจ้าภาพท่านผู้เดียวจอง แต่ก็ท่านผู้เดียวก็คือเป็นจุดเริ่มต้นของความสามัคคีนั่นเอง เวลาเอาจริงนะกฐินเรื่องความสามัคคีพร้อมเพียงกันทั้งสิ้น แต่ก็โยมนอกจากได้มาทำบุญแล้วก็ขอให้สาระสำคัญของกฐินก็คือ เรื่องของการที่จะสร้างสรรค์รักษาความสามัคคีการดำรงพระศาสนา การดำรงหลักการของพระศาสนา และการดำรงสังคมของตัวเองให้อยู่ได้ต่อไปด้วย
เพราะว่าเวลานี้สังคมของเรานี่กำลังต้องการ การที่จะมาช่วยกันแก้ปัญหาแล้วก็สร้างสรรค์มาก เราบ่นกันเหลือเกินว่าสังคมกำลังเสื่อมโทรม คนจำนวนมากและยังมีที่มีผลวิจัยออกมาบอกว่า เด็กรุ่นใหม่นี่ไม่มีจิตใจคำนึงถึงประโยชน์ส่วนรวมเนี่ยพูดอย่างนี้ พวกเด็ก ๆ จะว่าอย่างไร เด็กวัยรุ่นทั้งหลายเห็นด้วยไหมยอมรับหรือเปล่า เขาวิจัยออกมาแล้วเขาว่าอย่างนี้นี่ หนู ๆ ทั้งหลายก็ต้องทำวิถาวิกรรมบ้าง แล้วประกาศความเห็นของตัวเองบ้าง เอ้ ฉันไม่เป็นอย่างงั้นนะ ฉันยังเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมอยู่ก็ว่ามา ก็เราอยู่ร่วมกันก็มาทำให้ชัด แต่ว่าข้อสำคัญก็คือ เราหวังประโยชน์แก่ส่วนรวมแล้วที่เราจะอยู่ได้ดีเราต้องอาศัยส่วนรวม ถ้าสังคมมันไม่ดีเราก็จะอยู่ดีไม่ได้ การที่เขาพยายามจะรักษาสังคมให้มันดีให้มีสามัคคีเป็นต้นนี่ ในแง่หนึ่งคือเพื่อสร้างสภาพเอื้อ สภาพแวดล้อมให้มันเกื้อหนุน ให้เราแต่ละคนดำเนินชีวิตอยู่ด้วยดี ถ้าสังคมไม่ดีแค่ไม่มีความปลอดภัย มีการก่อการร้ายกันมาก มีการฆ่าฟันกันมากแย่งชิงอาชญากรรมมากเราก็หวาดระแวงอยู่ไม่เป็นสุขแล้ว เพราะฉะนั้นส่วนรวมสังคมนี่มันเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับชีวิตเราเองด้วย ไอ้ที่เรา บอกว่าเห็นแก่ส่วนรวมคำนึงถึงประโยชน์ส่วนรวมนั้น ความจริงมันเป็นความจำด้วยเลยเชียวละ ความจำเป็นที่เราจะต้องไปช่วยสังคมให้อยู่ดี เพื่อเราเองจะอยู่ได้ดี แต่ทีนี้ถ้าเรามีจิตใจดีกว่านั้นเราก็ไม่ใช่แค่ว่าทำเพราะความจำเป็น เราก็เห็นประโยชน์ของการมีสังคมที่ดี เราก็ช่วยสร้างสรรค์เสียสิ ทำประโยชน์แก่สังคมและเราจะพัฒนาตัวเองไปด้วยเวลาเราทำเพื่อส่วนรวมเนี่ยจิตใจของเราก็ดี ท่านให้มีความสามัคคีเรื่องหนึ่งวัตถุนี่ อย่างพระภิกษุจะมีหลักเรียกว่า สาราณียธรรม ในสาราณียธรรมที่มี 6 ข้อนั้นก็จะมีข้อหนึ่งที่บอกว่า เยเตราพา มิพาทำมะระทา บอกว่าลาภ ลาภคือผลประโยชน์อันใดก็ตามที่ได้มาโดยชอบธรรม แม้แต่เป็นของติดบาตรมาก็ไม่หวงแหนไว้ เอามาแบ่งกันกิน แบ่งกันใช้ นี้ถ้าเรามีจิตใจเผื่อแผ่แก่ผู้อื่นก็คืออยาก อยากเห็นคนอื่นเป็นสุข พอเราอยากให้คนอื่นเป็นสุขเหมือนคุณพ่อคุณแม่อยากให้ลูกเป็นสุขนี่จิตใจของเราจะดี แล้วพอเขาเป็นสุขนี่เราจะชื่นใจมีความสุขด้วย ตอนนี้จะมีความสุขร่วมกันเป็นความสุขที่อาศัยกันสองฝ่ายไม่ใช่ความสุขที่ว่าฉันได้ฉันจึงจะสุข ฉันได้แกก็อดสิ เพราะหมายความว่าพอฉันสุขแกก็ต้องทุกข์ ทีนี้พอเราอยากให้เขาเป็นสุข พอเราให้แก่เขานี่ เขาเป็นสุขเราก็เป็นสุขด้วย คนที่มีเมตตาก็คือคนที่เป็นสุขเมื่อเห็นคนอื่นเป็นสุข นี้พอเรามีใจกว้างขึ้นอยากจะทำเพื่อประโยชน์แก่สังคม ทำเพื่อผู้อื่นนี่ใจเราจะมีความสุขเพิ่มขึ้น ไม่งั้นความสุขมันจะคับแคบอยู่แค่ได้ เวลาที่จะมีความสุขจากการได้นี่มันน้อย แต่ความสุขที่เราจะทำด้วยการทำให้ผู้อื่นด้วยเนี่ยมันมีอีกเยอะ ฉะนั้นคนที่ทำเพื่อประโยชน์แก่ผู้อื่น ทำเพื่อสังคมมันมีโอกาสที่จะมีความสุขมากมายเหลือเกิน แล้วเป็นความสุขที่ยั่งยืนนึกเมื่อไรก็สุขเมื่อนั้น แต่ความสุขที่เกิดจากการได้เพื่อตนนี่มันเป็นความสุขที่มากับความหวาดระแวง คนอื่นเขามองเราอยู่ เขาอยากจะแย่งเรานี่ใจไม่ดี แล้วเป็นความสุขชั่ววูบชั่ววาบชั่วผ่าน เสร็จแล้วก็เสียดาย แต่ถ้าเป็นความสุขที่เกิดจากเกื้อกูลกัน ช่วยเหลือกันให้แก่กันนี่ สุขทั้งเวลาที่ทำเห็นเขาสุขเราเป็นสุข ต่อจากนั้นนึกเมื่อไหร่สุขเมื่อนั้นเลย สุขตลอดกาลเลยเป็นสุขยั่งยืน แล้วจิตใจของเราก็พัฒนา ปัญญาของเราก็พัฒนา เวลาเราจะทำอะไรเราทำด้วยความเข้าใจเราเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมและมันต้องใช้ความคิดด้วย มีความเข้าใจมีปัญญามองเห็นคุณค่าประโยชน์ นั้นคนเราตัวเองก็พัฒนา
นั้นสังคมหรือผู้อื่นนี่เป็นเวทีปฏิบัติธรรมของเรา ก็คือว่าเราไปช่วยเหลือคนอื่นนี่ อย่างพระโพธิสัตว์ท่านไปทำประโยชน์แก่คนอื่น ท่านเอาคนอื่นมาเป็นเวทีปฏิบัติธรรม ท่านก็เอาคนอื่นมาเป็นเวทีพัฒนาตัวของท่าน พอท่านไปช่วยเหลือไปทำเพื่อผู้อื่นขึ้นมาท่านก็เจริญ ท่านก็พัฒนาไป นั้นสังคมของเราเวลานี้ไปหนุนเรื่องการเอาเพื่อตัวเองกันมากไป ก็เลยเห็นแก่ตัวแล้วก็เบีนดเบียนแย่งชิงกันนั้นปัญหามันก็มาก นั้นก็เลยไม่มองเพื่อนมนุษย์ว่าเป็นมนุษย์เหมือนเรา มองแต่ในแง่เขาแง่เรา แบ่งแยกกันแย่งชิงกัน มันก็ยิ่งยุ่งนั้นก็เรามีพระศาสนาไว้ก็เพื่อช่วยอันนี้ด้วย เพราะฉะนั้นเราจะต้องมาช่วยกันนำเอาหลักธรรมในพระศาสนานี้ไปช่วยกันเผยแพร่ออกไปให้มีความรู้ความเข้าใจและปฏิบัติให้ถูกต้อง ทั้งหมดนี้ก็รวมแล้วก็เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเรื่องการฐินทั้งนั้นเลย
เพราะฉะนั้นก็วันนี้อาตมาภาพก็เลยถือโอกาสปรารภเรื่องการทอดกฐินที่เป็นงานบุญสำคัญของเรานี่เพื่อให้ญาติโยมได้บุญหลาย ๆ ชั้น เพราะว่าบุญนี้พุทธเจ้าก็ตรัสไว้ อย่างย่อก็มี 3 ชั้นแล้ว ทานศีลภาวนา ทานก็เป็นเรื่องวัตถุ นี่ท่านอาศัจวัตถุเป็นจุดเริ่มก่อน มาเผื่อแผ่แบ่งปันกันจะคิดจะเอาอย่างเดียวต้องคิดให้ด้วย พอเริ่มด้วยทานก็คือเริ่มบุญแล้วเริ่มให้ เริ่มให้ก็มาเป็นศีล ศีลก็คือการเกื้อกูลสังคมการไม่เบียดเบียนสังคม การ จาไววัจจะ ก็อยู่ในศีล การช่วยเหลือรับใช้บริการผู้อื่น เสร็จแล้วก็ภาวนาตอนนี้ก็มาพัฒนาจิตใจ พัฒนาปัญญา พัฒนาจิตใจพัฒนาปัญญาก็มีหลายอย่าง พัฒนาปัญญาอย่างหนึ่งก็ท่านเรียกว่า ธรรมะสวานะ แปลว่าการฟังธรรม ก็คือหาความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับสิ่งที่ตนได้ทำ กิจกรรมทุกอย่างก็ทำแล้วก็นอกจากว่า ทำกิจกรรมนั้นแล้วก็แสวงหาปัญญาหาความรู้ความเข้าใจ พระสงฆ์ก็ถือโอกาส เอาโอกาสที่โยมทำบุญนี่ มาให้ธรรมะเรียกว่าแสดงธรรมก็เป็นบุญด้านปัญญา บุญด้านปัญญานี่ท่านถือว่าสูง คือเราทำบุญด้านทานด้านอะไรก็เพื่อจะมาหนุนให้เราก้าวไปสู่เรื่องของปัญญา พอได้ปัญญาแล้วก็ทำความเห็นให้ตรงให้ถูกต้อง เวลาทำกิจกรรมอะไรต่าง ๆ แม้แต่ทำทานก็ทำด้วยความเข้าใจ รู้เข้าใจความมุ่งหมายที่แท้ว่าทำเพื่ออะไร ก็เป็นทิทุชุกรรม ทำความเห็นให้ถูกต้องให้ตรง พอทำความเห็นให้ตรงให้ถูกต้องแล้วก็เป็นบุญข้อสุดท้ายเลย ข้อสุดท้ายข้อสุงสุด พอเราทำอะไรมีปัญญาแล้วเราแก้ความเข้าใจของเราให้ชัดให้ตรงยิ่งขึ้นทุกทีจนกระทั่งในที่สุดก็เป็นความเห็นเป็นสัมมาทิฏฐิถูกต้องโดยสมบูรณ์ก็ไปถึงขั้นตรัสรู้ได้ นั้นก็ชาวพุทธก็เจริญบุญกุศลอย่างนี้ก็ให้บุญกุศลนี้เนื่องกันแล้วเป็นปัจจัยแก่กัน อย่าไปจํากัดตัวอยู่แค่ขั้นต้น อย่างไปอยู่แค่ทำทานแล้วก็จบ ให้ทานนี้หนุนศีล แล้วทั้งทานศีลก็หนุนภาวนา ภาวนาที่หนุนแรกก็หนุนจิตใจ จิตใจก็เบิกบานผ่องใสร่มเย็น แต่จิตใจที่ร่มเย็นเป็นสุขมีสติมีสมาธิก็ไปหนุนปัญญาให้ใช้ความคิดให้แสวงหาความรู้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้องอีกได้ครบบริบูรณ์
ถ้าโยมมาวัดแล้วทำบุญด้วยอะไรก็ตามอย่างกฐินวันนี้ แล้วก็ทอดผ้าป่าวันนี้ ทำแล้วไม่เฉพาะถวายทานเท่านั้น แล้วก็มาเฉพาะรักษาศีลเท่านั้น แต่ได้จิตใจที่สงบมีความสุขร่าเริงเบิกบานผ่องใสมีปิติมีความเอิบอิ่มใจมีความสุขบัดนี้เบื้องหน้าแล้วปัญญาก็ได้ด้วยมีความรู้ความเข้าใจได้ด้วย อย่างงี้เรียกว่าได้บุญครบ เพราะฉะนั้นเราก็พูดได้เต็มปากภาคภูมิเวลาไปไหน เราบอกไปไหน ใครถามก็ตามไปไหนมาบอกไปทำบุญว่างั้นนะ พูดได้เต็มปากเพราะว่าอะไรฉันทำครบนี่ ทานศีลภาวนาทั้งด้านวัตถุ ทั้งด้านจิตใจ ทั้งด้านปัญญา ถ้าไปถวายทานถวายวัตถุอย่างเดียวกลับไปแล้วก็เขาถามว่าไปไหนบอกไปทำบุญ เอ้าทำบุญอะไร คุณถวายทานอย่างเดียว ถวายทานอย่างเดียวมันก็ไม่ครบซิบุญไม่ครบ ที่โบราณเราเวลาไปถวายของพระ ไปวัดอะไรนี่ เราไปเรียทำบุญที่จริงเพราะว่า มันมีความหมายครบ คือไม่ใช่ไปถวายทานอย่างเดียว ทานนั้นเป็นสื่อเป็นตัวเชื่อมกัน พระสงฆ์กับโยมนี่เชื่อมกันด้วยทาน เพราะโยมเอาของมาถวายพระนี่เชื่อมกันแล้ว พอเชื่อมกันแล้วอย่าหยุดแค่นั้นพระต้องอาศัยทานของโยมหรือวัตถุนี้ให้โยมก้าวไปสู่ศีลสู่ภาวนาสู่จิตสู่ปัญญา พอโยมก้าวไปถึงปัญญาก็โยมได้บุญครบ โยมจึงพูดได้เต็มที่ว่าไปทำบุญ มิฉะนั้นก็ไปทำทานอย่างเดียว มีคนไปแบ่งกันบอกว่า ทานคือให้แก่พวกยาจกวนิพก แล้วก็ถ้าไปถวายแก่พระเรียกว่าทำบุญ อันนี้เป็นความหมายขออภัยคลาดเคลื่อน ถวายพระก็ทานไม่มีทางเรียกอื่นแล้ว ภาษาบาลีไม่เรียกอื่นเด็ดขาด ถวายแก่พระเรียกทาน ขนาดถวายแก่สงฆ์ทานสูงสุดยังเป็นทานใช่ไหม เป็นสังฆทาน ฉะนั้นอย่างไปแบ่งแบบนั้น บอกไปให้แก่ชาวบ้าน ไปให้แก่คนยากคนจนแล้วเป็นทาน แล้วมาถวายแก่พระเป็นทำบุญไม่ใช่ ให้แก่ใครก็ทานทั้งนั้น ถวายแก่พระก็ทาน แต่ทำไมไปวัดแล้วไม่เรียกไปทำทานไปเรียกว่าทำบุญ เพราะว่าโยมมาวัดไม่ได้แค่ทานเท่านั้นนะ ฉันตั้งใจไปทำทานแต่ฉันได้บุญมาครบเลย คือทั้งถวายวัตถุสิ่งของ แล้วฉันจึงได้จิตใจดีงาม มีความปิติปราบปลื้มเบิกบานผ่องใส ได้ความสงบใจแล้วยังได้ปัญญารู้เข้าใจอีกด้วย เจริญปัญญาตรงนี้การพัฒนาที่แท้จริงเป็นบุญที่แท้ เพราะบุญก็คือคุณสมบัติที่ดีที่อยู่ในชีวิตของเรา เมื่อเราทำบุญมากชีวิตของเราก็เจริญงอกงามด้วยคุณสมบัติที่ดีเพิ่มขึ้น นั้นคำในสมัยโบราณจึงพูดบุญคำเดียวนี่คลุมหมดเลยก็ เพราะว่าบุญไม่มีทั้งเรื่องของการประพฤติ พฤติกรรมกายวาจาเกื้อกูลมีความดีเป็นประโยชน์ จนกระทั่งด้านจิตใจดีงามมีคุณธรรมมีความเข้มแข็งมั่นคงมีสติสมาธิมีความเบิกบานผ่องใสมีความสุขแล้วยังมีปัญญามีความรู้ความเข้าใจ ตั้งแต่รู้เข้าใจเรื่องความเป็นอยู่การดำเนินชีวิตการจะกินจะใช้อะไรก็ใช้ด้วยปัญญาเป็นต้น ไปจนกระทั่งรู้เข้าใจโลกชีวิตสังขารธรรมชาติธรรมดาทั้งหลายตามความเป็นจริงหมด นี่บุญไม่รู้เท่าไหร่เลยไม่มีจบมีสิ้น ก็เรียกว่าทำบุญจบเมื่อไหร่ก็เป็นพระอรหันต์เมื่อนั้น เพราะฉะนั้นโยมสบายใจได้ทำบุญคำเดียวพร้อมบริบูรณ์เลย นั้นถ้าโยมเข้าใจคำว่าบุญแล้วนี่ บุญจะกลับมาสู่สังคมไทยได้ แล้วจะเป็นคำที่ดีกว่าคำอื่นหมด เดี๋ยวนี้มาใช้อย่างสมัยหนึ่งก็มาติดคำว่าคุณภาพชีวิต เดี๋ยวนี้ชักจะจางลงไปแล้ว คุณภาพชีวิตนี่เกล่อมาในสมัยหนึ่ง อะไรตอนแรกก็บอกมาตราฐานการครองชีพว่าอย่างงั้นนะ ต้องเน้น โอ้จะต้องพัฒนาเศรษฐกิจให้ประชาชนมีมาตรฐานการครองชีพสูง เสร็จแล้วต่อมาก็อุ้ยพวกมาตราฐานการครองชีพนี่ไม่สำคัญต้องคุณภาพชีวิตก็มาเน้นคุณภาพชีวิต เน้นไปเน้นมาตอนนี้สังคมบริโภคนิยมมันครอบงำ เอ้ไม่ค่อยได้ยินแล้ว คำว่าคุณภาพชีวิตชักจะเบาไป แต่จะเป็นอะไรก็ตามในที่สุด อย่างคุณภาพชีวิตนี่ก็อยู่ในคำว่าบุญเท่านั้นเอง บุญของเรานี่มันครบถ้วยหมดเลยถ้าโยงเข้าใจเสียอย่างเดียวแล้ว ก็คือคุณสมบัติอะไรที่ดีทั้งหลายที่จะมาเกื้อหนุนแก่ชีวิตหรือสังคมของเรานี่ เราไม่มีคำอะไรจะพูดแล้วเราก็เลยพูดบุญคำเดียวนี่มันอิ่มเต็มที่ไปเลยนั้นก็ฟื้นคำว่าบุญให้กลับมาสู่สังคมไทยเมื่อไหร่ก็สังคมนี้จะดีจะเจริญงอกงามแล้วก็จะลดบรรเทาปัญหาไป ขอให้เรามาคิดเรื่องบุญกันให้มาก ๆ เลยตอนท้ายนี้ชักจะพูดยาวไปแล้วเจริญพรต้องขออภัย ก็จะขอต่อท้ายอีกนิดหนึ่งว่า เวลานี้เรามาพูดวกวนวุ่นวายกับสิ่งไม่ดีไม่งามมาก สังคมมันก็แย่อยู่แล้วสื่อมวลชนก็จะลงแต่ข่าวไม่ดีอาชญากรรมทำร้ายกัน ทีวีก็ได้ข่าวเป็นอย่างนั้นด้วย แม้แต่เรื่องพระก็เอาเรื่องพระไม่ดีอะไรต่ออะไร มีแต่เรื่องไม่ดีไปเผยแพร่กันก็ทำให้เกิดความรู้สึกไม่ดีต่อกันฝ่ายพุทธศาสนิกชนก็ระแวงว่าพวกทีวีพวกนี้เจตนาดีหรือเปล่า อาจจะแกล้งใส่ร้ายหรือว่าจะเอาแต่ข่าวร้าย ๆ มาเพื่อทำลายพระศาสนาหรือเปล่า เอ้าเขาก็มีสิทธิตั้งข้อสงสัยเมื่อตั้งข้อสงสัยก็อย่าประมาทสิ ก็ศึกษาไปค้นคว้าไป แต่ว่ามองในแง่หนึ่งก็อย่างมัวแต่ไปว่าเขานะตัวเองต้องปรับปรุงตัวเองด้วย ไม่ใช่ว่า เอ้อไปว่าเขา ว่าพวกทีวี พวกสื่อมวลชนนี่เขาคิดร้ายคิดไม่ดี ถ้าเรามีอะไรไม่ดีเราก็ต้องสำรวจตัวเองแล้วก็พยายามแก้ไขปรับปรุงไม่ประมาท ทำ 2 อย่างไปพร้อมกัน ศึกษาเขาด้วยปรับปรุงตัวเราเองด้วย ส่วนทีวีสื่อก็ต้องมาคิดดูว่า เอ้บางทีเราจะจูงให้สังคมนี้มัวแต่จะมาใจคอหมกมุ่นอยู่กับเรื่องชั่วร้ายเรื่องบาป ๆ ทั้งนั้นหรือเปล่า ทำไงจะชักจูงใจเขาให้ไปสู่ไอ้เรื่องบุญกุศลเรื่องความดีมากขึ้นจะเป็นการสร้างสรรค์ นี้สังคมที่มัวแต่ตอมมาดมกันอยู่กับเรื่องกลิ่นไม่ดี เรื่องของไม่ดีนี่นะ มันก็อยุ่นั่นแหละไม่ไปไหน นี้สังคมที่มันจะดีเจริญก้าวหน้ามันต้องมีจุดหมายที่ใฝ่ปรารถนาอันสูงที่จะก้าวออกไป นี้คนที่จะช่วยเป็นผู้นำสังคมก็ตาม เป็นผู้รับผิดชอบอย่างสื่อก็ตามนี่ จะต้องหาอะไรมาที่ดี ๆ มาให้สังคมมองเห็น ให้เขาจะเห็นจุดหมายที่เราจะก้าวไป พวกเรามีอะไรทีดีที่มุ่งหมายไอ้ที่จะทำนี่ใจมันก็จะห่างเหินจากสิ่งชั่วร้ายไป เหมือนกับเด็กทะเลาะตีกัน มันมีอะไรจะให้ทำให้คิดดี ๆ ไม่มีจุดหมายให้มอง มันก็จะมองหน้ามองตาขัดกันแล้วเดี๋ยวก็ทะเลาะกัน แต่ถ้ามันมีอะไรมีงานการที่สร้างสรรค์ให้ทำมีจุดหมายสูงให้ใฝ่ปรารถนา ตามันแทนที่จะมองกันและตีกันกระทบกัน ตามันจะมองไปสู่จุดหมายร่วมกันเป็นอันหนึ่งประสานเป็นอันเดียว ตอนนี้มีกำลังมีทิศทางแล้วจะเดินหน้า สังคมของเราก็เหมือนกัน เวลานี้มาหมกมุ่นจมมาดอมมาดมกับไอ้เรื่องสิ่งชั่วร้ายมันก็ไม่ไปไหนสิ่งชั่วร้ายแก้ไม่ตก การที่แก้ปัญหาด้วยวิธีแก้ปัญหาแบบรบนี่ รบกันอยู่กับปัญหานี่แหละรบกันไม่รู้จักจบ วิธีแก้ปัญหาที่ดีที่สุดก็คือการสร้างสรรค์เวลาทำการสร้างสรรค์อะไรขึ้นมาแล้วมันลืมไปเองเลยไอ้เรื่องชั่วร้าย เด็กมันไม่มีเวลาจะมาคิดมาทำสิ่งชั่วร้าย แต่ไม่ใช่หมายความเราละเลยนะเราต้องไม่ประมาท ไอ้เรื่องไม่ดีก็ต้องแก้ แต่ว่าจะมัวจมอยู่นี่ไม่งั้นสังคมมันจะวนเวียนติดอยู่แค่นี้ไม่ไปไหน ต้องมีจุดหมายดี ๆ งามสูงส่งที่ให้คนใฝ่ปรารถนาอยากจะทำแล้วก็ใจมันมุ่งไป ที่นี้แหละเด็กทั้งหลายเนี่ยจะห่างเหินความชั่วมันลืมไปเอง ลืมไอ้เรื่องที่จะทำที่ไม่ดี แล้วก็อยากจะทำสิ่งที่ดีงามอันนั้นที่มุ่งหมายร่วมกันแล้วก็สังคมก็เดินหน้า นั้นทีวีก็อย่ามาหมกมุ่นอยู่กับเรื่องบาปก็ต้องเอาเรื่องบุญมา ตั้งอะไรที่มันดีงามสิ่งที่พึงปรารถนาหรือจุดหมายที่ปรารถนาที่สุงส่งมาให้แก่สังคม พอให้คนในสังคมนี้โน้มไปสู่สิ่งที่ดีงามนั้นได้ ใจมุ่งไปได้แล้วสังคมของเราเจริญก้าวหน้าแน่นอน เวลานี้เหมือนกับสังคมไม่มีอะไรจะดี จะชื่นชม มาตอม มาดมกับอาจมอยู่เลื่อยไปใช่ไหม แทนที่ว่าเอ้อจะชวนกันไปสูดดมชมดอกไม้ในสวนบ้าง ตอนนี้ต้องอย่างน้อยทีวีนี้เป็นต้นนะ อย่ามาตอมดมอยู่กับอาจมเท่านั้นต้องพาประชาชนไปชมสวนดมกลิ่นสูดกลิ่นดอกไม้ แล้วก็เที่ยวไปให้รื่นรมย์แล้วก็ตั้งจุดหมายที่ดีงามให้แก่สังคมให้เราปรารถนาร่วมกันแล้วเกิดกำลังเกิดพลังเกิดความสามัคคีแล้วสังคมของเราเจริญก้าวหน้า การสร้างสรรค์เกิดขึ้นปัญหาก็จะเบาโอกาสบางลงไป
วันนี้ก็เลยถือโอกาสเอาเรื่องกฐินเป็นข้อปรารภ แต่เป็นเรื่องที่สำคัญมีความหมายทางพระวินัยที่กล่าวมาแล้วเราทุกคนก็ทำบุญก็คนที่ต้องการสำคัญ ก็คือการสืบต่อพระศาสนา สืบต่อพุทธศาสนาก็ไปสู่จุดหมายที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่าพระพุทธศาสนานี้มีอยู่ดำรงอยู่เพื่อพะหูชะนิชิตา ยะ พะหูชนะสุขายะ โลกานุกัมปายะ พระพุทธศาสนานี้มีอยู่ดำรงอยู่ก็เพื่อประโยชน์สุขแก่ชนจำนวนมากเพื่อเกื้อการุณแก่ชาวโลกอันนี้คือจุดหมาย ถ้าเราทำให้บุญนี้ได้โยงเข้ามาสู่จุดหมายนี้ให้พระพุทธศาสนาทำงานได้สำเร็จนั่นคือการสืบต่อพุทธศาสนาที่แท้จริงและโยมก็จะได้บุญอย่างแท้จริงด้วย ก็ขออนุโมทนาท่านศาสตราจารย์ ดร.สุกิจ บุญบงการ แล้วก็โยมญาติมิตรทุกท่าน ก็ถือว่าวันนี้ทำบุญร่วมกันมาวัดแล้วใจสบาย ๆ ให้มีปิติมีความสุขเอิบอิ่มผ่องใสได้บุญพร้อมทั้งทานศีลภาวนาทั้งเรื่องวัตถุจิตใจและปัญญาดังที่อาตมาภาพได้กล่าวมา ก็ขออนุโมทนาท่านเจ้าภาพญาติมิตรและก็สาธุชนทุกท่านทุกคนทั้งในวัดนอกวัดก็ได้ร่วมใจกันทำให้เกิดความสามัคคีขึ้นแล้ว ได้ปฏิบัติตามคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ขอให้บุญกุศลนี้ประกอบเข้ากับคุณพระรัตนตรัยเป็นปัจจัยอภิบาลรักษาให้ท่านเจ้าภาพ คือศาสตราจารย์ ดร. สุจิต บุญบงการ พร้อมทั้งครอบครัวของท่านและญาติมิตรและสาธุชนทั้งหลายทุกคนเจริญงอกงามด้วยจตุรพิธพรชัยมีกำลังกายกำลังใจกำลังปัญญากำลังความสามัคคีพรั่งพร้อมบริบูรณ์ที่จะดำเนินชีวิตและกิจการให้ก้าวหน้าบรรลุผลสำเร็จสมความมุ่งหมายสามารถทำกิจเพื่อประโยชน์สุขแก่ชีวิต แก่ครอบครัว แก่สังคมประเทศชาติและแก่ชาวโลก ให้ได้ผลยั่งยืนยาวนานและกว้างขวางมั่นคงยิ่งขึ้นไปมีความร่มเย็นงอกงามในพระธรรม พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกเมื่อเทอญ