แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ไฟล์ถอดเสียงนี้ยังไม่ได้ผ่านพิสูจน์อักษร นำขึ้นมาเพื่อช่วยในการศึกษาค้นคว้าของผู้สนใจ
สำหรับ คฤหัสถ์ที่สวดมนต์ก่อนนอนนะครับ หลวงพ่อช่วยสอนได้ไหมครับว่าเขาควรจะสวดอะไรก่อนนอน แล้วควรจะ .. คือผมนึกถึงลูกๆของผมว่าจะไปสอนให้เขาสวดมนต์ ทีนี้ และเขาควรจะสวดอะไร
คืออันนี้ไม่ตายตัวหรอกครับ เพราะว่าถ้าเป็นสมัยก่อนเขาสวดกันมากๆใช่มั้ย ทีนี้ถ้าเราจะสวดมากๆอย่างนั้นสมัยนี้ไม่ค่อยไหว เพราะฉะนั้นสมัยนี้สวดน้อยๆก็ต้องเลือกเอา จะไปจำกัดไปกำหนดเหมือนสมัยก่อนเป็นไปได้ยาก เพราะฉะนัน้เราก็เลยต้องเปิดกว้าง อยู่ที่ว่าเราต้องเอาวัตถุประสงค์ จุดหมายเป็นหลัก ว่าเออเราสวดเพื่ออะไรล่ะ เพื่อให้จิตใจสบาย ละก็มีความอบอุ่นใจ มีความมั่นใจและก็ทำจิตใจให้เป็นกุศล และก็เป็นสวดเบื้องต้นที่ให้เด็กเนี่ย
1.ก็ได้ใกล้คุณพ่อคุณแม่ มีจิตใจที่มาอยู่ในกุศลด้วยกัน จิตใจมันจะได้มีเครื่องเชื่อมประสานที่ดี และชุ่มฉ่ำมีความร่มเย็น มีความรู้สึกเป็นสุข และน้อมใจเด็กเข้าสู่กุศล เข้าสู่ธรรมะ และก็เป็นโอกาสก็อาจจะคุณพ่อคุณแม่ก็อาจจะเอาเนื้อหาบทสวดนั้นมาเป็นจุดเริ่มในการที่จะสนทนามาอธิบายเข้าสู่ธรรมมะ นำเข้าสู่การศึกษาธรรมะด้วย นะ ได้ทั้งนั้นเลย ก็คือว่าเป็นสื่ออันหนึ่ง แต่ว่า สื่อแรกก็คือสื่อตัวเขาเอง สื่อใจเขานั่นแหละเป็นเครื่องนำใจเขาไปสู่ความสุข ความรู้สึกอบอุ่นร่มเย็น สบายใจ และก็อย่างที่ว่า สื่อต่อมาก็คือ กัลยานมิตร พ่อแม่ก็มาใช้อีก เอาเป็นสื่อเพื่อจะนำเด็กๆลูกๆ เนี่ยเข้าสู่ธรรมะ ทั้งในทางจิตใจก็อย่างที่ว่าอยู่ร่วมกันประสานใจด้วยบทสวดมนต์ที่ร่วมกันสวด ใจคอดี สบาย ประสานใจเป็นสื่อดี และก็เสร็จแล้วก็เป็นสื่อในทางปัญญา ก็ใช้อธิบาย จะอธิบายอะไรก็ตอนนี้ได้โอกาส ถือโอกาสโยงไปหาเรื่องอื่นๆในชีวิตประจำวัน ในโลกมีอะไรที่น่าจะแนะนำ มีจุดอ่อนบกพร่องแทนที่เราจะบอกตรงๆ เราก็อาศัยบทสวดหรือข้อความในสุภาษิต ในคาถาอะไรเนี่ยมาปรารภขึ้นนิดแล้วก็โยงไปหาสิ่งที่ลูกทำเพื่อนำให้เขาแก้ไขตัวเขาด้วยโดยไม่รู้ตัว ไม่ต้องรู้ตัวหรอก เป็นวิธีการที่จะเรียกว่าอุบาย แต่เป็นอุบายที่เป็นกุศลนะฮะ เรียกว่ากุศโลบายก็ได้ เนี่ย อันนี้จะดีมากคืออย่าไปแค่สวดกันเฉยๆ เป็นโอกาสด้วย พอสวดแล้วก็เอ้อ สวดเสร็จแล้วนะ วันนี้เอาบทนี้ตรงนี้ นี่ท่านพูดว่าอย่างนี้ แม้แต่เอามาแปลซักนิดหน่อย ในนี้บทนี้มีคำนี้นะ คำนี้ท่านแปลว่าอย่างงั้นๆ แม้แต่คำเดียวก็สามารถเอามาเป็นสื่อได้ พอแปลแล้วก็โยงไปหากิจกรรมในชีวิตประจำวัน พฤติกรรมของเด็กของคนอะไรต่ออะไรที่เราจะชี้แนะนำและก็โยงไปพูดไปให้เด็กได้เรียนรู้ได้ศึกษาสิ่งที่ดีงาม การศึกษาสำคัญนะในบ้านเนี่ยได้ประโยชน์มาก และก็บางทีก็เลยถือโอกาสถ้ามีความรู้เรื่องในทางพระพุทธศาสนามากเช่นรู้ชาดกใช่ไหม ก็เป็นโอกาสเลยมาสวดมนต์กันแล้ว จบแล้วก็เอาแล้วทีนี้ จากเรื่องของธรรมะบทสวดคาถานี้โยงไปหาชาดก เล่าชาดกให้ฟังนะ ถ้าเด็กเล็กๆลูกเล็กๆก็เล่าเรื่องสนุกๆ ลิงเฝ้าสวนบ้าง ลิงหลอกจระเข้บ้างให้ฟังอะไรอย่างนี้นะ ชาดกก็สนุกเด็กก็สนุกด้วยนะ ก็มีความสุข ในความอบอุ่นในครอบครัวที่จะประทับใจไปนานเลย
เนี่ยครอบครัวสมัยโบราณได้อันนี้แหละครับเป็นเครื่องเชื่อมโยง ทำให้ครอบครัวอบอุ่นมีความสุขและก็เป็นสิ่งประสานใจไว้ประทับใจเด็กไว้จนกระทั่งเด็กโต เด็กโตไปก็ระลึกถึงพ่อแม่ ระลึกถึงคำสอนไปด้วย ระลึกถึงพระศาสนา
มาด้วยกันหมด ปกติ สิ่งเหล่านี้โยงกันหมดเพราะว่าพ่อแม่เป็นผู้นำเด็กเข้าสู่ธรรมะ เข้าสู่พระรัตนตรัย พอนึกถึงพระรัตนตรัย ก็นึกถึงพ่อแม่ด้วย พอนึกถึงพ่อแม่ก็ระลึกถึงพระรัตนตรัยด้วย
นึกถึงธรรมะอะไรนึกถึงคำสอนของท่าน นึกถึงคำสอนของท่านมาจากพระศาสนา โยงไปหาพระศาสนาอีก อย่างนี้คนสมัยก่อนก็ใช้พวกนี้ เอ้าทางคำพูด วาจา ก็อย่างนี้นะ บทสวด คาถาอะไรต่ออะไรให้คาถากันไป เออเด็กก็จำแม่น เราก็อาจจะให้คาถาที่ดีๆ เลือกเอาให้เด็กท่อง เออหรือให้เลือกก็ได้ เอาหนูชอบคาถาไหนเลือกกัน คนนี้ก็ชอบคาถานั้นคนนี้ชอบคาถานี้ เอา เลือกเอาแล้วแต่ใครชอบไหน แล้วก็พอเลือกก็พอเข้าใจคำแปลแล้วหนิ ทีนี้ถ้ามีโอกาส เอาวันนี้จะอธิบายคาถานี้ให้ฟังสำหรับลูกคนนี้ แต่คนอื่นก็ฟังด้วยนะ พออีกวันหนึ่งก็อธิบายอีกคาถาหนึ่ง ถ้ารู้ชาดกก็เอาชาดกมาประกอบ นี่ก็เรียกว่าสื่อทางวาจา และก็สื่ออีกอย่างเขาเรียกว่าสื่อทางวัตถุ สมัยโบราณเนี่ยเขาไม่เรียกวัตถุมงคลนะ
คำว่าวัตถุมงคลนี่เพิ่งเกิดไม่กี่ปี สมัยก่อนไม่มีใช้ นี่ก็พระเครื่องก็เป็นคำกล่าวก็พระ ผมเคยเล่าแล้วมั้งที่ว่าสมัยก่อน คือสิ่งเหล่านี้ที่เราเรียกว่าวัตถุมงคลก็ตาม พระเครื่องอะไรเนี่ยนะ 1.มันไม่มีความหมายเชิงพาณิชย์เลย ไม่มีเลย เป็นของให้เปล่า 2. ก็ความหมายทางที่เอามาเป็นว่าขลัง อย่างพระโน่นพระนี่อะไรต่ออะไรเนี่ยมันแทบจะไม่มี ความนิยมในเรื่องหลวงพ่อหลวงปู่โดยตรงกลับมีมากกว่า พระองค์นั้นขลังอะไรอย่างนี้ เก่งอะไรอย่างนี้ ทีนี้พระเครื่องนี่แต่ก่อนโบราณเขาสร้างอย่างไร พระเครื่องอย่างองค์เล็กๆเนี่ย แต่เดิมเขาสร้างทีหนึ่งเป็นปริมาณมากมาย แล้วก็ใส่เจดีย์เขาเรียกใส่กรุไว้ เยอะมหาศาลเลยครับ เขาบรรจุไว้ทำไม เขาบรรจุไว้ด้วยหวังว่าในกาลภายหน้า พระพุทธศาสนาก็เป็นไปตามหลักอนิจจัง ไม่เที่ยงก็ พระพุทธศาสนาก็อาจจะสูญสิ้นหมดไป แล้วก็กรุนี่แตกออกมาก็จะได้เป็นเครื่องประกาศ เป็นเครื่องบอกบ่งว่าที่นี่พระพุทธศาสนาเคยเจริญมา คนโบราณเขาก็เอาพระนี่ใส่กรุ ทำพระเยอะหมดเลยใส่กรุไว้ ต่อมาก็นานหลายร้อยปี เจดีย์อะไรต่างๆมันก็ผุพัง กรุแตก กรุแตกก็เห็นข้างในสิมีพระอยู่ สมัยก่อนเขาก็ไม่ได้ถือแบบสมัยนี้ ผมก็รู้จากหลวงพ่อ หลวงพ่อที่วัดบ้านกร่างที่ผมบวช กับท่านหนะ ตอนนั้น ท่านก็เก่าแก่เยอะแยะแล้วนะ นิดนึงถ้าอยู่ถึงเดี๋ยวนี้เท่าไหร่แล้วไม่รู้ ก็ร้อยปีไปนานแล้ว นะ ทีนี้ตอนที่ท่านอยู่บวช ท่านก็เล่า เพราะที่วัดบ้านกร่างมีกรุแตก ตอนผมบวชเณรเนี่ย ก็มีกรุที่แตกจนกระทั่งเขาเอาพระไปเกือบหมดเลย กรุโน้นกรุนี้ สองสามกรุ ทีนี้กรุหนึ่งเนี่ยยังมี ก้นกรุยังมีพระวัดบ้านกร่าง แตกๆหักๆ เหลือแต่แตกๆหักๆทั้งนั้น แล้วก็พวกเด็กบ้างเณรบ้างพระบ้างก็ เอ้าลงไป ลงไปก้นกรุ เราก็ลงไป ลึกลงไปนะ ลึกลงไปในดิน เห็นปากอยู่เสมอดินเนี่ยและแต่ลึกลงไปข้างล่างเยอะ โอแสดงว่ามากมายเหลือเกินกว่าจะเต็มกรุเราก็ลงไป แล้วก็ไปหากันดูเผื่อจะได้พระองค์ดีๆบ้าง เนี่ยก็คือว่าเป็นของเก่ากรุแตก ทีนี้หลวงพ่อท่านก็เล่าบอกว่า กรุวัดบ้านกร่างที่แตกเนี่ยสมัยท่านยังเด็กๆ ท่านก็อยู่วัด เด็กวัดก็เล่นสนุกกัน วิธีเล่นสนุกก็ต่างๆกันนะฮะ อันหนึ่งก็คือว่าหน้าวัดมีแม่น้ำ นี่ก็เด็กก็เอ้จะทำอย่างไรดีพระเครื่องในกรุนี่เยอะดีนะ เอาก้อนดินหาก้อนอิฐมาขว้างเล่นนี่มันยากกว่าพระในกรุนี่พร้อมอยู่แล้ว ขนาดพอดีเลย และมากมายไม่รู้กี่พันใช่มั๊ย ก็เลยเด็กพวกนี้ก็เลยไปเอาพระในกรุกอรบกันมา แล้วก็มาริมฝั่งแม่น้ำแล้วก็ขว้างแข่งกัน เอ้าใครจะขว้างได้ไกลกว่ากัน เนี่ยหลวงพ่อท่านบอกสมัยเด็กท่านก็ทำแบบนี้ ก็คือไปเอาพระในกรุแล้วก็มาริมแม่น้ำ แล้วก็มาขว้างแข่งกัน สนุกกันอย่างนี้ ทีนี้พอรู้อย่างนี้ พวกคนวัด พระใหม่ อะไรสมัยหลังๆนี่ น้ำในแม่น้ำท่าจีนหน้าแล้งมันก็ลดมากใช่ไหม พอลดมากตลิ่งมันยาวยื่นออกไปเนี่ย ก็ไปเดินริมตลิ่งหาพระที่รุ่นหลวงพ่อนี่เคยเอามาขว้างเล่นกันเมื่อเด็กๆ ผมยังไปได้องค์หนึ่งเลยนะ เดินริมตลิ่งชายแม่น้ำได้เกือบเต็มโอ่งเลย อย่างนี้เป็นต้น ก็หมายความว่าสมัยก่อนเค้าไม่ได้มานึกอะไรมาก พระวัดบ้านกร่างสมัยหลังมาเช่ากันเป็นหมื่นเป็นอะไรก็ไม่รู้นะ สมัยนั้นเค้ากลายเป็นว่าเด็กเล่นสนุกไปเลยนะ เนี่ยให้เข้าใจ คือมันค่อยๆวิวัฒนาการมาว่า ทว่ามี การที่ว่ามีพระในกรุมาก ทีนี้บางกรุมีพระขนาดใหญ่ ขนาดเล็กบ้างสวยงามมากบ้าง อะไรบ้าง ทีนี้ก็ญาติโยมมาวัดก็ใครๆก็ สมัยหลังมีพระในกรุที่แตกก็เหลือน้อยลงไปก็อยากจะได้องค์สวยๆไปไว้บ้าน นี่ก็เอาเลือกเอาเอง ต่อมาชักน้อยลง ตอนนี้พระชักเอาละ เออ เหลือน้อยลงก็ พระก็เป็นผู้เก็บรักษาเองละ ทีนี้เห็นว่าญาติโยมคนไหนเป็นคนดีมีศรัทธาก็ให้คนนั้น ใช่มั๊ย ต่อมาก็มีผู้ทำบุญ เออ เห็นว่าคนไหนทำบุญมากๆเราก็ให้ของที่ระลึก ให้พระองค์ใหญ่องค์สวยทำบุญน้อยหน่อยก็ให้องค์ที่เล็กๆ ไม่ค่อยสวยหรือว่าดาษๆพื้นๆ นะ องค์ที่หายาก็ให้คนที่ถวายบำรุงวัดมาก โดยที่ว่าไม่ได้นึกในแง่ที่ว่าเป็นสิ่งตอบแทนที่เขามาอันนั้นไม่ใช่ เขามาทำบุญเขาเองอยู่แล้วนะ แล้วพระก็เห็นว่าเอ่อ ไหนๆ มีอยู่แล้ว ก็จะต้องให้ต้องแจกกันอยู่แล้ว ก็แจกคนมีศรัทธาจะดีกว่า ก็เขาแสดงสัญญาณมาว่าเขาศรัทธามากเราก็ให้ของที่มีค่ามากอะไรอย่างนี้ ตอนแรกก็จะเป็นแบบนี้ ให้ไปให้ไป ต่อมาคนชักติดใจ ไปวัดแล้วได้ อะไร พระมาบ้างอะไรบ้าง ต่อไปพระในกรุหมด เอาละทีนี้ รุ่นโบราณตอนหลังๆนี่พระในกรุแทบไม่มีแล้วครับ เป็นแทบจะหมดยุคเลยนะพระในกรุแตก เอาล่ะทีนี้ทำอย่างไรล่ะ คนชักเกิดอยากได้พระ พระก็ทำใหม่สิทีนี้เอาแบบเอาพระองค์เก่ามาทำแบบแล้วก็ทำพิมพ์พระใหม่ขึ้นมา คราวนี้แหละครับมันเริ่มที่จะวิวัฒนาการ ให้คนมีศรัทธา ต่อมามันชักว่าคนอยากจะได้พระก็เลยไปทำบุญที่วัด นี่ๆกลายเป็นว่าคนที่จะไปทำบุญเนี่ยมีเจตนาขึ้นมาแล้ว แต่ก่อนนี้ทำบุญก็ไปทำใช่ไหม ได้มาเป็นเรื่องของพระให้ ต่อมาตัวเองชักอยากจะได้พระจึงไปทำบุญ ก็เอาเงินไปถวาย ต่อมาก็เลยนี่แหละ เห็นเค้าชัดเลยใช่ไหม ต่อมามันก็กลายเป็นเรื่องเหมือนกับตอบแทน ต่อมามันกลายเป็นเรื่องพาณิชย์ไปเลย อะไรต่ออะไรกันไปกันใหญ่เลย ทีนี้ความหมายเลยเพี้ยนหมด นี้สมัยโบราณนี้ เอาทีนี้ว่าถึงการใช้วัตถุแบบนี้เป็นสื่อ ก็คือว่า เพราะว่าพ่อแม่เนี่ยก็ได้พระมาอย่างนี้ อยู่ที่บ้านก็มีไว้ประจำนะ ก็เคารพในพระรัตนตรัยว่าท่านคุ้มครอง อวยชัยให้พร มีไว้ประจำตัว นี่ก็รักลูกรักหลาน ลูกหลานโตขึ้นมาจะมีครอบครัว หรือจะไปทำมาหากินต่างถิ่น เอาละ พ่อแม่ก็เออ เขามาลาแล้วรักลูกมาก พระนี่เป็นสิ่งที่มีค่าเคารพนับถือบูชา และก็มีความหมายเชิงรู้สึกว่าคุ้มครองให้ปลอดภัย ด้วยความรักลูกก็อยากให้ลูกได้มีความสุข มีความเจริญรุ่งเรืองปลอดภัยด้วย ก็ให้สิ่งที่ดีที่สุดก็ให้พระ บางทีก็รักษาไว้ตลอดชีวิต อ้าวก็บอกลูกว่า เนี่ยนะลูก ต่อลูกจะอยู่ไปไกลต่างถิ่นเนี่ยนะ พ่อก็ขอมอบพระนี้ให้ พระนี่นะคุณปู่ให้มา เอาล่ะสิ ก็แบบเดียวกัน คุณปู่ก็ให้ลูกให้พ่อไว้ หรือว่าบางท่านก็บอกเนี่ยอุปชาของพ่อให้ไว้ หรืออุปชาให้คุณปู่ คุณปู่มาให้พ่ออีกทีหนึ่ง โอโยงกันเป็นสายเลย บอกรักษากันมาเหลือเกิน เนี่ยเพราะความรักลูกเนี่ยอยากจะให้ลูกมีความสุขความเจริญ ขอมอบพระนี้ให้ ลูกรักษาไว้ให้ดีนะ แล้วก็ตั้งใจทำมาหากิน ประพฤติตัวให้ดีนะ เออ ก็สั่งลูกอย่างนี้ พระนี่ก็กลายเป็นสื่อเพื่อระลึกถึงพระคุณของพ่อแม่ไปถึงปู่ย่าตายายนะ และก็โยงไปหาความดี เพราะสิ่งที่ท่านให้มาพร้อมกับพระนี่ก็คือคำสอนใช่ไหมฮะ ก็ให้ระลึกไว้ นึกถึงพระนึกถึงคำสอนของพ่อแม่ที่โยงไปหาคำสอนของพระพุทธเจ้า เป็นเรื่องดีงามหมดเลยเพราะฉะนั้นพระเนี่ยนะ องค์หนึ่งที่มีเป็นสิ่งที่มีค่าและเข้าไม่ได้มีกันมากมายใช่ไหมฮะ ก็เอามาก็นึกถึงพระเห็นพระเนี่ยก็เป็นสื่อทางใจที่โยงไปหาพ่อแม่ ปู่ย่าตายาย อุปชาจารย์ โยงไปหาพระพุทธเจ้าคำสอนของพระองค์ พระธรรม คำแนะนำ อย่างอุปชาก็แบบเดียวกัน เออลูกศิษย์นี้ใกล้ชิดมาก เห็นว่าประพฤติดี ไม่ให้ง่ายๆหรอกครับ สมัยก่อนท่านให้แต่ว่าท่านก็ไม่ให้ง่ายๆ แล้วลูกศิษย์คนนี้ดีมีความซื่อสัตย์ ขยัน หมั่นเพียร จิตใจดีงาม เอ้าเขาจะไปอยู่ห่างไกล ก็อย่างที่ว่า ก็มอบพระนี่ให้ สั่งสอน บอกว่าอย่าไปทำอย่างงั้นๆๆนะ ถ้าทำอย่างงั้นแล้วพระไม่คุ้มครองรักษาให้ประพฤติตัวดีๆอย่างงี้ๆๆ แล้วก็มอบให้ไป ฉะนั้นพระเนี่ยเป็นวัตถุที่มีความหมายสื่อนามธรรม คุณค่าทางจิตใจ ความรักและก็คุณความดีทั้งหลายมากมายเลย นี่แหละครับนี่ถ้าได้อย่างนี้เป็นวิเศษเลย คือความหมายแท้ๆดั้งเดิมของท่าน เดี๋ยวนี้มันหมดความหมายเลย มันกลายเป็นว่า เป็นอะไร เป็นอะไรครับ เป็นวัตถุพาณิชย์ไป เป็นความศักดิ์สิทธิ์ที่ซื้อได้ด้วยเงิน อะไรไปอย่างนี้ไปแล้วใช่ไหม ก็น่ากลัว เนี่ยมันก็เห็นความเสื่อมอันหนึ่งเลยนะ แม้แต่เรื่องอย่างนี้ก็เสื่อมไม่ต้องไปพูดถึงอะไรหรอก เรานึกอันนี้ก็ถ้าเราฟื้นขึ้นมาได้ก็เป็นประโยชน์มาก อย่าไปดูถูกพระเครื่องพระอะไรหรอก ดีเป็นของที่ดีแต่ต้องใช้ให้เป็น เพราะว่าคนที่เริ่มศึกษาโดยเฉพาะเด็กเนี่ย เขาจะมาเข้าถึงธรรมะได้ทันทีเป็นไปไม่ได้ ยิ่งเป็นเรื่องนามธรรมนี้ไม่สนใจแล้ว ฟังก็ไม่รู้เรื่องและก็ไม่อยากฟังด้วย แต่พอมีวัตถุมาใช่ไหม ก็เป็นสื่อหนึ่งก็ใจชอบ เห็นสวยเห็นงามอะไรต่ออะไร รู้สึกมีค่า อยากจะรักษาไว้ ก็โยงไปหาธรรมะความดีงาม ก็เป็นอนุสรณ์เป็นเครื่องเตือนใจระลึกอย่างหนึ่ง แต่ระลึกในแง่ที่ว่าเอาวัตถุมาใช้ พอความหมายพระรัตนตรัยก็เป็นสรณะเป็นเครื่องระลึกอยู่แล้วนี่ และเราเอานี่ระลึกเอาวัตถุมาเตือนใจระลึกอีกชั้นหนึ่งเลย ฉะนั้นต้องใช้ให้เป็น
เอาล่ะครับตกลงว่านี่ ผมพูดยืดยาดเลยเถิดออกไปถึงพระเครื่องเลยนะ เอาล่ะก็ไม่เป็นไรก็กลับมาที่ว่าเรื่องที่สวดมนต์
ก็เป็นอันว่าเรื่องสวดมนต์เลือกเอาบทที่ว่า 1.ก็คือ เด็กเขาไม่หนักนัก และก็ถ้าหากมีทางให้เขาเลือกได้ เช่นว่าได้ศึกษามีความหมายอย่างงี้และก็รู้สึกว่าท่องแล้วถูกปากเขา อะไรเนี่ยนะ เราเลือกมาทีแล้วนี่ให้แกเลือกอีกที ก็เลือกเอา และก็ถ้าจะสวดพร้อมกันก็ให้เลือก คนนี้เลือกอันหนึ่งคนนี้เลือกอันหนึ่ง เรากะไว้แล้วนี่ว่าต้องมีเท่านั้นบท เอามารวมกันแล้วก็สวดด้วยกัน
(ถาม) หลวงพ่อช่วยแนะได้ไหมครับว่าบทที่เป็นหลัก
ก็บทที่ควรสวดเป็นประจำก็มงคลสูตร เพราะได้มงคลนี่คลุมหมดเลยใช่ไหม ความหมายนี่คลุมหมดเลยมงคลหนะใช่ไหม สิ่งดีงาม ความสุข ความเจริญ พรั่งพร้อม หมดเลย แล้วเสร็จแล้วก็ความหมายได้ทันทีเลย ข้อปฏิบัติในพุทธศาสนาในมงคลสูตรแต่ต้นจนจบเลยถึงจุดหมายเลยใช่ไหม
เริ่มตั้งแต่อยู่เป็นคฤหัส อะเสวะนา จะ พาลานัง ปัณฑิตานัญจะ เสวะนา
ปูชา จะ ปูชะนียานัง เอตัมมังคะละมุตตะมัง ฯ ก็ได้แล้ว ไม่คบพาลคบบัณฑิต บูชาคนควรบูชา ยกย่องนับถือคนที่ควรยกย่องนับถือ นี้เป็นอุดมมงคลและก็ว่าไปอยู่ในถิ่นที่เหมาะสม คบหาคนดีอะไรพวกนี้ ว่าไปเรื่อยตั้งตัวไว้ชอบ ได้ทำบุญเตรียมไว้แต่ก่อน อะไรเนี่ย เนี่ยก็เรื่อยไป แล้วมงคลสูตรเนี่ยสามารถอธิบายได้ด้วย ถ้าคุณพ่อได้ศึกษาไว้ดีใช่ไหมก็ปรารภว่าเนี่ยแหละครับ อธิบายไปทีละนิดละนิดวันละนิดละหน่อย ก็ได้ธรรมมะไปด้วยได้บทสวดไปด้วย ได้บรรยากาศไปด้วย ได้ความสัมพันธ์ระหว่างคุณพ่อคุณแม่กับลูกที่ดีงามมีเครื่องยึดใจกันไว้ทำให้ระลึกถึงแต่บุญกุศล พอระลึกถึงคุณพ่อคุณแม่ใจก็เป็นกุศลทันที นึกถึงสิ่งที่ดีงาม เนี่ยเราผูกใจไว้ที่เดียวเลยนะ ผสานใจไว้กับครอบครัว กับพระพุทธศาสนา พระรัตนตรัยโยงกันหมดเลย และก็ได้ความประพฤติ เครื่องนำทางชีวิตไปด้วย ก็เอามงคลสูตรนี่เป็นหลักอันหนึ่ง เพราะคนตอนหลังไปเน้นในแง่เอาขลังเอาศักดิ์สิทธ์กันมากเช่นว่าเอาอะไรคาถาชินบัญชร อันนั้นก็ไปมุ่งที่เรื่องความขลังศักดิ์สิทธ์จะขลังจะช่วยอะไรใช่ไหม ก็ไปมองในแง่ว่าพระสาวกองค์นั้นพระสาลีบุตรมาอยู่ที่นี่ พระโมคลาไปอยู่ที่นั่น ไปอยู่หน้าผาก ไปอยู่ที่หู ไปอยู่ที่แก้ม ไปอยู่ที่ปาก เอานั่นไปอยู่ที่นั่นที่นั่น เออก็ดีหรอกแต่ว่าไม่ค่อยได้ธรรมมะอะไรเลย คนกล่าวโบราณกว่านี่เขากลับเลือกดีใช่ไหม ชินณบัญชรเนี่ยมันเลือกทีหลัง มงคลสูตรนี่เขาเลือกไว้ให้ตั้งนานเนแล้ว ดีนะเขาเลือกไว้แน่จริงๆเลยเลือกไว้มีความรู้จริงๆ นะ เอามงคลสูตรเป็นหลัก ทีนี้ก็อื่นก็เอาสิครับ เลือกเอา เช่นกรณีญเมตสูตร เป็นเรื่องของความเมตตากรุณา บทหลักนี่ก็มีมงคลสูตร นะ มงคลสูตรว่าด้วยมงคล แล้วรัตนสูตร รัตนสูตรจะเดิมคือตัวอันแรก รัตนปริต มงคลสูตรนี่แต่เดิมมาไม่มีการเรียกว่าปริตรเลย ทั้งๆที่มาจัดอยู่ในชุดเจ็ดตำนาน สิบสองตำนาน นำเลย เพราะเดิมไม่ได้อยู่ในชุดปริตรที่ผมบอกแหละ เพราะว่าไม่ได้เป็นเครื่องคุ้มครองป้องกันแต่เป็นการให้เกิดมงคล ซึ่งเป็นเรื่องกว้างกว่าและเป็นฝ่ายบวก ท่านใช้คำว่ามงคลมันอยู่ในตัวแล้วไม่ต้องมีคำว่าปริตร นี้ตอนหลังเริ่มมีคนว่าเอ้อยู่ในชุดปริตรนี่ น่าจะมีคำว่าปริตรด้วย ชักมีการเรียกปริตร ที่จริงไม่ถูก มงคลสูตรเดิมมาไม่มีการเรียกว่าปริตร อยู่ในชุดพระปริตร อยู่ในชุดเจ็ดตำนานอะไรก็จริงแต่ไม่เรียกปริตร มงคลสูตรยังเรียกมงคลสูตร และพระสูตรใดที่เอามาจากพระตรัยปิฎกสวดเต็มสูตรก็ไม่เรียกปริตร ต่อมาตัดเอาบางตอนจึงเรียกว่าปริตร ก็สวดตัดมาตอนที่ต้องการก็เรียกปริตรไปนะ แต่ตอนหลังนี่ก็เรียกปนๆกันไปแล้วนะ แต่เอาเป็นว่าถ้าคงหลักเดิม มงคลสูตรก็เป็นมงคลสูตร ก็เป็นหลักไว้ นำเลย และก็รัตนสูตรมาเป็นรัตนปริตร อันนี้จะว่าด้วยพระคุณของพระรัตนตรัย รัตนสูตรนี่ก็คือเรื่องของรัตนะ ตรัยรัตน์ ก็จะเป็นเรื่องพระคุณของรัตนตรัย และในคาถาก็จะอธิบายความหมายของความเป็นรัตนะ สิ่งมีค่า ว่าพระพุทธเจ้าเป็นรัตนะอย่างไรและก็โยงมาหาว่าสิ่งนี้ดีงามประเสริฐ ก็เลยทำให้เกิดกำลังใจทำให้เหมือนเป็นเครื่องคุ้มครองอะไรต่ออะไรเนี่ย (เอเตนะ …. และก็สุวัติโหตุ????) ความสวัสดีจงมี ก็ให้เกิดความสวัสดี ความสวัสดีมันก็กว้างใช่ไหม ความมั่นคงปลอดภัย เนี่ยทีนี้แบบนี้ จะไม่เหมือนกับคาถายุคหลังๆมันจะมีว่าขอให้ได้นั่นได้นี่ อันนี้ไม่มี ยุคเดิมเนี่ยจะไม่มีว่าขอให้ได้นั่นได้นี่ ประโยชน์ ลาภ ผล อะไร คือพวกบทสวดของพระพุทธศาสนา ดั้งเดิมเป็นปริตรเลย มุ่งที่ความคุ้มครองป้องกันเท่านั้น ส่วนคุณจะได้อะไรนั้นขอให้ทำเอา แต่บทปริตรนั่นก็คือมาทำให้เกิดความมั่นคงปลอดภัย เพราะคนเนี่ยพื้นฐานก็คือว่า แม้จะตั้งตัวในทางที่ถูกต้องแล้ว จะทำการทำงานด้วยความขยันหมั่นเพียร แต่มันมีความรู้สึกหวาดหวั่นพรั่นใจ ในความไม่มั่นใจเนี่ยมันทำให้เกิดความระแวงหวาด ทำอะไรก็ไม่เต็มที่ นั้นท่านก็เลยให้จุดนี้ คือพระพุทธศาสนาจะไม่เอื้อมไปที่ให้อ้อนวอนให้ได้สิ่งนั้น แต่ให้ในแง่ของความมั่นคงปลอดภัยเพราะว่าจิตใจได้อันนี้ พอได้ปริตร เกิดความรู้สึกมั่นคงปลอดภัยว่าเราไม่ต้องไปหวาดระแวงจะทำอะไรตั้งใจทำเลยตอนนี้แหละมันก็สนับสนุนการกระทำ เพราะฉะนั้นปริตรของท่านเนี่ยสนับสนุนกรรม สนับสนุนการกระทำเพราะมันทำให้ทำด้วยความมั่นใจทำจริงทำจังเลย แต่ถ้าเลยไปอ้อนวอนตอนนี้ฉันไม่ต้องทำแล้วรอให้ท่านบันดาลให้ คราวนี้ผิดหลักแล้ว ฉะนั้นปริตรในทางพระพุทธศาสนา บทสวด ท่านจึงเน้นไปในแง่คุ้มครองป้องกัน ให้ได้ความมั่นคงปลอดภัย มีคำว่าสุขสวัสดี อย่างมากก็ให้มีสุขอะไรพวกนี้ ก็จะได้หนุนการกระทำ เราเพียรพยายามเราก็ไม่หวาดหวั่นอะไรแล้ว ตั้งหน้าตั้งตาทำเต็มที่ ทำกิจทำหน้าที่ ก็จะไม่พลาด แต่นี่ถ้าเลยเถิดไปก็ไปก็ขอให้ท่านบันดาลโน่นให้บันดาลนี่ ตอนนี้แหละครับขอให้ได้ผลดลบันดาล โดยไม่ต้องทำ จบเลย ตอนนี้ก็สลายหลักกรรมเลย หลักกรรมก็ไปเลย ไม่อยู่กับกรรมแล้ว การกระทำไม่เอา เสียเลยผิดหลักพุทธศาสนา ฉะนั้นแม้แต่บทสวดก็ต้องเข้าใจเนี่ยนะ ว่าบทสวดในพระพุทธศาสนาแม้แต่ที่เป็นเรื่องในทางที่เราถือว่าขลังศักดิ์สิทธิ์เนี่ย ท่านมุ่งที่ความคุ้มครองป้องกัน ความมีรู้สึกสวัสดีปลอดภัยมั่นคง มั่นใจ นะ ทำอะไรได้เต็มที่ ไม่ใช่ไปให้หวังผลดลบันดาล เอาล่ะครับก็มาถึงที่ท่านถามอีกอัน เอ๊ะแล้วเดี๋ยวนี้เราจบยัง ใช้ได้นะฮะ เอาล่ะครับ เราก็ลองไปเลือกดูเอา เดี๋ยวผมพูดอีกนิดหนึ่ง เดี๋ยวเมื่อกี้พูดค้างไว้นิดนึง นิมนต์นะฮะ แต่ว่าขอเติมนิดนึงเมื่อกี้ที่พูดค้างไว้ว่างพระสูตร หรือปริตรที่เป็นหลักอยู่นี่ 1 ก็มงคลสูตรใช่ไหม 2 รัตนสูตรที่ว่าด้วยพระรัตนตรัย และก็ 3 เมตสูตร ก็เรียกกันว่ากรณียเมตสูตรชื่อเต็มว่ากรณียเมตสูตร เรียกสั้นๆว่า เมตสูตร นะฮะ หรือเรียกว่าเมตปริตร มาเป็นปริตร อันนี้จะเป็นบทแผ่เมตตานะฮะ เรียกว่าเมตตาสากลจริงๆ แผ่เมตตาให้แก่หมดเลยไม่มีใครเว้น อันนี้ก็เป็นสูตรหลัก และก็เลยไปจากนี้ก็ จะมีพวกโภชชัง ปริตรก็ได้ โภชงก็เป็นพระสูตรคำสอนเลย เป็นหลักของเรื่องของการปฏิบัติชั้นสูง แต่ว่าเราถือเรื่องในเรื่องเดิมในคำภีร์ว่าเกิดจากตอนที่พระพุทธเจ้าทรงอาพาตให้พระมาสวดให้พระองค์สดับ หรือว่าพระสาวกบางองค์อาพาตแล้วก็พระพุทธเจ้าไปสาธยายให้ฟังและท่านหายป่วย เราก็เลยเอามาเป็นบทสวดมนต์สำหรับหายโรค ให้หายอาพาต คล้ายๆเป็นนิมิต แต่ว่าและจะเป็นโอกาสให้สอนทบทวนธรรมะไปด้วย