แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ไฟล์ถอดเสียงนี้ยังไม่ได้ผ่านพิสูจน์อักษร นำขึ้นมาเพื่อช่วยในการศึกษาค้นคว้าของผู้สนใจ
ขอเจริญพรโยม ญาติมิตร สาธุชนทุกท่าน
ญาติโยมมาวันนี้ ก็ได้มาร่วมทำบุญงานกฐินสามัคคีที่โยมใช้ศัพท์ว่า “กฐินรวมศรัทธา” ซึ่งมีคุณโยมประภาศรี บุณยประสิทธิ์ เป็นประธานคณะเจ้าภาพ มีลูกหลานญาติมิตรก็ร่วมกุศลกัน อันนี้ก็เป็นเรื่องของความสามัคคีเริ่มจากในครอบครัวก็รวมศรัทธากันอย่างที่กล่าว แล้วกว้างออกไปก็ญาติโยมทั้งหลายที่มานั่งกันเฉพาะหน้าเวลานี้ก็มีศรัทธาร่วมกัน ศรัทธาในพระศาสนา ศรัทธาในบุญกุศล แต่ไม่เฉพาะวันนี้หรอกตั้งแต่วันก่อน ๆ มาแล้ว ก็เริ่มมาจัดมาเตรียมกันทั้งพระ ทั้งโยม บรรพชิต คฤหัสถ์ ทั้งศิษย์เก่า ทั้งโยมอุปถัมภ์วัด ก็มาช่วยกันตระเตรียมสถานที่บริเวณต่าง ๆ นี้สำเร็จด้วยเรื่องของความสามัคคีที่มีศรัทธาเป็นศูนย์รวมใจ เราก็เรียกกันว่ากฐินรวมศรัทธาอย่างที่ว่าแล้ว ทีนี้กฐินรวมศรัทธาปีนี้ โยมก็ตั้งใจนอกจากว่าทำบุญทอดกฐินแล้วก็บำเพ็ญธรรมทาน ก็พิมพ์หนังสือธรรมมะแจกด้วย เข้าใจว่าคงแจกแล้ววันนี้ ชื่อ “หนังสืออมฤตพจนา” แต่ความจริงคุณโยมที่บอกไว้นะขอพิมพ์หนังสืออีกเล่มหนึ่ง ชื่อว่า “มลายูสู่แหลมทอง” คือโยมขอพิมพ์หนังสือเล่มโน้นไม่ใช่เล่มนี้เดิมชื่อว่า “มลายูสู่แหลมทอง” ทีนี้หนังสือยังไม่ทันเสร็จ จวนจะเสร็จ ก็มีเหตุให้หยุด แล้วที่หยุดก็เพราะงด เหตุที่งดก็เพราะว่ามันมีเรื่องที่ต้องทำให้กระจ่าง ก็เลยขอโอกาสแถลงให้โยมรู้เข้าใจด้วย เพราะว่าไม่เฉพาะคุณโยมประภาศรีเท่านั้นที่จะพิมพ์ คือคุณโยมประภาศรี บุณยประสิทธิ์ พิมพ์เรื่องมลายูสู่แหลมทอง แล้วก็มาเมื่อ 2-3 วันนี้เองก็กลุ่มขันธ์ห้า โดยคุณประจวบลาภ ส่งบทลอกเทปมาอีกเรื่องหนึ่ง บอกว่าได้ลอกเทปธรรมกถางานกฐินเมื่อปี 2544 “เรื่องโลกกว้างไกล แต่ใจคนแคบลง” แล้วก็จะพิมพ์ในงานกฐินนี้ เพราะว่ารู้สึกว่าเข้ากันดีเป็นเรื่องของความสามัคคี แล้วก็จะขอตั้งชื่อใหม่ บอกว่า “แก้ไขความขัดแย้งด้วยกฐิน” อะไรทำนองนี้ อาตมาก็จำชื่อไม่แม่น ก็มาประจวบเหตุการณ์นี้ก็เลยต้องงดหมด ทั้งของกลุ่มขันธ์ห้าด้วยของคุณโยมด้วย เหตุที่งดนี้ ก็คือว่า อันนี้ต้องฟังโดยทำใจให้ถูกนะ ไม่ให้มีความรู้สึก ไม่ให้มีอารมณ์ เป็นเรื่องของความรู้ ความรู้ 1) รู้กัน 2) รู้ทัน รู้กันหมายความว่ารู้ร่วมกัน คือมีอะไร เหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นก็ได้รู้ร่วมกัน เรื่องของวัด เรื่องของพุทธศาสนิกชน พุทธบริษัทรู้ร่วมกัน แล้วก็รู้ทันก็คือสถานการณ์อะไรต่ออะไรเป็นยังไงก็รู้ไว้จะได้เข้าใจให้ถูกต้อง ก็คือเป็นความรู้ ไม่ให้มีความรู้สึก แล้วเรื่องที่เกิดขึ้นนี้แม้จะเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยดี แต่ว่าก็ต้องตั้งใจเป็นเมตตา ว่าท่านที่ไปทำให้มีเรื่องนั้นก็ได้ทราบว่ามีเจตนาดี ไม่ได้มีเจตนาร้ายหรอก แต่ว่าอาจจะเขียนโดยใช้ภาษาที่ทำให้เกิดความเข้าใจผิดได้
อ้าว เดี๋ยวจะเยิ่นเย้อไปก็ขอชี้แจงแถลงว่า คือเมื่อสักอาจเกือบจะครึ่งเดือนแล้วมั้ง มีหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งลงบทความยกย่องสรรเสริญอาตมาซะมากมาย แล้วไปลงท้ายบอกว่าเทปและหนังสือของท่านเจ้าคุณองค์นี้สั่งได้ที่นั่นๆ อาตมาก็ดูว่า เออถ้าเขียนข้างหน้าก็ไม่เป็นไรนะถ้าไม่ลงท้ายอย่างนี้ พอลงท้ายอย่างนี้โยมบางท่านก็ไม่ถือนะหลายท่านบอกว่าเรื่องเล็กๆน้อยๆก็ไม่รู้สึก ก็มองเป็นดีไป แต่ว่าหลายคนก็มองได้ว่า ท่านนี้มายกย่องตัวเองเพื่อขายเทปขายหนังสือสิท่า วิธีนี้เดี๋ยวนี้เขาเรียกว่าวิธีโปรโมท ทีนี้โปรโมทคนก็เพื่อโปรโมทของ หรือโปรโมทสินค้าอะไรไป ก็จะไม่บริสุทธิ์ก็ถือว่าต้องทำให้กระจ่างแจ้ง ในนั้นยังเขียนด้วยว่าทางวัดได้มอบหมายให้ที่นั่นๆดำเนินการ อันนี้มันก็กลายเป็นว่าวัดนี่มีกิจการในเรื่องจะเรียกว่าขายเทปหรือขายหนังสืออะไรก็แล้วแต่ แล้วก็มีมอบหมายให้ที่นั่นจัดแล้วก็จะมีการได้รายได้จะเอามาแบ่งให้วัดหรืออะไรก็แล้วแต่มันคิดได้สารพัด อันนี้เป็นเรื่องที่ว่า 1) มันไม่ตรงกับความเป็นจริง 2) ทำให้คนเกิดความเข้าใจผิด 3) เสียหายกว้างไกลต่อพระศาสนา เรามีหลักว่า ฐานกำลังของพระนี่อยู่ที่ความบริสุทธิ์ หรือว่าความบริสุทธิ์เนี่ยเป็นฐานกำลังของพระ แล้วความบริสุทธิ์นี่ต้องใสสว่างกระจ่างแจ้ง ตรวจสอบได้ พิสูจน์ได้ จะปล่อยไว้ไม่ได้ เพราะฉะนั้นเรื่องนี้ต้องให้ชัดเจน คือที่นี่ไม่มีการมอบหมายแก่ที่ใด ก็เลยโยมก็จะได้รู้ด้วย ก็เผื่อมีการพูดอะไร ที่นี่ไม่เคยมีการมอบหมายให้ใคร บุคคลใด สถาบัน องค์กรใด ให้ไปทำการในเรื่องเหล่านี้ มีแต่ว่าใครจะขออนุญาตพิมพ์ และจะพิมพ์ขายพิมพ์แจกไม่มีขัดข้องเลย แต่บอกกันตรง ๆ พิมพ์ขายก็บอกพิมพ์ขาย แต่ที่นี่ไม่เกี่ยวล่ะ อนุญาตไปแล้วแล้วกัน เขาจะไปดำเนินการอย่างไร เพราะฉะนั้นบางแห่งเนี่ยยังไม่ทันอนุญาตเลยเขาไปจัดการแล้ว บางแห่งก็ไม่ได้ขออนุญาตด้วยก็ไปพิมพ์ไปอะไรกันไป เราก็ไม่ถือ เพราะที่นี่บอกแล้วว่าไม่มีค่าลิขสิทธิ์ แต่ว่าขออย่างเดียวว่าขอให้บอกให้ชัด ให้มันกระจ่างแจ้งไปเลย ไม่ใช่ไปทำให้เกิดมีความเงื่อนงำ ซ่อนเร้น หรือแอบแฝงอะไร เพราะฉะนั้นเรื่องนี้ก็เลยเป็นเรื่องที่ต้องทำให้ชัด แล้วต่อไปถ้าหากวัดนี้เกิดจะมีการมอบหมายให้ใครทำในเรื่องเหล่านี้ วัดก็ต้องทำตรงๆ คือวัดจะต้องบอกให้ชัดไปเลยว่า เอาแล้วนะวัดจะเอาบ้างแล้ว จะมอบหมายให้คนนั้นให้ทำเพื่อการนี้จะหาเงินหาทองก็ต้องบอกกันตรง ๆ คือที่ไหนเราไม่รังเกียจว่าจะไปหาเงินหาทอง ไปพิมพ์ขายเราไม่รังเกียจเลย แต่ว่าบอกตรง ๆ ให้มันชัดแจ้งไป อันนี้ก็เลยเอามาเล่าให้โยมฟังก็จะได้เข้าใจด้วยและอีกประการหนึ่งก็คือ ที่อาตมาภาพต้องให้มีการงดพิมพ์เนี่ย งดหมดเลยหนังสือระยะนี้จนกว่าเรื่องจะกระจ่าง หนังสือใหม่นะหนังสือเก่าก็พิมพ์ไป ญาติโยมที่ต้องการพิมพ์ธรรมทานก็จะได้ไม่ติดขัด แต่ว่าหนังสือที่จะออกใหม่นี่งดหมดเลย ที่ทำอย่างนี้ก็เพราะประการต่อไป ต้องการให้บุคคลภายในของเราเองเนี่ย มองเห็นตระหนักถึงความสำคัญในหลักการแห่งความบริสุทธิ์นี้ เพราะถ้าคนในของเราไม่ตระหนักถึงความสำคัญของเรื่องนี้แล้ว งานพระศาสนาระยะยาวมันจะยั่งยืนอยู่ไม่ได้ งั้นอาตมาย้ำเรื่องนี้ ที่ย้ำเหมือนกับเป็นจุดกระตุกให้เห็นความสำคัญ เพราะฉะนั้นก็จะเรื่อยเฉื่อยปล่อยผ่านไป เอาเป็นว่าตอนนี้ก็มีวัตถุประสงค์ดังที่กล่าวมา ก็โยมจะได้เข้าใจในเรื่องนี้ ที่จริงมันมีหลายเรื่องเลย พอเราอนุญาตไปนี่มันมีปัญหาจุกๆจิกๆเยอะ ต้องแก้ไขกันไปจนกระทั่งว่า ตอนนี้ต้องว่า เอ๊ะทำไงจะวางระบบระเบียบให้มันแน่นอนชัดเจนลงไปได้ ให้รัดกุมด้วย ก็เรื่องนี้ก็ขอให้ผ่านไป ก็เป็นเรื่องที่ให้โยมได้ทราบอย่างที่บอกเมื่อกี้
8:38 รู้กัน แล้ว รู้ทัน
ย้ำอีกทีว่าเพื่อรู้กันแล้วก็รู้ทัน ทีนี้พอรู้ทัน แล้วก็กลับมาเรื่องกฐิน ใจก็ปลอดโปร่งผ่องใส เพราะเราใช้ความรู้ ถ้าโยมใช้ความรู้สึกแล้วใจไม่ปลอดโปร่ง วันนี้เรางานกฐินเนี่ยงานบุญใจต้องดี ใจต้องเป็นบุญเป็นกุศล มีปีติ ปลาบปลื้ม ร่าเริง ยินดี แจ่มใส จะไปขุ่นมัวเศร้าหมองไม่ได้ ไปได้ยินเรื่องนี้แล้วห้ามโกรธ ห้ามใจขุ่นมัว ทำใจให้สบายด้วยความรู้ พอมีความรู้แล้วทีนี้ก็กลับมาเรื่องบุญของเราต่อ เพราะว่า 9:13 ปัญญาคือความรู้ที่ทำให้ใจผ่องใสได้ แล้วก็แก้ปัญหาได้ด้วย ทีนี้ก็มาที่กฐินที่ว่า กฐินนี้เป็นเรื่องความสามัคคี แล้วเราก็นิยมทอดกฐินแบบสามัคคี แล้วมาวันนี้คุณโยมก็ใช้คำว่ากฐินรวมศรัทธา เมื่อกี้บอกแล้วว่า 9:36 รวมศรัทธาเนี่ยมันลึกลงไป เป็นฐาน เป็นสมุหทัย เป็นเหตุเป็นที่เกิดของสามัคคีด้วยซ้ำ เพราะคนเรานี่พอศรัทธาร่วมกันก็คือ มีความเชื่อร่วมกัน มีศรัทธาเชื่อในพระรัตนตรัยร่วมกัน มีศรัทธาในบุญกุศลในพระศาสนาร่วมกัน 9:47 พอศรัทธาร่วมกันแล้วสามัคคีก็เกิดได้ หรือว่ามีศรัทธา มีความซาบซึ้งในคุณความดีอะไรต่างๆอย่างเดียวกันนี่จิตในมันก็รวมกันเอง เพราะฉะนั้นศรัทธานี่มารวมกันเข้าสามัคคีก็เกิดแน่นอน เพราะฉะนั้นใช้คำว่ารวมศรัทธาก็เท่ากับว่าลงลึกไปถึงเหตุปัจจัยของความสามัคคีนั้นอีกทีหนึ่ง ทีนี้ศรัทธาจะรวมกันได้เป็นเรื่องของจิตใจที่ว่าแล้วก็มีความเชื่อร่วมกัน แต่ว่าถ้าจะให้ดียิ่งกว่าความเชื่อก็คือว่า
10:32 รู้เข้าใจ ศรัทธา สามัคคี
ศรัทธาหรือความเชื่อนั้นเกิดจากปัญญาด้วย เกิดจากความรู้ความเข้าใจ พอเรามีความรู้ความเข้าใจอะไรต่างๆเนี่ย รู้เข้าใจหลักพระศาสนาร่วมกัน รู้ว่าอะไร เรามีอะไรต่ออะไรร่วมกันต่างๆเหล่านี้ ยิ่งจะทำให้ศรัทธานั้นแน่นแฟ้นยิ่งขึ้น แล้วความสามัคคีก็ยิ่งได้ผลมากขึ้น มั่นคงยิ่งขึ้นด้วย สังคมของเราในเวลานี้มีปัญหาเยอะ อันนี้ก็ต้องขอพูดกว้างออกไป เรารวมศรัทธาไม่ได้ในเวลานี้ สังคมไทยไม่มีจุดรวมศรัทธาหรือยังไง มันทำให้ศรัทธาไม่มีที่รวมหรือคนไม่สามารถรวมศรัทธา แล้วสามัคคีก็เลยไม่สามารถจะเกิดขึ้นได้ แล้วทีนี้เขาไปใช้คำว่าสมานฉันท์ สมานฉันท์นั้นก็เรื่องของสามัคคีนั่นแหล่ะ ก็แปลว่ามีฉันทะ มีความพอใจ มีความต้องการ เสมอกัน ตรงกัน พูดง่ายๆก็คือมีความต้องการตรงกันเรียกว่ามีสมานฉันทะ นี่เป็นภาษาบาลี ถ้ายังต้องการไม่ตรงกันสมานฉันท์ก็เกิดไม่ได้ ในเวลานี้มีความต้องการตรงกันหรือยังหล่ะ ถ้ายังไม่ตรงมันก็ยังไม่มีสมานฉันท์ เราต้องการความสามัคคีเราก็จะให้ได้ผลดี นอกจากว่าจะมีความเชื่อมีศรัทธา ศรัทธานั้นจะต้องมั่นด้วย มั่นก็คือต้องมีปัญญา มีความรู้เข้าใจอะไรต่างๆที่จะทำให้มันมีหลักยึดเป็นอันเดียวกันได้ สังคมของเรานี้ ปัญญา ความรู้ ความเข้าใจต่างๆเนี่ย มันไม่ค่อยมีที่จะทำให้เกิดจุดร่วมอันนี้
12:17 รู้ภาษา...จริงหรือ
ก็ขอพูดเป็นเรื่องที่สบายๆ โยมไม่ต้องไปหนักใจ ไม่ถือว่าเป็นเรื่องอะไรล่ะ มันเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้ว และควรที่จะพูดถึง อย่างเรื่องภาคใต้อย่างนี้ รวมศรัทธากันให้ได้ จะได้มีความสามัคคี แล้วก็ต้องมีปัญญารู้เข้าใจ รู้เข้าใจอย่างไร เช่น อาตมายกตัวอย่างง่าย เช่น ภาษายาวี พูดขึ้นมาคนไทยก็ไม่รู้ว่าอะไร บางคนเข้าใจว่าเป็นภาษาอาหรับ นึกว่าภาษาอาหรับเป็นภาษายาวี เปล่า ไม่ใช่ ตัวอักษรอาหรับ ตัวหนังสืออาหรับเป็นยาวี ตัวหนังสือกับภาษามันคนละอย่าง ตัวหนังสืออาหรับนะเป็นยาวีได้ แต่ภาษาอาหรับไม่เป็นยาวี อ้าวพูดให้ลึกลงไป คำว่า “ยาวี” เนี่ยที่จริงมี 2 ความหมาย เขาแยกไว้ 1) ความหมายเดิม ความหมายแต่เดิมมาว่า คือภาษามาเลย์หรือภาษามลายูที่เป็นภาษาพูดไม่ใช่ภาษาเขียน หมายความว่าภาษามลายูหรือภาษามาเลย์ที่ชาวบ้านเขาพูดกันไม่เป็นภาษาเขียน นี้เรียกว่ายาวีนี่เป็นความหมายเดิม เอาล่ะทีนี้ต่อมาเป็นความหมายปัจจุบัน ความหมายปัจจุบัน ยาวีคืออะไร คือภาษามาเลย์หรือภาษามลายูนั่นแหล่ะ ที่เขียนด้วยอักษรอาหรับเรียกว่า ยาวี แล้วภาษามาเลย์หรือภาษามลายูนี่ ปัจจุบันก็มีวิธีเขียน 2 แบบ เขียนด้วยอักษรอาหรับ เรียกว่า ยาวี แล้วเขียนด้วยอักษรโรมันหรืออักษรฝรั่ง เรียกว่า รูมี ฉะนั้นก็มี 2 อย่าง ภาษามาเลย์นี่เขียนเป็น 2 แบบ อย่างที่อินโดนีเซียก็ใช้ภาษาแบบเดียวกันนะ คือภาษามลายูหรือภาษามาเลย์เนี่ย ที่จริงถิ่นเดิมของมลายูนี่ก็อยู่ที่สุมาตรา ปัจจุบันนี้คือถิ่นนี้เรียกว่ารัฐชัมพลีนี่เป็นถิ่นเดิมของมลายู แล้วมลายูก็อพยพมาที่มาเลเซีย เพราะฉะนั้นมลายูก็เลยกว้าง ภาษามาเลย์ก็เลยพูดกันตั้งแต่อินโดนีเซียมาถึงมาเลเซีย แล้วภาษาราชการของอินโดนีเซียก็เรียกว่าบาหษา คำว่าภาษานี้เขาเรียกว่าบาหษาก็คือคำสันสกฤต บาหษาอินโดนีเซีย แล้วภาษามาเลเซียก็เรียกว่า บาหษา มี “หะ” เข้าไปตัวหนึ่ง บาหษามาเลเซีย แต่ว่าทั้ง 2 อย่างนี้ จะตรงกันเป็นส่วนมาก คือตรงกันเยอะ แม้แต่ตัวคำว่าภาษา ก็ใช้ว่าบาหษา อย่างถามชื่อ ท่านชื่ออะไร ทั้งอินโดนีเซียและมาเลเซียเนี่ยตอบเหมือนกัน คือใช้ภาษาเดิมอันเดียวกัน จะตอบว่า นามาสะยะ แล้วก็ต่อด้วยชื่อ ขออภัยไม่ได้เอาล้อ สมมติว่าเรานึกไม่ออก นึกถึงชื่อท่านอดีตประธานาธิบดี ซูการ์โนบุตรี ก็แล้วกัน ก็ นามาสะยะ ซูการ์โนบุตรี ชื่อของฉันว่า ซูการ์โนบุตรี อันนี้ นามา ก็ภาษาสันสกฤต สะยะบาลีสันสกฤตแปลว่าของตัวหรือของฉัน จะเห็นว่าภาษามลายูที่เจริญมาในอินโดนีเซีย มาเลเซียเนี่ย ก็เป็นภาษาบาลีสันสกฤตปนอยู่เยอะ เพราะอะไร เพราะว่าคนมลายูนั้นนับถือพุทธศาสนาอยู่ในอาณาจักรศรีวิชัยประมาณ 800 ปี อันนี้ตำราเขาจะบอกเลยว่า ในภาษามาเลย์เนี่ยมีภาษาสันสกฤตอยู่มากมาย เพราะฉะนั้นภาษายาวีก็คือภาษามาเลย์นี่แหล่ะที่ชาวบ้านพูด หรือเอามาเขียนด้วยอักษรอาหรับ ภาษายาวีก็คือภาษามาเลย์ที่ชาวบ้านพูด ก็จึงเต็มไปด้วยภาษาสันสกฤต อันนี้มีคนพูดบอกว่าคนทางใต้ไม่อยากพูดภาษาไทย บางท่านอ้างบอกว่าเพราะภาษาไทยเนี่ยเป็นภาษามีพุทธศาสนามาจากพุทธศาสนา พูดแล้วจะเป็นบาป เอ๊ะภาษายาวีคือภาษามาเลย์นั่นแหละ เต็มไปด้วยภาษาสันสกฤต เพราะอะไร เพราะบรรพบุรุษเนี่ยนับถือพุทธศาสนาอยู่ประมาณ 800 กว่าปี ฮินดูต่ออีกไม่ใช่พุทธอย่างเดียว เนี่ยถ้ารู้อย่างนี้แล้วมันจะหมดความรังเกียจเลย ใช่มั้ย ปัญญาที่รู้ ความเสมอกัน เหมือนกัน ร่วมกันน่ะ อ้าวก็ร่วมกันแล้วนี่ ภาษาเรา ยาวี มาเลย์ ไทย ก็มีรากฐานมีภาษาสันสกฤตบาลีปนอยู่เยอะแยะ ไม่รู้ใครปนมากกว่าด้วยซ้ำ เด็กๆอาจจะสนุกด้วย คือไม่รู้สึกว่ามันจะเสียหายอะไร เด็กๆก็อาจจะมาทายกันบอกว่าในภาษาไทย ภาษามาเลย์ ภาษายาวีนี่ใครจะมีสันสกฤตมากกว่ากัน ใช่มั้ย อย่างที่ว่า นามาสะยะ ลองไปถามคนใต้สิ ถ้าเขาพูดภาษายาวี เขาก็ต้องนามาสะยะเนี่ย นามาสะยะก็สันสกฤติเต็มที่เลย อ้าวภาษาไทยสะอีก กลับฉันชื่อนั้นชื่อนี้ ไม่เห็นมีเค้าสันสกฤตเลย ใช่ไหม กลายเป็นว่าภาษายาวีนั่นแหล่ะ เอาภาษาสันสกฤตเข้าไปเต็มที่เลย หนักกว่าภาษาไทยเข้าไปอีก ไม่ต้องไปหนีหรอก ตกลงไปหนีทำไมภาษาไทย ใช่มั้ย พูดภาษายาวีนั่นแหล่ะเต็มไปด้วยภาษาสันสกฤต ทีนี้มันควรจะไปศึกษากันว่าในภาษายาวี ภาษามาเลย์ มีภาษาสันสกฤตสักเท่าไร แล้วมันก็เป็นเรื่องสนุกสนาน เป็นเรื่องความรู้ ไม่ได้เป็นเรื่องเสียหาย ไม่มีบาปมีกรรมอะไรทั้งนั้น แล้วคนก็จะสมานสามัคคีนี่แหล่ะด้วยปัญญาที่รู้ รู้ว่าอะไรเรามีร่วมกัน ทีนี้ต่อไปขยายไป รู้ว่าเอ้อ 18:37 เราก็มีบรรพบุรุษที่เหมือนๆกันเสมอกัน เป็นชาวพุทธมาเหมือนกัน ใช้ภาษาสันสกฤตร่วมกัน เยอะแยะไป แล้วเราก็เป็นชาวเซาท์อิสต์เอเชียเหมือนกัน มีจุดร่วมกัน แล้วเราก็เป็นชาวอาเซียเหมือนกัน ขยายออกไป เราก็เป็นชาวโลกเดียวกัน เราก็ร่วมโลกเดียวกัน เออไปๆมาๆเราก็มีความเป็นมนุษย์เหมือนกัน แล้วเรา ไปๆมาๆเราก็อยู่ใต้กฎธรรมชาติเดียวกันก็ร่วมเกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกัน จุดร่วมต่างๆมันเยอะไปหมด นี่แหล่ะปัญญามันทำให้รู้ เมื่อรู้กว้างออกไปมันก็มีแต่รวมกัน มันมีจุดรวมหลายระดับ แล้วจะไปทะเลาะกันทำไม แล้วทำไมจะต้องไปแบ่งแยกกัน ก็สมานสามัคคีเป็นอันเดียวกัน ตัวความรู้มันไม่มีทำให้ไปแบ่งแยกกัน ไปยึดถืออะไรต่ออะไรไม่เข้าเรื่อง เนี่ยปัญญานี้สำคัญปัญญารู้แล้วมันแก้ เพราะมันทำให้รู้จุดร่วมของทุกระดับเลย แล้วเราก็ค่อย ๆ รวมไปจนถึงระดับโลก ระดับของความเป็นมนุษย์ที่เป็นสากล ถึงกฎธรรมชาติมันก็มีแต่ดีทั้งนั้น ก็ธรรมมะนั้นแหล่ะก็คือความจริงของสิ่งทั้งหลายนี่ ฉะนั้นทำไงเราจะแก้ปัญหานี้ได้ เราก็ต้องให้มีเรื่องของปัญญาเข้ามา คนเราจะมีความสามัคคีรวมศรัทธาก็คือมีสมานะศรัทธาหรือสมานศรัทธา พอสมานศรัทธาเราก็จะได้สมานฉันท์ก็พอจะได้แล้วนะ พอศรัทธามันสมานมันรวมกันได้มันก็เริ่มสมานฉันท์ ทีนี้สมานฉันท์จะได้จริงก็ต้องสมานปัญญา พอเรารู้เข้าใจอะไรต่ออะไรที่เป็นเรื่องร่วมกันดีแล้ว มันก็เกิดไมตรีมาร่วมกันได้ พอร่วมกันได้ไปอีกขั้นหนึ่งก็คือ เอาปัญญาที่เรามีมาใช้ร่วมกัน ปัญญามันไม่ร่วมกันนี้มันไม่สมานปัญญาเนี่ยมันก็ใช้ปัญญาในทางที่มาต่อสู้กัน มาทำร้ายกันมันก็ยุ่งยาก แต่ถ้าเราเกิดสมานปัญญาเราแต่ละคนมีปัญญา ปัญญานั้นก็มาใช้ในทางที่สร้างสรรค์ มาสร้างสรรค์ความดี สร้างโลกให้มีสันติสุข ประเทศชาติให้ร่มเย็นเป็นสุข มันก็มีแต่ดีเท่านั้น ฉะนั้นตอนนี้ถ้าเราได้ครบชุดนี้ก็มีสมานศรัทธา แล้วสมานฉันท์ แล้วสมานปัญญา พอสมานปัญญา เอาปัญญามาร่วมกัน ก็สร้างสรรค์ต่างๆ ก็มีแต่ดี ที่จริงคนไทยเราก็มีปัญญา ไม่ว่าคนเหนือ คนกลาง คนใต้ คนไหนหรอก ก็มีปัญญา แต่ตอนนี้ปัญญามันไม่สมาน ปัญญามันแตกแยก แล้วเอามาทำร้ายกัน เพียงแค่คิดมันก็คิดไม่ดีกันเสียแล้ว เพราะฉะนั้นเปลี่ยนใหม่ ต้องเอาปัญญานี่มาใช้ในทางที่สมาน มาใช้รวมกันแล้วก็จะสร้างสรรค์ ประเทศชาติก็จะเข้มแข็ง ประเทศชาติแข็งแรงแล้ว เราก็จะไปช่วยโลกให้มันเข้มแข็งมีสันติสุขเพิ่มขึ้นด้วย แล้วมันก็จะสมชื่อกฐินนะ
21:26 แข็งร้าย แข็งดี แข็งกระด้าง แข็งมั่นคง
โยมเข้าใจความหมายของกฐินอีกอย่างหนึ่งหรือเปล่า ปีก่อนก็เคยพูดไว้แล้ว กฐินเนี่ยความหมายหนึ่งที่ใช้มากในภาษาบาลี แปลว่า แข็ง ทีนี้แข็งนี่มี 2 แบบ แข็งร้ายกับแข็งดี แข็งร้ายก็คือ แข็งกระด้าง เช่น กิริยามารยาทกฐินกิริยามารยาท วาจาก็ได้ บางคนนี้วาจากฐิน ถ้าวาจากฐิน ก็หมายความว่าพูดกระด้าง ถ้อยคำกระด้างไม่น่าฟัง นี่กฐินเหมือนกัน ทีนี้กฐินที่แข็งในทางดีเป็นไง ก็คือแข็งแรงมั่นคง อะไรต่าง ๆ เนี่ย เราต้องการแข็งแรงมั่นคงใช่ไหม เช่น พื้นโบสถ์นี่โยมก็ต้องการให้แข็งแรงมั่นคง ถ้าโบสถ์ไม่แข็งแรงมั่นคงโยมก็นั่งไม่สบายใจ ดังนั้นก็ต้องกฐินเหมือนกัน ทีนี้โยมก็ต้องการกฐินที่ดีก็คือกฐินแข็งแรงในทางที่ดี มั่นคง อันนี้ความสามัคคีนี้มันจะทำให้เกิดความแข็งแรงและความเข้มแข็งในทางที่ดี ความหมายของกฐินที่เราทอดกันในวันนี้ ท่านก็อธิบายไว้ในแง่นี้ด้วย ที่ว่ากฐินนี้ก็คือที่ท่านบอกว่า กถินนฺติ ถิรํ อันนี้พูดเป็นภาษาบาลี กฐินแปลว่าถิระ ถิระแปลว่ามั่นคง ถิระก็เถระ ถาวรนั่นเอง เท่ากับคำว่าถาวร ทีนี้เข้มแข็งมั่นคงด้วยอะไร ด้วยอาศัยที่ว่าสิ่งที่ดีนั้นถูกนำมาอัดรวมเข้าด้วยกัน สิ่งต่างๆนี่ เมื่อเราเอามาอัดเข้าด้วยกันมันก็แข็ง ใช่ไหม ทีนี้อานิสงส์กฐินมี 5 ข้อ โยมก็ไม่จำเป็นต้องรู้หรอก อาตมาพูดเป็นภาษาบาลีก็พอ ก็มี อนามนฺตจาโรโยมฟังเป็นภาษาบาลีไว้อาจจำเป็นมนต์ก็ได้ อสมทานจาโร คณโภชนํ ยาวทตฺถจีวรํ และ โย จ ตตฺถ จีวรุปฺปาโท ว่างั้น 5 ข้อเนี่ย ถึงแปลไป โยมก็ต้องเสียเวลาทำความเข้าใจกันอีกเยอะ ไม่แปลดีกว่า อานิสงส์ 5 ข้อเนี่ย ท่านบอกว่ากฐินนี้ก็คือมาอัด เอาอานิสงส์ 5 ข้อนี้มาประมวลเข้าด้วยกัน อัดในที่เดียวกัน คราวเดียวกัน เป็นกฐิน ก็คือว่า มั่นคง แข็งแรง อะไรต่ออะไรที่มันมีเนื้อดีๆ แล้วใช่มั้ย มาอัดเข้าไปอีกมันก็แน่น มันก็มั่นคง แข็งแรง อันนี้คือความหมายของกฐิน คนเราก็เหมือนกันการมีจิตใจดี มีศรัทธา มีคุณธรรม ความดี มีปัญญาแล้ว เราก็เอามารวมกัน มันก็เป็นพลังที่เข้มแข็ง แล้วก็จะเป็นกฐิน เพราะฉะนั้นโยมมีกฐินสามัคคี เริ่มจากการรวมศรัทธา มีสมานฉันท์ สมานปัญญาแล้วก็ให้ไปถึงกฐินด้วย พอได้กฐินแล้วทีนี้ก็เข้มแข็งมั่นคง แล้วเราก็ทำให้ใจเราก็กฐินในแง่ดีนะ กฐินมั่นคงไม่ใช่กฐินกระด้าง แล้วก็มาทำให้สังคมชุมชนประเทศชาติของเรากฐินในทางที่ดีด้วย เข้มแข็งมั่นคง ถ้าเราขืนแตกความสามัคคีอยู่หล่ะก็ไม่มีทางกฐินแน่ กฐินเนี่ยในแง่หนึ่งก็เป็นนิมิตหมายของความดีงามที่ว่า เป็นเรื่องผลของความสามัคคีที่จะมีความเข้มแข็งมั่นคง เมื่อทอดกฐินแล้วทำไงเราจะมาช่วยให้ประเทศไทยของเรานี้ได้เข้าถึงจุดหมาย คือ ได้อานิสงส์สามัคคีเป็นกฐินซะที
25:48 สมานศรัทธา สมานสามัคคี สมานปัญญา
เอาล่ะโยมวันนี้ก็เลยพูดเรื่องกฐินในความหมายอย่างนี้ ก็เรื่องกฐินนี้ก็พูดได้หลายแง่หลายความหมาย แง่นี้ความหมายนี้บางทีไม่ค่อยได้ยิน แต่ว่าเป็นเรื่องที่ดี เพราะว่าโยมชอบพูดอยู่แล้วเรื่องสามัคคี ก็เอามาโยงกับเรื่องกฐินก็เข้ากันดีเลย แล้วสถานการณ์ก็เหมาะด้วย โยมก็เป็นอันว่าได้ทำบุญด้วยเป็นกฐินที่เริ่มต้นมีการรวมศรัทธามีสามัคคี ก็ขอให้มีอย่างที่ว่าแล้ว สมานศรัทธา สมานฉันท์ แล้วก็สมานปัญญา แล้วก็ทำให้เกิดภาวะที่เป็นกฐิน แข็งแรง เข้มแข็ง มั่นคงยั่งยืนสืบต่อไป อาตมาภาพก็ขออนุโมทนาที่คุณโยมทุกท่านมีน้ำใจเป็นบุญเป็นกุศล จึงได้มารวมศรัทธากัน เดินทางมาทำความสามัคคีทั้งทางกายทางใจ ทางกายก็เป็นกายสามัคคี ก็คือมาประชุมพร้อมเพรียงกัน ทำกิจกรรมด้วยกัน คือทอดกฐินด้วยกันนั่นเอง ทางใจก็มีจิตใจมีน้ำใจเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน และประกอบด้วยคุณธรรมที่ประสานกันดังที่กล่าวแล้ว เขาเรียกว่าสมาน หรือ สมานะ เสมอ เท่าเทียม ตรงกัน ร่วมกัน ก็ขอให้ความสมานร่วมกัน เสมอกันตรงกันเนี่ย เกิดผลยั่งยืนนานสืบต่อไป อันนี้จะเป็นการพิสูจน์ถึงการปฏิบัติธรรมของเราด้วย ว่าเราปฏิบัติธรรมอุตส่าห์พัฒนาชีวิตอะไรต่ออะไรกันมานี้ มันเกิดผลออกมาสู่ชีวิตสังคมที่แท้จริงทำให้เกิดความร่มเย็นเป็นสุขได้หรือเปล่า ก็ขอให้ผลนี้เกิดขึ้นสมดังความมุ่งหมาย ก็จะได้เป็นไปตามพระพุทธโอวาทที่สอนว่า พระพุทธเจ้าและพระอรหันต์สาวกทั้งหลายที่ท่านได้เที่ยว ไม่เห็นแก่เหน็ดเหนื่อยจาริกไป บำเพ็ญศาสนกิจเผยแผ่พระธรรมคำสอนนั้นก็เพื่อ พหุชนหิตาย พหุชนสุขาย โลกานุกมฺปาย เพื่อประโยชน์สุขของพหูชน เพื่อเห็นแก่ประโยชน์สุขของชาวโลกนั่นเอง ก็ขอให้ทุกท่านได้มีน้ำใจ สดชื่น เบิกบาน ร่าเริง แจ่มใส พร้อมด้วยความอ่อนโยนมีน้ำใจดังที่กล่าวมา ก็ขอให้รำลึกถึงบุญกุศลที่ได้บำเพ็ญแล้ว มีน้ำใจประกอบด้วยปีติและความสุข คือความปลาบปลื้มและความชื่นฉ่ำน้ำใจนั้น ก็ขออาราธนาคุณพระรัตนตรัย อวยชัยให้พร
ระตะนัตตะยานุภาเวนะ ระตะนัตตะยะเตชะสา ด้วยเดชานุภาพคุณพระรัตนตรัย พร้อมทั้งบุญกุศลที่ได้บำเพ็ญแล้ว จงเป็นปัจจัยนำมาซึ่ง อายุ วรรณะ สุขะ พละ แก่โยมญาติมิตร ตั้งแต่คุณโยมผู้เป็นประธานในการทอดกฐินครั้งนี้ คือ คุณโยมประภาศรี บุณยประสิทธิ์ และลูกหลานญาติมิตรทั้งหลาย และประชาชนโดยทั่วกัน ให้อานิสงส์นี้ขยายไปถึงประชาชนร่วมชาติ ร่วมประเทศ ร่วมโลก จะได้มีสันติสุข ตลอดกาลยั่งยืนนาน ก็ขอให้ทุกท่านเจริญงอกงามในพระธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทุกเมื่อเทอญ...สาธุ