แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ไฟล์ถอดเสียงนี้ยังไม่ได้ผ่านพิสูจน์อักษร นำขึ้นมาเพื่อช่วยในการศึกษาค้นคว้าของผู้สนใจ
เรื่องของการเรียนรู้ก็หมายถึงศึกษา และก็หมายถึงการที่จะได้เจริญงอกงาม หรือพัฒนาชีวิตหรือว่าจะเกิดสติปัญญา อันนี้มันก็เริ่มมาตั้งแต่เกิดเลย นี่เราไม่ต้องพูดกันถึงเรื่องของชีวิตที่ยาวนาน ไม่ต้องสืบไปกระทั่งถึง ชาติก่อน ชาตินี้ ชาติหน้า เอาแค่ ชาติปัจจุบันนี้ เป็นการพิจารณาความเป็นจริงง่ายๆ
เริ่มตั้งแต่มนุษย์เกิดมานั้น พอเราเกิดมาก็ต้องดำเนินชีวิต ที่เรียกว่าอยู่รอด อยู่รอดและก็ต้องอยู่ให้ดี นี่ชีวิตแค่อยู่รอดมันก็ต้องมีวิธีการ หรือวิธีที่จะทำให้เป็นอยู่ได้ มนุษย์ก็จะเป็นอยู่อย่างไร พอมนุษย์เกิดมามีแต่ตัวมา พอมีแต่ตัวมาแล้วก็ยังไม่รู้เรื่องอะไรเลย เกิดมาก็ออกมาอยู่ท่ามกลางโลกนี้ ลืมตามอง เห็นอะไร เห็นอะไรก็ยังไม่ค่อยชัดด้วย และก็ไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร
ก็อย่างที่ว่าแหล่ะ มนุษย์ก็ต้องอาศัยผู้เลี้ยงดู ทีนี้เราตัดเรื่องผู้เลี้ยงดูที่พูดไปแล้วว่า เป็นอันว่าผู้ช่วย หรือ พ่อแม่ช่วยเลี้ยงดูไว้ แล้วในระหว่างนี้ก็เรียนรู้ไป จนกระทั่งว่าฝึกตัวเองแล้วก็เป็นอยู่ได้
ทีนี้เรามาดู เรื่องของการเรียนรู้ของมนุษย์เนี่ย เมื่อมนุษย์เกิดมายังไม่รู้จักอะไร การไม่รู้นี่ก็มีผลก็คือว่า ก็เมื่อไม่รู้อะไรก็ทำอะไรไม่ถูก เมื่อไม่รู้อะไรเป็นอะไร มันมีความสัมพันธ์กับตัวเองอย่างไร เป็นคุณเป็นโทษอย่างไร มันติดขัดไปหมด มันไม่รู้จะปฏิบัติต่อสิ่งเหล่านั้นอย่างไร
การที่จะมีชีวิตอยู่ได้ เป็นอยู่รอด ก็ต้องเอาชีวิตของตัวเนี่ยดำเนินไปในท่ามกลางสิ่งแวดล้อม มนุษย์เกิดมาก็มาอยู่ท่ามกลางสิ่งแวดล้อมรอบตัวไปหมด ในการที่ดำเนินชีวิตก็คือว่า แล้วชีวิตของเราจะเป็นอยู่ไปได้อย่างไรท่ามกลางสิ่งแวดล้อมนั้น
เอาล่ะทีนี้สิ่งแวดล้อมนั้นตัวไม่รู้จักเลย เมื่อไม่รู้จักก็จะเกิดความติดขัดไปหมด บีบคั้น ขัดข้อง เราก็เรียกเป็นภาษาไทยว่า ปัญหา ก็เกิดปัญหา ที่จริงปัญหาเป็นศัพท์สมัยหลัง คำว่าปัญหาเดิมในภาษาพระท่านก็แปลว่าคำถาม ที่จริงภาวะที่เกิดขึ้นนั้นก็คือความติดขัด บีบคั้น ขัดข้อง เพราะไม่รู้จะทำอย่างไร ภาวะนี้ที่จริงเรียกว่าทุกข์ เพราะฉะนั้นตัวศัพท์ที่แท้นี้มันทุกข์ สมัยนี้มาเรียกว่าเป็นปัญหา ก็ว่าในแง่หนึ่งก็ทำให้เกิดความสับสนเหมือนกัน ทำให้คนไม่ค่อยเข้าใจความหมายของคำว่าทุกข์
ชีวิตเกิดมาเนี่ย พอเกิดมาปั๊บ มาอยู่ท่ามกลางโลกสิ่งแวดล้อมรอบตัว ก็เริ่มติดขัดทีเดียวว่า แล้วเราจะเป็นอยู่ได้อย่างไร เพราะว่าเป็นอยู่ได้ต้องรู้จักสิ่งต่างๆ ว่าจะดำเนินชีวิตไปได้ต้องรู้จัก รู้ว่าเป็นอะไร รู้ว่าจะปฏิบัติต่อสิ่งเหล่านั้นได้อย่างไร เพราะฉะนั้น เมื่อไม่รู้ก็ไม่รู้ว่าจะทำตัวอย่างไร ปฏิบัติอย่างไร สัมพันธ์กับสิ่งเหล่านั้นอย่างไร ก็ติดขัดคับข้อง เกิดความทุกข์
ตอนนี้ก็เท่ากับว่า หนึ่ง มีความไม่รู้ เกิดมามีความไม่รู้ ก็มีสิ่งที่พระเรียกว่า อวิชชา สอง เมื่อไม่รู้ มันก็ทำอะไรไม่ถูก สัมพันธ์อะไรกันไม่ถูกทั้งนั้น ก็เกิดความติดขัด บีบคั้น ขัดข้องกับตัวเอง ภาวะนี้เรียกว่าทุกข์ ตกลงว่ามีอวิชชา มาก็มีทุกข์ ใช่ไหม อวิชชากับทุกข์
ทีนี้ ทำอย่างไรถึงจะดำเนินชีวิตไปได้ มนุษย์เกิดมามีแต่ตัวก็จริง แต่ตัวก็มีอะไรติดมาด้วย ไม่ได้มีมาเปล่าๆ ตัวมีเครื่องมือที่จะเอามาติดต่อกับสิ่งแวดล้อมนั่นเอง เครื่องมือติดต่อกับสิ่งแวดล้อมก็เริ่มที่ นี่แหล่ะที่จะทำอย่างไรจะรู้ เพราะไม่รู้ก็ติดขัด ก็ต้องหาทางรู้ สิ่งที่จะช่วยให้ให้รู้ก็ติดตัวมาแล้ว เครื่องมือนี้ก็คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และก็เข้าไปลึกในตัวก็คือ ใจ ที่จะประมวล ที่จะมาปรุง มาจัดสรร สิ่งที่รู้เข้ามา
ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นี้ ทางพระเรียกว่า อายตนะ อายตนะก็แปลว่าแดน แดนติดต่อนั่นเอง ตาของเราก็เป็นแดนสำหรับติดต่อกับโลก หูของเราก็เป็นแดนสำหรับติดต่อกับโลก ก็คือมีเครื่องมือสื่อสาร พูดสมัยใหม่ ตกลงว่าเรามีเครื่องมือสื่อสารกับโลกติดตัวมา นี่ล่ะ ตัวที่มาไม่ได้มาเปล่าๆ มีเครื่องมือสื่อสารกับโลกติดมาด้วย ตรงนี้ที่สำคัญที่จะเป็นตัวไขปัญหา ที่จะมาแก้ทุกข์ เพื่อจะให้ดำเนินชีวิตไปได้ เรียกอีกอย่างหนึ่งว่าอินทรีย์ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
อินทรีย์ ก็เป็นอวัยวะ ที่ทำหน้าที่ หรือเป็นเจ้าหน้าที่นั่นเอง อินทรีย์แปลว่าเจ้าหน้าที่ หรือ เจ้าการ ก็มีเจ้าหน้าที่ทำหน้าที่ติดต่อโลกมา 6 ตัว มีตาเป็นเจ้าหน้าที่ติดต่อในแง่ของการเห็น หูเป็นเจ้าหน้าที่ในการฟัง ได้ยิน เป็นต้น
ก็มีอายตนะ เครื่องมือสื่อสารหรืออินทรีย์ เจ้าหน้าที่ติดต่อโลกมา 6 อย่าง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
เจ้า ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นั้นจะทำให้เราได้ความรู้เกี่ยวกับโลก เมื่อเรารู้แล้วเราก็จะปฏิบัติต่อสิ่งนั้นได้ เราก็ดำเนินชีวิตไปได้ แต่ก็ยังมีปัญหาอีกหน่อยว่า ตอนเมื่อมาใหม่ๆ ทันทีที่รู้ๆนี่มันไม่พอนะ มันรู้เห็นทันทีมันก็ยังไม่รู้ขึ้นมาทันทีว่าคืออะไร เป็นอย่างไร และมันมีคุณมีโทษอย่างไร มันต้องใช้เวลาเหมือนกัน ดูไปว่าอันนี้สีเขียว อันนี้เป็นอะไร แค่นี้ก็ต้องใช้เวลาแล้วนะ
เพราะฉะนั้นการรู้นี้ไม่ใช่ได้ปุ๊บปั๊บทันที ต้องเป็นรู้ด้วยการเรียนรู้ ต้องเรียนรู้มัน ทีนี้การที่จะเป็นอยู่รอดนี่มันรอไม่ได้ มารอที่จะให้รู้เลยว่าเป็นอย่างไร มีคุณมีโทษอย่างไร จะปฏิบัติอย่างไร ทำอย่างไรล่ะทีนี้ เจ้า ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นี่มันก็ไม่ใช่รู้อย่างเดียว มันไม่ใช่ว่า ตา ดูแล้วก็รู้เขียว รู้แดง รู้เหลือง รู้กลม รู้แบน รู้เหลี่ยม เท่านั้น มันมีอีกอย่างคือรู้สึกด้วย ตอนนี้ล่ะที่สำคัญมาก
ตอนรู้นี้ต้องเรียนใช้เวลาพอสมควร แต่ว่าถ้าได้เรียนรู้แล้วก็จะค่อนข้างแน่นอน คือว่าเราจะปฏิบัติต่อมันอย่างไร ที่จริงต้องอาศัยความรู้ล่ะ แต่บางทีก็รู้น้อยก็รู้ผิดก็มี และก็อาจจะปฏิบัติไม่ถูก แต่ว่าในที่สุด ก็จำเป็นต้องอาศัยรู้ ยิ่งต้องรู้จนกระทั่งรู้จริง แต่ว่าทั้งหมดในการรู้เนี่ยต้องอาศัยเวลา
ทีนี้ทำไง ในอีกด้านหนึ่งก็ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ก็ทำหน้าที่รู้สึกด้วย พอเห็น ได้ยินต่างๆ ก็มีความรู้สึก สบายไม่สบายนี้มีผลต่อตัวเองทันทีเลย พอเห็นสบายตาก็เรียกว่าถูกตา ได้ยินเสียงสบายหูก็ถูกหู ถ้าอันไหนได้ยินได้เห็นแล้วไม่สบายตาไม่สบายหู มันไม่ถูกกันมันก็รู้สึกในทางขัดแย้ง ตัวเองก็จะมีความโน้มเอียงติดมาเลยว่า ถ้ารู้สึกไม่สบายก็จะเกิดความขัดแย้ง แล้วก็ไม่ชอบใจ จะเกิดปฏิกิริยาไม่ชอบใจ เมื่อไม่ชอบใจก็ไม่เอา ต้องหนี หรือถ้าหากว่า จะจัดการกับมัน ก็อาจจะทำลายมัน ถ้ารู้สึกว่าสบายก็อยากได้อยากเอา
ด้านความรู้สึกนี่ไว เกิดทันที ไม่เหมือนด้านรู้นี่ต้องเรียนกัน ใช้เวลา ด้านรู้สึกนี่ทันที ดังนั้นด้านรู้สึกก็เลยมามีอิทธิพลเป็นตัวชักนำการดำเนินชีวิตก่อน การดำเนินชีวิตนั่นหมายความว่า จะมีปฏิกิริยาต่อสิ่งนั้นๆอย่างไร จะเอาหรือไม่เอา ก็เลยมาขึ้นกับความรู้สึกนี้ เอาความรู้สึกเป็นตัวกำหนดก่อน พอเห็นสบายตา ถูกตา เอา ชอบใจ มีปฏิกิริยาชอบใจ เอาเลย เข้าไปหา ไปเอามาหรือไปอยู่ด้วยกัน
แต่ถ้าเห็นแล้วไม่สบายตา ได้ยินแล้วไม่สบายหู อย่างได้ยินเสียงฟ้า ครึ่ม ตกใจ ก็ไม่เอาแล้ว หนีเลย แต่ถ้าได้ยินเสียงเพราะๆก็จะเข้าไปหา นี่เอาตามความรู้สึก
ก็เลยกลายเป็นว่า ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นี้มันก็ทำหน้าที่สองด้าน เหมือนกับทางแยกสองทาง ด้านรู้นี่เป็นตัวสำคัญจะทำให้เราดำเนินชีวิตได้ดี เป็นของจริงของแท้ แต่ว่ามันไม่ค่อยได้มาง่ายๆ ด้านรู้สึกนี่มันทันที มันมีปฏิกิริยาออกมาในใจตัวเอง ตัดสินใจได้ทันที เพราะฉะนั้นคนก็เลยอยู่ใต้อิทธิพลของความรู้สึกซะมาก
ความรู้สึกอย่างที่บอกรวมแล้วก็มี 3 อย่าง คือ 1 รู้สึกสบาย ทางพระก็เรียกง่ายๆว่าเป็นสุข ไม่สบายก็เรียกว่าเป็นทุกข์ หรือถ้าไม่งั้นก็เฉยๆ จะว่าสุขก็ไม่ใช่ จะว่าทุกข์ก็ไม่ใช่ แต่ทางพระท่านบอกว่าที่ไม่สุขไม่ทุกข์ เฉยๆ อันที่จริงเป็นสุขอ่อนๆ คือ เพลินๆ
ทีนี้เอากันง่ายๆนั้นมีอยู่ 3 อย่าง เรียกว่า เวทนา เวทนาเป็นความรู้สึก สุข ทุกข์ และเฉยๆ เฉยๆถ้าเรียกเต็มเรียกว่า อทุกขมสุข บางทีก็เรียกว่า อุเบกขา ก็มี สุข ทุกข์ อุเบกขา
นี่พอรับรู้ปั๊บ มีความรู้สึก เวลาสุขปฏิกิริยาก็คือชอบใจ รู้สึกทุกข์ก็ไม่ชอบใจ อุเบกขาก็เพลินๆ ปฏิกิริยาชอบใจและไม่ชอบใจนั้นทางพระท่านเรียกว่า ตัณหา ต่อจากเวทนา ความรู้สึก ก็ตามด้วย ตัณหา เป็นเรื่องชอบใจ ไม่ชอบใจ ถ้าพระพูดภาษาเก่าๆ คนโบราณเค้าแปลคำพระ ชอบใจไม่ชอบใจ หรือ ชอบกับชัง เค้าแปลว่า ยินดียินร้าย
เพราะฉะนั้นคนเรานั้น พื้นของมนุษย์ที่เราเรียกปุถุชน คนที่ยังไม่มีการศึกษา ไม่ได้พัฒนา ไม่ได้เรียนรู้ ก็จะอยู่กับความรู้สึก และปฏิกิริยาต่อความรู้สึกนั้น มีเวทนาเป็นสุขก็เกิดความชอบใจ ถ้ามีเวทนาเป็นทุกข์ก็ไม่ชอบใจ
ความชอบใจหรือไม่ชอบใจจะเป็นตัวกำหนดว่าจะเอาหรือไม่เอาอย่างที่ว่า ถ้าชอบใจตกลงว่าจะเอาก็จะคิด เริ่มจากความคิดว่าทำอย่างไรจะได้สิ่งนี้ แล้วเมื่อทำอย่างไรจะได้ก็ลงมือทำ ก็เคลื่อนไหวไปหาทางให้ได้มา ต่อมาถ้าเกิดคนอื่นก็อยากจะได้ ก็แย่งชิงกัน ก็มีเป็นเรื่องเรื่อยๆมา ก็คือหมายความว่าการดำเนินชีวิต การเป็นอยู่อะไรต่ออะไรก็เป็นไปตามกระแสของความรู้สึก แล้วก็เป็นไปตามกระแส ชอบใจหรือไม่ชอบใจ ที่เรียกว่าตัณหา
ก็หมายความว่า ตัณหาเป็นตัวครอบงำชีวิต ตัณหาก็ดำเนินไปโดยไม่ต้องมีความรู้อะไร เพราะฉะนั้นมันก็จะเข้าชุดกันก็คือว่า ยังมีอวิชชาอยู่ ตัณหาก็ต้องเข้ามาทำหน้าที่ เมื่อยังไม่มีความรู้ก็อาศัยตัณหาไปก่อน อาศัยด้านปฏิกิริยาต่อความรู้สึก ชอบใจไม่ชอบใจ เป็นตัวกำหนดว่าเราจะเอาอย่างไร จะดำเนินชีวิตไป เพราะฉะนั้น ชีวิตพื้นฐานของมนุษย์ปุถุชนก็ดำเนินไปตามตัณหา คือชอบใจไม่ชอบใจ ซึ่งเป็นไปตามความรู้สึกคือเวทนา
เมื่อมันเป็นไปตามความรู้สึก มันไม่เป็นไปด้วยความรู้ มันไม่แน่นอนว่าสิ่งนั้นมันจะดีหรือไม่ จะเกิดประโยชน์กับชีวิตหรือไม่ เอาแน่ไม่ได้ แต่ว่าก็จะทำอย่างไรได้ ตอนแรกมันไม่รู้นี่ เมื่อยังไม่รู้ก็ต้องอาศัยตัณหาไปก่อน ทำให้ชีวิตอยู่ได้
ดังนั้นชีวิตมนุษย์ปุถุชน เมื่อมองในแง่หนึ่งก็เท่ากับว่า เมื่อยังไม่รู้ ก็ต้องอาศัยตัณหาช่วยไว้ก่อน เพราะฉะนั้น กิเลสตัณหา ตัณหาก็มากับกิเลสอื่นๆเยอะแยะไปหมด เพราะว่า มันอาศัยพื้นคือความไม่รู้ แล้วก็ใช้ความชอบใจไม่ชอบใจเป็นหลัก ชอบใจไม่ชอบใจ บางทีบางอย่างไม่รู้จะเป็นอย่างไรก็กลัว เมื่อมีสิ่งที่ไม่รู้ก็กลัว หวาดหวั่น มันจะดีหรือมันจะร้ายก็ไม่รู้อะไรต่างๆ ในด้านที่ว่า ที่ด้านถ้าชอบใจมันก็ไม่เป็นไร ถ้าเกิดไม่ชอบใจมันร้าย เราแย่ ใช่ไหม
เพราะฉะนั้นเจ้าความกลัวมากับความไม่รู้ ความกลัวจะครอบงำจิตใจ กลัวว่าจะเป็นอย่างไร กลัวว่าจะเกิดโทษ เกิดผลร้ายกับชีวิต มันจะเป็นอันตรายต่างๆ
ทีนี้ความชอบใจไม่ชอบใจและก็ความกลัวนี้จะเข้ามาครอบงำชีวิตของปุถุชนมาก ปุถุชนอย่างที่ว่าผู้ไม่รู้ก็อยู่ด้วยกิเลส เพราะฉะนั้น ??? ชอบใจก็เอานะ ดิ้นรนไปเอามัน ไม่ชอบใจก็หนี หรือทำลายมันซะ ถ้าไม่รู้ก็กลัว
ไอ้ความกลัวนี้ก็ช่วยชีวิตมนุษย์เยอะ เพราะกลัวอย่างนั้นอย่างนี้ เพราะไม่รู้ก็ทำให้ต้องระวัง เมื่อไม่รู้ว่าเป็นอย่างไรก็ไม่ยอมเข้าหา เพราะถ้าหากเข้าไปปั๊บก็อาจเกิดอันตรายต่อชีวิตได้
ความกลัวก็ช่วยชีวิตมนุษย์ปุถุชน เพราะฉะนั้นชีวิตมนุษย์ปุถุชนนี่ เจ้าพวกตัณหาซึ่งเป็นกิเลส เจ้าพวกความกลัวนั้นช่วยชีวิตพวกเขาไว้เมื่อเรายังไม่รู้ นี่คือชีวิตปุถุชน แต่เป็นอันว่าด้านนี้ไม่ใช่ของแท้จริง ไม่ปลอดภัย เพราะว่าของชอบใจเป็นโทษก็มี ของไม่ชอบใจเป็นคุณก็มี ใช่ไหม ยกตัวอย่างได้ไหมว่าอะไรที่ชอบใจแล้วไม่แน่ บางทีชอบใจแล้วเป็นโทษกับชีวิตของตัวเอง
ผู้ฟัง – สมัยเด็กๆอยากที่จะเรียนหนังสือ ชอบใจที่จะเรียนหนังสือ ที่จริงก็เป็นประโยชน์ แต่เด็กๆไม่ชอบเรียนหนังสือ
ท่าน ป. – อ๋อ ไม่ชอบแต่เป็นประโยชน์ แล้วอันที่ชอบแล้วเป็นโทษก็มี?
ผู้ฟัง – เด็กๆชอบดูโทรทัศน์
ท่าน ป. – เรื่องเด็กๆดูโทรทัศน์ แหมเรื่องซับซ้อนของอารยะธรรม เอาเรื่องพื้นๆหน่อยสิ
ผู้ฟัง – เรื่องอาหาร เช่น หลวงตาชอบฉันท์ข้าวขาหมู
ท่าน ป. – อ๋อ ฉันท์อาหารมันแต่เป็นโทษก็มี
ผู้ฟัง – เพราะหลวงตาคอเลสเตอรอลสูง
หลวงตา – อย่าไปมองแต่โทษอย่างเดียว ต้องแยกให้ออก ประโยชน์ก็มี ไข ข้อ มัน เป็นน้ำมันหล่อลื่น
ท่าน ป. – ต้องฉันท์ด้วยความรู้สิ ว่าเราต้องการมันเพื่ออะไร และเราต้องการแค่ไหน ถ้าชอบเฉยๆ ไม่แน่นอน ไม่ปลอดภัย อย่างไรก็ตาม โดนหลอกได้ง่าย ถ้าคนที่จะเอาแต่ชอบใจไม่ชอบใจ ใช่ไหม ได้ความรู้สึกสบาย ชอบใจ โดนหลอกง่าย ใช่ไหม เพราะมันไม่ประกอบด้วยปัญญา มันไม่รู้ เพราะฉะนั้นรวมแล้วก็คือเสี่ยง
เมื่อมนุษย์อยู่ด้วยตัณหา เอาความชอบใจไม่ชอบใจเข้าว่า ก็มีความเสี่ยงในการดำเนินชีวิต ไปเจออันที่ชอบใจแล้วเป็นคุณก็ดีไป ถ้าเจอที่ชอบใจแล้วเป็นโทษก็แย่ไปเลย แล้วบางทีไอ้ที่ชอบใจแล้วเป็นโทษแล้วเสียไปทั้งชีวิตก็มี หรืออาจตายไปเลยก็ได้ ใช่ไหม
เพราะฉะนั้นทำอย่างไรล่ะ มนุษย์ถึงจะมีชีวิตได้ดี ตกลงว่า ถ้าเอาด้านชอบใจไม่ชอบใจนี่ไม่ปลอดภัย ก็รวมไปถึงเรื่องกลัวด้วย แน่นอนไอ้กลัวนี่ก็ไม่รู้ ตกลงทั้งชอบใจไม่ชอบใจและกลัวนี้มันตั้งอยู่บนฐานของอวิชชา ความไม่รู้ อวิชชาก็เป็นตัวเอื้อ
เอาล่ะทีนี้ทำอย่างไร จะมีชีวิตได้ดีตกลงว่าต้องใช้ด้านรู้ เราก็มี ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มา เมื่อกี้นี้ใช้ในด้านความรู้สึก ก็ไปทางกระแสตัณหา เราก็ได้ด้านอวิชชา ตัณหาแล้วก็ปนเปอยู่กับทุกข์ ที่ว่าเมื่อกี้ อวิชชากับทุกข์คู่กัน ทีนี้ตัณหาก็มาช่วยไว้ ตัณหาก็อาศัยอวิชชานี่แหล่ะมาด้วยกัน พวกเดียวกัน เพราะว่าไม่ต้องมีความรู้ก็ไปตามความรู้สึก ก็เลยไม่สามารถพ้นจากทุกข์ได้ อวิชชา ตัณหา ก็อยู่ในกระแสของทุกข์ ทีนี้จะต้องใช้ด้านรู้ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ และก็มีนี่ นอกจากด้านความรู้สึก แล้วด้านรู้
เอาล่ะ ทีนี้ ก็จะได้ใช้ด้านรู้ซะบ้าง ด้านรู้ก็เรียนรู้แล้ว พอเรียนรู้ก็ อ้อ นี่สีเขียว สีแดง รูปร่างกลม แบน เรียนรู้ว่าเป็นต้นไม้นะ ต้นไม้ชนิดนี้มันมีคุณหรือมีโทษ มีผลกินได้หรือกินไม่ได้อะไรเป็นต้น
การเรียนรู้นั้นทำให้เราปลอดภัย พอรู้แล้วปฏิบัติได้ถูกต้อง เพราะฉะนั้น การที่จะมีชีวิตอยู่ได้ดีอย่างแท้จริงต้องอาศัยความรู้ เพียงแต่เรารู้ว่ามันคืออะไร มันเป็นคุณเป็นโทษ เราปฏิบัติต่อมันถูกต้อง เราก็พ้นจากความติดขัด บีบคั้น ขัดข้อง ก็พ้นจากทุกข์นั่นเอง
หรือเมื่อเรามีความรู้อันนี้ เราปฏิบัติต่อสิ่งนั้นถูกต้อง ไอ้ตัวทุกข์ที่เราเรียกว่าปัญหามันก็ไม่เกิด ก็คือ ไม่ติดขัด บีบคั้นตัวเรา ก็ดำเนินชีวิตไปด้วยดี เพราะฉะนั้นเราต้องการด้านตรงข้ามกับไม่รู้ ก็คือต้องการรู้ อะไรคือสิ่งที่ตรงข้ามกับไม่รู้ เมื่อไม่รู้เรียกว่าอวิชชา รู้ก็ต้องเรียกว่าวิชชา แสดงว่าเราต้องการวิชชา ทีนี้วิชชาก็จะทำให้เราพ้นไปจากทุกข์ได้
พ้นไปจากทุกข์นี้ ตัวตรงข้ามกับทุกข์เรียกว่าวิมุตติ แปลว่าหลุดพ้น พอรู้ก็ทำให้หลุดพ้นจากความทุกข์ ก็เป็นอันว่า อีกสายหนึ่งก็มาวิชชาแล้วก็วิมุตติ วิชชา รู้ วิมุตติก็หลุดพ้นทุกข์ แม้แต่ว่าทุกข์นั้นไม่เกิดด้วยซ้ำไป สองสายแล้วนะ วิชชา วิมุตติ
ทีนี้ถ้าสงวนคำว่าวิชชาไว้ว่า วิชชา นี้หมายถึงรู้แจ่มแจ้ง รู้จริง มนุษย์กว่าจะเรียนรู้ไปถึงรู้จริงๆรู้แจ้งเลยนั้นไม่ใช่ง่ายๆ ก็เลยว่าท่านก็สงวนคำว่าวิชชาไว้สำหรับความรู้แจ้งไปเลย ทีนี้รู้ในระหว่างนี้เล็กๆน้อยๆเพิ่มเติมไปเรื่อยๆ ท่านว่าให้ศัพท์ที่กว้างๆมาคำหนึ่งว่า ปัญญา
ปัญญาเป็นความรู้ ใช้ทั่วๆไปเลย ในระหว่างที่ยังไม่ถึงวิชชาความรู้แจ้ง ก็เป็นปัญญาไปเรื่อยๆ ก็เป็นอันว่าโดยทั่วไป ระดับทั่วไปเราต้องการปัญญา เมื่อมีปัญญาก็จะทำให้ตัวความบีบคั้น ติดขัด คับข้อง นั้น เบาลงไป เบาลงไป เพราะฉะนั้นทุกข์ก็เบาบางลง เมื่อเป็นวิชชา ปัญญานั้นเป็นวิชชาเต็มที่ก็จะเป็นวิมุตติโดยสมบูรณ์ ตอนนี้ก็เท่ากับปัญญามาทำให้หลุดพ้นจากทุกข์ น้อยไปเรื่อยๆ บรรเทาเบาบางลงไป
ก็สรุปในตอนนี้ว่า เราเกิดมาในโลก อยู่ในสภาพแวดล้อม จะต้องดำเนินชีวิตไป แต่เรามาแต่ตัว การที่จะดำเนินชีวิตไปได้จะต้องปฏิบัติต่อสิ่งแวดล้อมได้ถูกต้อง ตัวเองยังไม่มีความรู้ แต่ก็มีเครื่องมือที่จะติดต่อกับโลกที่จะเรียนรู้ติดมาที่เรียกว่า ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ที่เรียกว่าอายตนะ หรืออินทรีย์
แต่ทีนี้ การเรียนรู้นั้นต้องอาศัยกาลเวลา ก็เลยอีกด้านหนึ่งก็คือว่า ด้านความรู้สึกก็เข้ามามีบทบาทชักนำชีวิต โดยที่ว่ามีปฏิกิริยาต่อสิ่งที่ได้พบในสิ่งแวดล้อมต่างๆนั้น ในแบบชอบใจไม่ชอบใจ ตามความรู้สึก แล้วก็ดำเนินชีวิตไปตามความชอบใจไม่ชอบใจนั้น สายนี้เรียกว่าอวิชชา ตัณหา แล้วก็ไม่พ้นจากทุกข์
อีกทางหนึ่ง ใช้ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นั้นในแง่ของการรู้ ได้แก่เรียนรู้ เมื่อเรียนรู้แล้วรู้เข้าใจจริง ก็จะปฏิบัติต่อสิ่งเหล่านั้นได้ถูกต้อง ดำเนินชีวิตไปได้ด้วยดี ก็เรียกสายนี้ว่า วิชชา วิมุตติ ก็คือว่ามีวิชชา รู้แจ้งความจริงแล้ว วิมุตติก็หลุดพ้นจากทุกข์ ไม่มีทุกข์ แต่ว่าสงวนวิชชาไว้สำหรับความรู้ขั้นสูงสุด ในระหว่างนี้ก็เรียกว่าปัญญา
ก็เป็นอันว่าตอนนี้ได้หลักทั่วไป ก็คิดว่าจบเท่านี้ก่อนแล้วค่อยมาขยายความให้ละเอียดต่อไป มีอะไรสงสัยไหม
ถาม- พระเดชพระคุณครับ ไม่ทราบว่าในเรื่องระหว่างที่รู้ จะมีเรื่องของการปรุงแต่งด้วยใช่ไหมครับ ???
ท่าน ป.- อันนี้ล่ะ พอจากไม่รู้มามันก็ พอครึ่งรู้ครึ่งไม่รู้มัน ก็จะต้องมีการว่า มันเป็นอย่างไรกันแน่ ก็จะเกิดมีภาวะที่เรียกว่าการปรุงแต่งขึ้นมา ตอนนั้นก็เป็นเรื่องที่ว่ารายละเอียดลงไป อันนี้เราเอาหลักการทั่วไปก่อน
ถาม- ถ้าอย่างนั้นสังขารมันจะมีสองช่วงใช่ไหมครับ ???ระหว่างช่วง ??? และระหว่างที่เวทนาไปเป็นตัณหา มันจะมีสังขารเข้ามาเกี่ยวข้องใช่ไหมครับ
ท่าน ป.- คือ อายตนะนี่ ความรู้สึกมีทันที ทันทีที่ตาเห็นนั้น มันมีความรู้สึกทันที ไอ้ด้านรู้ก็ได้แค่เห็น แต่มันยังไม่รู้จักว่าเป็นอะไรหรอก แต่ว่าด้านรู้สึกมีทันที เพราะฉะนั้น ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ทำงานนั้น ด้านความรู้สึกมีทันที แล้วด้านการปรุงแต่งก็ต้องอาศัยความรู้สึกนี้ด้วย
ถาม- แสดงว่าสังขารต้องอาศัยเวทนา
ท่าน ป.- ต้องอาศัยเวทนา
ถาม- แล้วช่วงเกิดเวทนาแล้ว ก็ต้องมีสังขารต่อ แต่จะเกิดตัณหาด้วยใช่ไหมครับ
ท่าน ป.- อ๋อ ตัณหาก็เป็นส่วนหนึ่งในกระบวนการของสังขาร ตัณหานั้นอยู่ในสังขารเลย
ถาม- แล้วสังขารในขันธ์ 5 และสังขารในปฏิจจสมุปบาทนั้น ไม่ทราบว่ามันเท่ากัน หรือตัวไหนใหญ่กว่าตัวไหน ในความหมาย
ท่าน ป.- สังขารที่ต่างกันก็คือสังขารในไตรลักษณ์ สัพเพ สังขารา นิจจา สัพเพ สังขารา ทุกขา นั้นเป็นสังขารในความหมายหนึ่ง ใหญ่ที่สุด
ทีนี้ สังขารในขันธ์ 5 กับในปฏิจจสมุปบาทนั้นชุดเดียวกัน แต่ว่าเป็นสังขารในความหมายที่ เรามองแบบหยุดนิ่งแยกส่วนประกอบ นั่นเป็นแบบขันธ์ 5 ดูส่วนประกอบเหมือนอย่างกับรถแยกส่วนว่ามีอะไรๆ ทีนี้ในปฏิจจสมุปบาทนั้นเป็นภาคปฏิบัติการ เป็นกระบวนการว่ากำลังทำงาน พูดในเชิง function การทำหน้าที่ ขันธ์ 5 นั้นมองในแง่องค์ประกอบ ว่ามีส่วนประกอบอะไรบ้าง เป็นการพูดคนละแบบ ในปฏิจจสมุปบาทนั้นมันทำงานเลย มันกำลังเป็นไปในกระบวนการก็คือชุดนี้แหล่ะ ชุดสังขารในขันธ์ 5 นี้แหล่ะ ในขณะทำงานก็มาเป็นสังขารในปฏิจจสมุปบาท
ถาม- พระเดชพระคุณครับ วิญญาณ ที่เราเป็นวิญญาณนี่ รู้ใช่ไหม
ตอบ(หลวงตา)- รู้ เป็นภาวะที่รู้
ถาม- อย่างการเรียนรู้ในขั้นต้นมันอ่อน จะต้องใช้วิญญาณใช่ไหมครับ
ท่าน ป.- วิญญาณ มีกับการที่รู้ เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ที่อายตนะหรืออินทรีย์ทำหน้าที่ทุกครั้ง จะมีวิญญาณเกิดแน่นอน วิญญาณจะเกิดทุกครั้งไป
ตอบ(หลวงตา)- วิญญาณนี้ ถ้าพูดแบบรูปธรรมก็คือ เป็นแกนตลอดเวลา
ถาม- ถ้าเกิดวิชชาได้ ก็มีวิญญาณ
ตอบ(หลวงตา)- วิญญาณมันอยู่กับการเกิดการทำหน้าที่ของอายตนะทั้ง 6 ทุกครั้งไป อย่างที่ว่า เหมือนกับเป็นตัวแกน มันเป็นการรู้ที่ว่าตัวมันเองก็เหมือนกับเป็นกลางๆ แล้วแต่ตัวประกอบ ว่าประกอบแล้วมันจะมีคุณสมบัติอย่างไร
ถาม- จะมี อวิชชา หรือเป็นปัญญา ใช่ไหม ที่จะรู้แล้วจะเกิด
ตอบ(หลวงตา)- ตัวนั้นเป็นฝ่ายสังขารทั้งหมด อวิชชา ปัญญา นั้นอยู่ในฝ่ายสังขาร อันนั้นก็ค่อยไปดูในรายละเอียดกันอีกที แต่ตอนนี้ก็เอาหลักการใหญ่นี้ก่อนว่าเริ่มเกิดมา ชีวิตจะดำเนินอยู่รอดได้อย่างไร และมนุษย์ดำเนินชีวิตกันอย่างไร ก็ออกไปจากจุดเริ่ม ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ก็แยกเป็นสองสาย สายอวิชชา ตัณหา ทุกข์ สายวิชชา วิมุตติ หรือระดับทั่วไปเรียกว่าปัญญา