แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ไฟล์ถอดเสียงนี้ยังไม่ได้ผ่านพิสูจน์อักษร นำขึ้นมาเพื่อช่วยในการศึกษาค้นคว้าของผู้สนใจ
ผู้ฟัง (ผู้ชาย) : ท่านผู้บรรลุธรรมแต่ว่ายังมีสังขารอยู่นี้นะครับ คือหมายถึงว่ายังมีสังขารครองอยู่ ท่านจะเป็นทุกข์ในอริยสัจ หรือเป็นทุกข์ในทุกขตาอยู่หรือเปล่า เรื่องผู้ที่บรรลุธรรมนะครับ ส่วนต่อไปก็คือที่บอกว่าตัณหาเป็นสาเหตุให้เกิดทุกนั้น จะเป็นเหตุให้เกิดทุกทางกายด้วยหรือเปล่า ตัวตัณหานะครับ แล้วการปฏิบัติของชาวพุทธที่บอกว่าปฏิบัติเพื่อการไร้ทุกข์ หมายถึงทุกข์ในแง่ไหน แล้วมีสภาวะอะไรบ้างที่ตัวอุปาทานไม่สามารถจะยึดครองได้นอกจากนิพพาน
พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต) : หลายข้อ ตอบทีละอย่างก็ยาวยืด ความจริงมันก็เรื่องเดียวกันนะ เดี๋ยวจะตอบเรื่องเดียวแล้วคลุมไปหมด อย่างนั้นผมอยากจะย้อนกลับไป บางอย่างมันก็เรื่องเหมือนกับที่ท่านถาม มันเป็นหลัก คือบางทีเรารู้หลักชัดแล้วก็ตอบคำถามปลีกย่อยได้เอง ถ้าเที่ยวไปตอบคำถามปลีกย่อยมันก็มีแง่ออกไปเรื่อยๆ คราวที่แล้วพูดถึงทุกข์สุข ในแง่ของความหมายทั่วไป แล้วก็มีว่าทั้งหมดทุกข์สุข มันก็เป็นทุกข์ทั้งนั้นแหละ เพราะว่าสุขมันก็เป็นสิ่งที่เกิดจากเหตุปัจจัยปรุงแต่ง มันก็เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ฉะนั้นสุขที่เราเรียก สุขโดยมากเราหมายถึงความรู้สึก ก็คือเวทนา มันก็เป็นของเกิดจากเหตุปัจจัย เช่นว่า ตาไปเห็นภาพสวยงาม เกิดชอบใจก็มีความสุข ใช่ไหม เกิดจากเหตุปัจจัย ฉะนั้นมันก็ไม่เที่ยง มันก็เปลี่ยนไป เดี๋ยวมันก็สลาย ก็สุขแบบนี้ก็ทุกข์ทั้งนั้น แต่ทีนี้ว่าหลักมันอยู่ที่ไหนล่ะ ก็เลยคราวที่แล้วนี่พูดถึงว่า สุขนั้นมีหลายขั้น สุขหลายขั้นหลายระดับ แต่สุขทั้งหมดนี้ก็ ในเมื่อมันเป็นความรู้สึกที่เกิดจากเหตุปัจจัยปรุงแต่ง มันก็เป็นทุกข์ในข้อของไตรลักษณ์ เราก็เลยต้องทำความเข้าในเรื่องทุกข์ ซึ่งท่านก็ถามแล้วว่ามันมีทุกข์ที่สามารถแยกเป็นทุกข์ในแง่เวทนา ที่ว่าความรู้สึกสุข รู้สึกทุกข์ รู้สึกเฉยๆ ความรู้สึกนี้เป็นเรื่องง่ายๆ เข้าใจกันได้สามัญ แล้วก็ทุกข์ในอริยสัจ แล้วก็ทุกข์ในไตรลักษณ์ ที่ว่าสิ่งทั้งหลายไม่เที่ยง ดับ คงอยู่อย่างเดิมไม่ได้ นั่นก็เป็นอนัตตา ไม่มีตัวตนแท้ของมันยั่งยืนถาวร เป็นไปตามเหตุปัจจัย ต้องปรากฏรูปต่างๆ ตามเหตุปัจจัยของมัน อันนี้ก็มีทุกข์ 3 แบบนะ ต้องทำความเข้าใจให้ชัดหน่อย ถ้าเราเข้าใจหลักทุกข์ 3 อย่างนี้ มันก็จะพลอยให้เราตอบคำถามปลีกย่อยได้ ทีนี้ในคราวที่แล้วผมก็พูดถึงว่า สุขที่ว่ามันมีหลายขั้นตอนสำหรับมนุษย์ปุถุชน ที่ว่าเป็นทุกข์ทั้งนั้น ถึงงั้นเราก็พูดถึงสุขประณีตขึ้นไปตามลำดับ ไปพูดถึงว่าสุขของพระอรหันต์ นิพพาน ใช่ไหม ที่บอกเป็นบรมสุข อันนั้นกลับเป็นเรื่องพ้นทุกข์ ไม่เป็นทุกข์ในไตรลักษณ์ ตรงนี้ท่านอาจจะงงหน่อย ก็อยากจะย้ำก่อนแล้วค่อยเข้ามาแยกพวกทุกข์ 3 อย่าง 3 ความหมาย ทำไมสุขของนิพพานที่พระอรหันต์ได้มีความสุขเนี่ย จึงไม่เป็นทุกข์ ไม่เป็นไปตามไตรลักษณ์ พูดเป็นวิชาการหน่อย ท่านเรียกสุขแบบนี้ว่าเป็น กายิกสุข สุขที่ไม่มีการเสวยหรือเสพ ไม่มีการเสพเสวย เสพอะไร ก็เสพอารมณ์ให้เกิดความรู้สึก คือความสุขธรรมดามันก็ต้องมีอารมณ์เสพ ถูกไหม ท่านเห็นภาพที่งามที่ชอบใจ ก็สุข มาต่างๆ ได้ยินเสียงไพเราะ เสียงที่ชอบใจ ก็มีความสุข นี่เสพอารมณ์ทั้งนั้นนะ อารมณ์ คือสิ่งที่ได้ยินได้เห็น แล้วก็รส อาหารอร่อย ก็เสพอารมณ์ รสอาหารนั้น แต่สัมผัส แม้แต่ทางใจก็ต้องมีใช่ไหม สุขทางใจ มีสิ่งพิเศษ ทีนี้นิพพานเป็นสุขที่ตรงข้ามกับพวกนี้หมด สุขที่ไม่มีการเสพอารมณ์ เอ๊ะ มีได้ยังไง ทีนี้ก็มาคุยกันนิดหน่อย ทำไมจึงไม่มีการเสพอารมณ์ก็สุขได้ ก็ขอให้ดูตัวอย่างง่าย ๆ บอกแล้วเมื่อกี้ว่าต้องมีการเสพอารมณ์ แม้แต่ทางจิตใจ นึกถึงอะไรต่ออะไร อารมณ์ที่เกิดมาทางใจ แล้วก็มีความสุข ทีนี้เอามาเปรียบทางร่างกาย คนธรรมดานี่ก็มีอย่างนี้คล้ายๆ เหมือนกัน ความไม่มีโรค สุขภาพดี ไม่มีโรค ความไม่มีโรค ร่างกายไม่ถูกบีบคั้นอยู่ ภาษาพระเรียกว่า เสียดแทง ไม่เจ็บ ไม่ไข้ ไม่ป่วย ความมีร่างกายกระปรี้กระเปร่า แข็งแรง ไม่มีโรคเนี่น เป็นความสุขไหม สุขไหม สุข แล้วเสพอารมณ์อะไรไหม มันก็โปร่งเข้ามาเฉยๆใช่ไหม ไม่มีอะไรเลย เป็นสุขไหม เป็นความสุขชนิดหนึ่ง สุขแบบนี้นะ สำคัญมากด้วย สุขแบบนี้แหละเป็นฐานรองรับให้สุขอื่นจะได้เสวยอารมณ์ก็สุขจริงด้วย ลองร่างกายเราเจ็บป่วยสิ ใช่ไหม ถึงแม้เราจะเสพอารมณ์ ได้กินของหวาน บางทีกินเข้าไปอร่อย ถูกไหม มีโรค เสพอารมณ์อะไรต่ออะไร บางทีมันกลายเป้นรำคาญ บางทีมันกลายเป็นใจมันไม่อยู่ ไม่รับ มันไม่สามารถจะมีความสุขได้เลย ยิ่งมีป่วย มีเจ็บ มีปวด มีไข้มากเท่าไหร่ ก็ยิ่งหนัก ทีนี้ถ้ามันปลอดโรค ไม่มีความเจ็บป่วยอะไรเลย ร่างกายสมบูรณ์ โล่งเบา จะเสพสุขอะไรก็เสพได้เต็มที่ ถูกไหม ความไม่มีโรคไม่มีการเสพอารมณ์ เป็นความสุขอยู่ในตัว หรืออย่างคนที่ร่างกายเป็นอิสรเสรี ไม่ถูกมัด ถูกผูก ไม่ติดขัดอะไรเนี่ย ความเป็นอิสรเสรี ปลอดโปร่ง พ้น ไม่ถูกกีดกันนี้มีความสุขไหม เป็นไหม ไม่มีการเสวยอารมณ์เลย ถูกไหม นี่เป็นความสุขชนิดหนึ่ง นิพพานนี่ท่านเทียบ คือความสุขประเภทนี้ คามสุขที่เป็นเหมือนกับการมีสุขภาพดี ไร้โรค ความเป็นอิสระ ไม่ถูกกีดกั้น บีบคั้น ขัดข้อง จองจำ อะไรติดขัดอะไรทั้งนั้น ความสุขประเภทนี้คือ ความสุขที่สำคัญที่สุดด้วย ทีนี้พระอริยะท่านจะพัฒนาสุขประเภทนี้ขึ้นไป จนกระทั่งเป็นพระอรหันต์ ก็คือเทียบภาษาร่างกายว่าไร้โรคเลย ไม่มีโรคเลย ถ้าเป็นมนุษย์ปุถุชนนี้ท่านถือว่ามีโรคนะ แม้จะไม่มีโรคกายก็มีโรคใจรบกวนอยู่ ทำให้กายเสวยสุขทั้งหลายเนี่ยไม่สมบูรณ์ ทีนี้เมื่อพัฒนาไปเป็นผู้ไม่มีโรค ก็มีความสุขที่เป็นความสุขแท้ จะเรียกว่าไงก็แล้วแต่นะ ก็คือความปลอดทุกข์นั่นแหละ ที่จริงถ้ามองในแง่หนึ่งไม่มีโรคมันก็ปลอดทุกข์ แต่มันก็คือความสุข ความสุขชนิดนี้มันเป็นฐานอยู่ เพราะฉะนั้นท่านพัฒนาสุขประเภทนี้ขึ้นไปแล้ว ท่านก็มีความพร้อมจะเสวยสุขอื่นที่เป็นการเสพอารมณ์นี้ได้สุขอยู่ เหมือนอย่างพระโสดาบันที่ว่าท่านพัฒนาสุขที่เป็นอิสระ ความปลอดโปร่ง ความไม่มีอะไรมารบกวนทิ่มแทงบีบคั้นอะไรเนี่ยนะ ท่านก็เสวยสุขได้เต็มที่ จะเสวยสุขระดับไหนก็ได้ ทีนี้ว่าเมื่อท่านพัฒนาไปจนกระทั่งท่านมีความสุขประเภทนี้สมบูรณ์ ก็อยู่ที่ท่าน ท่านจะปรารถนาเสพสุขอื่นหรือไม่ เป็นเรื่องของท่าน แต่ปรากฏว่าพอเป็นพระอรหันต์ปรากฏว่าเป็นเรื่องของความสมัครใจของท่านเอง ท่านไม่ยินดีที่จะเสพสุขอะไรประเภทที่เรียกว่ากาม มันเป็นเรื่องของจิตใจท่านพ้นไปเอง ก็มีพระสูตรหนึ่งที่เปรียบเทียบ ว่าสมัยหนึ่งเด็กยังเล็กๆ อยู่ แกสมนุกกับเล่นมูตรคูถของตัวเอง สุขด้วยนะเล่นมูตรคูถ มีความสุข แล้วผู้ใหญ่ไปเห็นสุขไหม ไม่รู้สึกเป็นสุข ต่อมาเจ้าเด็กนั้นโตขึ้น คราวนี้ไม่สุขกับการเล่นมูตรคูถแล้ว ไปสุขกับเล่นดินเล่นทราย เล่นของเล่นอะไรต่างๆ ตุ๊กตา รักหวงแหนเป็นที่สุด จะเป็นจะตายเลยใครไปแย่งตุ๊กตา บางทีแกกอดรัดจนกระทั่งมันสกปรก แกก็รักของแกอย่างนั้นแหละนะ แกไม่รู้สึกถึงความสปกรกเปื้อนเลอะ รักเป็นที่สุดมีความสุข แล้วผู้ใหญ่รู้สึกสุขด้วยไหม ไม่สุข การพัฒนามันคนละขั้น ต่อไปนี้เด็กนี้โตเป็นหนุ่มสาว แกไปเห็นเด็กที่ไปรักตุ๊กตาอุ้มเล่นอะไรต่ออะไรหวงแหน ผู้ใหญ่หรือเด็กวัยรุ่นที่โตเป็นหนุ่มสาวแล้วก็ไปแกล้งเด็กพวกนี้ ไปแย่งตุ๊กตาบ้าง สนุก หัวเราะเวลาเด็กมันร้องไห้ เพราะตัวเองไม่รู้สึกสุขหรือสนุกแบบเด็ก ใช่ไหม นี่คือพัฒนา พระพุทธเจ้าก็เปรียบทำนองนี้ว่า เมื่อพัฒนาไปอีกขั้นมันจะมองเห็นคนที่สุขแบบกามเนี่ย เหมือนอย่างกับคนที่เป็นผู้ใหญ่ไปเห็นเด็กเล่นเครื่องเล่น มันเป็นเรื่องของการพัฒนาที่เป็นไปเอง ไม่ใช่ว่าท่านไม่มีสิทธิ์หรืออะไรนะ ท่านพร้อมอย่างยิ่งเพราะว่าสภาวะจิตใจอะไรของท่านเนี่ยบริบูรณ์ พอจะเข้าใจไหม สุขที่ว่าไม่ต้องเสพอารมณ์ ทีนี้เราก็ย้อนมาดูเรื่องของสุขที่เสพอารมณ์ ทีนี้มองอีกแง่หนึ่ง คนที่สุขจากเสพอารมณ์ ยิ่งเร้าให้เกิดความต้องการแรงขึ้น ก็จะรู้สึกมีความสุขมากขึ้นในการเสพ พระพุทธเจ้าเปรียบเหมือนกับคนเป็นโรคเรื้อน คนเป็นโรคเรื้อนแกคันมาก ทีนี้แกก็ทรมาน คันเกายังไงก็ไม่หาย ต้องไปจุดไฟผิงเลย ไปจุดไฟผิงให้ร้อนมากๆ ร้อนฉ่า ก็มีความสุข เกาจนคะเยอ ยิ่งเกายิ่งคัน ยิ่งคันยิ่งเกา ยิ่งสุขเพราะเกา ทีนี้ต่อมา คนเป็นโรคเรื้อนได้รับการรักษา มียาดี หายโรค ร่างกายแข็งแรงสุขภาพดี ถ้ามว่าคนนี้จะอยากหาความสุขโดยเอาตัวไปย่างไฟไหม แล้วจากการเกาอย่างเก่าไหม ไม่เลย คราวก่อนนี้เขาต้องจุดไฟเอง หาทางที่จะไปย่างตัว ไม่งั้นมันแย่จริงๆ ใช่ไหม แต่พอเขาหายแล้วทีนี้ เขาหนีเลย ไปก่อไฟอย่าง จะเอาเขาไปย่าง ไปฉุดเขามา เขาจะยิ่งสู้ จึงพยายามดินหนี้เต็มที่เลย ไม่เอาแล้ว หนีอย่างเดียวเลย นี่คือสภาพที่เปลี่ยนไป ฉะนั้นก็มองในแง่นี้ก็คือสุขของมนุษย์ปุถุชน เหมือนสุขของคนเกาที่คัน ยิ่งเร้าให้มันคันเท่าไหร่ ก็ยิ่งหาทางเกาหนักเท่านั้น ใช่ไหม แล้วก็จะได้ความสุขจากการเกาที่คัน ทีนี้ถ้าเมื่อไหร่ไม่มีที่เกาที่จะคัน มันก็หมดเรื่องไป ฉะนั้นมองในแง่นี้ก็ขำๆ ว่า มนุษย์ปุถุชนนี้มีความสุขจากการเกาที่คัน แล้วพระอรหันต์ก็เป็นผู้มีความสุข การที่ไม่มีที่คันจะต้องเกา อันนี้ก็เป็นอุปมาอันหนึ่ง ทีนี้ก็มีเรื่องแทรก จะพอเห็นใช่ไหม ที่นี้มนุษย์ก็มีการพัฒนาได้หลายระดับ อย่าไปนึกว่ามองคนมองธรรมชาติแล้วจะต้องมีแค่นี้ ซึ่งคนเดี๋ยวนี้ก็จะมองคนเหมือนกันหมดเป็นระดับเดียว ไม่เห็นเรื่องการพัฒนามนุษย์ว่าจิตใจ ปัญญา มันจะพัฒนาไปได้อย่างไร มันมองไม่เห็น ทีนี้เราก็มาดูเรื่องของมนุษย์ที่ว่าเจริญ บางทีเขามองความสุขในแง่เดียวระดับเดียว เหมือนกับมนุษย์ปัจจุบัน ขอย้อนกลับพูดเรื่องการเสพรสอาหาร นี่เป็นตัวอย่าง เพราะอาหารก็เป็น
เจตสิกสุข สุขที่เกิดจากการเสพอารมณ์เหมือนกัน ก็คือเสพรสอาหาร เราเคยพูดกันแล้วว่าที่เรากินอาหาร ความต้องการที่แท้มันอยู่ที่ไหน ที่เราแยกไปแล้วว่าความต้องการของบุคคลกับความต้องการของชีวิต เป็นความต้องการของอะไร ของชีวิต ชีวิตมันต้องการจะเป็นอยู่ แล้วไม่มีอาหารมันอยู่ไม่ได้ แต่ทีนี้ว่าบุคคลจะต้องการอาหารที่มีรสอร่อย แล้วบางทีก็มีค่านิยมมาทางสังคม ความโก้ ความเท่ ความมีเกียรติ หรูหรา ถูกไหม ตอนนี้แหละ จนกระทั่งบางทีมนุษย์นี้ลืม ไม่ใช่บางทีหรอก ลืมกันเยอะ ลืมว่าความต้องการที่แท้ ในการกินอาหารมันอยู่ที่ไหน ความต้องการก็เลยไปถึงคุณค่า คุณค่าเนี่ยมันก็เกิดจากความต้องการใช่ไหม สิ่งที่มีคุณค่าเกิดจากความต้องการ ทีนี้คุณค่าก็กลายเป็น 2 คุณค่า เพราะมันมีความต้องการของชีวิต ที่ต้องการอาหารมาหล่อเลี้ยงบำรุงให้มันแข็งแรงมีสุขภาพดี มันเจริญเติบโตได้ กับความต้องการของบุคคล ทื่อยากจะโก้ อยากจะอร่อย อยากจะสนุก อะไรต่างๆ ก็เลยเกิดคุณค่า 2 แบบ คุณค่าที่สนองความต้องการของชีวิต กับคุณค่าที่สนองความต้องการของบุคคล เราก็เลยแยกเป็นว่าคุณค่าแท้กับคุณค่าเทียม แล้วท่านว่าอันไหนเป็นคุณค่าที่แท้ ที่มนุษย์กินอาหารที่แท้มันเป็นความต้องการของชีวิต ใช่ไหม ก็คุณค่าแท้มันก็คือตอบสนองความต้องการของชีวิต ให้ร่างกายแข็งแรงมีสุขภาพดีเจริญเติบโต ส่วนคุณค่าที่เกิดจากการสนองความต้องการของบุคคล เป็นคุณค่าเทียม แล้วสองอย่างนี้ ถ้าคนไม่รู้เท่าทันมันก็ขัดแย้งกัน อย่างที่เคยพูดกันใช่ไหม คนที่ไม่รู้เข้าใจความจริงเนี่ย บางทีก็กินเพื่อสนองความต้องการของบุคคล ต้องการอร่อย ต้องการโก้ เท่ อะไรต่ออะไร สิ้นเปลืองเงินทองมากมาย แล้วเบียดเบียนชีวิตตัวเองด้วย กินอาหารอร่อยแต่เป็นภัยต่อชีวิตใช่ไหม สุขภาพก็ยิ่งโทรม เป็นโรค แย่ไปเลย แล้วอย่างนี้คนไหนฉลาด ฉลาดแท้อยู่ที่ใคร ก็ต้องรู้ความจริงใช่ไหม ก็คือว่าคุณค่าที่ 2 ความต้องการของชีวิตที่กินอาหารเพื่อให้ร่างกายได้แข็งแรงมีสุขภาพดี เจริญเติบโต แล้วก็ซ่อมแซมส่วนสึกหรอ ป้องกันโรคภัย นี่มันเป็นคุณค่าที่แท้จริง เมื่อความต้องการที่แท้ ประโยชน์ที่แท้มันอยู่ที่นี่ การทำอาหารมันก็ต้องทำให้ได้คุณค่าและประโยชน์เหล่านี้ จริงไหม เป็นฐานก่อน ส่วนเรื่องจะได้เอร็ดอร่อย โก้หรูหราแค่ไหน มันคือเรื่องรองแล้ว ถ้าคนไปเอาแต่คุณค่าเทียมที่สนองความต้องการของบุคคล มุ่งแต่เอร็ดอร่อย แล้วก็โก้หรูหรา โดยไม่คำนึงถึงความต้องการของชีวิต จนกระทั่งไปบั่นทอนชีวิตของตัวเอง อย่างนี้เรียกว่าฉลาดหรือเปล่า ฉลาดได้ไหม ไม่ได้เลย แล้วมนุษย์ยุคนี้บางทีไม่ได้คำนึงเรื่องนี้เลยใช่ไหม แล้วกลับไปนึกว่าตัวฉลาด ฉะนั้นที่แท้แล้วต้องให้ได้อันนี้ก่อน นี่มันเป็นความจริงแท้เลย กินอาหาร อาหารก็คือเครื่องหล่อเลี้ยงชีวิตน์ส่วนร่างกายให้แข็งแรง สมบูรณ์ มีสุขภาพดี ไม่มีโรค เจริญเติบโต แล้วจะได้ใช้ร่างกายทำอะไรก็ได้ อันนี้มันต้องให้ได้ ตัวเกณฑ์มาตรฐานมันต้องอยู่ที่นี่ใช่ไหม ทีนี้เมื่อได้เกณฑ์มาตรฐานแล้ว คุณจะไปตกแต่งรสอะไรต่ออะไรก็เป็นส่วนเสริมไป ถ้ามันไม่เสียอันนี้ ใช่ได้ แต่ถ้าเสียอันนี้นะ คุณไปแต่รสใช้สารเคมีอะไรต่ออะไร แล้วกลับมาทำให้ร่างกายอ่อนแอ เสื่อมโทรม เป็นพิษต่อร่างกาย ใช่ไหม แล้วไปกินอาหาร เหล้า บางอย่างแก้วละแสนเลยเนี่ย ขวดละแสนเลยนะ เสร็จแล้วร่างกายไม่ได้ประโยชน์เลย กลับบั่นทอนชีวิตของตัวเอง สุขภาพเสื่อมโทรม อย่างนี้มันก็กลายเป็นว่ากินไม่ได้ถูกหลักอะไร ไม่ถูกต้องตามหลักกินที่แท้อะไรเลยนะ อันนี้ต้องถือว่าผิด ไม่มีเกณฑ์มาตรฐาน ผิดเลย ฉะนั้นต้องเอาตัวเกณฑ์มาตรฐานนี้ก่อน ต้องให้ได้อันนี้ ให้ได้คุณค่าประโยชน์ต่อชีวิตร่า
กาย แล้วส่วนที่เสริมจะเป็นในแง่ของรสอร่อยหรือในแง่ของโก้เก๋สังคม ค่านิยม ก็ให้เป็นส่วนเสริม ตราบใดที่ยังไม่ขัดอันนี้ก็พอรับได้ แต่ถ้ามันจัดมันทำลายก็แสดงว่าผิดทาง ถูกไหม แต่ทีนี้ถ้าให้ดี เราควรจะรู้ทัน เราก็จะรู้ประมาณ ท่านเรียกว่ารู้ความพอดีในการบริโภค ก็คือว่าเราให้ได้ก่อน กินอาหารแล้วให้ได้ประโยชน์ต่อชีวิตร่างกาย ส่วนต่อจากนั้น การปรุงอร่อยก็ทำให้พอสมควร อย่าให้มันเป็นการเบียดเบียนตน เบียดเบียนผู้อื่น นอกจากอย่าเบียดเบียนตนแล้ว อย่าให้เบียดเบียนคนอื่นด้วย เบียดเบียนธรรมชาติแวดล้อมด้วย เพราะว่ากินเอาแต่โก้หรูหราค่านิยมมากไป มันเบียดเบียนกันใช่ไหม ต้องแย่งต้องชิง ต้องใช้ทรัพย์มาก แล้วก็ต้องทำลายธรรมชาติ ทรัพยากรธรรมชาติก็เสีย ทีนี้ถ้าเราได้หลักนี้ เกณฑ์มันมีอยู่มาตรฐาน ก็เบา ทีนี้มนุษย์สมัยนี้บางทีไม่ได้คิดหลักนี้ ฉะนั้นเขาอาจจะไปมีความคิดริเริ่ม แหม คนนี้มีความคิดริเริ่มดี พัฒนาอาหารอย่างนั้นอย่างนี้ ให้เอร็ดอร่อย ถ้าตราบใดเขายังไม่เสีย เขาว่าจะพัฒนาอาหารเอร็ดอร่อยยังไงก็ตาม แต่ต้องคำนึงถึงประโยชน์ต่อชีวิต คุณค่าชีวิตร่างกาย ก็ยังดี แต่ถ้าเขาไม่คำนึงอันนี้แล้วทำให้เสีย ก็แสดงว่าความคิดริเริ่ม ความฉลาดในทางธุรกิจใช้ไม่ได้ ถูกไหม เสียเกณ์มาตรฐาน มันต้องมี เพราะฉะนั้นยุคนี้ก็จะไม่มี เมื่อไม่มีหลัก ไม่ได้คิดถึงตัวหลักความจริงกันนี้ อารยธรรมจะมีประโยชน์อะไร มนุษย์เจริญขึ้นมาแล้วไม่ได้เรื่องได้ราว นี่มองในแง่อาหารเป็นตัวอย่าง อันนี้ผมยกตัวอย่างให้เห็นว่า อาหารแค่นี้แหละ มนุษย์ก็ยังจับหลักจับจุดอะไร อยู่กับความจริง อยู่กับความเจริญทางปัญญาที่แท้ไม่ได้ มนุษย์จะบอกว่าฉลาดยังไง ถ้ามันจับความจริงอันนี้ไม่ได้ จะถือว่ามีปัญญาจริงหรือยัง เรื่องอื่นก็เหมือนกัน เรื่องปัจจัยสี่ เรื่องเครื่องใช้เทคโนโลยี
ยุคนี้กำลังเป็นยุคที่มีปัญหาอีกเรื่องหนึ่งคือเรื่องเพศ ก็ถือโอกาสมาพูดด้วยเลย วันนี้อาจจะตอบคำถามท่านไม่จบก็ได้ เพราะมันเป็นเรื่องของยุคสมัยที่เราจะต้องมาพูดกัน คนเราควรจะมาพูดกันในแง่ความรู้สติปัญญา ไม่ใช่ปล่อยทิ้งไว้ เพราะสังคมมันเสื่อมโทรมเรื่องนี้มาก เดี๋ยวนี้เขามีคำว่าเพศสัมพันธ์ คำว่าเพศสัมพันธ์นี้เพิ่งเกิดได้ 20-30 ปี แต่ก่อนไม่มีคำนี้ ก็พยายามพูดกัน อะไรเขาเรียกให้สุภาพหน่อย แต่ก่อนก็มีร่วมประเวณี อะไรบ้าง ศัพท์มันก็มี แต่ว่าศัพท์พื้นฐานเดิมก็คือคำว่าสืบพันธุ์ ใช่ไหม ทีนี้คำว่าเพศสัมพันธ์มันเป็นศัพท์ที่ชวนให้หลงได้ง่ายนะ สืบพันธุ์นี่ตรงเผงเลย จริงไม่จริง ท่านพิจารณาดูนะเอาตามความเป็นจริง เพศสัมพันธ์ทั้งหมดนี่สาระที่แท้มันคืออะไร ที่พิจารณาแบบเดียวกับเรื่องกินอาหาร เพศสัมพันธ์สาระมันก็คือสืบพันธุ์นั่นเอง ถูกไม่ถูก มันเป็นควาทต้องการของชีวิตที่ยังมีความยึดมั่นที่จะสืบพันธุ์และดำรงอยู่ ไม่ยอมสิ้นสูญไป ทีนี้เราลองดูนะ คนเราที่แท้ร่างกายต้องการอาหาร แล้วกลไกในเหตุปัจจัยนี้มทำให้เกิดความหิว แล้วกลไกลนี้ทำให้เกิดรสชาติ การกินให้อร่อย การที่มีรสอร่อยก็ทำให้คนเนี่ยพยายามขวนขวายที่จะได้กิน ร่างกายก็ได้รับสนอง ถ้ามันไม่มีรสชาติอาหาร บางทีคนไม่เอาใจใส่ที่จะกิน เชื่อไม่เชื่อ ลองเอาอะไรมาเคี้ยวสิ กลายเป็นเละเทะ จริงไม่จริง เอาอะไรมาเคี้ยวดูสิ เละเทะอย่างนี้กลายเป็นว่ามองแง่หนึ่งน่าเกลียด ที่มันดีอยู่ได้เพราะมันมีรส จริง อย่างนี้เราก็พูดเป็นภาษาตีคลุมกำปั้นทุบดินว่า มันเป็นเรื่องธรรมชาติ ธรรมชาติทำให้เกิดรู้สึกรส เพื่อจะให้คนกิน เหมือนกับธรรมชาติมาหลอกคนให้มีรสมันจะได้กิน ไม่งั้นคนมันไม่กิน ตกลงที่จริงมันเป็นกลไกของธรรมชาติ นี่พูดแบบภาษาคลุมๆ นะ ไม่พูดละเอียด กลไกธรรมชาติมันทำให้มีรสขึ้นมา แล้วก็ทำให้คนนี้หาทางกิน ถ้ามันไม่มีรสแล้วคนมันจะไม่กิน แล้วร่างกายมันก็แย่สิใช่ไหม แล้วที่จริงถ้าไม่มีรสซะอย่าง คนก็จะพยายามไม่กิน หลีกเลี่ยง มันเลอะเทอ แล้วมันยุ่งพิลึก มีคนที่เพื่อจะได้รสอย่างเดียว โอโห อุตสาห์ทำตกแต่ง เสียเวลาตั้งไม่รู้เท่าไหร่ ใช่ไหม เพียรพยายามเหน็ดเหนื่อยเพื่อจะได้เสพ ก็เสพรส คนก็ไปติดที่รส แทนที่จะไปมุ่งจุดหมายที่แท้ก็คือ ที่แท้แล้วเนี่ย มันมี 2 ชั้น เราจะต้องการเสพได้รสนี่ที่จริงก็คือเราถูกธรรมชาติหลอก เพื่อเราจะได้กิน เสร็จแล้วร่างกายมันจะได้อาหาร ใช่ไหม นี่ว่าไปแล้วถ้าจะพูดอีกสำนวนหนึ่งก็คือถูกธรรมชาติมันหลอก ทีนี้ถ้าเรารู้เข้าใจจริงเราก็รู้ทันธรรมชาติอีกชั้นหนึ่งว่า ที่จริงการมีรามีชาติที่จริงมันก็เพื่อให้ได้กินอาหาร เสร็จแล้วเพื่อให้ร่างกายมีชีวิตอยู่ได้เท่านั้นแหละ แล้วเราลองมาดูเรื่องเพศสัมพันธ์ ทำนองเดียวกันนะ คือชีวิตที่ต้องการสืบพันธุ์ ถ้ามันไม่มีรสมีชาติมนุษย์ก็จะไม่ยอมสืบพันธุ์ จริงไม่จริง มันก็แย่สิใช่ไหม ชีวิตมันก็ไม่สืบต่อ มันก็มีกลไกทางธรรมชาติมาเป็นเครื่องหลอกล่อ
มนุษย์ทำให้มีรสมีชาติ ต่อมาๆไปๆ มนุษย์ติดใน สมัยก่อนเขาเรียกว่าเพศรส มันติดตรงนี้ แล้วทีนี้มนุษย์ก็ลุ่มหลงแบบเดียวกับรสอาหาร คือลุ่มหลงจนไม่ได้คำนึงว่าจุดมุ่งหมายที่แท้จริงคือเพื่อชีวิต เสร็จแล้วมนุษย์นี่ลืมไปเลยว่าสาระของเพศสัมพันธ์นี้อยู่ที่การสืบพันธ์ ก็กลายเป็นว่าจะหารสจากเพศสัมพันธ์นี้โดยไม่สืบพันธุ์ กลับไปป้องกัน จะไปหาทางเลี่ยง เพื่อไม่ให้ชีวิตมันได้สิ่งที่มันต้องการ ถูกไหม เดี๋ยวนี้มนุษย์มันเป็นอย่างนี้ คือตัวจริงที่แท้แก่นสารของการมีเพศสัมพันธ์ก็คือการสืบพันธุ์ กำลังถูกมนุษย์พยายามหาทางเลี่ยงอยู่ เพราะมนุษย์ต้องการเสพเพศรสอย่างเดียว
ผู้ฟัง (ผู้ชาย) : อาจจะต้องการความอบอุ่นด้วยหรือเปล่าครับ ที่ต้องการแบบนั้น อาจจะไม่อยากได้บุตร อาจจะต้องการความอบอุ่นอย่างเดียว
พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต) : ใช่ แต่ก็ยังดี หมายความว่ายังมีความประณีตเป็นชั้นๆ แต่ถึงยังไงก็ตาม เพศสัมพันธ์ที่แท้ก็ต้องรู้ว่าตัวสาระที่แท้อยู่ที่ไหน ก็ตอบไม่ผิดเลยใช่ไหม ก็คือการสืบพันธุ์ ส่วนอื่นที่มันมาเป็นตัวประกอบข้างเคียง จะว่ามีโทษมากโทษน้อยก็ว่ากันไป ก็ยังดี หมายความว่ามนุษย์มีวัฒนธรรม รู้จักให้มีของการมีครอบครัว ความอบอุ่นในครอบครัว แต่มนุษย์ยุคนี้ไปติดเรื่องเพศรสอย่างเดียว แม้แต่ความอบอุ่นในครอบครัวก็กำลังจะทำลายด้วย ถูกไหม คือมันจะเสียหมดเลย เอาละ ทีนี้เราลองมาเทียบเรื่องนี้ดู ทีนี้มนุษย์ถ้ามีอารยธรรมมันน่าจะจับตัวสาระนี้ได้ เมื่อเราจะกินอาหาร มนุษย์ที่ฉลาดรู้เข้าใจความจริงของธรรมชาติ มันจะต้องอยู่ที่ตัวมาตรฐานที่แท้ก่อน ก็คือจะทำยังไงให้อาหารนี่มีคุณภาพเป็นประโยชน์แก่ชีวิต ให้ร่างกายมีสุขภาพดีแข็งแรง อันนี้ก็เป็นอันที่หนึ่งก่อน ส่วนเรื่องอื่น เรื่องรสเรื่องอะไรต้องเป็นรอง ใช่ไหม อันนี้คือต้องจับหลักได้ ก็แสดงว่ามีปัญญาจริง เข้าถึงความจริงของมัน ถ้าเราทำอาหาร กินอาหารโดยที่คำนึงถึงตัวหลักการที่แท้ คือการบำรุงร่างกายมุ่งความมีสุขภาพแข็งแรงก่อน แล้วอื่นนี่เป็นตัวประกอบ ทีนี้มาเรื่องเพศสัมพันธ์นี้ การมีเพศสัมพันธ์ควรจะคำนึงถึงอะไรก่อน แล้วอันอื่นจะได้เป็นเครื่องประกอบ เวลานี้มนุษย์ไม่ได้คำนึงถึงจุดนี้ ก็จะไปลุ่มหลงในเรื่องปลีกย่อย เรื่องที่เป็นส่วนเกินเลยที่ธรรมชาติมันหลอก เป็นกลไกของมันที่จะทำให้มนุษย์มีเรื่องนี้ เพศสัมพันธ์ ส่วนตัวแกนการสืบพันธ์นี่มันถูกมนุษย์พยายามหลีกเลี่ยง ทีนี้ถ้าแก่นของมันคือการสืบพันธ์ ก็ต้องมาคำนึงว่าทำยังไงถึงจะได้พันธุ์ที่ดี ต้องมาคิดนี่ก่อน ถูกไหม มนุษย์ต้องมาคิดอันนี้ว่าสาระของเพศสัมพันธ์คือการสืบพันธุ์ เพราะฉะนั้นทำยังไงจะให้ได้พันธุ์ที่ดี ได้พันธุ์มนุษย์ที่ดี แข็งแรง มีสุขภาพดี มีสติปัญญาฉลาด ควรจะคิดที่นี่ก่อน เพศศึกษาอันนี้มันต้องมาคิดอันนี้ให้ได้ ยังไงก็อย่าให้ลืมจุดนี้ ให้เด็กรู้ว่าเพศสัมพันธ์ตัวสาระมันอยู่ที่การสืบพันธุ์ แล้วก็ต้องจับแกนอันนี้ให้ได้ เดี๋ยวนี้ไปเอาอะไรก็ไม่รู้เรื่องปลีย่อย เพศศึกษามันก็ไม่เข้าเรื่อง ไปเอาเรื่องที่มันไม่ใช่ตัวสาระที่แท้ อันนี้จับสาระให้ได้ อย่างอื่นก็มาประกอบ แล้วมันก็จะมีตัวมาตรฐานหรือเกณฑ์ที่มันเฉมันผิดมันพลาดหรือยัง ทีนี้เราต้องการให้ได้พันธุ์ดี ทำไง นี่แหละมันก็จะมาถึงคนควรจะมีอายุเท่าไหร่ ใช่ไหม แล้วควรจะแต่งงานเมื่อไหร่ อะไรต่ออะไร วัฒนธรรมมันก็ มนุษย์สมัยโบราณแม้จะไม่ฉลาดอย่างในปัจจุบัน ก็ยังรู้จักคิดเรื่องนี้ ใช่ไหม รู้ว่ามันเป็นการสืบพันธุ์ ฉะนั้นจะทำยังไงให้ได้พันธุ์ดี การสืบพันธุ์วงศ์ตระกูลอะไรต่างๆ แม้ไม่ได้มองในรายละเอียดว่าทำไงจะได้เด็กฉลาดอะไรอย่างนี้นะ เขาก็ยังมีความคิดเรื่องนี้อยู่ ให้วงศ์ตระกูลอะไรต่ออะไรมั่นคง ฉะนั้นก็ต้องจับสาระให้ได้ ทำไงจะให้ได้พันธุ์ดี ก็จะได้วางแนวได้ว่าการแต่งงานมันมีหลักการอย่างนี้ เด็กควรจะได้เล่าเรีบนศึกษา วัยนี้ควรอย่างนี้ มีเพศสัมพันธ์กันเมื่อไหร่ ตอนนี้มันจับหลักไม่ได้ มันก็วุ่นไปหมด จะเอาอะไรล่ะ พอจับหลักได้ ก็มาคิดถึงพันธุ์ที่ดี ทีนี้เราก็ไม่ต้องไปรอเทคโนโลยีด้าน genetic engineering อย่าง GMO เป็นต้น ไอ้นี่ก็พยายามตัดแต่งพันธุกรรมเพื่อจะให้ได้พันธุ์ดีเหมือนกัน มนุษย์เขาก็คิดเหมือนกัน พันธุวิศวกรรม ใช่ไหม พยายามที่จะหาทาง แต่ว่าไอ้นี่ที่มันยังไม่มีความมั่นใจอะไรหรอก อย่ามัวไปรอ ก็ให้เขาทำไป เขาทดลองค้นคว้าไป นักวิทยาศาสตร์ พันธุวิศวกรรม จะหาพันธุ์ดี ช่างเขา แต่ว่าสิ่งที่มนุษย์ไม่ควรรอก็คือ ชีวิตที่เป็นอยู่รอไม่ได้ ระบบความเป็นอยู่ของมนุษย์ มีครอบครัว มีอะไรตามธรรมชาติ นี่ใช้ระบบธรรมชาตินี้มาหาทางทำไงจะให้ได้พันธุ์ที่ดี ก็ต้องคิดกันในแง่นี้ ถูกไม่ถูก มันควรจะติดให้มันตรง นี่มนุษย์ยิ่งมีอารยธรรมกำลังถูกเรื่องปลีกย่อยหลอกหลงไปหมดเลย ไม่รู้อะไรเป็นอะไร แล้วคะว่าเพศสัมพันธุ์ก็เป็นคำที่มนุษย์ประดิษฐ์ขึ้นมา บางทีกลายเป็นเรื่องหลอกลวงให้เขวจากสาระที่แท้ มองในแง่หนึ่งมนุษย์ก็เหมือนถูกกลไกธรรมชาตินี้หลอก ไปอยู่กับเรื่องสัพเพเหระ ในเรื่องปลีกย่อย แล้วไปลุ่มหลงกับเรื่องนี้นะ จนกระทั่งเรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องที่มาทำลาย อย่างที่เคยพูด ทำลายศักยภาพของตัวเอง เพราะไปลุ่มหลงกับเรื่องที่ธรรมชาติมันหลอก ใช่ไหม เสร็จแล้วศักยภาพของมนุษย์ที่สามารถพัฒนาชีวิต พัฒนาทักษะ พัฒนาจิตใจ พัฒนาปัญญาอะไรต่ออะไร อีกเยอะแยะ ถูกละเลยหมดเลย เอาเวลาไปสิ้นเปลืองทิ้งหมดเลย ตายเปล่า ท่านมีอะไรไหมคุยกัน เรื่องนี้ควรจะพูดกันให้ชัดนะ เพราะยุคนี้มันแย่เต็มทีแล้ว มนุษย์มันลุ่มหลงออกไป ไม่รู้อะไรเป็นอะไร บอกว่าเจริญ มีความรู้ รู้อะไร ไม่รู้อะไร จับหลักไม่ถูก นี่ถ้ามันจะมีเรื่องเพศเรื่องอะไรก็ตามมันต้องให้อยู่ที่แกนนี้จับให้ได้ก่อน ใช่ไหม เมื่อแกนนี้คุณยังได้ พอรับได้ ถ้ามันไม่ได้แกน ไม่ได้สาระอันนี้แล้วก็แสดงว่ามันเหลวไหล ไม่มีทิศมีทางเลย ว่ายังไงล่ะครับ จะได้เข้าเรื่องทุกข์สุขของท่าน??? มีไหม เพราะเรื่องนี้สำคัญนะในยุคปัจจุบันเนี่ย ควรจะชัด แล้วฟังๆ ดู เพศศึกษา ไม่รู้จัก อะไร พูดเรื่องอะไรต่ออะไร condom อะไร ไปโน่น มันไม่ได้จับที่ตัวจุดที่แท้ ก็เป็นอันว่ากินอาหาร ตัวสาระที่แท้ก็คือว่าต้องการสิ่งที่จะมาบำรุงเลี้ยงร่างกายให้แข็งแรงมีสุขภาพดี เป็นมาตรฐานก็คือจะทำอาหารยังไงก็ตาม คุณต้องคำนึงตรงนี้ก่อน คุณภาพของอาหารนั้น ที่จะให้เกิดประโยชน์แก่ชีวิตร่างกาย เพศสัมพันธ์ก็เหมือนกัน สาระของมันคือการสืบพันธุ์ คุณต้องมาคิดว่าจะทำยังไงจะได้พันธุ์ที่ดี ส่วนอื่นเป็นเรื่องปลีกย่อย แล้วก็คิดให้ถูก พิจารณาอันนี้ ท่านมีอะไรไหมครับ
ผู้ฟัง (ผู้ชาย) : ขอเรื่องเพศนี้พระเดชพระคุณ ก็คือจุดมุ่งหมายหลักที่พระเดชพระคุณคุยให้ฟังก็คือมาเลือนไป ทำให้จุดมุ่งหมายรองเด่นขึ้น
พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต) : คือมันทำให้เกิดความคลุมเครือ ศัพท์เดิมนี่มันชัดมันตรงเป้าเลย
ผู้ฟัง (ผู้ชาย) : แล้วพอเรื่องนี้เด่นขึ้น วัยรุ่นเขาก็มีความสนใจทางเพศมาก แล้วก็มีข่าวว่าต้องไปบำบัดความต้องการกันบนรถเมล์ แล้วการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ทราบว่าเขาเอาสติกเกอร์ไปติดบนรถเมล์เขียนทำนองว่าผู้หญิงควรรักนวลสงวนตัว แล้วการแก้ปัญหาของเราก็คงจะให้มันรัดกุมกว่าการติดสติ๊กเกอร์
พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต) : ก็คือต้องลงลึก นั่นก็เป็นการแก้ปัญหาที่เรียกว่าปลายเหตุ มันก็ต้องทำ ไม่ใช่ว่าจะเว้น คือหมายความว่าทำอะไรได้ก็ทำกันไป แต่ว่าอย่าลืมลึกลงไปต้องแก้ให้ถึงต้นเหตุด้วย อย่าแก้ปัญหาอยู่แค่ปลายเหตุ ต้องตลอดสายปลายเหตุจนไปถึงต้นเหตุ ใช่ไหม แล้วจะแก้ได้จริงต้องถึงต้นเหตุ นี่มนุษย์ตอนนี้ ถ้ามาพูดอย่างนี้ เด็กก็อ้างสิทธิมนุษยชน ต่อไปมันไม่เอาด้วยแล้ว รักนวลสงวนตัวอะไรล่ะ ฉันมีสิทธิมนุษยชน คุณอย่ามายุ่ง ว่างั้นนะ ??? สอนให้เด็กมันมีปัญญารู้ว่าเกิดมาเป็นมนุษย์ เรื่องของมนุษย์ เรื่องไหน สาระมันอยู่ที่ไหน ใช่ไหม แล้วเด็กเถียงได้ไหม เรื่องเพศสัมพันธ์ สาระที่แท้อยู่ที่การสืบพันธุ์ แล้วการเบี่ยงเบนผิดธรรมชาติหรือไม่ ดูได้จากจุดนี้ ใช่ไหม ก็มันมีเรื่องนี้มันเพื่อสืบพันธุ์ แล้วคุณไม่ใช่เพื่อสืบพันธุ์แล้วเพื่ออะไร มันก็คือเพื่อถูกธรรมชาติหลอก กลไกอะไรอื่น เรื่องสัพเพเหระเข้ามา ควรพูดกันให้ชัด ปล่อยไม่ได้เรื่องราวเหล่านี้ สังคมมันไปกันใหญ่
ผู้ฟัง (ผู้ชาย) : อยากจะขอเสริมอีกนิดนึงครับ จากที่กระผมได้เห็นเปรียบเทียบในต่างประเทศ ซึ่งก็ดูว่า ซึ่งผมมองแล้ว หนึ่วก็คือเรื่องของ ปรโตโฆสะ ในเมืองไทยที่ยังมีปัญหา ส่วนที่สองก็คือ โยนิโสมนสิการ ของตัวเด็กเอง ส่วนเรื่อง ปรโตโฆสะ นั้น ในต่างประเทศที่ผมเห็น การควบคุมสื่อต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นภาพยนตร์อะไรก็ดี ก็จะมีการกำกับเรื่องอายุ อย่างเข้มงวดเลยว่าหนังเรื่องนี้จะต้องผ่านกองการเซ็นเซอร์นะครับ เหมาะสมสำหรับเด็กอายุตั้งแต่เท่าไหร่ถึงเท่าไหร่ แต่บ้านเรานี่เปิดมากครับ คือหนังบางเรื่องไม่ควรจะให้เด็กต่ำกว่า 18 ได้ดูได้ หรือต่ำกว่า 21 นี่ไม่ควร แต่บ้านเรานี่ไม่มีการควบคุมตรงนี้เลยครับ ก็เลยว่าส่วนหนึ่งก็ทำให้เด็กที่เขาไม่มีโยนิโสมนสิการในตัว ก็หลงไปกับ ปรโตโฆสะ ตรงนี้
พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต) : ก็สังคมไทยเคยพูดอยู่เรื่อยๆ คือมันเป็นสังคมที่ว่าอยู่อย่างกันเอง มีความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์เป็นสำคัญ เราจะมีเรื่องของค่านิยมในความสนุกสนาน ค่านิยมสนุกสนานก็คือความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ดี แต่ในแง่ของกฏเกณฑ์หลักการเนี่ย เราจะไม่เอา ซึ่งตรงข้ามกับสังคมฝรั่ง สังคมฝรั่งมันถือกฎเกณฑ์กติกาเป็นใหญ่ ไม่เอาความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ ใช่ไหม สังคม 2 แบบเนี่ย ไปอเมริกาดูระหว่างคนขาวคนดำก็เห็นความแตกต่างเขา ไปตั้งแต่ครั้งแรกผมก็เห็นแล้ว ยกตัวอย่างง่ายๆ นะ ไปในถิ่นคนผิวขาวนะ บ้านเยอะแยะเรียงรายกัน ไม่มีคนอยู่นอกบ้านสักคน เงียบ เดินแล้วสะอาดสะอ้าน เดินไปเถอะ ไม่มีคนอยู่นอกบ้าน พอไปถิ่นคนดำ มายืนกันอยู่ที่บันไดเป็นกลุ่มเลย เต้นงอกๆแงกๆ คุยกันสนุกสนาน นี่คือวัฒนธรรมที่ต่างกัน ทั้งๆที่อยู่ในสภาพแวดล้อมเดียวกันนะ ไม่เหมือนกันเลย ไปทีไรๆ ก็จะเห็นเด็กผิวดำ แกจะชอบมากเรื่องดนตรี เรื่องสนุกสนาน เดินไปตามทางเท้าถือวิทยุไปด้วย เปิดดัง แล้วแกก็เต้นงอกๆแงกๆ บางทีมีไม้แกก็ฟาดโน่นฟาดนี่ สนุก เป็นคนละแบบ คนไทยเรานี่ก็ชอบสนุกสนาน อยู่เงียบๆไม่ได้ต้องมานั่งคุยกัน มาเข้ากลุ่มจับกลุ่ม ใช่ไหม ฝรั่งไม่ได้ ต้องอยู่เงียบ privacy ศัพท์ฝรั่ง ศัพท์สำคัญ privacy อย่ามายุ่ง ถือสิทธิส่วนบุคคล ของเราไม่ค่อยถือสิทธิส่วนบุคคล เพราะฉะนั้นของเราไม่ค่อยมีระบบพิทักษ์สิทธิ์ วัฒนธรรมมันต่างกันเยอะ ทีนี้เรากำลังจะเอาครึ่งๆกลางๆ ในแง่หนึ่งก็ไม่ค่อยเอาสิทธิส่วนบุคคล แต่ว่าเดี๋ยวนี้ก็เอาระบบสิทธิมนุษยชนมา แล้วก็จะเรียกร้อง มันก็สับสนหมด ฝรั่งมันเป็นอย่างนั้นเอง พื้นฐานเขา เมื่อเขาต่างคนต่างอยู่ ตัวใครตัวมัน รักษาสิทธิส่วนบุคคล แกอย่ามาลุกล้ำสิทธิข้า ข้า sue เลย ศัพท์ฝรั่งจะมี sue เรื่อยนะ มาทำอะไรพลาด อย่างเด็กบ้านนี้ไปเล่นบ้านโน้น ไปกินอาหารบ้านโน้นแล้วท้องเสีย พ่อแม่บ้านนี้ sue พ่อแม่บ้านโน้นเลย คนไทยเราก็ว่าเด็กตัวเองเลยใช่ไหม ว่าทำไปไม่ระมัดระวัง อะไรต่ออะไร ก็ถือว่าเพื่อนบ้านเขาก็ตั้งใจดี ฝรั่งไม่เอาหรอก ไปเดินล้มหน้าบ้านเขา ไม่กวาดหิมะให้ดี ก็ sue เจ้าของบ้าน ใช่ไหม ฉะนั้นวัดนี่พระไปอยู่ต้องกวาดลานหน้าวัดให้ดี ถ้าใครล้มหน้าวัดเขาไปฟ้องขึ้นศาลเรียกค่าเสียหาย ไม่รักษาที่ของตัวให้ดี แล้วทำให้เขาต้องบาดเจ็บ ฝรั่งนี่ sue กันเรื่องใหญ่ sue กันจริงเลย sue แล้วก็ฟ้องเรียกค่าเสียหาย เขาถือระบบพิทักษ์สิทธิ์ ของเราเป็นเอื้อเฟื้อต่อกัน มีความสัมพันธ์ทางสังคม มันคนละระบบ ฉะนั้นของเขาต้องใช้กฎหมาย กฎเกณฑ์กติกาอย่าละเมิด เอากฎเกณฑ์เป็นมาตรฐาน เป็นบรรทัดฐาน ว่าใครผิดใครถูก ของเราเอื้อเฟื้อกัน กันเองน่า ไม่เป็นไร นิดๆ หน่อยๆ ใช่ไหม เพราะฉะนั้นเราก็เลยไม่ค่อยถือกฎกติกา ฉะนั้นกฎกติกาในเมืองไทยนี่รักษายาก เพราะคนเรามันเอาเรื่องส่วนตัว เรื่องสังคม ความเอื้อเฟื้ออะไรต่างๆ อะไรพูดจากันอย่างเนี่ยนะ มันก็เลยลำบาก ทีนี้จะเห็นฝรั่งเขาถือหลัก the rule of law ฝรั่งจะเชิดชูมากอันนี้ rule of law ก็ถือกฎหมายเป็นใหญ่ ปกครองกันด้วยกฎหมาย ให้ฟังเถอะ อารยธรรมตะวันตก อเมริกันอะไรพวกนี้ ต้องเชิดชูนะ rule of law แล้วก็ให้ระหว่างประเทศเนี่ยจะต้องเข้ากฎของเขาให้ได้ และประชาธิปไตยต้องอยู่ด้วย rule of law ประชาธิปไตยก็ต้องอยู่ด้วยกติกาใช่ไหม เพราะฉะนั้น rule of law นี่เป็นศัพท์ใหญ่ยิ่งของฝรั่ง นักการเมืองไทยบางคนก็พยายามที่จะเอาอันนี้มาใช้ แล้วก็แปล rule of law ว่าหลักนิติธรรม ที่จริง rule of law ก็คือการถือกฎหมายเป็นใหญ่ หรือปกครองกันด้วยกฎหมาย ก็คือธรรมาธิปไตย ศัพท์พระที่แท้ก็คือ rule of law ก็คือธรรมาธิปไตย ถือธรรม คือตัวหลักการเป็นใหญ่ นี่ก็เป็นเรื่องของวัฒนธรรมที่มันต่างกัน ก็เป็นอันว่าฝรั่งนี่ โดยเฉพาะอเมริกัน ลัทธิปัจเจกชน ตัวใครตัวมัน ถือกฎกติกาเป็นใหญ่ เอากฎกติกาเป็นเกณฑ์วัด แล้วก็พิทักษ์สิทธิ์ของแต่ละคน อย่าละเมิดกัน ส่วนของเราเป็นเอื้อเฟื้อ แล้วก็ชอบความอบอุ่นในการอยู่ร่วมกัน เอื้อเฟื้อสนทนาปราศรัย ก็ไปคนละแบบ ก็คือว่าของเขามันจะมีกติกาที่เขาเอาจริงเอาจัง ก็อย่างที่ว่าไง เขาถือ rule of law แล้วเขาเคร่งครัดต่อกฎระเบียบ เพราะฉะนั้นเขารักษาได้ วางกติกาไว้ยังไง เขาก็ปฏิบัติตาม ของเราเอากติกาวางแล้วรักษาไม่ได้ ใช่ไหม พยายามทำตามเขา เสร็จแล้วกฎนี่ มันก็ไม่อยู่ มันก็เลี่ยงต่างๆ มันก็เลยแย่เป็นวัฒนธรรมครึ่งๆ กลางๆ จะเอาอะไรก็ไปไม่ได้สักอย่าง อย่างแค่ห้ามเด็กอายุเท่านี้เข้าร้านสุราเนี่ย ของฝรั่งเขาทำได้ ของเราทำไม่ได้ เราก็แย่สิสังคมของเรา ฉะนั้นสิ่งอบายมุขอะไรต่ออะไรเราก็รักษาไม่อยู่ เพราะเรากฎกติกามันไม่เป็นใหญ่จริง มันรักษาไม่ได้ ทีนี้สังคมไทยจะเอายังไง คือจะเป็นอย่างสังคมฝรั่ง ที่ในส่วนที่ดีของเขาเราก็เอามา ในส่วนของตัวเองเราก็สูญเสีย ใช่ไหม ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่อะไรต่ออะไรกัน ก็ค่อยๆ เลือนหายไป มันก็กลายเป็นได้ส่วนที่เสียของสองฝ่าย อย่างนี้มันก็โทรมเท่านั้นเอง ก็เอาเป็นว่าเรื่องของสังคมไทยก็มีปัญหาเรื่องนี้เข้ามา แล้วมันก็รวมไปถึงเรื่องของไอที เรื่องของเทคโนโลยีอีกใช่ไหม ทีนี้สังคมฝรั่งเขาก็มีปัญหามากอยู่แล้ว เรื่องของไอที เรื่องของข่าวสารข้อมูลที่มาเส้นทางอินเทอร์เนต เรานี่จะมีปัญหากว่าเขา การควบคุมการใช้อินเทอร์เนต อะไรต่ออะไร ที่ไม่ได้เรื่องอะไรเลย แล้วก็การขายเกลื่อนกลาดในเรื่องของซีดี วีซีดี อะไรก็แล้วแต่ พวกสื่อทั้งหลายเนี่ย ก็จะแย่เอามากๆ ของเราก็พอธุรกิจเข้าใสครอบงำ แล้วเรารักษากฎกติกาไม่ได้ หมดกันสิ พวกความเหลวเละทั้งหลายก็ไปถูกธุรกิจครอบงำ ธุรกิจก็มาล่อคนที่ลุ่มหลงในสิ่งเหล่านี้ กฎกติกาก็ถูกธุรกิจเข้ามาบิดเบือนอีก ใช่ไหม ทำให้เกิดคอรัปชั่น อะไรต่ออะไร ไม่รู้แหละ หลีกเลี่ยง กฎกติกาก็ไม่มีความหมาย สังคมก็ยิ่งเละเทะหมด นี่ของเขายังดีว่าการรักษากฎกติกายังดีกว่า ก็ยังคุ้มครองได้ดีกว่าเรา ฉะนั้นเราจะมีโอกาสที่จะเละเทะมาก สังคมของเราก็ขาดความเข้มแข็งแล้ว นิสัยในการผลิตก้ไม่ค่อยมี มีนิสัยเสพบริโภคมาอยู่แล้ว ใช่ไหม ก็เลยเข้ากันดีเลย อันนี้ของเขาพื้นฐานมีความเป็นนักผลิตอยู่ แม้จะมีความเป็นนักบริโภค มันก็เป็นตัวมาถ่วงดุลกันอยู่ แล้วกฎกติกาเขาก็รักษาได้ดีกว่า ใช่ไหม แล้วเขาเป็นผู้ผลิต แล้วเขาก็เป็นฝ่ายผู้กระทำ เราเป็นผู้ถูกกระทำ แล้วเขาเป็นผู้กระทำ เขาก็เป็นผู้สามารถนำวิถีของสังคม ของโลกให้เป็นไปตามที่เขาต้องการ ส่วนของเราเป็นผู้เต้นอยู่บนเวทีในส่วนที่เขากำกับ ถูกไม่ถูก เวลานี้สังคมไทย พวกเรานี่ส่วนมากคนไทยเต้นอยู่บนเวทีตามบทที่ฝรั่ง ญี่ปุ่นเขากำกับ เขาเป็นผู้ผลิตนี่ เขาเป็นผู้กำกับการแสดง ฉะนั้นเราก็ไม่มีบทบาทในการที่จะไปมีส่วนร่วมในการที่จะนำวิถีของมนุษยชาติ วิถีของอารยธรรม วิถีของทั้งโลก แม้แต่วิถีของสังคมของตัวเอง แม้แต่ชะตากรรมของสังคมของตัวเอง ก็ไม่ได้ ถูกไหม แล้วมันจะแย่ขนาดไหนล่ะ ท่านต้องคิดให้ดีนะเรื่องนี้ ฉะนั้นถ้าเราไม่ตื่นขึ้นมา ไม่มีความเข้มแข็ง ไปไม่รอด ปัญญา หลักการของเราก็มีดีอยู่เนี่ย ก็ไม่เอาขึ้นมา ใช่ไหม ฝรั่งเขาก็จับไม่ได้ถึงหลัการเหล่านี้ นี่เรื่องนี้จับให้ถูก เพศศึกษา ก็ต้องบอกแก่นมันอยู่ที่ไหน เรื่องของเพศสัมพันธ์ แล้วเอาจุดนั้นให้ได้เป็นแกนมาตรฐาน ต่อจากนั้นเรื่องอื่นก็อาศัยเกณฑ์มาตรฐานนี้มาช่วยจัดให้มันดี ให้มันพอดีขึ้นมา ไม่งั้นมันไม่มีทางพอดี แล้วก็ไปเที่ยวอ้างสิทธิมนุษยชนอะไรต่ออะไรกัน ทีนี้ก็เละเลย สิทธิเสรีภาพกลายเป็นสิ่งที่นำมาใช้อ้างเพื่อความเหลวไหลเลอะเทอะ แต่เมื่อเสรีภาพจะเป็นเครื่องมือที่จะใช้โอกาสในการพัฒนาชีวิตมนุษย์ เคยพูดกันแล้วมั้ง เรียกว่าเรามีวินัยเพื่ออะไร ใช่ไหม เรามีวินัยเพื่อจะจัดสรรให้เกิดโอกาส ถูกไหม เคยยกตัวอย่างบ่อยๆ ถ้าเราไม่มีระเบียบแม้แต่จัดตั้งวางของเกะกะ จะเดินจะเหินก็ลำบาก ไม่รู้กว่าจะถึงประตูนี้เสียเวลาเยอะแยะ เราก็ต้องจัดของให้มีระเบียบ มีวินัย ตามท้องถนน จราจรก็ต้องมีวินัย ตกลงกฎกติกากันไว้ตามนั้น ไม่ไฟเขียวไฟแดง มีแล่นทางขวาทางซ้าย แล้วก็มีกฎเกณฑ์กฎหมายคุมไปอีกในการที่จะระวังเรื่องการลักขโมย ทำร้ายกัน ใช่ไหม เมื่อวินัยมันดี กฎหมายอยู่ ก็จะปลอดภัย จะเดินทางไปทำธุรกิจที่ไหนเวลาไหน ค่ำคืนก็ไปได้ มนุษย์ในสังคมนั้นก็เกิดโอกาส วินัยก็เป็นเครื่องจัดสรรให้เกิดโอกาส เพื่อจะได้ทำกิจกรรมของมนุษย์ได้ ถ้าไม่มีวินัยก็จบกัน ไม่มี แม้แต่วินัยแต่ละคนไม่มี เช่นจัดเวลาก็ไม่เป็น วันๆทำอะไรก็ไม่ได้เรื่อง พอมีวินัยเข้ามามันก็ทำอะไรต่ออะไรได้ขึ้นมา วินัยเป็นเครื่องจัดสรรให้เกิดโอกาส พอมีเสรีภาพ ก็มีโอกาสนั้นเพื่ออะไร เพื่อจะพัฒนามนุษย์ พัฒนาชีวิต พัฒนาสังคมให้มันดีขึ้น โอกาสเนี่ย มันไม่ใช่โอกาสที่จะเล่นเรื่อยเปื่อยไปหรอก ใช่ไหม โอกาส วินัยจัดสรรโอกาสเพื่อให้มนุษย์จะได้พร้อมที่จะพัฒนาชีวิต พัฒนาสังคมของตัวเอง ทีนี้มนุษย์ต้องมีเสรีภาพ ถ้าไม่มีเสรีภาพก็ไม่สามารถใช้โอกาสที่วินัยจัดให้ ก็ให้มนุษย์ในสังคมประชาธิปไตยมีเสรีภาพเพื่อจะมาใช้โอกาสที่วินัยจัดให้นี้ เสรีภาพนี้ก็จะเอื้อในการที่จะมาพัฒนาชีวิตของแต่ละคนให้ดีขึ้น ทีนี้เมื่อมนุษย์ไม่รู้เรื่อง วินัยก็กลายเป็นเรื่องบังคับ แล้วไม่รู้ว่าจะจัดโอกาสยังไง แกไม่รู้ แกนึกว่าบังคับกันท่าเดียว เสรีภาพแกก็นึกว่าทำตามใจชอบ ก็ไม่มีจุดหมาย ใช้โอกาสก็ไม่เป็น เหมือนก็ใช้ไปตามใจชอบของตัวเอง ก็มาขัดแย้งกันมันก็ไม่เกิดการพัฒนาชีวิตของตน ฉะนั้นเสรีภาพเขามีไว้เพื่อจะมานี่แหละ มาใช้โอกาสใช้วินัย เรามีกฎหมายขึ้นมาทำให้เกิดโอกาสในทางที่ดี เพราะปิดโอกาสช่องร้ายใช่ไหม แล้วก็ให้เปิดโอกาสที่ดีงาม ก็คือโอกาสในการพัฒนาชีวิตสังคม แล้วก็มีเสรีภาพ ก็มาใช้โอกาสนี้ อย่างน้อยตัวเองมีสติปัญญา มีความรู้เข้าใจ มีความคิดดีๆ ก็จะได้ใช้เสรีภาพนี้เป็นโอกาส เอาเสรีภาพนี้มาใช้โอกาสในการแสดงความคิดเห็น ซึ่งจะเป็นการสร้างสรรค์ร่วมที่จะรับผิดชอบสังคมและสร้างสังคมให้ดีงาม มนุษย์ก็มีเสรีภาพในการพัฒนาชีวิตให้ดียิ่งขึ้น ทีนี้พอมันใช้เสรีภาพไม่เป็น ใช้โอกาสไปในการที่ลุ่มหลงเสพบริโภค ชีวิตมันก็ไม่พัฒนา มันก็มาขัดแย้งทะเลาะวิวาทกันอยู่ ประโยชน์ที่มีในชีวิตตัวเอง ตัวเองก็ไม่มีอะไรจะให้แก่สังคม ใช่ไหม ในความคิดสติปัญญาที่พัฒนามันก็ไม่มี มันก็ไม่มีอะไรให้ สังคมก็เจริญไม่ได้ เสร็จแล้วมันก็ไปขัดกับหลักการอื่น เสรีภาพ ความเสมอภาค และภราดรภาพ หลักการของประชาธิปไตย เมื่อก่อนเขามี 3 ตอนนี้ก็หดเหลือ 2 จริงไหม ประชาธิปไตยเมื่อเริ่มกำเนิด ฝรั่งเศสเป็นตัวเริ่มแรกด้วนซ้ำ ก็มีหลักการประชาธิปไตยเขามี 3 คืออะไร หนึ่ง –liberty ก็เสรีภาพ สอง – equality ความเสมอภาค สมัยก่อนเราใช้ศัพท์เป็นบาลีว่า สมภาพ สาม- fraternity ก็แปลว่าภราดรภาพ นี่คือหลักการประชาธิปไตย ในยุคปฏิบัติฝรั่งเศส เริ่มต้นเลย แล้วก็มีความเชื่อมโยงประชาธิปไตยจากการปฏิวัติฝรั่งเศส ประชาธิปไตยก็ถือเอาความคิดในเชิงนี้ ฝรั่งเศสนี้เป็นตัวการสำคัญ ทีนี้ 3 ภาพ เราจะเน้นแต่เสรีภาพ และความเสมอภาค เมื่อต่างคนต่างจะเอาเสรีภาพ จะใช้สิทธิของตัวเองเต็มที่ตามชอบใจของตัวเอง ภราดรภาพ ความเป็นพี่เป็นน้องก็เกิด ไม่ได้ มันก็แย่งตีกันใช่ไหม หรือว่าเสรีภาพมันไม่ได้ดุล คนไหนมีกำลังมากก็เอามาก เอาเปรียบคนอื่น มันได้มาก มันเสมอภาคไม่ได้ ถูกไหม ก็เสรีภาพสุดโต่งไปแล้ว ที่ปัจเจกชนนิยม มันก็เสมอภาคแท้ไม่ได้ ภราดรภาพไม่ต้องพูดถึง ทีนี้เสมอภาค คอมมิวนิสต์เห็นว่านี่มันไม่เสมอภาคกันจริงนี่ คนจนคนรวยมันต้องเสมอภาคจริง ก็จัดใหม่เลย ให้เสมอภาค อีตาคอมมิวนิสต์ เขาก็จะให้เสมอภาคกันจริง ใช่ไหม แต่ไม่เอาเสรีภาพ แกก็สุดโต่งไปเสมอภาค รวยจนเท่ากันหมด ใช่ไหม แกเอาเสมอภาคแกก็บอกฉันประชาธิปไตย ถูกไหม อย่างพวกประเทศลาว หรือจีนแดง เขาก็บอกว่าเขาเป็นสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชน ใช่ไหม ประชาธิปไตยเหมือนกัน เสมอภาคเป็นใหญ่ จนกระทั่งว่าเท่ากันหมดทุกคน เสร็จแล้วแต่งตัวสมัยก่อน ทันไหม จีน ผู้หญิงผู้ชายแต่งตัวอย่างเดียวกันหมดเลย พอเปิดประเทศเท่านั้น คราวนี้คนจีนไปสุดโต่งเลย เพราะแกถูกบีบกดมานาน ไม่พอดี แบบอเมริกันทุนนิยมก็เสรีภาพสุดโต่ง แบบสังคมคอมมิวนิตส์ก็เสมอภาคสุดโต่ง แต่ทั้งสองพวกนี้ ไปๆมาๆ ภารดรภาพไม่มี ความเป็นพี่เป็นน้อง อยู่ด้วยกันไม่ได้ ของพระพุทธศาสนานี่ ยังไง ๆ อย่าให้เสียภราดรภาพ จึงถือสามัคคีเป็นหลัก ใช่ไหม สามัคคีเป็นใหญ่ เพราะว่าเราต้องการสร้างสังคมนั้นให้เป็นสภาพเอื้อที่ทุกคนอยู่เป็นสุข และจะเป็นภาพให้แต่ละคนพร้อมที่พัฒนาชีวิตให้ดีขึ้น ถ้าไม่มีภราดรภาพ ไม่มีสามัคคี มันก็จะเสียหมด ก็จะเกิดการแย่งชิง การเอารัดเอาเปรียบ จิตใจก็ยิ่งพัฒนาในทาง
เหี้ยมเกรียม ความโลภ ความอะไรต่ออะไรได้ง่าย ถูกไหม ฉะนั้นก็เนี่ย แค่หลักประชาธิปไตย 3 อย่างก็รักษาดุลยภาพไม่ได้ เสรีภาพ สมภาพหรือความเสมอภาค เดี๋ยวนี้แปลความเสมอภาค ที่จริงเดิมเขาให้มีภาพ ภาพ ภาพ หมด เสรีภาพ สมภาพ ภารดรภาพ แล้วก็ 3 ty จำไว้เลยนะ liberty equality fraternity 3 อันนี้ต้องมีดุลยภาพกันอยู่ ประสานเป็นอันหนึ่งอันเดียว ตอนนี้ก็จะเหลือ 2 แทบจะไม่พูดถึงอันที่ 3 แล้ว 2 อันนี้ก็จะสุดโต่งไปอันใดอันหนึ่ง แล้วก็จะยุ่งไปหมด ตกลงประชาธิปไตยนี่ก็ ตอนนี้อเมริกาแกจะไปไหน แกก็บอกว่าแกจะพยายามทำให้โลกเป็นประชาธิปไตย ทำให้ประเทศนั้นเป็นประชาธิปไตย ก็แบบของแก ประชาธิปไตยแบบทุนนิยม ใช่ไหม เขาเรียกว่า free market democracy ประชาธิปไตยแบบตลาดเสรี อันนี้ก็เป็นเรื่องของปัจจุบัน ในระดับโลก แต่รวมแล้วเรื่องทั้งหลายนี้ถึงกันหมด พอ free market ทุนนิยม เรื่องของธุรกิจก็มีบทบาทใหญ่ พอธุรกิจกเป็นบทบาทใหญ่ก็เลยผลประโยชน์มา ผลประโยชน์มาก็ต้องมีฝ่ายผู้ได้เปรียบ ผู้เสียเปรียบ ฝ่ายผู้ผลิต ฝ่ายผู้บริโภค แล้วก็หาผลประโยชน์ให้กับตัวเอง เกิดความลุ่มหลงมัวเมา เพราะมันหาความพอดีได้ยาก วันนี้ก็เลยพูดไปเรื่องกว้าง
ๆ ด้วย
ผู้ฟัง (ผู้ชาย) : การศึกษาเรื่องเพศสัมพันธ์ก็คือการสืบพันธุ์
พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต) : ก็ตัวจริงมันอยู่ที่นั่น
ผู้ฟัง (ผู้ชาย) : แก่นสารของการสืบพันธุ์ก็คือการได้พันธุ์ที่ดี
พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต) : ไม่ใช่ หมายความว่าเมื่อมันเป็นอย่างนั้น เวลาเราพูดอีกชั้นว่าไม่ใช่แก่นสาร เมื่อแก่นสารของการมีเพศสัมพันธ์อยู่ที่การสืบพันธุ์ เพราะฉะนั้นมนุษย์ควรจะทำยังไง นี่คือข้อปฏิบัติ คือในเมื่อความจริงเนี่ยคือการสืบพันธุ์ เมื่อความจริงเป็นอย่างนั้น เราก็จะมีข้อปฏิบัติ แล้วมนุษย์ควรปฏิบัติตัวอย่างไร ตอนนี้ที่เป็นเรื่องของมนุษย์ เมื่อเราต้องการความจริงก็คือการสืบพันธุ์ ฉะนั้นเราก็ควรจะได้พันธุ์ที่ดี ถูกไหม ควรจะได้พันธุ์ที่ดี มนุษย์ก็มาวางข้อปฏิบัติกันสิ ถูกไม่ถูก
ผู้ฟัง (ผู้ชาย) : ถูกครับ แต่ถ้าเราจะได้พันธุ์ที่ดี ก็ต้องหาพ่อแม่พันธุ์ที่ดีด้วย ถ้าเราจะได้พ่อแม่พันธุ์ที่ดีแล้วเรื่องความรักเราก็อาจจะมีบทบาทน้อยลง ก็ทำให้ชีวิตครอบครัวอาจจะมีปัญหา หย่าร้างเกิดขึ้น แล้วจะเกิดปัญหาสังคมก็คือเด็กก็จะขาดความรัก ก็อาจจะหันหน้าไปพึ่งพาเกี่ยวกับสิ่งไม่ดี
พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต) : พันธุ์ที่ดีในที่นี้มันไม่ใช่พันธุ์ที่ดีแบบเทคโนโลยี ไม่ใช่แบบพันธุวิศวกรรมนะ มันพันธุ์ที่ดีแบบมนุษย์ มนุษย์ต้องมีชีวิตชีวา ต้องมีร่างกาย มีจิตใจ ถูกไหม หมายถึงจิตใจที่ดีด้วยนะ ตอนนี้ท่านคิดกันมาก คำว่าได้พันธุ์ที่ดีเนี่ย คือได้ลูกที่ดี พูดง่ายๆ จะได้ลูกที่ดี พ่อแม่ต้องมีความรักกันจริง พ่อแม่ต้องมีคุณธรรม ถูกไม่ถูก เดี๋ยวนี้ชักเห็นแล้วใช่ไหมว่าเด็กในท้องมันขึ้นอยู่กับจิตใจพ่อแม่ด้วย หรือแม้แต่เสียงดนตรี บรรยากาศ ถูกไหม นี่ละครับ คำว่าพันธ์ที่ดี ก็คือลูกที่ดี จะได้ลูกที่ดีทำไง ก็ต้องดูแลตั้งแต่ว่าปู่ย่าตายายพ่อแม่ก็คอยดูแลว่าให้ลูกได้คู่ครองที่ดี ซึ่งมีความประพฤติดีงาม มีนิสัยจิตใจที่ดี รักกันจริง มีเมตตากรุณาต่อกัน ซื่อสัตย์ต่อกัน มันเต็มไปหมดเลย จริงไม่จริง ถูกไหม พันธุ์ที่ดี ลูกที่ดี นั่นเอง คราวนี้เราต้องมาคิดกันมาก แล้วจะไปเองแหละ ระบบครอบครัวมันดี เข้าใจนะ พันธุ์ที่ดี เพราะเราไม่สามารถจะรู้หรอก คือระบบธรรมชาติมันไม่ใช่ระบบพันธุวิศวกรรม นั่นเขาเก่งในทางวิทยาศาสตร์ เขาก็ดูว่ายีนเป็นยังไงใช่ไหม อันนี้เราดูไม่ออก บางทีพ่อแม่ ขออภัย พ่อปัญญาดีเลิศ แต่งงานแล้วลูกออกมาปัญญาอ่อน มีไหม เพราะฉะนั้นเอาแน่ไม่ได้ เพราะฉะนั้นมนุษย์ก็ต้องเอาธรรมชาติในทางสังคมที่อยู่ร่วมกันนี่แหละ พิจารณาดูนิสัยใจคอ ความประพฤติลักษณะอะไรอย่างนี้ เพราะฉะนั้นคนโบราณจึงมีหลักเยอะแยะในการที่จะดูคู่ครอง เพื่อจะได้คู่ครองที่ดี จะได้มีบุตรหลานที่ดี นี่มันมากับระบบธรรมชาติ ที่มนุษย์จะมีปัญญารู้ ไม่ใช่ว่าไปใช้วิธีวิทยาศาสตร์ นั่นปล่อยเขาไปอีกพวกหนึ่ง คิดกันไปอีกนาน ไม่รู้จะสำเร็จแค่ไหน แต่ว่าวิธีของเรานี่เราไม่ได้ เราก็จะต้องสอนคน คิดให้ถูกทาง ที่เขาคิดกันมาโบราณ เขาพยายามมากนะเรื่องนี้ เพื่อจะให้ได้ลูกหลานที่ดี ได้บุตรที่ดี คิดกันจนกระทั่งว่าต้องดูหมอดูโหรเลย ลักษณะที่ดี ลักษณะที่ไม่ดี คิดกันหนักหนาเลย แสดงว่าคนโบราณก็ยังรู้จักจุดเน้น ให้ไปเน้นที่บุตรหลาน ที่จะแต่งงานกันเนี่ย มันต้องไปเน้นบุตรหลาน เขาก็ยังมีหลัก คนสมัยนี้ไม่เอาเลย มันไม่มองเรื่องการที่จะสืบสกุล ลูกหลานจะเป็นยังไง เสพเพศรสอย่างเดียว มนุษย์มีอารยธรรมอะไรก็ไม่รู้ อารยธรรมเหลวเป๋ว เรื่องนี้ก็ต้องฟังให้ชัด เมื่อท่านเข้าใจเรื่องนี้ชัด แล้วก็ มันก็จะมาโยงกันเอง บางอย่างก็ไม่ต้องตอบโดยตรง ก็ตอบไปเองเลย พอได้รับก็ตอบเลย ก็ตอบเจาะจงเลยทีนี้ หมายถึงเจาะจงหลักนะ ไม่ใช่รายละเอียดปลีกย่อย เห็นด้วยไหมในการที่จะแก้ปัญหาสังคม ไม่เห็นด้วยก็ค้านมานะ ก็ต้องช่วยกัน ตอนนี้สังคมไทยเราต้องถือว่าถึงขั้นเละเทะแล้วนะ ท่านว่าเละไหม เละเทะเลอะเทอะเปรอะเปื้อน ทีนี้ก็ไปกันใหญ่ ตัวเองก็ไม่รู้เข้าใจตัวเอง อารยธรรมของตัวเองก็ไม่เข้าใจ แล้วก็รับเขามาใช้ ก็ใช้ไม่ได้ ได้แต่พูดกันเป็นสนุก เป็นโก้ไป rule of law หลักนิติธรรม แล้วฝรั่ง good governance ก็ธรรมาภิบาล ว่าเข้าไปนั่น ธรรมาภิบาล ก็ว่ากันไป ดีไม่ดีก็กลายเป็นว่ากันโก้ๆ ต่อไปก็ไว้ตอบคำถามเรื่องทุกข์สุขให้มันเป็นเรื่องเป็นราวได้เรื่องขึ้นมา ถ้างั้นตกลงพรุ่งนี้มาเจอกัน จะได้คุยกัน โมทนาวันนี้