แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ไฟล์ถอดเสียงนี้ยังไม่ได้ผ่านพิสูจน์อักษร นำขึ้นมาเพื่อช่วยในการศึกษาค้นคว้าของผู้สนใจ
พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต) : ขอเจริญพรญาติโยมชาวธรรมะร่วมสมัยทุกท่าน ขออนุโมทนาที่ชาวธรรมะร่วมสมัยได้มีศรัทธาในพระรัตนตรัย และมีฉันทะในการทำบุญทำกุศล ตลอดจนฉันทะในการศึกษาพระธรรมวินัย อย่างที่ปรากฏในรายการของธรรมะร่วมสมัยอยู่แล้ว วันนี้ทางคณะได้มาที่วัดอีกครั้งหนึ่ง มาครั้งนี้เหมือนกับว่าเป็นการประจำปีไปเลย ปีที่แล้วนี้ก็มา นอกจากผู้ดำเนินรายการ คือพันเอกทองขาว พ่วงรอดพันธุ์ แล้ว ญาติโยมก็มากันจำนวนมาก อย่างคุณสันติ นี่ก็ได้ยินเสียงกันบ่อยๆ เพราะว่าญาติโยมก็นิยมการที่ท่านได้ให้ข้อคิดเห็นต่างๆ ก็มา โยมสุชาดาก็มา โยมอื่นๆ ก็หลายท่าน คงจะมีพูดออกเสียงทางวิทยุเป็นครั้งคราว แล้วก็เมื่อเช้านี้นึกถึงชื่อผู้ดำเนินรายการ คือพันเอกทองขาว นึกชื่อไม่ออก นึกอยู่เป็นนาน ทำไมนึกไม่ออก ตอนนี้ความจำชักเสื่อม พอนึกถึงชื่อ พอนึกขึ้นได้ นามสกุลก็มาด้วย พันเอกทองขาว พ่วงรอดพันธุ์ วันนี้อาจารย์กมลก็มา แล้วก็นึกถึงอาจารย์สนิท ตอนแรกก็นึกไม่ออก ชื่ออาจารย์สนิทนึกไม่ออก พอนึกชื่ออาจารย์สนิทได้ ศรีสำแดง ก็มาด้วย ทีเป็นอย่างนี้เพราะว่ามันเป็นเรื่องของคนที่อายุชักมากขึ้น นึกเรื่องที่เป็นปัจจุบันไม่ค่อยออก ทีนี้นามสกุลติดอยู่กับชื่อนั้น เป็นเรื่องติดมาด้วยกัน ฉะนั้นพอนึกชื่อได้นามสกุลก็ติดมาเอง ก็เป็นเรื่องค่อนข้างธรรมดา เหมือนอย่างหลวงลุงที่นั่งอยู่ซ้ายอาตมา ท่านก็อายุ 89 แล้ว เรื่องเก่าๆ จำได้ดีนัก แต่ว่าเรื่องใหม่นี้ประเดี๋ยวเดียวลืม อันนี้ก็เป็นเรื่องของสังขารอย่างหนึ่ง อันนี้ญาติโยมนี่ก็ชาวธรรมะร่วมสมัย แม้ว่าตัวญาติโยมเองอาจจะไม่ได้พบกันบ่อย แต่ว่ามีใจร่วมกัน ก็คือใจไปรวมอยู่ที่ธรรมะ ที่รายการที่ฟัง ฉะนั้นก็ชื่อว่าเป็นความสามัคคีอย่างหนึ่ง สามัคคีกันด้วยใจอย่างนั้นแล้ว วันนี้ก็มาพบปะพร้อมเพรียงกัน ก็เป็นกายสามัคคี ได้ครบ คือได้ทั้งจิตสามัคคี แล้วก็กายสามัคคี แล้วก็มากายสามัคคี จิตสามัคคี ที่ดี คือมาร่วมกันทำบุญทำกุศล เพราะฉะนั้นก็ขออนุโมทนาเป็นอย่างมาก ก็ต้องขออภัยด้วยตามปกติงานต่างๆ อาตมาไม่ค่อยได้ออกมา ออกมาเฉพาะวันสำคัญ วันสำคัญบางครั้งก็ไม่ได้ลง ก็พอดีไม่ปกติ ร่างกายไม่อำนวย วันนี้ก็ต้องออกตัวไว้ก่อน เหนื่อย ที่พูดนี่ชีพจรมาไม่ทัน ถ้าชีพจรมาสัก 109 ขึ้นไป 110 ขึ้นไป ก็จะไหว ตอนนี้มาไม่ทัน คงต้องพูดสักพักหนึ่ง แล้วพอดีว่าเมื่อวานนี้ไปตรวจอยู่โรงพยาบาลตั้ง 4 ชั่วโมงครึ่ง กลับมาพระก็ถามว่าเหนื่อยเพลียไหม ไม่เหนื่อยไม่เพลียหรอกเมื่อวาน มันมาเหนื่อยเอาวันนี้ เป็นธรรมดาของอาตมาว่าวันที่เดินทางหรือวันที่ไปทำกิจธุระนั้น วันนั้นไม่เพลีย แต่จะเพลียวันรุ่งขึ้น เมื่อคืนก็นอนตั้ง 7 ชั่วโมงแล้ว ตื่นสักเดี๋ยวก็เพลียกันใหญ่ อันนี้พระที่อยู่ด้วยท่านก็ไม่ทัน จับไม่ได้ คือนึกว่าเราไปมาแล้วจะเพลีย วันนั้นมันไม่เพลียหรอก มันจะเพลียวันรุ่งขึ้น ก็เป็นอย่างนี้เป็นธรรมดา ทีนี้อย่างที่กล่าวแล้วว่าตามปกตินั้นไม่ออกมางานนี้ เพราะร่างกายปรับตัวไม่ค่อยไหว เช่นว่าฉันอาหารเสร็จ อย่างรายการวันนี้ก็มีทำบุญถวายภัตตาหารด้วย พอฉันภัตตาหารเสร็จแล้ว ตามปกติเลือดก็ไปเลี้ยงกระเพาะมาก คนมักจะง่วงนอน อันนั้นก็เป็นเรื่องค่อนข้างธรรมดา แต่ของอาตมาไม่ใช่แค่นั้น คือถ้าไม่ได้นอนในเวลาสัก 10 นาที หลังจากฉัน จะเป็นปัญหาแก่สมองเลย สมองจะไม่สบาย เป็นปัญหาไปแทบทั้งวัน ก็ไม่คุ้มกัน ฉะนั้นจำเป็นจะต้องรีบนอน เพื่อจะให้สมองมันทำงานได้ หลังจากนั้นแล้วนอนสักครึ่งชั่วโมงก็ได้ แล้วหลังจากนั้นจะทำงานกี่ชั่วโมงก็ทำไป วันนี้ที่จริงนั้นไม่ได้กะว่าจะออกมาหรอก แต่ทีนี้พระครูปลัดบอกว่าเป็นรายการมาเยี่ยมไข้ ก็มาเยี่ยมก็เลยบอกว่าตามปกติก็ไปเยี่ยมกันที่กุฏิเลย แต่ทีนี้ได้ยินว่ามาญาติโยมตั้งร้อยกว่า ไปที่กุฏิไม่ไหว ก็เลยต้องมาที่นี่ แล้วเมื่อกี้อาจารย์ทองขาวบอกว่านิมนต์กล่าวธรรมโอวาท ก็เลยผิดคาดไป ก็เข้าใจว่าจะมาเยี่ยมไข้เท่านั้น ทีนี้ถ้าหากว่าเป็นการเยี่ยมไข้นี่ ความจริงตามปกติต้องเล่าอาการ เพราะมิฉะนั้นแล้วก็ ในเมื่อมาเยี่ยไข้กลับไปถามแล้วไม่รู้เป็นอะไร ทีนี้ถ้าหากเป็นรายการเยี่ยมไข้ อาตมาก็ต้องถือโอกาสเล่า เพราะว่าโยมมาพบแล้วต้องรู้ ถ้าไม่พบไม่เป็นไร ไม่พบก็แล้วไป ถ้าพบแล้วต้องเล่าเพื่อ หนึ่ง-จะได้รู้เข้าใจตามที่เป็นจริง จะพูดจะอะไรก็จะได้บอกได้ถูก ทั้งตัวเองก็เข้าใจ บอกคนอื่นก็ได้ แล้วอีกประการหนึ่งคือจะได้ปฏิบัติต่อกันได้ถูกต้อง แล้วประโยชน์พิเศษเหนือจากนั้นก็คือ โยมก็อาจจะได้พิจารณาไปตามพระไตรลักษณ์ ให้เป็นว่าสังขารที่มันไม่เที่ยง มันเปลี่ยนแปลงไป มันเป็นไปตามเหตุปัจจัย มันไม่เป็นไปตามใจปรารถนา จะเอาตามใจชอบของตนไม่ได้ เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา อันนี้โยมก็จะได้พิจารณาด้วย ก็ขอโอกาสเล่าอาการหน่อย โยงคงจะไม่รังเกียจนะ คือที่เป็นอยู่นี่ขณะนี้เอาปัจจุบัน มีเจ็บปวด 4 บริเวณ หนึ่ง-ก็คือบริเวณศีรษะที่เกี่ยวกับเรื่องตา ไม่ใช่เป็นเรื่องของตัวปวดหัวอะไรเลยนะ ปวดเนื่องจากลูกตา แล้วหมอก็เพิ่งพบว่าเป็นต้อหินทั้งสองตา โยมได้ยินแล้วบางท่านส่ายหน้าเลย ต้อกระจกก็เป็นสองตา ต้อหินก็สองตา ต้อหินนี้เป็นเรื่องใหญ่ ที่ว่าเมื่อวานนี้อยู่โรงพยาลาลไปตรวจกัน ต้อหินเป็นเรื่องที่ต้องรักษากันตลอดชีวิต ไปโรงพยาบาล เมื่อครั้งก่อนไปศิริราช หมอที่ทำงานที่นั่นบอกว่าเมื่อตอนที่ท่านเข้ามาเริ่มทำงานเนี่ย สมัยนั้นยังไม่มีทางรักษา ใครเป็นต้อหินทำได้อย่างเดียวคือควักลูกตาทิ้ง แต่ตอนนี้การแพทย์เจริญขึ้นมาก ก็เลยมีตาที่จะหยอดลดความดัน แต่ต้องคอยตรวจกันอยู่เสมอว่าหยอดไปได้ผลไหม เพราะว่าบางทีมันดื้อยา ดื้อยาก็ต้องเปลี่ยน ทีนี้ถ้าหากว่ามันไม่รับยาแล้วจะต้องผ่าตัดเลเซอร์ แล้วมันก็ไม่ยั่งยืน ก็ตันได้อีก แล้วตาเราเป็นอวัยวะที่เล็ก หมอก็อธิบายว่าจะผ่าได้สัก 3 ครั้งก็ไม่ไหวแล้ว ฉะนั้นถ้าไม่มีความจำเป็น เขาจะหลีกเลี้ยง ไม่ยอมผ่า ก็ใช้ยาหยอดไป แต่ต้องหยอดกันตลอดชีวิต อันนี้ก็เป็นเรื่องที่หนึ่งเรื่องต้อหิน พอรู้ว่าเป็นต้อหินก็เลยโยงไปหาเรื่องเก่า ซึ่งอาจจะเป็นเหตุของการเป็นต้อหินนี้ก็ได้ ก็คือพอไปตรวจที่โรงพยาบาล คุณหมอท่านหนึ่งที่เกษียณไปแล้ว ท่านก็มาดูที่ตรวจ ท่านก็มาพูดบอกว่าท่านตรวจอาตมาเมื่อ 20 ปีมาแล้ว ตาอาตมาเอียงมาก แล้วท่านใช้ตามาได้อย่างไร คือตาของอาตมาเป็นตาที่ไม่เหมาะแก่การใช้อ่านหนังสือเลย แล้วมาอ่านหนังสือยังไงวันละ 12 ถึง 15 ชั่วโมง มาตั้ง 20-30 ปี ตาเอียงขนาดนี้ แม่แต่ทำแว่นก็ทำให้ไม่ได้ มันทำได้แค่ขีดจำกัด หมอก็เลยอธิบาย เราก็ได้ความรู้บอกว่าตาเอียงนี้จะทำแว่นได้แค่เอียง 200 แต่ถ้าเกินกว่านั้นไปก็ทำได้แค่ 200 ของอาตมานี่เอียง 300 ฉะนั้นก็เกินเขต จริงอยู่คนที่เอียงไป 400-500 ก็คือผิดปกติ ฉะนั้นก็เป็นตาที่ผิดปกติ ใช้งานมาโดยไม่รู้ตัวเนี่ย กล้ามเนื้อมันทำงานมากเกินปกติไป ก็อาจจะเป็นเหตุหนึ่งมาลงท้ายด้วยการเป็นต้อหิน ก็ไม่ทราบสัมพันธ์กันยังไงหรือเปล่า แต่เวลานี้ก็คือทั้งสองอย่างมันก็มาระดม เพราะว่าเจ้ากล้ามเนื้อตามันใช้งานมานาน มันถูกกดดันมาก แล้วร่างกายก็อ่อนแอลงเพราะความชราด้วย เพราะฉะนั้นมันก็ทนไม่ไหว เวลานี้อ่านหนังสือ บางทีตื่นขึ้นมายังสบายดีอยู่ พอมาจับอ่านหนังสือสัก 2 นาทีเริ่มปวดเลย ขออภัยปวดที่นี่ ข้างในนี้ ทีนี้ถ้าฝืนต่อไปก็จะปวดไปทั่วหน้าผาก แล้วจากปวดก็กลายเป็นมึนศีรษะไป บางทีมึนไปหลายวัน ตอนที่อาตมาเข้าโรงพยาบาลนั้น มึนศีรษะทั้งวันทั้งคืน โดยไม่ทราบสาเหตุมา 3 เดือน มันง่วงอย่างหนักจนทนไม่ค่อยไหว พอจับเหตุได้ว่าเป็นต้อหินแล้วหมอหยอดยาลดความดัน ดีขึ้น อาการมึนไป 3 เดือน หายเป็นปลิดทิ้งเลย ฉะนั้นนี่ก็เป็นเรื่องหนึ่ง เล่าให้ญาติโยมฟัง ฉะนั้นตอนนี้ก็เลยบอกญาติโยม บอกว่าถ้าใครไม่มีเรื่องจำเป็น อย่าส่งเอกสารมาให้อ่าน มีผู้ส่งจดหมายมา บางที 2 หน้า อาตมาก็ต้องวางทิ้งไว้ก่อน ยังไม่อ่าน ทีนี้ท่านผู้ที่ส่งมาก็อาจจะหาว่าไม่เอาใจใส่ ก็เลยต้องบอกให้รู้กันว่ามันมีเหตุจำเป็นนะ เวลานี้ ต้องใช้งานเฉพาะที่มันก็เรียกว่าจำเป็น นี่ก็เป็นเรื่งที่หนึ่งคือเรื่องตา ทีนี้เรื่องที่สองก็คือเรื่องเจ็บบริเวณหน้าอก อันนี้เป็นมานาน อาตมาเป็นวัณโรคอย่างร้ายแรงมาเมื่อสมัยตอนเป็นเณรด้วยซ้ำ ตอนใกล้จะบวชพระเนี่ย เป็นวัณโรครุนแรงมาก อาเจียนเป็นเลือดจนเอากระโถนรับเลือดไม่ทัน ฉะนั้นก็บอบช้ำมาก ทีนี้เมื่อหายจากวัณโรค พังผืดก็จับปอด ปอดก็เป็นฝ้า เวลาถ่ายเอ็กซเรย์ ถ้าหมอที่ไม่รู้เรื่องเก่า จะค่อนข้างตกใจว่าขั้วปอดเป็นฝ้าทั้งสองข้าง กลัวจะเป็นมะเร็งปอดแล้ว จับตรวจกันยกใหญ่ บางทีเสียเวลาตรวจกันนาน เป็นอย่างนี้หลายครั้ง จนกระทั่งว่าหมอชักจับเรื่องได้ ก็เลยบอกว่า อ๋อ เรื่องเก่า ทีนี้การที่ปอดมีพังผิดจับมาก การที่ถุงลมโป่งพองไปบ้าง อะไรพวกนี้ ทำให้ปอดไม่แข็งแรงเท่าที่ควร ฉะนั้นอาตมาเวลาพูดต้องใช้กำลังมากจนชิน ไม่รู้ตัว อย่างที่บอกโยมเมื่อกี้ว่าชีพจรมา 120 130 ความดันขึ้น 180-190 ก็พูดได้แข็งแรง หมอเคยมาวัดขณะที่กำลังพูดเลย หมอพี่ชาย กำลังพูดอยู่ แกมาวัด ได้ความดัน 190 กว่า เกือบ 200 หมอก็เลยไม่ค่อยอยากให้พูด บอกอันตรายเหลือเกิน นี่ก็เป็นเรื่องที่เล่าให้โยมฟัง ว่าถ้าอาตมา
ชีพจรความดันสูงอย่างนั้แล้วตัวเองสบาย ใช่ไหม อ๋อ ไม่สบาย คือตัวเองก็สบายกายว่าพูดได้เต็มที่ แต่หมอไม่สบายใจ ก็เป็นห่วง อันนี้ก็เป็นเรื่องของสังขาร เมื่อพูดไปแล้ว หลังจากนั้นตามมาด้วยการไปอย่างรุนแรง หลังจากนี้ ตอนพูดไม่เป็นไร แล้ววันรุ่งขึ้นก็จะเพลียมากๆ ฉะนั้นก็ไม่ให้พูดบ่อยๆ ก็เป็นอย่างนี้เป็นธรรมดาอยู่ ทีนี้ญาติโยมไม่รู้ เจอกันก็เห็นท่านพูดได้แข็งแรงนี่ แต่ไม่รู้ว่าหลังจากนั้นเป็นยังไง ก็เลยต้องเล่าให้ฟังสักที นี่ก็เรื่องของปอด เจ็บปวดบริเวณหน้าอก ซึ่งตอนนี้ก็เจ็บมาเป็นอาทิตย์ๆ แล้ว ก็ระบบ ก็เป็นเรื่องธรรมดาไป ต่อไปก็สาม เจ็บปวดนี้ที่ลำไส้ เจ็บปวดที่ล้ำไส้นี่ก็เป็นเรื่องสืบเนื่องมาจากเก่า จนกระทั่งหมอจับพอได้ ที่วิชัยยุทธก็ไปใช้กล้องส่อง กล้องก็เข้าไป หมอก็สรุปว่าพังผืดมันรักลำไส้ จนกระทั่งมันจะตัน ก็ถามคุณหมอว่าไม่ผ่าเอาพังผืดออกหรือ คุณหมอก็บอกว่าพังผืดถ้าไปเอาออกแล้วมันยิ่งงอกไวใหญ่เลย เพราะฉะนั้นเดี๋ยวก็ต้องผ่าอีก ฉะนั้นจะผ่าต่อเมื่อมันหมดทางไปแล้ว คือลำไส้ตัน ฉะนั้นมันตันเมื่อไหร่ก็ทำเมื่อนั้น ต่อมาที่ศิริราชก็เอาบ้าง ศิริราชก็จับไปตรวจ หมอก็ส่องกล้องเข้าไป ติดอีก ไปไม่ได้ กล้องไปไม่ได้ หมอก็เลยใช้วิธีสูบลมเข้าไปในลำไส้อยู่ครึ่งชั่วโมง จนกระทั่งใส่โป่งหมด แล้วกล้องก็พอไปได้ พอตื่นขึ้นมาแล้วอึดอัดแทบแย่ เพราะว่าลมเต็มลำไส้เต็มท้องหมด เพราะสูบอยู่ตั้งครึ่งชั่วโมง หมอก็สรุปได้ว่า ก็อย่างนั้นแหละ ก็คือพังผืดมันรัดลำไส้ จนกระทั่งว่าลำไส้นี้เคลื่อนไหวไม่สะดวก เวลาตรวจอย่างอัลตราซาวด์นี้ หมอบอกว่าตามปกติบริเวณนั้นลำไส้มันเคลื่อนเดี๋ยวมันก็หยุด หยุดทำงานเป็นพักๆ แต่ของอาตมาที่เป็นตรงนั้นเนี่ย มันจะเคลื่อนไหวตลอดเวลาไม่มีหยุด ก็คือมันดิ้นจากอาการที่มันถูกรัดอยู่ ฉะนั้นมันก็จะทำให้ความเจ็บปวดเป็นระยะๆ ก่อนที่เข้าโรงพยาบาลนั้นเพราะมันเจ็บปวดติดกันตั้ง 8 วันแล้วไม่หยุด อาตมาก็ว่าเป็นเรื่องเก่า หมอไม่ยอม บอกเรื่องท้องไว้ใจไม่ได้หรอก อาจจะคืบหน้าเป็นอื่นไปก็ได้ ก็เลยให้ไปตรวจ ไปตรวจก็เป็นอันว่าเรื่องพังผืดรัดลำไส้ก็รัดไป ก็รอจนกว่าจะตัน แต่ว่ามันพบอีกอันหนึ่งก็คือ นิ่วในถุงน้ำดี ก็เลยได้อีกเรื่องหนึ่ง หมอก็ไม่แน่ใจว่าที่เจ็บปวดนี่ เจ็บปวดจากพังผืดรัดลำไส้ หรือเจ็บปวดจากเรื่องนิ่วในถุงน้ำดี แต่เรื่องเหล่านี้ก็ง่ายหมด นิ่วในถุงน้ำดีก็เดี๋ยวนี้ง่ายมาก เอาออกเดี๋ยวก็เสร็จ ก็ไม่รีบร้อน หมอบางท่านก็บอกให้รีบเถอะ เพราะว่าการที่ปล่อยไว้เหมือนกับเก็บลูกระเบิดเวลาไว้ ว่างั้น อาตมาก็ว่าเรามีลูกระเบิดหลายลูก ลูกนี้เก็บไว้ก่อน ต่อไปก็ที่สี่ นี่เป็นเรื่องประกอบปลีกย่อยเล็กน้อย ก็คือปวดฟัน ก็คือพอฉันน้ำเปล่าๆ ไม่ต้องน้ำเย็น ไม่ต้องมีน้ำแข็ง น้ำเปล่าๆ พอเข้าปากมันก็ปวดฟันแล้ว ปวดฟันนี้มันก็มีเรื่องมา ทำรากฟันกรามล่างแล้ว ทำรากฟันบนอักเสบ ทำฟันอุดมา มันก็เป็นปัญหาอยู่ เรื่องรากฟันก็เรื่องใหญ่เหมือนกัน แต่ว่าอันนี้ก็ถือเป็นเรื่องประกอบไป ก็เลยเล่าให้ญาติโยมฟัง จะได้รู้กันว่าเป็นยังไงบ้าง ทีนี้ญาติโยมก็อาจจะนึกว่าอาตมานี่เป็นโรคอะไรเยอะแยะ ความจริงที่เป็นอยู่นี่ไม่ใช่เรื่องมากมาย เคยเป็นมามากกว่านี้ เป็นเรื่องใหญ่โต เป็นมาตั้งแต่เกิด เป็นธรรมดา คือเล่าให้ฟังเพื่อความเข้าใจกัน ก็ต้องยอม พบกันแล้วก็ต้องพูดให้รู้กันไป อันนี้อาตมารอดตายมาตั้งแต่เกิดนี่ก็แปลกอยู่แล้ว เล่ามาเป็นลำดับ เอาเรื่องแรกก่อน เรื่องแรกก็คือเมื่อเกิดใหม่ๆ ตัวแดงๆ อันนี้พี่สาวที่เป็นลูกของโยมลุงเล่าให้ฟัง เพิ่งมาเล่าให้ฟังไม่นานนี้เอง โยมพี่สาวนี้ก็ ตอนนั้นอาตมาเกิดใหม่ๆ ตัวท่านก็อายุสัก 12 ขวบ ก็ได้ข่าวว่ามีน้องเกิดใหม่ ก็อยากจะดู ก็มาที่บ้าน แล้วก็เข้าไปที่เปล แล้วอุ้มขึ้นมา พออุ้มออกจากแปลเอาขึ้นมา ตามที่ท่านเล่า ตัวอาตมาก็ลื่นปรู๊ดลงมา ลื่นตกลงไปในช่องระหว่างแขนกับเอวของท่าน ลงไปบนพื้นบ้าน แต่ว่าลงบนพื้นบ้านไม่พอ กลิ้งต่อไปอีก ตกไปบนนอกชาน ทีนี้ถ้าตกมาอยู่ที่นอกชาน ก็ต้องไหลต่อไปก็ลงใต้ถุนบ้าน ใช่ไหม ลงที่นอกชานก็ต่อกับพื้นดินเลยทีนี้ ลงไปพื้นดินสุนัขอาจจะคาบเอาไปกินเลย อันนี้ก็เป็นการที่ผจญภัยครั้งที่หนึ่ง ก็รอดมาได้ ทีนี้พี่สาวก็เลยถามว่าเป็นบาปหรือเปล่า อาตมาก็บอกว่าไม่บาปหรอก เป็นบุญ เพราะว่าโยมพี่มีน้ำใจดี มีเมตตา มีความรักใคร่ แล้วก็เป็นบุญจนอยู่ด้วยกันมาทั้งสองคนจนบัดนี้ แล้วพี่สาวท่านนี้ก็ไม่ค่อยได้พบกันหรอก บางที 5 ปี 10 ปี จะได้พบกันสักครั้งหนึ่ง แต่จะด้วยความผูกพันอันนี้หรือเปล่าไม่ทราบ เป็นเหตุให้ในใจมีความรู้สึกที่ดีงามต่อพี่คนนี้อยู่เสมอ รู้สึกใกล้ชิดสนิทสนม เป็นความใกล้ชิดสนิทสนมที่ประทับใจ อันนี้ก็เป็นเรื่องที่หนึ่ง จะมองในแง่ดีก็เป็นการทดสอบความแข็งแรง ก็รอดมาได้ ทีนี้ในขวบที่หนึ่งนั้นเอง ไม่ทราบว่าตอนไหนต่อมา แต่ไม่เกี่ยวเนื่องกับเหตุการณ์ที่หนึ่ง อาตมาก็ป่วยหนักจนกระทั่งท่านผู้ใหญ่เล่าให้ฟังบอกว่า มีคนขึ้นบันไดเรือนมาไหวหน่อย อาตมาก็ชักตาตั้งแล้ว ว่างั้น อันนี้ขวบที่หนึ่ง ก็รอดมาได้อีก จนกระทั่งมา 4-5 ขวบได้ โดยประมาณ ตอนนี้เริ่มจำความได้นิดหน่อย แต่ว่าเรื่องต้นที่เล่ามานั้นฟังจากท่านผู้ใหญ่ ราวๆ 4-5 ขวบ จำได้ว่าอาการปัจจุบันอะไรบางอย่างเกิดขึ้น แล้วก็มีท่านผู้ใหญ่กว่าเอาตัวพาดบ่าไป รีบเอาไปหาหมอ แล้วต่อมาหมอก็บอกว่าหัวใจรั่ว อันนี้ก็เหตุการณ์อีกหนึ่ง ต่อมาก็เรียนชั้นประถม เวลาเขาสอบปลายปี บางปีอาตมาก็ไม่ได้สอบ ก็ป่วยซะ พอหลังจากเขาสอบเสร็จกันแล้ว ทางคุณครูอาจารย์ก็จัดสอบให้เป็นพิเศษอีกทีหนึ่ง ก็เป็นมาอย่างนี้จนกระทั่งต่อมาก็มาเรียนมัธยม ที่โรงเรียนมัธยมวัดปทุมคงคา เดี๋ยวนี้ก็ย้ายออกไปจากวัดแล้ว ก็เหลือแค่โรงเรียนปทุมคงคา เรียนไปๆ ก็ออดแอดๆ มาถึงชั้นมัธยมปีที่ 3 ภาคปลาย พอเปิดเรียนวันแรกมา อาตมาก็ต้องกลับมาจากโรงเรียนกลางคัน เพราะป่วย ตอนนี้ก็เป็นเหตุที่ทำให้มาบวช เพราะฉะนั้นการป่วยก็เป็นเรื่องสำคัญที่ทำให้มา คือตอนนั้นโยมพี่คนที่สองเป็นผู้สนใจธรรมะ ศึกษาพุทธศาสนาอย่างมาก สะสมหนังสือของท่านสุชีพ ปุญญานุภาพ ตอนนั้นเป็น สุชีโวภิกขุ พระคุณศรีวิสุทธิญาณ แล้วก็หนังสือท่านพุทธทาสอย่างมากมาย เอาจริงเอาจังเรียกว่าดูเหมือนว่าจะเอาจริงเอาจังเรื่องเรียนธรรมะมากกว่าเรียนหนังสือของตัวเองที่โรงเรียน จนกระทั่งเพื่อนๆเรียกพี่อาตมาว่าสุชีโว คือเขารู้กัน เรียกสุชีโวๆ ตอนนี้ก็อาจจะเป็นความประจวบเหมาะที่พี่ชายกำลังรักทางพระศาสนาอยู่แล้ว คงจะเห็นเป็นโอกาสว่าตัวเองก็ยังบวชไม่ได้ เพราะว่าก้าวมาในการศึกษาขั้นนั้นยังหาโอกาสไม่เหมาะ ก็น้องเป็นอย่างนี้แล้ว ให้บวชซะก็ดี ก็นึกว่าถ้ามองในแง่หนึ่งเหมือนกับบวชแทนตัว หรือท่านจะคิดยังไงก็ไม่ทราบ แต่อย่างน้อยท่านก็คิดว่าการบวชนี้ดี ก็เลยไปปรึกษากับโยมพ่อ คุยกันไปกันมาก็มาเกลี้ยกล่อมอาตมาว่าบวชเณรดีกว่า ไปเล่าเรียนทางพระ อาตมาก็เป็นคนที่ว่าง่าย โยมพ่อโยมพี่ชวนไปชวนมาก็ใจเห็นคล้อยก็ไปตาม ตกลงบวช ก็เลยตั้งแต่บัดนั้นก็กลับเลย กลับไปสุพรรณ แล้วก็ไปเตรียมตัวบวช แล้วโยมก็จัดการเตรียมบวช จัดพิธีบวชให้อย่างกับบวชพระเลย ก็บวชแล้วก็เล่าเรียนมา ก็มีอาการป่วย ก็ไปตามเรื่อง มันก็ดีขึ้นบ้าง ในที่สุดพอมาถึงเรียนมหาจุฬาฯ เรียนไปแค่ปี 2 ก็เป็นวัณโรคที่เล่าให้ฟังเมื่อกี้ รุนแรงมาก ก็เป็นอันว่าไปเรียนไม่ได้ ก็ขาดเรียนไปกี่เดือนไม่ทราบ อย่างน้อยก็ 2 เดือน เสร็จแล้วทางมหาจุฬาฯ ก็มีมติบอกว่าให้สอบ ตกลงก็ไปสอบมหาจุฬาฯ ก็เป็นอันว่าก็มาจนกระทั่งบัดนี้ ต่อมาก็เจ็บปวดอะไรต่ออะไรมีเรื่อยๆ ตอนนี้ นี่ปลีกย่อยแล้วไม่ต้องเล่า เข้าโรงพยาบาลกันแทบทุกปี อันนี้ก็เป็นเรื่องธรรมดาจนกระทั่งมาผ่าใหญ่ครั้งหนึ่ง ผ่าเส้นเลือดใหญ่ที่ไปเลี้ยงสมอง พอหมอพบกันนานเนแล้ว คืออาตมานี่ถ้าหันไปพูดกับใครสักเดี๋ยวจะหน้ามืดได้ ฉะนั้นตัวเองจะรู้ตัว จะหันไปพูดกับใครจะนั่งพูดแล้วรีบหันกลับ หันเอียงไปอย่างนี้ หมอก็ทำพวก MRI MRA แล้วก็จับได้ว่าเส้นเลือดใหญ่ที่ไปเลี้ยงสมอง เขาเรียก carotid artery หนึ่ง-มันเล็กกว่าปกติ ถือว่าเล็กมาแต่กำเนิด สอง-นอกจากเล็กแล้วมันงอ เมื่องอแล้วเวลาหันมันจะพับ พับเลือดมันขึ้นไม่ได้ก็หน้ามืด ในที่สุดหมอก็ผ่าตัด เพื่อจะขยายเส้นเลือดใหญ่นี้ แล้วก็ทำให้ตรง ก็ตัดเอาเส้นเลือกจากขา เอามาแซมที่เส้นเลือดที่คอ แล้วหลังจากนั้นมาอีกปีก็เริ่มมีอาการชีพจร ความดันแปรปรวน อยู่ๆ นอนอยู่ชีพจรอาจจะมาเต้นตุบๆๆ ขึ้น ไป 90 100 วันหนึ่งนอนอยู่ ชีพจรขึ้นไป 130 อยู่เฉยๆ คุณหมอก็หาเหตุกัน ก็ว่านี่ที่ไปตัดเส้นเลือดใหญ่นี่ เส้นเลือดใหญ่ที่ไปเลี้ยงสมองนี่มันมีศูนย์ประสาทอยู่อันหนึ่ง ซึ่งเป็นตัวควบคุมความดันและชีพจร มันจะเป็นตัวส่งสัญญาณให้คุณหมอรู้ว่าเวลานี้สมอง ร่างกายต้องการเลือดปริมาณเท่าไหร่ แล้วหัวใจก็จะเต้นปรับความดันชีพจรให้พอ ทีนี้หมอบอกว่ามันมองไม่เห็นหรอก เวลาผ่าเนี่ย ก็แล้วแต่โชค ทีนี้มีดไปกรีดเอาศูนย์นี้เข้าไป ศูนย์นี้ก็เสีย มันก็บังคับควบคุมไม่ได้ แล้วก็เหลืออยู่ข้างขวา ข้างขวาเขาบอกว่า หมอที่ชำนาญ คุณหมอนิพนธ์ที่???ศิริราช บอกว่าข้างขวานี่ศูนย์นี้มันทำงานแค่ 20-30 เปอร์เซ็นต์ ศูนย์ใหญ่มันอยู่ข้างซ้าย มันเป็นข้างเดียวกับหัวใจ ทีนี้ศูนย์ใหญ่ก็ถูกทำลายไปแล้ว ร่างกายก็ต้องปรับตัวเอา อันนี้ก็เป็นเรื่องราวต่างๆ ที่เล่าให้ญาติโยมฟัง ทีนี้จะได้เข้าใจแจ่มแจ้งว่าเป็นอะไร ก็รอดมาได้ นี่ก็ใช้ได้แล้ว ก็เป็นเรื่องที่ว่า ชีวิตนี้ก็เป็นเรื่องอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา อย่างที่บอกโยม ร่างกายสังขารแต่ละคนไม่เหมือนกัน มีเหตุปัจจัยต่างๆ กัน เช่นเหตุปัจจัยทั้งหลาย เหตุปัจจัยหนึ่งที่สำคัญก็คือกรรม ใช่ไหม แล้วก็เหตุปัจจัยอื่นอีก พี-ชะ-ริ-ยาม ก็คือเรื่องของพันธุกรรม แล้วก็ยังมีเหตุปัจจัยอื่นอีก อุ-ตุ-นิ-ยาม สภาพแวดล้อมอะไรต่างๆ อย่างที่เคยยกตัวอย่างบอกว่า พระพุทธเจ้าก็ตรัสไว้แล้ว บอกว่าอย่างแม้แต่โรคภัยไข้เจ็บเนี่ย มันก็ทำด้วยปัจจัยต่างๆ อย่าไปบอกอย่างใดอย่างหนึ่งตายตัว มันอาจจะประกอบกัน พระองค์ก็ตรัสไว้ จะบอกว่าเป็นเรื่องของการบริหารร่างกายไม่สม่ำเสมอก็มี เป็นเรื่องของอุตุแปรปรวนก็มี เรื่องของระบบอวัยวะภายในก็มี แล้วก็เรื่องกรรมก็มี โครงสร้างร่างกายแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน วันนี้ก็ดีที่หลวงลุงท่านมานั่งด้วย โยมจะได้เห็นตัวอย่าง ตัวอย่างอย่างอาตมานี่ถือว่าร่างกายโครงสร้างไม่ดี มีปัญหาอะไรต่างๆ เยอะ แล้วปัจจัยประกอบอื่นก็เข้ามาอีก นี่อย่างหลวงลุงอายุ 89 แล้ว ต้องถือว่าแข็งแรงกว่าอาตมา ท่านยังเดินนำขึ้นเขาได้อยู่ เวลาไปภูเขาเนี่ยเก่งมาก คนอายุน้อยๆ ยอมแพ้เลยเนี่ย ขนาดอายุ 89 แล้วท่านเดินขึ้นเขา ความดันชีพจรท่าน ตั้งแต่ขึ้นจนถึงยอดนี่แทบจะไม่เปลี่ยน เช่นว่าชีพจร 80 กว่า ถึงยอดเขาก็อยู่แค่ 89 อย่างมากก็ 90 ของอาตมานี่ก่อนขึ้นเขาเช็ก วัดไว้ 81 ขึ้นไป 5 นาที 120 แล้วชีพจร ขึ้นไปอีก 5 นาที 147 ชีพจร 147 แล้ว ขึ้นไปแค่กลางเขาเท่านั้น อย่างนี้เป็นต้น ความดันก็ขึ้นไป 180 อะไรอย่างนี้ ของหลวงลุงท่านก็อยู่แค่นั้น แล้วที่ว่าแปลกอาตมาเรียกว่าเป็นการเรียนรู้ด้วย อย่างหลวงลุงนี่เป็นกรณีศึกษาได้เลย สำหรับนักโภชนาการ นักสุขภาพเนี่ย เพราะว่าร่างกายของท่านไม่เป็นไปตามกฎหรือหลักโภชนาการ คือแต่ไหนแต่ไรมาตั้งแต่เด็กมาจนบัดนี้ ท่านก็ไม่ฉันผัก โยมแปลกใจแล้วนะ หนึ่ง-ไม่ฉันผัก ญาติโยมที่มาทำบุณที่วัดจนชิน จนเป็นธรรมดา ก็จะรู้กัน แม้แต่จัดอาหารให้ก็จัดให้ต่างหาก แล้วไม่ใส่แม้แต่ผักชี แล้วผลไม้ที่มีรสเปรี้ยวนิดหน่อยไม่ฉัน มังคุดไม่ฉัน องุ่นไม่ฉัน สับปะรดไม่ฉัน ส้มไม่ฉัน เป็นต้น เยอะแยะหมด ที่ฉันเป็นปกติชอบก็คือทุเรียน ตกลงก็อาหารคาวก็ฉันขาหมู อาหารหวานก็ฉันทุเรียน แล้วอ้วนก็ไม่อ้วน ผอมก็ไม่ผอม ก็อยู่อย่างนี้ ทรงสม่ำเสมอ แล้วก็แข็งแรง อายุ 80 กว่า ที่วัดนี่มีสะพานข้ามคลอง ตอนนั้นยังไม่ได้ทำรางสะพาน ก็มีแต่ขอบสะพาน วันหนึ่งท่านก็เดินหลับตาไปจะทดลองดู ปรากฏว่าเดินเอียงเฉียงไป เท้าไปสะดุดกับขอบสะพานเข้า ก็เลยหัวคะมำลงไป คะมำลงไปในคลอง ลงไปในคลองไม่ลงเปล่านะ เอาไหล่เอาไหปลาร้าไปฟาดกับขอบกันซีเมนต์เข้า หัก หล่นลงไปในคลอง ศีรษะลงด้วยนะ ความที่ท่านแข็งแรงท่านตวัดศีรษะขึ้นมา แล้วพอดีว่ามันไม่ลึกนัก ก็เมตรกว่าๆ ก็ขึ้นมายืนอยู่ได้ คนที่เขานั่งอยู่ในรถยนต์นั่น เขามองเห็น จอดรถรอพระอยู่เขามองเห็น ก็มาช่วยเอาหลวงลุงขึ้นมา ส่งโรงพยาบาลก็ต้องไปเข้าเฝือกไหปลาร้า เข้าเฝือกไหปลาร้าไม่กี่วันก็ติด โดยปกติแข็งแรง แน่ๆความแข็งแรง เวลาเป็นอะไรไม่ยอมฉันยา ยาก็ไม่ฉัน หายเอง อันนี้ก็เป็นเรื่องของลักษณะพิเศษเฉพาะตัว อาตมายังว่าหมอ โดยเฉพาะนักโภชนาการน่าจะเอาเป็นกรณีศึกษา ว่าร่างกายของคนมีความเป็นไปต่างๆ กัน นี่ก็คือปัจจัยอย่างหนึ่งในปัจจัยทั้งหลาย ที่แต่ละคนไม่เหมือนกัน ฉะนั้นถ้าจะใช้ปัจจัยเดีญวกันต้องพิจารณาปัจจัยประกอบหลายอย่างด้วย อย่างหลวงลุงนี่ก็หมายความว่าปัจจัยทางด้านโครงสร้างร่างกายของท่านอาจจะเป็น พี-ชะ-ริ-ยาม เป็นตัวที่ช่วยมาก ฉะนั้นโยมจะเอาอะไรเป็นแน่นอนไม่ได้ ก็อย่างที่ว่าแหละ สิ่งทั้งหลายไม่เที่ยงแท้แน่นอน แต่ว่าเป็นไปตามเหตุปัจจัย ทีนี้ปัจจัยมันมีมากมาย เราอย่าไปยึดติดเอาแค่นั้นแค่นี้ โยมจะได้นำมาโน้มมาพิจารณาสิ่งทั้งหลาย เหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิด ที่เป็นไป ว่าเราต้องใช้ปัญญาพิจารณาให้รอบคอบ ให้ทั่วถ้วน ที่ท่านเรียกว่าปัญญาก็คือทั่วชัด คือรู้ให้ทั่วด้วย แล้วก็ให้ชัดด้วย ชัดก็เช่นว่าเห็นปัจจัยอันหนึ่ง เรารู้ชัดแล้วว่ามะม่วงเกิดจากเม็ดมัน ก็รู้ชัดเลย แต่ว่าต้องให้ทั่วด้วย ก็คือมันมีปัจจัยหลายอย่าง เคยพูดบ่อยๆ แล้ว บอกโยมมีแต่เหตุ ตัวเม็ดมะม่วงอย่างเดียว ต้นมะม่วงมันขึ้นได้ไหม โยมก็บอกไม่ได้ ทำไม มันขาดปัจจัย ปัจจัยอะไร ปัจจัยดิน ปัจจัยปุ๋ย ปัจจัยน้ำ ปัจจัยอุตุ อุณหภูมิ แล้วก็ปัจจัยอากาศ แก๊สอะไรต่างๆ เหล่านี้ต้องพรั่งพร้อม เมื่อปัจจัยพรั่งพร้อมบริบูรณ์แล้ว ต้นไม้นั้นก็งอกขึ้นมาเป็นมะม่วง เหมือนกับเราทำกรรม อันนี้ก็ต้องย่ำกันบ่อยๆ คนมักจะมองแค่ตัวเหตุ แล้วไม่มองปัจจัย มองว่าทำไมเราทำอันนี้แล้วไม่ได้ผล เป็นอย่างนั้นๆ อ้าว โยมทำแต่เหตุ แล้วปัจจัยทำหรือเปล่า ปัจจัยตัวประกอบนั้นต้องพิจารณาด้วย ถ้าเราต้องการผลแบบนี้ คือผลนั่นมันมีแน่ แต่ว่าผลที่ตรงเหตุนั้นแค่นี้ แต่ผลที่ประกอบด้วยปัจจัยมันมีอื่น เช่นว่าทำความดีอันนี้แล้ว ต้องการผลในเชิงธรรมชาติ ก็คือทำความดี ได้ผลดี ได้ความดี ได้จิตใจที่เบาสบาย ไม่ขุ่นข้องหมองมัว แล้วต้องการผลทางด้านสังคม ให้คนชื่นชมสรรเสริญ แม้แต่ได้ต้องการผลทั้งอามิส ต้องการเงินทองตอบแทนเป็นต้นเนี่ย อันนี้เรียกว่าเป็นผลจากการที่ปัจจัยประกอบเหตุหลายอย่าง โยมก็ต้องดูว่าผลที่เราต้องการนี้ต้องอาศัยปัจจัยอะไรประกอบ นอกจากตัวเหตุนั้น อย่างที่ว่าต้องการผลทางสังคม ความชื่นชม ต้องการผลในการที่เขาจะตอบแทน มันจะต้องการปัจจัยต่างๆ เพิ่มขึ้น แล้วเราทำปัจจัยเหล่านั้นครบไหม เราจะได้ใช้ปัญญาพิจารณาวิเคราะห์แยกแยะหาตัวปัจจัยให้ครบ คราวนี้เราทำแล้วไม่ได้ผลที่ต้องการ เราทำปัจจัยไม่ครบ ขาดปัจจัยตัวไหนแล้วก็ไปพัฒนาปรับปรุงสิ่งเหล่านั้นให้ครบ ทีนี้สำหรับคนที่ต้องการผลแท้ๆ เขาก็จะต้องการผลเพียงตามตัวเหตุโดยตรง ตามธรรมชาติ เช่นว่า ทำความดีเพื่อความดี เพื่อให้ความดีนี้มันเจริญขึ้นมาในโลกนี้ เพื่อให้จิตใจของเราพัฒนาขึ้นมา เราเจริญในไตรสิกขา ถ้าอย่างนี้แล้วทำปุ๊บได้ปั๊บ ทีนี้ถ้าโยมต้องการผลที่พ่วงมาด้วยเรื่องอื่นๆ โยมก็ต้องมาดูปัจจัยประกอบว่าเราทำหรือเปล่า เราจะมาพูดปุ๊บปั๊บ ฉันทำเหตุดีอย่างนี้แล้วไม่เห็นได้ผลดีอย่างนี้ ไม่เห็นมีคนสรรเสริญ ไม่เห็นมีคนตอบแทน เจ้านายไม่เห็นรัก ไม่เห็นเลื่อนขั้น อ้าว อันนั้นปัจจัยประกอบมันไม่เท่านั้นแล้ว ต้องดูปัจจัย ฉะนั้นคนที่เป็นชาวพุทธนี่ ถ้าปฏิบัติตามหลักธรรมแล้วจะฉลาดพัฒนาอยู่เสมอ เพราะแม้แต่ทำกรรมอันหนึ่ง ก็จะรู้จักใช้ปัญญาวิเคราะห์แยกแยะว่า เหตุมันเป็นอย่างไน ปัจจัยมันเป็นยังไง ปัจจัยมีตัวไหนบ้าง จะเป็นคนที่มีปัญญาละเอียดอ่อนขึ้น รู้จักคิดวิเคราะห์ แล้วรู้จักพัฒนา ปัจจัยตัวไหนขาดไป ไปทำปัจจัยตัวนั้นให้งอกงามขึ้นมา ว่าเรามีความต้องการอย่างนี้ ผลอย่างนี้ ต้องการเหตุปัจจัยแค่ไหน แล้วก็พัฒนาตัวเองในแง่ความต้องการด้วยว่าเราอย่ามัวไปต้องการผลในทางที่ตอบแทนเป็นอามิสเลย
เราเอาผลที่ดีที่ไปเพื่อพัฒนาชีวิตพัฒนาสังคมดีกว่า ถ้าแต่ละคนมัวมุ่งเอาผลในทางอามิสตอบแทนแล้ว สังคมก็จะยิ่งเสื่อมลงไปได้ ถ้าหากว่าเรายอมไม่เอาผลทางสังคมนะ เราเอาผลแต่ความดีตามกฎธรรมชาตินี้ เราจะแก้ไขปัญหาสังคม ช่วยให้สังคมดีงามขึ้นมาด้วย อันนี้โยมก็จะได้ เพราะฉะนั้นก็ให้พิจารณาจากเรื่องทางวัตถุก็ตาม เป็นรูปธรรม แล้วก็นามธรรม เราก็จะต้องมีการใช้ปัญญาพิจารณา ใช้โยนิโสมนสิการ วันนี้อาตมาก็โยงเรื่องนี้เข้ามาเป็นธรรมะ แต่ก็รวมความเรื่องเจ็บเรื่องป่วยด้วยโรคภัยไข้เจ็บเนี่ย มันเกิดขึ้นมา อย่างน้อยในทางธรรมะ เราก็เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา แล้วในแง่หนึ่งก็คือ เราสามารถปฏิบัติต่อมันได้ต่างๆ กัน แม้แต่โรคภัยไข้เจ็บที่เกิดขึ้นนี้ มันมีผลกับแต่ละคนไม่เหมือนกัน เช่นว่ามันมีผลก็คือว่าเกิดปัญหาต่อร่างกาย แล้วปัญหาต่อร่างกายนี้จะมีผลต่อตัวคนแค่ไหน มันก็สุดแต่ความต้องการด้วย คนนี้ต้องการเอาร่างกายไปใช้อะไร ถ้าเขาต้องการเอาร่างกายไปใช้ประโยชน์บางอย่าง ไปสนุกสนานเป็นต้น พวกนี้ก็อาจจะขัด เป็นปัญหาแก่เขาทำให้เกิดทุกข์ แต่ทีนี้ถ้าเกิดเขาต้องการเอาร่างกายไปใช้อีกอย่างหนึ่ง บางทีโรคมันกลับเป็นโชค เพราะฉะนั้นตัวโรคกับตัวโชค ก็ใกล้กัน ก็คือเป็น ร เป็น ช เพราะฉะนั้นโรคมันก็เป็นโชคไปเลย ก็บอกแล้วว่าปัญหากับปัญญานี้มันใกล้กันนะ โยมเปลี่ยนซะ ปัญหาเปลี่ยนเป็นปัญญา เปลี่ยนตัว ห เป็นตัว ญ ปั๊บ มันเปลี่ยนเป็นปัญญา แล้วโยมเจอปัญหาเราก็คิดแก้ไข ใช้ปัญญาพัฒนาเกิดโยนิโสมนสิการ โยมก็ได้ปัญญาใช่ไหม เพราะฉะนั้นเราอย่าไปท้อใจ เจอปัญหาแล้วอย่าท้อ บอกใครชนะปัญหาได้ คิดเอาจริงเอาจัง สู้ในที่สุด ปัญหากลายเป็นปัญญา คราวนี้เราได้แล้ว ไม่เสีย เพราะฉะนั้นก็เหมือนกัน โรคก็เป็นโชคได้ ก็อยู่ที่เราเปลี่ยน ไม่ต้องไปมัวท้อใจอยู่ ฉะนั้นก็เลยตรงตามหลักพระพุทธเจ้าว่า อโรคยา ปรมาลาภา ความไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ หรือเป็นลาภอย่างยิ่ง อันนี้เป็นหลักความจริง หลักความจริงคือเราจะต้องพยายามไม่ให้เป็นโรค รักษาสุขภาพไว้ แต่ถ้าคนไหนเกิดเป็นโรคแล้วล่ะ เกิดเป็นโรคก็ต้องทำโรคให้เป็นลาภ คือมันเป็นอย่างนี้ ตามหลักความจริงมันเป็นอย่างนั้น ความไม่มีโรคเป็นลาภอย่างยิ่ง แต่พอเป็นโรค ก็ทำโรคให้เป็นลาภซะ ตอนนี้เป็นทางปฏิบัติ อันที่หนึ่งเป็นหลักคสามจริงที่บอกว่าความไม่มีโรคเป็นลาภอย่างยิ่ง นั่นเป็นหลักความจริง แต่ตอนที่ว่าทำโรคให้เป็นลาภ อันนี้เป็นข้อปฏิบัติ ก็เหมือนกันแหละ มีญาติโยมทางกระทรวงเขาขอให้พูดเรื่องโรคเอดส์ เราก็บอกว่าโรคเอดส์เนี่ย ทั่วไปก็ต้องมองเป็นเคราะห์ร้าย แต่ว่าคนที่เป็นโรคแล้วอย่ามัวไปมองเป็นเคราะห์ เป็นโรคเอดส์แล้วก็ต้องมองว่าเป็นโชค ก็ทำให้มันเป็นโชค ทำให้มันเป็นลาภได้ มีวิธีเยอะ ก็เลยบอกเขาไปวิธีทำโรคเอดส์ให้เป็นลาภ แล้วมันก็จะได้ผล ทางที่จะเอาประโยชน์จากโรคเอดส์มีเยอะเลย พระพุทธเจ้าตรัสไว้ แล้วประวัติพระสาวกมีอยู่ ในพุทธศาสนานี้เราไม่มีทางสิ้นหวัง ย้ำกันอยู่เรื่อย เพราะว่าแม้แต่จะตายนะ ก็ยังสามารถบรรลุธรรม คือหนึ่ง-คนที่เป็นๆ อยู่สบายๆ พระพุทธเจ้าก็สอนให้เอาโยนิโสมนสิการ เอาการตายมาใช้เป็นประโยชน์ ใช่ไหม ให้มีมรณสติ ระลึกถึงความตาย ก็คือเอาความตายมาใช้ประโยชน์ จะทำให้เกิดปัญญาก็ตาม ทำให้เกิดความไม่ประมาท ทำให้เตือนใจ ทำให้ทำความดีไม่ทำความชั่ว แต่นี่ถ้าคนที่จะตายนี่ ยังเอาความตายมาใช้ประโยชน์ได้ เจ็บหนักอย่างพระสาวกหลายรูปเนี่ย ท่านบรรลุอรหันตผลตอนที่ป่วยหนัก เพราะความเจ็บปวดมาก ท่านกลับปรารภเอาความเจ็บป่วยของโรคนั้นมาเป็นอารมณ์ ก็เลยบรรลุธรรมไปเลย เป็นอรหันต์ เป็น ชี-วิ-ตะ-สะ-มะ-สี-สี โยมอย่าไปท้อใจ ทุกอย่าง โรคภัยไข้เจ็บเอามาเป็นโชค แล้วก็แม้แต่ความตายไม่ต้องไปกลัว เอามาเป็นลาภหมดเลย ฉะนั้นก็สบายใจได้ อาตมาก็พูดไปๆ ชักหายเหนื่อย ก็อย่างนี่แหละ ชีพจรมาแล้ว จะค่อยๆ หายเหนื่อย ตอนแรกบางทีมันมาไม่ทัน ก็จะเพลีย แต่โดยมากกว่าอาตมาจะลง สมัยก่อนพอจะลงชีพจรมาแล้ว 110 120 อันนี้ก็จะไม่เป็นปัญหา พอพูดก็ไปได้เลย แต่ว่าถ้าชีพจรยังไม่มี อาตมาก็จะเหนื่อย พอพูดไปๆ ชีพจรเริ่มมา 110 120 ทีนี้เราก็ไปเถอะ พูดเป็น 2 ชั่วโมงก็พูดได้ อันนี้ก็เล่าให้โยมฟัง แล้วก็อย่าลืมเรื่องของกายก็ตาม ใจก็ตาม เราก็ต้องบริหาร ทางพระท่านก็ถือเป็นการบริหาร เพราะว่าเรื่องของชีวิตของเรานี้ มีขันธ์ 5 นี่เป็น ภา-รา-ฮา-เว-ปัน-จา-ขัน-ทา ใช่ไหมเบญจขันธ์นี้เป็นภาระ ก็เป็นความรับผิดชอบ เป็นของหนักที่เราจะต้องแบก จะต้องรับภาระ ต้องบริหารให้ดี บริหารขันธ์ 5 ในฝ่ายร่างกายก็มำให้ปรารศจากโรค โรคภัยไข้เจ็บน้อย ก็เป็นหน้าที่ของทุกคนจะต้องเอาใจใส่ แล้วก็บริหารทางด้านจิตใจ โดยเฉพาะบริหารสังขารทั้งนั้น จิตใจ สังขารไม่ใช่เฉพาะร่างกาย สังขารทางจิตใจก็คือการปรุงแต่ง โยมปรุงแต่งไม่ดี เป็น อะ-ปุน-ยา-วิ-สัง-ขาร ใช่ไหม อะ-ปุน-ยา-วิ-สัง-ขาร ก็คือปรุงแต่ง เป็นบาป ใจคอก็หม่นหมอง มีความทุกข์ ทีนี้โยมเลื่อนขั้นมาเป็น ปุน-ยา-วิ-สัง-ขาร ก็ปรุงแต่งดี หายใจหายคอให้สบาย อย่าไปเก็บเอาอารมณ์ที่กระทบกระทั่งมา โยมหลายท่านเวลามานั่งอยู่คนเดียวแล้วก็ไปเก็บเอาอารมณ์ที่กระทบหูกระทบตา บางทีก็ลูกหลานทำโน่นทำนี่ไม่ถูกใจ เก็บเอามาคิดปรุงแต่ง อย่างนี้ก็เป็น อะ-ปุน-ยา-วิ-สัง-ขาร ก็เป็นทุกข์ ทีนี้โยมมีสติขึ้นมาบอกว่า หยุดๆๆ ไม่เอาแล้ว อันนั้นไม่ดี เป็น อะ-ปุน-ยา-วิ-สัง-ขาร โยมก็ปรุงแต่งดี เก็บเอาอารมณ์ที่ดีไป เอามาคิดว่าวันนี้ได้ไปทำบุญที่วัดร่วมกับคณะชาวธรรมะร่วมสมัย เมื่อวันก่อนนี้ไปทอดกฐิน ไปทำบุญทำความดี ได้ฟังธรรมอะไรต่างๆ เก็บเอาอารมณ์ที่ดีที่เข้ามาทุกทาง มาปรุงแต่ง ก็ทำจิตใจให้เกิดปิติปราโมทย์ ก็กลายเป็นกุศล เป็น ปุน-ยา-วิ-สัง-ขาร ปรุงแต่งดี อันนี้ก็คือบริหารสังขารอย่างหนึ่ง บริหารสังขารทางกายอย่าไปพอ ต้องบริหารสังขารฝ่ายนามธรรมด้วย แล้วบริหารสังขารฝ่ายนามธรรมนี่แหละที่จะเจริญงอกงามแท้จริง เพราะบริหารสังขารฝ่ายรูปธรรม ร่างกายถึงเวลามันก็ต้องแก่ไปตามวัย ในที่สุดมันก็ต้องทรุดโทรม เราก็ทำให้ดีที่สุด ให้มีโรคน้อยที่สุด เหมือนอย่างหลวงลุงนี้ แต่ว่าการบริหารสังขารฝ่ายนามธรรมต้องบริหารกันเรื่อยไป ให้เจริญงอกงาม กระทั่งแม้แต่จบชีวิต ยิ่งบริหารไปก็ยิ่งเจริญงอกงามจนกระทั่งบรรลุมรรคผลได้เลย
ก็เอาแล้ว อาตมาภาพก็ได้พูดมาวันนี้ก็ยืดยาว คิดว่าคงจะได้คติเป็นประโยชน์บ้าง เริ่มตั้งแต่ความเข้าใจซึ่งกันและกัน โยมมาหลายท่านยังไม่รู้อาตมาเป็นอะไร แล้วก็ทำไมถึงเป็นอย่างนี้ ทำไมต้องมายากนัก อะไรอย่างนี้ บางทีก็อาจจะไปนึกอย่างนั้น ทีนี้นอกจากจะเข้าใจเรื่องกันและกัน ทางรูปธรรม ก็หวังว่าเป็นโอกาสที่ได้มาทำบุญทำกุศล แล้วก็ได้มติทางนามธรรม โยมก็ทำบุญได้ครบ ที่จะไปเลี้ยงพระเป็นทานแล้วก็ได้มาวัดก็มีโอกาสที่จะเว้นจากการทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ทางกาย วาจา อยู่ในการสำรวมกาย วาจา ในศีล แล้วก็ได้ฟังธรรมเป็นต้น ทำจิตใจให้เบิกบานแจ่มใส ได้ปัญญา ได้ทั้งภาวนาทางจิต แล้วได้ทั้งภาวนาทางปัญญา ก็ขออนุโมทนา เวลาก็ล่วงเลยมามากแล้ว ก็ขอถือโอกาสนี้อำนวยชัย อวยใช้ให้พรแก่โยมญาติมิตรทุกท่าน รัต-ตะ-นะ-ตะ-ยา-นุ-ภา-เว-นะ รัต-ตะ-นะ-เต-ชะ-สา ด้วยเดชานุภาพคุณพระรัตนตรัย พร้อมทั้งบุญกุศลและพระทั้งหลายได้บำเพ็ญมาเป็นการสามัคคีร่วมกัน จงเป็นปัจจัยอันมีกำลังอภิบาลรักษาให้ชาวธรรมะร่วมสมัยทุกท่านเจริญงอกงามด้วยจตุพิธพรชัย มีกำลังกาย กำลังใจ กำลังปัญญา กำลังสามัคคี ที่จะดำเนินชีวิตและกิจกรรม การงาน ให้รายการธรรมะร่วมสมัยนี้เข้มแข็งมั่นคง สามารถเอื้ออำนวยประโยชน์สุขแก่ประเทศชาติ สังคม แก่ชีวิต ของคนทั้งหลายไปจนกระทั่งไปทั่วโลกได้ แล้วก็ขอให้มีความร่มเย็นงอกงามในธรรม โดยทั่วกันทุกท่านทุกเมื่อเทอญ