แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ไฟล์ถอดเสียงนี้ยังไม่ได้ผ่านพิสูจน์อักษร นำขึ้นมาเพื่อช่วยในการศึกษาค้นคว้าของผู้สนใจ
ก็มาต่อกันเรื่องความสุข ความสุขที่พูดไปแล้วก็พูดถึงความสุขขั้นพื้นฐาน ชีวิตของคนทั่วไปต้องเกี่ยวข้องอยู่ แต่แม้แต่ความสุขขั้นพื้นฐานมนุษย์ก็ยังปฏิบัติไม่ถูก ก็ทำให้เกิดปัญหาทำให้เกิดโทษเกิดพิษเป็นภัยแก่ตนเอง อันนี้ความสุขส่วนที่มนุษย์ยุคปัจจุบันนี้แสวงหากันมากจนกระทั่งกลายเป็นแนวทางหรือวิถีของสังคมไปเลยก็คือสามิสสุข สุขที่อาศัยอามิสหรือสิ่งเสพหรือพวกความสุขจากวัตถุ หรือพูดอีกอย่างหนึ่งเรียกว่ากามสุขนั่นเอง จนกระทั่งยุคนี้มีชื่อว่าเป็นยุคบริโภคนิยม ปัญหาต่างๆเราก็ได้พูดกันไปพอสมควรแล้ว ทีนี้การปฏิบัติในเรื่องของกามสุขนี้ซึ่งจะเชื่อมไปสู่ความสุขอื่นๆ ก็คือว่าประการที่หนึ่งก็คือ การปฏิบัติต่อตัวสามิสสุขหรือกามสุขนี่เอง ในทางที่จะทำให้เกิดโทษทุกข์ภัยน้อยด้วยความรู้เท่าทันปฏิบัติต่อมันให้ถูกต้อง ก็จะทำให้เราหรือชาวโลกทั่วไปนี้อยู่กับสิ่งเหล่านี้ได้ดีขึ้น แต่ว่าจะให้มีความสุขแท้จริงมันก็เป็นไปไม่ได้ เพราะว่าพวกสามิสสุขนี่ก็เป็นเรื่องของวัตถุ โดยธรรมชาติของมันเองก็มีสภาวะที่ไม่เที่ยงเป็นทุกข์เป็นอนัตตา เป็นสิ่งภายนอกมีลักษณะที่ต้องขึ้นต่อมันอย่างที่กล่าวแล้ว ผู้ที่ยังยุ่งอยู่กับสิ่งเหล่านี้ก็ต้องรู้เท่าทันอย่างที่ว่าก็คือปฏิบัติต่อมันให้เกิดโทษน้อยที่สุด ให้ได้ความสุขแล้วก็มีทุกข์น้อย แล้วก็ทุกข์ในที่นี้ก็รวมไปถึงเวรภัยกับผู้อื่นด้วย ทุกข์แก่ตัวเองเวรภัยแก่เพื่อนมนุษย์สังคมและก็การทำลายต่อธรรมชาติแวดล้อม อันนี้ประการต่อไปก็คือว่า มีสิ่งที่จะมาช่วยสร้างดุลยภาพให้เกิดความรู้จักประมาณหรือความพอดี อันนี้ก็เป็นวิธีหนึ่งที่จะมาช่วย และประการต่อไปก็คืออย่าหยุดอยู่เท่านี้ พยายามพัฒนาชีวิตโดยเฉพาะด้านจิตใจและด้านปัญญา เพื่อจะให้ได้มีอิสรภาพมากขึ้น มีความสุขที่เป็นอิสระเป็นไทแก่ตนและเข้าถึงความสุขที่ประณีตไปตามลำดับ ก็เข้ากับหลักที่พูดไปแล้วว่าวิธีปฏิบัติต่อเรื่องสุขทุกข์สี่ประการ ทีนี้เราก็มาดูเรื่องของวิธีปฏิบัติ เท่าที่เราพูดกันมาแล้วนี่มีเยอะ ไปพูดแทรกอยู่ในเรื่องต่างๆอยู่หลายเรื่อง ก็เป็นเพียงว่าเอามาสรุปอีกทีหนึ่ง น่าจะเป็นไปในลักษณะที่เพียงแต่หยิบยกขึ้นมากล่าวถึงคงไม่จำเป็นต้องอธิบายพิสดาร ทีนี้ที่พูดมาแล้วก็คือหนึ่งก็อย่าสูญเสียแหล่งความสุขพื้นฐานสามประการ หนึ่งก็คือว่าการอยู่ร่วมกับธรรมชาติสิ่งแวดล้อมที่เป็นตามธรรมชาติทั่วๆไปทางด้านวัตถุ และสองก็คืออย่าสูญเสียความสัมพันธ์ที่ดีต่อเพื่อนมนุษย์อย่าแปลกแยกจากเพื่อนมนุษย์จากสังคม และสามก็คืออย่าแปลกแยกจากกิจกรรมชีวิตของตนเอง แล้วการรักษาความสัมพันธ์ที่ดี การที่จะทำให้ได้รับประโยชน์จากแหล่งความสุขพื้นฐานสามประการนั้นก็จะไปสัมพันธ์กับการพัฒนาความสุขขั้นต่อไป เพราะว่าเวลาปฏิบัติทั้งหมดนี้มันก็อยู่ในเรื่องของการพัฒนาตามหลักไตรสิกขาคือ ศีล สมาธิ ปัญญา หรือพัฒนาพฤติกรรมจิตใจและปัญญา ในเมื่อพฤติกรรมจิตใจและปัญญามันแยกออกจากกันไม่ได้ สิ่งที่เราไปเกี่ยวข้องมันก็เลยโยงไปเอง อย่างเราไปสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม เพื่อนมนุษย์ สังคม ธรรมชาติ และกิจกรรมแห่งชีวิตของตนเองถูกต้อง มันก็ได้ความสุขจากแหล่งความสุขพื้นฐานไปด้วย พร้อมกันนั้นก็พัฒนาชีวิตของตนเองพัฒนาจิตใจและปัญญาไปด้วย มันเลยไปด้วยกัน แต่ว่าอย่างน้อยก็อาจจะยกมาพูดเป็นจุดสังเกต อย่างเรื่องของการไม่แปลกแยกจากธรรมชาติแวดล้อมนี่ ก็ยุคนี้คนก็เห็นความสำคัญมากขึ้นว่ามนุษย์ยุคที่ผ่านมานี่ห่างเหินจากธรรมชาติแล้วก็ทำลายธรรมชาติ ทำยังไงจะให้รักษาธรรมชาติไว้ได้ อย่างน้อยคนก็ยังคิดในแง่นี้เพราะว่าอันตรายถึงตัวเพราะว่าไปทำลายธรรมชาติ อย่างน้อยก็กลัวอันตรายจะมาถึงตัวก็จำเป็นต้องรักษาธรรมชาติ แต่ที่จริงไม่ใช่แค่รักษาธรรมชาติมันหมายถึงรักษาตัวเองด้วย รักษาตัวเองไม่ใช่เฉพาะในแง่ภัยอันตรายที่เกิดจากธรรมชาติแวดล้อมเสียแล้วมันทำให้เกิดผลร้ายต่อชีวิต แต่หมายถึงแม้แต่ความสุขด้วยพอรักษาธรรมชาติไว้ก็รักษาทางความสุขของตัวเองด้วย การที่รักษาธรรมชาติได้ดีนี่ความจริงมันต้องโยงมาถึงจิตใจ เขาบอกว่าจะรักษาธรรมชาติคืออนุรักษ์ธรรมชาติได้ก็ต้องให้คนรักธรรมชาติ ทีนี้จะให้คนรักธรรมชาติได้ยังไง รักธรรมชาติมันก็ต้องเกิดมาจากปัจจัยภายในคือ ถ้าทำถูกต้องตามเหตุปัจจัยแล้วความรักธรรมชาติมันเกิดเอง ทีนี้ตอนนี้ก็สอนกันให้รักธรรมชาติรักธรรมชาติ แต่ถ้าไม่ทำเหตุปัจจัยของความรักให้ถูก ความรักมันจะเกิดได้ยังไง อันนี้ไม่ใช่สิ่งที่จะไปบังคับฝืนใจได้ ความรักธรรมชาติเกิดขึ้นเมื่อคนเรานี้มีความสุขจากการอยู่กับธรรมชาติ ถ้าคนเกิดมีความสุขในการอยู่กับธรรมชาติแล้วเขารักธรรมชาติเองเลย เพราะฉะนั้นอย่างสอนเด็กสมัยนี้การศึกษาว่าเอานะ มาช่วยกันอนุรักษ์ธรรมชาติเราต้องรักธรรมชาติ แล้วทำยังไงจะให้รักธรรมชาติ วิธีที่ดีที่สุดก็คือสร้างเหตุปัจจัยที่จะให้รักธรรมชาติ ก็คือว่าให้เด็กมีความสุขจากการอยู่กับธรรมชาติ ถ้าเขามีความสุขในการอยู่กับธรรมชาติแล้ว การรักธรรมชาติก็เป็นไปเอง เมื่อรักธรรมชาติแล้วการอนุรักษ์ก็ตามมา มันเป็นไปตามเหตุปัจจัยไม่ต้องไปบังคับฝืนใจ ปัจจุบันนี้วิถีของอารยธรรมมันทำให้คนรักธรรมชาติได้น้อย เพราะว่าแต่ละคนมุ่งหวังสิ่งเสพ เอาสิ่งเสพให้กับตนเอง แล้วก็ยิ่งมองธรรมชาติเป็นที่มาของสิ่งเสพวัตถุที่จะมาบริโภค มันมองธรรมชาติด้วยสายตาที่จะไปเอามาจัดการ ก็คือมองแบบเป็นสิ่งที่จะต้องทำลายหรือเบียดเบียนนั่นเองที่เรียกว่าเอาชนะธรรมชาติ เอาชนะในความหมายหนึ่งก็กลายเป็นกำจัดและก็สร้างสิ่งที่ตัวเองปรารถนาที่จะบำรุงบำเรอความสุข เพราะฉะนั้นทัศนคตินี้มันเป็นทัศนคติที่มองธรรมชาติเป็นปฏิปักษ์ เมื่อมองเป็นปฏิปักษ์เป็นศัตรูมันก็รักไม่ได้ แล้วก็เจอกันมันก็ไม่เป็นสิ่งที่จะทำให้มีความสุข บางทีสร้างค่านิยมกันถึงกับการที่ว่าถ้ามีธรรมชาติอยู่ก็แสดงว่าเรายังไม่เจริญ เห็นธรรมชาติก็มองเป็นปฏิปักษ์ มีความรู้สึกว่าธรรมชาตินี่นะมาขัดขวางความสุขของตัวเองเลยก็มี ในยุคหนึ่งเคยไปถึงขนาดนั้น อย่างถือว่าป่าต้นไม้เป็นเครื่องหมายของความเถื่อนของความไม่เจริญ จะเจริญก็ต้องสร้างบ้านสร้างตึกสร้างถนนหนทางวัตถุเทคโนโลยีมากๆ ใครมีป่ามีต้นไม้มากก็แสดงว่ายังไม่เจริญ พอเห็นป่าเห็นต้นไม้ก็มีความรู้สึกไม่ดีขึ้นมาทันที เป็นปฏิปักษ์จะต้องกำจัดและจะต้องสร้างเป็นคอนกรีตขึ้นมาแทนจนกลายเป็นป่าคอนกรีต ระยะนั้นแม้แต่ตามวัดต่างๆ ก็เลยทำลายต้นไม้กัน ต้นไม้ที่เคยปลูกกันไว้ตั้งแต่บรรพบุรุษก็เลยมาหมดลงในยุคพัฒนานี่ล่ะ เมื่อ พ.ศ. 2503 ขึ้นมานี่หมดไปเยอะแยะเลย ทัศนคติค่านิยมแนวความคิดวิถีชีวิตก็อยู่ในลักษณะนี้มาเป็นเวลายาวนาน เวลานี้ก็มาถึงตอนที่คนเกิดความสำนึกว่าที่เป็นมาอย่างนั้นผิด ทีนี้การปลูกฝังความรู้สึกความเชื่อความคิดนี้มันปรุงแต่งมานาน เพราะฉะนั้นก็เกิดความขัดแย้งในตัว คนก็ไม่ค่อยมีความสุขจากธรรมชาติเท่าไหร่ เพราะฉะนั้นก็จะต้องว่ากันใหม่ก็ต้องสร้างทำให้เด็กนี่มีความสุขในการอยู่กับธรรมชาติ อย่างที่ว่าแล้วนี้อย่างไปเห็นกระรอกหรือเห็นนก ก็มีความสุขจากการที่ได้เห็นมันขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวการบินการขยับมือเท้า การที่มันอยู่ในสิ่งแวดล้อมบรรยากาศต้นไม้อะไรต่างๆเหล่านี้ เห็นแล้วก็มีความชื่นชมมีความสุข ไม่ใช่ว่าไปเห็นกระรอกก็นึกถึงการที่จะเอามันไปลงหม้อแกงแล้วจะได้กินอร่อย หรือว่าไปเห็นนกก็นึกถึงอย่างเดียวกันว่าจะเอามาปิ้งมาย่างแล้วจะได้กินอร่อย ก็เลยพอมองเห็นนกก็ไม่ได้มีความรู้สึกมีความสุข ไม่ได้มีความสุขจากธรรมชาติ แต่มีความสุขจากการเสพ ซึ่งจะต้องไปเอาหนังสติ๊กหรือไปเอาอะไรมาสักอย่างมาขว้างมายิงมาปาฆ่ามัน เพราะฉะนั้นเรื่องการที่จะทำให้คนมีความสุขในการอยู่กับธรรมชาตินี่ สังคมไทยนี่จะมีปัญหาเหมือนกัน เพราะว่าเด็กไทยเราเจอนกปั๊บนี่จะไล่ปาแล้วเจอกระรอกก็ไล่ขับเอาไม้ขว้าง ความรู้สึกที่จะชื่นชมในความงามในความสวยงามมีความสุขกับธรรมชาติไม่ค่อยมีนะเป็นปัญหาอยู่ เพราะฉะนั้นอันนี้ต้องทำขึ้นก็ต้องเริ่มตั้งแต่เด็กๆ ก็ให้เด็กมีความสุขในการอยู่กับธรรมชาติแวดล้อม ก็ต้องให้ผู้ใหญ่ช่วยในการที่ชักจูงในทางโยนิโสมนสิการ ให้เด็กได้เกิดความคิดรู้จักมอง มองเห็นความงามของมันมองเห็นชีวิตความเป็นอยู่ รู้จักพูดจักจาให้เด็กเห็นรู้สึกว่าพอเห็นมองเห็นนกนี่สิ่งที่ผู้ใหญ่พูดไว้มันโยงไปหาชีวิตของสัตว์ ความเป็นอยู่และธรรมชาติแวดล้อมที่สวยงาม เด็กก็จะมีความสุขจากธรรมชาติได้ พอเด็กมีความสุขกับธรรมชาตินี่แกก็รักธรรมชาติเอง เมื่อรักธรรมชาติแล้วการอนุรักษ์ก็ตามมา เพราะฉะนั้นอันนี้ก็เป็นเรื่องหนึ่งซึ่งจะต้องไปคิดหาวิธีเทคนิคกัน ตอนนี้ก็มีคนเริ่มคิดหาทางกันเยอะมากขึ้น แต่ว่าอย่างน้อยว่าไม่ให้มีทัศนคติที่เป็นปฏิปักษ์ที่มองว่าธรรมชาติแวดล้อมเป็นสิ่งขัดขวางความสุขของมนุษย์ จะต้องทำลายหรือว่ามองในแง่ว่าจะต้องเอามันมาเป็นวัตถุดิบ แล้วก็มาผลิตเป็นสิ่งบริโภคโดยเข้าโรงงานอุตสาหกรรมแล้วจึงจะมีความสุข ก็ถือคติเรื่องกระรอกลงหม้อแกงนี่แหละ นี่ก็เป็นเรื่องหนึ่งเกี่ยวกับธรรมชาติแวดล้อมก็ไปคิดหารายละเอียดกันเอา และทีนี้ด้านอื่นๆ ก็คือเรื่องของการสร้างดุลยภาพจากการหาความสุขด้วยการเสพ อันนี้หลักที่พูดมาแล้วก็โภชเนมัตตัญญุตานี่ก็ชัด โภชเนมัตตัญญุตาก็คือการบริโภคด้วยปัญญา การที่มองให้เห็นว่าที่เราบริโภคสิ่งนั้น เช่น บริโภคอาหารหรือบริโภคใช้สอยเครื่องนุ่งห่ม โดยเฉพาะก็คือเริ่มจากอาหารนี่ บริโภคเพื่ออะไรจุดมุ่งหมายอยู่ที่ไหน พอใช้ปัญญาพิจารณาก็มองเห็นว่าความมุ่งหมายของการบริโภคนั้นอยู่ที่การทำให้ร่างกายแข็งแรงมีสุขภาพดี และเราจะได้เอาร่างกายแข็งแรงสุขภาพดีนี้ไปใช้ประโยชน์ ไปดำเนินชีวิตที่ดีไปสร้างสรรค์ไปทำการอะไรต่างๆที่ทำให้ชีวิตเจริญงอกงามยิ่งขึ้น ทีนี้พอมองอย่างนี้แล้วมันก็จะทำให้มาช่วยสร้างดุลยภาพ ทำให้การที่จะมุ่งบริโภคเพื่อเอร็ดอร่อยเพื่อบำรุงบำเรอปรนเปรอตาหูจมูกลิ้นนี้น้อยลงเบาบางลง อันนี้ก็เป็นหลักง่ายๆ คือถ้าเริ่มมีการศึกษาก็จะฝึกกันตั้งแต่ในบ้าน ก็ถ้าได้นี้แล้วดุลยภาพเกิดขึ้นเยอะเลย เพราะเวลานี้คนกินอาหารนี่ หนึ่งกินด้วยตัณหาเพื่อเสพรสอร่อย โดยเฉพาะบางทีพ่อแม่ก็ไปตามใจเด็กและปรนเปรอในเรื่องนี้ นึกว่านี่เป็นการรักลูกอันนี้เป็นการทำลายลูก มากกว่า จะต้องชี้กันให้เห็นเลยว่าทำลายลูกอย่างไร ถ้าไปตามใจลูกด้วยการปรนเปรอด้วยสิ่งเอร็ดอร่อย เพราะว่ามันไม่ทำให้เกิดปัญญาเลย บริโภคด้วยโมหะสักแต่ว่าสนองตัณหาความปรารถนาเสพรส แล้วมันไม่ใช่แค่นั้นมันไปสนองมานะ มานะก็คือการที่ยึดถือค่านิยมในการที่จะโก้เก๋ยิ่งใหญ่เด่น จะได้กินอาหารฝรั่งแล้วก็โก้ อันนี้คือสนองมานะเคยกินอาหารที่สถานที่ที่โก้เก๋เป็นค่านิยมก็กลายเป็นว่าตัวเองก็สิ้นเปลืองโดยใช่เหตุ แล้วก็สนองกิเลสคือมานะ เกิดความภาคภูมิใจว่าโก้แล้วเป็นโมหะคือความหลง ไม่ได้ใช้ปัญญา แล้วกลายเป็นเหยื่อของพวกนักโฆษณาของพวกหาเงินหาผลประโยชน์ใช่มั้ย พวกนั้นก็สบายสิเอาพวกนี้เป็นเหยื่อโฆษณาเข้าไปว่าที่นี่ต้องไปกินที่นี่จึงจะโก้กินต้องกินอาหารประเภทนี้จึงจะโก้ อันนี้ตัวเองก็นึกว่าที่ทำอย่างนี้โก้จริงๆ ภูมิใจแสดงว่าไปตามค่านิยมตามกระแสของความชอบใจไปตามเสียงชักจูงของผู้อื่น ไม่มีความเป็นตัวของตัวเองไม่ใช้ปัญญา ทีนี้พอเราสอนให้เด็กเข้าใจว่าเออที่กินนี้กินเพื่ออะไร อย่างน้อยก็ให้เขาถามตัวเองมีคำตอบมองเห็นด้วยปัญญาว่า อ๋อที่อาหารนี่ที่แท้มันเพื่อบำรุงร่างกายให้แข็งแรงมีสุขภาพดี อย่างที่ว่าเมื่อกี้แล้วจะได้เอาร่างกายไปใช้ประโยชน์ทำสิ่งที่ดีงามแล้วก็ดำเนินชีวิตที่เจริญงอกงามยิ่งขึ้นไป พอแกมองเห็นอย่างนี้แกเห็นเลยมันชัดมันถูกต้องมันเป็นความจริงพอแกเห็นว่าเป็นความจริงแล้ว เราก็หนุนได้ว่านี่เห็นมั้ยการที่บริโภคเพื่อจุดมุ่งหมายนี้เป็นการกินด้วยปัญญา เด็กจะมีความมั่นใจในตนเองภูมิใจในการกินอย่างนี้ แล้วแกก็จะไม่ตกไปใต้อำนาจค่านิยมก็จะช่วยถ่วงดุลได้เป็นดุลยภาพ อย่างการเสพรสการโก้เก๋มันก็จะถูกควบคุมให้อยู่ในอัตราที่เบาลงหรือเกิดความพอดีขึ้นมา เพราะฉะนั้นการกินด้วยปัญญาก็เป็นการกินที่พอดี เพราะทำให้เกิดการพอดีในแง่หนึ่งก็ปริมาณของสิ่งเสพบริโภคพอดีกับความต้องการของชีวิต แล้วก็สองก็โดยประเภทของสิ่งที่บริโภคเช่นอาหารก็บริโภคสิ่งที่มีคุณค่าเป็นประโยชน์ ก็ทำให้ประหยัดไม่สิ้นเปลืองไปในตัว ก็เป็นการสนองความต้องการของชีวิตที่แท้จริงซึ่งเป็นไปตามธรรมชาติ ไม่ใช่เป็นการสนองความต้องการของอัตตาตัวตนที่เกิดจากตัณหา อันนี้ได้ดุลยภาพแล้วนะแบบนี้ก็หลักที่หนึ่งเรียกว่า โภชเนมัตตัญญุตา ก็ขยายไปสู่เรื่องการใช้เทคโนโลยีเป็นต้น ให้เด็กถามตัวเองหรือถามเด็กก็ได้ว่า เอาอันนี้นะประโยชน์ของสิ่งนี้ใช้เพื่ออะไรประโยชน์มันอยู่ที่ไหน แล้วเมื่อแกมีปัญญาแกรู้เข้าใจก็ทำให้ได้ตามวัตถุประสงค์นั้นมีความมั่นใจในตัวเอง เพราะฉะนั้นคนมีปัญญาก็หมายถึงมีการศึกษาขึ้นมาด้วย นี้ถ้าไม่มีปัญญาไม่บริโภคด้วยปัญญาแล้วจะเรียกว่ามีการศึกษาได้ยังไง ปัจจุบันนี้เราก็ไม่แน่ใจว่าที่ทำทำกันอยู่นี่เป็นการศึกษารึเปล่า เอาล่ะครับโภชเนมัตตัญญุตาอันนี้ก็พูดกันไปเยอะแล้วนะ เราก็มาทวนกันอีกก็เป็นตัวที่มาช่วยสร้างดุลยภาพในยุคของการเสพบริโภคนี้ ได้ตัวนี้มาก็ช่วยโลกได้เยอะแยะแล้ว ทีนี้ต่อไปก็อะไรล่ะ ข้อที่พระพุทธเจ้าสอนไว้เป็นหลักการพื้นฐานในการพัฒนามนุษย์ก็บอกแล้วว่า มนุษย์นี้เป็นอยู่ชีวิตประจำวันก็อยู่กับตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ที่สัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม แล้วเราก็เรียนหลักมาแล้วว่าการใช้ตา หู จมูก ลิ้น กาย นี้ใช้สองอย่าง หนึ่งใช้เพื่อเสพสนองตัณหา สองใช้เพื่อศึกษาสนองฉันทะใช่มั้ย ทีนี้คนที่ยังไม่มีการศึกษาเลยก็มีแต่ตัณหาซึ่งตั้งอยู่บนฐานของอวิชชา ก็ใช้ตา หู จมูก ลิ้น กาย เพื่อเสพ พอเสพแล้วมีความสุขจากสิ่งเสพนั้น ทีนี้สิ่งที่เจอเป็นวัตถุภายนอกก็มีสองแบบคือสิ่งที่ชอบใจกับไม่ชอบใจ เจอสิ่งที่ชอบใจได้เสพก็มีความสุข เจอสิ่งไม่ชอบใจก็ทุกข์ ก็เลยมีสุขทุกข์ที่วนเวียนอยู่กับเรื่องของสิ่งชอบใจไม่ชอบใจ ทีนี้ต่อมาเราพัฒนาเด็กขึ้นมาให้รู้จักใช้ตา หู จมูก ลิ้น กาย เพื่อการศึกษาคือเพื่อการเรียนรู้ว่า ที่จริงแล้วชีวิตมนุษย์จะอยู่ดีได้นี่ก็คือการรู้จักสิ่งทั้งหลายว่าเป็นอะไรคืออย่างไรมันเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับเราอย่างไร มันเป็นคุณเป็นโทษแก่เราอย่างไร เราจะต้องปฏิบัติต่อมันอย่างไร ซึ่งการที่จะรู้และปฏิบัติให้ถูกต้องดำเนินชีวิตได้ดีอย่างนี้ มันจะต้องอาศัยปัญญาซึ่งจะเกิดขึ้นจากการเรียนรู้โดยใช้ตา หู จมูก ลิ้น ถูกต้อง เมื่อเราใช้ตาดูหูฟังเป็น แทนที่จะไปติดอยู่แค่การเสพมันก็กลายเป็นว่าใช้ตาดูหูฟังให้ได้ความรู้คือการเรียนรู้ พอเด็กเริ่มเรียนรู้เด็กก็จะมีความสุขจากการได้รู้ เมื่อมีความสุขจากการได้รู้ก็ทำให้พัฒนาความอยากรู้มากขึ้น ความอยากรู้เกิดเป็นความใฝ่รู้ พอเป็นความใฝ่รู้อยากรู้สนองความต้องการในการเรียนรู้ก็ยิ่งมีความสุข พอความใฝ่รู้ทวีขึ้นพัฒนาขึ้นเข้มขึ้นความสุขจากการเรียนรู้ก็มากขึ้นทุกที มันก็มาช่วยสร้างดุลยภาพกับการใช้ตา หู จมูก ลิ้น เพื่อเสพ แล้วก็ขยายมิติแห่งการมีความสุขตอนนี้เริ่มพัฒนาแล้ว แต่ก่อนนี้มีความสุขจากการใช้ตา หู จมูก ลิ้น เพื่อเสพอย่างเดียว ตอนนี้มีความสุขจากการสนองความใฝ่รู้ ใช้ตาดูหูฟังเพื่อจุดมุ่งหมายใหม่คือการเรียนรู้แล้ว ทีนี้อย่างที่เคยบอกไว้แล้วว่าการเรียนรู้นั้นไม่ขึ้นต่อสิ่งชอบใจไม่ชอบใจ สิ่งชอบใจก็ได้เรียนรู้ สิ่งไม่ชอบใจก็ได้เรียนรู้ เพราะฉะนั้นจากการพัฒนาในเรื่องของความใฝ่รู้ การใช้ตาดูหูฟังเพื่อการศึกษาก็เลยทำให้เด็กนี่พ้นจากวงจรแห่งสุขทุกข์จากสิ่งชอบใจไม่ชอบใจ กลายเป็นว่าสามารถมีความสุขได้จากประสบการณ์ทุกอย่างไม่ว่าชอบใจไม่ชอบใจ เพราะมองในแง่การเรียนรู้แล้วมันไม่เกี่ยวกับชอบใจไม่ชอบใจ การเรียนรู้นั้นเรียนจากประสบการณ์ได้ทุกอย่าง ยิ่งสิ่งที่ไม่ชอบใจก็อาจจะได้เรียนรู้มากด้วย เพราะฉะนั้นก็เปิดช่องทางของความสุขเพิ่มขึ้น ได้มาเอาความสุขชนิดใหม่ไปดุลยภาพกับความสุขจากการเสพด้วย แล้วยังแถมทำให้เป็นความสุขที่ประณีตที่เป็นอิสระมากขึ้น เพราะว่ามันพ้นจากวงจรแห่งความสุขทุกข์จากความชอบใจไม่ชอบใจ นี่คือความสุขจากการใช้ตาหูเพื่อการศึกษาก็จะตาดูหูฟังดูเป็นฟังเป็นเป็นต้น ดูเป็นฟังเป็นก็พัฒนาขึ้นมาอีกขั้นหนึ่ง ทีนี้ความอยากชนิดใหม่คือความอยากรู้ใฝ่รู้นี้เราเรียกว่าฉันทะ ตอนเดิมก็ใช้ตาดูหูฟังเพื่อสนองตัณหาคือการเสพ ตอนนี้ก็ใช้ตาดูหูฟังเพื่อสนองฉันทะคือความใฝ่รู้ ต่อมาก็พอพัฒนาความใฝ่รู้ขึ้นมาแล้วความรู้นี้จะทำให้เราก้าวไปสู่ความอยากความต้องการอีกขั้นหนึ่ง คือเมื่อรู้แล้วจะสามารถแยกสิ่งที่อยู่ในภาวะที่ดีที่ควรจะเป็นกับสิ่งที่ไม่ดีในภาวะที่ไม่ควรจะเป็น แยกได้ระหว่างสิ่งที่อยู่ในภาวะสมบูรณ์กับสิ่งที่อยู่ในภาวะบกพร่อง ทีนี้ความรู้นี้จะทำให้เกิดการอยากจะให้สิ่งนั้นมันอยู่ในภาวะที่มันดีที่มันสมบูรณ์ที่มันควรจะเป็น ทีนี้เมื่อเห็นอย่างนี้แล้วแยกได้แล้ว อยากจะให้มันอยู่ในภาวะที่ดีที่ควรจะเป็น พอเห็นสิ่งที่ไม่ดีบกพร่องไม่เต็มไม่บริบูรณ์ก็อยากจะทำการแก้ไข ทำให้มันดีให้มันเต็มให้มันสมบูรณ์ ตอนนี้ก็เกิดความใฝ่ชนิดใหม่ความอยากชนิดใหม่เรียกว่าใฝ่ดี ความอยากให้มันดีพออยากให้มันดีก็เลยอยากทำให้มันดี เพราะว่าสิ่งที่มันยังไม่ดีไม่สมบูรณ์ยังบกพร่องอยู่เห็นแล้วก็อยากทำให้มันดี เห็นพรมปูพื้นไม่สะอาดก็อยากให้มันสะอาด เห็นพื้นที่มันไม่เรียบร้อยมันขรุขระก็อยากให้มันเรียบร้อย เห็นต้นไม้เฉาเหี่ยวก็อยากให้มันเขียวขจี พอความรู้อันนี้มาก็อยากให้มันดี อยากทำให้มันดีพอทำให้มันดีการกระทำนั้นก็ทำให้เกิดความสุข ตอนนี้ก็ได้ความสุขอีกขั้นหนึ่งความสุขขั้นนี้ก็คือความสุขจากการกระทำ แต่เป็นการกระทำให้มันดีก็เลยเรียกว่าการสร้างสรรค์ ก็เกิดมีความสุขชนิดใหม่ก้าวอีกขั้นหนึ่งเรียกว่าความสุขจากการสร้างสรรค์ เป็นการก้าวจากความสุขจากการศึกษาก็ต่อเนื่องกัน ความสุขจากการศึกษามาแล้วความสุขจากการสร้างสรรค์ก็ตามมา อันนี้ความสุขจากการสร้างสรรค์ก็มาทำให้คนมีช่องทางมีความสุขเพิ่มขึ้น แล้วข้อดีของมันก็คือว่ามันทำให้การกระทำมีความสุขซึ่งต่างกับฝ่ายเสพ ถ้าเด็กอยู่ในขั้นของการหาความสุขจากสิ่งเสพแกต้องได้รับการบำรุงบำเรอเป็นฝ่ายรับจึงจะมีความสุข ถ้าแกต้องทำอะไรแกก็จำใจฝืนใจแกก็ทุกข์ จนกระทั่งทำให้การกระทำนี้เป็นความทุกข์ไป การกระทำจะมีความหมายเป็นความทุกข์สำหรับนักเสพ เพราะฉะนั้นพอมาเป็นนักสร้างสรรค์อยากจะทำอะไรต่ออะไรให้มันดีนี่การกระทำกลายเป็นความสุข เมื่อการกระทำเป็นความสุขการสร้างสรรค์เป็นความสุขเด็กก็จะเข้มแข็ง เด็กที่เป็นนักเสพไม่อยากทำอะไรการกระทำเป็นความทุกข์ก็จะอ่อนแอลงไปใช่มั้ยแล้วก็วนเวียนอยู่ในทุกข์ เพราะว่าไม่สามารถจะสร้างสรรค์อะไรได้ ก็จะต้องแย่งชิงอย่างเดียว ต้องหาต้องเอาต้องรับต้องได้ ตอนนี้สามารถเป็นผู้กระทำทีนี้เราก็สามารถฝึกต่อไปอีก พอเด็กมีความใฝ่รู้ใฝ่ดีใฝ่ศึกษาใฝ่สร้างสรรค์มีความสุขแบบใหม่ขยายมิติแห่งความสุขออกไป แกก็สามารถมีจิตสำนึกในการศึกษาจิตสำนึกในการฝึกตนอีก พอเราสามารถพัฒนาถึงขั้นนั้นได้เด็กมีจิตสำนึกในการฝึกตน เด็กที่มีความใฝ่สร้างสรรค์ชอบทำการสร้างสรรค์อยู่แล้วเจอสิ่งที่ทำยากแกก็ชอบ แกก็มีความสุขจากการทำสิ่งที่ยากอีก ตอนนี้ไม่กลัวความยากแล้ว มีความเข้มแข็งขนาดที่ว่าสิ่งที่จะทำให้คนทั่วไปเกิดความทุกข์คนพวกนี้ไม่ทุกข์ซะแล้วนี่ก้าวไปอีกขั้นหนึ่ง สิ่งที่ยากสิ่งที่เป็นปัญหาคนทั่วไปนั้นเมื่อไม่ได้ฝึกก็แน่นอนว่าต้องเกิดความทุกข์ แต่คนที่ฝึกแล้วพัฒนาแล้วเจอปัญหาเจอสิ่งที่ยากมีจิตสำนึกในการฝึกตนมองเห็นว่า โอ้! นี่เราจะได้ฝึกตนก็ชอบ ชอบก็เอาเลย พอทำเค้าก็มีความสุขมีความยินดีได้เจอสิ่งที่ยาก ถึงขั้นมีจิตสำนึกในการฝึกตนก็มีความสุขในการทำสิ่งที่ยาก เพราะว่ายิ่งยากยิ่งได้ฝึกตนเองมากดีใจชอบใจมีความสุข ตอนนี้สบายเลยโอกาสที่จะทุกข์ก็น้อยเหลือเกินแล้ว คนที่เป็นอย่างนี้ ถ้าคนที่เป็นนักเสพไม่พัฒนาก็อยู่เท่าเดิมอยู่ขั้นพื้นฐาน แกอยากเจอแต่สิ่งที่ได้ที่ชอบใจจะเสพท่าเดียวมีทุกข์เหลือเกิน แล้วไอ้สิ่งที่เสพนี่มันต้องเพิ่มปริมาณดีกรีด้วยมันเลยยิ่งลำบาก สิ่งที่เคยให้ความสุขในปริมาณเท่านี้ดีกรีเท่านี้ ต่อมาก็ไม่มีความสุขแล้วเกิดทุกข์จากการเบื่อหน่ายจากการรอคอยจากการไม่ได้ผิดหวังอย่างที่พูดมาแล้วนี่เยอะแยะ แล้วแถมมาจะต้องทำอะไรก็ทุกข์เจอสิ่งที่ไม่ชอบใจก็ทุกข์มันวุ่นวายไปหมด แล้วก็เจออนิจจัง ทุกขัง อนัตตา สิ่งที่ตัวได้มาครอบครอง ห่วงกังวลกลัวจะพลัดพราก พอพลัดพรากสูญเสียก็เกิดความทุกข์ ยังไม่สูญเสียไปก็มีความหวาดหวั่นอะไรอีกทุกข์มันเยอะ ทีนี้พอเราพัฒนาเด็กขึ้นมานี่ตอนนี้หลายช่องทางแล้ว มิติแห่งความสุขขยายไปเยอะเลย ตอนนี้เรามีอะไรบ้างล่ะ เรามีหนึ่งสุขพื้นฐานเราไม่เสียจากแหล่งของความสุขของชีวิตคือธรรมชาติแวดล้อม เพื่อนมนุษย์แล้วก็กิจกรรมแห่งชีวิต แล้วก็มามี โภชเนมัตตัญญุตาการบริโภคด้วยปัญญา การบริโภคพอดีเข้ามาสร้างดุลยภาพแล้วก็มีการพัฒนาชีวิต ใช้ตาดูหูฟังไม่ใช้เพียงเพื่อเสพแต่เพื่อการศึกษาสนองความใฝ่รู้ แล้วก็พัฒนามาสู่การที่ว่ามีความสุขจากการสร้างสรรค์จากการทำสิ่งทั้งหลาย คือการมีความสุขจากการกระทำนั่นเอง มีความสุขจากการกระทำก็เข้มแข็งขึ้นมาแล้วมีจิตสำนึกในการศึกษา มีความสุขแม้จะได้เกิดจากเจอสิ่งที่ยากสุขไปหมด ทีนี้ต่อมาก็กิจกรรมในชีวิตก็ดีไปหมด ตอนนี้จะโยงกลับไปหากิจกรรมชีวิตใช่มั้ย เพราะการกระทำของเขาทำให้เขามีความสุข เพราะฉะนั้นเขาก็อยู่กับกิจกรรมในชีวิตของเขาได้สบายไปหนุนในข้อนี้ อีกอันหนึ่งก็คือการอยู่ร่วมกับเพื่อนมนุษย์ที่เรียกว่าอยู่ด้วยไมตรีจิตมิตรภาพมีความจริงใจไม่หวาดระแวงก็เป็นความสุขสบายอย่างหนึ่ง ทีนี้ก็พัฒนาต่อไปว่ามนุษย์อยู่กับสิ่งเสพคิดจะได้จะเอา ก็มีแนวโน้มที่จะทำให้เกิดความรู้สึกไม่ดีต่อเพื่อนมนุษย์มีความหวาดระแวง เพราะกลัวการแย่งชิงกลัวได้เปรียบเสียเปรียบ ทีนี้เราก็พัฒนาว่าอย่าเอาแต่คิดได้คิดเอาให้คิดให้ด้วยก็มาพัฒนาในเรื่องทานกัน จากการที่มนุษย์อยู่กับวัตถุแสวงหาวัตถุมุ่งจะได้จะเอา ก็เลยให้มีด้านการให้เข้ามาดุลยภาพ พอมีการให้คิดจะให้ก็จะมองเพื่อนมนุษย์ด้วยความเข้าใจ มองเห็นสุขทุกข์ของผู้อื่นก็เอื้อต่อการที่จะเกิดคุณธรรมคือเมตตากรุณา ตอนนี้เมตตากรุณาก็มาความเมตตากรุณาก็เป็นการอยากให้ผู้อื่นมีความสุขอยากช่วยให้คนอื่นให้พ้นทุกข์ พอมีตัวนี้ขึ้นมาก็จะทำให้เราให้ด้วยความสุข การให้กลายเป็นความสุขมนุษย์ก็จะมีความสุขจากการให้อีก จิตใจของผู้มีความสุขจากการให้ก็เป็นประดุจจิตใจของบิดามารดาที่รักลูก รักลูกให้แก่ลูกก็มีความสุข ทีนี้พอมีความรักเพื่อนมนุษย์มีเมตตากรุณาให้แก่เพื่อนมนุษย์ก็มีความสุข ต่อไปพัฒนาคุณธรรมอื่นเช่นศรัทธาเชื่อซาบซึ้งในคุณค่าของการทำความดี เห็นว่าการบำเพ็ญประโยชน์ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์บำรุงพระศาสนานี้ช่วยให้โลกมีสันติสุขเป็นการดำรงธรรมะไว้แก่สังคม มองด้วยปัญญาเห็นกว้างไกลขึ้นมา พอเกิดศรัทธามีการให้ไปช่วยเหลือบำเพ็ญประโยชน์หรือไปบำรุงกิจการที่เป็นกุศลบำรุงพระศาสนาก็มีความสุขอีก จิตใจก็มีความสุขจากการให้ เพราะฉะนั้นคุณธรรมที่พัฒนาตอนนี้ก็ทำให้เรามีความสุขจากการให้มาหนุนในการอยู่ร่วมสังคมให้อยู่ด้วยความสุขยิ่งขึ้น มนุษย์ก็จะไม่แปลกแยกจากเพื่อนมนุษย์ด้วยกันแถมมีความสุขมากขึ้นจากการอยู่ร่วมด้วย ตกลงว่าเราก็ได้ความสุขจากอีกแหล่งหนึ่งคือจากทานคือการให้ โยงไปหาคุณธรรมในใจคือเมตตากรุณาก็พัฒนาไปพร้อมกัน ด้านนอกพัฒนาทานคือการให้ด้านในพัฒนาเมตตากรุณาที่เป็นคุณธรรมก็เยอะแล้ว ทีนี้ต่อไปก็ยังมีการฝึกอีกฝึกยังไงฝึกว่าให้เป็นผู้ที่ว่าสามารถมีความสุขได้มากจากวัตถุน้อยๆ แต่ก่อนนี้ก็ต้องมีวัตถุเสพมากที่สุดจึงจะมีความสุขมากที่สุด ต่อมาก็มีดุลยภาพไม่จำเป็นต้องเสพมาก เพราะมันอาจเป็นอันตรายเป็นโทษทั้งแก่ชีวิตและสังคมและแก่ธรรมชาติแวดล้อม แต่ว่ามันก็ยังอยู่ในขั้นเสมอตัว ทีนี้ก็พัฒนาต่อไปสิพัฒนาการที่ว่าเราเก่งสามารถ มีความสุขได้มากด้วยวัตถุน้อย นี้เป็นความสุขในด้านวัตถุอันนี้หลักนี้เรียกว่าสันโดษ สันโดษก็คือความพอใจในสิ่งที่มีที่ได้มีได้มาเท่าไรมีความสุขได้ทั้งนั้น วัตถุนี้พอเพียงจำเป็นแก่การมีชีวิตอยู่ ถ้าใช้วัตถุน้อยมีความสุขได้มากหรือว่าสามารถมีความสุขได้ด้วยวัตถุน้อยที่สุดเท่าที่จำเป็นก็เป็นความมักน้อยไปเลยเรียกว่า อัปปิจฉตา ก็ไม่ต้องการเกินจำเป็น ถ้าสันโดษนี่ยังเอาแค่ได้เท่าไรก็ยินดีเท่านั้น อันนี้ก็จะได้ประโยชน์พัฒนาขึ้นมาอีกขั้นหนึ่ง แต่ว่าตอนนี้ก็ต้องถามแทรกเข้ามาว่าเรื่องความสุขก็ต้องระวัง บอกแล้วพระพุทธเจ้าก็ตรัสบอกว่าแม้ในความสุขที่ชอบทำก็อย่าได้ไปสยบหลงมัวเมาใช่มั้ย ไปติดไปหลงตอนนี้สันโดษนี้เป็นต้น เป็นตัวอย่างของการที่อาจจะเกิดความหลงความเพลินติดในความสุข พอได้วัตถุมาเป็นของตนเท่าที่ได้ที่มี ก็สันโดษก็มีความสุขได้ก็พอใจก็สบายแล้ว สบายแล้วติดหลงเพลินในความสุขไม่นำเอาสันโดษไปเป็นปัจจัยแห่งการพัฒนาชีวิต ก็ตกอยู่ในความประมาททำให้เกิดความเสื่อม เพราะฉะนั้นสันโดษที่ไม่มีความสัมพันธ์กับธรรมะข้ออื่นที่จะก้าวต่อไปก็เป็นตัวความประมาทไป เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าก็ตรัสเรื่องสันโดษว่าเป็นความประมาทได้ เพราะไปสันโดษในแง่อะไร เพราะไปสันโดษในกุศลธรรมนั่นเอง ถ้าสันโดษในวัตถุเองมันก็ไม่ได้เสียหาย แต่ว่ามันไม่ไปต่อเชื่อมเป็นปัจจัยแห่งการพัฒนาชีวิตหรือเพียรพยายามเข้าถึงสิ่งดีงาม ตอนนี้ก็เลยต้องเอาสันโดษไปโยงกับเรื่องกิจกรรมแห่งชีวิตเลย เพราะฉะนั้นในด้านหนึ่งสันโดษนั้นทำให้เรามีความสุขง่ายด้วยวัตถุน้อย ถ้าพูดง่ายๆว่าสันโดษทำให้สุขง่ายด้วยวัตถุน้อยเพื่ออะไรก็เพื่อได้ออมเวลาแรงงานและความคิดเอาไว้ เพราะว่าเมื่อสันโดษด้วยวัตถุสิ่งเสพเราก็ไม่ต้องไปมัวครุ่นคิดไม่ต้องไปมัวเที่ยวทะยานดิ้นรนแสวงหาสิ่งเสพ ไม่เสียทั้งเวลาแรงงานและความคิดในการไปแสวงหาวัตถุเสพ เราสุขง่ายด้วยวัตถุน้อยวัตถุเท่าที่มีเราสุขแล้ว เราก็เอาเวลาแรงงานและความคิดนั้นไปทุ่มเทให้แก่การทำสิ่งที่ดีงามที่เรียกว่า กุศลธรรม อันนี้สันโดษก็จะมีประโยชน์เป็นตัวเชื่อมเป็นปัจจัยแห่งการพัฒนาชีวิต เป็นสันโดษที่ไม่ลอยไม่หลุดไม่ขาดตอนไม่ตัน ถ้าเป็นสันโดษชนิดที่ว่า เออ! มีวัตถุแค่นี้ฉันก็สุขแล้วสุขแล้วสบายก็เลยนอนก็เป็นสันโดษขี้เกียจเป็นสันโดษประมาทเป็นโทษ ที่นี้สันโดษที่เป็นคุณก็อย่างที่ว่าสุขง่ายด้วยวัตถุน้อย เสร็จแล้วก็เอาเวลาแรงงานและความคิดที่ออมไว้ได้นั้นไปอุทิศทุ่มให้แก่การทำสิ่งที่ดีงามที่เรียกว่ากุศลธรรมต่อไป ก็ไปรับกันกับเรื่องความไม่สันโดษในกุศลธรรมก็ไปรับกับเรื่องฉันทะความใฝ่รู้ใฝ่ดี แล้วก็รับกับเรื่องของการมีจิตสำนึกในการศึกษา พอรับกันดีก็ทีนี้ตัวมีงานมีการอะไรมีหน้าที่สิ่งที่ดีงามที่จะทำก็เลยเอาเวลาแรงงานและความคิดที่สงวนได้จากการสันโดษในวัตถุนี้ไปทุ่มเทให้แก่การทำงานทำการทำหน้าที่ของตัวเอง ทำงานทำการด้วยจิตใจที่รักมีความใฝ่ดีมีฉันทะรักงานนั้นด้วย แล้วทำใจก็ไม่ห่วงไม่กังวลกับเรื่องวัตถุเสพด้วยก็เลยมีความสุขกับการทำงาน มีความสุขกับการทำการสร้างสรรค์สิ่งที่ดีงาม งานก็เลยได้ผลด้วยจิตใจก็เป็นสุขในการทำงานด้วยเลยได้อีกอันหนึ่ง เพราะฉะนั้นสันโดษก็จะเชื่อมสองอันเข้าด้วยกัน คือหนึ่งได้ความสุขจากวัตถุแม้น้อยเท่าที่มี สองทำให้ไปมีความสุขจากการทำการสร้างสรรค์สิ่งที่ดีงามทำกิจการงานหน้าที่ได้สองเลย แล้วประโยชน์ก็คือการเบียดเบียนกันน้อยลง แล้วพร้อมกันนั้นก็มาช่วยสร้างสรรค์สังคมด้วยการทำกิจการงานหน้าที่ได้ผลด้วย เพราะฉะนั้นสันโดษนี่เป็นตัวเชื่อมเป็นตัวฝึกที่สำคัญ เป็นทั้งในแง่ของการได้สุขจากวัตถุแม้น้อย แล้วก็เป็นตัวหนุนการทำสิ่งที่ดีงามทำการสร้างสรรค์ให้ได้ความสุขจากด้านนี้ด้วย แล้วผลประโยชน์แก่สังคมหรือส่วนรวมก็เกิดขึ้นมาด้วยนี่ก็ก้าวไปอีกขั้น เป็นอันว่าสันโดษนี้ทั้งช่วยในแง่ของการสัมพันธ์กับวัตถุสิ่งเสพ ทั้งช่วยในแง่หนุนความสุขจากกิจกรรมแห่งชีวิตของตนเองก็ก้าวไปอีกขั้นหนึ่งล่ะนะ ทีนี้เอาล่ะเรื่องสันโดษนี้เคยพูดไปเยอะแล้ว เพราะฉะนั้นก็ไม่จำเป็นจะต้องมาพูดมากอีก พอพูดไปก็อดไม่ได้คอยจะลงไปในรายละเอียดมากเกินไป พอสันโดษมาช่วยแล้วเราก็พัฒนาไปได้ ทีนี้ก็พระพุทธเจ้าก็สอนแล้วให้ไม่สันโดษในกุศลธรรมก็ไปเร่งสร้างสรรค์กุศลธรรมทำความดีงามมีความสุขจากการบำเพ็ญกุศลธรรมในการพัฒนาชีวิต ทั้งศีล สมาธิ ปัญญา ก็พัฒนากันใหญ่ ทีนี้ต่อไปก็เข้ามาสู่ภายในบ้าง สันโดษนี่ยังคาบเกี่ยวโยงระหว่างภายในภายนอกเพราะเป็นความสัมพันธ์กับวัตถุด้วย อันนี้ความสุขยังไม่หมดพัฒนาต่อไปก็ความสุขจากศักยภาพของมนุษย์ที่มีความสามารถในการประดิษฐ์ในการประดิษฐ์ในการปรุงแต่งซึ่งสัตว์ทั้งหลายอื่นไม่มี สัตว์ทั้งหลายอื่นนี่มันอยู่ยังไงก็อยู่อย่างนั้นตามธรรมชาติ เกิดมายังไงก็ตายไปอย่างนั้น แต่มนุษย์ไม่ใช่อย่างนั้น มนุษย์มีความสามารถในการปรุงแต่งในการประดิษฐ์ เพราะฉะนั้นแกก็คิดสร้างสรรค์สิ่งโน้นสิ่งนี้ ทำให้วัตถุเจริญงอกงามขึ้นมาเป็นเทคโนโลยีเป็นอารยธรรมเป็นสิ่งก่อสร้างประดิษฐกรรมอะไรต่างๆ เยอะแยะไปหมด เป็นโลกของมนุษย์ขึ้นมานี่เกิดจากความสามารถในการประดิษฐ์และปรุงแต่งสร้างสรรค์ ทีนี้การประดิษฐ์ปรุงแต่งสร้างสรรค์อันนี้มาจากไหน ก็มาจากความคิดนั่นเอง ความคิดด้านหนึ่งของมนุษย์นั้นมาประดิษฐ์ปรุงแต่งวัตถุภายนอกเพื่อจะช่วยให้การเป็นอยู่ของตนเองนี้ได้ปลอดภัยสะดวกเกื้อหนุนเป็นปัจจัยแห่งการมีชีวิตที่ดีงามยิ่งขึ้น แต่อีกอันหนึ่งก็คือมาประดิษฐ์สิ่งสำหรับเสพบำรุงบำเรอตัวเอง ไอ้ตรงนี้นะในการประดิษฐ์ปรุงแต่งสร้างสรรค์วัตถุนี่นะ มนุษย์ก็แยกกันไม่ค่อยออกระหว่างสองอย่างว่าแค่ไหนจะเป็นการประดิษฐ์ปรุงแต่งสร้างสรรค์เพื่อมาเป็นปัจจัยแห่งชีวิตที่ดีงาม แค่ไหนจะเป็นการประดิษฐ์ปรุงแต่งสร้างสรรค์เพียงเพื่อมาสร้างสิ่งเสพบำรุงบำเรอตัวเอง เมื่อมนุษย์แยกไม่ได้อย่างนี้ ไอ้จุดเด่นมันก็จะไปอยู่ที่การประดิษฐ์ปรุงแต่งสร้างสรรค์เพื่อหาสิ่งเสพบำรุงบำเรอตัวเอง พอไปอย่างนี้ลัทธินิยมบริโภคก็เจริญงอกงาม ต่อไปมนุษย์ก็เสื่อมเพราะว่ามนุษย์ก็กลายเป็นนักเสพใช่มั้ย ความเป็นนักสร้างสรรค์ก็จะหมดไปเพราะว่าไม่ได้ไปพัฒนาตัวเอง เราไปสนองความอยากความปรารถนาในวัตถุ นี่ก็คือวงจรของสังคมที่ว่ามาทำไมเจริญแล้วก็เสื่อม แต่ก่อนนี้ขาดแคลนทำให้ตัวเองต้องคิดค้นหาทางประดิษฐ์ปรุงแต่งสร้างสรรค์ เพื่อจะให้มีปัจจัยมาช่วยให้มีชีวิตอยู่ได้ดีก็เลยทำให้เจริญงอกงาม ต่อมาไปคิดว่าการประดิษฐ์ปรุงแต่งสร้างสรรค์นี้เพื่อจะได้มีสิ่งเสพให้มากกลายเป็นนักเสพ การสร้างสรรค์ก็อ่อนกำลังลงไป ตกลงมนุษย์ยุคปัจจุบันก็แยกไม่ค่อยออก เพราะฉะนั้นถ้าแกแยกออกแกก็จะหันไปสร้างสรรค์ประดิษฐ์เพื่อให้วัตถุที่ได้เจริญงอกงามขึ้นมานี่ได้เพิ่มพูนขึ้นมาเพื่อเป็นปัจจัยเกื้อหนุนแก่การมีชีวิตที่ดีงามและการสร้างสรรค์ให้สังคมนี้อยู่ดีมีสันติสุข ไม่ใช่เป็นการที่ไปสร้างสรรค์ประดิษฐ์เพื่อจะได้มีสิ่งเสพมาบำรุงบำเรอตนเองใช่มั้ย นี่จุดแยกที่สำคัญ ทีนี้อันหนึ่งแล้วก็เป็นอันว่ามนุษย์นี้จากความคิดความสามารถในการปรุงแต่งประดิษฐ์สร้างสรรค์ก็มาประดิษฐ์วัตถุปัจจัยภายนอกเป็นวัตถุปัจจัยหรือเป็นวัตถุสิ่งเสพ เราแยกเป็นสองศัพท์นะ สร้างสรรค์ปัจจัยแห่งชีวิตที่ดีงามกับสร้างสรรค์สิ่งเสพสิ่งบริโภคบำรุงบำเรอ สองอย่างนี้นะถ้ามองในแง่พุทธศาสนาต้องสร้างปัจจัยไม่ใช่สร้างสิ่งเสพไม่ใช่สร้างสิ่งบำรุงบำเรอ ทีนี้ยังไงก็ตามทั้งสองนี้ก็ยังเป็นข้างนอกอยู่ แต่ว่าอันที่สร้างวัตถุภายนอกเป็นปัจจัยนี่นะมันจะไปเชื่อมกับข้างในได้ พอเราสร้างวัตถุประดิษฐ์ภายนอกให้เป็นปัจจัยนี่มันก็ไปหนุนการพัฒนาชีวิตในด้านภายใน การแสวงหาปัญญาการพัฒนาจิตใจให้ดีงามให้มีความสุขขึ้นมา ในด้านภายในจิตใจเราก็มีการปรุงแต่งการปรุงแต่งภายใน ในตอนนี้แยกระหว่างการปรุงแต่งภายในกับภายนอก คิดปรุงแต่งเพื่อสร้างสรรค์วัตถุปัจจัยสิ่งเสพด้านหนึ่ง ภายในก็คือปรุงแต่งสุขทุกข์นี้เอง มนุษย์ก็มีความสามารถอันนี้ด้วย มนุษย์ก็จะมีการปรุงแต่งจิตใจของตัวเองอยู่ตลอดเวลา ปรุงแต่งกุศลธรรมอกุศลธรรม ปรุงแต่งความสุขและความทุกข์ ทีนี้มนุษย์ที่เพ่งมองไปข้างนอกในการหาสิ่งเสพบำรุงบำเรอตัวเองก็จะไม่ได้พิจารณาไม่รู้จักแยกแยะว่าตัวเองไม่ได้เอาใจใส่ว่าในเวลาเดียวกันภายในจิตใจของตัวเองนี่ตัวเองปรุงแต่งอะไร ปรุงแต่งสุขหรือปรุงแต่งทุกข์ เมื่อไม่เอาใจใส่ปรากฏว่าคนส่วนมากนี่ปรุงแต่งทุกข์ทั้งๆที่ความสามารถปรุงแต่งได้ทั้งสุขทั้งทุกข์ แต่แกชอบปรุงแต่งทุกข์ แกก็ปรุงแต่งเรื่องความคิดที่ประกอบด้วยตัณหา อุปาทาน ความอยากสนองความต้องการในการเสพ ความยึดสำคัญมั่นหมายในสิ่งต่างๆ เกิดเป็นความห่วงความกังวลความหวาดระแวงการกลัวจะเสียผลประโยชน์การกลัวจะแพ้เขาการกลัวว่าอะไรต่างๆมากมาย การกลัวว่าตัวเองจะไม่ได้จะไม่สำเร็จ แล้วก็เกิดความเครียดความกังวลความกลัดกลุ้มใจ แล้วก็รับสิ่งอารมณ์เข้ามาทางตาหูจมูก อะไรก็ตามที่มันกระทบในทางไม่สบายใจเก็บมาแล้วก็เอามาปรุงแต่ง เวลามานั่งเงียบหรือแม้แต่เวลานอนบางคนก็ไปเก็บเอาแต่อารมณ์ที่มากระทบกระทั่งแล้วไม่สบายใจมาคิดปรุงแต่ง ตอนนี้ความสามารถปรุงแต่งก็เอามาใช้ในทางที่ปรุงแต่งทุกข์ ก็ปรากฏว่าคนจำนวนมากที่ไม่ได้ฝึกฝนพัฒนาตนเองไม่รู้ตัว ข้างนอกตัวเองก็ประดิษฐ์ปรุงแต่งสร้างสรรค์วัตถุเสพไอ้ข้างในใจก็ปรุงแต่งทุกข์คู่กันไป ไอ้ข้างนอกก็จะหาสุขจากสิ่งเสพไอ้ข้างในก็ปรุงแต่งทุกข์ให้ตัวเองอยู่เรื่อยเลยตลอดเวลาคู่กัน เดี๋ยวนี้คนเป็นอย่างนี้กันมากเลย เพราะฉะนั้นไอ้ข้างนอกก็ทะยานหาวัตถุเสพนักหนาไม่สุขซักที ไอ้ข้างในก็ทุกข์ใจก็เครียดไม่มีความสบายใจเลยใช่มั้ย เพราะฉะนั้นถ้าไปอย่างนี้แล้วมันจะบรรลุจุดหมายชีวิตดีงามมันจะมีความสุขได้ยังไงไม่มีทางเพราะว่าใช้ความสามารถในทางที่ผิด รวมความก็คือมนุษย์ปัจจุบันนี้เพราะว่าไม่ได้ศึกษาก็ใช้ความสามารถในทางที่ผิด ข้างในตัวเองก็ปรุงแต่งทุกข์เอาอะไรต่ออะไรมาก็เก็บมาก็มาปรุงแต่งเรื่องความเครียดความกระวนกระวายจนกระทั่งเป็นลักษณะสังคมยุคนี้เลยเป็นสังคมที่คนมีจิตใจเครียดมากแล้วก็เอาการปรุงแต่งนี้ก็มาจากความสัมพันธ์ในสังคมด้วยในการที่ว่าเป็นระบบแข่งขันแย่งชิง เรื่องของระบบสังคมก็มาหล่อหลอมจิตใจทำให้เพิ่มความเครียดยิ่งขึ้น กลายเป็นทุกข์ในจิตใจแล้วก็ออกมาระบายก็เป็นทุกข์ในสังคม เพราะว่าคนที่มีความทุกข์ก็มีความโน้มเอียงในการที่จะระบายทุกข์ให้แก่ผู้อื่น เราก็บอกว่าอ้าว! ให้ท่านเปลี่ยนซะ ให้ใช้ศักยภาพความสามารถในการปรุงแต่งนี่นะมาปรุงแต่งสุขซะแทนที่จะปรุงแต่งทุกข์ก็ปรุงแต่งกุศลธรรมและปรุงแต่งความสุข สิ่งที่เรามองเห็นสิ่งเดียวกันนี่ถ้ามองในแง่ไม่ดีก็ทำให้ไม่สบายใจปรุงแต่งใจก็ทุกข์ แต่ถ้าเรารู้จักมองเราอาจจะหาผลประโยชน์จากมันได้ ปรุงแต่งใจให้เป็นสุขก็ได้ใช่มั้ย หรือว่าสิ่งที่ได้พบได้เห็นมากมายจิตใจมักจะไปติดกับสิ่งกระทบที่ไม่สบายใจไม่ชอบใจ สิ่งที่น่าสบายใจไม่เก็บเอามา เราก็ไปเก็บเอาสิ่งที่ดีๆ น่าชอบใจสบายใจเอามาปรุงแต่งจิตใจของตัวเอง หรืออะไรที่มันเข้ามาแล้วจะรบกวนจิตใจไม่มีประโยชน์เราก็ใช้สติกันมันเสีย เราไประลึกเอาสิ่งที่ดีงามมา นี่พระพุทธเจ้าก็เลยสอนวิธีปรุงแต่งจิต นี่คือเรื่องของสมถะทั้งหมด เรื่องของสมถะกรรมฐานการฝึกสมาธิเรื่องจิตตภาวนานี้เป็นการที่ทำให้มนุษย์ได้สามารถใช้ศักยภาพของตนเองในการสร้างสรรค์ปรุงแต่งความสุขให้แก่ตนเองในภายในก็สร้างปรุงแต่งจิตภายใน อย่างที่พระพุทธเจ้าสอนเรื่องพุทธานุสติ ธัมมานุสติ ทำไมคุณไประลึกเรื่องไม่เข้าเรื่องล่ะ ทำให้ทุกข์โดยใช่เหตุ ก็เอามาระลึกเรื่องที่ดีๆสิ ถ้ายังนึกไม่ออกนะก็เอาล่ะพุทธานุสติบ้าง ธัมมานุสติบ้าง สังฆานุสติบ้าง ศีลานุสติบ้าง จาคานุสติบ้าง เทวตานุสติบ้าง แม้แต่มรณานุสติ มรณสติระลึกถึงความตายที่คนเค้าว่าน่ากลัวนั้น ระลึกเป็นมันก็ได้ความสุข เออ! แปลกดีเหมือนกัน รู้จักใช้โยนิโสมนสิการ พระพุทธเจ้าบอกว่าให้ปรุงแต่งจิตในแง่ดีแล้วรู้จักเอาประโยชน์จากทุกสิ่งทุกอย่างแม้ที่เลวร้ายที่สุดที่เราไม่ชอบใจน่ากลัวที่สุดก็เอามาระลึกก็ทำให้ใจสบายได้นะถ้าระลึกเป็น ตกลงว่าพระพุทธเจ้าสอนเยอะนะแม้แต่หายใจ คุณไม่รู้จะทำอะไรใจไม่สบายก็ใช้สติไม่เอาอารมณ์นั้นมานึกคิด อ้าว! คุณหายใจเป็นซะ หายใจมาตลอดทุกวันไม่เคยหายใจโดยความรู้ไม่เคยหายใจเป็นหายใจเรื่อยเปื่อยไปหายใจตามอารมณ์ เวลาโกรธก็หายใจแรงฟืดฟาดนะทำให้เสียสุขภาพ หรือว่าเวลากลัวก็กลั้นหายใจซะทำให้หายใจไม่ได้ประโยชน์ ก็หายใจให้เป็นหัดหายใจหายใจอย่างมีสติ ต่อมาก็เป็นประโยชน์เกื้อกูลต่อร่างกายต่อสุขภาพด้วยนะ แล้วเวลาไม่มีอะไรจะทำเดี๋ยวจะไปกลุ้มกังวลไปปรุงแต่งไม่เข้าเรื่อง ก็ไม่ต้องนึกอะไรก็กำหนดลมหายใจซะเอาจิตอยู่กับลมหายใจ หายใจเข้าหายใจออกสบายๆ หายใจสบายสม่ำเสมอ ได้ประโยชน์แก่ร่างกายตัวเองด้วยและรักษาจิตใจทำให้จิตใจนั้นอยู่กับสติอยู่กับสิ่งไม่มีโทษ ก็ไม่ปรุงแต่งในเรื่องร้ายไม่มีความทุกข์ด้วยหรืออย่างปรุงแต่งจะให้ดีกว่านั้นอีก เวลาหายใจก็ปรุงแต่งไปด้วยว่าทำจิตให้เบิกบานหายใจเข้า ทำจิตให้โล่งเบาหายใจออก เวลาหายใจเข้าก็ทำใจให้สบายชื่นบานผ่องใส เวลาหายใจออกก็ทำใจให้ปลอดโปร่งโล่งเบา ภาวนาใช้คำภาวนาแบบภาษาไทยก็ได้เอามาใช้ปรุงแต่ง เวลาหายใจก็ปรุงแต่งใจไปด้วย ก็อย่างที่ว่านะนี่ก็เป็นวิธีหนึ่งง่ายๆ ทำจิตเบิกบานหายใจเข้า ทำจิตโล่งเบาหายใจออก ทำอย่างนี้ไปทำใจของตัวเองทำตามคำที่ว่าก็สบายมีความสุข ไม่เอาเรื่องไม่เข้าเรื่องมานึกมาคิดการปรุงแต่งจิตนี่เยอะ อย่างน้อยอย่างที่เคยพูดไปแล้วว่าทำใจให้มีปราโมทย์ ความร่าเริงเบิกบานใจ ปิติความอิ่มใจ ปัสสัททิความสงบเย็นผ่อนคลายกายใจ แล้วก็สุขความโล่งโปร่งเบาคล่องใจสะดวกใจ แล้วก็สมาธิความมีจิตสงบแน่วแน่ตั้งมั่นอยู่ตัวไม่ถูกรบกวนด้วยอะไรทั้งสิ้น นี่อย่างนี้ถ้าได้ภาวะจิตห้าอย่างนี้ประจำอยู่ก็สบายมีความสุข นี่ก็การปรุงแต่งทั้งนั้น ใช้ความสามารถในการปรุงแต่งที่มนุษย์มีอยู่นี้ให้เป็นประโยชน์ อย่าไปปรุงแต่งให้เกิดโทษแก่ตนเอง ปรุงแต่งอย่างนี้แล้วก็จะไปเชื่อมกับการทำให้เกิดปัญญา พอจิตมันเป็นสมาธิจิตที่ดีเป็นกุศลนี้มันจะคิดอะไรต่ออะไรมันก็โล่งเบาก็คิดคล่อง ก็เอาจิตที่มีสมาธิจิตที่ดีนี้ไปใช้ประโยชน์ ที่เรียกว่าเป็นจิตที่กัมมนียจิตที่เหมาะกับการใช้งาน ก็ไปสู่การพัฒนาปัญญา พัฒนาปัญญาให้เกิดความรู้ความเข้าใจในสิ่งทั้งหลายตามเป็นจริง ตอนนี้แหละก็จะถึงสุขขั้นสุดท้ายเรียกว่าสุขเหนือปรุงแต่ง เมื่อกี้สุขในขั้นปรุงแต่งนะพวกสมถะ ต่อไปสุขขั้นสุดท้ายสุขเกิดจากปัญญาเหนือปรุงแต่งเรียกว่าวิปัสสนา พอวิปัสสนาตอนแรกก็ยังปรุงแต่งเอาปัญญามาปรุงแต่งจิตให้ก้าวไปในกุศลธรรมให้พ้นจากทุกข์ให้มีแต่ความสุขเป็นประจำใจ จนกระทั่งพอปัญญานี้เจริญงอกงามพรั่งพร้อมสมบูรณ์รู้เข้าถึงความจริงของสิ่งทั้งหลายแล้วก็จะเป็นจิตที่เป็นอิสระ ตอนนี้เป็นจิตเหนือปรุงแต่งเป็นความสุขที่ไม่ต้องปรุงแต่งเป็นขั้นสูงสุด อันนี้เอาไว้ครั้งต่อไป