แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ไฟล์ถอดเสียงนี้ยังไม่ได้ผ่านพิสูจน์อักษร นำขึ้นมาเพื่อช่วยในการศึกษาค้นคว้าของผู้สนใจ
ก็ยังมีเรื่องขอแทรกอีกเรื่องหนึ่ง ก็ขอช้าไว้นิดหนึ่งเรื่องหลักปฏิบัติชาวพุทธ คืออาตมาขอประทานอภัยเถิดต้องพูดถึงตัวเองนิดหนึ่งไม่ได้ลงมาร่วมพิธีในทำบุญประจำปีในวันสำคัญนี่ตลอดมา เริ่มปีนี้เพิ่งครั้งแรกเลย ตั้งแต่ต้นปีไม่ว่า มาฆะบูชา สงกรานต์ วิสาขะบูชา ไม่ได้ลงทั้งนั้น นี่มาลงวันนี้ก็มีเรื่องค้างติดใจอยู่อย่างวิสาขะบูชาก็อยากจะพูดซักเรื่องหนึ่งนี่ แล้วก็ไม่ได้พูด ขอถือโอกาสเอามาพูดเรื่องที่ค้างไว้ซะด้วย เรื่องอะไร คือได้เห็นในหมู่ชาวพุทธนี่มีการพูดอันหนึ่งพูดกันมานานแล้วก็ยังพูดกันอยู่ หลายคนชอบพูดว่า ที่เราเกิดมา เกิดมาเพื่อใช้หนี้กรรม คำนี้ไม่ดีเลย ไม่ถูกไม่ควรพูด แล้วก็พูดกันมากถือว่าเป็นความเข้าใจผิดต่อหลักพุทธศาสนา ก็เลยค้างใจมาก ก็เอามาพุดซักที วันนี้ทั้ง ๆ ที่นิมนต์ให้มาพูดหลักปฏิบัติชาวพุทธ ก็ต้องขอพูดเรื่องนี้ก่อน เรื่องอะไรเกิดมาใช้หนี้กรรม คนเขาทำชั่วร้าย เออไปฆ่าคน ไปขโมยของถูกจับไปติดคุก อย่างนั้นเราเรียกว่าใช้หนี้กรรม ไปชดใช้กรรมใช้หนี้กรรมก็อันเดียวกันแหละ พอไปได้ ที่จริงก็ยังไม่ถูก เอ้าละก็ยังดีกว่า หรือไม่งั้นก็ เอ้ามองไกล เรียกว่าทำชั่วมากทำบาปเยอะไปตกนรก เออ อย่างนั้นซิไปใช้หนี้กรรมใช่ไหม ยังพอฟังได้ แล้วมาเกิดเป็นมนุษย์มาบอกใช้หนี้กรรม มันเรื่องอะไร ทำกรรมชั่วร้ายอะไรกันนักหนาเกิดมาทั้งชีวิตมาใช้หนี้กรรม เอ้อ พระพุทธศาสนานี่ท่านบอกไว้เลย การเกิดเป็นมนุษย์นี่เป็นโอกาสพิเศษที่หาได้ยากอย่างยิ่ง พระพุทธเจ้านั้นถึงตรัสไว้มากมายในพุทธพจน์มีกิจโฉมนุสุสปฏิลาโภ การที่จะได้เกิดเป็นมนุษย์นี้เป็นสิ่งที่หาได้ยากคือเป็นโอกาสพิเศษนั่นเอง การเกิดเป็นมนุษย์นี่ อ้าว แม้แต่เทวดาท่านเล่าไว้ในพระไตรปิฏก พวกเทวดาจะมีเทวดาสักองค์มาจุตติ จุตติเทวดานี่ไม่ใช่ไปเกิดในภาษาไทยนี่ก็เพี้ยนอีกแล้ว ภาษาไทยจุตติแปลว่าไปเกิดเสียนี่ จุตติแปลว่าตาย มีที่ไหนจิตติแปลว่าเกิด จุตติแปลว่าเคลื่อน แปลว่าย้าย ย้ายจากภพหนึ่งไปภพหนึ่ง จุตติก็คือตาย นี้เทวดจะย้ายภพก็คือตายนั่นเอง เทวดาพวกเพื่อน ๆ เทวดาทั้งหลายก็จะให้กำลังใจอวยชัยให้พร ขอให้ท่านไปเกิดในสุคติน่ะ ว่างั้น แล้วก็สวรรค์เป็นสุคติไม่ใช่หรือ แล้วทำไมบอกเทวดาบอกให้เทวดาไปเกิดในสุคติ สุคติของเทวดาหมายถึงมาเกิดเป็นมนุษย์ นี่ให้โยมจำไว้เลยน่ะหลักการเลย
เกิดเป็นมนุษย์ดีกว่าเกิดเป็นเทวดาก็ได้ ถ้ารู้จักใช้โอกาสเพราะเป็นเทวดานี่มีจุดอ่อนหลายอย่าง พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ ข้อดีของเทวดามี 12345 ข้อเสียของเทวดามนุษย์ 12345 คือมีดีคนละอย่าง มีเสียคนละอย่าง แต่ไอ้ข้อดีของมนุษย์มันดีที่ว่า เช่นมนุษย์มีสติดีกว่า ทำไมเทวดานี่ก็หลงเพลินแกมีความสุข คนที่ความสุขมากมีทางหลงเพลินแล้วขาดสติ ก็มาเกิดเป็นมนุษย์นี่ มันมีเครื่องเตือนสติเยอะ มีทุกข์ มีภัย มีอันตราย เตือนใจไม่ให้ประมาท แล้วเลยกลายเป็นว่าถ้ารู้จักใช้ประโยชน์จากสถานะการนี่จะพัฒนาตัวได้ดีที่สุด แล้วการเกิดเป็นมนุษย์นี่เป็นโอกาสยิ่งใหญ่ถ้ารู้จักใช้โอกาสนั้น ทีนี้พระพุทธเจ้าก็เลยตรัสย้ำเรื่องนี้ เรื่องการเกิดเป็นมนุษย์ที่สำคัญ เพราะว่ามนุษย์นี่มีความพิเศษอะไร คุณสมบัติที่พิเสษของมนุษย์คืออะไร ข้อดีของมนุษย์อย่าไปพูดกันเรื่อยเปื่อยว่ามนุษย์เป็นสัตว์ประเสริฐ ไม่มีหลักเลยพูดไปได้อย่างไง ประเสริฐอย่างไร มนุษย์มีดีตรงไหนประเสริฐตรงไหน ท่านบอกไว้เลยมนุษย์เป็นสัตว์ที่ฝึกได้นี่ ตรงนี้คุณสมบัติของมนุษย์ที่เป็นสัตว์ฝึกได้ ฝึกแล้วจะเอาดีอย่างไรก็ได้ อยากให้ประเสริฐเลิศเลออย่างไรก็ได้ แต่สัตว์ชนิดอื่นนี่มันฝึกได้น้อย แทบไม่ได้มันอยู่ที่สันชาติญาณ นี้มนุษย์นี่ฝึกให้เลิศให้ดี ให้ประเสริฐ ให้เป็นมหาบุรุษให้เป็นพระพุทธเจ้า เป็นได้หมด ก็เลยเป็นโอกาสดีถ้าเรารู้จักใช้โอกาสนั้น ก็จะพัฒนาชีวิตให้เจริญงอกงามจนเป็นผู้ประเสริฐเลิศแท้จริง เมื่อเป็นสัตว์ที่ฝึกได้ แล้วจะดีประเสริฐเลิศได้ก็ต้องฝึก เพราะฉะนั้นท่านจะตรัสตามด้วยคำว่า ฝึกได้ก็ต้องฝึก ถ้าฝึกแล้วประเสริฐ ถ้าไม่ฝึกหาประเสริฐไม่ ถ้าไม่ฝึกแล้วร้ายยิ่งกว่าสัตว์ชนิดอื่นด้วย ต้องฝึกเท่านั้นจึงจะเลิศประเสริฐ ฉะนั้นข้อดีของมนุษย์อยู่ที่ฝึกได้นี่เอง ฉะนั้นพระพุทธเจ้าจึงย้ำนักตรงนี้ แล้วก็ให้มนุษย์ทั้งหลายนี่ฝึกได้
ทีนี้เมื่อมาเกิดเป็นมนุษย์แล้วก็กลายเป็นโอกาสอย่างนี้จะทำอย่างไร เราจะเห็นว่า เอ้อถ้าเกิดมาเป็นพระโพธิสัตว์ก็เกิดมาเพื่อบำเพ็ญบารมีซิ จะทำความดีอันยิ่งใหญ่ใช่ไหม ช่วยให้ตัวเองก็พัฒนาเป็นพระพุทธเจ้าช่วยสรรพสัตว์ทั้งหลายให้พ้นความทุกข์ เอ้า ถ้าเกิดมาเป็นคนทั่วไปก็จะเป็นโอกาสที่จะมาสร้างสรรค์พัฒนาชีวิตให้เจริญงอกงามยิ่งขึ้น ถ้าพูดภาษาอภิธรรมก็ เจริญในกามาวจรกุศล จากกุศลธรรมดามาเป็นมหากุศล เจริญขึ้นไปเป็นรูปาวาจรกุศล อรูปาวจรกุศล โลกุตตรกุศล ก็ได้เจริญขึ้นไป พัฒนาไป หรือเจริญขึ้นไปเป็นภูมิชั้นในกามาวาจรภูมิ รูปาวจรภูมิ อรูปวจรภูมิ โลอุตตรภูมิ เป็นได้หมดเลยในมนุษย์ในโลกนี้ โลกอื่นเป็นได้ไหม เป็นไม่ได้อย่างมนุษย์ มนุษย์เป็นได้ทุกภูมิเลย ฉะนั้นเป็นโอกาสพิเศษเลย เพราะฉะนั้นการเกิดเป็นมนุษย์นี้ต้องรีบใช้โอกาสให้ดีที่สุด แล้วจะไปมัวติดใช้หนี้กรรม ใช้หนี้เสร็จแล้วทำอย่างไร เกิดมาเพื่อใช้หนี้กรรม พอใช้หนี้กรรมเสร็จก็นอนสบายใช่ไหม ก็ไม่รู้จะทำอะไร ก็นอนซึม นอน ไม่ได้ประโยชน์อะไรดี เพราะฉะนั้นเราต้องถือโอกาส ใช้ประโยชน์เกิดเป็นมนุษย์แล้วนี่ ไอ้ส่วนไหนมันบกพร่องเสียเป็นบาปมาแล้วแก้ไข ละเลิกมัน เจริญกุศลทำให้ดียิ่งขึ้น สร้างชีวิต พัฒนาชีวิตของตัวเองให้เจริญงอกงาม ช่วยเหลือสังคมทำสังคมให้เจริญงอกงาม ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์เกื้อกูลโลกสังคมให้ดีไปด้วย อย่างนี้แหละจึงสมควนจะเกิดเป็นมนุษย์
นี้ก็เลยบอกไว้อย่างหนึ่ง อยากจะให้เลิกพูดกันเสียที ไอ้ที่เกิดมาใช้หนี้กรรม ให้เกิดมาเพื่อจะได้บำเพ็ญบารมีหรืออะไรไม่รู้แล้วไป ก็แล้วแต่จะพูดเพื่อปัจจัยสร้างกุศล สร้างความดี พัฒนาชีวิตทำให้ชีวิตเจริญงอกงามขึ้นไป จะก้าวจากปุถุชนไปเป็นกัลยาณชน เป็นอริยชน เป็นพระอรหันต์ เป็นอะไรก็ว่าไปซิ ก็ทั้งนั้นแหละ ท่านสอนไว้ก็มีแต่ให้ก้าวหน้าไป มีที่ไหนท่านให้มานั่งนอนใช้หนี้กรรมอยู่ ขอย้ำว่าให้เลิกพูดกันเสียทีไอ้เรื่องเกิดมาใช้หนี้กรรม อันนี้ก็เป็นว่าในหมู่ชาวพุทธนี่มีความเข้าใจผิดแบบนี้เยอะ เพราะอะไร เพราะชาวพุทธขาดหลักไม่รู้เข้าใจในหลักพระศาสนาของตนเอง แล้วนอกจากไม่รู้เข้าใจแล้วก็ไม่ปฏิบัติ อาตมาถึงคิดมานานแล้ว 20, 30 ปีแล้ว เอ้หมู่ชาวพุทธนี่เลื่อนลอยเคว้งคว้างเหมือนกับจะเป็นชาวพุทธที่จะเป็นอะไรก็ได้ ทำอะไรก็ได้ จะกินเหล้าเสเพลอย่างไง ก็ฉันเป็นชาวพุทธ จะทำอะไรก็เป็นชาวพุทธได้หมด ทำไมเป็นชาวพุทธนี่มันไม่มีหลักมีเกณฑ์อะไรบ้างเลยหรือ
นี่มาเมื่อ 4, 5 ปีนี่ขอเล่าแทรกอีกนิดนึง วันหนึ่งก็ดูเหมือนจะได้ยินวิทยุ อ่านข่าวหนังสือพิมพ์ เขาก็อ่านข่าวบอกว่า เกิดมีต้นไม่ประหลาดขึ้นมาต้นหนึ่ง แต่ว่าไอ้ที่ ๆ เกิดต้นไม้ประหลาดต้นนี้ มันนี่อยู่ในเขตของญาติโยมต่างศาสนา นี้ก็ปรากฎว่า มีคนไปขูดเลขขอหวย หนังสือพิมพ์ก็ไปสัมภาษณ์ญาติโยมที่เป็นเจ้าถิ่น ซึ่งญาติโยมชาวศาสนาอื่น ญาติโยมนั้นเขาบอกว่านี่ มีคนมาขูดเลขขอหวย ก็เขาเรียกว่าเป็นชาวพุทธขูดเลขขอหวยกัน เขาว่าอย่างงั้น เอ้อ เอ้าจริงของเขาเพราะชาวพุทธนี้ไม่มีหลักอะไรนี่ใช่ไหม เขาก็บอกอย่างนั้น นี่ที่ต้นไม่ประหลาดนี่พวกชาวพุทธมาขูดเลขขอหวยกัน พวกเราไม่เอาหรอก เขาก็บอกอย่างนั้นเลย เอ้าก็จริงของเขาน่ะ ต้องอนุโมทนานี่เตือนสติชาวพุทธแล้วเห็นไหม นี่ก็เป็นหลักฐานที่แสดงว่าชาวพุทธนี่ไม่มีหลักไม่มีเกณฑ์อะไรเลย อยู่กันเลื่อนลอยอย่างนี้ไปไม่รอดหรอก
สมัยก่อนยังดีบ้าง สมัยก่อนเป็นอุบาสก อุบาสิกา ก็ต้องว่า มีรักษาศีล ฟังธรรม มีหลักของความเป็นอุบาสก อุบาสิกา เรียกว่าอุบาสกธรรมเป็นต้น ต่อมาเลือนไปก็เหลือแต่ศีล 5 ก็ยังดี เอ้าล่ะรักษาศีล 5 ก็ยังพอไหว แต่ต่อมาศีล 5 ก็เหลือรูปแบบเป็นพิธีเท่านั้นองใช่ไหม ไม่มีสาระอะไรเลย ศีล 5 รับกันไป หมด ตกลงชาวพุทธนี้ไม่มีอะไรเลย มีแต่รูปแบบเหลือประเพณี ประเพณีเขามีไว้สำหรับรักษาสาระ เป็นรูปแบบรักษาเนื้อ ตอนนี้เนื้อมันหายกลายเป็นว่า ไอ้ขวดที่เคยใส่น้ำหวานหรือใส่น้ำอะไรที่มันเป็นเครื่องดิ่มน้ำปั่น หรือน้ำอะไรก็แล้วแต่ ขวดนั้นมันเป็นรูปแบบที่เคยในสาระ เคยใส่น้ำที่ไว้รับประทาน ดื่ม หรือว่าน้ำปานะอะไรก็แล้วแต่ แต่ตอนนี้สาระที่บรรจุในขวดมันเปลี่ยนไป กลายเป็นว่าไอ้ขวดนั้นแทนที่รักษาน้ำปานะก็กลายเป็นขวดบรรจุเหล้าไปเสีย อย่างนี้มันก็หมดรูปแบบประเพณีที่รักษาสาระไม่ถูก มันกลายเป็นว่าเอาเนื้อหาอื่นมายัดใส่ลงไปแทน อย่างนี้ก็อันตรายมาก นี่เพราะฉะนั้นเราต้องมาคิดกันให้หนัก
เอ้าไป ๆ มา อาตมามาพูดเรื่องใช้หนี้กรรมก็โยงมาหาหลักปฏิบัติของชาวพุทธเลย เอาแล้วตอนนี้เลยเป็นเหตุว่า นี่มานึกว่าชาวพุทธมันต้องมีหลักปฏิบัติ เดิมท่านมีเราลืมไปเอง เราน่ะเลือนลางหายไป ก็ควรมีหลักปฏิบัติชาวพุทธ แล้วควคจะมีอย่างไรดี นี้หลักปฏิบัติชาวพุทธก็อย่างที่ว่าเมื่อกี้มีหลายข้อ ข้อหนึ่งเลย ก็คือว่าเรานี่เป็นมนุษย์ทุกคน แล้วความเป็นมนุษย์อยู่ที่ไหน คุณสมบัติของมนุษย์ ความดีพิเศษอะไรมีอยู่ที่ไหน ก็บอกแล้วเมื่อกี้ ก็อยู่ที่ความเป็นสัตว์ที่ฝึกได้นั่นเอง ทีนี้จับจุดนี้ได้ก็เอาซิ ฝึกหัดไป ฝึกฝนพัฒนาชีวิตไป ก็คำว่าฝึกภาษาพระเรียกว่าสิกขา สิกขาเราใช้ภาษาสันสกฤต ก็มาในรูปศึกษา เราก็แปลกันว่าเรียนรู้ ฝึกหัดพัฒนาอะไรก็แล้วแต่นี่ อยู่ในคำว่าศึกษาทั้งสิ้น พอชีวิตคนเราเกิดมาก็ต้องฝึกแล้ว ฝึกเดิน ฝึกพูด ฝึกกินดื่ม ฝึกทุกอย่าง จะทำอะไรให้เป็นก็ต้องฝึก ต้องหัดทั้งนั้น ทีนี้ถ้าเราจะทำอะไรให้เป็นแล้ว ก็ฝึกเรื่อยไป มันก็ไม่รู้จักจบ มันก็เป็นเรื่อยไปเหมือนกัน ถ้าหยุดฝึกเมื่อไหร่ก็ได้แค่นั้น เพราะฉะนั้นเป็นมนุษย์จะเอาดีได้ด้วยการฝึก ด้วยการหัดพัฒนาชีวิตเรียนรู้ไป ชีวิตนี่เป็นชีวิตแห่งการเรียนรู้ ชีวิตแห่งการฝึก การหัด การพัฒนาเรื่อยไปไม่รู้จักจบ ทางพุทธศาสนาถือหลักนี้ บอกว่า จบการศึกษาต่อเมื่อเป็นพระอรหันต์เรียกว่า อเสขะ ผู้ที่จบการศึกษาไม่ต้องศึกษา ตราบใดที่ยังเป็นอรหันต์ก็ต้องศึกษากันเรื่อยไป ชื่อก็บอกชัดอยู่แล้ว ชีวิตของชาวพุทธนั้นก็ต้องเป็นนักศึกษาตลอดชีวิต ไม่ใช่ตลอดชีวิต ตลอดจนกว่าจะบรรลุนิพพานก็ต้องศึกษากันเรื่อยไป ทีนี้เมื่อเรานี่เป็นสัตว์ที่ต้องศึกษา ต้องฝึกหัด ต้องพัฒนา เราก็มาใช้หลักนี้ ก็ตั้งจิตสำนึกขึ้นมา เพราะฉะนั้นชาวพุทธจะต้องถือหลักการนี้ คือ มีหลักกาของการที่ถือว่ามนุษย์จะเอาดีได้ด้วยการฝึก เป็นสัตว์ที่เลิศประเสริฐได้ด้วยการฝึกหัด สร้างจิตสำนักในการศึกษาหรือจิตสำนึกในการฝึกตนขึ้นมาไว้ ต้องเรียนรู้ ต้องฝึกหัดพัฒนาชีวิตกันเรื่อยไป ทีนี้ว่า เอ้าแล้วเราฝึกหัดพัฒนาชีวิตกันไปนี่ แล้วเราจะมีแนวทางปฏิบัติอย่างไร จะฝึก จะหัด จะพัฒนาอย่างไร แล้วมีจุดหมายอย่างไร อยู่ที่ไหน อะไรต่าง ๆ ตอนนี้เราได้หลักกว้าง ๆ เอาล่ะเราเป็นมนุษย์จะต้องฝึกต้องหัด นี่แหละตอนนี้จะมาถึงหลักพระรัตนตรัย เรามีพระรัตนตรัยไว้ทำไม ก็เพราะเราเป็นมนุษย์ที่ต้องฝึกต้องหัดต้องพัฒนาชีวิตจะดีได้ด้วยการฝึกหัดเรียนรู้ศึกษาพัฒนานี่ ท่านจึงมีพระรัตนตรัยมาให้ เริ่มต้นก็คือว่า เอ้อ เพื่อให้คุณมีจุดหมายหรือจะเอาในแง่แบบอย่างก็ได้ แล้วเอาผู้ที่เป็นมนุษย์อย่างเรา เอามาแล้ว แล้วก็ได้ฝึกหัดพัฒนาฝึกตนแล้วพัฒนาฝึกตนจนกระทั่งสมบูรณ์ไปแล้ว มาเป็นต้นแบบให้ แล้วก็จะได้แนวทางแบบอย่าง แล้วก็ไปเป็นสื่อไปถึงความหมายของการฝึกตน เป็นสื่อถึงจุดหมายของการฝึกตน เป็นเครื่องชี้ทางให้เห็นวิธีการฝึกตน เป็นเครื่องให้กำลังใจในการฝึกตนด้วย แล้วก็เลยมีพระพุทธเจ้าขึ้นมาเป็นองค์ชูเลย เป็นที่เชิดชูขึ้นมา นี่เป็นต้นแบบให้เราแล้ว เราได้แบบอย่าง เป็นผู้ชี้ทาง นำทางมาในการฝึกฝนพัฒนาชีวิตในการศึกษา ในการเจริญไตรสิกขา ศีสมาธิปัญญาต่อไป ก็เลยเกิดเรื่องพระพุทธเจ้าขึ้นมาเป็นอันดับที่หนึ่งในพระรัตนตรัยสำหรับมนุษย์มนุษย์นี่ก็คือตัวเราแล้วน่ะ แต่ว่าต้องรู้จักตัวเราก่อน เมื่อกี้รู้จักตัวเราแล้ว
ต่อมาทีนี้ก็ได้หลักแล้วหลักที่หนึ่ง ก็คือได้พระพุทธเจ้า นี้ได้พระพุทธเจ้ามาก็พระพุทธเจ้าทรงฝึกฝนพัฒนาพระองค์จนประเสริฐเลิศสูงสุดอย่างนี้ เรียกว่าเป็นบุคคลที่สมบูรณ์ได้อย่างนี้เพราะอะไร เอ้าก็เพราะพระองค์นี่ปฏิบัติถูกต้อง ทำตรงตามความจริง เช่นหลักเหตุปัจจัยเป็นต้น ทำเหตุปัจจัยที่ถูกต้องก็พัฒนาพระองค์ได้ พระองค์ก็ชี้ไป เธอจะพัฒนาไปสู่จุดหมายให้อย่างฉันน่ะ ฉันจะบอกให้ พระองค์ก็ชี้ไปที่หลักความจริงที่มีอยู่ตามธรรมดา ตามธรรมชาติ เช่น หลักความเป็นเหตุปัจจัยของสิ่งทั้งหลาย ก็คือธรรมะ เรียกสั้น ๆ พระพุทธเจ้าก็ชี้ไปที่ธรรม เธอต้องเข้าถึงธรรมะ ต้องปฏิบัติให้ถูกต้องตรงความเป็นจริงของธรรมชาติของเหตุปัจจัยของธรรมดาของมันนั่นแหละ เธอก็จะถึงเอง อย่างน้อยก็เอาธรรมะความจริงความถูกต้องดีงามนี้มาเป็นเกณฑ์ เป็นมาตราฐานในสังคมของพวกคุณเอง ชีวิตของเราจะต้องตั้งธรรมะเป็นเกณฑ์เป็นมาตราฐานเป็นตัวตัดสิน สัมคมก็เช่นเดียวกัน อันนี้เราจึงตั้งหลักธรรมาธิไตยขึ้นมา ก็สังคมเดี๋ยวนี้แค่เป็นประชาธิปไตย ก็เป็นไม่ได้เพราะขาดธรรมาธิปไตย จะเป็นประชาธิปไตยได้ อยู่ได้จริงมันก็ต้องมีธรรมะเป็นใหญ่ ก็เอาหลักความจริงความถูกต้องความดีงามเป็นเกณฑ์ตัดสิน ถ้าเอาธรรมะความจริงความถูกต้อง การก้าวไปในทางดีงามยิ่งขึ้นเป็นเกณฑ์ตัดสินคุณอยู่ได้ ชีวิตคุณก็เจริญก้าวหน้าได้ สังคมก็ดีงามได้ ตกลงว่าเอาธรรมะมาตั้งเป็นเกณฑ์ตัดสิน แล้วก็เอาธรรมะนี้มาศึกษาเรียนรู้เข้าใจเข้าถึงความจริงของธรรมดาธรรมชาติ เข้าใจถึงเหตุปัจจัย ทำเหตุปัจจัยถูกต้องเจริญก้าวหน้า ฒนาชีวิต พัฒนาสังคมกันไป นี่แหละพระพุทธเจ้าก็ชี้ไปที่ธรรมะ แล้วคุณทำอย่างนี้ ก็จะได้อย่างฉันเหมือนกัน
ก็ธรรมะก็มาแล้ว อ้าวธรรมะมาแล้วทีนี้ เอ้าเราก็มนุษย์คนหนึ่ง แล้วคนอื่นมีเยอะแยะ คนอื่นก็เป็นมนุษย์เหมือนกัน แล้วเป็นสัตว์ทั้งหลายเหมือนกัน พวกนั้นก็เหมือนกัน ถ้าจะให้ถูกต้องก็จะต้องพัฒนาชีวิตต้องเจริญงอกงามในศีลสมาธิปัญญาก้าวหน้าไปเช่นเดียวกัน เอ้ออย่างนั้นเราก็ไม่มองแต่ตัวเอง แล้วเราก็อยู่ร่วมกันเป็นสังคม เพราะทุกคนจะต้องทำอย่างนี้แหละ เป็นสัตว์ที่ต้องฝึกต้องพัฒนาต้องเจริญก้าวหน้า ต้องเป็นไปให้ถึงความเป็นพุทธะ ต้องรู้ธรรมะ ต้องปฏิบัตให้ถูกต้องธรรมะด้วยกัน เพราะฉะนั้นมาบอก มาชี้แจง มาชวนกัน ให้รู้เข้าใจธรรมะ ปฏิบัติให้ถูกธรรมะ แล้วก็กลายเป็นว่าเรามาสร้างสังคมที่ดีงามที่มนุษย์นี่มาเกื้อกูลช่วยเหลือกัน ร่วมมือกัน ร่วมแรงกันเดินหน้าไปในการปฏิบัติตามธรรมะ ทั้งเราก็สร้างสังคมที่ดีด้วย ที่จะเอื้อ กลับมาเกื้อกูลเกื้อหนุนเราในทางที่จะปฏิบัติให้ดียิ่งขึ้น ถ้าสังคมแวดล้อมมันไม่ดี มันก็กลายเป็นอุปสรรค เราจะปฏิบัติจะเดินหน้าไปในธรรมก็ไปไม่ได้ ฉะนั้นก็เลยมีหน้าที่ว่า 1 เราได้อาศัยมนุษย์ที่เขาก้าวไปก่อนนี่มาเกื้อหนุนเรา พระพุทธเจ้าก็ไม่ได้อยู่กันจนถึงบัดนี้ คนที่จะเอาหลักความจริงธรรมะมาสั่งสอนแนะนำเรา ก็คือท่านที่ก้าวไปก่อนเราแล้ว ที่เราเรียกว่าพระสงฆ์ ก็มารักษาคำสอนพระพุทธเจ้าไว้ เอาความรู้ความเข้าใจในธรรมะนั้นมาแนะนำสั่งสอนเรา เราก็นับถือและเราเองก็จะต้องสร้างตัวพัฒนาตัวให้เข้าเป็นส่วนร่วมในสังฆะนั้นด้วย ถ้าเป็นภิกษุสังฆะ ภิกคุณีสังฆะ ก็ไปบวช ถ้าไม่งั้นก็เป็นอริยะสังฆะ ก็พัฒนาตัวเองให้เป็นโสดาบัน สะคะตาคามี เป็นอนาคามี อรหันต์ไม่บวชก็อยู่ในสังฆะได้ แต่ว่ารวมแล้วก์คือ เรามีหน้าที่ต้องพัฒนาตัวเข้าไปเป็นส่วนร่วมในสังฆะ แล้วใช้ประโยชน์จากสังฆะนั้น ก็คือท่านที่ก้าวไป เราจะเห็นว่าในเวลาเดียวกันนี้สังคมมนุษย์แม้แต่สังคมที่ดีนี้มนุษย์ก็ก้าวไปพัฒนาไปใม่เท่ากัน เราก็จะเห็นว่ามนุษย์ที่พัฒนาก้าวไปในระดับต่าง ๆ นี่อยู่แวดล้อมเรา นี่แหละสังคมที่ดี ก็มีมนุษ์พัฒนาไปในทางที่จะเป็นอริยะ เป็นกัลยาณชนนี่เพิ่มขึ้น เพิ่มขึ้น ก็ขอให้ก้าวไปในทำนองนี้ อย่างนี้สังฆะก็เกิดขึ้น เราก็ยึดหลักสังฆะนี้จะต้องมาทำให้เป็นจริงข้นมาก็เกิดรัตนตรัยขึ้นมา สังคมที่ดีก็เป็นสังฆะ นั้นเราก็ต้องเริ่มต้นสังฆะ สังคมที่ดีงามตั้งแต่ในบ้านอยุ่ในบ้านอยู่ในครอบครัว เราต้องชวนกันมาทำให้เป็นสังคมที่ดีที่สุด ทำอะไรล่ะ ก็มีข้อปฏิบัติที่จะต้องเริ่มต้น จะทำอย่างไรทีจะมาสร้างครอบครัว บ้านของเราให้ดีให้อบอุ่น อยู่แต่อย่างน้อยทุกคนในบ้านต้องเป็นคนที่มาเกื้อกูลกันมีน้ำใจดีต่อกัน มีความปรารถนาดีต่อกัน มีความสามัคคีกัน ร่วมแรงร่วมใจกันตั้งแต่ในครอบครัวในบ้านเป็นต้นไป แล้วก็ขยายออกไปซิ ไปเป็นบ้าน ไปเป็นชุมชน ไปเป็นอำเภอ เป็นจังหวัด เป็นสังคม เป็นประเทศชาติ จนกระทั่งถึงโลกนี่ถ้าได้สังคมอย่างนี้ก็คือสังคมที่เจริญในแนวทางของสังฆะ มันก็จะเป็นสังคมที่ดีงาม ที่พระพุทธเจ้าต้องการให้เราก้าวไป ตกลงได้แล้วหลักพระรัตนตรัย อันนี้ท่านให้หลักไว้กว้าง ๆ นี่ในการที่จะก้าวไปแต่ละขั้น ในการทำกิจกรรมแต่ละอย่าง ๆ ดำเนินชีวิตทุกขั้นทุกตอนทุกขณะ ทำอย่างไรก็มาถึงอีกข้อหนึ่ง การต่าง ๆ ที่จะทำนี้ต้องเป็นไปตามเหตุปัจจัยของมัน ผลที่เราจะต้องการ มนุษย์จะต้องการ แม้แต่การพัฒนาชีวิตนี่ ก็ต้องเป็นไปตามเหตุปัจจัย ต้องทำเหตุแล้วผลจะเกิดขึ้น เพราะฉะนั้นคุณจะต้องสร้างผลสำเร็จด้วยการกระทำของคุณ เหตุที่มนุษย์ทำให้เกิดขึ้นได้ ก้คือการกระทำของตน เพราะมนุษย์มีความสามารถในการกระทำ ทำทั้งการคิด ทั้งการพูด ทั้งการแสดงออกทางกาย ก็คุณมีความสามารถอันนี้คุณก็ใช้ความสามารถในการที่เรียกว่าทำ นี่ทั้งพูด ทั้งคิด ทั้งแสดงออกนี่ มาทำไอ้สิ่งที่เป็นเหตุปัจจัยที่จะให้เกิดผลที่ดีซิ
เอาล่ะอันนี้ก็คือว่า มาถึงหลักอันสุดท้ายที่จะต้องอยู่กับตัวเราตลอดทุกขณะเลย คืออยู่กับทุกกิจกรรมของการดำเนินชีวิต ก็คือต้องสร้างผลสำเร็จให้แก่ชีวิต สร้างความก้าวเจริญก้าวหน้าให้กับชีวิตด้วยการกระทำเหตุปัจจัยทีดีงามถูกต้อง หรือสร้างผลสำเร็จด้วยการกระทำไม่ใช่ลัทธิของการของ และการรอ ลัทธิขอก็คือ ผู้ไปขอหวยขูดเลขที่ต้นไม้น่ะ หรือไปอ้อนวอนเทวดาให้บันดาล อย่างนี้คือลัทธิขอ ลัทธิรอก์รอโชค โชคมาเมื่อไหร่ก็เป็นเอง อย่างงี้ไม่ไหว ลัทธิขอ ลัทธิรอ นี่เรียกว่าลัทธิหวังผลดลบันดาลไม่ได้ ฉะนั้นมันขัดกับหลักพุทธศาสนา หลักพุทธศาสนาที่ว่าให้สร้างผลสำเร็จด้วยการกระทำของตน ด้วยความเพียรพยายามเอาจริงเอาจังมุ่งมั่น ท่านเรียกว่าหลักกรรม นี่แหล่ะ กรรมอยู๋ที่นี่ ไม่ใช่เกิดมาใช้กรรม แต่เรามาเพื่อทำกรรมดียิ่งขึ้นไป ละเลิกกรรมชั่วทำกรรมดี กรรมดีที่เป็นกุศลน้อยก็ทำกรรมดีที่เป็นกุศลยิ่งขึ้นจากเป็นมหากุศลเป็นรูปาวจรกุศล อรูปาวจรกุศล โลอุตรกุศล ก้าวไปในกรรมนั้นเองแหละ การที่เราสิกขา เจริญศีลสมาธิปัญญามองในแง่หนึ่งก็คือ การทำกรรมดีให้ยิ่งขึ้นไปนั่นเอง จนกระทั่งว่าหมดกรรมไปเลย การกระทำนั้นไม่เป็นกรรมอีก
ฉะนั้นเรื่องเดียวเรื่องกรรมนี่ ก็คือในที่สุด คุณเป็นมนุษย์ใช่ไหม คุณต้องฝึกตนเอง คุณต้องฝึกตนเอง แล้วพูดสั้น ๆ ก็คือ ต้องศึกษา ต้อง สิกขา แล้วคุณก็จะเจริญขึ้นในศีลสมาธิปัญญานี่ พูดอย่างรวบรัด แล้วคุณเจริญในสิกขาศีลสมาธิปัญญาได้อย่างไง คุณก็ทำกรรมดีซิ ตั้งแต่คิด ตั้งแต่เล่าเรียนศึกษา นี่เป็นกรรมทั้งนั้น แล้วก็พูดว่า อะไรต่ออะไร ทำกรรมดีกันขึ้นไป คุณก็พัฒนาเจริญขึนไปจนกระทั่งมาเข้าหลัก ก็มีพระรัตนตรัยเป็นหลักนำทางให้แก่เรา เราก็เจริญก้าวหน้าไปจนกระทั่งเป็นพุทธะด้วยตนเอง ถ้าไม่เป็นสัมมาสัมพุทธะ ก็เป็นปัจเจกกับพุทธะ ถ้าไม่ปัจเจกกับพุทธะ ก็เป็นอนุพุทธะ พระอรหันต์ทุกองค์ก็เป็นอนุพุทธะทั้งนั้น ถ้าไม่เป็นอนุพุทธะ อนุโลมให้เป็นสุตะพุทธ เป็นพุทธะโดยความรู้ได้เรียนรู้ได้ศึกษามีความเข้าใจ แล้วใช้ได้
นี่แหละอาตมาก็เลยมาเข้าหลักชาวพุทธตรงนี้ ตกลงที่พูดมามีหลักสำคัญ 5 ข้อ คงจำได้น่ะ หลักที่หนึ่งคือ หลักของความเป็นมนุษย์เรื่องตัวเองว่า เราต้องมีจิตสำนึกในการฝึกตนหรือในการศึกษาก็แล้วแต่ ในการเรียนรู้ฝึกศึกษาพัฒนาตนนี้ อันนี้ต้องสร้างจิตสำนึกขึ้นมา เด็กทุกคนโดยเฉพาะพ่อแม่ ถ้าคุณพ่อคุณแม่สร้างจิตสำนึกนี้ให้แก่ลูกได้นั่นคือความสำเร็จไม่ต้องห่วงแล้ว ลูกเจริญกว้าหน้าเล่าเรียนศึกษาสำเร็จแน่ แต่ถ้าสร้างจิตสำนึกไม่ได้ ยากแล้ว เดี๋ยวไปติดเพลินหลงโน่นหลงนี่ไป ต้องทำให้ได้ จริงไหมหนู มนุษย์เป็นสัตว์ที่เอาดีได้ด้วยการฝึก เป็นสัตว์ที่ฝึกได้ และจะดีเลิศประเสริฐด้วยการฝึก การศึกษาพัฒนาชีวิตนี่แหละ งั้นเราจะเป็นอะไร มีจะจุดหมายที่ดีตั้งไว้ไปได้ทั้งนั้นด้วยการศึกษา คือฝึกฝนพัฒนาตนเรียนรู้ไป แล้วก็มาเอาอาศัยพระรัตนตรัยมาเป็นหลัก แล้วเราก็สร้างสังคมที่ดีขึ้นมาเกื้อหนุนให้ทุกคนนี่ก้าวหน้าไป พัฒนาชีวึตไปด้วยดี สังคมที่ดีคือสังคมที่เอื้อต่อการพัฒนาชีวิตของแต่ละคนนั่นเอง ไม่ใช่เป็นสังคมที่มาฟุ้งเฟ้อลุ่มหลงมัวเมาแล้วบอกว่าฉันมีความสุข ไม่ใช่อย่างนั้น สังคมที่ดีก็คือสังคมที่เป็นสภาพเอื้อต่อการพัฒนาชีวิตของคนแต่ละคนให้เขาพัฒนาเขาไปสู่การได้สิ่งที่ประเสริฐแก่ชีวิต นั้นเราไปมองไม่เห็นสังคมที่ดีงามคืออะไร เศรษฐกิจดีงามคืออะไร ก็มองไม่ออก ไปมองว่าเศรษฐกิจดีงามบรรลุจุดหมายแล้ว โอ้โฮ มีสินค้า ผลิตภัณฑ์ อุตสาหกรรม บริโภคฟุ่มเฟือยเต็มไปหมดบำรุงบำเรอกลายเป็นลุ่มหลงมัวเมา เออสังคมที่ดีกับสังคมที่ฟุ้งเฟ้ออย่างนั้นหรือไม่ใช่แล้ว เศรษฐกิจดีก็คือเศรษฐกิจที่พรั่งพร้อมที่จะเป็นปัจจัย พระท่านบอกแล้วเศรษฐกิจเป็นปัจจัยก็คือ อาหารเครื่องนุ่มห่มอาศัยนี่เป็นปัจจัยที่อาศัยให้เราจะได้อาศัยมันให้มาพัฒนาชีวิตของเรา
ถ้าเราไม่มีมันเราก็พัฒนาชีวิตไม่ได้ งั้นทางพระเรียกว่า เศรษฐกิจเป็นปัจจัย อย่าเอาเศรษฐกิจเป็นจุดหมาย มีพระองค์หนึ่งสมัยก่อนนี่ท่านเป็นนักการเมือง เมื่อก่อนมาบวช แล้วโอ้มาเจอเศรษฐศาสตร์ในแนวพุทธขึ้นมา ท่านขอใช้คำว่า เรียกเศรษฐศาสตร์ใหม่ เรียกว่าปัจจัยศาสตร์ วิชาวัดด้วยปัจจัย ก็คือว่าต้องทำความพรั่งพร้อมทางวัตถุให้เกิดขึ้นเพื่อเป็นปัจจัยเกื้อหนุนในการพัฒนามนุษย์ พัฒนาสังคมให้ได้ เศรษฐกิจมันจึงจะมีความหมาย ไม่ใช่เศรษฐกิจด้วน ๆ จบในตัว แล้วก็จบลงที่ความลุ่มหลง สังคมก็ลุ่มหลง เศรษฐกิจก็เป็นเครื่องบำรุงบำเรอล่อหลอกให้สังคมนั้นจมอยู่ในความลุ่มหลงมัวเมาแล้วก็เสื่อมลงไป ก็กลายเป็นสังคมโบราณที่อารยธรรมล่มสลายกันไปไม่รู้จะกี่แห่ง