แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ไฟล์ถอดเสียงนี้ยังไม่ได้ผ่านพิสูจน์อักษร นำขึ้นมาเพื่อช่วยในการศึกษาค้นคว้าของผู้สนใจ.
อ้าวทีนี้ก็อะไรต่อไปล่ะ ทีนี้ก็มานึกถึงอีกอันหนึ่งซึ่งเป็นเรื่องที่พูดไว้แล้วครั้งที่แล้วเหมือนกันเรื่อง สังคมแบบพุทธเนี่ย ซึ่งเป็นสังคม ที่ไม่เหมือนกับเสรีนิยม ทุนนิยมเสรี แล้วก็ไม่เหมือนสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ ก็คือเรามองอย่างน้อยก็แง่หนึ่ง นี่ๆเป็นแง่ที่มอง แง่ที่ว่าพวกที่คิดสร้างสังคมกันนี่จะมองสังคมเป็นแบบเดียว เหมือนกับมองมนุษย์เป็นอย่างเดียว อย่างสังคมเสรีนิยม ทุนนิยมเสรีเนี่ยก็จะมองมนุษย์เหมือนคน ที่มีกิเลส เห็นแก่ตัว เป็นธรรมชาติของมนุษย์ที่ต้องมีตัณหาอยู่อย่างนี้ ก็จะต้องสนองตัณหากันไป และก็วางระบบสังคมก็คือ Individualism ที่จะเรียก ปัจเจกนิยมหรือ ปัจเจกชนนิยมก็แล้วแต่ นี่ก็ไปสุดโต่งก็มีอย่างตอนที่ Herbert Spencerให้แนวคิดเรื่อง Social Darwinism ลัทธิ ดาร์วินทางสังคมก็ต่อจากดาร์วินนั่นแหละ ดาร์วินก็พูดถึงธรรมชาติโดยเน้นไปทางพวกชีววิทยามากมาย Herbert Spencer นี่เป็นคนอังกฤษก็มาประกาศแนวคิดลัทธิดาร์วินในเชิงสังคม The Survival of The Fittest การอยู่รอดของผู้ที่เหมาะสมที่สุด นี่ก็เขามามองในแง่สังคมบอกไม่ใช่เฉพาะเรื่องของชีววิทยาเรื่องของพวกชาติพันธุ์ พวกพันธุ์สัตว์อะไรต่างๆที่ว่ามันอยู่ได้ในโลกต้องเป็นสัตว์ เรียกว่า เก่ง แข็งแรง แล้วก็ใครเก่ง ใครอยู่ได้ก็รอดอะไรนี่ พวกที่อยู่ไม่ไหว อ่อนแอก็ตายหมดสิ้นไป สูญพันธุ์ไป นี่ก็มาใช้ในเชิงสังคมก็บอกว่า ในสังคมมนุษย์ก็เช่นเดียวกันก็ต้องเป็นอย่างนี้ คือใครเก่งก็อยู่ ใครอ่อนแอก็ไป เพราะฉะนั้นอย่างพวกธุรกิจกิจการอุตสาหกรรมอะไรต่างๆ เหล่านี้ กิจการทั้งหลายก็ต้องปล่อยให้แข่งขันกันเสรี เรียกว่า Unrestricted คือไม่มีขีดขั้น ไม่มีจำกัดเลย เขาเอาขนาดนั้นบอกรัฐบาลจะไปแทรกแซงไม่ได้ ใครดีใครอยู่ ฉะนั้นก็ถ้ากิจการอะไรที่มันไม่แข็งจริงก็ต้องปล่อยให้ตายให้ล่มไป ก็คืบหน้ามาจนกระทั่งถึงว่า อเมริกาก็ออกไปเป็น Imperialism เหมือนกันไปสู่ความเป็นจักรวรรดินิยม แม้กระทั่งมีลัทธิเค้าเรียกว่า Manifest Destiny เกิดขึ้น อเมริกานี่ถือว่า โอ้พวกชนอเมริกันผิวขาวสายอังกฤษเนี่ยเป็นชนชาติที่พระเจ้ากำหนดมาให้แล้วจะให้ครองโลก ปกครองโลกนี้ จะนำความเจริญไปให้แก่โลก เพราะฉะนั้นชาวอเมริกันนี่จะต้องออกไป ไปปกครองโลก พอเป็นมนุษย์ที่เลิศประเสริฐอะไรนี้ แนวคิดนี้อยู่นานจนกระทั่ง ฮิตเลอร์ ขึ้นแล้วก็เกิดสงครามโลก ฮิตเลอร์ก็ถือว่าอารยันพันธุ์แท้ก็ เยอรมัน ก็ต้องให้เผ่าอารยันนี่ยิ่งใหญ่เป็นผู้ปกครอง เผ่าอื่นไม่ได้เรื่อง เช่น ยิว เช่นอะไรก็แล้วแต่ ฉะนั้นก็เลยต้องให้อารยันนี่เป็นใหญ่ก็ทำให้เกิดสงครามโลก แล้วก็เป็นบทเรียน ทำให้ชาวอเมริกันชักมาคิดว่า เอไอ้แนวคิดที่ว่าทั้งหมดเนี่ย Social Darwinism เนี่ยมันจะไม่ถูกสะแล้วต่อจากนั้นก็เบาลง
ตอนช่วงโน้นตอนที่ว่าเนี่ย ตอน Social Darwinism ขึ้นเนี่ย Herbert Spencer มีเกียรติยศมาก มาจากอังกฤษเนี่ย มหาเศรษฐี อเมริกันจัดการต้อนรับกันใหญ่ มหาเศรษฐีคาร์เนกี ร็อคกี้เฟลเลอร์ ตอนนั้นกำลังรุ่งเรือง พวกนี้แหมต้อนรับกันใหญ่เลย ต้องอย่างนั้นๆ ใครดีใครอยู่ พวกไหนอ่อนแอต้องล้มหายตายไป ตอนหลังก็เลยเบาลง แต่ถึงอย่างนั้นอเมริกันก็ยังเป็น Individualism ก็ถือหลัก ก็คล้ายลึกๆ ลงไปเหมือนกับมองว่าคนเราธรรมชาติก็เป็นอย่างนี้ คือไม่มองในแง่ว่ามันต้องมีการฝึกฝนพัฒนา ก็ถือว่ามนุษย์ก็มีตัณหามีความปรารถนาที่ไม่มีสิ้นสุดแล้วเศรษฐกิจก็ตั้งอยู่บนฐานนี้เหมือนกัน ความต้องการของมนุษย์ไม่มีที่สิ้นสุด เอามาเทียบพุทธศาสนาก็มี ที่ท่านว่า นัตถิ ตัณหา สมา นที ตัณหาคือความอยากความทะยานอยากได้นี่ไม่มีที่สุด แม่น้ำเสมอด้วยตัณหาไม่มี แม่น้ำยังรู้จักเต็มแต่ตัณหาไม่รู้จักเต็ม มีพุทธพจน์เช่นอย่างว่า แม้จะเนรมิตภูเขาทั้งลูกให้เป็นทอง ก็สนองความต้องการของบุคคลเดียวไม่ได้ ไม่พอ เชื่อไหม พอได้ลูกนี้เป็นทองหมดแล้วไม่พออยากได้ลูกอื่นอีก ให้ลูกอื่นเป็นทอง เป็นทองไม่พอต้องเป็นเพชร แล้วก็มีชาดกอย่างเรื่องพระเจ้ามันธาตุราช เคยได้ยินไหม ที่ก็แสดงให้เห็นตัณหาที่ไม่มีที่สิ้นสุดของมนุษย์
พระเจ้ามันธาตุราชนี่ก็คือว่า พระองค์เนี่ยมีพระชนม์ยืนยาวมากเป็นหมื่นๆ ปี ตามชาดก อยู่ในยุคปฐมกัปป์พระองค์ครองราชย์ไปๆ อายุยืนไปเป็นใหญ่ในโลกแล้ว ตอนนี้เพราะอายุยืนก็มานึก เอเราก็เป็นใหญ่มีอะไรก็มีหมด มันมีอะไรที่ไหนดีกว่านี้บ้างไหมหนอ อยากจะได้ยิ่งขึ้นไปแล้ว ตอนนี้มันชักไม่พอแล้ว รู้สึกชักเบื่อๆ ก็ถามพวกมหาอำมาตย์ ราชบริพาร บอกว่าเอ้อมันมีที่ไหนดีกว่านี้ไหมเนี่ย โลกเราก็อยู่หมด ครอบครองสมบัติมันก็แค่นี้ ชักเบื่อๆ แล้ว ทีนี้พวกอำมาตย์ก็บอกโน่นสิ ต้องสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา อ้าวอย่างนั้นก็เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ์ จักรพรรด์ก็มี จักรรัตนะก็มีวงล้อไง พาไปได้หมุนวงล้อก็พาไปโน่น ขึ้นไปสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา ท้าวมหาราชสี่ก็ เอ้อ ใจดี ออกมาต้อนรับ ท้าวมหาราชสี่ ท้าวโลกบาลทั้งสี่ ต้อนรับแล้วก็ว่า ท่านมาทำไมล่ะ บอกว่า เรานี่เบื่อแล้วโลกนี้อยากจะมาครองสวรรค์ดูบ้างง่างั้นนะ บอกว่าอ้าวไม่เป็นไร อย่างนั้นเชิญท่านปกครองว่างั้นนะ อ้าวปกครอง อยู่ไปๆอีกกี่หมื่นปีไม่รู้ เอ่อมันเบื่อ มันมีที่ไหนดีกว่านี้ไหม พวกราชบริพารก็ตอบบอกนู่น สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ อ้าวจักรพรรดิก็หมุนจักรรัตนะไปต่อ ไปถึงสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ก็พระอินทร์ครอบครอง พระอินทร์คือท้าวสักกะเป็นเทวราช เรียกว่าเป็นราชาแห่งเทวดาล่ะ ก็ได้ทักทายปราศรัยกันถามว่า ท่านต้องการอะไรหรือ ท้าวมันธาตุราชก็บอกเบื่อแล้วไอ้สวรรค์ชั้นต่ำ โลกนี่ไม่ต้องพูดถึงน่ะอยากจะมาครองสวรรค์ชั้นดาวดึงส์บ้าง พระอินทร์ก็บอกว่า เอางี้ก็แล้วกันเราก็ต้อนรับท่านแบ่งให้ครึ่งหนึ่งก็เลยให้ครองสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ครึ่งหนึ่ง ครองไปๆ ต่อมาก็เบื่ออีก แล้วความอยากไม่รู้จักจบ เฮ้อไอ้สวรรค์ครึ่งเดียวไม่พอมันต้องเอาหมด ทำไงดี เอพระอินทร์ก็ขวางหน้าอยู่ในนี้ นึกไปนึกมาทำไงดี ทีนี้จะฆ่าพระอินทร์ก็ฆ่าไม่ได้เป็นเทวราชนี่ เค้าเป็นอมตะพวกเทวดา ทีนี้ใจตัวเองก็สนองความต้องการไม่ได้พอสนองความต้องการไม่ได้มันก็ชักเหี่ยวแห้ง ใจมันชักเหี่ยว พอเหี่ยวแห้งก็โทรม ต่อมาก็เลยหมดอายุ เพราะความที่เหี่ยวแห้งเนี่ยใจมันเสีย อิจฉาพระอินทร์อยากจะได้ดินแดงก็จะทำไงก็ทำไม่ได้ จะแย่งเขาก็แย่งไม่ได้ ก็เลยแก่ แก่ก็สิ้น มรณะก็เรียกว่า สวรรคต ก็เรียกว่าหล่นตุ้บลงมาจากสวรรค์ พระยามันธาตุราชก็หล่นตุ้บจากสวรรค์ลงมาในสวน พระสมัยก่อนนี้มี นี่แทรกนิดหนึ่งคือท่านแล้วพวกใบลานเขียนเป็นตัวลายมือ สวนกับสวรรค์นี่มันคล้ายๆ กันน่ะ เคยมีพระอ่านคัมภีร์ อ่านคัมภีร์เทศน์ อ่านไปๆ ทำบุญอย่างนั้นทำบุญอย่างนี้ ตายแล้วไปเกิดในสวนว่างั้น ที่จริงนั้นท่านเขียนไว้ว่า ตายแล้วไปเกิดในสวรรค์ ท่านแล้วเป็นตายแล้วไปเกิดในสวน เอาละกลับมาเรื่องของเรา เรื่องของเราก็คือว่า พระเจ้ามันธาตุราชเนี่ยก็ตกจากสวรรค์ ก็หล่นตุ้บลงมาในสวนนี่แหละ ในพระราชอุทยานอันนี้เป็นเรื่องชาดก สวนกับพระองค์จะไปอยู่อย่างไรละนะ พระองค์ไปอยู่ในสวรรค์ตั้งไม่รู้นานเท่าไหร่ แต่เรื่องมันก็ยังอยู่นั่นแหละ ก็ตกมาในสวนของพระราชาในพระราชอุทยานตอนนั้นก็ไม่รู้หลานเหลนไปขนาดไหนแล้วปกครอง เอ่อก็พวกคนก็เห็นเข้าก็ เอาอะไรต่ออะไรไปช่วยไปประคับประคองดูแล และก็ถามว่าเป็นอย่างไร ท่านก็เล่าให้ฟังเนี่ย ว่าเราเป็นอย่างนี้ ครองดินแดนมนุษย์ไปจนนานเนแล้วหมดทั้งโลกก็ไม่พอ ไปสวรรค์ชั้นจาตุมอีกก็ไม่พอ ไปสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ครึ่งหนึ่งก็ไม่พออีก ในที่สุดก็ยังไม่สำเร็จตามปรารถนาก็ถึงสิ้นชีวิตเสียแล้ว ว่างั้น ก็นี่ก็คติจากพระเจ้ามันธาตุราช
ลัทธิเศรษฐกิจก็ตั้งอยู่บนฐานอันนี้ คือความต้องการของมนุษย์ไม่มีที่สิ้นสุด แต่ทีนี้ฝรั่งเค้าก็มองอย่างนี้ว่า มนุษย์นี่มีความต้องการไม่สิ้นสุด ทำอย่างไรก็เลยเนี่ยก็จะเอาอย่างไรก็สนองความต้องการ แต่ว่าต้องมีขอบเขตก็คือ ไม่ให้ละเมิดคนอื่นเพราะฉะนั้นกฎหมาย ก็ออกมาในลักษณะที่เป็นปฏิเสธเป็นเชิงลบ ห้ามกันอย่าละเมิดกันนะแต่ว่าให้แต่ละคนมีเสรีภาพ ให้เต็มที่ถ้าเป็นยุคของ Social Darwinism ก็ไม่มีขอบเขตละ ทำกิจการอะไรต่างๆ ก็ใครดีใครอยู่อย่างที่ว่าเมื่อกี้นะ ต่อมาลัทธินี้ก็ได้แค่ว่าต้องผ่อนลงมา ก็เบาลงมาแล้วสังคมอเมริกันก็อยู่มาในลักษณะที่ถือ Competition การแข่งขันเป็นหัวใจของการสร้างสรรค์ความเจริญ เดี๋ยวนี้เค้าก็ยังติดอยู่ในความคิดนี้ แม้ว่าลัทธิ Social Darwinism จะเบาลงแล้วแต่แนวคิดเรื่องการแข่งขันนี่เป็นหัวใจของความเจริญยังอยู่ แล้วก็ยังเป็น Individualism การถือตัวบุคคลเป็นสำคัญ ต้องสนองความต้องการของคน คนต้องมีเสรีภาพอะไรต่ออะไรเนี่ยมันก็เน้นที่ตัวบุคคล ทีนี้มันก็ตั้งอยู่บนฐานการเข้าใจธรรมชาติของมนุษย์ที่ว่า มีความต้องการไม่สิ้นสุด เราก็เป็นเพียงว่าอย่าให้ความต้องการนี้มันทำให้เกิดโทษ ไปละเมิดเบียดเบียนผู้อื่นแต่ต้องพยายามสนองความต้องการของตัวบุคคล พอมีเศรษฐกิจเจริญ อุตสาหกรรมเจริญสนองความต้องการมากขึ้นก็เป็นบริโภคนิยมมาเกิดปัญหากับธรรมชาติอีก ปัญหาการเบียดเบียนในสังคม เนี่ยๆ เนี่ยลัทธิแบบทุนนิยมเสรี มันก็ตั้งอยู่บนฐานของความคิดอันเนี้ย เราก็ถือว่ามีความเข้าใจธรรมชาติของมนุษย์นี่แคบ แล้วก็มองสังคมแบบสังคมที่เขาเป็นเหมือนอุดมคติที่เขาตั้งไว้น่ะ เมื่อเขาคิดแบบนี้เขาก็ต้องตั้งสังคมแบบนี้สังคมที่มันสนองความต้องการแบบที่ว่า ทีนี้ฝ่ายคอมมิวนิสต์ก็ตรงกันข้ามแทนที่จะถือตัวปัจเจกชนเป็นใหญ่ก็ถือสังคมเป็นใหญ่ บุคคลต้องเพื่อสังคม ฉะนั้นก็กลายเป็นว่ามองในแง่หนึ่ง เพื่อรักษาสังคมให้อยู่ก็เลยต้องจำกัดความต้องการของบุคคล ก็กลายเป็นว่าบุคคลถูกเบียดเบียนจำกัดสิทธิเสรีภาพอะไรต่างๆ แล้วก็ไปถึงขึ้นที่ว่าให้มนุษย์เหมือนกัน ก็กลายเป็นว่า บางคนก็มาติเตียนว่า พวกนี้มันจะเอาให้จนเหมือนกัน มันไม่ใช่แค่เหมือนกัน แต่ให้จนเหมือนกัน ว่างั้นนะ นี่ก็กลายเป็นไปอีกแบบหนึ่ง ธรรมชาติมนุษย์นี่เหมือนกับเขามองตายตัว ว่าความเป็นมนุษย์ก็คือมีความปรารถนา ความต้องการมีธรรมชาติอย่างเงี้ย แล้วทำไงจะสร้างสังคมที่มันดีที่สุดสำหรับมนุษย์พวกนี้ เราเลยถือว่าหนึ่ง ความเข้าใจธรรมชาติมนุษย์มันแคบ จากการเข้าใจธรรมชาติของมนุษย์มันแคบ มันก็นำมาสู่ความคิดแม้ที่หวังดี ก็ตั้งตัวระบบสังคมวางระบบสังคมอุดมคติไว้แบบเดียว แบบเสรีนิยมก็ไปอย่างหนึ่ง แบบสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ก็ไปอย่างหนึ่ง เสรีนิยมก็คือปัจเจกชนนิยม และก็คอมมิวนิสต์ก็สังคมนิยม มันก็เอาบุคคลนิยมหรือว่าเอาสังคมนิยม ปัจเจกชนนิยมก็คือบุคคลนิยมกับสังคมนิยมคล้ายๆ สุดโต่ง
ทีนี้อย่างที่พูดคราวที่แล้ว ที่ว่าพุทธศาสนาเนี่ยมองคนละแบบเลย สมัยก่อนนี้พูดกันมากก็บอกว่าเอ่อ พุทธศาสนานี่จะเป็นแบบไหนนี่ตอนที่มาร์กซิสต์กำลังขึ้นก็มีคนพยายามบอกพุทธศาสนานี่เหมือนมาร์กซิสต์ว่างั้นนะ ก็มีหนังสือออกมาเป็นทำนองนั้น เปรียบเทียบพุทธศาสนากับคอมมิวนิสต์นี่ไปกันได้แบบเดียวกัน สร้างสังฆะขึ้นมาไม่มีทรัพย์สินเงินทองอะไรต่ออะไร มันมองดูแง่หนึ่งมันก็คล้ายๆ แต่มองไปถึงฐานรากที่แท้จริงความเข้าใจต่างๆ แล้วไม่เหมือนกันเลย ทีนี้พุทธศาสนามองอย่างไรก็อย่างที่ว่าแล้วพุทธศาสนาก็มองมนุษย์ ธรรมชาติของมนุษย์นี่ก็อย่างนี้ที่ว่ามีตัณหาไม่รู้จักจบสิ้นมีความต้องการเท่าไหร่ก็ไม่พอ ในแง่นี้มันก็ต้องมีการจำกัด เพราะมิเช่นนั้นแล้วมีการเบียดเบียนกัน แต่ทีนี้ท่านไม่ได้หยุดแค่นั้นท่านถือว่ามนุษย์พัฒนาได้ แล้วก็ความต้องการก็มีสองแบบ เริ่มต้นก็แยกแหละบอกว่าความต้องการของมนุษย์ไม่ใช่มีตัณหาอย่างเดียว มีฉันทะด้วย แล้วเราจะต้องพัฒนาไปเมื่อความต้องการมันไม่ใช่แบบเดียวเนี่ยความสุขมันก็พลอยเปลี่ยนไปด้วย ความสุขเนี่ยคืออะไร ความสุขก็คือการได้สนองความต้องการใช่ไหม ทีนี้ในเมื่อเขามีความต้องการแบบเดียวความสุขเค้าก็มีแบบเดียว คล้ายๆอย่างนั้น ความสุขเกิดจากการได้สนองความต้องการ ทีนี้เค้าก็จะมีความสุขประกอบเล็กๆ น้อยๆ เช่นศรัทธาในพระเจ้ามีอะไรต่ออะไรมี เรื่องศาสนาซึ่งมันก็เป็นทฤษฎีที่ไม่ตรงกับแนวคิดหลักของเขา แต่ว่าเขาก็ไม่ได้ถือเป็นใหญ่มันก็มาโยงกันไม่ได้ คล้ายๆว่ามันมีคล้ายๆ ประกอบอยู่มีความสุขด้วยศรัทธาในพระผู้เป็นเจ้าบ้างอะไรบ้างแต่ว่าความคิดหลักมันก็อยู่ที่เนี่ย มองธรรมชาติมนุษย์ก็มีตัณหานั่นเองน่ะ แต่เขาไม่ได้เรียกอย่างนั้นความต้องการที่ไม่มีที่สิ้นสุด ลัทธิเศรษฐกิจเป็นต้น ก็สนองอะไรอย่างนี้ นี่ก็ต้องไปจัดระบบสังคมเอาทำไงจะไม่ให้มาเบียดเบียนกันด้วยการที่แสวงหาความต้องการของตัวเอง สนองความต้องการแล้วก็มีความสุข ทีนี้พุทธศาสนาก็บอกว่าแค่ความต้องการก็ไม่เหมือนกัน มีความต้องการที่เป็นกุศล กับความต้องการที่เป็นอกุศล มนุษย์เกิดมามันยังไม่ได้พัฒนามันก็แรงด้วยความต้องการฝ่ายอกุศล เพราะว่ามันมี ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มามันก็ต้องแสวงหารับรู้ การรับรู้มันก็มีการรู้สึกด้วย ความรู้สึกก็นำไปสู่การสนองความต้องการที่บำเรอผัสสะ สนองบำเรอผัสสะก็สุขที่ได้เสพ ทีนี้ถ้าเราปล่อยมนุษย์มันก็ไปสายนี้อย่างเดียว ทีนี้พอเราได้พัฒนามนุษย์ขึ้นมามนุษย์จะเริ่มไม่ใช่อยู่ด้วยความรู้สึกอยากอย่างเดียว เขาจะเห็นโน่นเห็นนี่ พอได้เห็นต้นไม้เห็นธรรมชาติอย่างเงี้ย ที่จริงเราไม่ได้สังเกต เราไม่ใช่ว่ามีตาหูจมูกลิ้นแล้วก็คอยจะหาเสพหาอะไรต่ออะไรบำเรอผัสสะอย่างเดียวนะ เช่นอย่างเราเห็นต้นไม้ เราเห็นท้องฟ้ามันมีความงามของธรรมชาติ มันก็มีความชื่นชม จิตใจชื่นชมในความงามของมัน โดยที่ว่าพอชื่นชมแล้วก็เกิดความสุขสบายใจได้ โดยไม่ต้องเอาอะไรมาให้แก่ตัวเองเนี่ย ทีนี้ต่อมาเนี่ยมันจะพัฒนาได้อันนี้ เคยเล่าไว้บ่อยๆ เช่นว่าเราไปเห็นต้นไม้งาม จิตใจเราก็สบาย ทีนี้มันก็จะมีอันหนึ่งคือการรับรู้ของเราเนี่ย ปัญญาความรู้เนี่ยมันแยกแยะได้ การแยกแยะนี่เป็นงานสำคัญของปัญญา ทีนี้มันเห็นต้นไม้งาม ต่อมามันเห็นต้นไม้ที่ไม่งาม เห็นต้นที่เหี่ยวแม้ต้นไม้นั้นเองก็เหี่ยวลงได้ หรือเห็นคู่กันต้นนี้งามคนนั้นไม่งาม ทีนี้มันก็จะมีก็คือว่า อยากให้มันงามให้มันสมบูรณ์ให้มันดีของมัน ให้มันดีของมันอยู่อย่างนั้น ดีสมบูรณ์ที่สุดของมัน ทีนี้พอเห็นต้นไม้นั้นไม่งามอย่างนั้นก็อยากให้มันงาม มันดีสมบูรณ์ แล้วทีนี้พอมันยังไม่ดีไม่งามไม่สมบูรณ์แล้วเราอยากให้มันเป็นอย่างนั้นแล้วมันยังไม่เป็น มันจะก้าวไปอีกขึ้น คือ อยากทำให้มันดี ให้มันงาม ให้มันสมบูรณ์ ทีนี้เราอยากทำให้มันดีให้มันงามให้สมบูรณ์เราก็จะทำ ทีนี้การกระทำต่างๆ ในระหว่างนี้ในกระบวนการนี้ในการทำทั้งหมดจะเป็นการสนองความต้องการของเราคือ ความสุข เรียกว่าเราอยากให้ต้นไม้นี้มันงาม มันสมบูรณ์ เราก็มีความสุข แล้วเราอยากทำให้มันสมบูรณ์เราไปออกแรงเหน็ดเหนื่อย ไปพรวนดินไปขุดไปรดน้ำไปตักน้ำมาเนี่ยทั้งหมดเนี่ย การกระทำนี้คือสนองความต้องการอยากทำให้มันสมบูรณ์และเป็นสุขได้หมดเลย ความต้องการแบบนี้ที่เรียก ฉันทะเนี่ย มันเป็นความอยากเพื่อความดีงามของสิ่งนั้นเองไม่เกี่ยวกับตัวเรานะ อยากเพื่อความดีของสิ่งนั้น อยากเห็นถนนนี้งาม อยากอะไรต่ออะไร ไม่เกี่ยวกับการเสพ ถ้าเป็นตัณหาเนี่ยมันจะเอาเพื่อเรา ผมจึงได้ยกตัวอย่างบ่อยๆ เช่นว่า เดินไปในป่าหรือมาในวัดนี่แหละก็มาเห็นกระรอก กระโดดโลดเต้นไป คนก็เห็นกระรอกน่ารัก เอ่องามดี ทีนี้ถ้าใจเขาเห็นความงามของกระรอกก็ชื่นชมความงามของมัน แล้วก็อยากให้มันแข็งแรง ร่างกายดี สวยงาม กระโดดโลดเต้นคล่องแคล่วอย่างนี้อยู่ในป่า กระโดดไปตามต้นไม้ ต้นไม้ก็ดูร่มรื่นดีอะไรต่ออะไรจิตใจก็พอใจไปอย่างนี้ ท่านเรียกว่า ฉันทะ คือมันไม่เกี่ยวกับตัวเรา แต่ถ้าเกิดว่าไปเห็นไอ้กระรอกตัวนี้ เอ้อไอ้กระรอกตัวนี้ดีนี่เอามาลงหม้อแกงแล้วได้เรื่องเลยนี่ถ้าอย่างงี้ละตัณหาล่ะ แยกได้ไหมฮะ อยากเพื่อตน อยากจะเอาบำเรอผัสสะตัวเองจะได้อร่อย เข้าปากลิ้นได้รสอร่อยถูกไหม เนี่ยแค่นี้ไปเห็นกระรอกก็ต่างกันแล้ว คนมีฉันทะก็ไปอย่าง คนมีตัณหาก็ไปอย่าง ก็เอาง่ายๆ คนเรามีความต้องการ 2 แบบเนี่ยที่เป็น กุศล กับ อกุศล ท่านก็ให้รู้จักแยก
ทีนี้มนุษย์เนี่ยต้องระวังเรื่องตัณหาแล้วถ้าเราไม่พัฒนาเราก็จะเพิ่มดีกรีและปริมาณความต้องการของตัณหา และไอ้เจ้าตัวนี้มันกลับมาขวางมาขัดความต้องการฝ่ายกุศลเลย กลบทับเลยบางทีเลยหายไปเลย ทีนี้ก็มุ่งแต่จะหามาเสพเพื่อตนเอง จะเอาท่าเดียวเลยจะหาให้แก่ตัวเอง ทีนี้มันก็เกิดขัดแย้งแย่งชิงในสังคมวุ่นวายกันไปหมดเลยทีนี้นะ แล้วตัวเองก็ไม่อิ่มไม่พอแล้วความสุขก็ไปพึ่งพาสิ่งภายนอก กลายเป็นความสุขพึ่งพา ไม่เป็นอิสระ เพราะความสุขไม่มีกับตัวเองนี่ ยิ่งหามากความสุขก็ยิ่งพึ่งพามาก แต่ก่อนนี้มีนิดเดียวสุขได้ ต่อมานี่ไอ้สิ่งนั้นเบื่อแล้ว เหมือนพระเจ้ามันธาตุราช แต่ก่อนมีพันหนึ่งบอกแม้ถ้าเราได้แสนนี่สุขยอดเลย พอได้แสนโ อ้ชินเบื่อแล้วไม่ได้ต้องได้ล้านหนึ่ง ต่อมาถ้าเกิดได้ล้านแล้ววันไหนวันไหนได้แสน โอ้ทุกข์แทบตาย ใช่ไหมเนี่ย แต่ก่อนได้พันเดียวก็แสนสุขแล้ว พอได้ล้านแล้วมาได้พันหนึ่งนี่หงอยเลย เหี่ยวเลยใช่ไหม ทุกข์เลย ทุกข์เต็มที่เลยเนี่ย ปริมาณความต้องการดีกรีของตัณหาไม่จบแล้วก็มาทำให้ความสุขก็ยากขึ้นด้วย ความสุขก็ยากก็ต้องตามหาเสพบำเรอ ก็แย่งชิงกันมาก ทรัพยากรก็ไม่พอ แล้วก็เบียดเบียนกันในสังคมไม่พอก็เบียดเบียนธรรมชาติอีก ระบบสังคมที่มันเป็นมาเป็นอย่างนี้ มันไปในแนวเดียว แนวคิดที่มองธรรมชาติมนุษย์แค่ด้านเดียว
ทีนี้เราก็บอกว่าเอาละนะ เราต้องยอมรับ มนุษย์ทั่วไปเมื่อยังไม่พัฒนาเค้าก็มีตัณหา มี ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มันก็รับความรู้สึกก็ต้องการสนองความรู้สึกที่จะบำเรอผัสสะ ให้มีความสุขเนี่ยตัณหาเนี่ยมันก็ต้องยอมรับเค้า ปล่อยเขา ไม่ใช่ปล่อยเขาแต่ว่าหมายความต้องยอมรับเขาแล้วก็วางระบบชีวิตสังคมให้มันอยู่กันโดยไม่เบียดเบียนกัน คุณจะหาก็หาไปเถอะแต่ขอวางศีล 5 ไว้นะ อย่าละเมิดกัน อย่าให้มันอยู่ไม่ได้ ลุกเป็นไฟ สังคมมันจะอยู่ได้ก็เอา ต่อมาก็จึงฝึกต่อ บอกแค่นี้มันไม่พอนะคุณจะมีความสุขแบบพึ่งพาแบบสุขจากเสพอย่างเดียวน่ะมันมีโทษหลายอย่าง คราวนี้ท่านจะมีบรรยายแล้วไอ้โทษสุขจากเสพ เช่นเป็นสุขจากพึ่งพาเป็น สุขที่เบียดเบียนกัน เป็นสุขที่ไม่รู้จักพอ เป็นสุขที่เบื่อได้อะไรต่างๆ เหล่านี้นะ ก็พรรณนาบอกว่ามันดีหรอกแต่ว่ามันไม่พอนะ มันต้องดีขึ้นไปกว่านี้ อย่างที่พระพุทธเจ้าเทศน์ อนุปุพพิกถา ไง เทศน์เป็นลำดับ ทาน สีล สัคค กามาทีนว บอกเออ อย่าเอาแต่หา อย่าเอาแต่ตัวเบียดเบียนคนอื่นนะ การรู้จักให้ปันมันก็ทำให้เกิดความสุขได้ เนี่ยธรรมะในพุทธศาสนาก็เริ่มที่ทานเพราะอะไร เพราะคนเนี่ยมันเอาก่อนใช่ไหมมันมุ่งที่จะเอา ตอนแรกก็เพื่อให้เอาตัวรอด ทีนี้ต่อมามันเอาตัวรอดไม่พอ มันไม่รู้จักพอมันก็เลยเบียดเบียนคนอื่น ท่านก็เลยบอกว่าจะเอาอย่างเดียวไม่ได้นะต้องให้บ้าง เพราะฉะนั้นธรรมะในพุทธศาสนาข้อแรกที่ตั้งขึ้นมาก็คือ ทาน เห็นไหม ไม่ว่าอะไรหมวดไหนขึ้นทานทั้งนั้น พระราชาทศพิธราชธรรมก็ขึ้นทาน พระโพธิสัตว์บำเพ็ญบารมี ก็ทานบารมีอันดับหนึ่ง สำหรับชาวบ้านทั่วไป บุญญกิริยาวัตถุ10 ก็ขึ้นทานก่อน จัดเป็นสามก็ทานก่อน บอกมนุษย์ให้ดุลย์ไว้นะ อย่าเอาอย่างเดียวต้องให้ไว้บ้าง แล้วจากการให้เนี่ยคุณก็สามารถมีความสุขได้ แล้วจะเป็นการพัฒนาจิตใจแล้วจะเกิดการพัฒนาแบบที่สอง พอเราให้ทานแบ่งปันเนี่ย ไม่ใช่ให้แบบที่ยั่วยุให้อยากจะได้ผลอานิสงส์จะได้ไปเกิดเป็นใหญ่เป็นโต แล้วอันนั้นก็เขวอีกแล้วใช่ไหม นี่มันทำให้กลายเป็นว่ายิ่งเพิ่มตัณหา มันต้องเอาทานนี่มาฝึกในการที่จะให้เลื่อนขึ้นไปในความต้องการแบบที่สองเป็นฉันทะใช่ไหมฮะ ทีนี้พอเราให้ทานนี่แบ่งปัน เอ่อมนุษย์นี่อย่าเอาอย่างเดียวนะต้องให้บ้าง ทำไมเราต้องให้ล่ะ คนอื่นเค้าก็ต้องการแล้วคนอื่นมีทุกข์เดือดร้อนถ้าเราขืนเอาแต่ได้ใครมีโอกาสดี ใครมีกำลังก็เอาอย่างเดียว ไอ้คนที่ไม่มีกำลัง ไม่มีโอกาสก็ทุกข์เดือดร้อนเนี่ย เห็นใจเขาแล้วก็ให้เกิดเมตตากรุณา พอเกิดเมตตากรุณาก็เกิดอยากเห็นคนอื่นเป็นสุขบอก คุณมีลูกไหม มีๆ ก็อยากให้ลูกเป็นสุขใช่ไหม ลูกเป็นสุขเราก็เป็นสุขด้วยนะ บางทีเราต้องยอมเสียสละให้แก่ลูก ลูกเป็นสุขเห็นเขาเป็นสุขเราก็เป็นสุขด้วย อ้าวอย่างนี้เป็นต้น
ถ้าเราเห็นเพื่อนมนุษย์เป็นอย่างนี้นะ อยากให้เขาเป็นสุข มีเมตตามีไมตรี มีกรุณาอยากให้เขาพ้นทุกข์เนี่ย พอเรามีความอยากอันเนี้ยที่เป็นคุณธรรมเนี่ย เป็นความที่อยากให้เขาดี เขาเป็นสุข อยากให้ต้นไม้งาม อยากให้คนหน้าตาสดใส อยากให้เด็กร่างกายแข็งแรง อยากอย่างนี้เป็นฉันทะ พอ อยากอย่างนี้ๆ พอมีต่อคนมันเป็นเมตตา มีต่อต้นไม้ก็เป็นฉันทะเมื่อกี้ไง เราอยากให้ต้นไม้นี้งามสดใสแข็งแรง ดอกสวย สะพรั่งมีผลดกอะไรเนี่ย อยากอย่างนี้ก็เป็นฉันทะ ทีนี้ไอ้ตัวฉันทะนี่มามีต่อคนก็คืออยากให้คนนี่หน้าตาดี หน้าตาสมบูรณ์ร่างกายแข็งแรง สดใสก็กลายเป็นเมตตา อันเดียวกัน เข้าใจไหมฮะ ฉันทะเนี่ยพอมีต่อคนมันเป็นเมตตาทำไมท่านเรียกเมตตา เพราะต่อคนท่านต้องการแยกเยอะให้ละเอียด วัตถุสิ่งของนี่เอาแค่ฉันทะตัวเดียว แต่ทีนี้พอมากับคนนี่แยกเยอะเลย เพราะว่าคนนี้เราต้องสัมพันธ์กันมาก ใกล้ชิดเกี่ยวข้องกันตั้งแต่ในครอบครัวเลย ท่านก็แบ่งเป็นสถานการณ์เลย สถานการณ์ที่หนึ่งเราก็อยู่เป็นปกติ เราก็อยากให้เค้าดีมีความสุข อยากให้เค้าหน้าตาเอิบอิ่ม ผ่องใส มีความสุขอย่างนี้เรียกว่าเป็นเมตตา ถ้าเค้าเกิดตกทุกข์เดือดร้อนเราก็อยากให้เขาพ้นจากทุกข์นั้นขึ้นมาเรียกว่า กรุณา แล้วเค้าได้มีความสุขความสำเร็จแล้วเราก็สนับสนุนส่งเสริม พลอยยินดีด้วยเรียกว่า มุทิตา นี่สำหรับมนุษย์ก็เลย ฉันทะมาแตกเป็นสามสถานการณ์ นี่แหละครับ พวกเมตตา กรุณาเป็นฉันทะเป็นความต้องการฝ่ายกุศล ทีนี้ท่านก็บอกว่าเนี่ย เราจะต้องมาพัฒนาความต้องการฝ่ายกุศลขึ้นมา พอเราพัฒนาความต้องการฝ่ายกุศลนี้ เราก็จะมีการสนองความต้องการอันนี้เราก็จะมีความสุขจากมันหมดเลย ทีนี้เราต้องการสุขจากเสพนะ เราทำอะไรทุกข์หมด เชื่อไหม เพราะว่าเราต้องการรับบำเรอผัสสะ จะได้อะไรมาเสพล่ะทีนี้ ตอนเสพจึงจะเป็นสุขมันมีเงื่อนไขว่า ถ้าไม่ได้ทำก็ไม่ได้เสพไม่มีของให้เสพ ใจไม่อยากจะทำเลย อยากจะเสพอย่างเดียวแต่มันมีเงื่อนไขว่ามันยังไม่มีเสพ แล้วก็เขาก็ไม่ยอมให้ไปทำร้ายคนอื่นด้วย แย่งเขาก็ไม่ได้ ขโมยก็ไม่ได้ เงื่อนไขเกิดขึ้นแล้วต้องไปทำงาน ก็ไปทำงานก็เพียงเพื่อจะได้มาเสพ ตอนนี้มันไม่ได้อยากทำ มันไม่อยากเห็นผลสำเร็จของงานนั้นหรอกอยากได้ไอ้ตัวเนี้ย สิ่งตอบแทนมาเสพเท่านั้นเลย มันก็เลยทำด้วยความทุกข์น่ะ ถ้าหากว่าเรามีแต่ตัณหาการกระทำเป็นความทุกข์ เพราะการกระทำนั้นมันไม่ได้เกี่ยวเป็นเหตุเป็นผลอะไรกับไอ้การเสพความสุขของเราการสนองความต้องการของเรา แต่ทีนี้ถ้าหากว่าเราอยากไปเห็นต้นไม้งามแล้วเราไปทำให้มันงาม ได้สนองความต้องการอันนั้น การกระทำของเราเป็นเหตุเป็นผลโดยตรงกับจุดหมายความต้องการของเราคือ ต้นไม้งาม เวลาเราทำไปเราจะเห็นว่า เอ่อ ตอนนี้ต้นไม้มันดีขึ้นแล้ว อะไรความสำเร็จใกล้เข้ามาเนี่ยจะเป็นสุขตลอดเลยเพราะฉะนั้น การกระทำที่สนองฉันทะนี่เป็นสุข ทีนี้จะทำได้ไง ต้องเรียนรู้ ต้องหาความรู้ การหาความรู้ก็เป็นสุขอีก นี่ละครับกระบวนการของฉันทะเพราะฉะนั้นท่านก็ให้การศึกษาบอกเนี่ย คุณจะอยู่แค่เสพ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ผัสสะไม่ได้นะ สนองตัณหาแล้วคุณก็ต้องสุขเมื่อต้องเสพอย่างเดียว ทีนี้ก็พัฒนาความต้องการฝ่ายฉันทะขึ้นมา ฝ่ายกุศลคราวนี้ละก็เดินหน้าเลยครับ ก็อย่างที่ว่าการกระทำก็เป็นสุข เป็นการกระทำที่สร้างสรรค์ มีจุดหมายที่ชัดเจน แล้วทำด้วยความขยัน เอาจริงเอาจัง เพราะมันไม่ใช่ทำเพราะเงื่อนไขใช่ไหม ถ้าทำเพราะเงื่อนไขมันไม่เต็มใจทำ มันก็หาทางเลี่ยงอะไรต่ออะไรไปมันก็ยุ่งนะฮะ เอาละครับหนึ่งการกระทำก็เป็นสุข แล้วการหาความรู้เพื่อให้ทำได้นั้นก็เป็นสุขหมดเลย นี่คือการพัฒนคนที่แท้ ทีนี้ท่านก็ให้พัฒนาฉันทะขึ้นมา คุณก็จะมีทางหาความสุขเพิ่มขึ้น แต่ก่อนนี้คุณต้องเสพอย่างเดียวจึงจะสุข ต่อไปนี้คุณมีสุขจากการให้แก่ผู้อื่น พอให้แก่ผู้อื่นเห็นเขาหน้าตาดีใช่ไหม เพราะเราเมตตารักอยากให้เขามีความสุขนี่ เราให้ด้วยความปรารถนาดีมีฉันทะ มีเมตตาอยากให้เขาเป็นสุข ให้ไปแล้วเห็นเขาเป็นสุขก็เป็นสุขด้วย กลายเป็นว่าเราเอาความสุขของเราไปผูกกับเขา เราจะสุขต่อเมื่อเห็นเขาเป็นสุข เหมือนกับเราจะเป็นสุขต่อเมื่อเห็นลูกเป็นสุขน่ะอย่างนี้เป็นต้น ทีนี้รักเพื่อนมนุษย์ก็ขยายออกไปอย่างนี้ ความสุขมันก็ขยายขอบเขต ขยายมิติออกไป สุขจากการเห็นธรรมชาติแวดล้อม สุขจากการทำให้สิ่งเหล่านั้นดีงาม ให้ถนนหนทางบ้านเรือน วัดวาอารามมันน่ารื่นรมย์ เราก็อยากจะเห็นประชาชนมีความสุข แล้วประชาชนก็จะมีความสุขได้เพราะมาเห็นต้นไม้ วัดนี่รื่นรมย์ เอ่อเราก็ต้องทำวัดให้น่ารื่นรมย์เพื่อให้เขามีความสุข มันเป็นเนื่องกันหมดเลย เราทำเราก็มีความสุขด้วย ท่านบอกว่าวิธีทำให้ปราโมทย์อันหนึ่งเนี่ย
อ้าวอันนี้ก็มาถึงพระใหม่ ท่านสอนพระใหม่เลยนะฮะ ท่านบอกเนี่ยพระใหม่ให้ทำใจเหมือนพระจันทร์ว่างั้นนะ พระจันทร์ก็เดินไปในเวหาส่องแสงสว่างเนี่ยแล้วก็ช่วยให้มนุษย์มีความสุขได้เห็นแสงสว่าง เราก็ทำใจเหมือนพระจันทร์มีความปรารถนาดีต่อญาติโยมประชาชน แต่ว่าพระจันทร์น่ะเขาไม่ได้มีจิตใจล่ะนะ แต่หมายความว่าอุปมา ถ้าอย่างนั้นพระจันทร์เนี่ยท่านผ่องใสแล้วท่านก็โคจรไปให้ความสว่างแก่ประชาชน พระนี่ก็ให้ทำใจเหมือนพระจันทร์ เราก็ปรารถนาดีต่อญาติโยมขอให้ญาติโยมเป็นสุข แล้วเราก็จารึกไปบิณฑบาตร อะไรต่างๆ เหล่านี้ ตั้งใจดีงามอย่างนี้ใจเราก็จะปราโมทย์ด้วย แล้วก็เจริญในกุศลแล้ว ก็ทำให้โยมพลอยมีความสุขไปด้วย ต้องพัฒนาอย่างนี้หลักในทางพุทธศาสนาก็เลยว่า วางหลักการต่างๆ เพื่อพัฒนามนุษย์ในแนวนี้พัฒนาไปในแนวของฉันทะ ไม่พัฒนาแนวตัณหา ตัณหาคุม แต่ว่ามาพัฒนาฉันทะขึ้นไป นี่แหละระบบฉันทะก็มาหมดเลยไตรสิกขาอะไรต่ออะไรเนี่ยก็มาสนองความต้องการในเรื่องฉันทะเนี่ยแหละ พัฒนามนุษย์นี่ก็เป็นวิธีพูดอีกอย่างหนึ่งก็คือเรามาเน้นที่ความต้องการ เพราะฉะนั้นระบบสังคมพระพุทธศาสนานี้ก็เลยว่าเป็นการวางหลักแล้วก็มาบัญญัติแม้แต่กฎหมายวินัยก็จะมาสนองความต้องการนี้ เราจะเห็นว่าการวางกฎหมายระบบนิติธรรมเนี่ย มันมาจากพื้นฐานนี้เลย ตั้งแต่ความเข้าใจมนุษย์และก็การวางระบบสังคมว่าจุดหมายของมนุษย์คืออะไร สังคมที่ต้องการคืออะไร เนี่ยกฎหมายมันบอก มันฟ้องหมดเลย ทีนี้เอาละเราก็จะเห็นว่ากฎหมายของพุทธศาสนาที่เรียกวินัยกับกฎหมายระบบปัจจุบันไม่เหมือนกัน แล้วถ้าสำนึกอันนี้จะมาคิดกันใหม่ว่าจะเอาอย่างไรกับระบบกฎหมาย ระบบกฎหมายก็คือวินัยกฎหมายเนี่ยมักจะเน้นแง่ลบก่อน ใช่ไหมเพราะคนมันสนองความต้องการตัณหานี่ มันจะเอานั่นเอานี่ ถ้าตัวเองจะเอามันก็เบียดเบียนคนอื่น มันก็ไปทำลายโน่นทำลายนี่เห็นแก่ตัวก็ต้องบัญญัติโน่นทำให้ได้ ไอ้นี่ทำไม่ได้กันกันใหญ่ แม้แต่ทางระบบกฎหมายแพ่งก็ต้องกันกันไม่ให้ไปละเมิดคนอื่น เพื่อแสวงหาอะไรต่ออะไร แต่ว่าอีกอันหนึ่งก็คือให้กิจการพาณิชย์เศรษฐกิจดีอะไรต่างๆ ก็อาจจะมีกฎหมายเชิงบวก ในเชิงเร้าส่งเสริมตัณหาอยู่นั่นแหละ
ทีนี้มาดูพุทธศาสนา แนวคิดพื้นฐานก็เป็นอย่างที่ว่า ถือว่ามนุษย์เนี่ยมีธรรมชาติที่พัฒนาได้ เป็นสัตว์ที่ฝึกได้ เริ่มตั้งแต่มีความต้องการที่พัฒนาได้แล้วเขาจะพัฒนาทุกอย่าง แม้แต่ความสุขก็จะพัฒนาเปลี่ยนแปลงไปเยอะเยอะความสุขไม่ใช่มีอย่างเดียว เพราะฉะนั้นก็พัฒนาทุกอย่าง ฉะนั้นเมื่อพัฒนามนุษย์เนี่ย พระพุทธเจ้าจัดตั้งสังฆะขึ้นมาแน่นอนเขาต้องการอยู่แล้ว เขาอยากจะมาพัฒนาตัวมาเจริญไตรสิกขานั่นแน่นอน แต่ว่าในแง่สังคมก็ต้องจัดวางระบบสังคมชุมชน ให้มันเอื้อต่อการที่คนจะพัฒนาตัวเพราะฉะนั้นวินัยในพระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าก็ทรงมีในพระทัยก็คือ วางกฎเกณฑ์กติกา เพื่อสร้างสภาพเอื้อต่อการที่บุคคลนั้นจะพัฒนาตัว พัฒนาชีวิตของเขา ถ้าพูดด้วยภาษาเป็นรูปธรรมมากขึ้นก็คือ สร้างสภาพที่เอื้อต่อการเจริญไตรสิกขา ก็คือให้มนุษย์พัฒนาตัวเองได้ดี เจตนาจะอยู่ที่นี่ แล้วทีนี้ถ้าเรามองกว้างไปถึงระบบสังคมทั้งหมด ก็คือพุทธศาสนาก็เท่ากับยอมรับมนุษย์ ว่ามนุษย์เนี่ยอยู่ในระดับการพัฒนาไม่เท่ากัน พอเกิดมาตอนแรกก็จะเน้นหนักไปทางตัณหา มนุษย์ที่ยังไม่พัฒนาก็ต้องยอมรับเขาต้องให้เขาอยู่ได้แต่อย่าให้เบียดเบียนกันอย่างที่ว่า เช่นว่าวางศีล5ไว้กันไว้ก่อน เป็นกรอบต่อไปคุณอย่าหยุดนะพัฒนาตัวไปแล้วคุณจะเจอสิ่งที่ดีงาม ประโยชน์ที่ยิ่งใหญ่กว่านี้มีความสุขที่สูงขึ้นไปด้วย ก็จัดวางรูปสังคมที่เหมาะแก่ระดับการพัฒนาหรือเหมาะแก่มนุษย์ที่มีการพัฒนาสูงขึ้นไปเป็นระดับๆ นั้น ตอนนี้สังคมก็จะต้องจัดให้เหมาะเพราะฉะนั้นสังคมก็จะไม่เป็นรูปแบบเดียว แต่ก่อนนี้เคยคนพูดคือเค้าไม่เข้าใจเค้าก็นึกด้วยความคิดแบบนั้นน่ะ เมื่อ40-50 ปี เคยมีคนพูดอ้าวแล้วถ้าคนมาบวชพระหมด แล้วโลกจะอยู่ได้อย่างไรว่างั้นนะ เอ่อตอนนั้นก็ทำเอาพระลำบากเหมือนกัน พุทธศาสนานี่สอนอย่างไรเนี่ยจะให้คนมาบวชกันเนี่ย แล้วคนมาบวชหมดแล้วโลกมันจะอยู่ได้อย่างไร ตอบอย่างไรล่ะ บอกไม่ต้องไปตอบหรอก คุณมันเป็นไปไม่ได้หรอกมนุษย์ ท่านไม่ได้บังคับให้ใครมาบวช บวชด้วยสมัครใจ แล้วก็มีระบบชีวิตอย่างนี้ไว้ สนองความต้องการคนที่พร้อมคนที่ต้องการ ทีนี้เราก็ต้องมีเรื่องสภาพชีวิต วิถีชีวิตที่เอื้อต่อการอยู่ดี สนองความต้องการของมนุษย์ที่อยู่ในระดับการพัฒนาที่ไม่เหมือนกันเนี่ย เพราะฉะนั้นสังคมแบบพุทธมันจะเป็นแบบนี้ สังคมที่มีความหลากหลายที่เน้นความแตกต่างในระดับการพัฒนาของมนุษย์ เราจะให้คนเนี่ยเป็นพระอรหันต์หมดทั้งสังคมไม่ได้ เพราะจิตใจเขาไม่ถึง ถ้าเค้ายังไม่เป็นพระอรหันต์จิตเค้ายังไม่เป็นพระอรหันต์เราจะมาบังคับให้เขาอยู่อย่างพระอรหันต์ได้ไหม ไม่ได้นะ ต้องให้เขาพร้อม ก็เลยต้องจัดระบบสังคมที่มันสนองความต้องการที่หลากหลายได้ อันนี้มันก็เลยกลายเป็นว่าความคิดพื้นฐานก็คือว่า การจัดวางระบบสังคมก็ตาม การจัดกติกา วินัย กฏหมายเนี่ยจะต้องเอื้อต่อการพัฒนามนุษย์ คือสร้างสภาพเอื้อ สิ่งแวดล้อมระบบสังคม ระบบความสัมพันธ์วิถีชีวิตที่มันเอื้อต่อการพัฒนาขึ้นมา ส่วนการสนองความต้องการในระดับต่างๆ นั้นก็ว่าไปอีกชั้นหนึ่ง อันนั้นเป็นเหมือนตัวรอง ตัวยืนก็คือมีในใจก่อนว่า เราจะจัดวางกฎหมายเป็นต้นอย่างไร เพื่อจะให้เกิดสภาพเอื้ออันนี้ อันนี้ก็จะเป็นแบบในสังคมที่ว่า แต่ว่าสังคมแบบของเขาเราจะเห็นว่าเค้าไม่มีอันนี้ คือการวางกฎหมายบัญญัติอะไรในสังคมเนี่ย ไม่มีในใจเรื่องว่าการสร้างสังคมให้เป็นสภาพเอื้อต่อการที่บุคคลหรือมนุษย์แต่ละคนจะพัฒนาตัวเองขึ้นไป สู่ประโยชน์สุขหรือจุดหมายที่สูงขึ้นไป อันนี้ไม่มีเลย ก็เลยว่ามีอันเดียวที่ว่านึกว่ารูปแบบสังคมที่ต้องการก็คืออย่างงี้ สนองความต้องการให้มันมีความสุขกันทั่วทุกคนตามต้องการของตัวเองปัจเจกชนอะไรเนี่ย ก็เอากันเข้าไปสิกันอยู่นั่นนะ ไปไม่รอดความคิดอย่างนี้ไม่มีการศึกษามันก็กลายเป็นไม่ชัด การศึกษาก็ไม่ชัดว่ามาสัมพันธ์กับระบบสังคมทั้งหมดอย่างไร ก็กลายเป็นว่าไปๆ มาๆ การศึกษาสนองความต้องการของระบบเศรษฐกิจและสังคม ระบบการเมืองอะไรในขณะนั้น เช่น อย่างที่บอกว่าเป็นทรัพยากรมนุษย์อะไรเนี่ยในช่วงที่แล้วพัฒนาทรัพยากรมนุษย์อะไรเนี่ย เดี๋ยวนี้ก็ยังพูดมากเวลาผมฟังดูนักการเมือง เป็นรัฐมนตรี หรือเป็น สภา ส.ส. จะพูดกันอย่างงี้ เดี๋ยวนี้ก็ใช้ว่า การศึกษาเพื่อจะพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ก็มองมนุษย์ในแง่เป็นทรัพยากรก็จะได้เป็นกำลังการผลิตที่ดี เป็นการผลิตอย่างได้ผล แม้แต่มองคุณภาพทางจิตใจก็มองแต่ในแง่ว่า ให้มีสมรรถภาพ มีประสิทธิภาพในการผลิตไปมุ่ง Productivity ทำนองนี้ นี่ละครับความต่างพื้นฐานเลย เพราะฉะนั้นจะต้องจับอันนี้ให้ได้ จับเรื่องของระบบความคิดเป็นฐานก่อน
ทีนี้สังคมตะวันตก มุ่งที่จะสนองความต้องการของปัจเจกชน เท่าที่ไม่ละเมิด เบียดเบียนผู้อื่น แล้วก็ความสัมพันธ์กับธรรมชาติเดิมก็คือว่า มองรวมก็ถือว่ามนุษย์นี่ถูกจำกัดอิสรภาพ เสรีภาพ เพราะธรรมชาติเนี่ยมันไม่เอื้ออำนวยตามต้องการของมนุษย์ ยิ่งประเทศหนาวนี่ชัดเลย พอหน้าหนาวก็ทำอะไรไม่ได้จะกินจะอยู่ลำบากไปหมด แม้ทั่วโลกก็จะหว่านข้าว จะทำพืชไร่ไถนาอะไรก็ต้องขึ้นต่อฤดูกาลฝนฟ้า มนุษย์รู้สึกว่าถูกบีบคั้นเหลือเกินถูกจำกัด มนุษย์ไม่มีอิสรภาพไม่มีเสรีภาพธรรมชาติเนี่ยเป็นตัวที่มาจำกัดเรา เพราะฉะนั้นก็เลยเกิดแนวคิดพิชิตธรรมชาติ ต้องเอาชนะธรรมชาติ แนวคิดพิชิตธรรมชาติก็เกิดตั้งแต่สมัยกรีก อริสโตเติล เพลโต โซเครติส มีแนวคิดแบบนี้หมด จนกระทั่งมีลัทธิคอมมิวนิสต์เกิดขึ้นก็สนองแนวคิดนี้ แนวคิดเดียวกันหมดเลย ต่างกันเหมือนกับตรงข้าม สังคมนิยมคอมมิวนิสต์กับเสรีประชาธิปไตยที่จริง ความคิดฐานลึกลงไปกว่านั้นอันเดียวกันก็เป็นวัตถุนิยมด้วยกันทั้งคู่ แล้วก็มาจากฐานที่จะเอาชนะธรรมชาติ เค้ามีแนวคิดที่เค้าเรียกว่า Conquest Of Nature หรือ Mastery Of Nature หรือ Dominion Over Nature ต้องครอบครองเป็นใหญ่เหนือธรรมชาติ เอาชนะพิชิตมัน แนวคิดนี้แหละครับเป็น ฐานของความเจริญของอารยธรรมตะวันตกทั้งหมด มาประมาณเกือบสามพันปี 2600 ปีอะไรเนี่ย แต่ว่ามันมาชะงักตอนยุคสมัยกลางของยุโรปประมานหนึ่งพันปี อันนั้นสะดุดเพราะว่าคริสต์เป็นใหญ่ แล้วพอเรเนสซองต์ก็พื้นแนวคิดกรีก โรมันโบราณขึ้นมา ก็มาพัฒนาวิทยาศาสตร์ก็ขึ้นใหญ่เลย วิทยาศาสตร์นี่ก็คือความเจริญที่สนองแนวคิดพิชิตธรรมชาติของตะวันตก
แล้วเค้าก็คุยอย่าง Encyclopedia Galactica เขียนไว้เลยนะ ในเรื่องหนึ่ง ประวัติศาสตร์ History Of Science ก็พูดถึงว่าแต่ก่อนนี้ตะวันตกเนี่ยล้าหลังตะวันออกในด้านของความเจริญที่เรียกว่าวิทยาศาสตร์ แต่ด้วยความคิดที่ว่าจะพิชิตธรรมชาติเอาชนะธรรมชาติ ทำให้ตะวันตกสามารถแซงล้ำหน้าตะวันออกไปได้ ในการที่สร้างความเจริญแบบยุคใหม่ ที่เอาแนวคิดวิทยาศาสตร์มาล้วงความลับ วิทยาศาสตร์คือ ความหมายหนึ่งคือล้วงความลับธรรมชาติ มาสนองแนวคิดที่จะพิชิตธรรมชาติเพราะว่าเราจะกำจัดศัตรูก็ต้องไปรู้ความลับของเขาก่อน ได้ความลับมาก็เอามาจัดการ มาวางแผนมาคิดว่าทำไงจะจัดการกับธรรมชาติเอามารับใช้ สนองความต้องการของเราได้เนี่ย ก็เลยกลายเป็นว่า หนึ่งมองมนุษย์แยกต่างหากจากธรรมชาติ สองมองธรรมชาติเป็นปฏิปักษ์ สามคิดในทางทำลายเบียดเบียนครองครอง เพราะฉะนั้นความสำเร็จของมนุษย์ก็คือต้องชนะธรรมชาติ เขาก็ยกมาให้ดู แนวคิดของฝรั่งทั้งฝ่ายเสรีนิยม ทั้งคอมมิวนิสต์ เดคาร์ตส นี่ก็ว่ารุนแรงมากต่อธรรมชาติ และก็ของพวกคอมมิวนิสต์คนหนึ่งก็แรงมาก บอกว่าต่อไปธรรมชาติจะเป็นเหมือนขี้ผึ้งในกำมือที่มนุษย์จะปั้นให้เป็นอะไร นี่บอกด้วยอาศัยความเจริญทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ลองไปอ่านดูพวกเนี้ย ไปดูใน เดคาร์ตส นี่ก็ชัดเลย เดคาร์ตส นี่เล่นงานธรรมชาตินี่รุนแรงมาก เดคาร์ตส ก็ถือเป็นบิดาของวิทยาศาสตร์สมัยใหม่เลยนะ เอาละครับเนี่ยเค้าคิดมาอย่างเนี้ย เค้าก็เลยจัดการกับธรรมชาติตามชอบใจ ไม่คิดเลยว่ามันจะเกิดปัญหาทีหลัง ความเจริญของตะวันตกก็มาอย่างเงี้ย หนึ่งต้องพัฒนาวิทยาศาสตร์อาศัยวิทยาศาสตร์เป็นฐานก็มาพัฒนาเทคโนโลยี เทคโนโลยีเจริญขึ้นก็พัฒนาอุตสาหกรรมได้ อุตสาหกรรมต้องพึ่งพาเทคโนโลยี พออุตสาหกรรมพัฒนาได้ดี อุตสาหกรรมก็เอาธรรมชาติมาเป็นวัตถุดิบ และก็ผลิตออกมาก็เกิดความเจริญทางเศรษฐกิจ ถูกไหม วิทยาศาสตร์เทคโนโลยีอุตสาหกรรมเพื่อเศรษฐกิจ เศรษฐกิจก็คือเมื่อมีวัตถุเสพ มนุษย์ก็จะได้มีสุขจากเสพสมปรารถนา เมื่อไหร่มีวัตถุเสพบริโภคพรั่งพร้อมบริบูรณ์เมื่อนั้นมนุษย์ก็เป็นสวรรค์เท่านั้นแหละ นี่ก็คือความฝันของตะวันตก เอาละครับ อารยธรรมตะวันตกก็มาอย่างงี้จนกระทั่งมา ค.ศ. 1960 กว่า อเมริกานี่เกิดความตระหนักรู้ปัญหาสิ่งแวดล้อมเสื่อมโทรมที่จริงมันเกิดมานานแล้ว แต่ทีนี้ตอนนั้นมันหนักหนาจนกระทั่งว่า มันเด่นชัดขึ้นมา โอ้โห นี่แย่แล้ว พวกแม่น้ำ พวกอะไรต่ออะไร น้ำจะเสียกันใหม่ สิ่งโสโครก ขยะที่มนุษย์ทำลงไป ตอนนี้เริ่มตื่นตัว ค.ศ. 1950 กว่าแล้วจากนั้นรัฐบาลอเมริกันก็ตั้ง พวกสำนักงาน องค์กร ส่วนราชการขึ้นมาจัดการกับปัญหาสิ่งแวดล้อม ค.ศ.1960 กว่าน่ละครับ เริ่มตื่นตัวเรื่องนี้ แล้วพอ ค.ศ. 1972 ก็เป็นปีแรกที่มีการประชุมระดับโลก ตอนนั้นก็หมายความว่า อเมริกันก็แพร่ความคิด ความตื่นต่อภัยอันตรายของสิ่งแวดล้อมเสื่อมโทรม ปัญหาก็มีสองอัน หนึ่ง Depletion of Natural Resource การร่อยหลอของทรัพยากรธรรมชาติ แล้วก็เนี่ย Pollution เรื่องมลภาวะเสื่อม ก็มีสองปัญหาหลักเนี่ย ก็เลยต้องหาทางแก้ปัญหา ก็มีการประชุมระดับโลกปี 1972 แล้วหาทางแก้ปัญหากันมา 1992 ก็ประชุม Earth Summit ประชุมสุดยอด ก็พยายามแก้ปัญหากันไปแล้วก็แก้ไม่สำเร็จ เวลาผ่านไปก็ยิ่งเสื่อมโทรมมากขึ้น นี่คือปัญหาที่เราต้องเอาพุทธศาสนาเข้ามาด้วยนะฮะ เรื่องนี้ถ้าเราใช้แนวคิดทางพุทธศาสนาเราจะเห็นทางหมดเลย ก็เป็นเรื่องใหญ่ที่พูดกันยาว แต่ละเรื่องๆ แต่เอาเป็นว่า ตะวันตกก็มุ่งไปในแนวเนี้ย ก็คือจัดการกับธรรมชาติ
พอเกิดปัญหาสิ่งแวดล้อมเสื่อมโทรมตอนนี้เค้าสะดุดบอกแนวคิดพิชิตธรรมชาตินี้ไปไม่ได้แล้ว เค้าก็ออกหนังสือพวกประเภทสิ่งแวดล้อม Environmentalism แล้วก็มีจริยธรรมสิ่งแวดล้อมด้วยนะ Environmental Ethics ก็เกิดขึ้นในยุคนี้ ก็เป็นจริยธรรมที่ทำให้จริยธรรมทั้งหลายพลอยสำคัญขึ้นมา เพราะมนุษย์ยุคปัจจุบันเนี่ยไม่เห็นความสำคัญของจริยธรรมแล้ว จริยธรรมนี่มันเป็นการกำจัดพฤติกรรมของมนุษย์ที่อยากจะสนองความต้องการของตัวเองนี่ เพราะฉะนั้นมนุษย์ตะวันตกจะมองจริยธรรมเป็นเรื่องฝืนใจหมดเลย เพราะว่าก็มันทำให้เราทำไม่ได้อย่างที่ชอบใจ ทำนั่นก็ไม่ได้ ทำนี่ก็ไม่ได้ ทีนี้ก็จริยธรรมเนี่ยก็ไม่เป็นวิทยาศาสตร์ด้วยในสายตาของตะวันตก เพราะว่าเขามาจากจริยธรรม เทวบัญชาพระเจ้าสั่งมา เอ้อเขาก็บอกว่าไม่จริงนะ พระเจ้าสั่งอะไรมนุษย์ว่ากันเอาเอง ก็เลยจริยธรรมก็เลยหมดความศักดิ์สิทธิ์ พอเกิดปัญหาสิ่งแวดล้อมขึ้นมา คราวนี้จริยธรรมได้รับความสนใจขึ้นมา อู้ย เรียนกันใหญ่ ความนี้จริยธรรมสิ่งแวดล้อมขยายไปเป็นจริยธรรมธุรกิจด้วย Business Ethics เกิดขึ้นอีก มหาวิทยาลัยต่างๆ เรียนกันใหญ่ว่าเจ้า Business Ethics มันโยงมาหาจริยธรรมสิ่งแวดล้อม ว่าทำอย่างไรให้การทำธุรกิจโดยเฉพาะทางด้านอุตสาหกรรม เค้าเรียกว่าธุรกิจอุตสาหกรรมนะ ใช่ไหม เค้าเรียกอย่างนั้น ธุรกิจอุตสาหกรรมเนี่ยจะไม่เกิดปัญหาทำลายสิ่งแวดล้อม เพราะธุรกิจอุตสาหกรรมเนี่ยตัวร้ายที่สุด เพราะฉะนั้นก็ต้องเรียน Business Ethics อีก มหาวิทยาลัยต่างๆ ก็ตั้ง คอร์สพวกนี้กันใหญ่เลย และก็เกิดความสำคัญของจริยธรรมขึ้นมาเนี่ย เรื่องในโลกนี่มันยุ่งไปหมดน่ะ
อ้าวเป็นอันว่าความคิดตอนนี้ก็คือว่าต้องมองความสัมพันธ์กับธรรมชาติใหม่ หนึ่งไม่มองมนุษย์แยกต่างหากจากธรรมชาติอันนี้เค้าจะเน้นมากนะ ให้มองมนุษย์เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติไม่ให้มอง Separate From Nature แต่ให้มองเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ แล้วก็สองไม่ให้มองเป็นปฏิปักษ์ที่จะไปห้ำหั่นเอาชนะพิชิต แต่ว่าให้มองเป็นมิตร ตอนหลังนี่แม้แต่ผลิตภัณฑ์ต่างๆ นี่ก็เป็น Nature Friendly เคยได้ยินไหม เดี๋ยวนี้ก็ชอบออกกันมาอย่างนี้ เป็นมิตรต่อธรรมชาติเพิ่งจะเกิดยุคนี้นี่แหละ ก็พยายามกันไป ก็เป็นอันว่าเปลี่ยนแล้วแนวความคิดพิชิตธรรมชาติไปไม่ได้ การคิดแยกต่างหากจากธรรมชาติไม่ได้ ต้องมองเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติเป็นมิตรต่อกัน อะไรต่างๆ ให้อยู่อย่างกลมกลืนต่างๆ ก็หากันไป เนี่ยแนวคิดของตะวันตกก็แยก เค้าเรียกว่าแยกเป็นเสี่ยงๆไป ตอนนี้ก็ยังจับมารวมผสมกลมกลืนไม่ได้ ก็ยังหาทางกันอยู่ แต่รวมแล้วก็คือเนี่ย หนึ่งความสัมพันธ์ในระหว่างมนุษย์เองก็หาทางลงไม่ได้เพราะต้องอยู่ด้วยระบบแข่งขัน จึงจะสร้างความเจริญได้ แล้วมันก็เป็น Individualism ที่ปัจเจกนิยมก็ต้องขัดแย้งกัน เพียงแต่จัดการขัดแย้งอย่างไรที่จะไม่ให้มันเกิดความพินาศแก่ชีวิตและสังคม แล้วในแง่สังคมก็เป็นปัญหาแบบนี้ เมื่อแข่งขันมันก็ต้องแน่นอน ก็มองกันดีไม่ได้เป็นมิตรกันเต็มที่ไม่ได้นะ แล้วก็ปัญหากับธรรมชาติ ความสัมพันธ์กับธรรมชาติ ก็แปลกแยกที่ว่าเนี่ยที่เพิ่งจะหาทางเป็นมิตรเป็นพวกเดียวกันได้อย่างไร มันก็ฝืนใจอีกเพราะว่า มองมาถึงตรงนี้ก็คือ มันขัดกับแนวคิดเรื่องความสุขอีก ว่ามนุษย์ต้องการอย่างนี้ไม่รู้จักจบสิ้น ทำไงจะได้เสพ สนองความต้องการของบุคคล อ้าวไปให้ธรรมชาติอยู่คุณก็เสพไม่ได้เต็มที่ต้องงด ต้องเว้น ต้องยับยั้ง ยับยั้งชั่งใจจะไปเอาจากธรรมชาติหมดไม่ได้มันจะพินาศเราจะแย่ด้วย ยอมให้ธรรมชาติอยู่ก็เพราะเห็นแก่ตัวเอง ไม่งั้นตัวเองก็อยู่ไม่ได้ อ้าวทีนี้จะยอมให้ธรรมชาติอยู่ เราก็ต้องยับยั้งความสุขของตัวเองก็สุขไม่ได้สมใจอีก โอ้ตอนนี้ลำบากพิลึก พอสุขสมใจไม่ได้ ความที่อยากจะสุขจากเสพมันก็ยังแรง อยู่มันก็เลยยับยั้งจากธรรมชาติได้นิดหน่อยเท่านั้นเอง การรุกรานธรรมชาติมันก็ยังเป็นแนวใหญ่ กระแสใหญ่ของสังคมในปัจจุบันนี้ของโลกอารยธรรมนี้เพราะฉะนั้น ความเสื่อมโทรมของธรรมชาติแวดล้อมกันก็หนักลงไปทุกวัน ความสัมพันธ์กับธรรมชาติก็ไม่ดีความสัมพันธ์กับมนุษย์ด้วยกันก็ไม่ดี แล้วชีวิตของตัวเองก็หาดีไม่ เพราะไม่รู้จักพัฒนาความต้องการ ก็มีความสุขอยู่แบบเดียว ต้องสุขจากเสพอีก ฉะนั้นก็พอเสพไปๆ ก็เบื่อหน่ายอีก ไม่เพียงพอเป็นพระเจ้ามันธาตุราชอีก ผลที่สุดก็เหี่ยวเพราะไอ้ตัวต้องการสนองความต้องการ ไม่พอใช่ไหม เพราะว่าในที่สุดมันไปไม่รอดหรอก สนองความต้องการแบบนั้น พระเจ้ามันธาตุราชเป็นตัวอย่าง ในที่สุดจะเอาสวรรค์พระอินทร์ทั้งหมด ดาวดึงส์ทั้งหมด อ้าวไม่ได้ ก็เลยเหี่ยว เหี่ยว ในที่สุดก็แก่ แล้วก็เลยตาย เอานะ แล้วถ้ามีโอกาสก็มาคุยเรื่องนี้ต่ออีกหน่อย