แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ไฟล์ถอดเสียงนี้ยังไม่ได้ผ่านพิสูจน์อักษร นำขึ้นมาเพื่อช่วยในการศึกษาค้นคว้าของผู้สนใจ
ก็คุยกันต่อไป เรื่องที่ท่านอมิตาโทปรารภขึ้นมาเรื่อง โรงเรียนวิทยาลัยที่ยกพวกตีกันอะไรนี่ คืออันหนึ่งมันก็คือ ข้อสำคัญก็คือการขาดที่เรียกว่าจิตสำนึกต่อส่วนรวม คือ เรื่องของผลประโยชน์ส่วนรวมการสร้างสรรค์ประเทศชาติสังคมอะไรต่ออะไรนี่ไม่มี ไอ้ความคิดมันก็เลยมองแคบ มาอยู่แค่เรื่องส่วนตัว เรื่องระหว่างกลุ่มระหว่างพวก คือมองแค่นั้นมันไม่มองกว้างไปว่า โอ้เราเป็นส่วนร่วมจะต้องสร้างสรรค์สังคมประเทศชาติให้เจริญก้าวหน้าอะไรนะ ถ้ามันมีจิตสำนึกอันนี้อยู่นี่มันจะแก้อันนี้ไปได้เยอะ นี่ก็ไอ้พวกเครื่องแบบอะไรมันก็เลยมาแค่แยกกันระหว่างกลุ่มระหว่างพวก มันได้แค่พวกใช่ไหม มันไม่ได้ส่วนรวมที่กว้างออกไป เราก็ต้องเข้าใจเรื่องของความหมายของการมีเครื่องแบบมีเพื่ออะไรใช่ไหม มีเพื่อเตือนสำนึกว่าเราเป็นนักเรียน เป็นนักศึกษา หน้าที่ของนักศึกษาคืออะไร เมื่อเป็นอย่างนี้ ไอ้เครื่องแบบนี่เป็นเรื่องสมมติ เรื่องสมมติก็แล้วแต่ตกลงกันให้มันสื่อความหมายอย่างไรใช่ไหม ให้สื่อความหมายแบบอำนาจก็ได้ ให้สื่อความหมายแบบสำหรับเป็นเครื่องฝึกตน หรือสำหรับอ่อนน้อมถ่อมตนได้ทั้งนั้น เหมือนอย่างถ้าเราถือว่าจีวรเป็นเครื่องแบบของพระคล้าย ๆ อย่างนั้นเหมือนกันใช่ไหม พอนึกถึงปั้บ โอ้มองเห็นจีวรก็เกิดเรียกสมณสัญญานึกถึงความเป็นพระว่าจะต้องปฏิบัติตัวอย่างไรให้ถูกต้องอะไรนี่ใช่ไหม ไอ้นี่ก็คือความเป็นนักศึกษาก็ต้องบุกพ่วงกับไอ้ความหมายของเครื่องแบบว่า เครื่องแบบนักศึกษาก็คือเครื่องเตือนใจเราว่าต้องอันที่ 1 สำนึกในความเป็นนักศึกษาหน้าที่ในการศึกษาเล่าเรียน แล้วก็การปฏิบัติหน้าที่ ๆ เกี่ยวข้องการศึกษาเล่าเรียนที่จะให้ได้ผลจะต้องประพฤติตัวอย่างไรใช่ไหม แล้วก็ไปในทางนั้น แล้วก็ต่อไปก็การรักษาชื่อเสียงสถาบันไอ้จุดนี้ที่มันจะยุ่งตอนที่รักษาชื่อสถาบันนี่แหละที่มันจะมาพวกโน้นพวกนี้ใช่ไหม นั้นอย่างเพิ่งไปจุดนี้มาก ควรจะมาเน้นหน้าที่พื้นฐานก็คือว่าเครื่องแบบเป็นเครื่องเตือนใจให้นึกถึงหน้าที่เราแต่งตัวอย่างนี้เราต้องประพฤติปฏิบัติให้ถูกต้องตามฐานะตามหน้าที่ของเรา ต้องไปเน้นเรื่องการเล่าเรียนศึกษาแล้วคุณสมบัติของคนที่เล่าเรียนศึกษามีอย่างไงมันก็ไปโยงมันไปด้วยกัน แล้วก็พอมองไปถึงสถาบัน สถาบันแต่ระสถาบันก็มีฐานะมีวัตถุประสงค์มีภารกิจของตัวเอง เป็นสถาบันด้านไหน การช่าง หรือเป็นครู เป็นอะไรต่ออะไป เอ้าก็จะเชิดชูรักษาสถาบันของตัวเองก็ต้องทำให้สถาบันของตัวเองบรรลุวัตถุประสงค์ ทำบทบาทของสถาบันได้ผลดี ถ้ารักสถาบันเองก็ต้องทำให้สถาบันมีชื่อด้านนั้นใช่ไหม สถาบันการศึกษานี่บางแห่งก็ตั้งขึ้นมาเพื่อสอนวิชาอิเล็กทรอนิกส์ ถ้าเรารักสถาบันของเราหรือโรงเรียนของเราสถาบันนั้นก็ต้องสร้างผลงานทางอิเล็กทรอนิกส์ให้เด่นขึ้นมาในสังคม การที่เขาสร้างโรงเรียนไม่ใช่เพื่อจะให้ผู้สำเร็จการศึกษาไปมีอาชีพด้วยวิชาอิเล็กทรอนิกส์เท่านั้น แต่ว่าเพื่อจะให้มาช่วยกันสร้างความเจริญให้แก่ประเทศชาติในด้านอิเล็กทรอนิกส์ด้วย อันนี้เป็นส่วนที่สำคัญ นั้นถ้ารักสถาบันจริงก็ต้องทำให้สถาบันมีผลงานทางด้านอิเล็กทรอนิกส์หรือว่าผลิตผู้สำเร็จการศึกษาที่เก่งมีชื่อเสียงเชื่ยวชาญทางด้านอิเล็กทรอนิกส์กันจริง ๆ อย่างนี้แหละจึงจะชื่อว่ารักสถาบันจริง แล้วก็น่าภูมิใจอย่างถูกต้อง ดูสิประเทศของเราเนี่ยใช้เครื่องคอมพิวเตอร์กันมาเท่าไหร่กี่ปีแล้ว เราซื้อหมดเงินไปกับเครื่องคอมพิวเตอร์นี่เท่าไหร่ เวลานี้เราก็ได้แค่ตั้งโรงงานหรือเขาเข้ามาตั้งโรงงานผลิตชิ้นส่วนบางอย่างของเครื่องคอมพิวเตอร์ ยังไม่สามารถผลิตและพัฒนาเครื่องคอมพิวเตอร์ด้วยตนเอง นี่อะไรกันนี่มันน่าอายทั้งชาติ ควรจะมาตั้งใจพัฒนาประเทศชาติกันจริงจังไม่ใช่เป็นเพียงผู้บริโภคจะต้องเป็นผู้ผลิต เป็นผู้สร้างสรรค์ที่เก่งกล้าสามารถด้วย ไอ้งี้มันก็ไปกันได้ มันเก่งอะไรก็ไม่รู้ มันเก่งกันตีกันเฉย ๆ มองแคบนิดเดียวแหละ ก็เรียกว่าการศึกษามันเสียมาตลอดเลยมาตั้งแต่ฐานเลย ก็ต้องไปแก้จุดที่ 2 จุดที่ 1 ก็คือว่า ให้สำนึกในภาวะและหน้าที่ความเป็นนักเรียนนักศึกษา อันนี้ต้องมาที่ 1 จิตใจนี้แล้วก็ค่อยมาถึงสถาบัน ก็คือตอนนี้ก็ต้องมาพูดเรื่องความรักสถาบันที่ถูกต้อง เรียกว่าชื่อเสียงที่ดีของสถาบันคือชื่อเสียงอย่างไรใช่ไหม คุณต้องการรักษาเกียรติภูมิชื่อเสียงของสถาบัน แล้วอย่างนี้มันได้ชื่อเสียงหรือชื่อเสีย ก็ต้องมาถกให้มันชัด ก็อาจจะให้นักศึกษานี่มาถกกันด้วย ให้เขามีโอากาสมาพูดกัน นี้ในสถาบันบางสถาบันนี่มีปัญหาอีกอย่างก็คือการครอบงำ เช่นรุ่นพี่ใช่ไหม มันกลายเป็นว่าในสังคมประชาธิปไตยมันไม่มีประชาธิปไตยจริงอะไร มันใช้อำนาจครอบงำไปเลย แล้วอย่างนี้จะไปพูดอะไรกัน ครูก็ต้องเก่งจริงสิท่านี่ใช่ไหม ครูต้องมีความสามารถพอที่จะพูดให้นักศึกษานี่เชื่อถือ นั้นมันจึงขาดไม่ได้ในการพัฒนาครู ครูต้องมีคุณภาพจริง ๆ ต้องเก่งสร้างศรัทธาได้ เด็กเคารพยำเกรงเชื่อถือถ้าอย่างนี้มันไม่หลุดหรอก แต่ตอนนี้ก็ในที่สุดก็ไปอยู่ที่บทบาทครู เพราะว่ามันในหมู่นักศึกษาเองก็เอาไว้ไม่ไหวใช่ไหม เพราะมันมีแต่รุ่นพี่ก็จูงรุ่นไปน้องทางที่ไม่ดี มันก็ต้องมีครูนี่แหละ ทีนี้ถ้าครูก็กลายเป็นว่าไม่เป็นที่เชื่ออีกก็จบกัน ตอนนี้ปัญหานี้ด้วยหรือเปล่าว ปัญหานี้ด้วยไหมครับ เรื่องความเชื่อถือต่อครูนี่
คนฟังถาม ก็คือส่วนใหญ่ก็นักศึกษาจะมองไปว่า ถ้าครูที่พยายามลงมาคลุกคลีอย่างหนึ่ง ประธานมาเล่าด้วยจะไปเชื่อทางนั้น
พระตอบ ไอ้เชื่ออย่างนี้มันเชื่อใช้ไม่ได้ ไม่ได้เชื่อแบบเคารพ
คนฟังถาม มีปัญหาตรงที่อาจารย์คนไหนที่สอนอาวุธให้นักศึกษาตัวเอง นักศึกษากับเชื่อครับ แต่อาจารย์ที่ว่า เอ้ามาบอกอย่า อย่า อย่างนั้นนะมันเป็นเรื่องที่ไม่ดีนะ นักศึกษาก็แอนตี้ไม่สนใจคำพูดนั้น
พระตอบ อ้อก็ต้องยอมรับว่า เราก็ยังพัฒนาครูไม่พอ ความสามารถของครูในการที่จะสร้างความเชื่อถือโดยหลักการโดยความเคารพในทางความดีนี่มันไม่พอ เรายังไม่สามารถพัฒนาครูในขั้นนี้ครูที่จะต้องเป็นที่เคารพจริง มันต้องเคารพในคุณความดีใช่ไหมจึงจะมั่นใจ พูดแล้วก็เขายอมรับฟังไม่ใช่เชื่อแบบที่ว่าตามใจเขา หรือเชื่อแบบที่เป็นพวกกินเหล้าด้วยกันใช่ไหม ถ้าเชื่ออย่างงั้นก็ไม่ไหว ก็เหมือนอย่างในชนบทสมัยก่อน เช่นอย่างหลวงพ่อที่วัดนี่ ท่านก็เป็นอุปชาของหลายรุ่น คนในหมู่บ้านตั้งแต่รุ่นพ่อรุ่นลูกอะไรมาเรื่อย นี้ท่านก็ประพฤติตัวอยู่ในหลักไอ้ความเคารพพระมันขึ้นอยู่ต่อคุณธรรมการรักษาคุณความดีใช่ไหม เวลาท่านพูดอะไรนี่คนจะเชื่อฟังหมด ฉะนั้นเวลาเกิดเหตุร้ายเช่นอย่างทะเลาะกันมีงานวัด จะต่อยจะตีพอหลวงพ่อมานี่มันหยุดหมดเลย หลวงพ่อจะด่ายังไงก็ได้ใช่ไหม เชื่อฟังหมดไม่ต้องมีอาวุธมีอะไร นี่เดี๋ยวนี้กำลังจะหมดไป ไอ้สังคมมันต้องมีอันนี้อยู่ นั้นเมื่อสังคมมันขาดอันนี้ไปมันก็ไม่มีหลักไม่มีเครื่องเหนี่ยวรั้ง ก็รวมแล้วก็คือสังคมเวลานี้กำลังสูญเสียไอ้เรื่องสิ่งที่เป็นหลักเป็นเครื่องเหนี่ยวรั้งพอสมควร สถาบันอะไรต่าง ๆ ก็กำลังซวนเซกันไปหมด จุดนี้ที่เราพลาดมาก ขณะนี้ก็เหมือนว่า ไอ้ความมีจิตสำนึกต่อส่วนรวมอะไรนี่มันหายไปแทบหมดแล้ว มันก็ไม่เป็นเด็กนะ มันก็ผู้ใหญ่ด้วย ผู้ใหญ่เราก็ไม่ค่อยมีใช่ไหมจิตสำนักต่อส่วนรวมการเห็นแก่ผลประโยชน์ของส่วนรวมไม่ค่อยมี มันก็มองแต่ผลประโยชน์ตัวเอง แล้วก็มองอะไรแคบ ๆ เช่นรูปแบบ นี่เรามาทำเรื่องประชาธิปไตยเราไม่มีจิตสำนึกอันนั้นอยู่ มันก็สร้างสรรค์ประเทศชาติได้ยาก ก็อย่างเสรีภาพมันก็กลายเป็นโอกาสในการสนองความเห็นแก่ตัวไป คนจำนวนมากจะมองเสรีภาพในเชิงที่สนองความเห็นแก่ตัว เพื่อตัวจะได้ทำอะไรได้ตามปรารถนา มันไม่ใช่เสรีภาพเป็นช่องทางหรือโอกาสในการที่จะสร้างสรรค์ที่ทำหน้าที่ ๆ จะเสรีภาพนี่ก็เคยพูดแล้วว่ามันสอดคล้องกับหลักการของประชาธิปไตย ประชาธิปไตยนี่ต้องการให้ทุกคนมีส่วนร่วม การที่ทุกคนมีส่วนร่วมที่ดีที่จะช่วยให้สังคมนี่อยู่ได้ดี ก็คือว่าทุกคนมีศักยภาพ มีความสามารถ มีสติปัญญา ซึ่งทั้งในแง่ของการที่จะฝึกพัฒนาขึ้นไป แล้วก็ 2 เอาไปใช้ประโยชน์แล้วก็คือผลก็เกิดขึ้นกับส่วนรวมสังคมทำให้สังคมอยู่ได้ด้วยดี นี่เสรีภาพมันก็เลยเป็นช่องทางให้ 1 ก็แต่ละคนนี่สามารถ หรือมีโอกาสพัฒนาศักยภาพตัวเองให้เต็มที่ 2 ก็สามารถนำเอาศักยภาพของตัวเองนี่ไปเป็นส่วนร่วมในการสร้างสรรค์สังคมใช่ไหม หรือไปแสดงออกในการที่จะมาช่วยกันทำให้สังคมส่วนรวมนี่ดำเนินไปด้วยดี ถ้าเรามองอย่างนี้แล้ว มองก็มีความหมายคล้าย ๆ ว่า เป็นเชิงให้มากกว่า เป็นเชิงที่เราให้ไม่ใช่จะเอา นี่ของเราเวลานี้มันมองเสรีภาพนี้จะเอาใช่ไหม เสรีภาพเพื่อเอาเพื่อได้ แต่ความหมายที่แท้ของเสรีภาพในทางประชาธิปไตยนี่ ถ้าเข้ากับหลักการวัตถุประสงค์นี้มันจะเป็นไปเองในเชิงที่ให้มากกว่าที่จะเอา แต่ทีนี้เวลานี้มันก็มีความขัดแย้งกันในตัวระหว่างระบบเหมือนกัน ระบบทุนนิยม ระบบเศรษฐกิจ กับระบบสังคมการปกครองแบบประชาธิปไตย อันหนึ่งมันเน้นการเอาเพื่อตัวเอง อีกอันหนึ่งมันเน้นการที่จะไปมีส่วนร่วมสร้างสรรค์ แต่ว่าลัทธิเศรษฐกิจแบบนี้ เขาก็จะอธิบายในแง่ว่า เมื่อแต่ละคนนี่พยายามทำให้ได้ผลประโยชน์มาก ประโยชน์มันก็ไปเกิดแก่ส่วนรวมไปเอง เป็นไปเองโดยอัตโนมัติคล้าย ๆ อย่างนั้น นี่ก็เป็นแนวคิดทุนนิยมของอเมริกันด้วย แต่ว่าทำยังไงจะให้มันสอดคล้องกันด้วยดี ถ้าเรามองไปลึก ๆ สังคมแบบนั้นเขาก็ต้องมีไอ้เรื่องของการปลูกฝังความรับผิดชอบนี่เยอะใช่ไหม นี้การที่จะเอาเพื่อตัวเองอะไรต่าง ๆ นี้ก็ต้องเป็นไปตามกฎเกณฑ์กติกา นี่สังคมของเรานี่เหมือนกับว่าจะไปเอาของเขามา มันก็ไม่ได้จริง เหมือนอย่างที่พูดเมื่อวาน ขบวนการต่าง ๆ อย่างเรื่องของการแสดงความเห็น กล้าแสดงความเห็นก็ไปเอามาส่วนหนึ่ง มันไม่เต็มตลอดกระบวนการที่ว่ามันต้องมีกระบวนการหาความรู้เป็นเรื่องใหญ่นะ ซึ่งอันนี้เราจะขาดมาก ก็เลยนี่ที่ว่าไปเรื่องการขาดจิตสำนึกในส่วนรวมนี่ เวลานี้มันก็เลยเป็นไปทั่ว งั้นก็ไปติดเรื่องรูปแบบอะไรกันอยู่ หลักการที่แท้ก็ไม่ค่อยเห็น เนื้อหาสาระ วัตถุประสงค์ที่แท้ เหมือนอย่างเวลานี้นะ เขาพูดกันเรื่องปัญหา เรื่องจะตั้งกระทรวงพุทธศาสนา คือว่าเรื่องนี้เดิม เราอาจจะไม่เอาใจใส่ ไอ้เรื่องเขาจะตั้งกระทรวงพุทธศาสนาอะไรนี่นะ แต่ทีนี้พอได้ยินเขาเถียงกัน เอ้ทำไมเขาเถียงติดแต่เรื่องป้าย คล้าย ๆ กับว่าชื่อศาสนานั้น ชื่อศาสนานี้ ถ้าตั้งขึ้นมาแล้วศาสนาโน้นเขาจะไม่พอใจจะแตกแยกอะไรต่ออะไร เอ้ทำไมคนระดับบริหารประเทศชาติไปมัวติดอยู่แค่ป้ายชื่อ เอ้าแล้วเขาจะเรียกร้องมา คนเรียกร้องคิดยังไงก็แล้วแต่ แต่ว่ามองลึกลงไปมันมีอะไร มันเป็นสัญญาณเตือนอะไรหรือเปล่า แล้วก็เราลองมองในแง่ของผู้บริหารประเทศชาตินี่ก็คือทำงานเพื่อประโยชน์ของสังคม ประโยชน์สุขของประชาชน ก็ต้องมองที่เนื้องานว่าเรื่องนี้กิจการนี้เป็นเรื่องใหญ่มีความสำคัญแค่ไหน ปริมาณงานมากแค่ไหน ถ้ามองในแง่นี้นะ เราจะไม่มาติดกับเรื่องที่ว่ารังเกียจเรื่องป้าย เรื่องชื่อ แต่ว่าถ้ามันสำคัญก็ต้องเอาอย่างใดอย่างหนึ่งขึ้นมา เช่นอย่างที่พูดกันเมื่อกี้ เวลานี้วัดมีอยู่ตั้งสามหมื่นกว่าวัด สี่หมื่นวัดอะไรนี่ มีพระเณรสี่แสนกว่าองค์ แล้วก็มีบทบาทต่อชุมชนคนที่มาเกี่ยวข้องที่วัดจะต้องทำหน้าที่นี่ ก็คือคนส่วนใหญ่ของประเทศนี้ใช่ไหม แล้วเวลานี้วัดเป็นยังไงเสื่อมโทรมไม่สามารถทำหน้าที่ไม่มีคุณภาพ ไม่รู้จักบทบาทของตัวเอง แล้วสังคมของเราฐานอยู่ด้วยอันนี้ อย่างที่พูดเมื่อกี้ มีครอบครัวหรือบ้าน แล้วก็มีโรงเรียน แล้วก็มีวัดเนี่ย อันนี้ถ้าเราจะมาพยุงสังคมนี้ขึ้นมาจะต้องพยายามสร้างเสริมบทบาทคุณภาพของสถาบันเหล่านี้ให้ดีขึ้น นี้วัดในภาวะที่เสื่อมโทรมอย่างนี้ก็แย่ ทำบทบาทอะไรไม่ได้ก็มีแต่กลับถ้ามันเสีย มันกลับทำร้ายสังคม เราจะไปซัดทอดว่าเป็นเรื่องของพระเป็นไปไม่ได้เพราะนี่เป็นเรื่องของประเทศชาติ พระไม่มีส่วนรับผิดชอบเลยใช่ไหม พระมีหน้าที่รับผิดชอบเต็มตัวเลย ไม่ใช่จะไปปัดให้พระ ถ้าพระไม่ทำ รัฐจะต้องเรียกร้องมันจะต้องเป็นอย่างนั้น นี้ในเมื่อสังคมของเรามันแย่ขนาดนี้แล้ว องค์กรสถาบันนี้ไม่ทำหน้าที่มันเสื่อมขนาดนี้แล้ว ถ้าจะให้สังคมนี้ดีขึ้นไม่ให้สังคมนี้พินาศย่อยยับต้องรีบเอาใจใส่แก้ไข คุณอย่าไปมัวมองอย่างนั้นไม่ได้ล่ะ ก็กิจการนี้ใหญ่ไหมหรืองานกิจการเกี่ยวกับพระพุทธศาสนานี่มีมากมายเท่าไหร่ก็ไปศึกษากันดู ก็อย่างที่บอกแล้วว่ามีวัดสามหมื่น มีพระสี่แสนกว่า อันนี้ถ้ามองแบบศาสนาอื่น นี่เขาถือว่าพระสงฆ์นี่ที่เป็นนักบวชเป็นเจ้าหน้าที่ศาสนา แต่ในทางพุทธศาสนาเราไม่ได้มองอย่างนั้น แต่ถ้ามองแบบเจ้าหน้าที่ศาสนานี่ มีกระทรวงไหนที่มีเจ้าหน้าที่มีข้าราชการตั้งสี่แสนคน ถ้าว่าไปแล้ว ผมว่าเรื่องกิจการทางพุทธศาสนาในประเทศไทยนี่มันไม่น้อยกับกระทรวงศึกษาธิการนะ กิจการงานที่จะทำนี่ หรือกระทรวงมหาดไทยก็อาจจะไม่น้อยกว่ากระทรวงมหาดไทยงานพุทธศาสนาที่ต้องทำ เอ้อเราน่าจะมาดูว่า เอ้อเรื่องใหญ่นี่ มันเป็นเรื่องสำคัญต่อความเป็นความตายของประเทศไหม จะต้องช่วยแก้ นายกรัฐมนตรีอาจจะต้องลงมาเองเลย จะต้องแก้ปัญหาช่วยพยุงวัดขึ้นมาให้ขึ้นมาสู่การมีคุณภาพแล้วทำบทบาททำหน้าที่ได้ จะได้ช่วยแก้ปัญหาสังคมประเทศชาตินี้ เอาไงต้องรีบเอาแล้วนะ ต้องออกมาอย่างใดอย่างหนึ่ง เพราะเรามัวไปสนใจเรื่องไม่เป็นเรื่องเยอะแยะนะ เช่นอย่างไอ้เรื่องหวย เรื่องเบอร์ เรื่องคาสิโนมันเป็นเรื่องของคนกลุ่มหนึ่ง ซึ่งมีจำนวนน้อยกว่าใช่ไหม แต่ไม่ใช่เรื่องพื้นฐาน แล้วไม่ใช่เรื่องทางสร้างสรรค์ด้วย เป็นเรื่องแก้ปัญหามากกว่า ไอ้เรื่องอย่างนี้ทำไมไม่คิด จะเป็นสส สว เป็นรัฐมนตรีเป็นอะไรก็ตาม จะต้องมาคิดเรื่องเหล่านี้ ถ้าจะแก้ปัญหาประเทศชาติแล้วจะเอาไงก็เอาใช่ไหม ไอ้นี่สิต้องคิดในแง่กิจการ ไม่ใช่มัวเดี๋ยวศาสนาโน้นเข้าจะว่าอย่างนี้ ศาสนานี้เขาจะอย่างนั้น กลัวจะแตกแยกอะไร ก็ศาสนาอื่นเขาก็เห็นอยู่ว่างานเหล่านี้มันมีอยู่เป็นจริงนะ แล้วมันมีมากมายก็อยู่กับความเป็นจริง แล้วเป็นกิจการที่ต้องทำเขาจะไปรังเกียจได้ยังไงใช่ไหม เออว่ากิจการนี้มันมีอยู่จริง แล้วมันจะต้องทำ ก็ทำเข้าไปมันก็เท่านั้นเอง คิดในแง่ตัวเนื้องานมันก็หมดเรื่อง แปลกเหมือนกัน ทำไมไปคิดอยู่แค่นั้นแหละ ไปเถียงกันอยู่แค่ว่า ชื่อศาสนานั้น ชื่อศาสนานี้ ศาสนานั้นจะรังเกียจจะแตกจะแยกอะไร ศาสนาเหล่านั้นเขาก็ต้องยอมรับความจริง เป็นแต่เพียงจะจัดยังไงให้มันดี ถึงงานจะต้องทำจะปล่อยไม่ได้ หรือจะเปรียบเทียบอุปมา ก็เหมือนอย่างว่า ถ้าเรามีลูกแมวอยู่ในบ้านสัก 5-6 ตัว แล้วเรามีลูกไก่ ลูกเจี๊ยบ 100 ตัวใช่ไหม ลูกเจี๊ยบ 100 ตัวนี้เราอาจจะต้องสร้างเล้า สร้างโรงให้มันอยู่ แล้วอาจจะต้องจัดระเบียยในการเลี้ยงอะไรต่าง ๆ ใช่ไหม แต่ลูกแมวนั้นเราไม่ต้องเราก็ปล่อยอยู่บ้าน แต่การทำอย่างงี้ไม่ได้หมายความว่าเราไม่เอาใจใส่ลูกแมวใช่ไหม ก็ลูกแมวก็มันก็อยู่ได้เพราะว่ามันอยู่แค่ 5-6 ตัว เราก็รักมัน แต่ถ้าลูกเจี๊ยบถ้าเราไม่ได้ยจัดให้มันดี มันก็จะอยู่ไม่ได้จะตาย หรือเกิดปัญหาใช่ไหม มันก็ทำไปตามเหมาะสมที่กิจการที่มันควรจะเป็น ไอ้นี่ก็คิดเป็นถึงเนื้องานเรื่องที่จะต้องจัดต้องทำแล้วก็ปล่อยเลยก็ไม่ต้องเอาใจใส่สิ วัดอะไรต่าง ๆ เป็นยังไง เป็นกลัวเป็นรังเกียจชื่อศาสนานั้น ศาสนานี้ เลยไม่คิดถึงเรื่องงาน เราไปติดเรื่องรูปแบบเรื่องป้ายอะไรมันก็เถียงเรื่องกลัวไปคิดว่าจะใจกว้างอะไรเนี่ย ไม่รู้ความใจกว้างที่แท้มันอยู่ที่ไหน ความใจกว้างที่แท้มันอยู่ที่การยอมรับความจริงนะใช่ไหม ไม่ใช่ว่าคุณจะทำดี หรือคุณจะทำเลวทำชั่วฉันก็รับได้ทั้งนั้นใจกว้างใช่ไหม คุณจะทำถูกหรือทำผิด ฉันก็ยอมรับได้ นี่ใจกว้าง ใจกว้างหรือเปล่า ดีไม่ดีถ้ามองไปมองมามันกลายเป็นอย่างงี้นะ ทำยังไงก็ได้ฉันใจกว้าง จะทำชั่วฉันก็ใจกว้างรับได้ จะทำดีก็รับได้ใจกว้าง มันต้องยอมรับความจริงแล้วก็อยู่กับความจริงจึงได้บอกว่า 1 ต้องรู้สภาพความเป็นจริงของสังคม เวลานี้สังคมของเราจะอยู่ได้อย่างไร แล้วก็ประเทศชาติส่วนใหญ่มันอยู่ด้วยชุมชนชนบท ที่มีตั้ง 70 80 เปอร์เซ็นต์แล้วมันจะด้วยอะไร สถาบันของเราเป็นยังไง มันทรุดยังไง นี่ก็รู้สภาพความเป็นจริง แล้วก็อยู่กับความเป็นจริงนั้น คือทำให้มันถูกต้องตามเรื่องตามราวมีอะไรเป็นงานเป็นการที่ต้องแก้ไข ที่จะต้องจัดทำ ไม่ต้องไปเกรงกันอยู่เรื่องชื่อเรื่องอะไรต่าง ๆ เหล่านั้น ซึ่งมันกลายเป็นว่ามองแคบคิดแคบไปด้วยซ้ำ อยู่กับความเป็นจริง แล้วก็จะได้ไม่ปล่อยปละละเลย ไม่งั้นเวลานี้ก็คือปัญหาปล่อยปละละเลย อะไรต่ออะไรก็ถูกทิ้งไป บางทีก็เหมือนกับว่าไม่เกี่ยวเป็นเรื่องของสถาบันนั้น อย่างรัฐเวลานี้ก็จะมีความโน้มเอียงอย่างงี้ เคยมีมานานแล้วคือมองว่า เป็นเรื่องของพระ รัฐไม่เกี่ยว ไอ้นี้มันเรื่องของสังคมส่วนรวมเป็นเป้าหมาบร่วมกัน ก็มีแต่เพียงว่าฝ่ายโน้น จะมีบทบาทในเรื่องนี้อย่างไรเรื่องเดียวกัน แล้วฝ่ายเราจะมีบทบาทอย่างไร แล้วจะไปหนุนกันยังไงมันต้องมาคิดแม้ในเรื่องเดียวกันก็มีบทบาทของแต่ละฝ่าย ถ้าวัดมีปัญหา รัฐต้องรับผิดชอบด้วย จะปัดความรับผิดชอบไม่ได้แม้แต่คณะสงฆ์ก็ต้องขึ้นต่อการปกครองของรัฐใช่ป่ะใช่ไหม เพราะรัฐไม่มีใครแยกตัวออกไปได้ เวลากฎหมายอะไรต่ออะไรเกี่ยวกับคณะสงฆ์ออกก็ต้องออกจากรัฐ ไม่ใช่ว่าคณะสงฆ์จะไปออกกฎหมายเอาเองนะ ถ้าหากว่าจะหาสืบสาวหาเหตุปัจจัยกันไป เอ้าถ้าคณะสงฆ์นี่ไม่ทำหน้าที่ บกพร่องอ่อนแอ เอ้าเพราะการจัดระบบไม่ดี แล้วใครจัดระบบ ก็รัฐนะแหละวางกฎหมายออกมาใช่ไหม ทำให้ระบบมันเป็นอย่างงี้ งั้นตัวสุดท้ายรับผิดชอบตัวเหตุก็มาอยู่ที่รัฐนี่เอง ก็ต้องรับผิดชอบแล้วก็ไม่ปล่อยปละละเลย เวลานี้ต้องถือว่ามีการปล่อยปละละเลมาก แล้วมาติดอยู่แค่ถ้อยคำอะไรต่าง ๆ มองแค่ตื้น ๆ แคบ ๆ เวลานี้ก็ ผมว่า รัฐมนตรีหรือว่าพวกสส สว นี่ แทบจะไม่ได้มองเลยเรื่องปัญหาเหล่านี้ อย่างไอ้ที่ท่านดูทีวีตอนนี้ว่ามีไอ้เรื่องอะไร ที่ว่าเอาอะไร ไอทีวีหรือครับ ผมก็ได้ยินท่านมาเล่า วันนี้อะไร
คนฟังบอก รายการ สนไอทีวี เขาไปเปิดโปงขบวนการพระที่ชอบไปหลอกลวงว่าจะแก้ไสยศาสตร์ทั้งหลายแหล่ รดน้ำมนต์อะไรพวกนี้แล้วก็ว่าเขาทรงเจ้าฤษีตาไฟ แล้วก็หลอกให้คนมาครั้งละ 200 300 เขาได้รายได้สองพันสามพัน แล้วมีการจับเนื้อต้องตัวผู้หญิงของเขาไม่ใช่ในนามของพระสงฆ์ แต่ในนามฤษีตาไฟ แล้วก็ไปเปิดโปงมาเท่านี้
พระตอบ ก็นี้ก็เป็นตัวอย่าง ก็ขนาดในเมื่อทีวีเขายังเอาออกแล้ว มันก็ประกาศชัด ๆ แล้วว่า พฤติกรรมที่ไม่ใช่พุทธศาสนา พฤติกรรมที่ไม่ใช่ของพระนี่มีปรากฏอยู่ทนโท่ แล้วคนยังเชื่อ มันแสดงว่าคนมันเขวออกไปนอกลู่นอกทางเข้าไปแล้ว แล้วพฤติกรรมอย่างนี้การที่ความเสื่อมในพระศาสนาเกิดขึ้นนี้จะมีผลกระทบต่อสังคมไทยไหม มีแน่นอนใช่ไหม เพราะศาสนาก็ไม่ช่วยนำสังคมไปในทางที่ดี เพราะฉะนั้นต้องแก้ เวลานี้ไอ้ฐานที่จะพัฒนาก็ เราก็พูดถึงการศึกษา แล้วอย่างในชุมชนชนบทนี่ก็มีอะไร ก็หนึ่ง ครอบครัวหรือบ้าน แล้วก็สองก็โรงเรียน แล้วก็ 3 ก็วัด แล้วเวลานี้ก็เราบอกว่าครอบครัวหรือบ้านนี่ชักพึ่งไม่ได้ พ่อแม่เอาลูกไม่อยู่แสดงว่าแค่เรื่องยาบ้าก็แย่แล้วใช่ไหม สองไปที่โรงเรียน โรงเรียนต่าง ๆ ก็มีไม่น้อยที่กลายเป็นว่า เป็นที่สูบยาบ้า เด็กกินยาบ้ากันเยอะแยะ จนกระทั่งมีครูขายอะไรอย่างนี้ หรือไม่เอาใจใส่ ก็จะหวังจากโรงเรียนก็ไม่ได้มาก แล้ววัดยังเป็นไปอีก วัดกลายเป็นว่ามีพระไปเสพยาบ้าหรือมีคนไปบวชเพื่อใช้เป็นที่เสพยาบ้า แล้ววัดนี่เดี๋ยวนี้ คนก็ไม่เอาใจใส่ ถูกทอดทิ้งมาก เพราะฉะนั้นพระก็ขาดคุณภาพ พูดกันตรง ๆ ใช่ไหม ก็ไม่ทำหน้าที่ของตัวเอง นี้ถ้าหากว่าละเลยกันไป กันไปเนี่ย มันไม่มีหลักแล้ว ในวัดก็กลายเป็นที่ซ่องสุมไปเลยว่าอย่างงั้นใช่ไหม บางแห่งวัดกลายเป็นที่ซ่องสุม เป็นที่เสพยาบ้า เป็นที่คนเข้ามาแอบแฝงหากินเป็นอย่างงั้นไปเลย ก็แสดงว่ามันหมดแหละ ที่นี่วัดก็ยิ่งกว่าใครเพราะเป็นสถาบันที่เป็นที่หวังสังคมในเชิงคุณธรรมใช่ไหม ก็ต้องเป็นตัวที่ตรงข้ามเลยแล้วถ้าเป็นอย่างนี้แล้วมันก็คือหมดแล้วสิ เป็นตัวที่จะต้องป้องกันแก้ไขทำให้ไม่มียาบ้าเพราะเป็นตัวที่ตรงข้ามกับอบายมุขกลับเป็นเสียเองก็จึงบอกว่าเนี่ยมันก็คือความพังทลายสังคม เพราะฉะนั้นผู้บริหารประเทศชาติเมื่อเห็นอย่างนี้แล้วอยู่ไม่ได้แล้วบอกว่าถ้าวัดมีอยู่ต้องทำหน้านี้ยอมไม่ได้เด็ดขาด วัดจะมีเป็นแหล่งที่กินเสพยาบ้าไม่ได้เป็นอันขาด ผู้บริหารประเทศก็อาจจะมาคุยกันเลยกับคณะสงฆ์จะเอายังไง ต้องพูดกันให้แน่นอนใครจะมีบทบาทแค่ไหน เอากันให้เด็ดขาด บอกว่าวัดจะมีการกินยาบ้าไม่ได้เด็ดขาดใช่ไหม ต้องทำงานอย่างมีเป้าหมายแล้วก็มีความมุ่งมั่นแน่วแน่ ไม่ใช่ปล่อยกันเรื่อยเปื่อยไป แล้วก็ได้แค่ร้องทุกข์ ก็นี่ผู้บริหารประเทศชาติก็ต้องถือเป็นเรื่องสำคัญ ถ้าจะเอาประเทศชาติไว้ คุณต้องแก้ ไม่ใช่ไปมองแต่เรื่องอะไรต่ออะไรอื่น ๆ ไปประชุมโน่น ประชุมนี่ ไอ้เรื่องอย่างนี้พื้นฐานของสังคม บอกว่าชุมชนในชนบททั่วประเทศนี่มันอยู่ด้วยอันนี้เอาใจใส่หรือเปล่า ถ้าไม่แก้นะมันพังนะ เวลานี้เรามีไอ้องค์การปกครองท้องถิ่นเข้ามา แล้วพอมีเข้าก็ยุ่งกันใช่ไหม มีปัญหาหนัก ไอ้นี่กลับไปเป็นตัวที่ทำให้ซ้ำเติมชุมชน ทีนี้ไอ้สถาบันเดิมมันก็ไม่มีบทบาท ชุมชนมันก็เลื่อนลอยใช่ไหม เค้งคว้างมันไม่มีหลักอะไรเลย วัดมันก็ยังมีอยู่แต่ไม่ทำหน้าที่ ครูก็แย่ลงไปแล้วก็สังคมก็ไม่ค่อยให้เกียรติ แล้วก็พ่อแม่ก็ไม่รู้หน้าที่บทบาทของตัวเอง แล้วก็มีความผู้รัดทางเศรษฐกิจเป็นต้น ห่างเหินลูกอีก ก็เด็กก็ไม่มีปัจจัยภายนอกอะไรที่จะมาเอื้อสิ นี่คือปัญหาที่ต้องเอาใจใส่ ต้องเอาทันทีเลยทิ้งไม่ได้ อย่างงี้ซิทำไมไม่คิดละมันต้องคิดถึงเนื้องานใช่ไหม เพราะฉะนั้นมันจึงต้องมีระบบควบคุมเพราะพระเดี๋ยวนี้ อาจจะไม่รู้แล้วว่า อะไรเป็นพุทธศาสนาหรือไม่ใช่ คือพุทธศาสนานี่ว่าไปก็มีจุดอ่อนอันหนึ่งเพราะให้เสรีภาพแล้วไม่ใช้วิธีรุนแรงแล้วไม่มีการบังคับใช่ไหม นั้นก็ต้องมีตัวที่สำคัญคือการศึกษา เพื่อที่จะให้ผู้ที่เป็นชาวพุทธนี่ตั้งแต่พระนี่รู้ว่าอะไรเป็นพุทธ มิใช่พุทธ อันนี้องค์กรที่เป็นผู้ทำงานเป็นหลัก เช่นคณะสงฆ์จะต้องรีบออกมาก่อนเลย แยกให้ได้ ให้ชาวพุทธรู้จักแยกว่าอะไรเป็นพุทธ อะไรมิใช่พุทธใช่ไหม ทีนี้ตอนนี้ก็ปล่อยเมื่อคณะสงฆ์ย่อหย่อนไปหรือไม่มีกำลัง รัฐจะต้องมาเลย แล้วจะต้องรับผิดชอบเลย อย่างนายหลวงรัชกาลที่ 1 นี่ท่านเอาทันทีเลย ออกกฏคณะสงฆ์เลย ใครเคยเห็นบ้าง จัดการเลยพระที่ทำอย่างงี้ นายหลวงรัชกาลที่ 1 ไม่ปล่อยเลย แล้วประกาศให้ชาวบ้านรู้เลยว่าพฤติกรรมอย่างนี้ไม่ใช่พุทธศาสนา อันนี้มันหน้าที่ของรัฐเลยร่วมกับคณะสงฆ์ ถ้าคณะสงฆ์ช้าอยู่หรืออ่อนแอไม่มีกำลัง รัฐก็ต้องเอาทันทีเลย เพราะมันเป็นผลประโยชน์ของประเทศชาตินะ แล้วเรื่องวัดนี่มันก็ต้องมีบทบาทด้วยกัน โดยฝ่ายคณะสงฆ์มีบทบาทแค่ไหน ฝ่ายรัฐมีบทบาทแค่ไหน ตัวเองจะต้องมาตกลงกันจัดให้ได้ไม่ใช่รัฐไม่มีบทบาท แล้วไปปัดให้คณะสงฆ์ อันนี้มันกลายเป็นว่าปล่อยปละละเลยมันก็เป็นเรื่องซัดทอด ว่าอันนี้เป็นเรื่องของพระแล้วก็เลยไม่เอาใจใส่ พระก็ถือว่าฉันก็ไม่มีกำลัง ไม่มีอำนาจ ฉันไม่มีอาชญาอะไรที่จะไปลงก็เลยตกลงประเทศชาติก็เลอะหมดไม่ต้องทำอะไรกัน อันนี้ก็เรื่องฟ้องชัด ๆ ที่ออกทีวีนี่ ว่าพฤติกรรมที่ไม่ใช่พุทธศาสนานี่ มันเกลื่อนกลาดถึงขนาดนี้ไม่มีใครรับผิดชอบจัดการ รัฐปัดความรับผิดชอบไม่ได้ รัฐไม่อยู่กับความเป็นจริงใช่ไหม พวก สส สว นี่ไม่อยู่กับความเป็นจริงอันนี้ ว่านี้คือกิจการที่มีความสำคัญต่อประเทศชาติต่อความเสื่อมของสังคมไปมองแต่เรื่องอื่น ๆ 1 ปัดความรับผิดชอบ 2 ไม่อยู่กับความเป็นจริง 3 ไม่อยู่กับสภาพความเป็นจริง ไม่รู้เพราะอาจจะ เพราะไม่รู้ก็เลยบางทีมีเจตนาดีไม่ได้เลยเพราะไม่รู้สภาพที่เป็นจริงไม่สามารถอยู่กับความเป็นจริง แล้วก็ไม่สามารถทำหน้าที่รับผิดชอบได้ คือตอนนี้ที่พูดเมื่อกี้ พุทธศาสนานี่เราให้เสรีภาพไม่มีการกระทำที่รุนแรงไม่บังคับ แต่ที่นี่ถ้าไม่มีการศึกษามันจบเลย ก็กลายเป็นอะไรก็ได้ใช่ไหม ฉะนั้นในทางพุทธศาสนาจึงต้องเน้นการศึกษา เพื่อให้คนอย่างน้อยจับหลักให้ได้ว่าพุทธศาสนามีหลักการอย่างไร แล้วแยกผิดแยกถูกได้แยกอะไร พุทธไม่ใช่พุทธ อันนี้ต้องทำให้ได้ เมื่อมีการขูดเลขหวยเบอร์ต้องบอกได้ทันทีว่านี่ไม่ใช่พุทธใช่ไหม อย่างนี้เป็นต้น นั้นอันนี้ของเราไม่มี นี้ศาสนาอื่นเขา มันประวัติศาสตร์มันใช้บังคับเลยใช่ไหม ถ้าสมัยโบราณก็ฆ่าเลย ทีนี้ของพุทธเราต้องอาศัยการฝึกฝนพัฒนา พุทธมันก็เลยเป็นลักษณะเป็นแบบประชาธิปไตย ถ้าพูดไปอีกทีก็พุทธศาสนาคนไทยก็ได้แค่ประชาธิปไตยของคนไทยใช่ไหม ประชาธิปไตยของคนไทยเป็นยังไง ก็คล้าย ๆ อย่างงั้น พุทธศาสนาของคนไทยก็ได้แค่นั้น เอ้มันเป็นเพราะคุณภาพคนไทยหรือยังไง รักประชาธิปไตยมันก็ได้แค่นี้ คือพุทธศาสนาประชาธิปไตยลักษณะคล้ายกันไม่บังคับใช่ไหม เมื่อไม่บังคับก็ต้องให้คนรู้จักศึกษาแล้วก็สามารถปกครองตนเองมีความสามารถในการใช้วิจารณญาณและก็อยู่กับความถูกต้องรักษาหลักการได้ ไอ้นี้ประชาธิปไตยมาข้าก็รักษาการหลักการไม่ได้เหมือนกัน แล้วไม่รู้ด้วยหลักการคืออะไร พุทธศาสนามาก็ไม่รู้หลักการคืออะไร นั้นพูดได้เลยบอกว่า พุทธศาสนาของคนไทยนี่ก็เหมือนกับประชาธิปไตยของคนไทยได้แค่นี้ นี้เราจะแก้ยังไงเราก็ต้องแก้ด้วยการศึกษาต้องพัฒนาคนไทยให้ได้ มีศาสนาอื่นมาเราก็พูดได้เลย บอกว่าเนี่ยมันภูมิหลังหลักการมันไม่เหมือนกัน พระพุทธศาสนานี่เราใช้วิธีที่ให้เสรีภาพ เพราะฉะนั้นก็คนก็ต้องมีสิทธิ์ที่จะถือปฏิบัติ เชื่อหรือไม่เชื่อ แต่ว่าเราจะต้องให้การศึกษาให้ดี เมื่อศาสนาอื่นเขาง่ายกว่าในแง่นี้ คือเขาใช้กฎเกณฑ์กติกาบังคับสมัยก่อนนี้ใช้อย่างที่ว่ารุนแรงมากก็ฆ่ากันมา ประวัติศาสนาแบบทางตะวันตกนี่จะเป็นประวัติ persecution และ redearwar เป็นเรื่องสงครามและการกำจัดกวาดล้างกันทั้งนั้น แม่มดหมอผี ลองไปดูประวัติศาสตร์ใช่ไหม ไอ้นี่มันไม่นับถือพระเจ้ามันไปเอาพวกซาตาน เพราะไอ้พวกหมอผีนี่ เขาถือว่าเป็นซาตานถูกชักจูงไป มันไม่ยอมเชื่อพระเจ้า มันไปหันเหจากพระเจ้า เพราะฉะนั้นต้องฆ่า เขาเรียกว่าตั้งศาล imprecision ขึ้นมา สมัยโบราณอย่างสเปนนี่ฆ่าวันละเป็นร้อยเลยนะ แล้วอย่างนักวิทยาศาสตร์สำคัญ ๆ อย่างกาลิเลโอ ก็จะฆ่าใช่ไหมไม่ยอมสารภาพ ผิด ต้องขัง เฮ้าแอเรส ขังอยู่ในบ้านตาย กาลิเลโอ แล้วก็ทางโป้บเพิ่งจะมาออกหนังสือให้อภัย เมื่อไม่นานนี้ที่จริงน่าจะขอโทษกาลิเลโอ กลับมาให้อภัยกาลิเลโอ แต่เมื่อไม่นานนี้ โป้บออกหนังสือขอโทษชาวโลกเลยนะ บอกที่ทางศาสนาจักรในอดีตได้ฮ่ำหั่นเบียดเบียนบังคับคนในเรื่องศาสนามามาก เพราะว่าใช้วิธีฆ่าเผามากมาย บลูโลก็ถูกเผาทั้งเป็น เซอร์วิตัสก็ถูกเผาทั้งเป็นในประวัติศาสาตร์นี่ทางศาสนาจักรคริสต์ได้ใช้วิธีปฏิบัติบังคับกำจัดคนทำให้ล้มตายอะไรต่ออะไรไปมาก แต่เท่ากับว่ากาลิเลโอนี่หลายปีแล้ว เขาออกเป็นคล้าย ๆ ประกาศให้อภัยกาลิเลโอ นั้นสิกลายเป็นให้อภัย ที่จริงทางศาสนาจักรควรจะขอโทษกาลิเลโอใช่ไหม เพราะว่าเอาตัวแกมาขัง เพราะกาลิเลโอไปสอนว่า โลกหมุนรอบดวงอาทิตย์ ทีนี้ศาสนาจักรเขาว่าผิด คือสอนผิดจากความเชื่อของศาสนาจักรหรือจากคัมภีร์ของเขา เขาก็จับฆ่า ทีนี้พูดถึงเรื่องนี้ก็เลยพูดถึงอีกอันหนึ่ง ที่กรณีที่พูดถึงว่ามีพฤติกรรมไม่ดีอย่างที่ไอทีวีเอามาออก ชาวพุทธจะต้องแยกได้ว่าอะไรเป็นพุทธ ไม่เป็นพุทธ อันนี้ทางองค์กรพุทธศาสนาจะต้องเน้น คณะสงฆ์จะต้องมาสอนชาวพุทธให้แยกให้ได้อะไรเป็นพุทธ ไม่ใช่พุทธ มิฉะนั้นมันจะเสียหายให้แก่สังคมอย่างยิ่ง เวลานี้คนก็จะอ่อนแอหวังจาก หวังผลจากการดลบันดาลใช่ไหม ไม่คิดทำไม่มีความเพียรพยายามแล้วก็ปล่อยให้คิดว่าอย่างนี้เป็นพุทธศาสนา ซึ่งมันตรงข้ามพุทธศาสนาสอนให้สร้างผลสำเร็จด้วยความพากเพียรใช่ไหม ทำเอา พยายามพึ่งตนให้ได้ ทำตนให้เป็นที่พึ่งให้ได้ นี้ต้องทำอันนี้แล้วก็ อย่างในกรณีที่ออกข่าวเมื่อสองสามวันหนังสือพิมพ์ลงอ่ะ ที่ว่าพระองค์หนึ่งไปหลอกผู้หญิงไปอะไรนะไปเจิมหรืออะไร ลงนะในโบสถ์ แล้วไปแก้ผ้าเปื่อยอะไรต่ออะไรกันนะ เอ้ผมมามองอีกที ผมก็มาตั้งข้อสงสัยได้ 2 แง่ 1 เป็นไปได้ไหมสมคบกัน ระหว่างพระองค์นี้กับผู้หญิงคนนั้น สมคบกันเพื่อจะสร้างข่าวทำลายพุทธศาสนา เราไม่ต้องคิดต่อว่ามีคนจ้างหรือเปล่านะ ทำไมจึงว่า เป็นไปได้ไหม เราก็ต้องตั้งข้อสงสัย เพราะว่าเป็นไปได้ยังไงว่า ชาวพุทธจะไม่รู้ว่าโบสถ์เนี่ยเป็นสถานที่สำคัญอย่างไรแล้วผู้หญิงยอมมาแก้ผ้าในโบสถ์ได้ยังไง มันต้องรู้แล้วว่านี่โบสถ์นะเราจะไปทำอย่างงั้นได้อย่างไร ถ้าพระองค์นี้มาชวนอย่างนี้ต้องรู้ทันที่ว่าองค์นี้ไม่ใช่พระ ถือเป็นพระที่เชื่อถือไม่ได้ใช่ไหม เป็นไปได้ยังไงว่าผู้หญิงคนนี้ไม่รู้ว่าการนี้ทำไม่ได้ในโบสถ์ เขาไม่น่าใช่ชาวพุทธ ฉะนั้นถ้าเป็นอย่างงี้เขาสมคบกันได้ไหม ก็ไม่รู้แหละเป็นอันว่า อันนั้นเราจะไม่พูดไปถึงหรอก แต่เราจะพูดในแง่สมคบกันด้วยแรงจูงใจอะไรก็ไม่รู้ 1 หรือมิฉะนั้นก็ 2 ก็หมายความว่า โอ้นี่พุทธศาสนาเสื่อมถึงขนาดที่ว่า ชาวพุทธชาวบ้านไม่รู้โบสถ์นี้มีความสำคัญอย่างไรจะปฏิบัติอย่างไรใช่ไหม เอ้อก็ไม่รู้แหละข้อไหนก็ตามมันก็ต้องแก้ทั้งคู่ละ ทั้ง 2 ข้อนี้ร้ายทั้งคู่เลย ถ้างั้นอยู่นิ่งไม่ได้แล้ว ไม่ว่ารัฐหรือสงฆ์ก็ต้องรีบแก้ไข แล้วรัฐนี้เหตุการณ์อันนี้ซึ่งเป็นเรื่องแม้แต่เป็นเรื่องพระศาสนานี่ ก็เป็นเรื่องที่กระทบต่อผลประโยชน์ประเทศชาติประชาชนจะทิ้งไปได้อย่างไรใช่ไหม ผู้ปกครองประเทศจะนิ่งเฉยไม่ได้ จะไปปัดความรับผิดชอบไม่ได้ ไอ้อย่างนี้ทำไมไม่คิด ฉะนั้นก็จะไปเถียงกันอยู่โดยไม่คิดถึงเนื้องานไปคิดถึงเรื่องป้ายชื่อศาสนารังเกียจแตกแยกอะไรต่ออะไร ไม่เข้าเรื่อง ผมว่ามองแคบ คิดแคบ ไปติดอยู่แค่ชื่อไม่มองที่ตัวงานเนื้องงานปริมาณงานความสำคัญของงานกิจการ แล้วทีนี้ เอ้าของพูดไปด้วย อย่างเรื่องนี้เรื่องที่ในทางศาสนาซึ่งเป็นเรื่องที่ว่าในแง่ของการปฏิบัติในยุคปัจจุบันเป็นเรื่องที่ธรรมดา เรานิยมเรื่องเสรีภาพในศาสนายังเรื่องที่ว่า ในแง่ของการปฏิบัติ เป็นเรื่องที่ธรรมดา เรานิยมเรื่องเสรีภาพในทางศาสนานี่ อย่างเรื่องคนไทยไปทำงานซาอุนี่ พอไปถึงสนามบินเนี่ยถ้ามีสร้อยคอมีพระนี่ เขาจะให้ปลดออกแล้วได้ยินนาน แล้วถ้าเป็นพระดินเผานี่เขาจะเอาค้อนทุบให้แหลกแล้วก็กวาดลงถังขยะ ถ้าเป็นพระเป็นเหรียญก็จะเอาที่ทิ้งถังขยะ แล้วผมก็ได้ยินมานานเป็นสิบ ๆ ปี แล้วเคยถามรองปลัดกระทรวงมหาดไทยท่านหนึ่งว่าจริงไหม ท่านบอกจริง ถ้าจริงแล้วทำอะไร ไม่รู้จะทำยังไง เอ้เราเมืองไทยเราทำได้แค่นี้ แล้วนี่กี่สิบปีแล้ว เมื่อไม่นานนี้ผมก็ได้ยินเด็กเขาก็พูดอย่างนั้น พวกเขาไปทำงานที่ซาอุก็เป็นอย่างเงี้ยพอไปลงสนามบิน เข้าอะไรที่ด่านใช่ไหม แล้วมีพระเครื่องเขาจะให้ถอดออกมาแล้วก็จะทิ้งถังขยะไปเลย นี่คือสิ่งเคารพบูชา เขาไม่ให้เสรีภาพ เอ้าพวกคนเหล่านั้น 1 ชาวพุทธนี่ไม่เดือดเนื้อร้อนใจดีเหลือเกินใช่ไหม เขาให้งานทำ เราก็ไปแล้วจะเอายังไงก็เอา เอ้านั้นก็ 1 แล้ว 2 ในแง่ของรัฐ รัฐน่าเอาใจใส่ ทำหน้าที่แทนเพื่อผลประโยชน์ของประชาชนก็ติดต่อกันสิกับรัฐบาลต่อรัฐบาล ว่าเออ ไอ้นี่มันเป็นเรื่องส่วนตัวเขาเป็นความเชื่อถือส่วนตัวให้เขาเอาไปเป็นส่วนตัวได้ไหม ขั้นที่ 1 นะ ก็เป็นเสรีภาพในการนับถือศาสนาใช่ไหม มันก็น่าจะยอมเป็นเรื่องส่วนตัว เขาก็ไม่ได้เอาไปบังคับใคร ถ้าไม่ได้มันก็น่าจะประกาศแก่ประชาชนคนไทยให้รู้ว่าทำไปประเทศนี้แล้วอย่าเอาติดเข้าไป แล้วมันจะสูญเสียเปล่าใช่ไหม คนงานที่เขาไป ต้องไปเสียเปล่าพระที่ตัวนับถือเคารพบูชาติดตัวอยู่ นี่แล้วเมืองไทย เราไม่เอาใจใส่เลย ปล่อยกันมาได้ยังไงตั้ง 20 30 ปีแล้ว แล้วนักสิทธิมนุษยชนเอาใจใส่ไหมเรื่องอย่างงี้นะ ก็เป็นเรื่องที่ว่าคนไทยเรานี่หละหลวมมาก มัวแต่จะไปคิดอะไรไม่รู้ ป้ายชื่อศาสนานั้นกลัวเขารังเกียจอะไรต่ออะไร มันควรจะอยู่กับความเป็นจริง เห็นแก่งาน เห็นแก่กิจการ เห็นแก่ผลประโยชน์ของประเทศชาติ อะไรจะทำมันสำคัญจำเป็นต้องทำก็ทำไปตามนั้น
คนฟังถาม เป็นไปได้ไหมสารภาพความรู้ให้คนเข้าใจหลักการเรื่องนี้ เรื่องพุทธศาสนา
พระตอบ ก็ใช่ อันนี้ตัวสำคัญเลยคือขาดความรู้ คือชาวพุทธนี่จะให้โอกาสแก่คนศาสนาอื่น ถ้าเรารู้ว่าเป็นคนต่างชาติหรือเป็นคนต่างศาสนา ชาวพุทธจะเกียรติเป็นพิเศษใช่ไหม เอ้อคุณไม่ต้องนะอันนี้นะจะได้สบายใจ แต่ว่า ปรากฏว่าศาสนาอื่นเขาไม่ยังงั้นนี่ เขาเอาเขาเป็นหลัก เราเอาเขาเป็นหลัก นั้นก็จะต้องพูดกันในแง่ของความเป็นจริงแล้วก็ปฏิบัติให้มันเกิดผลดี ถ้าหากว่าเราจะสอนหรือจะทำงานในเรื่องวิชาการอะไรเราก็ต้องมีความแม่นยำชัดเจนถ่องแท้จริง ๆ ต้องพยายามให้เป็นอย่างนั้น ซึ่งอันนี้เราต้องยอมรับฝรั่งเขาก็จริงจังมากเรื่องการค้นคว้าหาการหาความรู้นี่ ฝรั่งเขาเอาจริงไหม คือกำลังวิตกอยู่เรื่องสังคมไทยว่าจะเอาอย่างฝรั่ง แล้วไปเน้นเรื่องการแสดงความเห็น จะหัดให้เด็กไทยกล้าแสดงความเห็นมันไม่ถูก เด็กไทยฝึกไม่นานมันกล้าแสดงความเห็น ไว ๆ กว่าฝรั่ง ถ้าแต่ก่อนมันขี้อายไม่ช้ามันกล้ายิ่งกว่าฝรั่ง แต่ส่วนที่ขาดคืออะไร กระบวนการหาความรู้ ฝรั่งเขาเน้นเรื่องการไม่ใช่เน้น คือการแสดงความเห็นเขากล้ามาอย่างงั้น เพราะว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนหาความรู้ หมายความว่าถ้าจะเอาอย่างฝรั่งต้องให้ครบกระบวน การแสดงความเห็นต้องมาคู่กับการหาความรู้ ความเห็นต้องมาจากฐาน ของความรู้ที่แม่นยำชัดเจนที่สุด แล้วการแสดงความเห็นนี่เป็นวิธีการในการที่จะไปกระตุ้นให้ไปหาความรู้เพิ่มขึ้น เพื่อจะให้ได้ความรู้ที่ถ่องแท้ชัดเจน เพราะฉะนั้นเป้ามันอยู่การหาความรู้ นั้นจึงต้องย้ำว่าการแสดงความเห็นต้องมาคู่กับการหาความรู้ แล้วถ้ายิ่งความรู้มันแม่นยำถ่องแท้ชัดเจน ความเห็นนี่มันจะเป็นประโยชน์ แต่ถ้าความเห็นไม่มีฐานของความรู้ มันก็เลื่อนลอย เพราะมันก็ไม่ได้เรื่องอะไรแสดงไปทำไม กล้าแสดงความเห็น มันไม่มีความรู้ ไม่มีความเข้าใจ ไม่มีไอ้ข้อมูลความจริง เป็นความเห็นเลื่อนลอยไปเท่านั้นเอง ไม่รู้ไปเน้นกันอยู่ โดยไม่ได้ย้ำให้ครบกระบวนการ ท่านว่ายังไง ท่านก็ไปอยู่เมืองโน้นมาเยอะเป็นการหาความรู้นี่
คนฟังถาม คือคนที่ถามเรื่องนี้ที่รู้มากขึ้นไม่ใช่ว่าพูดนกแก้วนกขุนทอง
พระตอบ ใช่ แล้วก็แสดงความเห็นเพียงมาเอาชนะกันบ้างอะไรบ้างใช่ไหม ว่าไปเรื่อยเปื่อยทั้ง ๆ ที่ตัวเองไม่รู้เรื่องนั้นเลยก็แสดงความเห็นกันไปวุ่นวายไปหมด เวลานี้สังคมไทยกำลังจะเป็นอย่างงั้น การแสดงความเห็นโดยไม่มีฐานของความรู้ ก็ยิ่งจะซ้ำเติมสังคมให้หนักขึ้น นั้นเรื่องเป็นเรื่องที่ทำให้ครบกระบวนการ ถ้าจะเอาอย่างฝรั่งก็ให้ครบกระบวน เหมือนอย่างเราชอบประชุม เอาวิธีประชุมแบบฝรั่งเราก็ขาดองค์ประกอบสำคัญในกระบวนการ คือมนุษย์เรานี่นะถ้ามันไม่มีอะไรสูงเหนือตัวตนนี่ไอ้ตัวตนของแต่ละคนนี่มันจะออกมา แล้วมันก็จะมาปะทะขัดแย้งแล้วมันก็จะมาจบลงที่นี่ เหมือนอย่างคนประชุมกันนะ มันไม่มีความใฝ่ปรารถนาเป้าที่สูงหลักการใหญ่มันก็มาแสดงความเห็นของแต่ละคน ถ้าคนนั้นแสดงความเห็นไม่ถูกใจเรา ไม่ตรงกับเรา เราก็โกรธขัดแย้งกันก็ไป นี้ในสังคมที่มันจะไปได้มันมีสิ่งหนึ่งที่สูงเหนือตัวตน ใหญ่กว่าที่ต้องการ เช่นสังคมคนที่ใฝ่ความจริง ต้องการรู้ความจริง ต้องการได้หลักการที่แท้นี่ไอ้ความใฝ่ความจริงความอยากได้อันนี้มันเหนือกว่าตัวตน ยังไง ยังไงต้องเอาอันนั้นให้ได้ นั้นไอ้ตัวตนมันก็เป็นเรื่องเล็กไป มันก็สยบตัวตนได้ เอาอย่างหรือสังคมญี่ปุ่น ถ้าชาติเป็นใหญ่ อะไร อะไร ต้องเพื่อญี่ปุ่น ถ้าเพื่อญี่ปุ่นเป็นใหญ่เอาทั้งนั้น เรื่องส่วนตัวก็โดนสยบได้ใช่ไหม พอกำลังทะเลาะกันมีเรื่องหรือผลประโยชน์ส่วนตัวพอ เพื่อญี่ปุ่นปั้บอันนั้นเล็กลงไปเลย มันมีจุดรวมที่ใหญ่กว่า นี้สังคมไทยเรานี่ กำลังนี้ไม่มีอะไรที่เป็นสิ่งใหญ่เหนือตัวตนของแต่ละคนที่จะเป็นจุดรวมอันเดียวได้ ทุกคนก็ใฝ่เหมือนกัน ถ้ามีอันหนึ่งที่ทุกคนใฝ่ปรารถนาร่วมกันนะ มันจะสยบตัวตนของแต่ละคนลงไปได้ สังคมเราก็เคว้งคว้างไป ฝรั่งมีไอ้ตัวนี้ความอยากจะเข้าถึงไอ้ตัวความจริงให้ได้ แล้วมันก็จะยอมเพราะว่า ไอ้ตัวตนมันก็สำคัญ มันก็ถือตัวเหมือนกัน อยากเข้าถึงความจริงนี่มันใหญ่กว่า มันก็สามารถข้ามพ้นตัวตนไปได้ขั้นหนึ่ง ท่านเห็นด้วยไหม นี่สังคมของเราก็ไปเอารูปแบบใกล้เคียงวิธีการประชุมบ้างอะไรบ้างมาไม่ได้เรื่อง นี้ก็น่าเป็นห่วงเรื่องนี้ ให้เด็กกล้า แสดงความเห็นเดี๋ยวได้ยิน เดี๋ยวได้ยิน มันให้ไม่ครบนี่ ต้องเน้นเรื่องการหาความจริง เรื่องนี้เรื่องใหญ่มาก แล้วฝรั่งมันจะอุทิศเวลากับเรื่องนี้มากเหลือเกิน บางคนทั้งชีวิตเพื่อจะรู้อะไรนิดเดียวอุทิศชีวิตให้เลยใช่ไหม ข้ามน้ำ ข้ามทะเลไป ไปสุดขอบฟ้าก็ได้เพื่อความรู้อันเดียวนี่ ของเราไม่มีใครหายากเหลือเกินใช่ไหม เริ่มเหรอมีนะ เริ่มมีเหรอ ต้องการหาความรู้จริงเหรอ ถ้ามีได้ก็ดีสิ เอ้รุ่นใหม่ ๆ ไว้ใจได้หรือเปล่า อาจจะมีบ้างนะ ต้องแค่ว่ามีบ้างนะ เพราะว่าเท่าที่มองเดี๋ยวนี้ ครูจะบ่นกันเยอะบอกเด็กเดี๋ยวนี้อะไรยากหน่อยไม่สู้แล้ว หนักหน่อยคิดหนักต้องใช้ความเพียรไหม ไม่เอาเลย เดี๋ยวนี้ครูจะบ่นกันเยอะ อ้าวก็ดีถ้าหากเป็นอย่างงั้นก็จะเป็นนิมิตรหมายที่ดี
เอาละนะเรื่องที่จะตั้งกระทรวงพุทธศาสนาหรืออะไรกันเนี่ย เรื่องนี้นะที่จริงอ่ะถ้าผู้บริหารประเทศชาติจะเป็นท่าน สว สส หรือใครก็ตามนี่ ความจริงไม่ต้องมารอให้เขาเรียกร้องตามปกติการงานที่ต้องจัดต้องทำมันมีมากอยู่แล้ว แต่เราอาจจะมองข้ามไปก็ต้องพูดว่าทั้งประเทศเรานี่ มัวปล่อยปละละเลยกันมา ทำให้มีการเรียกร้องกันขึ้นนี่บางทีก็ดูไม่ดีด้วยซ้ำไป แต่ไหน ๆ เมื่อจะมีการเรียกร้องขึ้นมาแล้วเนี่ยก็อย่ามัวไปติดอยู่กับเรื่องป้ายชื่อ เรื่องว่าศาสนาโน้น ศาสนานี้ ซึ่งมันไม่เป็นเรื่อง ความจริงพอได้ยินแล้วก็รีบหันไปดูงาน ไปศึกษางาน ว่ากิจการงานพุทธศาสนาที่มันเกี่ยวข้องมีผลกระทบต่อประเทศชาติบ้านเมืองนะ มันมีปริมาณมากมายไหม มีความสำคัญต่อประโยชน์สุขของประชาชนจริงไหม แล้วปัญหาที่ต้องจัดการแก้ไขนั้นมันมีที่จะต้องทำกันแค่ไหน แล้วเมื่อมันมีจริงมันมากมาย ก็ต้องจัดต้องทำตรงไปตรงมาจะเรียกถ้าไปกระทรวงจะเรียกชื่ออะไรก็เรียกตรงไปตรงมาตามนั้น จะเรียกกระทรวงพุทธศาสนา ถ้าเป็นกระทรวงเรียกชื่ออะไร ก็เรียกตรงไปตรงมาตามนั้น จะเรียกกระทรวงพุทธศาสนา ถ้ามันจำเป็นจะต้องเรียกให้มันตรงเรื่องก็เรียกอย่างงั้นไป ไม่ต้องไปรังเกียจไม่ต้องไปกลัว เพราะว่ามันเป็นเรื่องงานการไม่ใช่เป็นเรื่องของการที่ไม่มีอคติอะไร ท่านพี่น้องที่นับถือศาสนาอื่น ที่เขามีใจกว้างขวางคือก็ยอมรับความจริง เขาก็ต้องยอมรับไปตามนั้นเพราะมันเป็นความจริง ท่านที่มีใจเป็นธรรมเขาก็มีอยู่เขาจะมามัวรังเกียจรังงอนอะไรเขาจะส่งเสริมด้วยซ้ำไป เรื่องนี้ไม่น่าจะกลัว แต่สิ่งที่น่าเป็นห่วงมันอยู่ที่ว่ากลัวว่าถ้าเกิดจะจัดงานขึ้นมาแล้วเนี่ย แม้แต่ชาวพุทธเองไม่ใช่เฉพาะ สว สส 1 จะมองเห็นตัวงานที่ต้องจัดต้องทำแค่ไหน 2 ถ้าคิดตั้งกันขึ้นมาแล้วเนี่ยจะหาตัวคนที่มาเหมาะสมมีคุณสมบัติที่จะมาทำงาน ตั้งแต่เป็นรัฐมนตรีนี่ได้เพียงพอได้เหมาะกันหรือเปล่า เอานี้เป็นปัญหาใหญ่ที่น่าจะคิดมากกว่าไม่ใช่ไปมัวติดกันอยู่แค่เรื่องว่าควรจะตั้งหรือไม่ตั้ง อันนั้นดูตามงานอย่างที่ว่า ทีนี้เหตุใดจึงอาจจะมองไม่ค่อยเห็นตัวงานแล้วก็หาคนทำงานได้ยาก ก็เพราะว่าอะไร ก็เพราะเราปล่อยปละละเลยกันมานาน จนกระทั่งกิจการงานพระศาสนานี่หดเหี่ยวไปหมด ป้อแป้ เปรี้ย ฉะนั้นเวลาจะจัดทำขึ้นมาก็มองไม่เห็น เพราะฉะนั้นสิ่งที่ต้องทำก็มาศึกษางานกัน คิดกันดูให้ดี ดูซิว่างานพระพุทธศาสนาที่จริงนะ ในประเทศไทยนี่มันมากกว่างานกระทรวงศึกษา หรือมากกว่างานกระทรวงมหาดไทยจริงหรือเปล่า อย่างนี้เป็นต้น ก็ขอให้พิจารณากันในแง่นี้ดีกว่า ได้ยินว่าเมื่อวันสองวันนี้ มีหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งไปลงทำนองนี้ ก็คือเกรงว่าจะมีการแตกแยกระหว่างศาสนาอะไรต่าง ๆ อันนี้ก็กลายเป็นว่า ท่านผู้เขียนเองนะแหละไปมัวเอาภาพป้ายชื่อการติดในการแบ่งแยกหรือมีจิตใจรังเกียจเดียจฉันของตัวเองนะแหละ เอามาบดบังความเป็นจริงการงานที่จะทำเพื่อประเทศชาติ อันนั้นขอให้มองดูกันให้ตรงตามความจริง อยู่กับความเป็นจริง คิดทำงานกันเพื่อประเทศชาติจริง ๆ แล้วมันจะไม่มีปัญหาอะไรหรอก ตรงไปตรงมา ขอย้ำว่าให้อยู่กับความเป็นจริง ถ้าหากว่าเราจะรักษาป่าแล้วกลัวเสือจะว่าเลยทอดทิ้งป่าไม่ดูแลรักษา ถ้าเป็นกิจการงานของประเทศชาติอย่างงี้ก็พินาศล่มจมกันหมด สวนเราก็ไม่ทิ้ง สวนเล็ก ๆ เราก็จัดไปมีวิธีการดูแลอย่างหนึ่ง ป่ามีเนื้อที่บริเวณกว้างขวางมีเรื่องต้องจัดต้องทำมาก ไม่เฉพาะมีต้นไม้มากมาย จะมีสัตว์ป่ามีอะไรต่ออะไรอีกซับซ้อน ไอ้สิ่งที่จะต้องจัดทำมันก็มาก ก็จัดทำกันไปตามเนื้องาน อย่างบ้านเมืองเขามีการตั้งกรมป่าไม้ ไม่ต้องตั้งกรมส่วนหย่อม ใครไปตั้งกรมส่วนหย่อม กระทรวงสวนหย่อยมันก็เป็นเรื่องประหลาดไป ก็นี่เป็นเรื่องทำกันไปตามเป็นจริง นอกจากหนังสือพิมพ์แล้วนี่บางทีก็ได้ยินทางวิทยุ บางแห่งก็พูดทำนองว่า เอ้ทำอย่างงี้ก็หมายความว่าพุทธศาสนาดีกว่าศาสนาอื่นหรืออย่างไร ที่จริงเรื่องนี้จะเกี่ยวข้องอะไรกันดีกว่า ไม่ดีกว่า เป็นเรื่องของกิจการงานแล้วเป็นเรื่องนอกจากการงานที่จะต้องจัดทำ แล้วก็เรื่องปัญหาที่ต้องแก้ไขด้วย ถ้าเรามีปัญหาที่ต้องแก้ไขมาก จึงต้องจัดต้องทำ แล้วการมีปัญหามากมันแสดงว่าดีกว่าอย่างไร อีกสถานีหนึ่งก็ได้ยินว่า เอ้ ถ้าตั้งกระทรวงพุทธศาสนา นี่แล้วจะเอาศาสนาอื่นไปไว้ที่ไหน นี่ก็เป็นตัวอย่างของการที่ ตั้งจิตผิด ตั้งความคิดผิด แล้วก็เลยมองอะไรผิดพลาดไป ไม่ตรงตามความเป็นจริง จะต้องเอาไปไว้ที่ไหนล่ะ ก็มีอยู่อย่างไรก็เป็นอย่างนั้น แต่เราไปดูว่ากิจการที่มีอยู่ในประเทศชาตินี่ อันไหนเป็นเรื่องใหญ่จะต้องจัดทำเป็นพิเศษ เราก็จัดตั้งหน่วยงานองค์กรขึ้นมา เพื่อจัดทำงานนั้น กิจการอื่นที่มีอยู่ก็ทำกันไปอย่างเดิม เหมือนอย่างที่เปรียบเทียบไว้เนี่ย บอกว่าเรามีรูปแมว 5-6 ตัว แล้วก็เลี้ยงดูด้วยความรักใคร่ เรามีลูกไก่อีก 100 กว่าตัว จะเลี้ยงมันก็ต้องสร้างเล้าให้ ที่นี้จะสร้างเราให้ลูกไก่ เราบอกว่าไม่ได้ไม่ได้ ทำไมไม่สร้างกรงให้ลูกแมวล่ะ ถ้าจะสร้างเล้าให้ลูกไก่ ก็ต้องสร้างกรงให้ลูกแมว เสร็จแล้วลูกแมวไม่จำเป็นต้องมีกรง ก็เลยต้องรอไม่รู้จะสร้างเล้าให้ลูกไก่ อันนี้มันไม่เกี่ยวกัน เมื่อสร้างเล้าให้ลูกไก่อยู่ ลูกแมวก็อยู่ดีตามปกติ มันก็ไม่ได้เป็นอะไร หรืออย่างที่ว่าเรื่องเปรียบเทียบเรื่องสวน ก็เราเห็นว่าป่ามันมีเรื่องราวที่ต้องจัดต้องทำมาก ก็ตั้งองค์กรหน่วยงาน ส่วนราชการขึ้นมารับผิดชอบ ดูแลจัดการทั้งเรื่องงานที่จะทำ ทั้งเรื่องแก้ปัญหาเกี่ยวกับเรื่องป่านั้น เราไม่ได้ตั้งกระทรวงสวนหรืออะไรขึ้นมา ก็ไม่ได้หมายความว่า เราทอดทิ้งสวน มันก็อยู่อย่างนั้นแหละ เราเคยทำก็จัดไปให้มันดี จะส่งเสริมสนับสนุนก็จัดงาน จัดลำดับให้มันเหมาะสมกัน หรืออย่างมีน้ำในแก้ว กับน้ำในขัน น้ำในบ่อ น้ำในสระ น้ำที่อยู่ในอ่างเก็บน้ำใหญ่ ๆ ตามภูเขา น้ำในแก้วก็อยู่ในแก้ว น้ำในขันในบ่อก็อยู่ในระดับนั้น นี้น้ำที่ขังไว้เป็นอ่างเก็บน้ำใหญ่ ๆ ตามภูเขา ต้องสร้างเขื่อนเก็บให้ ทีนี้ใครจะมาอ้างบอกว่าเอ้ ทำไมจะไปสร้างเขื่อนเก็บน้ำที่อ่างเก็บน้ำล่ะ คุณจะไปสร้างเขื่อนที่อ่างเก็บน้ำนั่น ทำไมไม่สร้างเขื่อนให้น้ำในแก้วด้วย หรือไม่สร้างเขื่อนให้น้ำในบ่อในสระ ก็เลยไม่ต้องสร้างเขื่อนกัน อันนี้ก็น้ำในอ่างเก็บน้ำใหญ่ตามภูเขา มันจำเป็นมันเป็นเรื่องที่ต้องทำการดำเนินการอะไรให้มันเหมาะกันเพื่อจะได้เป็นอยู่เป็นไปด้วยดี เราก็ทำตามนั้น ส่วนน้ำในขันในแก้วในสระในบ่อแล้วก็ จัดทำไปตามระดับที่เหมาะสม ทุกอย่างก็เป็นไปด้วยดีคือไปมองกิจการงานที่ต้องทำ อะไรจะต้องทำก็ทำไป เนี่ยแล้วคนที่มาเที่ยวคอยเกี่ยงอยู่เขาจะสร้างเขื่อนให้น้ำในอ่างเก็บน้ำ เขาจะสร้างเล้าให้ลูกไก่อยู่ ตั้งหน่วยราชการให้แก่ป่าอะไรอย่างนี้ แล้วก็มาเกี่ยงว่าทำไมไม่สร้างลูกกรงให้ลูกแมว ไม่สร้างเขื่อนให้น้ำในบ่อในสระ ไม่สร้างกิจการงานกระทรวงให้สวนหรืออะไรอย่างนี้ อย่างนี้ใจแคบหรือเปล่า แต่ว่าไม่ได้ตั้งใจ ใจแคบคนไทย คนไทยไม่ใจแคบ แต่ว่ามันมองอะไรคิดอะไร บางทีมันไม่ถูกในแง่ถูกมุมหรือว่าไม่ตรงตามความเป็นจริง ไม่ศึกษา ไม่หาความรู้ให้เข้าใจเรื่องที่จะพูดจะพิจารณามันเลยทำให้เกิดความคับแคบ มองดูเผิน ๆ เหมือนกับกว้าง แต่มองจริง ๆ แล้วมันแคบ ที่ว่าใจแคบ คนไทยว่าไม่ใจแคบหรอก เทียบกับประเทศไหนก็สบายใจได้เรื่องใจแคบไม่มี ไม่ใจแคบแต่ว่าต้องมาช่วยกันศึกษาหาความรู้ จะพูดจะพิจารณาอะไรนี่ หาความรู้ให้ชัด แล้วมันจะไม่เกิดปัญหาแล้วการสร้างสรรค์ประเทศชาติ มันก็จะดำเนินไปด้วยดี มิฉะนั้นเราก็จะมาพูดถ่วงการพัฒนาสร้างสรรค์ประเทศชาติแก้ไขปัญหาสังคมกัน สิ่งที่ควรทำก็ไม่ได้ทำมันติดอยู่กับเรื่องถ้อยคำอะไรต่าง ๆไม่เป็นเรื่องเป็นราว นี่ไปตั้งจิตเริ่มความคิดผิดพลาด พอเริ่มผิดก็เลยมองผิดพลาดไปหมดก็ทำให้เกิดปัญหา คนที่ติดอยู่กับความคิดอย่างนี้ ถ้าเป็นผู้บริหารประเทศชาติ ประเทศชาติจะย่ำแย่หมด ก็คือปล่อยปละละเลยไม่ดูแล เวลานี้เข้าใจว่าเป็นเพราะเหตุนี้ไม่น้อย มัวแต่ไปติดกับเรื่องนี้ พอมองไปเจอตัวไอ้ตัวป้ายตัวชื่อ บังเสียเลย เลยไม่ได้มองดูปัญหา ไม่ได้มองดูกิจการงานที่ต้องจัดต้องทำ เสร็จแล้วบ้านเมืองก็ตกอยู่ไหนภาวะที่ถูกปล่อยปละละเลย กิจการต่าง ๆ ความเสื่อมโทรมก็เกิดขึ้น ก็อย่างนี้มันจะไม่เสื่อมได้อย่างไร เพราะฉะนั้นขอให้ตั้งความคิดกันให้ถูกต้อง มองกันให้เห็นตามความเป็นจริง แล้วก็อย่างที่พูดไปแล้ว ย้ำแล้วย้ำอีกว่าให้อยู่กับความเป็นจริง แล้วมุ่งเพื่อทำงานให้เกิดประโยชน์แก่ประเทศชาติ ประโยชน์สุขแก่ประชาชน แล้วทุกอย่างจะเป็นไปด้วยดี จึงได้บอกว่าตอนแรกไม่ได้สนใจเรื่องนี้ แต่พอได้ยินว่ามัวแต่รังเกียจรังงอนกันเรื่องชื่อเรื่องจะแตกแยกอะไร ก็เลย เอ้เขาคิดอะไรกัน ทำไมมองกันแคบ ๆ คิดกันแคบ ๆ มันไม่ใช่แค่จิตใจคับแคบ มันปัญญาแคบไปเสียแล้ว งั้นขอให้ทำใจสบาย ๆ ทำใจตรงไปตรงมา แล้วใช้ปัญญามองพิจารณาศึกษา ให้คิดเห็นแก่ผลประโยชน์ของประเทศชาติ ประโยชน์สุขแก่ประชาชน ปัญหาพระพุทธศาสนาตอนนี้มันรุนแรงแค่ไหน ถูกปล่อยปละละเลยทอดทิ้งกัน อย่างที่พูดไปแล้วเนี่ย ชนบทนี่เป็นฐานของประเทศชาติ ชุมชนก็มีแค่ครอบครัวหรือบ้าน แล้วก็โรงเรียน แล้วก็วัด เวลานี้มันก็จะไปกันหมดแล้วช่วยกันฟื้นวัดให้ขึ้นมาจุดที่จะตรึงสังคมไว้ซะหน่อย แล้วก็ลุกขึ้นมาเพื่อจะมาสร้างสรรค์ประเทศชาติกันต่อไป บางทีประเทศไทยเราจะได้ลุกฟื้นคืนขึ้นมาเดินหน้าได้บ้าง
สรุปอีกทีนะว่า เรื่องกระทรวงพุทธศาสนานี้จะตั้งหรือไม่ตั้งกระทรวงพุทธศาสนา ก็อย่ามาอ้างเหตุผลเรื่องกลัวศาสนาอื่นจะว่ายังไงจะเกิดการแตกแยก เรื่องถือศาสนานั้นดีกว่า ศาสนานี้สำคัญกว่า อย่าเอามาอ้าง ถ้าจะอ้างก็ขอให้อ้างเหตุผลอย่างอื่น ถ้าจะทำงานกันเพื่อความเจริญก้าวหน้าของสังคมประเทศชาติ ทำงานเพื่อประโยชน์สุขของประชาชนก็คิดกันตรงไปตรงมาเรื่องการงานนั้น อย่าเอามาอ้างเรื่องความแตกแยกอะไรต่างๆ ซึ่งมันไม่เป็นจริง ถ้าหากเอาไปอ้างอย่างนั้นคนที่อ้างนั่นแหละ ก็คือคนที่จิตใจไปติดอยู่ ยึดอยู่กับเรื่องความแปลกแยก เรื่องความรังเกียจเดียดฉันท์เป็นเรื่องของคนคิดสั้นมองแคบ จนมองไม่เห็นความเป็นจริง ก็ขอให้อยู่กับความเป็นจริง ก็เห็นจะขอหยุดไว้เพียงเท่านี้ก่อนละเอาละ ก็เลยพูดอะไรต่ออะไรกันไปเรื่อย ๆ