แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ไฟล์ถอดเสียงนี้ยังไม่ได้ผ่านพิสูจน์อักษร นำขึ้นมาเพื่อช่วยในการศึกษาค้นคว้าของผู้สนใจ
ขอเจริญพร เมื่อวานนี้อาตมภาพได้พูดถึงพุทธคุณข้อที่ 1 คือข้อ อรหํ ซึ่งแปลว่าพระอรหันต์ ทีนี้ คำว่า อรหันต์ นั้น เป็นคำที่ใช้ได้ทั่วไป ไม่ใช่เฉพาะพระพุทธเจ้าเท่านั้น เพราะฉะนั้นก็เลยมีการแยกว่า อรหันตสัมมา สัมพุทธเจ้ากับอรหันตสาวก ถ้าพระพุทธเจ้าเราก็เรียกว่าเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ถ้าเป็นพระอรหันต์ องค์อื่น เช่น พระสารีบุตร พระโมคคัลลานะเป็นต้น ก็เป็นพระอรหันตสาวก
ก็จะเห็นว่า คำที่ทำให้ต่างกันก็คือคำว่า สัมมาสัมพุทธะ กับคำว่า สาวก
สาวกนั้นก็แปลว่า ผู้ฟังตาม คือเป็นลูกศิษย์ และก็อีกคำหนึ่งคือ สัมมาสัมพุทธะ หรือ สัมมาสัมพุทธเจ้า ก็คือคำที่หมายถึงพระพุทธเจ้าที่เป็นพระศาสดา คำที่แสดงถึงความแตกต่างก็คือคำว่า สัมมาสัมพุทธะ
สัมมาสัมพุทธะ นี่ก็เป็นพุทธคุณบทที่ 2 อย่างที่เราสวดกันว่า อรหํ สมฺมาสมฺพุทฺโธ เพราะฉะนั้นในพุทธคุณ บทที่ 2 นี้ที่กำลังจะพูดในวันนี้ ก็คือบทที่แสดงถึงความเป็นพระพุทธเจ้าที่แท้จริง เมื่อวานนี้เป็นการกล่าวถึง พุทธคุณบทที่เป็นคุณสมบัติเหมือนๆ กันสำหรับพระอรหันต์องค์อื่นด้วย
พระพุทธเจ้าเคยตรัสแสดงความแตกต่างไว้ระหว่างพระองค์กับพระอรหันต์องค์อื่นๆ ที่เป็นสาวก ซึ่งอาตมภาพเคยพูดครั้งหนึ่งแล้ว แต่ว่าจะนำมาทบทวน พระพุทธเจ้าเคยตรัสถึงพระองค์กับพระอรหันต์องค์อื่น พระอรหันต์ที่พระองค์ตรัสถึงนั้นเป็นพระอรหันต์ระดับที่สามัญที่สุด ซึ่งเรียกว่าพระปัญญาวิมุต คือพระอรหันต์ นั้นก็มีหลายระดับเหมือนกัน ที่ว่าแบ่งเป็นหลายระดับก็เพราะว่ามีความสามารถไม่เหมือนกัน มีคุณสมบัติพิเศษ ต่างกันออกไป
พระอรหันต์ระดับสามัญที่สุดเรียกว่า พระปัญญาวิมุต คือหลุดพ้นด้วยปัญญาแท้ๆ ล้วนๆ มีสมาธิก็เพียง แค่พอให้เป็นพื้นฐานสำหรับได้เจริญปัญญาเท่านั้น ถ้าเป็นพระอรหันต์ที่มีความสามารถมากกว่านั้น ก็คือว่า นอก จากว่าจะมีปัญญาทำให้กำจัดกิเลสได้หลุดพ้นแล้ว ก็ยังมีสมาธิที่มีกำลังแข็งกล้ามาก คือได้ฌานระดับสูงๆ จนกระ ทั่งเป็นผู้ที่ทำอะไรๆ พิเศษอย่างที่เราเรียกว่ามีฤทธิ์ เช่นมีหูทิพย์ ตาทิพย์เป็นต้น พระอรหันต์พวกนั้นไม่ใช่พระ ปัญญาวิมุต เป็นพระอรหันต์ที่มีความสามารถพิเศษ เราเรียกว่าท่านผู้ทรงอภิญญาบ้าง ท่านผู้ทรงไตรวิชชาอะไร พวกนี้ เป็นพระอรหันต์ที่ต่างออกไป
ทีนี้พระปัญญาวิมุตเป็นพระอรหันต์ระดับสามัญที่สุด ไม่มีฤทธิ์ ไม่มีความสามารถพิเศษ
พระพุทธเจ้าก็เคยตรัสความแตกต่างระหว่างพระองค์กับพระอรหันต์ระดับสามัญที่เรียกว่าปัญญาวิมุตนี้ไว้ว่า พระปัญญาวิมุตนั้นก็เป็นผู้ที่หลุดพ้นแล้วเพราะไม่มีจิตถือมั่นขันธ์ทั้ง 5 ส่วนพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเช่น อย่างพระองค์ก็เป็นผู้หลุดพ้นเพราะไม่ยึดถือมั่นขันธ์ 5 เช่นเดียวกัน แล้วอะไรเล่าเป็นข้อแตกต่างที่ทำให้ พระองค์มีความเป็นพิเศษออกไป
พระองค์ก็ตรัสเฉลยต่อไปว่า พระองค์คือพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น เป็นผู้ยังมรรคา หรือทาง ที่ยังไม่เกิดให้เกิดขึ้น เป็นผู้ประกาศให้ประชุมชนได้รู้จักมรรคาหรือมรรค ทางปฏิบัตินี้ และก็เป็นผู้ฉลาดในทาง เป็นผู้เชี่ยวชาญชำนาญในทางนั้น ส่วนพระอรหันต์ปัญญาวิมุตนั้น เป็นผู้ดำเนินตามมรรค หรือดำเนินมรรคา เป็นผู้เข้ามาสมทบในภายหลัง
นี่คือข้อแตกต่าง ก็เป็นอันว่าพระพุทธเจ้านั้นมีฐานะเป็นผู้ประกาศทาง หรือเป็นผู้ค้นพบนี่แหละ นี่คือ ข้อแตกต่าง
ทีนี้การที่จะเป็นผู้ค้นพบได้และประกาศได้นี่แหละคือความสามารถพิเศษ ซึ่งจะต้องเป็นผู้ที่มีปัญญา ยอดเยี่ยมจริงๆ แล้วคุณสมบัตินี้ก็อยู่ในข้อที่ 2 นี้ คือข้อว่า สัมมาสัมพุทโธ
นี้พุทธคุณบทที่ 2 ที่เรียกว่า สัมมาสัมพุทโธ นั้น แปลตามศัพท์ว่า ผู้ตรัสรู้เองโดยชอบ หรือ ผู้ตรัสรู้ เองโดยถูกต้องสมบูรณ์ หมายความว่าไม่มีครูอาจารย์สั่งสอน บางท่านก็อาจจะแย้งบอกว่า เอ๊ะ ก็พระพุทธเจ้า ตั้งแต่พระองค์ประสูติมาก็มีครูนี่ เช่นว่า ตอนที่เป็นเจ้าชายสิทธัตถะยังทรงพระเยาว์อยู่ ก็เล่าเรียนศึกษากับครู ที่ชื่อว่า วิศวามิตร และหลังจากนั้นมา แม้แต่ออกผนวชแล้ว ก็ได้ไปเรียนในสำนักของอาฬารดาบส กาลามโคตร อุทกดาบส รามบุตร จะว่าไม่มีครูได้อย่างไร
ก็เฉลยได้ว่า สำหรับสิ่งที่รู้แล้วทำให้เป็นพระพุทธเจ้านั่นแหละไม่มีครู เจ้าชายสิทธัตถะอาจจะมีครู แต่ ว่าพระพุทธเจ้าไม่มีครู ไม่มีคนตรัสรู้ก่อนพระองค์ ถ้าหากว่ามีคนสอนให้พระองค์เป็นพระพุทธเจ้าได้ อย่างนั้น เรียกว่ามีครู
ทีนี้พระองค์นี่ตรัสรู้ธรรมะที่ทำให้เป็นพระพุทธเจ้าเอง เพราะฉะนั้น ความเป็นพระพุทธเจ้านี่ไม่มีครู ก็จึงเรียกพระองค์ได้ตรัสรู้เองโดยชอบ
นี้การที่ตรัสรู้เองโดยชอบนั้น ก็คือเป็นลักษณะของการค้นพบ ค้นพบความจริงที่มีอยู่แล้ว แต่ว่าไม่มีใครรู้ พระองค์มีปัญญาสูงสุด คือได้อบรมปัญญามาจนกระทั่งรู้ได้ ลักษณะที่พระองค์ได้รู้นี้ เราเรียกง่ายๆ ว่า การค้นพบ ซึ่งต่างจากในลัทธิศาสนาอื่นๆ ในหลายลัทธิศาสนาเขาจะอ้างว่า พระศาสดานั้นได้รับการดลบันดาลใจจากเทพเจ้า หรือว่าพระผู้เป็นเจ้า หรือพระผู้เป็นเจ้ามาสำแดงพระองค์ มาไขความรู้ให้ มาบอกแจ้งให้ แต่พระพุทธเจ้านั้นทรง ประกาศว่าพระองค์นั้นได้ฝึกอบรมพระปัญญาของพระองค์ตั้งแต่เป็นมนุษย์นี่ จนกระทั่งได้มีปัญญาความรู้ แจ่ม แจ้งสูงสุด และก็ค้นพบสัจธรรมด้วยตนเอง
เพราะฉะนั้น สัจธรรมนั้นว่าที่จริงแล้วเป็นสิ่งที่มีอยู่ดำรงอยู่ตามธรรมดา ถ้าหากว่าใครมีปัญญา ได้ฝึก อบรมมาโดยสมบูรณ์แล้ว ก็จะรู้เข้าใจค้นพบธรรมะนั้น และผู้นั้นก็จะเป็นพระพุทธเจ้า นี่ก็คือลักษณะของ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรา
พระองค์เคยตรัสบอกว่า อุปฺปาทา วา ภิกฺขเว ตถาคตานํ อนุปฺปาทา วา ตถาคตานํ พระตถาคตทั้งหลาย จะอุบัติขึ้นหรือไม่ก็ตาม สภาวะที่เป็นตัวธรรมะแท้ๆ นั้น ก็มีอยู่ตามธรรมดา เช่นอย่าง ไตรลักษณ์ ที่บอกว่า สังขารทั้งหลายทั้งปวงไม่เที่ยง สังขารทั้งหลายทั้งปวงคงสภาพอยู่ไม่ได้ ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา เนี่ย พระพุทธ เจ้าจะอุบัติขึ้นมาหรือไม่ก็ตาม มันก็เป็นของมันอยู่อย่างนั้น สังขารมันก็ไม่เที่ยงของมันอยู่อย่างนั้น ถึงแม้พระ พุทธเจ้าไม่เกิดขึ้น สังขารมันก็ไม่เที่ยงของมันอยู่อย่างนั้นเอง
เมื่อพระองค์เกิดขึ้น มันก็ไม่เที่ยงอย่างนั้นแหละ แต่พระองค์นี่รู้ และก็เอามาประกาศ สั่งสอนให้รู้กัน เพราะคนทั้งหลายนี่ไม่รู้ว่าเป็นอย่างนั้น ทั้งๆ ที่สิ่งทั้งหลายก็เป็นอย่างนั้น
หลักธรรมที่พระองค์ค้นพบที่สำคัญๆ ที่แตกต่างจากลัทธิอื่นๆ ก็อย่างเรื่องไตรลักษณ์ในข้อโดยเฉพาะ อนัตตานี้ หลักธรรมสำคัญอย่าง ปฏิจจสมุปปบาท อริยสัจ หรือข้อปฏิบัติอย่าง วิปัสสนา เนี่ย เป็นธรรมที่พิเศษ มีเฉพาะในพระพุทธศาสนา เป็นสิ่งสำหรับค้นพบซึ่งทำให้เป็นพระพุทธเจ้า
ก็เป็นอันว่านี่คือลักษณะของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้แก่ความมีปัญญาพิเศษ ที่ได้ฝึกอบรมมาอย่างดี จนกระทั่งรู้แจ้งสภาวะความเป็นจริงที่มีอยู่ตามธรรมดาซึ่งคนอื่นทั้งหลายไม่รู้ไม่เข้าใจ เมื่อพระองค์ได้ตรัสรู้แล้ว ก็นำเอาธรรมะเหล่านี้มาสั่งสอน แต่สิ่งหนึ่งก็คือสิ่งที่แสดงถึงพระปัญญาความสามารถพิเศษที่มาค้นพบเนี่ย ความรู้จริงอันนี้ทำให้พระองค์มีลักษณะอย่างหนึ่งก็คือการไม่ติดอยู่ในสิ่งทั้งหลายที่คนอื่นเคยติด และเพราะ เหตุที่ไม่ติดนี้เอง จึงทำให้สามารถตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าได้
ความติดนั้น เรียกอีกอย่างหนึ่งว่าความหลับใหล คือคนจำนวนมากเนี่ย ก็หลับใหลอยู่กับสิ่งที่เคยรู้ เคยอบรมกันมา แต่พระพุทธเจ้านั้นตื่นขึ้นจากความหลับนั้น
เขาหลับกันอย่างไร เช่นว่า ในสมัยก่อนคนก็มีปัญญา คือปัญญาในระดับของที่ใช้กันทั่วไป ของคนที่เป็น ปราชญ์หรือของคนสามัญ คนทั้งหลายก็มีอยู่เป็นอันมาก มีปัญญาที่จะเล่าเรียนศึกษา ทำมาหาเลี้ยงชีพต่างๆ สอนกันมาให้ขยันหมั่นเพียร รู้จักใช้ปัญญาในการที่จะแสวงหาทรัพย์ ตั้งตัวตั้งหลักฐาน แล้วก็มีชีวิตอยู่ด้วยความ สุขสบายด้วยวัตถุเครื่องบำรุงบำเรอปรนเปรอต่างๆ พระพุทธเจ้าก็ได้พ้นไปจากความสามารถขั้นนี้ คือพระองค์ก็มี ความพรั่งพร้อมในทางวัตถุอย่างที่เรียกว่ากามสุข แต่พระองค์ไม่ติดอยู่กับกามสุขนั้น ก็มีปัญญาตื่นขึ้น ตื่นจาก ความหลับในด้านนี้ ค้นพบสิ่งที่สูงขึ้นไป หรือว่าพวกที่เป็นนักบวชในสมัยโบราณ สละออกจากทรัพย์สมบัติแล้ว ไปอยู่ป่า ไปประพฤติตนเป็นฤาษีชีไพร ก็ไปบำเพ็ญตบะประพฤติทรมานตนด้วยประการต่างๆ อย่างที่เรียกว่า บำเพ็ญตบะ ก็มีมากมาย ดังที่อาตมภาพก็เคยยกตัวอย่างมาแล้ว ที่เขาไปอดอาหาร กลั้นลมหายใจ นอนในกลาง แดด ลงอาบน้ำในฤดูหนาว อะไรเป็นต้น หรือตลอดจนกระทั่งว่านอนบนหนาม ยืนขาเดียวอะไรนี่อย่างที่เคยเล่า ให้ฟัง พวกบำเพ็ญตบะก็บำเพ็ญกันมาและก็สอนกันมา ก็มีปัญญานั่นแหละ ดังที่กล่าวนั้นก็เป็นนักปราชญ์ทั้งนั้น ได้สมาธิได้ฌานก็มี
แต่พระพุทธเจ้านั้นรู้ว่าสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ทางที่ถูกต้อง พระองค์มีความรู้ยิ่งกว่านั้น พระองค์ก็ไม่ติด ก็เรียกว่า เป็นผู้ตื่นจากความหลับใหลในข้อนั้น หรือว่าอย่างที่พราหมณ์สอนกันมา พราหมณ์ก็เป็นผู้มีความรู้ดี เป็นนักวิชาการ นักปราชญ์ในสมัยนั้น เขาก็สอนกันมาให้นับถือว่า เทพเจ้าเป็นผู้ดลบันดาลสิ่งต่างๆ พระพรหมเป็นผู้ลิขิตชีวิต เป็นผู้สร้างโลก ให้เราเอาใจ เทพเจ้าด้วยการบูชายัญ เป็นต้น เขาก็นับถือกันมาและก็สั่งสอน คนที่ได้เล่าเรียน อย่างพราหมณ์นี่ ก็ถือว่าเป็น นักปราชญ์มีปัญญามาก
แต่พระพุทธเจ้าทรงรู้ความจริงยิ่งไปกว่านั้น ก็เห็นว่า การประพฤติความเชื่อถือเหล่านั้นไม่ถูกต้อง จะไป มัวเอาใจเทพเจ้าอยู่ว่ามาบันดาลโน่นบันดาลนี่ ไปขออ้อนวอนต่างๆ นั้นยังไม่ถูกต้อง พระองค์ก็ตื่นจากความ หลับใหล ไม่มัวหลวงหมกมุ่นอยู่ในลัทธิทฤษฎีของพราหมณ์เหล่านั้น ก็ถอนพระองค์ออกได้ ท่านตรัสรู้ความจริง คือสิ่งที่เป็นเหตุเป็นผล เข้าใจสภาวะที่มีอยู่ตามธรรมดา ก็นำมาสั่งสอน
นี้เมื่อพระองค์มีปัญญาที่ทำให้พระองค์เองตื่นจากความหลับแล้ว พระองค์ก็นำเอาธรรมะที่พระองค์ได้ รู้นั้นมาสอนคนอื่น เรียกว่าปลุกคนอื่นให้ตื่นตามไปด้วย
คำว่าสัมมาสัมพุทธะนั้น นอกจากแปลว่า ตรัสรู้เองโดยชอบ คำว่า พุทธะ ก็แปลว่า ตื่น ก็ได้ เพราะฉะนั้น ในความหมายหนึ่งก็คือ เมื่อรู้ความจริงโดยแจ่มแจ้งสมบูรณ์แล้ว ก็เป็นผู้ตื่น ตื่นจากความหลับใหลในความไม่รู้ หรืออวิชชา มากลายเป็นผู้รู้แจ่มแจ้ง จิตใจเป็นอิสระ ไม่หลงยึดติดมั่นอยู่ในสิ่งที่เชื่อกันมาโดยไม่ถูกต้อง นี้พระองค์ ก็นำเอาความรู้นั้นมาสั่งสอนผู้อื่น เรียกว่าปลุกผู้อื่นให้ตื่นตาม
ในการที่ทรงสั่งสอนนั้นก็ต้องนำเอาธรรมะมาจำแนกแยกแยะ สอนให้เหมาะกับบุคคล เหตุการณ์ ให้ตรง กับพื้นอัธยาศัยที่จะให้เขาเข้าใจได้ เพราะฉะนั้น คำว่า ธรรมสั่งสอนของพระองค์ก็มีมากมายอย่างที่เรารู้กันว่า ในพระไตรปิฎกนั้น นับกันว่า 84000 พระธรรมขันธ์ เหมือนอย่างที่พิมพ์ในอักษรไทยก็มีถึง 45 เล่ม
พระองค์ก็ทำหน้าที่ปลุกผู้อื่นนี่ให้ตื่นจากความหลับใหลอย่างที่กล่าวมาข้างต้นนั้น ยกตัวอย่างเช่น อย่าง แม้แต่พระราชา พระมหากษัตริย์ผู้ปกครองแผ่นดินก็ย่อมนับถือตามความเชื่อถือที่มีมาแต่โบราณ มีการบูชายัญ เป็นต้น พระองค์ก็สอนให้เขาหลุดพ้น เลิกพิธีบูชายัญแบบนั้น
อาตมภาพจะเล่าเหตุการณ์ครั้งหนึ่ง คือพระเจ้าแผ่นดินแคว้นโกสล ชื่อว่าพระเจ้าปเสนทิโกศล พระองค์ ก็นับถืออย่างพราหมณ์เนี่ย มีปุโรหิตเป็นที่ปรึกษา ราตรีหนึ่งพระองค์บรรทมหลับไป และก็ได้ยินเสียงร้องโหยหวน น่ากลัวเป็นระยะๆ ก็ตกพระทัยเป็นอันมาก กลางคืนนั้นก็ไม่เป็นอันว่าจะได้บรรทมหลับ เพราะว่าความหวาดกลัว ก็รอจนกระทั่งสว่างแล้ว ก็ปรึกษากับโหร ปุโรหิตที่ประจำราชสำนักว่า พระองค์ได้บรรทมหลับแล้วก็ได้ยินเสียง น่ากลัวนี้ ก็ขอให้ทำนายทายทักว่ามันจะมีปัญหาอะไรเกิดขึ้น โหรก็ไม่มีความรู้จริงอะไร ก็คำนวณไปมาก็ทำนาย บอกว่า อันนี้จะมีอันตรายต่อพระชนม์ชีพของพระองค์
พระองค์ก็ปรึกษาว่า โอ แล้วจะทำยังไง จะแก้ไขได้ยังไง ปุโรหิตก็บอกว่าจะต้องบูชายัญ บูชายัญด้วย สัตว์ชนิดต่างๆ อย่างละ 500 ประมาณสัก 4 หรือ 5 ชนิด ก็ถ้า 4 ชนิดก็ 2000 ตัว 5 ชนิดก็ 2500 ตัว มีโค เป็นต้น โคผู้ 500 ลูกโคผู้ 500 ลูกโคเมีย 500 มีแพะ มีแกะอะไรอีกอย่างละ 500 ๆ
พระเจ้าปเสนทิโกศลก็เตรียมการจัดบูชายัญขึ้น ก็ต้องใช้ระดมกำลังคนงานอะไรต่างๆ มาเอาสัตว์มาผูก เสียงร้องกันระงมไปหมด เป็นที่น่าเวทนา พระสงฆ์ท่านมาบิณฑบาตที่เมืองและก็มาเห็นเหตุการณ์นี้ ก็นำกลับไป เล่าให้พระพุทธเจ้าฟัง พระพุทธเจ้าก็ทรงทราบไว้แล้ว
ทีนี้ทางฝ่ายในพระราชวังนั้น พระนางมัลลิกาเทวีนั้น เป็นพุทธสาวกที่มีสติปัญญามากและก็เป็นอริยบุคคล เป็นมเหสีของพระเจ้าปเสนทิโกศล ได้เห็นว่าพระเจ้าปเสนทิโกศลจะทำไม่ถูกต้องแล้ว ก็เลยหาทางโน้มน้าวพระ ทัย ให้ก่อนที่จะบูชายัญให้เสร็จสิ้นนี่ ขอให้ไปเฝ้าพระพุทธเจ้าเสียก่อน ก็เลยตกลงในที่สุด พระเจ้าปเสนทิโกศลก็ ไปเฝ้าพระพุทธเจ้า ก็ได้เล่าเรื่องราวให้ฟัง
พระพุทธเจ้าท่านก็ทรงตรัสสอนให้เห็นว่า มันไม่เป็นการถูกต้องที่จะทำเช่นนั้น จะต้องเอาชีวิตสัตว์ตั้ง 2000 หรือ 2500 ตัว มาแลกกับชีวิตของพระองค์ เพื่อให้พระองค์เป็นอยู่ และก็มันก็ไม่มีเหตุผลสมควร และ พระองค์ก็สั่งสอนต่างๆ ในที่สุดพระเจ้าปเสนทิโกศลก็ล้มเลิกพิธีบูชายัญนั้นไป และก็ทำในทางที่ถูกต้อง
อันนี้ก็เป็นตัวอย่างที่พระพุทธเจ้าได้ทรงปลุกคนอื่นให้ฟื้นขึ้นจากความหลับใหล ให้มาอยู่ในวิถีทางของ ความเป็นเหตุเป็นผล ให้รู้เข้าใจแจ้งในสภาวะในความเป็นจริงต่างๆ
เราเกิดมาภายหลังก็เป็นพุทธสาวกก็มาเล่าเรียนคำสั่งสอนของพระองค์ซึ่งเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างที่กล่าวแล้วว่า ธรรมะของพระองค์นั้นก็มีมากมายเหลือเกิน พระองค์ได้สั่งสอนไว้ก็เพื่อให้เหมาะสมกับจริตอัธยาศัย ของบุคคล หรือตามที่จะมีเหตุการณ์ปรารภเกิดขึ้น
ในเมื่อพระองค์เป็นสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว เราผู้เป็นสาวกก็พึงพยายามดำเนินตามพระองค์ โดยการที่ศึกษา พระธรรมคำสั่งสอนเพื่อให้รู้แจ้งเห็นจริงสืบต่อไป จะได้รับประโยชน์ตามสมควรแก่การศึกษาและการปฏิบัติ
ในการที่กล่าวถึงพุทธคุณบทสัมมาสัมพุทโธนี้ อาตมภาพก็ขอตั้งความปรารถนาดี ขอให้โยมทุกท่านได้ ประสบความสำเร็จ มีความก้าวหน้างอกงามในการศึกษาพระธรรมคำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั่วกันทุก ท่าน ขออนุโมทนา เจริญพร คือพระสุกขวิปัสสกนี่ก็ นับได้ว่าเป็นพระปัญญาวิมุตเหมือนกัน แต่เป็นปัญญาวิมุตขั้นต้นที่สุด
โยม : แล้วปัญญาวิมุติมีกี่ระดับ
พระอาจารย์ : มีหลายระดับ มีปัญญาวิมุตตั้ง 5 ขั้น ก็ระดับต้นสุดนี่ก็พระสุกขวิปัสสก แต่ในพระบาลี ปกติท่านจะไม่แยก ท่านจะเรียกว่าปัญญาวิมุตเฉยๆ แต่ในอรรถกถานั้นมาแยกอีก พระสุกขวิปัสสกก็แปลว่าผู้เห็นแจ้งอย่างแห้งแล้ง นี่แปลกันตามศัพท์ หมายความว่ามีแต่วิปัสสนาล้วนๆ นั่นเอง วิปัสสนาล้วนๆ ก็หมายความว่า ตอนที่เจริญวิปัสสนาไม่ได้ฌานแม้แต่ชั้นเดียว นี่อย่างพระปัญญาวิมุตนั่นยังมีขั้นที่ว่าได้ฌาณต่างๆ ถึง 4 ก็มี แต่ว่าไม่ได้อรูปฌาน ก็เรียกปัญญาวิมุต ในระดับพวกนี้ ที่ยังได้ฌานแค่ขั้นต้นๆ เรียกว่าพระปัญญาวิมุตหมด และท่านที่ไม่ได้เลยสักฌานเดียว เรียกว่าพระสุกขวิปัสสก
โยม : ไม่ได้ฌานนี่ก็สามารถ
พระอาจารย์ : ก็เจริญวิปัสสนาได้ แต่ก็ได้สมาธิขั้นต้น สมาธิขั้นที่ยังไม่เป็นฌาน เรียกว่าสมาธิอย่างขั้นขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ พวกนี้ ยังไม่เป็นฌาน ก็เจริญไปจนกระทั่งถึงสุดท้าย เมื่อจะบรรลุมรรคผลเนี่ย จึงจะได้ฌาน ได้จิตเป็นอัปปนา จิตเป็นถึงขั้นฌาน ตอนนั้นก็แค่ชั้นปฐมฌาน เจริญพร
โยม : ปัญญาวิมุตแล้ว
พระอาจารย์ : อ๋อ ปัญญาวิมุตแล้วก็ อุภโตภาควิมุต ซึ่งอุภโตภาควิมุตนี่ก็แบ่งอีกเป็น 5 ขั้น อุภโตภาควิมุตก็แปลว่า ผู้ได้ทั้งปัญญา อย่างพระปัญญาวิมุตนี้ด้วย แล้วก็ได้ฌานสมาบัติด้วย ได้สมาธิขั้นสูง ก็เลยว่าได้ทั้ง 2 ด้าน ไม่ใช่ได้เฉพาะปัญญาอย่างเดียว เนี่ย อุภโตภาควิมุตเนี่ย ก็ไปมีความสามารถต่างๆ กันอีก เป็นอุภโตภาควิมุตเนี่ยได้เฉพาะวิชชา 3 เรียกว่าไตรวิชชา หรือ เตวิชชะ แล้วอุภโตภาควิมุตที่ท่านได้อภิญญา 6 ก็เป็น ฉฬภิญโญ นี่ก็ต่างกัน หมายความว่าในอุภโตภาควิมุตก็มีความแตกต่าง แต่เรียกรวมๆ กัน ท่านที่มีความสามารถพิเศษในด้านสมาธิจนถึงขั้นฌานสมาบัตินี้ด้วย เรียกว่าเป็น อุภโตภาควิมุตทั้งหมด รวมกันก่อน ยังไม่แยก เพราะฉะนั้น ถ้าเอาง่ายๆ ที่สุด พระอรหันต์ก็มี 2 ประเภทคือ ปัญญาวิมุต กับอุภโตภาควิมุต อันนี้เป็นหลักใหญ่ และใน 2 ฝ่ายนี่ก็ไปแยกซอยออกไปอีก
โยม : ได้ฌานสมาบัติ แล้วก็ได้ฌาน 4
พระอาจารย์ : ได้ฌาน 4 แล้ว ต้องรวมไปถึงเรื่องอรูปฌานอีก เป็นฌาน 8 คือได้ฌาน 8 ไม่ได้แค่ 4 ก็สำหรับท่านเหล่านั้น ก็อุภโตภาควิมุตขั้นสูงๆ อ่ะเป็นเตวิชชะ เป็นฉฬภิญญะ