แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ไฟล์ถอดเสียงนี้ยังไม่ได้ผ่านพิสูจน์อักษร นำขึ้นมาเพื่อช่วยในการศึกษาค้นคว้าของผู้สนใจ
ขอเจริญพร โยมญาติมิตรสาธุชนผู้มีจิตศรัทธาทุกท่าน วันนี้กาลเวลาก็ได้เวียนมาครบรอบปีครั้งหนึ่งบรรจบวันมาฆบูชา วันเวลาผ่านไปเรารู้สึกกันเสมอว่ารวดเร็วเหลือเกิน ความจริงปีนี้เป็นปีที่ช้าด้วยซ้ำไปเพราะว่ามีเดือน 8 สองหน วันมาฆบูชาซึ่งตามปกติจะมาถึงในวันเพ็ญกลางเดือน 3 ปีนี้ก็เลื่อนมาเป็นกลางเดือน 4 เท่ากับว่าช้าไปตั้ง 1 เดือน แล้วก็ยังรู้สึกว่าเร็วอยู่นั่นเอง ก็รวมความก็เป็นอันว่าบรรจบ 1 ปีแล้ว 1 ปีนี้ก็มีความหมายสำคัญ แต่ว่าความหมายนี้เป็นความหมายที่ดีเป็นบุญเป็นกุศล เป็นวันที่เราได้มาจะทำพิธีบูชาพระรัตนตรัยก็ทำจิตใจก็เราให้ดีงามเป็นบุญเป็นกุศล เพียงว่าโยมตื่นขึ้นมาวันนี้นึกถึงวันมาฆบูชาจะไปวัดก็ใจดี ใจมีบุญกุศลด้วยศรัทธาเป็นต้น มีหลายท่านก็เริ่มด้วยการตักบาตร เราก็เริ่มวันด้วยการทำบุญ จิตใจดีงาม ก็เป็นจิตใจที่เป็นนิมิตแห่งความเจริญงอกงามและความสุขต่อไป เราก็ถือเป็นประเพณีมาแต่ไหนแต่ไรว่าให้เริ่มต้นวันด้วยกุศลความดี แล้ววันนี้ก็เป็นวันพิเศษ เราก็เริ่มต้นด้วยการทำบุญตักบาตรถึงแม้จะไม่มีโอกาสก็ทำจิตของเรานี้ให้ระลึกถึงพระรัตนตรัยก็เป็นการเริ่มต้นที่ดีอยู่แล้ว ต่อจากนั้นหลายท่านก็ไปวัดไปที่โน่นที่นี่ หรือแม้อยู่บ้านก็อาจจะตั้งใจว่าวันนี้สวดมนต์รักษาศีลก็เป็นเรื่องที่ดีงามทั้งสิ้น หลายท่านเดินทางไปไกล ๆ วันนี้เมื่อเช้านี้ก็มี ญาติโยมที่วัดบอกว่า มีคณะหนึ่ง ตอนแรกบอกว่ามาจากวัดชลประทานจะมาขอมาพบ พอไปพบกลายเป็นว่าจะไปวัดชลประทาน คือมาจากเมืองชล ก็เมืองชลเหมือนกัน มาจากเมืองชลแล้วก็จะไปวัดชลประทานด้วย ก็มาแวะที่นี่จะไปหาหลวงพ่อปัญญานันทะไปกราบท่าน ก็ทำอย่างนี้ก็ถือว่าเป็นการทำบุญชนิดหนึ่ง เราเรียกว่าเป็นธรรมะยาตรา ก็หมายความว่าพอถึงวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาแทนที่จะไปเที่ยว เป็นเรื่องสนุกสนานอย่างอื่นเราก็ไปในเรื่องบุญกุศลไปเยี่ยมวัดโนนวัดนี้ ก็ดีทั้งนั้นเรียกว่าญาติโยมก็มีวิธีการต่าง ๆ ในการที่จะทำให้วันนี้มีความหมาย แต่ในที่สุดก็ต้องให้ประสานกัน ก็ให้ทุกส่วนของชีวิต แล้วก็สังคมเนี่ยเป็นเรื่องของความดีงามเป็นบุญเป็นกุศลประสานทั้งเรื่องพระศาสนาเรื่องธรรมะ แล้วก็วัฒนธรรมประเพณีของเราให้ได้ทุกอย่าง
โดยเฉพาะก็คือว่าให้แต่ละคนเนี่ยถึงวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาให้เป็นจุดบรรจบประสานที่ดีงาม ที่ว่า
1 ชีวิตของเรากายใจของเราประสานกันเป็นบุญเป็นกุศล กายของเราก็อยู่ตามปกติอยู่แล้ว เราก็ชำระล้างอาบน้ำเป็นต้นให้มีความสะอาดหมดจด อันนั้นเป็นเพียงส่วนภายนอก ทีนี้ข้างในจิตใจก็ทำจิตใจให้สะอาดผ่องใส แล้วก็มาบรรจบกันทางสังคมมีใจปรารถนาดีต่อกันมาร่วมกันในพิธีที่เป็นบุญเป็นกุศล มาพบกับพระเป็นสิริมงคล เรียกว่า สมานะทัตสะนะเจตังมังคะมุตตะมัง การได้มาเยี่ยมเยียนพบเห็นสมณะ เมื่อเป็นไปด้วยชอบ ก็เป็นสิริมงคล แล้วก็อีกอย่างนึงก็ไม่ควรจะขาดก็คือว่าให้ประสานกับธรรมชาติ ถ้าได้อย่างนี้ก็คิดว่าครบบริบูรณ์ เพราะว่าคนสมัยปัจจุบันนี้ไม่ค่อยครบถ้วนอย่างนี้ ชีวิตนี่แตกกระจายไปคนละด้าน ละด้าน กายไปทาง ใจไปทางหนึ่ง การงานปัจจุบันก็ลากจูงจิตใจไปแล้วไปยุ่งกับเรื่องทางสังคมบางทีก็กลายเป็นเรื่องแข่งขันแย่งชิงมันไม่เป็นไปตามประสาน แล้วก็ห่างจากธรรมชาติอีก พอถึงวันอย่างนี้ เราก็ให้มีความหมายอย่างน้อยก็ได้บรรจบประสานกัน โยมจิตใจดีร่างกายก็มาชุมนุมเป็นกายสามัคคี แล้วก็มาพบกับธรรมชาติที่ดีงาม มาร่วมทำบุญด้วยกันสังคมก็ดี ทางด้านธรรมชาติก็ดีกายใจเราดีหมดแล้วก็ให้ปัญญาด้วย ปัญญาก็จะเป็นตัวที่จะช่วยให้เราเจริญพัฒนายิ่ง ๆ ขึ้นไปนี่ก็เป็นความหวังว่าเราจะพยายามทำให้วันสําคัญทางพระพุทธศาสนามีวันมาฆบูชาเป็นต้น นี่เป็นวันที่มีความหมาย อันนี้ก่อนที่จะพูดต่อไปในเรื่องมาฆบูชานี้ก็
ต้องขอประทานอภัยโยมญาตินิดหน่อย เพราะว่าบางท่านยังข้องใจอยู่ แล้วเดี๋ยวจะพูดต่อไปก็ไปติดค้างอยู่ในใจแล้วก็เลยใจไม่เป็นอันได้ตั้งจิตตั้งใจฟังในสิ่งที่พูด ก็เลยแก้ข้อสงสัยด้วยขอเวลานิดหน่อยมาพูดเรื่องที่เกี่ยวกับส่วนตัวนิดนึง ความจริงวันนี้เป็นวันของพระพุทธเจ้า พระรัตนตรัย พระสงฆ์ ก็ต้องไม่ควรจะไปเข้าไปใช้เวลาของท่านแต่ว่า เพื่อให้การใช้เวลานั้นได้เป็นไปโดยปลอดโปร่งมีเรื่องอะไรก็เลยชำระเสียก่อน ก็คือโยมก็คงมาสงสัย ตั้งแต่เช้าก็มีท่านจะอยู่ในวัดไปบอกว่าเนี่ย ท่านจะลงหรือเปล่าวันนี้อะไรนี่ ก็ความจริงก็เพลียมากอยู่ก็ ก็บอกว่าจะพยายามลง นี่โยมก็สงสัยเรื่องว่า ผ่าตัดว่ากันมานานแล้วยังไม่ได้ผ่าสักที ก็นี่ก็อยู่ต้องผ่านั่นแหละก็นัดแล้วนัดอีกเลื่อนมาในราวซัก 4 หรือ 5 ครั้งนี่ก็จะไม่เล่าเหตุแล้วว่าทำไมถึงเลื่อน เอาไปว่าเป็นตัวอย่างครั้งหนึ่ง ครั้งที่ใกล้ ๆ นี้ ก็คือ คุณหมอกำหนดไว้ตกลงกันวันที่ 8 นี่ อีก 3 วัน นี้พอกำหนดกันแล้วก็ไม่ช้าก็มีหมอบางท่านที่ท่านหวังดีแล้วก็ได้ดูได้ฟังอาการ แล้วก็บอกว่าร่างกายท่านเนี่ยยังไม่เหมาะไม่พร้อมสำหรับการผ่าตัดก็เลย เอ้า ฟังกันไปกันมา คุยกันไปกันมา ก็เลยเลื่อนต่อไป ก็เลยเป็นเรื่องที่ต้องเลื่อนไป เลื่อนก็ไม่เป็นไร เลื่อนไป ๆ ก็ดีเหมือนกัน คือเลื่อนทีหนึ่งอาตมาได้กำหนดใหม่ก็เอามาตั้งเป็นเงื่อนไขกับตัวเองว่า เอาละกำหนดถึงวันผ่าตัดนั้นจะต้องให้หนังสือเล่มนี้เสร็จอีกเล่มหนึ่ง แล้วก็เลื่อนกันไปกันมาก็ได้หนังสือ 3 เล่ม ก็ไม่เป็นไร ถ้าเลื่อนอีกทีก็ยังคิดว่าจะเอาเล่มไหนซะอีกเล่มหนึ่ง ก็ดูกันอีกที แต่ว่าถึงยังไงก็ตามก็เป็นเหตุที่ต้องขอประทานอภัยโยมญาติมิตร ก็คือว่าหลายท่านมีจดหมายบ้าง ให้เขียนอธิบายอะไรให้บ้าง แล้วก็เลยทำให้งานของท่านเหล่านั้นพลอยชะงักล่าช้า ก็เพราะเหตุด้วยจำเป็นต้องเร่งเรื่องราวที่เป็นส่วนรวม นั้นก็เลยถือโอกาสขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วยว่าเรื่องที่เป็นของแต่ละท่านนั้นก็ล่าช้าไป ถ้ายังไม่เสร็จก็ขอให้เข้าใจ เรื่องเหตุเรื่องผลอย่างที่ว่ามานี้ นี้พอเราทำความใจกันอย่างนี้แล้ว ทีนี้ก็มาคุยกันเรื่องวันมาฆบูชาจะได้ปลอดโปร่งใจเรื่องที่จะสงสัยก็หมดไปแล้ว
มาถึงเรื่องของวันมาฆบูชา ก็เป็นเรื่องใหญ่ ตามปกติเราก็จะต้องมาพูดกันถึงความหมายและเหตุการณ์ที่เราเกี่ยวข้องปรารภในการที่จะทำมาฆบูชา คือการบูชาในวันเพ็ญเดือน 3 อันนี้ อาตมาภาพก็เคยพูดในปีก่อน ๆ ว่าญาติโยมพุทธศาสนิกชน ก็ได้ทำบุญกันมาเป็นประจำทุกปี ทุกปี เราไม่จำเป็นจะต้องพูดกันทุกปี ก็อาจจะทบทวนเพียงเล็ก ๆ น้อย ๆ ในจุดสำคัญ วันมาฆบูชาก็คือวันจาตุรงคสันนิบาตที่ว่ามีการประชุมพร้อมด้วยองค์ 4 ประการ ปีนี้จะไม่กล่าวรายละเอียดแล้วองค์ 4 ประการมีอะไรบ้าง ให้โยมทบทวนในใจ แล้วเด็กก็ไปถามคุณพ่อคุณแม่ กลับไปถ้าตัวเองยังนึกไม่ออกนะ กลับไปต้องขอให้ไปถามคุณพ่อคุณแม่ด้วยถ้าคุณพ่อคุณแม่ต้องเตรียมตัวนะ ต้องตอบลูกให้ได้ด้วย ก็นี่ก็จาตุรงคสันนิบาตปีนี้ไม่บอก นี้จาตุรงคสันนิบาตนั้นไม่ใช่เป้าหมายสำคัญเพียงว่าพระพุทธเจ้าทรงปรารภ แล้วก็จึงแสดงโอวาทปาติโมกข์ เพราะฉะนั้นเป้าหมายของจาตุรงคสันนิบาตนี้อยู่ที่โอวาทปาฏิโมกข์ อย่าไปติดอยู่แค่จาตุรงคสันนิบาต ถ้าไม่มีโอวาทปาฏิโมกข์จาตุรงคสันนิบาตนี้ก็จะหายไปเลย ก็จะไม่ปรากฏขึ้นมาเป็นประวัติศาสตร์มีเหตุการณ์ที่จะมีมาฆบูชา นั้นข้อสำคัญอยู่ที่โอวาทปาฏิโมกข์ นี้ตัวโอวาทปาฏิโมกข์นั้น ก็แปลว่าโอวาส หรือพระดำรัสสอนที่เป็นหลักเป็นประธาน ถ้าจะพูดกันภาษาง่าย ๆ สั้น ๆ ก็บอกว่าคำสอนแม่บท นี่ก็สั้นที่ีสุด นี้คำสอนแม่บทนี้ก็แสดงแก่พระอรหันต์ล้วน เพราะฉะน้้นก็เป็นโอวาทที่ว่าไม่มีรายละเอียดมาก คือรู้กันแหละ ท่านผู้ที่เป็นพระอรหันต์ก็มีความเข้าใจในเรื่องนี้อยู่แล้ว พอกล่าวตรัสออกมาก็เป็นเพียงเครื่องซักซ้อมนัดหมายให้มีจุดที่จะกำหนดด้วยกันเวลาไปทำงาน ทีนี้วันนี้อาตมาภาพ ก็ถือว่าแม้จะไม่ได้กล่าวถึงรายละเอียดของโอวาทปาติโมกข์ แต่ก็ถือเป็นการจำเป็นจะต้องทบทวนตัวพระโอวาทปาติโมกข์ ซึ่งมีแค่ 3 คาถา กึ่ง พูดภาษาปัจจุบันก็คือ 3 คาถากับครึ่งคาถา ก็ว่าเป็นภาษาบาลีเลย ถ้าว่ากันทุกปีทุกปี แล้วก็ปีนี้อธิบายข้อนั้น ปีนั้นอธิบายข้อโน้นเลยเนี่ยต่อไปก็จะชัดเจนไปหมดทุกข้อ พอพูดหัวข้อขึ้นมาก็จะได้กระจ่างในใจไปเลย นี้วันนี้อาตมาภาพก็จะขอกล่าวคำภาษาบาลีที่เป็นคาถา เอาโยมต้องยอมละ ยอมให้เวลากับตัวคาถาภาษาบาลีนี้ ก็ไม่เริ่มด้วย ขันตี ปะระมัง ตะป ตีติกขา นิพพานัง ปะระมัง วะทันติ พุทธา นะหิ ปัพพะชิโต ปะรูปะฆาตี สะมะโณ โหติ ปะรัง วิเหฐะยันโต นี้ คาถาที่ 1 แล้ว 1 คาถา ต่อไปตอนที่ 2 หรือท่อนที่ 2 สัพพะปาปัสสะ อะกะระณั กุสะลัสสูปะสัมปะทา สะจิตตะปะริโยทะปะนัง เอตัง พุทธานะสาสะนัง นี้อีก 1 คาถา ต่อไปก็ท่อนที่ 3 ซึ่งมีคาถากับครึ่งคาถา เรียกว่าคาถากึ่ง อะนูปะวาโท อะนูปะฆาโต ปาติโมกเข จะสังวะโร มัตตัญญุตา จะภัตตัสมิง ปันตัญจะสะยะนาสะนัง อเธิจิตเต จะอาโยโคเอตัง พุทธานะสาสะนัง ก็จบเท่านี้ไม่มาก นี้คนไทยเรานี่ที่จริงชอบคาถาแล้วน่าจะไปท่องกัน แต่ว่าญาติโยมมักจะชอบคาถาประเภทขลัง ก็เลยคาถาที่มีความหมายมีสาระอย่างนี้ไม่ค่อยท่องหรอก กลับไปท่องคาถาที่แปลออกมาไม่รู้เรื่อง คาถาที่ว่าขลังนั้นโดยมาแปลแล้วไม่รู้เรื่อง เพราะว่าจำกันมาท่องต่อกันมาเพี้ยนหมด ไม่รู้ตัวอักขระอะไรมันกลายไป นี้คาถาอย่างนี้ที่จริงขลังที่สุดเลยคาถาของพระพุทธเจ้าแท้ ๆ แล้วก็มีความหมายลึกซึ้งกินความไปได้ครอบคลุมหมดทุกอย่างเลย เราควรจะท่องกันนะ เอาละ ญาติโยมถึงจะท่องคาถาขลังอะไรก็ตามก็ขอให้ท่องคาถาอย่างนี้ว่าเป็นหลักบ้าง แล้วก็นำมาสวดมนต์กันตามวัดนี่ พอดีถึงวันนี้ก็ต้องสวดคาถาโอวาทปาฏิโมกข์ในการทำวัตรด้วย นี้ในคาถาโอวาทปาติโมกข์ 3 คาถากึ่งนี้ วันนี้ก็เป็นอันว่าจะไม่อธิบายทั้งหมดเพราะอธิบายก็คงไม่ไหวเวลาไม่พอแน่แต่ละข้อก็เป็นเรื่องใหญ่
ก็วันนี้ใช้วิธีเป็นตั้งข้อสังเกตมีข้อที่น่าสังเกตเป็นบางคาถาหรือบางบทบางส่วนบางตอน ก็เริ่มด้วยคาถาที่ 1 หัวข้อธรรรมที่มาแรกสุดคือ ขันติ ปะระมัง ตะโป ตีติกขา แปลว่าขันติคือความอดกลั้นเป็นตบะอย่างยิ่ง หรือตบะอย่างยอดเยี่ยม นี่ก็หลายท่านก็จะมองไม่เห็น เอ้มันจะเป็นตบะได้ยังไงน้อ ขันติความอดทน ก็ขออธิบายเป็นข้อสังเกตให้ไว้ พระพุทธเจ้าตรัสเรื่องนี้ ก็เพราะว่าคนสมัยนั้นนักบวชน่ะเขาชอบบำเพ็ญตบะ การบำเพ็ญตบะ ก็คือการทรมานร่างกายการที่จะทรมานร่างกายก็ต้องใช้ความเพียรพยายามความ ในความเพียรพยายามนี้แทนที่จะไปใช้กับการทำงาน การสร้างสรรค์อะไรก็เอามาใช้กับร่างกายตัวเอง หาทางบีบคั้นทรมานให้เต็มที่ นั้นพวกนักบวชที่บำเพ็ญตบะนี่ก็ไปนอนบนหนามบ้าง ไปแช่ตัวในแม่น้ำในฤดูหนาวบ้าง ไปยืนกลางแดดในฤดูร้อนที่ร้อนที่สุดตลอดวันบ้าง เอาขางอเข้าคาบกิ่งไม้ห้อยศรีษะลงมาเหมือนค้างคาวทั้งวันทั้งคืนบ้าง นี้อย่างนี้เรียกว่าบำเพ็ญตบะ ตลอดจนกระทั่งกลั้นลมหายใจอดอาหารนี่ ก็นึกว่าจะเป็นทางที่จะทำให้ได้บรรลุโมกษะความหลุดพ้น เพราะถือว่าร่างกายคนเรานี่มันยั่วยวนร่อเร้าไปในทางกิเลส ทำให้เราเนี่ยตกต่ำจิตใจมาหมกมุ่นอยู่กับสิ่งที่ทำให้ไปในทางเสียหายก็เลยจะต้องทรมานมันเพื่อจะได้ให้จิตใจนี่มันพ้นไปจากเรื่องของกิเลสที่วุ่นวายจะได้พัฒนามันสูงขึ้นไป เขาก็บำเพ็ญตบะกันยกใหญ่
พระพุทธเจ้าก็เลยมาสอนว่าพุทธศาสนาไม่ถือว่าการทรมานร่างกายอย่างนั้นเป็นตัวตบะ แทนที่เราจะเอาเรี่ยวแรงกำลังร่างกายและความเพียรพยายามนั้นมาทรมานร่างกายตัวเองก็ไปทำสิ่งที่มีความหมายดีงามซะ อะไรที่เป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์ตั้งแต่การพัฒนาชีวิตของตัวเองก็ทำไป นั้นเรี่ยวแรงกำลังความเข้มแข็งก็เกิดประโยชน์ขึ้นมา ก็ตัวนี้ก็คือขันติความเข้มแข็งเนี่ยมันก็ออกมาในรูปของความทนทาน ด้วยความอดทนถ้าเป็นวัตถุเราเรียกว่าทนทาน ถ้าเป็นจิตใจก็คือความอดทน ความอดทนที่จะบุกฝ่าไปให้ถึงความสำเร็จก็เลยที่ว่า นี่มาทวนเรื่องของความหมายของขันติ ขันตินี้ก็จะมี 3 ด้าน 2 อาการ 3 ด้านก็ได้ยินกันบ่อย ๆ แล้วมีอะไรบ้าง 1 อดทนต่อความลำบากตรากตรำ คนทำงานทำการต่าง ๆ เนี่ยก็ต้องมีความลำบากมีความเหน็ดเหนื่อย มีความยากต้องพบกับงานที่อาจจะต้องเดินทางไกลบ้าง หรืองานที่ต้องใช้สมองอย่างหนักบ้าง หรือต้องใช้เวลามากตรากตรำอะไรต่าง ๆ เนี่ย ถ้าคนไม่มีความอดทน ไม่มีความเข้มแข็งก็จะท้อถอย แล้วก็อาจจะเลิกเสียในระหว่างทำไม่สำเร็จเพราะฉะนั้นต้องมีความอดทน ความอดทนเข้มแข็งนี้ก็จะทำให้เอาชนะความลำบากตราตรำได้ นั้นอันที่ 1 ก็อดทนความลำบากตรากตรำ
แง่ที่ 2 ก็คืออดทนต่อทุกขเวทนา ก็คือความเจ็บปวด เช่น เป็นไข้เจ็บปวด หรือว่าแม้แต่เมื่อยอะไรธรรมดาอย่างญาติโยมนั่งกันอยู่ในที่นี้เมื่อย ในเมื่อเรามีสิ่งที่ต้องทำให้สำเร็จแล้วมันไม่เหลือวิสัย ถ้าเราไม่มีความอดทนมัวแต่โวยวาย หรือแม้แต่ว่าเจ็บไข้บ้างเนี่ย ถ้าโวยวาย มันก็ทำให้เกิดความยุ่งแล้วก็เรื่องเล็กกลายเป็นเรื่องใหญ่ แล้วแทนที่จะไปโวยวาย เราก็ทำไปตามเหตุตามผล คนทนได้ก็ทน อันนี้ต้องทนทุกขเวทนาบ้าง และอย่างในครอบครัวเนี่ย เจ็บไข้เล็ก ๆ น้อย ๆ แต่ก็ไม่ใช่ว่าประมาทปล่อยปละละเลย แต่ต้องรักษา แล้วพร้อมกันนั้นมีความอดทน ไม่เช่นนั้นแล้วมันกลายเป็นเรื่องของการที่ทำให้เรื่องบานปลายอย่างคนที่เอาแต่โวยวาย ๆ แล้วก็แก้ไขปัญหาไม่ได้ผลดี นั้นก็ต้องมีความอดทนต่อทุกขเวทนาบ้าง แล้วก็จะทำให้แก้ไขปัญหาด้วยปัญญาด้วยเหตุด้วยผล ก็จะสำเร็จด้วยดี ต่อไปก็อดทนต่อสิ่งกระทบใจถ้อยคำของคนอื่นที่พูดไม่ตรงใจเรา ด้วยว่าอาการกิริยาของเขาไม่ถูกใจเรากระทบกระทั่งกันแม้แต่ในครอบครัวนี้ก็ต้องมีความอดทน อดทนต่อทุกอารมณ์ต่าง ๆ ก็คือพูดง่าย ๆ อย่างที่ว่าสิ่งที่กระทบกระทั่งใจนี่ อย่าวู่วาม ค่อย ๆ คิด ใช้วิธีของเหตุผล ค่อย ๆ พูดจากัน มันก็จะทำให้แก้ปัญหาไปได้ ถ้าวู่วามไปก็ยิ่งวุ่นวายใจใหญ่ อันนี้ก็เป็นเรื่องใหญ่ซึ่งเป็นเรื่องในระดับประเทศชาติในระดับโลก ที่คนทนฟังกันไม่ได้ เช่น ว่าคนถือต่างลัทธิ ต่างศาสนาพูดจามันกระทบกันไม่ได้ จะต้องเกิดเรื่องเกิดราว มันทะเลาะกันจนทำสงครามใช่ไหม ฉะนั้นที่มันวุ่นวายกันเวลานี้มันก็เพราะขาดความอดทน แล้วดูซินี่ปัญหามันใหญ่ขนาดไหนล่ะขาดขันติธรรม เพราะฉะนั้นในเรื่องของชาวโลกเขาก็ต้องมีการย้ำเรื่องนี้กันมากอย่างเรื่องศาสนาต่าง ๆ ลัทธิต่าง ๆ ก็ให้มีขันติธรรม ที่ฝรั่งเขาเรียกว่า Tolerance ก็พยายามกันมาเป็นหลายร้อยปีแล้วก็ยังยุ่งอยู่เนี่ย ทำสงครามกันเพราะเหตุนี้มากมายเหลือเกินไม่รู้จักจบสิ้น นี่แสดงว่าเรื่องขันติธรรมความอดทนในข้อ 1 ของโอวาทปาฏิโมกข์นี่ความหมายกว้างขวางมาก จนกระทั่งแก้ปัญหาของโลกปัจจุบันให้มีสันติภาพ ที่โลกมันวุ่นวายก็เพราะขาดนี้ด้วย รวมแล้วก็ 3 อย่าง
1 อดทนต่อความลำบากตรากตรำ 2 อดทนต่อทุกขเวทนา 3 อดทนต่อสิ่งกระทบกระทั่งใจ
นี้ลักษณะอาการของการอดทนก็มี 2 แบบ 1 อดทนแบบตั้งรับ 2 อดทนในการบุกฝ่า อย่ามองแง่เดียว นี้ตั้งนี้ก็เป็นการอดทนที่สำคัญเหมือนกัน เพราะโดยมากคนจะคิดในแง่นี้ด้วย คือตั้งรับ เขาทำอะไรมาก็ต้องตั้งรับอดทนไป อดทนไป อย่างนี้ต้องระวังเหมือนกันต้องมีเหตุมีผล ไม่งั้นกลายความกดดัน แล้วเกิดปัญหาขึ้นมาอีก เพราะฉะนั้นก็อดทนในแง่นี้ก็ต้องถ้ามันจำเป็นก็ต้องทำใจได้ ถ้านอกจากทำใจอย่างพระสารีบุตร พระสารีบุตรท่านก็มีความอดทนอย่างนี้เพราะว่าเป็นผู้บริหารสงฆ์รองจากองค์พระพุทธเจ้ามีเรื่องราวอะไรต่ออะไรกระทบกระทั่งมากคนนั้นคนนี้ว่างนี้ พระพุทธเจ้าก็ตรัสว่า พระสารีบุตรเนี่ยท่านเป็นเหมือนอย่างกับผืนแผ่นดิน ผืนแผ่นดินนี้เป็นยังไงใครจะเอาของดีของร้ายเทลงมารดลงมา สิ่งสกปรกแค่ไหน สิ่งดีแค่ไหน เพชรนิลจินดาทรัพย์สมบัติสมัยก่อนนี้เขาไปขุดหลุมฝังไว้ในดิน ของดีก็ไปฝังในดิน ของเสียก็เทลงไปในดิน พระผื่นปฐวีนี้รับได้หมดเลยไม่ร้องไม่บ่นทั้งนั้น ฉะนั้นก็คนที่จะอดทนนี่ในแง่นี้ต้องตั้งรับทำใจให้เหมือนผืนแผ่นดินรับได้หมด เรื่องดีเรื่องร้ายมา เราต้องเป็นเหมือนผืนแผ่นดิน แล้วก็จะผ่านพ้นปัญหาไป อย่างคุณพ่อคุณแม่ดีบางทีก็ต้องเป็นเหมือนผืนแผ่นดินเนี่ยรับได้หมดเหมือนกัน อ้าวที่นี่เป็นที่ 1 แล้วก็คืออดทนแบบตั้งรับได้
2 อดทนแบบบุกฝ่าก็คือ การงานที่จะทำสิ่งที่เป็นวัตถุประสงค์ที่ดีงามแล้ว ต้องก้าวไปทำให้สำเร็จ แม้มันจะมีอุปสรรคยากลำบากต้องฝ่าฟันไป อันนี้พระพุทธเจ้าตรัสไว้ให้เป็นคาถาบอก อะหัง นาโคว สังคาเม จาปาโต ปะติตังสะรัง เป็นต้น บอกว่าเรานี่เหมือนช้างศึกว่าอย่างงั้นน่ะ พระพุทธเจ้านี่เปรียบพระองค์เหมือนช้างศึก คือพระองค์ไปประกาศพระศาสนาไปโปรดสัตว์เดินทางไปสอนคนน่ะ คนเขาก็ชอบบ้างไม่ชอบบ้าง บางที่ก็ขัดใจเขา เขาก็ด่าว่าบ้าง อะไรบ้าง พระพุทธเจ้าต้องมีความอดทน เหมือนจะช้างศึกนี่จุดมุ่งหมายก็คือไปถึงชัยชนะ แต่ว่าในระหว่างนี้น่ะมันมีสิ่งที่เข้ามากระทบกระทั่งก็คืออาวุธแหลนหลาวลูกธนูเข้ามาทุกอย่าง ช้างศึกนี้ต้องอดทนรับได้หมด มันก็ไปให้ถึงจุดหมาย นี้คนก็เหมือนกันเมื่อเรามีวัตถุประสงค์ที่ดีงามแล้ว แน่ใจแล้ว เราก็ทำ เดินหน้าไป สิ่งที่เข้ามากระทบกระทั่งนี่เราจะไม่มัวเก็บเป็นอารมณ์ ถ้าเราไม่เก็บเป็นอารมณ์แล้วเราก็จะผ่านไปด้วยดี ถ้ามัวเก็บเป็นอารมณ์แล้วเราก็ไปวุ่นวายกับเรื่องนี้แทนที่จะใจไปอยู่กับสิ่งที่ดีงามที่จะทำไปถึงจุดหมายเลยมาพะว้าพะวังมาวุ่นกับเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ เรื่องที่เข้ามาแทรกแซงเลยเสียงานทำให้ล่าช้า คนที่เขามีใจเป็นสมาธิตั้งมั่นอดทน เขาก็มุ่งไปที่จุดหมายเขาก็ไม่ถือสาอารมณ์เหล่านี้ แล้วก็ผ่านไป ผ่านไป อันนี้ก็เป็นลักษณะของขันติความอดทนที่สำคัญด้านหนึ่ง เพราะฉะนั้นต้องอดทนทำงานสิ่งที่ดีงามมั่นใจแล้วพระพุทธเจ้านี่ไม่มีท้อถอยเลย อย่างที่ว่าจะให้ตรัสรู้นี่พระองค์ประทับนั่งที่ใต้ร่มโพธิ์ก็บอกว่า ถ้าเราไม่บรรลุโพธิญาณตอนนี้แน่ใจแล้ว แม้เลือดเนื้อจะแห้งเหือดไปเหลือแต่กระดูกก็จะไม่ลุกขึ้นมา นี่คนสมัยนี้ก็ถ้าทำงาน ถ้ามันสำคัญจะต้องทำให้สำเร็จต้องคลานก็เอาน่ะ ต้องเอาให้สำเร็จให้ได้ อย่างนี้เรียกว่ามีความอดทน แต่ก็ทั้งนี้อยู่ในเหตุและผลด้วย เอ้านี่ก็คือเรื่องขันติ ที่อาตมาขอนำมาพูดก็เป็นข้อสังเกต เป็นการทบทวนไปด้วยให้โยมได้ความหมายว่าแม้แต่เพียงข้อขันติข้อเดียว นี่ก็เป็นเรื่องใหญ่มากแล้ว แต่ว่าพระพุทธเจ้านำมาตรัสเป็นข้อที่ 1 เพื่อว่าให้รู้จักใช้ความเข้มแข็งความเพียรพยายามให้มันถูกทางแทนที่จะไปทรมานร่างกายอะไรต่ออะไรไม่เป็นเรื่องก็เอามาใช้ทำสิ่งที่ดีงามเป็นจุดหมายให้สำเร็จ ทีนี้ก็ต่อไปก็การบำเพ็ญตบะก็คือ การเผาผลาญ เอาขันติที่เป็นพลังความเพียรนี่ แล้วก็อดทนเนี่ยมาเผาผลาญอุปสรรคแล้วก็เผาผลาญสิ่งที่ทำให้มันสำเร็จไปเลยผ่านพ้นไปเลย แม้แต่เหล็กหลอมละลายมาปั้นได้ เอาและนี่ก็คือเรื่องขันติความอดทน
ต่อไปก็ข้อนิพพานนี้ก็จะไม่พูดถึงเป็นจุดหมายของพระพุทธศาสนา แล้วก็เลื่อยไปก็มีหลายข้อ ทีนี้มันอยากให้ตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับเรื่องของยุคสมัย คนสมัยปัจจุบันนี้ก็ไม่ค่อยมีความอดทน แล้วก็ได้ยินครูอาจารย์ก็ปรารภเรื่องเด็ก ๆ สมัยนี้ไม่ค่อยมีความอดทน สมัยก่อนไม่ค่อยอดทนอยู่แล้ว แล้วครูอาจารย์ที่บางทีไม่ค่อยอดทน ยังมาบ่นว่าลูกศิษย์ไม่อดทน มันหนักเข้าไปอีก แสดงว่าเด็กสมัยมีนี้อดทน ไม่อดทนทวีคูณ ฉะนั้นเด็กจะต้องรับฟังไว้นะ ผู้ใหญ่เขาว่าแล้ว นี้เด็กก็ต้องมาพิจารณาตัวเอง เอ้อเราจะทำยังไงดี เราก็ต้องตั้งใจว่าเราจะต้องอดทนมีขันติให้มากขึ้นไปอีกนะ ผู้ใหญ่รุ่นพ่อแม่ท่านก็อดทนได้พอสมควรเราจะต้องเดินหน้าไปเพราะว่าท่านว่าสร้างฐานะไว้ให้ คนที่ทำก่อนนี่อย่างครูอาจารย์นี่ก็ทำไว้ให้แก่ลูกศิษย์ลูกหา นั่นก็คือทำไว้ให้ ๆ ลูกศิษย์นี่ได้ลัดแล้วนะ ท่านค้นมากว่าจะได้วิชาแค่นี้บางทีคนเป็นปี พอมาให้ลูกศิษย์เดือนเดียวหรือครึ่งเดือนนะลูกศิษย์ได้หมดแล้วใช่ไหม ลูกศิษย์นี้ก็ลัดไปแล้ว แล้วทำไมลูกศิษย์จะมาอยู่แค่ครูอาจารย์ ก็เป็นธรรมดาเลยตามหลักแล้วลูกศิษยนี่จะต้องก้าวหน้าไปกว่าอาจารย์อีกเยอะ เพราะว่าอาจารย์นี่เอามาให้ลูกศิษย์จากผลงานที่ตัวได้ทุ่มเททั้งชีวิตนี่ให้ลูกศิษย์ได้ปะเดี๋ยวเดียว นั้นลูกศิษย์เดินจากฐานนี้ไปต้องก้าวไปอีกเยอะ ถ้าคนรุ่นใหม่ทำก็ไม่ได้มากกว่ารุ่นพ่อแม่ ครูอาจาย์นี่แสดงว่าแย่แล้ว แสดงว่าเสื่อมมาก นั้นเด็กสมัยนี้ต้องคิดให้ถูก ว่ารุ่นเรานี่มันจะต้องเจริญพัฒนา เช่น ปัญญาจะต้องงอกงามขึ้นกว่ารุ่นพ่อแม่อีกเยอะ พ่อแม่ท่านไม่ว่าอะไรหรอกลูกหลานลูกศิษย์เจริญงอกงามไปไม่เป็นไร แล้วมันก็เป็นไปตามหลักธรรมชาติที่ว่ามันควรจะต้องเป็นอย่างนั้น อะไรท่านขนมาให้ซะขนาดนี้แล้วเราได้ลัดแล้วเรากลับได้เท่าเดิม บางทีดีไม่ดีไม่ได้เท่าเดิมด้วยนะ ไม่ได้เท่าครูอาจารย์อีก อย่างนี้แสดงว่าไม่ไหวแล้ว แสดงว่าถอยหลัง น้้นนี่ก็เป็นเรื่องหนึ่งที่เราจะต้องมาพิจารณากันให้ดี ทีนี้เราก็ขาดความอดทนนี่เป็นตัวสำคัญ ก็ต้องมีความเข้มแข็ง คนที่จะอดทนก็คือคนที่มีความเข้มแข็งอยู่ภายไหน สู้ รับได้ บุกฝ่าได้ อะไรได้ทนได้หมดเลย ถ้าเดินหน้าไป นี้มันก็มาสัมพันธ์กับแง่อื่น ๆ ที่อยู่ในเรื่องของโอวาทปาฏิโมกข์ด้วย
ถ้าดูไปแล้วเราจะเห็นว่าในคาถาโอวาทปาฏิโมกข์นี่ ไปถึงคาถาท่อนที่ 3 นี้จะมีพระดำรัสเกี่ยวกับเรื่องคุณสมบัติของตัวพระเองที่ไปทำงานพระศาสนาอยู่ในโอวาทปาติโมกข์ ซึ่งสมัยนี้ก็คืออยู่ในวินัย วินัยก็เป็นเรื่องใหญ่สำคัญมาก ยุคนี้ก็เป็นปัญหาเรื่องนี้อีก การตั้งข้อสังเกตวันนี้ก็เป็นการตั้งข้อสังเกตที่สัมพันธ์กับสภาพปัจจุบันว่าอ้าวละคนสมัยนี้ถูกต่อว่า ว่าไม่ค่อยอดทนไม่ค่อยเข้มแข็ง ก็ต้องพิจารณาตัวแล้วก็ ปรับปรุงตนถ้าเป็นจริง แล้วก็มาในแง่วินัย ก็บอกคนสมัยนี้ก็ไม่ค่อยมีวินัย แต่คนไทยก็เป็นมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว อาตมาภาพได้ยิน 20-30 ปี แล้วบอกคนไทยไม่มีวินัย แล้วบ่นมาจนกระทั่งเดี๋ยวนี้แสดงว่าคนสมัยนี้ก็ยิ่งแย่ลงไปอีกขนาดคน 20 ปีก่อนไม่มีวินัยและคนที่ไม่มีวินัย 20 30 ปีก่อนจะมาบ่นคนสมัยนี้ แสดงคนสมัยนี้เสื่อมลงไปอีก วินัยแย่ที่สุดแล้ว แล้วทำไงก็ต้องมาพิจารณากันว่ามีวินัย
นี้พอพูดวินัยนี่มันก็โยงไปอีกเรื่องหนึ่งก็คือ เรื่องเสรีภาพคนสมัยนี้นิยมเสรีภาพมาก อะไรต่ออะไรก็ต้องมีเสรีภาพแล้วไปโยงกับเรื่องสิทธิมนุษยชนอะไรเดี๋ยวก็อ้างสิทธิ อะไรกลายเป็นเรื่องสิทธิเสรีภาพก็มาเป็นเรื่องโดดเด่น ทีนี่เสรีภาพทีนี้บางทีก็มาขัดกับวินัยน่ะ เพราะว่าวินัยเหมือนมาจำกัดมาควบคุมทำไม่ได้ตามชอบใจ ทีนี้พอบอกเสรีภาพฉันก็ต้องทำด้วยตามชอบใจ มันก็เลยขัดกัน ถ้ามีเสรีภาพก็เอาตามใจตัวเอง ฉันจะทำอย่างไงต้องทำได้ ก็มีวินัยไม่ได้ เราก็ต้องมาศึกษาให้ดี นี้คนสมัยนี้บางทีก็มองแค่นี้ เสรีภาพก็คือฉันอยากได้อะไรฉันต้องได้ ฉันอยากทำอะไรฉันก็ต้องทำไป วินัยก็คือสิ่งที่มันจำกัดกั้นขัดขวางฉันปิด ตีกรอบฉันไม่ให้ทำ ทำอะไรไม่ได้ตามชอบใจ ถ้ามองอย่างนี้แล้วก็ไปไม่ไหว ก็ขัดกันตลอด ความจริงเสรีภาพกับวินัยนี้เป็นเรื่องประสานกันนะ เป็นหลักการที่มีขึ้นมาเพื่อจุดมุ่งหมายเดียวกันเลยมันประสานกันแท้ ๆ ทำไมจึงว่าอย่างนั้น เอ้าเราเห็นได้ง่าย เราบอกว่าเสรีภาพนี้เป็นเรื่องของการให้มีโอกาสใช่ไหม ถ้าเราไม่มีเสรีภาพแล้วก็ไม่มีโอกาสสิ เราจะทำอะไร เราก็ทำไม่ได้ ถูกปิดกั้นไปหมด จะพูดก็พูดไม่ออก จะเขียนก็เขียนไม่ออก ถูกปิดกั้นเสรีภาพ จะทำโน่นทำนี่ติดขัดไปหมด ทีนี้วินัย เอ้าวินัยอะไรล่ะ วินัยนี้เขามีขึ้นเพื่อจัดสรรให้โอกาสนะ จริงไหมจริง ลองคิดดูให้ดี อย่าไปมองว่าเป็นเครื่องควบคุมจำกัดน่ะ เดี๋ยวจะไปบอกวินัยจำกัดเสรีภาพ แต่ความหมายที่แท้พื้นฐานนั้นเขาต้องการจัดโอกาสน่ะ ให้เรามีโอกาสถ้าเราไม่มีวินัย จะไม่มีโอกาสเนี้ย โยมนั่งกันอยู่ในเนี้ยถ้าทำตามเสรีภาพ ใครอยากจะพูดก็พูด ใครอยากจะเดินก็เดิน ในตอนนี้ ก็เอาล่ะซิ ทีนี้ที่ประชุมนี้คนหนึ่งก็พูด คนนั้นก็พูดว่ากันวุ่นหมดเลย พอพูดไปเสียงโน้นมา เสียงนี้มา อาตมาพูดก็ไม่มีคนฟัง ฟังก็ไม่รู้เรื่องแล้ว นี้เรียกว่าขาดวินัยใช่ไหม ก็เสียโอกาสซิ โอกาสเขาจัดไว้ให้มีวินัยนี้เพื่อจะได้ทำกิจกรรมอะไรก็จะได้ผลตามวัตถุประสงค์ จะพูดจะอะไร ๆ ก็ฟังกันได้ อันนี้ก็คือโอกาสนี้ก็เป็นโอกาสที่เขาจัดไว้เพื่อจะให้โยมได้ฟังธรรม นี้พอมีวินัยอ้าวแล้วโยมก็ได้โอกาสนั้น โอกาสนี้ก็สำเร็จก็คือได้ฟังธรรมใช่ไหม นี้ก็ใครอยากจะทำตามชอบใจตัวเอง ฉันอยากจะเดินไปไหนก็เดิน ก็ลุกขึ้นมาเดินไปโน่นไปนี่กลายเป็นว่าคนมีเสรีภาพคนนี้กลายเป็นตัวก่อกวนน่ะ ก็ตามให้เสียโอกาส
เอ้ามองกว้างออกไปตามท้องถนนเนี่ย เราให้มีวินัยมีกฎหมายมีศีลนี่ก็ทำให้คนเนี่ยเขาไม่ทำตามชอบใจคนอยากจะลักขโมยของใครก็ไม่ไปแย่งชิงเอาใช่ไหม อยากจะโกรธใครก็ไม่ไปทำร้าย ทีนี้พอตามท้องถนนในสถานที่ต่าง ๆ มันไม่มีคนไปเที่ยวรุกรานทำตามชอบใจไม่ไปแย่งของเขาที่นั้นก็ปลอดภัย เรียกว่ามีวินัย เมื่อคนมีวินัยแล้วสถานที่เหล่านั้นก็ปลอดภัย คนมีกิจมีธุระก็ไปได้ใช่ไหมก็เปิดโอกาส นี้แหละเขามีกฎหมายที่เรียกว่าเป็นวินัยก็เพื่อจัดสรรให้เกิดโอกาสแก่มนุษย์ พอมีวินัยปั้บนี่เกิดโอกาสทันทีเลย ที่นี้ ถ้ายิ่งมีวินัยมากนะไม่มีการเบียดเบียนกัน ไม่มีการทำร้ายปลอดภัยนี่ โยมมีธุระ แม้แต่กลางคืนดึก ๆ ก็ไปได้ใช่ไหม ทำกิจธุระที่ไหนก็ได้แต่ถ้าหากว่ามันไม่มีวินัยเป็นยังไงยุ่งวุ่นวายไปหมดเลย ไปไหนก็หวาดระแวงไม่กล้าไป ถนนนั้นไปไม่ได้ ถนนโน้นเวลานี้ไปไม่ได้ เป็นอันว่าติดขัดหมดเสียโอกาส งั้นวิจัยนี้เขามีไว้เพื่อจัดสรรโอกาส ทุกอย่างวินัยเขามีขึ้นเพื่อเป็นโอกาสทั้งนั้นเลย มันเป็นปัญหาที่ว่าคนไม่เข้าใจความหมายมองวินัยผิด ถ้าไม่มีวินัยแล้วโอกาสมันเสียไปหมดเลยทุกอย่างทุกประการ แม้แต่ว่าอย่างคุณหมอจะผ่าตัดเนี่ย ก็ต้องจัดระเบียบมีวินัยในว่า พยาบาลยืนเข้าที่ตรงไหนมีกี่คน คนไหนทำหน้าที่อะไร ทำหน้าที่กันให้ถูก เครื่องมือวางลำดับไว้ แล้วเครื่องมือไหนส่งก่อนส่งหลัง ตามลำดับถ้าขืนผิดวินัยน่ะ ผิดลำดับวุ่นวายหมด บางทีคนไข้ตาย เพราะฉะนั้นวินัยเขาก็จัดสรรให้เกิดโอกาสในการที่จะทำงานให้สำเร็จตามวัตถุประสงค์ เพราะฉะนั้นสังคมที่ดีต้องมีวินัย แม้แต่จราจรใช่ไหม ลองไม่มีวินัยรถซิรถคันนั้นก็จะไป รถคันนี้ก็จะไป บอกว่าจะใช้เสรีภาพตกลงไปไม่ได้สักคน ผิดหมด พอมีวินัยก็จัดสรรได้เรียบร้อยทุกคนก็มีโอกาสที่จะไปได้ดี นี่คือวินัยนะ อย่างในบ้านของญาติโยมพูดบ่อย ๆ จะตั้งโต๊ะตั้งเก้าอี้ก็ต้องมีวินัยใช่ไหม อันนี้เป็นทางเดินน่ะ อย่าเอาโต๊ะมาขวาง เอามาขวางตั้งขวาง จะเอาของมาขวาง เดี๋ยวเอากระโถนสมัยก่อนมีกระโถนด้วย มาวางขวาทางไปประตู เดินไปเตะกระโถนเสียนี่ ล้มดัง อะไรต่าง ๆ ติดขัดไปหมด ฉะนั้นที่เขามีวินัยตั้งแต่ในบ้านจัดเข้าของให้เรียบร้อย อะไรอยู่ที่ไหนควรจะอยู่ก็จัดเข้าที่ไป ก็อย่างนี้แหละเพื่อให้โอกาส พอเดินก็เดินช่องจากประตูหน้าบ้านถึงท้ายครัวก็เดินพรวดเดียวถึงเลยใช่ไหม เพราะมันไม่ติดขัด นี่คือวินัย นั้นให้เข้าใจความหมายของวินัยที่ถูกต้องว่าวินัยนั้นเป็นการจัดสรรให้เกิดโอกาส แล้วมันก็มาบรรจบกับเสรีภาพ ทั้งสองตัวนี้มีไว้เพื่อให้เกิดโอกาส ทีนี้ถ้ามันจัดไม่เป็น มันจึงทำให้เสียโอกาส ไอ้เจ้าเสรีภาพมันทำให้เสียโอกาส มันไม่ใช่ให้โอกาส มันเสียโอกาสอย่างน้อยคนก็วุ่นวายทะเลาะเบาะแว้งกัน แล้วก็ทำให้คนอื่นเสียโอกาส ตัวเองจะเอาโอกาส ใช้โอกาสทำโน่นทำนี่ตามชอบใจเกิดความวุ่นวายคนอื่นเขาก็แย่ นั้นการที่จะมองเรื่องนี้จะต้องเข้าใจไม่ใช่ว่าเอาแค่ว่ามีเสรีภาพคือจะได้กินได้เสพ ได้บริโภคตามชอบใจจะเอาอะไรตามชอบใจ
เดี๋ยวนี้คนมันจะคิดแค่นั้น คิดแค่เรื่องเสพ เรื่องบริโภคไม่ได้มองว่าชีวิตสังคมมนุษย์เราเนี่ยมันมีอยู่เพื่อวัตถุประสงค์ที่สูงขึ้นไปกว่านั้น เราไม่ใช่อยู่แค่กินกับเสพบริโภค เราก็ต้องเอาสิ่งเหล่านี้เป็นฐาน แล้วเราก็มีวินัยมีเสรีภาพเพื่ออย่างนั้น อย่างเรามีเสรีภาพ แม้แต่แสดงความคิดเห็นเนี่ย เราก็นึกว่า เอ้อก็เป็นโอกาสเราคิดยังไง เราเห็นยังไง เราจะได้พูดไป แต่อย่าลืมว่าที่จริงมันไม่ใช่แค่นั้นหรอก เสรีภาพนี่มันเพื่ออะไร ก็อย่างเรามีเสรีภาพนี่ มันเป็นหลักของประชาธิปไตยใช่ไหม ประชาธิปไตยนี้เขามีเพื่ออะไร ก็เพื่อให้สังคมของเรานี่อยู่ดีสงบเรียบร้อย มีการพัฒนาได้ดีเจริญงอกงาม นี่สังคมที่จะดีก็คือว่ามนุษย์ทุกคนนี่มีศักยภาพมีความสามารถมีสติปัญญาของตัว ของตัว เอ้อ ถ้าสังคมจะดี เราก็เอาสติปัญญาความรู้ความสามารถของแต่ละคนนี้มาใช้ประโยชน์ซะ ถ้าไม่มีเสรีภาพไปปิดกั้นซะ และความสามารถที่มีอยู่ในแต่ละคนนี้มีสติปัญญาดีพูดไม่ออก พูดไม่ได้ มันก็เลยเอามาใช้ประโยชน์ไม่ได้ นี้พอมีเสรีภาพนี่ ความดีงามความรู้ความสามารถสติปัญญาก็ออกมาใช้เป็นประโยชน์กับส่วนรวมก็มาเป็นส่วนร่วมในการสร้างสรรค์สังคมประชาธิปไตย อันนี้ก็เลยกลายเป็นว่าเสรีภาพนี่เป็นช่องทางที่จะเอาสิ่งที่ดีแต่ละคนนี้ออกมาใช้ประโยชน์ไม่ใช่เป็นเพียงไปคิดว่า ฉันมีโอกาส ฉันจะใช้โอกาสนี้ แสดงความคิดเห็นของตัวก็แสดงไป โดยไม่ได้คำนึงถึงวัตถุประสงค์
ฉะนั้นคนที่เขามอง 2 ชั้นก็ต้องนึกต่อไป เอ้อ ไอ้โอกาสของเรานี่มันหมายถึงโอกาสของสังคมด้วยน่ะ ก็คือเรามีโอกาสแสดงความคิดเห็นที่แท้นี้ก็หมายความว่าสังคมประชาธิปไตยเนี่ย เขาจะได้มีโอกาสเอาไอ้ความดีความรู้ความสามารถสติปัญญาของเรานี่ไปเป็นส่วนรวมใช้ประโยชน์ได้ อันนี้ต้องมองไปที่นั่น เพราะจุดหมายประชาธิปไตยมันอยู่ที่สร้างสรรค์สังคมให้ดีใช่ไหม เอาสติปัญญาแต่ละคนไปใช้ประโยชน์ให้ได้ เอาแล้วทีนี้พอนึกอย่างนี้แล้ว คราวนี้ก็จะแสดงความคิดเห็นด้วยความรับผิดชอบ ไม่ใช่ว่าตัวเองคิดยังไงรู้สึกยังไง แสดงเรื่อยเปื่อยไป ตกลงสังคมไม่ได้อะไรเลย ต้องคิดว่า เอ้อเรามีความคิดเห็นอย่างนี้ ที่แท้ประชาธิไตยเขาต้องการให้สังคมส่วนรวมคนอื่นทั้งหลายนี่ เค้าได้ประโยชน์จากเรา เราพูดออกไปแล้วเขาพลอยได้มีความรู้มีสติปัญญาเอาไปใช้สร้างสรรค์สังคมได้ เอ้าอย่างนั้นเราก็ต้องพยายามศึกษาให้ดีเสียก่อน หาความรู้ให้มันชัดเจนแล้วก็มาแสดงมาพูด ไอ้อย่างนี้มันจึงจะเป็นการใช้เสรีภาพที่มันมีวัตถุประสงค์ที่ถูกต้องเป็นการสร้างสรรค์ แล้วมันก็ประสานกัน ก็วินัยวิเนยไปกันได้ ตกลงถ้าทำอย่างนี้นะวินัยกับเสรีภาพนี่ประสานกันทำให้เกิดโอกาสแล้วจะทำให้เกิดความเจริญงอกงาม แต่ถ้ามองเสรีภาพในความหมายชั้นเดียวอย่างที่ว่า ถ้าจะทำตามชอบใจแล้วจบเลยนะ ถ้าจะกินจะเอาจะเสพจะบริโภคมันไม่ไปไหน คนแสดงอย่างนี้มันก็ไม่มีความคิดอะไรมีแต่ความรู้สึก มีความรู้สึกอย่างเดียวไปไม่รอดสังคม ก็มองให้ชัดเพราะฉะนั้นมองให้ดีแล้วเนี่ย วินัยเนี่ยถ้าจัดให้ถูกนะรู้จักใช้แล้วเนี่ย มันจะเป็นประโยชน์ในการสร้างสรรค์ มันเป็นตัวเอื้อโอกาส ทำให้ชีวิตสังคมมีทางที่เจริญงอกงามอย่างคนที่มีวินัยในตัวเอง เขาก็จัดสรรชีวิตของเขาตั้งแต่เวลาในการดำเนินชีวิตประจำวัน จัดระเบียบทุกอย่างของเขาแล้วเสร็จแล้ว เขาก็เป็นโอกาสสิ เพราะเขาทำอะไรได้มาก อย่างคนจัดสรรเวลาเป็นในวันหนึ่งใช้เวลาได้ประโยชน์มากมาย อีกคนนึงไม่มีวินัยเลย วัน ๆ นึงไม่ได้เรื่องได้ราว ปีหนึ่งยังไม่ได้เรื่องเลย อย่าว่าแต่วันหนึ่งเลย นั้นก็วินัยนี่เป็นประโยชน์มาก วินัยคือตัวจัดสรรให้เกิดโอกาสอย่าไปคิดว่าวินัยเป็นตัวจำกัดกีดกั้น แต่ว่านั้นเป็นเพราะใช้ไม่เป็น พอวินัยใช้เป็น เกิดโอกาสแล้วทีนี้มาประสานกับเสรีภาพและสังคมเจริญงอกงามไปลิ่วเลย ตอนนี้คนนี่คิดอะไรชั้นเดียวมองแค่ตัวจะได้จะเอา จะเสพจะบริโภคมันไม่ไปไหนแล้ว เพราะฉะนั้นต้องมาคิดทบทวนกัน ใช้สติปัญญากันใหม่
เอาเป็นว่าวันนี้ก็เลยมาพูดเรื่องนี้กันย้ำซะหน่อยว่า กำลังจะไปกันใหญ่แล้วสังคมนี้ ย้ำด้านเดียว เอาแต่สิทธิเสรีภาพดูฟังหลวงลุงท่านอ่านหนังสือพิมพ์ให้ หลวงท่านจะไปอ่านหนังสือพิมพ์ให้ฟังทุกวันและก็ได้ยินแต่เรื่องนี้ เรื่องอ้างสิทธิเสรีภาพกันในแบบนี้ แล้วก็ไม่พูดในทางที่มันเป็นการสร้างสรรค์ วินัยมันก็ไม่ไปไหน แล้วก็นึกถึงเด็กสมัยนี้ก็ใช้เสรีภาพกัน จะเอาตามชอบใจตัวเอง ก็กลายเป็นตีรันฟันแทงแย่งกันเกิดอาชญากรรมมากมาย แล้วก็เลยไม่อยากมีวินัย ถ้ารู้ว่าเราจะต้องพัฒนาชีวิตของเราให้ดีขึ้น เห็นคุณค่าของวินัยนี่มันสร้างสรรค์โอกาสทำให้เกิดประโยชน์ เราก็จะมีวินัย แล้วเด็กที่ดีก็เยอะ ผู้ใหญ่ก็มองเด็กผิดอีก บางทีผู้ใหญ่มองเด็กผิดนะ คือเด็กหลายคนนี่เขาต้องการสร้างสรรค์ เขาก็อยากมีวินัยของเขา ผู้ใหญ่ก็ไปบอกว่าเดี๋ยวจะจำกัดสิทธิเสรีภาพของเด็กที่จริงไอ้เด็ก จำพวกที่ไปตีรันฟันแทงทำร้ายมันเยอะ ทีนี้ก็บางทีก็คิดด้านเดียวไปหมด เด็กหลายคนนี่เขาอยากมีวินัยและบางทีถ้าไม่มีกฎกติกานี้เขามีไม่มีข้ออ้าง เด็กหลายคนที่แกใจอ่อนแกกลัวเพื่อนหวาดกังวล แกอยากจะมีข้อไว้อ้างบ้าง สมัยก่อนนี่ สังคมเนี่ยมีพ่อแม่เป็นหลัก เวลาไปไหนเพื่อนจะชวนไปไม่ดีแกก็อ้างเดี๋ยวแม่ดุ ว่าอย่างงั้นน่ะ เออนี้ใช่ไหมได้ข้ออ้างแล้ว คือเด็กเกรงใจเด็กด้วยกัน นี้ถ้าหากไม่มีข้ออ้าง แกก็ต้องยอมตามเพื่อน ทีนี้พอมีการทางที่จะอ้าง เอ้อ คุณพ่อจะดุ คุณแม่จะดุเอาจะว่าเอา ก็เป็นทางที่จะทำให้ตัวจะยั้บยั้งได้ ก็ต้องมีตัวที่จะช่วยยึดไว้ไม่ต้องตามไป นี้พอมีวินัยก็เหมือนกัน ก็จะเป็นข้ออ้างสำหรับเด็กที่ดี เด็กเขาจะได้เอาไปใช้อ้างกับเพื่อนเขาอย่าไปนึกว่าเด็กนี่เขาต้องการทำตามใจเขาน่ะ เด็กหลายคนเขาต้องการเหมือนกันที่จะมีกติกา แล้วพอมีให้แล้วเขาก็ไปอ้างกับเพื่อน เพื่อจะมาชวนไปทางเสีย เขาก็บอกเดี๋ยว เดียว ไอ้กฎกติกาข้อนี้มันมีอยู่ว่าอย่างนี้น่า จะเป็นกติกาในบ้านในครอบครัว ในโรงเรียนอะไรก็แล้วแต่ เราก็ให้เด็กรู้จักเอาไปอ้าง เด็กก็กลายเป็นว่าเป็นพวกเดียวกับวินัยหรือกฎกติกานั้นไป อย่าไปนึกว่าเด็กเขานึกว่ากฎกติกานี้ไม่ดี แล้วก็บังคับเขายังนั้นใช่ไหม เด็กที่ชอบมีอยู่และต้องการเอาไปใช้ประโยชน์ ก็มันก็มีสองด้าน พวกหนึ่งก็ถือว่าเป็นตัวขัดขวางเขา อีกพวกหนึ่งก็เป็นข้อที่ใช้สำหรับเขาจะได้ใช้อ้างเพื่อจะได้ทำสิ่งที่ดีงาม
นี้เป็นเรื่องที่น่าคิดพิจารณากัน ก็รวมแล้วก็ต้องคิดหลายแง่หลายชั้นในเรื่องต่าง ๆ เหล่านี้ก็เท่าที่มองสังเกตก็คือคนเดี๋ยวนี้จะมองอะไรแง่เดียว มองแล้วก็จะมาจำกัดโดยมากก็กินเสพบริโภคอยู่แค่นี้น่ะ เสรีภาพก็กินเสพบริโภค วินัยก็กันไม่ให้เสพบริโภคตามชอบใจอะไรไปอย่างเงี้ย มันก็เลยไม่ได้หลักในการที่จะพัฒนาชีวิตหรือสังคม ฉะนั้นสังคมของเรานี่ หลักการต่าง ๆ มีไว้นี่มันเพื่อพัฒนาขึ้นไปสูงกว่านี้ไม่ใช่อยู่ติดแค่เสพบริโภคเท่านั้น เราอย่ามามัวมองแค่นี้ เพราะฉะนั้นพระพุทธศาสนาก็บอกว่าไอ้สิ่งเสพบริโภคเศรษฐกิจทั้งหมดนี้เป็นเรื่องปัจจัย เป็นปัจจัยแปลว่าเป็นเครื่องเกื้อหนุน เป็นเงื่อนไข เป็นสิ่งอาศัย ไม่ใช่เป็นจุดหมาย เศรษฐกิจ วัตถุ ไม่ใช่เป็นจุดหมายเราจะไปจบเท่านี้ อย่าไปคิดว่าไปเรียนไปทำอะไรเพื่อจะได้มีเงินทองทรัพย์สมบัติเสพบริโภคกิน แล้วจะจบ แต่ว่าปัจจัย 4 วัตถุสิ่งทั้งหลายเศรษฐกิจนี้มีไว้ให้พร้อมแล้วมันเป็นฐาน เป็นปัจจัยเกื้อหนุน ที่เราจะก้าวไปสู่ความดีงามที่สูงขึ้นไปสังคมน่าจะเจริญก้าวหน้าต้องมีเศรษฐกิจดีแต่ว่าไม่ใช่จบแค่นั้น ไม่ใช่จบเศรษฐกิจดีแล้วก็พอ ต้องอาศัยเศรษฐกิจดีแล้วเป็นฐานสร้างสรรค์ความเจริญงอกงามทางสติปัญญา ทางวัฒนธรรมอะไรต่าง ๆ เหล่านี้ สังคมนั้นมันจึงจะดีมีอารยธรรมได้ ถ้าหากว่าเป็นจบกินเสพบริโภคมันก็ไม่ไปไหนก็ลุ่มหลงมัวเมาแล้วก็แย่งชิงกันทะเลาะเบาะแว้งกันไม่รู้จักจบสิ้นมันก็วนเวียนแล้วก็เสื่อม
ในก็วันนี้ก็วันมาฆบูชาก็เป็นวันที่มีความหมายสำคัญอย่างน้อยก็มาเตือนใจเราให้นำเอาหลักการที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนไว้ มาพิจารณาด้วยสติปัญญา โดยมองโยงไปกับเรื่องต่าง ๆ ในชีวิตและสังคมไม่ใช่มองแง่เดียว ชั้นเดียว แล้วเราก็จะเห็นแง่มุมเพิ่มเติม แล้วก็ยังวันนี้ก็เป็นอันว่าได้พูดเรื่องสำคัญ 2 เรื่อง คือ 1 เรื่องขันติความอดทนความเข้มแข็งแล้วก็มาใช้ในการที่จะเอาวินัยมาเป็นเครื่องจัดสรรค์ให้เกิดโอกาส โดยมีเสรีภาพเป็นช่องทางในการที่จะทำให้ศักยภาพความดีงาม ความรู้สติปัญญาความสามารถนั้นถูกนำออกมาใช้ในทางที่ดีงามสังสรรค์ แล้วก็จะเป็นผลดีทั้งแก่ชีวิตและสังคม ชีวิตของเราก็จะพัฒนาต่อไปแล้วก็ชีวิตที่ดีของแต่ละคนนั้นก็มารวมกันเป็นส่วนรวมเป็นสังคมที่ดีงามก็สร้างสรรค์เจริญพัฒนาสังคมไทย ก็มีความสามารถอยู่ ทำไมไม่เดินหน้า อยู่แค่นี้ ยินดีในความด้อยพัฒนาหรือว่ากำลังพัฒนา ทำไมไม่คิดสักทีว่าเออเราก็มีความสามารถที่จะเป็นประเทศที่พัฒนาได้ ไม่ใช่พัฒนาได้ พัฒนาได้มันแน่นอน เป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว ตอนนี้รัฐบาลนายกก็บอกว่าอีกไม่กี่ปีนี้ประเทศไทยจะเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว แต่จะเป็นอย่างนั้นได้จริงนะ ประชาชนพลเมืองต้องเป็นคนที่มีความสามารถในการพัฒนา ไม่ใช่ผู้นำพูดว่าพัฒนาแล้วในเท่านั้นปีแล้วจะมาจะเป็นจริงได้ล่ะ ต้องให้ประชาชนนี่แหละเป็นตัวพัฒนา ถ้าประชาชนไม่มีความสามารถในการพัฒนามันก็เป็นประเทศพัฒนาแล้วไม่ได้ แล้วก็อย่าดีใจแค่เป็นประเทศพัฒนาแล้วจะต้องเป็นประเทศผู้นำโลกในการที่จะแก้ปัญหาของโลกนี้เลย เป็นผู้นำในการพัฒนาที่ถูกต้องเพราะเราไม่แน่ใจว่าโลกปัจจุบันนี้มันพัฒนาแล้ว มันพัฒนาถูกหรือพัฒนาผิดใช่ไหม บอกประเทศพัฒนาแล้ว แต่เป็นประเทศฝรั่ง ประเทศตะวันออกอะไร เอ้าญี่ปุ่น อเมริกาเป็นต้นนี่ บอกว่าประเทศพัฒนาแล้ว พัฒนาแล้วน่ะ มันพัฒนาแล้วถูกหรือพัฒนาแล้วผิด เดี๋ยวนี้พูดกันมากแล้วว่าพัฒนาผิด นี้ถ้าเป็นพัฒนาผิด เราก็ต้องการประเทศที่พัฒนาถูกมา นั้นประเทศไทยถ้ามัวกำลังพัฒนาอยู่ก็ตามประเทศที่พัฒนาผิดใช่ไหม พอตามประเทศพัฒนาผิดตัวเองเป็นประเทศพัฒนาแล้วก็เป็นประเทศพัฒนาผิดตามเคย เพราะฉะนั้นก็ต้องมุ่งขึ้นไปให้สูงกว่านั้น ก็คือว่าเวลานี้เขาพัฒนาแล้วก็พัฒนาผิด เราจะต้องเป็นประเทศพัฒนาแล้วที่เป็นประเทศพัฒนาถูก แล้วมานำประเทศที่พัฒนาแล้วทั้งหลายให้พัฒนาในทางที่ถูกต้องต่อไป เพื่อให้เกิดความดีงามและสันติสุขสันติภาพอะไรของโลกเนี่ย อย่างที่ต้องการแล้วก็ทำกันไม่ได้สักที แล้วทั้งหมดนี้ถ้าชาวพุทธได้นำหลักโอวาทปาฏิโมกข์ไปใช้ก็บรรลุผลสำเร็จตามความมุ่งหมาย
วันนี้ก็เป็นวันดีและญาติโยมก็มีจิตใจเป็นบุญเป็นกุศลด้วยศรัทธาเมตตาไมตรีมาทำความดีร่วมกัน ญาติโยมใจดีแล้วก็มาใจดีต่อกัน เป็นความสามัคคีแล้วก็ให้ดีต่อกันอย่างนี้เลื่อยไปน่ะ มีเมตตา มีความรัก มีความสามัคคี ตั้งแต่ในครอบครัวคุณพ่อคุณแม่กับลูกนี่เป็นสำคัญที่สุดเลย ขอแทรกอีกนิดนึงนะเวลานี้คุณพ่อคุณแม่มีคู่แข่งเยอะ คู่แข่งในสังคมมาทางข่าวสาร มาทางทีวี มาทางอะไรต่ออะไรไม่รู้ล่ะสื่อต่าง ๆ มันสาระพัดเลยคู่แข่งเยอะ ทำอย่างไงสู้ไม่ไหว พ่อแม่จะเอาลูกไว้นี้ต้องสู้กับไอ้พวกตัวคู่แข่งที่เข้ามาสู้ไม่ไหว อย่างไปมัวสู้ ไม่ไหวแน่ตาย ทำยังไงยึดใจลูกไว้ให้ได้ ถ้ายึดใจลูกแล้วลูกอยู่กับเราล่ะทีนี้มันมาสู้ด้วยกัน เพราะฉะนั้นพ่อแม่จะต้องทำให้ได้นะจุดนี้ ต้องยึดใจลูกให้ได้ แล้วให้ใจลูกมาอยู่กับตัว แล้วเราก็จะร่วมมือกับลูกในการรับมือกับไอ้พวกศึกที่มาจากข้างนอก ข้าศึกศัตรูตอนนี้เยอะเหลือเกินนะ ต้องร่วมมือกับลูก ลูกต้องร่วมมือกับพ่อแม่ แล้วมาร่วมใจกันสู้ แล้วก็ตอนนี้รับมือไหว แต่ว่าถ้าหากว่าพ่อแม่ไปมัวสู้กับคู่แข่งศัตรูที่เข้ามาแล้วก็หมดแรง แล้วก็เสียลูกไปให้เขาด้วยนะ เอ้าแล้วน่ะ นี่ก็ฝากไว้ให้วิธีการทำยังไงจะให้ยึดใจลูกไว้ได้ แล้วค่อยว่ากันใหม่
วันนี้เอาไว้ก่อน ก็ขออนุโมทนา โยมญาติมิตรทุกท่านในการมาทำบุญในวันนี้วันสําคัญมาฆบูชา ก็ขอให้โยมทุกท่าน อย่างที่กล่าวแล้ว จิตใจดีงามผ่องใส มีจิตใจเมตตาไมตรีต่อกันแล้วก็มีใจเป็นบุญเป็นกุศลต่อส่วนรวมต่อพระศาสนาต่อสังคมประเทศชาติและช่วยกันทำให้ความดีงามที่เราเริ่มต้นในวัดเนี่ยมันขยายกระจายออกไปเป็นการที่ทำความดีในทางสร้างสรรค์ให้เกิดความเจริญงอกงาม ชีวิตดี ครอบครัวดี สังคมดี โลกนี้ดีหมด ก็จะเป็นผลสำเร็จที่เรามุ่งหมายก็ขออนุโมทนาและก็ขออาราธนาคุณพระรัตนตรัย อวยชัยให้พร อภิบาลรักษา ระตะนัตตะยานุภาเวนะ ระตะนัตตะเตชะสา ด้วยเดชานุภาพคุณพระรัตนตรัยพร้อมทั้งบุญกุศลมีจิตศรัทธาและเมตตาไมตรีเป็นต้น ในจิตใจของโยมญาติมิตรนั้น จงเป็นปัจจัยอันมีกำลังนำมาซึ่งความเจริญงอกงามรุ่งเรืองและความสุขทั้งชีวิตครอบครัวสังคมประเทศชาติและชาวโลก ขอให้มีความร่มเย็นงอกงามในพระธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตลอดกาลยั่งยืนนานทุกเมื่อเทอญ