แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ไฟล์ถอดเสียงนี้ยังไม่ได้ผ่านพิสูจน์อักษร นำขึ้นมาเพื่อช่วยในการศึกษาค้นคว้าของผู้สนใจ
มาคุยกันต่อในเรื่องความสุข นี้ความสุขว่าถึงหลักการทั่ว ๆ ไปแล้ว ทีนี้ก็มาดูเรื่องความสุขที่จะมีได้ตามหลักการของพระพุทธศาสนาเป็นประเภทเป็นระดับสอดคล้องกับธรรมชาติของมนุษย์ แต่หมายถึงมนุษย์ที่มีการฝึกฝนพัฒนาตนด้วยว่าเมื่อมีการพัฒนาชีวิตขึ้นไปแล้ว เราจะสามารถมีความสุขเพิ่มขึ้น ก็มาดูว่าชีวิตมนุษย์ทั่ว ๆ ไปนี้มีความสุขกันยังไงก็ดูที่การดำเนินชีวิตของเขา มนุษย์เกิดมานี่เป็นอยู่อย่างไรบ้าง ชีวิตของมนุษย์ที่เป็นอยู่แต่ละขณะแต่ละเวลาประจำวัน ก็เป็นเรื่องของสิ่งธรรมดาสามัญ มนุษย์เกิดมาก็
หนึ่ง คือมนุษย์เรานี่ชีวิตของเรานี่ทั้งชีวิตเริ่มตั้งแต่ร่างกายมันก็เป็นธรรมชาติส่วนหนึ่ง เกิดมาตามกฎธรรมดาของธรรมชาติอยู่ร่วมกับธรรมชาติ ตั้งแต่มนุษย์ยังไม่ได้เจริญยังไม่ได้สร้างสรรค์อารยธรรม เวลานั้นก็จะเห็นชัดเจนเกิดมาก็อยู่ท่ามกลางสิ่งแวดล้อมก็คือธรรมชาติ ทั้งมนุษย์ด้วยกัน ทั้งสิงสาราสัตว์ ต้นไม้ ภูเขา น้ำ สายลม แสงแดด ดินน้ำลมไฟ อะไรนี่นะ ก็อยู่กันไป ชีวิตของเขานี่ก็เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ อันนี้ที่มนุษย์มีชีวิตอยู่เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาตินี้ ความสุขความทุกข์ของเขาส่วนหนึ่งก็มาจากเรื่องธรรมชาติ ก็อยู่ในธรรมชาติ มันก็เป็นธรรมชาติที่รื่นรมย์สบาย อากาศที่เกื้อกูล บางทีก็เปลี่ยนไปไม่เกื้อกูล บางทีก็ร้อนไปหนาวไป เวลาหายจากร้อนจากหนาวสบายก็มีความสุขอะไรนี้ ก็สุขทุกข์หมุนเวียนไป แล้วก็อยู่ท่ามกลางธรรมชาติก็ได้บรรยากาศ เวลาบางทีเวลาต้องการสายลม สายลมพัดมาเย็นสบายก็มีความสุข ไปร้อนมา ๆ เจอที่น้ำได้อาบน้ำชำระกายก็มีความสุขหรือว่าไปอยู่ท่ามกลางหมู่ต้นไม้ ไปเห็นภูเขาวิวดี ๆ ก็สวยงามมีความสุขอะไรเนี่ยมันก็มีมาจนกระทั่งมนุษย์ยุคปัจจุบันนี้ชีวิตก็หนีธรรมชาติไม่พ้น ฉะนั้นความเป็นอยู่ของมนุษย์ก็คือชีวิตที่อยู่ท่ามกลางธรรมชาติโดยตัวเองก็เป็นธรรมชาติด้วย อันนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งแล้ว สุขทุกข์ของเขาก็มาจากแหล่งสำคัญอันนี้ แหล่งที่ 1 ก็คือ ธรรมชาติแวดล้อม
แล้วทีนี้ต่อไป 2 อะไร 2 มนุษย์ก็เป็นมนุษย์ ก็เกิดอยู่กับมนุษย์โดยเฉพาะมนุษย์นี่มีลักษณะพิเศษ ที่เขาเรียกเป็นสัตว์สังคม ไม่ได้อยู่โดดเดี่ยวอยู่กันเป็นหมู่เป็นพวกเป็นคณะ ความเป็นสัตว์สังคมนี่ก็ทำให้มนุษย์นี่ มาตั้ง มาสร้างเมือง เริ่มตั้งแต่หมู่บ้านขึ้นไปอยู่กันเป็นสังคม นี้การที่มนุษย์อยู่ร่วมกันในหมู่มนุษย์เอง เริ่มตั้งแต่ในครอบครัวมีพ่อมีแม่มีลูกมีพี่น้อง แล้วก็มีมิตรสหาย มนุษย์ก็มีความสัมพันธ์ต่อกันดีบ้างไม่ดีบ้างกระทบกระทั่งบ้าง เจอชอบใจบ้าง ไม่ชอบใจบ้าง ช่วยเหลือกันบ้าง ขัดแย้งกันบ้าง นั้นมนุษย์ก็มีความสุขความทุกข์ แหล่งสำคัญอีกอันหนึ่งก็คือ มีเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ความสัมพันธ์ในทางสังคม แต่ว่ามนุษย์ก็หวังในเมื่อตัวเองอยู่ก็ไม่อยากมีทุกข์อยากมีสุข ความสุขแหล่งสำคัญที่หมายมั่นที่ต้องการก็ได้มาจากเพื่อนมนุษย์นี่แหละ เราก็พยายามสอนกันให้มีความสัมพันธ์ที่ดีช่วยเหลือเกื้อกูล เมื่อมีการช่วยเหลือเกื้อกูลกันมีไมตรีจิต แล้วก็ทำให้มีความสุขอยู่ร่วมกันเป็นหมู่คณะมีความสามัคคีพร้อมเพียงกันก็มีความสุข พระพุทธเจ้าก็ตรัสไว้ สุขาสังฆัสสะสามัคคี อันนี้เป็นคาถาในพุทธศาสนา บางคาถาก็ไม่เป็นพุทธสุภาษิต นี่ก็เอาพุทธสุภาษิตที่เป็นร้อยแก้ว แล้วมาเรียบเรียงเป็นร้อยกรองบ้างก็มี แต่ก็รวมความก็คือ เพื่อนมนุษย์ด้วยกันนี่แหละที่เป็นแหล่งสำคัญของความสุขความทุกข์ ในกรณีนี้ที่เราพูดถึงสุข ก็แหล่งความสุขก็คือเพื่อนมนุษย์ด้วยกันสังคม แล้วอะไรอีกละ นี้อีกอย่างหนึ่ง มนุษย์อยู่นี่ไม่ได้อยู่เฉย ๆ อยู่ท่ามกลางธรรมชาติก็จริง อยู่ท่ามกลางเพื่อนมนุษย์ด้วยกันก็จริง แต่เวลาอยู่มันไม่ได้อยู่นิ่ง ๆ เคลื่อนไหวทำนู่นทำนี่ นี้ที่มนุษย์ทำอะไรเนี่ยก็ทำโดยสนองความปรารถนาของตนเอง ตนเองอยากจะให้เกิดผลอันนั้น มีความต้องการขึ้นมาแล้วก็ไปทำ ทำตามความต้องการนั้นพอทำได้สำเร็จตามความต้องการก็เกิดความสุข หรือในระหว่างที่ทำนั้นเอง ผลที่ต้องการมันก็ใกล้เข้ามาทุกที การที่ตัวเองเดินหน้าใกล้ความบรรลุจุดหมายที่ต้องการก็มีความสุข ฉะนั้นถ้าหากต้องทำอะไรด้วยไม่ต้องการจำใจมีการบังคับทำไปก็ทุกข์ใช่ไหม แต่ว่าโดยปกติมนุษย์ก็จะทำในสิ่งที่ตนเองต้องการคือมีจุดมุ่งหมายไม่ได้อยู่ดี ๆ ก็ไปทำ ไปทำเพื่อจะดำเนินชีวิตของตัวเองให้อยู่รอดด้วยดี แล้วก็ได้ผลที่ต้องการ เพราะฉะนั้นเวลาทำอะไรก็ได้ความสุขจากการกระทำ ทีนี้แหล่งหนึ่งของความสุขความทุกข์ของมนุษย์ก็คือกิจกรรมแห่งชีวิตของเขา การเคลื่อนไหวต่าง ๆ นี่ มนุษย์ก็ต้องหวังความสุขจากการกระทำ
3 แหล่งนี้เป็นที่มาสำคัญของสุขทุกข์มนุษย์ ถ้าเราพูดในแง่สุขเป็นสิ่งที่ต้องมนุษย์เลี่ยงทุกข์ ก็เลี่ยงทุกข์ในการเป็นอยู่ร่วมกันสิ่งเหล่านี้และหวังสุขจากสิ่งเหล่านี้
นี่ 3 อัน 1 ธรรมชาติแวดล้อม 2 เพื่อนมนุษย์ด้วยกัน แล้วก็ 3 กิจกรรมแห่งชีวิตของเขาเนี่ยเป็นแหล่งที่มาแห่งความสุข
ทีนี้ นอกเหนือจากนี้ก็จะมีการเสพ จากความจำเป็นของชีวิตที่ว่าจะต้องอาศัยปัจจัย 4 ต้องกินอาหารเป็นต้น จากอันนี้มนุษย์ก็ได้สนองความต้องการก็มีความสุขแล้วทีนี้ในการเสพ เช่น กินอาหารมันก็จะมีธรรมชาติที่ว่าได้รับความรู้สึก ที่เราเรียกว่าเวทนา เป็นสุขและทุกข์เฉย ๆ ไม่ได้เสพรสอาหารก็มีความสุข ด้วยจากความเอร็ดอร่อยแล้วก็จะมีเรื่องหูจมูกลิ้นกาย ซึ่งว่าเมื่อมีสัมผัสทางเหล่านั้นแล้วเกิดเวทนาเป็นสุข ใจที่คิดถึงสิ่งที่ชอบที่ปรารถนาอารมณ์ความจำที่ดี ที่ตรงกับความต้องการความสุขอีกแหล่งหนึ่งก็มาจากเรื่องนี้มาจาก พูดง่าย ๆ ว่าการเสพ การใช้อายตะนะ หรืออินทรีย์เสพรสสิ่งต่าง ๆ ซึ่งอันนี้จะเป็นเรื่องของแต่ละครั้ง แต่ละครั้งไป มนุษย์จะมีการเสพทางตาหูจมูกลิ้นนี่เข้ามาเสริมเป็นแต่ละขณะ แต่ละเรื่อง แต่ว่าชีวิตของเขาที่เป็นอยู่ตลอดเวลาก็ 3 อันแรก คือการอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ โดยที่ตัวเองเป็นชีวิตหนึ่ง แล้วก็อยู่ท่ามกลางสังคม ตัวเราเองก็เป็นบุคคลคนหนึ่ง แล้วตนเองก็มีกิจกรรมชีวิตในการเป็นอยู่ของตนเอง ก็โดยมีไอ้การได้สุขจากการเสพนนี้มาแทรกอยู่ ทีนี้เราไปดูในมนุษย์ในยุคโบราณนี่ไอ้การเสพเนี่ยเขาจะมีเป็นส่วนที่เข้ามาเสริมมาแทรกแล้วก็ได้ความสุขไปเป็นครั้ง ๆ ทำให้ได้รับความตื่นเต้นพิเศษขึ้นมา
นี้ต่อมามนุษย์จะมีจุดเด่นตรงที่ว่าให้เรื่องสิ่งเสพนี่ ซึ่งมันไม่สม่ำเสมอ แล้วก็ต้องการได้เสพบ่อย ๆ ขึ้น เพราะว่าได้ความสุขจากรส จากเวทนา จากความตื่นเต้นที่มีให้มันบ่อยขึ้น บ่อยขึ้น ต่อมาจุดเน้นนี้ก็มาอยู่ที่สิ่งเสพความสุขจากสิ่งเสพ ที่บำเรอตาหูจมูกลิ้นกายรวมไปถึงใจ โดยเฉพาะทางเข้ามาทางภายนอกนี่ ตาหูจมูกลิ้นกายนี่ ความสุขประเภทนี้ ท่านเรียกว่ากาม หรือเป็นความสุขที่เกิดจากอามิส อามิสก็คือว่าเป็นพวกวัตถุเสพ ความสุขอย่างนี้ ท่านเรียกว่ากามสุข หรือสามิตสุข ก็จากตาได้เห็นรูปที่สวยงาม หูได้ยินเสียงที่ไพเราะ จมูกได้ดมกลิ่นที่หอม แล้วลิ้นได้ลิ้มรสที่อร่อย กายได้สัมผัสที่ฟู่ฟ่านุ่มนวล อะไรต่าง ๆ เหล่านี่นะ ทีนี้มีความสุขประเภทนี้ที่ว่ามนุษย์ต้องการได้เสพบ่อย ๆ ขึ้น จุดเน้นมาอยู่ที่นี่มนุษย์ก็พยายามแสวงหาสิ่งเสพ ส่วนไอ้ความสุขที่มีเป็นพื้นฐาน 3 อันเนี่ยบางทีมนุษย์ก็ลืมมันเลยแต่ที่จริงมันมีตลอดเวลา ทีนี้อะไรจะเกิดขึ้นต่อมามนุษย์ก็จะมามุ่งในการหาความสุขจากสิ่งเสพก็หาสิ่งเสพนี้มากขึ้นก็พัฒนา ปรากฏว่าการพัฒนาความเจริญของมนุษย์ที่เรียกว่าสร้างอารยธรรม วัฒนธรรมต่าง ๆ นั้นส่วนหนึ่งที่สำคัญก็คือการที่จะได้พบสิ่งเสพเหล่านี้ ซึ่งบางทีมนุษย์ก็แยกไม่ออกว่าอะไรเป็นส่วนที่เป็นความเจริญที่ดีที่แท้จริงที่เกื้อกูลต่อชีวิตของมนุษย์ อย่างมนุษยจะต้องอาศัยปัจจัย 4 ต้องมีวัตถุ การมีวัตถุนั้นมันก็หมายถึงว่าการเกื้อหนุนต่อชีวิตทำให้ชีวิตอยู่รอดไม่ขาดแคลนอาหาร ร่างกายจะได้แข็งแรงสมบูรณ์ อันนั้นก็เรื่องมาจากอาหารด้วย แต่ก็เวลาเดียวกัน ก็การเสพอาหารก็มุ่งรสมุ่งชาติเอร็ดอร่อยด้วยก็คู่กันไปนี้นะ ไอ้ 2 อันนี้บางทีมนุษย์ก็แยกไม่ออก เมื่อแยกไม่ออกนี่ในบางทีจุดเด่นก็ไปอยู่ที่การเสพรส การพัฒนาทางด้านมีวัตถุที่จะมาช่วยเหลือชีวิตให้อยู่รอดอยู่ดีเนี่ยเป็นความเจริญด้านหนึ่งของสังคมมนุษย์เราเรียกว่าเศรษฐกิจใช่ไหม ก็เกิดการพัฒนาที่เรียกว่าด้านเศรษฐกิจขึ้นมา พัฒนาความพรั่งพร้อมทางวัตถุ ทีนี้ความพรั่งพร้อมทางวัตถุ วัตถุมันเกื้อหนุนชีวิตหรือวัตถุสำหรับมาเสพให้เอร็ดอร่อยก็มีความหมายสองอย่างในเวลาเดียวกัน ถ้ามองในแง่ของวัตถุเหล่านั้นเป็นสิ่งเกื้อหนุนชีวิตให้อยู่ด้วยดีไม่เดือดร้อนจะได้เป็นปัจจัย แล้วจะได้เป็นเครื่องเกื้อหนุนในการไปทำสิ่งที่ดีงามต่อ ๆ ไป อย่างนี้เราก็เรียกว่าเป็นปัจจัยใช่ไหม ทีนี้ถ้าเอามาในแง่ของการเป็นสิ่งที่เสพให้เกิดรสเกิดชาติมุ่งในด้านนี้ก็เป็นกาม เป็นอามิส มันก็คู่กันไปอย่างนี้ ทีนี้มนุษย์ไม่ได้แยกนี่ มนุษ์ก็จะไปเน้นว่าโอ๋ได้มีวัตถุพรั่งพร้อมจะได้เสพจะได้เอร็ดอร่อย เอาละสิ ทีนี้พอจุดเน้นมาอยู่ที่นี่ ก็จะมีปัญหาแทรกเข้ามาก็คือว่า 1 แต่ละคนก็จะต้องแสวงหาให้กับตนให้มากที่สุดเพื่อจะได้เสพให้มากให้บ่อยให้ได้รสชาติในทางการกามสุข หรือ สามิสสุข ให้เต็มที่ ก็จะเกิดปัญหาระหว่างกันในการแย่งชิงการข่มเหงเบียดเบียนแล้วก็มาปัจจุบันก็คือปัญหาการทำลายทรัพยากรธรรมชาติ นี้พอไปแสวงหาสิ่งเหล่านี้มากขึ้นจากแต่ละคนพยายามแสวงหาออกมาเป็นภาพรวมสังคมที่ได้พัฒนาความเจริญมาที่เน้นเศรษฐกิจและเกิดเป็นอารยธรรมมนุษย์มีโลกมนุษย์เจริญบ้านเมืองอะไรต่าง ๆ มากมายนี้ แล้วในระยะยาวอะไรเกิดขึ้นก็คือว่าธรรมชาติแวดล้อมเสื่อมโทรม เพราะว่าการที่มนุษย์จะหาสิ่งเสพทางวัตถุให้มากนี่ก็คือต้องเอาวัตถุดิบกับธรรมชาติก็ยิ่งคติตะวันตกมีความเชื่อว่ามนุษย์จะมีความสุขสมบูรณ์เมื่อได้เอาชนะธรรมชาติด้วย มันก็ยิ่งมาย้ำมาซ้ำเติมเรื่องนี้ให้มากขึ้นก็คือว่าการที่จะต้องไปจัดการเอาธรรมชาติมาเป็นวัตถุดิบมาผลิตสิ่งบริโภคให้แก่มนุษย์สนองความต้องการปรนเปรอความสุขก็ไป ๆ มา ๆ การพิชิตธรรมชาติจัดการธรรมชาติได้ตามชอบใจเพื่อหวังความสุขแต่มันก็กลายเป็นการทำลายธรรมชาติแวดล้อม ทำลายธรรมชาติแวดล้อมนี่ก็ผลก็ตีกลับมาทำให้ธรรมชาติแวดล้อมนั้นเสียหาย มนุษย์เองก็จะเกิดการขาดแคลนเองด้วย แต่อีกอย่างหนึ่งก็คือว่าด้านความสุขความรื่นรมย์ในฐานะที่ชีวิตเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาตินี้ก็จะเริ่มสูญหายไปและเมื่อมนุษย์ยิ่งไปแสวงหาสิ่งเสพในทางวัตถุสิ่งผลิตบริโภค ซึ่งแปรรูปธรรมชาติไปแล้ว นี่มนุษย์ก็มีความแปลกแยกจากธรรมชาติเกิดขึ้น
พอมาถึงยุคปัจจุบันนี้ก็ปรากฏว่ามนุษย์ได้มีภาวะที่เรียกว่าแปลกแยกจากธรรมชาติเกิดขึ้น ความแปลแยกจากธรรมชาติก็คือการเข้าไม่ถึงกัน ความแปลกแยกทางด้านรูปธรรมก็คือว่าไม่ค่อยมีชีวิตห่างธรรมชาติ ไม่ค่อยได้ใกล้ชิด อย่างคนจะอยู่ในเมืองบางคนนี้อยู่ในเมืองทั้งวันอยู่กับเทคโนโลยีสิ่งที่มนุษย์เอาธรรมชาติมาแปรรูปไปหมดแล้วใช่ไหม แกก็ออกจากบ้านอย่างที่เคยพูดว่า นอนอยู่ในห้องแอร์อยู่ในตึกอยู่ในอาคารอย่างดี แล้วพอเช้าก็ออกมาก็เข้ารถยนต์เป็นเทคโนโลยีเดินทางไปตามท้องถนนตึกรามบ้านช่องก็เป็นสิ่งสร้างสรรค์ของมนุษย์แล้วก็ไปที่ทำงานเข้าห้องแอร์ แล้วแกก็วุ่นวายกับสิ่งเสพที่เป็นสิ่งผลิตจากเทคโลโนยี อะไรพวกเนี้ย เสร็จแล้วแกก็กลับมาบ้านเข้าห้องแอร์นอนไปวัน ๆ หนึ่งก็ไม่เจอกับธรรมชาติเลย หลายคนก็จะเป็นอย่างนี้ นั้นก็ด้านหนึ่งก็ชีวิตก็ห่างเหินจากธรรมชาติ ฉะนั้นเขาก็ไม่ได้ความสุขความรื่นรมย์จากธรรมชาติแวดล้อมที่เขาควรจะมี ในฐานะชีวิตเขาเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติความสุขของเขาก็ไปอยู่กับค่านิยมทางสังคมที่สัมพันธ์กับวัตถุเสพเหล่านี้ นี้ก็เป็นอันหนึ่ง นี้ต่อมา ก็เมื่อธรรมชาติถูกมนุษย์เอาไปแปรรูปสนองความต้องการก็เท่ากับการทำลาย ธรรมชาตินี้ก็น้อยลงถึงแม้ตัวเขาไม่ห่างก็จะมีธรรมชาติให้เขาได้มาแสวงหาความรื่นรมณ์น้อยลงด้วย นอกจากน้อยลงแล้วมันยังอยู่ในอยู่ในสภาพที่เสื่อมโทรมอีก ต้นไม้ที่เคยเขียวขจีอะไรต่าง ๆ มันก็ไม่เหมือนเก่า ทิวทัศน์ที่เคยสวยงามมันก็ไม่สวยงามเต็มที่เหมือนเก่า อากาศที่แวดล้อมเขาก็สูดอากาศก็ไม่บริสุทธิ์ แทนที่ว่าสูดอากาศแล้วจะรู้สึกสดชื่นคนในเมืองสูดอากาศเข้าไปแล้วก็อึดอัดใช่ไหม แล้วยิ่งคนบางแพ้แล้วทำให้บางคนเป็นโรคแพ้กันมากขึ้น สูดอากาศอยู่ในเมือง สูดเข้าไปไม่มีความสดชื่น นี้อีกด้านหนึ่งแล้ว ความแปลกแยกจากธรรมชาติตัวเองห่างธรรมชาติ 2 ธรรมชาติที่จะมีให้รื่นรมย์ก็มีปริมาณลดน้อยลง 3 ไอ้ที่มีน้อยลงนั้นก็ยังแย่ด้วยอีกเสื่อมโทรมอยู่ในภาวะที่ไม่ดี นั้นจากการที่มนุษย์ทะยานหาความสุขจากกาม จากอามิส นี่พร้อมกันนั้นเขาก็ไม่ได้มันมาเปล่า ๆ เขาต้องลงทุนพร้อมกับการได้มาด้านหนึ่งเขาสูญเสียอีกด้านหนึ่งไป ความสุขพื้นฐานของที่ชีวิตด้านที่ 1 เสียไปแล้ว ก็คือความสุขจาการอยู่ท่ามกลางธรรมชาติแวดล้อมในฐานะที่ชีวิตเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติที่จะต้องการความรื่นรมย์จากธรรมชาติแวดล้อมนี่ นั้นเขาลงทุนคุ้มหรือไม่คุ้มก็ต้องพิจารณาเวลานี้กำลังมองว่าอาจจะไม่คุ้ม ในแง่ที่ 1 นะ แล้วก็ความสุขจากธรรมชาติรื่นรมย์จากการเสพนี่บางทีมาคู่กันอย่างเช่นว่าเราไปเจอกระรอกตัวหนึ่ง คนสองคนจะมองกระรอกไม่เหมือนกัน หรือแม้แต่ในคนเดียวกันคนละขณะ คนหนึ่งมองกระรอกด้วยสายตาที่เห็นมันน่ารักมันขยับเขยื้อนดูแล้วน่ารื่นรมย์อยู่ในธรรมชาติแวดล้อมบรรยากาศที่ทำให้สบายใจนะ มันเป็นมิตรมันไม่กลัวภัยคนไม่เบียดเบียนมัน อย่างเราไปในต่างประเทศเดี๋ยวนี้ก็ยังมีหลายประเทศจะเป็นอินเดียก็ตามอเมริกาก็ตามใช่ไหม มันเข้ามามันก็ไม่รู้สึกหวาดระแวงภัยแล้วคนก็มีความรู้สึกชอบมัน มันก็มายืน 2 ขา แล้วขาหน้าก็เอามาทำมุบมิม มุบมิมที่ปาก คนก็ชอบใจมันน่ารักสวยงาม นี้คนก็ได้ความสุขจากการเห็นธรรมชาติแวดล้อม ทีนี้อีกคนหนึ่งมองกระรอกด้วยการที่ว่าจะหาสุขจากการเสพมัน ก็คือกินมันใช่ไหม คนนี้จะไม่รู้สึกได้ความสุขจากไอ้อาการที่กระรอกมันอยู่ท่ามกลางธรรมชาติสวยงาม ความสุขของแกคือจะต้องจัดการเอากระรอกนี้เป็นลงหม้อแกงก่อน แล้วแกกินแล้วแกจึงจะได้ความสุขเนี่ย 2 คนเนี่ยความสุขต่างกันใช่ไหม อันนี้ก็ลองนึกดูก็แล้วกันว่า ความสุขแบบไหนนี่เป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับชีวิตมนุษย์ ว่าจำเป็น ความจำเป็นในการเป็นอยู่ทำให้อยู่รอด ทั้งทีก็ทำให้มนุษย์ต้องมาเบียดเบียนและทำลายความสุขของตนเองในขั้นพื้นฐานจากการอยู่ร่วมกับธรรมชาตินี้ แต่นี้ถ้ามนุษย์ไม่รู้จักประมาณมันก็กลายเป็นว่าไปทำลายความสุขในแง่ของการมีส่วนร่วมในธรรมชาติเสียในการที่ว่าจะลงทุนเพื่อหาสิ่งเสพหาความสุขจากการเสพ นั้นก็ลองคิดดูก็แล้วกัน ความสุขที่เกิดทันทีเมื่อเห็นกระรอกอยู่ท่ามกลางธรรมชาติและมีจิตใจบริสุทธิ์กับมัน กับความสุขจากการที่ว่าจะต้องเอามันมาลงหม้อแกงแล้วก็ได้กินแล้วก็ได้อร่อยตอนเสพรสเนื้อกระรอก ตอนนี้จะเอาอันไหนใช่ไหม นี้ก็เรื่องของมนุษย์ก็เป็นอย่างนี้ นี่ด้านที่ 1 แล้วนะ นี้ด้านมนุษย์ยุคปัจจุบันนี้ในเมื่อเราเน้นในการแสวงหาความสุขจากสิ่งเสพบำเรอตาหูจมูกลิ้นกายและนั้นเราก็เริ่มแปลกแยกจากธรรมชาติมากขึ้น แล้วก็โอกาสที่จะได้ความสุขจากสิ่งแวดล้อมธรรมชาติก็น้อยลงไป นั้นการลงทุนของมนุษย์นี้ ก็เป็นเรื่องที่ว่าต้องได้มาด้วยการสูญเสียไปอีกครั้งหนึ่ง อันนี้ยิ่งมนุษย์แสวงหาความสุขจากการเสพมากขึ้นมันก็ยิ่งผลักดันให้มนุษย์แปลกแยกจากธรรมชาติมากขึ้นด้วยพร้อมกันนะ ที่นี้เอามาแหล่งที่ 2 แหล่งความสุขของมนุษย์คืออะไร แหล่งที่สุดของมนุษย์ก็บอกแล้วก็คือสังคมมนุษย์ด้วยกันก็คือเพื่อนมนุษย์การอยู่ร่วม อันนี้ถ้ามนุษย์อยู่ร่วมกับมนุษย์มีความสุข ก็ต้องมีจิตใจบริสุทธิ์ต่อกันยิ่งมีจิตใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ช่วยเหลือเกื้อหนุนกันก็ยิ่งมีความสุข มีความสุขจากไมตรีมีความสุขจากการเกื้อกูล มีความสุขจากการซึ้งในน้ำใจของกันและกันเป็นต้น นี่มนุษย์จะมีความสุขมาก แต่ทีนี้อีกด้านหนึ่งคือมนุษย์ต้องการความสุขจากสิ่งเสพ ความสุขจากสิ่งเสพเป็นเรื่องเฉพาะตัวของแต่ละคนใช่ไหม แต่ความสุขจากการอยู่ร่วมกันเกื้อหนุนกันนะ เป็นความสุขร่วมกันของทั้งสองฝ่าย ทีนี้พอมาเอาสุขจากเสพมันเป็นเรื่องแต่ละคน แต่ละคนต้องหาให้ได้มาก มันก็จะมีการที่ว่าถ้าคนหนึ่งได้คนหนึ่งเสีย ความสุขของคนหนึ่งเป็นความทุกข์ก็อีกคนหนึ่ง แล้วเมื่อมันต้องการไอ้วัตถุเสพมันไม่ได้มีพรั่งพร้อมมันมีจำกัดมันก็จะต้องเกิดการที่เอาแล้วก็แย่งชิงก็จะเกิดปัญหาในการขัดแย้งจากการเป็นมิตรก็เป็นศัตรู จากการช่วยเหลือเกื้อกูลก็เป็นทำร้ายเป็นการเบียดเบียนกัน ก็ก่อให้เกิดทุกข์ พอก่อให้เกิดทุกข์ก็มีความไม่สบายมีความหวาดกลัวต่อกันเพราะว่าเจอคนก็ไม่ไว้ใจ ที่นี่พอแย่งกันมาก ๆ ต่อมามันเพ่งไปที่วัตถุมันก็เต็มไปด้วยความหวาดระแวงต่อเพื่อนมนุษย์ พอมนุษย์เข้าสู่ระบบการแข่งขันแย่งชิงหาแต่ผลประโยชน์นี่ จิตใจมันอยู่กับการได้วัตถุได้สิ่งเสพเพ่งจ้องไปที่นั่น พอมีท่าทีของจิตใจไปเน้นที่วัตถุเป้าหมายอยู่ที่วัตถุ ความรู้สึกต่อเพื่อนมนุษย์นี่มันก็จะมาสอดคล้องกับท่าที่ต่อวัตถุ เมื่อท่าทีต่อวัตถุจ้องจะเอามากขึ้นท่าทีต่อเพื่อนมนุษย์แบบหวาดระแวงกลัวเขาจะเอาด้วยก็เกิดเพิ่มมากขึ้น นั้นจิตใจก็จะมีความรู้สึกที่ปลูกฝังหล่อหลอมไปตามสภาพสังคมที่เคยแต่จะคิดจะได้จะเอาจะแย่งชิงจะกลัวเขาได้จะเอาชนะมันก็เลยมีความรู้สึกต่อเพื่อนมนุษย์แบบหวาดระแวงเป็นคู่แข่งมีความรู้สึกไม่จริงใจ แล้วก็ต่อมาก็หาทางเอาเพื่อนมนุษย์เป็นเครื่องมือในการให้ตนได้ผลประโยชน์ มองเพื่อมนุษย์เป็นเพียงสะพานให้ตัวเองจะได้สิ่งเสพได้ผลประโยชน์ ความจริงใจไม่มี ความสุขจากไมตรีก็ไม่มีใช่ไหม นั้นพร้อมกับการที่มนุษย์มามุ่งแสวงหาความสุขจากสิ่งเสพเหล่านี้ อะไรเกิดขึ้นก็คืออีกด้านหนึ่งเขาก็สูญเสีย เขาก็สูญเสียความสุขจากการอยู่ร่วมสังคมซึ่งเป็นความสุขพื้นฐานของชีวิตไปใช่ไหม แล้วเขาก็แปลกแยกจากเพื่อมนุษย์ เพราะความรู้สึกเป็นมิตรไม่มี ความจริงใจไม่มี มันรู้สึกแต่หวาดระแวงเขาจะเอา เขาจะได้ เราจะสู้เขาได้หรือเปล่า ตกลงมนุษย์อยู่ร่วมกันด้วยความรู้สึกแปลกแยกกันหมดเลย แล้วยิ่งเขาตั้งวัตถุเสพเป็นเป้าหมายชีวิตยิ่งทะยานหาสิ่งเสพเท่าไรความแปลกแยกจากเพื่อนมนุษย์ก็ยิ่งมากเท่านั้นใช่ไหม การที่เขาจะมีความสุขจากการอยู่ร่วมสังคมมนุษย์ก็น้อยลงเป็นสิ่งฉาบฉวบผิวเผินเท่านั้นเองไม่จริงจัง นั้นการได้มาด้านหนึ่งก็คือความสูญเสียอีกด้านหนึ่ง นี่ก็แปลกที่ 2 แล้วนะ นี้ต่อไปแหล่งที่ 3 แหล่งความสุขพื้นฐานของมนุษย์ชีวิตมนุษย์นี่เป็นอยู่บอกแล้วอยู่ในกิจกรรมแห่งชีวิตในแต่ละขณะ ที่ทำอะไรก็ทำไปซื่อ ๆ โดยต้องการสนองความต้องการโดยปกติถ้าไม่ต้องการอะไรแกก็ไม่ทำ ช่ไหม ทีนี้ต้องการวัตถุประสงค์อะไรอยากจะขุดดินก็เพราะว่าใจมีวัตถุประสงค์อยากได้หลุม แล้วไปขุดดินขุดดินก็มีความสุขจะไปทำอะไรก็ตามมันมีความต้องการมีจุดหมายมันมีความสุขโดยการกระทำ ที่นี้พอมนุษย์มาอยู่ร่วมกันเป็นสังคมแล้วทีนี้มีความปรารถนาเรื่องสิ่งเสพ มีความใฝ่เสพมากขึ้นวัตถุประสงค์เป้าหมายความสุขของตนนี้ไปฝากไว้กับวัตถุเสพเอาล่ะสิทีนี้ มนุษย์ก็เกิดการบัญญัติขึ้นมาในอารยธรรมของตนเองที่เรียกว่าสมมุติว่าเรามีการแบ่งงานกันทำ ทำอันโน้นแล้วจะได้เงินเดือนตอบแทน ต่อมามนุษย์ก็ติดอยู่ในกฎสมมติของมนุษย์นี้ อย่างที่เคยเล่าให้ฟังบ่อย ๆ ยกตัวอย่างง่าย ๆ ก็เลือกคนทำสวนยกแรกยกอีกนะ ที่ว่าคนแต่ก่อนนี้แกจะไปทำสวนปลูกต้นไม้เพราะแกต้องการต้นไม้ถูกไหม แกต้องการต้นไม้แกไม่งั้นก็ไม่ไปทำ ทำก็คงจะขำเหลือเกินละนะ มนุษย์อยู่ตามธรรมชาติจะอยู่ไม่ได้ต้องการอะไรไปทำก็เป็นเรื่องน่าขำ ทีนี้มนุษย์แต่ก่อนอยากจะได้ต้นไม้แกก็ไปปลูกต้นไม้ แกปลูกต้นไม้สนองความต้องการเวลาแกปลูก แกก็มีความสุข แกไปรดน้ำพรวนดินทุกวันก็ไปคอยดูต้นไม้มันงามไม่งาม แกไปเห็นมันไม่งามก็แกก็หาทางทำให้มันงาม พอเห็นมันงามขึ้นมาแกก็มีความสุข แกมีความสุขจากการกระทำของแก เพราะมันตรงกับจุดมุ่งหมาย เป็นกิจกรรมตามธรรมชาติ ทีนี้พอมนุษย์เจริญขึ้นมา มนุษย์ก็มีการบัญญัติแต่ที่จริงเดิมนั้นก็เป็นการสอดคล้องกับธรรมชาติ ว่าเอ้อมนุษย์อยู่รวมกันเป็นสังคมนี่เราอยากให้ต้นไม้งาม ต้นไม้งามแล้วเยอะ ๆ มันก็ทำให้ดูเขียวขจีบรรยากาศก็น่ารื่นรมย์มีความสวยงามสดชื่น มนุษย์ก็อยู่กับเป็นสุข อ้าวเราจะมาทำกันทุกคนมันก็ไม่มีเวลาแล้วก็มันก็จะไม่ได้ผลดีมนุษย์ก็แบ่งงานกันทำ เอาแล้วนะคนนี้ไปทำงานโน้น คนโน้นไปทำงานนี้การทำสวนปลูกต้นไม้ก็ให้เป็นหน้าที่ให้คนส่วนหนึ่งมาทำ แต่เพื่อช่วยให้เขาไม่ต้องไปห่วงกังวลในความเป็นอยู่ คุณตั้งใจมาทำสวนอย่างเดียวนะ แล้วก็คุณไม่ต้องห่วงฉันจะจัดสรรอาหารปัจจัย 4 ให้คุณอยู่ได้โดยให้มาเป็นเงินเดือน พอให้เงินเดือนแล้วคุณก็ไม่ต้องเป็นห่วงกังวลแล้วตั้งใจทำสวนไปนะ ทีนี้ตอนนี้มันเกิดเป็นกฏขึ้นมาใหม่ เดิมนั้นมีว่าการปลูกต้นไม้ทำสวนเป็นเหตุก็ได้ต้นไม้เจริญงอกงามเป็นผลที่ต้องการตามกฎธรรมชาติ ซึ่งเป็นความจริงแน่นอน การทำสวนเป็นเหตุให้ต้นไม้เจริญงอกงาม ทีนี้ก็มีกฎมนุษย์ซ้อนเข้ามาในอารยธรรมมนุษย์ที่แบ่งงานกันทำเพื่อมาสนับสนุนกฎธรรมชาติเพื่อจะให้ได้ต้นไม้งามกันอย่างจริงจังมีคนที่มันตั้งใจทำ ก็เลยตั้งกฏสมมุติขึ้นมา ให้มีคนมาทำสวนแล้วก็การทำสวนเป็นเหตุได้เงินเดือน 5,000 บาทเป็นผลใช่ไหม เอ้าก็ได้กฎมนุษย์ กฏมนุษย์นี้การทำสวนเป็นเหตุได้เงินเดือน 5,000 บาทเป็นผล กฏมนุษย์นี้ เรียกว่ากฏสมมุติเพราะอะไร เพราะว่ามันเกิดจากการยอมรับร่วมกัน สมมติแปลว่าการยอมรับร่วมกัน มติ สมมติมาจากสัมมติ สัมร่วมกัน มติก็คือมติ มติแปลว่าข้อตกลงยอมรับ การรู้ แล้วก็สัมร่วมกัน ก็หมายความการรู้ร่วมกัน ยอมรับร่วมกัน ตกลงร่วมกัน ตกลงร่วมกันว่าคุณทำสวนไปแล้วฉันจะให้เงินเดือน 5,000 บาท กฏนี้เรียกว่ากฏสมมุติ คือเกิดจากการยอมรับร่วมกัน หมายความว่าถ้าไม่มีสมบัติแล้วกฏนี้ไม่เป็นกฏ ถ้าไม่มีการยอมรับร่วมกันปั้บ กฏนี้หายทันทีใช่ไหม ฉะนั้นกฏสมมตินี่สำคัญที่ทำให้โลกมนุษย์เจริญได้ สมมตินี่คนไปดูถูกมัน คนไทยนี่เข้าใจผิด ว่าสมมติไม่ดีไม่จริงจังเหลวไหล คือมันเหลวไหลไม่เหลงไหล มันอยู่ที่มนุษย์มีปัญญาไหมใช่ไหม ถ้ามนุษย์มีปัญญาแล้วปฏิบัติตามข้อตกลงนี้สมมุติก็เป็นสิ่งที่เกื้อหนุนทำให้สังคมนี้อยู่ด้วยดี ทำให้เจริญงอกงามมีอารยธรรม เราไม่มีสมมติเราอยู่ได้อย่างไง เราก็ถ้าไม่มีสมมติมนุษย์ก็เป็นเหมือนกันสัตว์ชนิดอื่น นี้มนุษย์อยู่กับสังคมได้เพราะมีสมมติ มันเก่งความสามารถของมนุษย์ สังคมมนุษย์ที่เจริญมีอารยะธรรมมานี้ก็ด้วยอาศัยสมมตินี่แหละ เพราะมนุษย์มีปัญญารู้จักมาตั้งกำหนดกฎเกณฑ์ในการยอมรับตกลงร่วมกันในสังคมเพื่อจะให้กิจการต่าง ๆ เป็นไปแล้วให้สัมฤทธิ์ผลตามความรู้เข้าใจกฎธรรมชาติ พอมนุษย์รู้กฎธรรมชาติว่าสวนต้นไม้เจริญงอกงามได้เพราะต้องมีคนไปคอยดูแลปรุงแต่งมันเพราะมันต้องการเหตุปัจจัย มนุษย์ก็ไปทำเหตุปัจจัยนั้นช่วยมัน ทีนี้เราก็เลยตั้งกฏสมมติขึ้นมาเพื่อให้มีคนมาดูแลช่วยต้นไม้ ก็ตั้งกฎสมมติของมนุษย์ว่าให้เงินเดือนคนซะไม่ให้เขาเป็นห่วงเรื่องเป็นอยู่แล้วเขาจะได้มาตั้งใจทำเต็มที่ นั้นกฏสมมุติของมนุษย์เกิดขึ้นว่าทำสวน 1 เดือนได้เงินเดือน 5,000 บาทก็เพื่อมาหนุนกฏธรรมชาติจะได้มีคนทำสวนแล้วทำให้ต้นไม้เจริญงอกงามใช่ไหม นี่เป็นความฉลาดของมนุษย์ แต่ความฉลาดของมนุษย์นี่ถ้ามนุษย์เพลินก็ไปหลงสมมติเลย ห่างเหินห่างลืมทอดทิ้งมองข้ามความจริงดั้งเดิมคือความต้องการผลตามกฎธรรมชาติตอนนี้เชื่อมโยงไม่ถึง ติดอยู่แค่กฏสมมุติว่าทำสวน 1 เดือนได้เงินเดือน 5,000 บาท โยงไปไม่ถึงว่าที่จริงนี้เพื่อให้กฏสมมติของมนุษย์เป็นหนุนกฎธรรมชาติว่าทำสวน 1 เดือนแล้วต้นไม้เจริญงอกงามใช่ไหม พอหลงเข้าไปติดในกฎสมมุติแกก็โยงตัวไม่ถึงกฎธรรมชาติแกก็แปลกแยกจากธรรมชาติ แปลกแยกจากกฎธรรมชาติตอนนี้ อันแปลกแยกทางธรรมชาติเมื่อกี้เราพูดไปทีหนึ่งแล้ว ตอนนี้แปลกแยกจากกฎธรรมชาติเลย แปลกแยกตัวธรรมะแปลกแยกจากตัวความจริงที่แท้ของสิ่งทั้งหลาย ทีนี้แกไปหลงติดสมมติแล้ว ทีนี้แกไปทำสวน 1 เดือนเพื่อต้องการเงินเดือนอย่างเดียว แกไม่ได้คิดต้องการให้ต้นไม้เจริญงอกงาม พอแกลืมกฏธรรมชาติแกแปลกแยกจากกฎธรรมชาติ แปลกแยกจากตัวธรรม แปลกแยกจากตัวความจริง แกทำสวนไม่มีความสุขแล้วทีนี้ใช่ไหม เพราะกิจกรรมแห่งชีวิตของแกนี่แกมามุ่งหมายผลที่มันไม่ตรงตามความเป็นจริง กิจกรรมของแกนี่มันเป็นกิจกรรมที่มุ่งหมายผลที่ไม่ตรงตามความจริงแท้ต้องกฏธรรมชาติ เพราะว่าการทำสวนทำให้เกิดเงินเดือน 5,000 บาทนี้มันไม่มีความจริงในกฎธรรมชาติรองรับว่าเป็นคนสมมุติที่ยอมรับ มีที่ไหนว่าไปทำสวนแล้วเงินมันเกิดขึ้นมาเป็นไปไม่ได้ในโลกนี้ใช่ไหม อันนี้มนุษย์นึกว่าเป็นความจริงก็จริงเพราะยอมรับร่วมกันเท่านั้นเอง ทีนี้พอไปติดอันนี้แล้วแกก็แปลกแยกจากกฎธรรมชาติก็คือแปลกแยกจากกิจกรรมแห่งชีวิตของแกเอง ทั้ง ๆ ที่แกกำลังทำกิจกรรมหรือการทำสวนอยู่นี่ จิตใจแกไม่อยู่กับกิจกรรมชีวิตแก จิตใจแกไปอยู่กับการมุ่งหมายเงินตอบแทน เพราะฉะนั้นแกก็ไม่มีความสุขในการทำกิจกรรมนั้นสิ กิจกรรมทำไป ทำไปอย่างไร้ความหมาย ไม่รู้จะทำไปทำไม แล้วมันกลับเป็นตัวทำให้ต้องรอเมื่อไหรได้เงินมาสักที สิ่งเสพจะมาสักที กลายเป็นว่าทำด้วยความทุข์ทรมารกำลังทำกิจกรรมนี้อยู่ ใจไม่อยู่แล้ว ฉะนั้นกิจกรรมแห่งชีวิตของแกแทนที่จะนำมาซึ่งนำมาซึ่งความสุขกลับนำมาความทุกข์ความทรมานใจ นี้เรียกว่าแปลกแยกจากกิจกรรมแห่งชีวิตของตัวเอง
เพราะฉะนั้นมนุษย์สมัยนี้ที่เจริญด้วยอารยธรรมจะทำอะไรต่ออะไรที่ตัวเองไม่รู้จะทำไปทำไมแล้วไม่เคยคิดว่าที่ทำนี้เพราะอะไร มันเป็นความชำนาญพิเศษของมนุษย์ที่มาจัดสรรสังคมแบ่งงานกันทำจนกระทั่งว่าไอ้ที่ทำอยู่ไม่รู้ทำเพื่ออะไรใช่ไหมจริงไหม สมัยนี้คนทำงานทำการไม่รู้ว่าไอ้กิจกรรมที่ตัวทำเนี่ยผลที่แท้ที่ต้องการตามกฎธรรมชาติคืออะไร สักแต่ว่าทำ นึกว่าทำคือเงินเดือนใช่ไหม ทุกอย่างรวมที่ผลประโยชน์หมดทำอะไรก็ได้ผลประโยชน์ เอ้าแล้วก็นึกว่าจะเป็นกฎเป็นเหตุผลจริง ๆ ซึ่งที่จริงมันไม่มีในธรรมชาติเลยไม่เป็นความจริงแท้ไม่เป็นตัวธรรมะก็ไปหลงสมมติ นั้นโลกมนุษย์ปัจจุบันก็อาจจะเจริญอาระธรรมจริงแต่ปัญญาที่แท้นี้กำลังจะหายไปคือไม่รู้ตัวธรรมะ ไม่รู้ตัวความจริงที่แท้ตามกฎธรรมชาติในที่สุดกิจกรรมแห่งชีวิตก็เลยแปลกแยกไป แปลกแยกจากความจริงของกฎธรรมชาติก็คือตัวเองนั่นแหละแปลกแยกจากกิจกรรมของชีวิตของตัวเอง ใจไม่อยู่กับกิจกรรม ใจไม่มีความสุขในการทำกิจกรรมนั้น ๆ แล้วเมื่อมนุษย์ยิ่งต้องการสิ่งเสพมากเขาก็ยิ่งแปลกแยกจากแหล่งความสุขพื้นฐาน 3 ประการ 1 ธรรมชาติ 2 เพื่อนมนุษย์ 3 กิจกรรมชีวิตของตนเองมากเท่านั้น แล้วเมื่อเขาแปลกแยกมากขึ้นมันก็กลับเป็นตัวบีบให้เขายิ่งต้องหันมามุ่งหาความสุขจากสิ่งเสพมากขึ้น นี่มันก็กลับเป็นปัจจัยลูกโซ่ตีกลับมาอีกใช่ไหม ยิ่งหามันมากก็ยิ่งแปลกแยกมาก ยิ่งแปลกแยกมากก็ยิ่งผลักดันให้ตัวเองต้องหาความสุขจากสิ่งเสพให้มาก เพราะมันเหลือช่องทางเดียว เพราะฉะนั้นมนุษย์ในยุคบริโภคนิยมนี่มีแนวโน้มมากที่จะมองว่าวัติถุเสพเป็นจุดหมายของชีวิต การพัฒนาเศรษฐกิจให้วัตถุพรั่งพร้อมนี้เป็นจุดหมายของสังคมเพื่อสนองความต้องการของแต่ละบุคคลที่ว่าจะได้ต้องการได้สนองความต้องการเสพให้มากที่สุด นี้ก็ยิ่งบีบยิ่งลัดในที่สุดวัตถุเสพเป็นจุดหมายของชีวิตก็เลยแปลกแยกจากธรรมชาติถึงขั้นทำลายธรรมชาติทำลายเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน สังคมก็เดือดร้อน ตกลงชีวิตมนุษย์มันก็หามีความสุขไม่
เพราะฉะนั้นการลงทุนของมนุษย์ที่ทะยานหาวัตถุเสพ มันนำมาซึ่งความเสื่อมแห่งชีวิต ความเสื่อมแห่งคุณภาพชีวิต ความเสื่อมโทรมของสังคมตลอดจนโลกที่ประกอบด้วยธรรมชาติระบบความสัมพันธ์ต่าง ๆ เป็นไปในทางที่ไม่ดีไม่เกื้อกูลหมดเลย อันนี้ก็คือเรื่องราวของมนุษย์ที่เป็นมาก็เป็นเรื่องที่ควรนำมาพิจารณาดูอารยธรรมการสร้างสรรค์ของมนุษย์ด้วยว่ามนุษย์นี่ฉลาดจริงมีปัญญาหรือเปล่าหรือเป็นพวกที่น่าหัวเราะเยาะ ไม่รู้ทำไปทำไม มนุษย์เคยวิเคราะห์แยกแยะไหมที่ตัวสร้างความเจริญแม้แต่วัตถุนี้ จุดแห่งความดี เกณฑ์วัดความดี เกณฑ์วัดความเจริญที่เป็นไปเพื่อประโยชน์สุขที่แท้จริงของมนุษย์นี้อยู่ตรงไหนใช่ไหม แม้แต่การแยกว่าวัตถุเสพเหล่านั้นที่สร้างมานี่เป็นปัจจัยเกื้อหนุนชีวิต กับการที่ว่ามันเป็นจุดหมายของชีวิตนี้แยกไม่ออก มนุษย์มีชีวิตเพื่ออะไร ถ้าเขาจัด ถ้าเขาไม่สามารถแยกอันนี้ได้ ไม่สามารถเข้าใจอันนี้ได้ ชีวิตของเขาก็ดำเนินไม่ถูกต้อง สังคมก็ไม่สามารถจะบริหารหรือแม้แต่เป็นนักปกครองนักการเมืองก็ไม่สามารถจะบริหารบ้านเมืองสังคมนี้ให้ไปสู่ความดีงามและสันติสุขได้นะ ไม่เข้าใจเรื่องพื้นฐานนี้ ทีนี้เรื่องของมนุษย์มันก็ยังไม่จบเท่านี้ เรื่องกับ นี่เรา เรากำลังพูดถึงขั้นพื้นฐานเท่านั้นเองนะ แค่ว่าเอาละ ชีวิตเกิดมาแล้วก็ หนึ่งอยู่ท่ามกลางธรรมชาติเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติในฐานะชีวิต 2 ก็เป็นบุคคลที่เป็นส่วนหนึ่งของสังคมอยู่ร่วมสังคม 3 ก็มีกิจกรรมการเคลื่อนไหวเป็นต้น นี่คือสิ่งที่เป็นไปในชีวิตแต่ละขณะแต่ละเวลา ซึ่งเป็นแหล่งสำคัญพื้นฐานแห่งความสุขของเขา แล้วก็มีความสุขจากการเสพมาเป็นตัวแทรกเสริมเติมทำให้ตื่นเต้นแล้วจิตใจมนุษย์ก็มาโน้มเอียงมาและพุ่งไปสู่การหาสิ่งเสพมากขึ้นในที่สุดก็แปลกแยกจากธรรมชาติเพื่อนมนุษย์และกิจกรรมชีวิตของตนเอง ก็ถ้าเรามองว่านี่เป็นการดำเนินชีวิตและการพัฒนาสังคมที่ไม่ถูกต้อง แล้วทางที่ถูกต้องคืออย่างไร ถ้ามนุษย์พัฒนาชีวิตและบริหารสังคมอย่างถูกต้องมันจะเกิดอะไรขึ้นนอกเหนือจากนี้นอกเหนือจากว่า 1 เขาน่าจะได้สิ่งเสพพอสมควร แล้วพร้อมกันนั้นเขาไม่แปลกแยกจากแหล่งพื้นฐานแห่งความสุขของชีวิตของเขา 3 ประการคือธรรมชาติเพื่อนมนุษย์และกิจกรรมแห่งชีวิตนะ อันนี้ต้องไม่ให้เสีย 3 อันนี้ต้องยังอยู่แล้วพอได้สิ่งเสพเพิ่มขึ้นด้วยแต่ว่ามันมีแค่นี้หรือ ทางพทธศาสนาตอบว่าไม่ใช่ มันมีเหนือกว่านี้ถ้ามนุษย์พัฒนาตัวเองนะเขาจะมีความสุขเพิ่มขึ้นมาอีกหลายช่องทางและลักษณะสำคัญก็คือว่า ชีวิตของเขานี่จะขึ้นต่อวัตถุเสพภายนอกน้อยลงไปด้วยในการที่จะมีความสุขนั้น นี่เราจะมาพัฒนากันอย่างไรก็นึกว่าเอาไว้เป็นเรื่องที่จะพูดกันเป็นต่อไป เพราะวันนี้เวลานี้ล่วงไปเยอะแล้วนะ เรื่องความสุขเรื่องใหญ่นะ นี่บางทีชาวพุทธกลับไปเลี่ยง ไม่พูด พูดเรื่อง ไม่ได้ ไม่ได้ มีแต่ทุกข์ ชอบพูดแต่เรื่องทุกข์
คนฟังถาม อาจารย์ครับ เพราะฉะนั้น คนที่เข้าใจพื้นฐานความสุขชีวิต ทำงานให้สดวกต้องทำใจให้เข้มแข็งใช่ไหมครับ
พระตอบ เข้มเข็งซิครับ เพราะมันไม่หลงไงครับ พอไปเจอสิ่งเสพมันโน้มไปสู่ความลุ่มหลงมัวเมาใช่ไหม แล้วทีนี้ไอ้สิ่งเสพนี่มีลักษณะอย่างหนึ่งคือ ยิ่งกระตุ้น ยิ่งเล้า ยิ่งเสพมากจนต้อง ต่อมาก็คือว่าไอ้สิ่งเสพเท่าเดิมไม่ให้ความสุขเท่าเก่า ต้องเพิ่มปริมาณสิ่งเสพเพื่อให้ได้ความสุขเท่าเดิมถูกไหม เอ้อ ไอ้ตัวความสุขอาจจะเท่าเดิมแต่ปริมาณต้องเพิ่ม แล้วดีกรีก็ต้องเพิ่มอีก การะกระตุ้นต้องเพิ่ม ทีนี้ก็หมกมุ่นมัวเมาอะไรต่ออะไรก็ไปกันใหญ่ก็แปลกแยกด้วย
คนฟังถาม ผมมาคิดถึงในการที่ทำประโยชน์ต่อมนุษย์น่ะครับ บางจำพวกที่ไม่เข้าใจว่า บางคนทำเพื่อประโยชน์ส่วนรวมจริง แต่มนุษย์ที่ไม่เข้าใจกันการทำงานให้เขา
พระตอบ อ้อ เพราะเขาลุ่มหลงมัวเมาเขาไม่รู้แล้วไม่เข้าใจอะไรทั้งนั้น ความลุ่มหลงที่หวังประโยชน์ส่วนตัวใช่ไหม มันก็ทำให้เกิดความแปลกแยกจากเพื่อนมนุษย์ยังไง แล้วเขาจะมาเข้าใจคนที่ทำดีได้ไงใช่ไหม เพราะเขาแปลกแยกแล้วนี่ เขามองแต่ในแง่ว่า ไอ้นี่จะมารุกรานทำให้เขาเสียผลประโยชน์ใช่ไหม สิ่งเสพเขาจะไม่ได้เขาก็ยิ่งโกรธเลยนะ ก็ยิ่งมาแปลกแยกจัดการแปลกแยกก็มาทำร้ายเลย
คนฟังถาม การพัฒนา การศึกษาก็ดี ความคิดของมนุษย์มากหลัง ๆ ในหมู่ปัญญาชนที่ผมได้อยู่ร่วมทำกิจกรรมร่วม มีความรู้สึกอย่างว่าทุกคนร่าเริงความสำคัญของงาน คือมองตัวเองในฐานะอย่างนี้ มีชาติตระกูลอย่างนี้ งานอย่างนี้ไม่เหมาะสมกับตัวเอง ก็กีดกันงานอย่างนี้ต้องเป็นงานกุลี งานอย่างนี้
พระตอบ คือไม่รู้ว่า ทีแท้มันมีเพื่ออะไรสิ่งเหล่านี้
คนฟังถาม ก็ที่แท้จริง ฐานะเป็นอย่างนี้ ฉันมีระดับอย่างนี้ ฉันมีฐานะอย่างนี้ มีชาติตระกูลอย่างนี้ งานอย่างนี้เป็นงานกุลีฉันไม่ทำ กลายเป็นว่าต้องไปทำก็เป็นการฝืนใจ ไม่สามารถหาความสุขจากการทำงานได้เลย
พระตอบ ก็ใช่ เพราะเขาแปลกแยกแล้วนี่ใช่ไหม เขามองไม่เห็นไอ้ความสัมพันธ์ระหว่างกติกาสังคมของมนุษย์ที่สมมติขึ้นกับไอ้ความจริงแท้ตามกฎธรรมชาติมองไม่เห็นเลย คนสมัยนี้แทบจะไม่มองเลยถูกไหม ไม่มอง เขาไม่เข้าใจมันโยงกันได้ยังไง เขานึกว่ากฏที่สมมตินี่ เป็นกฏจริงแท้แล้ว เขานึกว่าเป็นเหตุเป็นผลนี่ ก็ทำงาน 1 เดือนก็ได้เงินเดือนเท่านี้ นี่คือความจริง อันนี้ไม่รู้ว่านี่คือสมมุติความฉลาดของมนุษย์ที่สมมติขึ้นมา
คนฟังถาม ตัวเองสั่งคนง่าย ๆ ตัวเองก็ต้องมาทำก็เลยกลายเป็นความทุกข์ไปเลย
พระตอบ นั่นสิ มนุษย์เสียฐานเลยนะ ฐามพังแล้ว ฐานพังแล้วจะอยู่อย่างไงละ คนนี้ก็ทะยานเกาะเกี่ยวยึดไอ้เนี่ย จากสิ่งเสพเท่านั้นเองเพื่อจะเอาไว้ให้ได้
คนฟังถาม พระอาจารย์ ขอย้อนกลับไปพุทธกาล ผมมองเปรียบเทียบว่า จริง ๆ แล้วสังคมอุดมคติตั้งแต่สมัยสังคมพุทธกาลแล้ว เพราะว่า 1 มีองค์สัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งเป็นสัพพัญญูสามารถวางอารยะวินัย แล้วก็ 2 ในยุคสมัยนั้นผมได้อ่านประวัติกรุงราชคฤห์แค่พระพุทธองค์แสดงธรรมนี่ 11-12 ส่วนก็สำเร็จบรรลุโสดาบันคือได้อุดมการณ์ของธรรมแล้ว
พระตอบ อ่านจากอรรถกถามั้ง บาลีพระไตรปิฏกไม่ถึงขนาดนั้น พระไตรปิกฏ พระสูตร โดยมากมาฟังแล้วคนนั้นก็บางทีก็ อะพินันพิงสุ หลาย ๆ คนบันเทิงใจ พอใจ บางทีก็พอใจแล้วก็ขอประกาศตนเป็นอุบาสก บางคนก็ขอบวชเลยนะ เป็นราย ๆ ไป แต่ว่ามันจะไม่มีจำนวนสถิติรือลั่นมหัศจรรย์อย่างในอรรถกถา ในอรรถาถาอะไรนะเทวดาแสนโกฏิ โฮได้บรรลุธรรม หรืออะไรอย่างนั้นนะ นี่อรรถกถา
คนฟังถาม เคยเปรียเทียบเรื่องสังคมในสมัยนั้นเป็นเพราะว่ามีองค์สัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้าที่สามารถวางอริยะวินัยและสามารถชี้แจงแสดงธรรมให้เหมาะสมกับบุคคลวิธีการแล้วก็ธรรมะที่จะยกขึ้นมาสอนด้วยครับ ก็เลยทำให้คนบรรลุได้เยอะ สมัยปัจจุบันอริยะบุคคลในระดับอย่างนั้นไม่มี แล้ว 2 มานึกไม่ถูก สังคมอุดมคติยิ่งนับวันยิ่งรางเลือนทุกที
พระตอบ มันก็อยู่ที่ว่ามนุษย์เราจะมาตั้งจุดเริ่มต้นถูกไหมใช่ไหม มาเข้าสู่จุดเริ่มต้นเข้าสู่ทางมรรคมายังไงล่ะ ก็ต้องเข้าสู่ธรรมะที่เป็นปัจจัยแห่งสัมมาทิฏฐิบ้าง หรือไม่งั้นก็เข้ามาโดยไอ้ตัวบุพพนิมิตแห่งมรรคนี่ไง ที่พูดไปแล้ว ถ้ามันเริ่มต้นเข้าจุดถูกมันก็มีทางไป ทีนี้เราทำอย่างไงให้เขาได้ปัจจัยสัมมาทิฏฐิใช่ไหม ก็เป็นกัลยาณมิตรช่วยให้ความรู้ให้ความเข้าใจ ให้ปรโตโฆสะที่ดี แล้วก็กระตุ้นให้ความรู้จักที่จะคิดเขาคิดขึ้นมาหรือไม่งั้นก็ให้เขามีไอ้ตัว 7 ตัวนี่ บุพพนิมิตแห่งมรรค ใช่ไหม ถ้าเขาได้อันนั้น เขาก็มีทางเข้าถูกต้องและยุคสมัยไหน ถ้ามนุษย์สามารถมาจับจุดเริ่มต้นนี้ถูกก็ไปด้วยดี ในสมัยพุทธกาลเองก็เพราะว่าสังคมมันแย่นะพระพุทธเจ้าจึงเกิดถูก มันแย่แล้ว ในยุคนั้นน่ะยุคพุทธกาลคือยุคที่อารยธรรมอินเดียเจริญมาก จากสังคมที่พัฒนากันมาในขณะที่ตะวันตกยังวิ่งไล่ล่าสัตว์อยู่ใช่ไหม อย่างบาเบเลี่ยน ไอ้ทางอินเดียทางจีนเจริญแล้วตอนนั้น มีอารยะธรรมแล้ว ของอินเดียนี้ก็ตั้งแต่ลุ่มน้ำสินธุพวกโมเฮนโจดาโร อะไรพวกนั้นน่ะ นี้ก็เจริญขึ้นมา อาระธรรมเจริญเข้ามากันใหญ่ การเมืองเศรษฐกิจเกิดขึ้น มีการบริหาร มีการปกครอง มีการแย่งชิงดินแดน ในเวลาเดียวกัน ใช้อำนาจก็มาก ทรัพย์ก็มาก การแสวงหาความสุขจากวัตถุเสพเริ่มมากขึ้น คนลุ่มหลงมัวเมา คนพวกหนึ่งก็เบื่อยหน่าย โอ้ออกป่าดีกว่าไม่เอากับใครแล้ว ไปเป็นฤษีชีไพร ไอ้พวกหนึ่งก็เสพกันใหญ่เลยน่ะในเมืองนี่ ยุคนั้นเกิดชีวิตที่สุดโต่งสองทาง เหมือนสมัยนี้ สมัยนี้ก็เจริญเพิ่มพูนมัวเมาใช่ไหม พวกหนึ่งก็เบื่อหน่าย ก็พระพุทธเจ้าก็มาเห็น เอ้ มันยังไง ชีวิตยังไงมันถึงจะดี ไปทดลองกับเขา ไปแสวงหาความรู้บอกไม่ถูกทั้งคู่เป็นที่สุด 2 อย่างแล้วก็แสวงหาทางแห่งปัญญาได้มัชฌิมาปฏิปทามาประกาศถูกไหม อันนี้ในสังคมสมัยนั้นพระพุทธเจ้าเกิดท่ามกลางสังคมที่มันสู่กระแสของวัตถุนิยมไปเยอะแล้วเหมือนกัน แล้วก็พยายามมาแก้ไขมาชี้แจงเพื่อนำเข้าสู่แนวทางมัชฌิมาปฏิปทา ทางแห่งมรรคมีองค์ 8 ที่ถูกต้อง ก็ได้คนมาจำนวนหนึ่งใช่ไหม ก็พัฒนาเจริญมา พระพุทธเจ้าเป็นจุดเริ่มต้นให้หลังพุทธกาลแล้วพุทธศาสนาก็เจริญต่อมา แต่ในเวลาเดียวกันพวกสังคมก็เป็นสังคมของมนุษย์นี่แหละที่ส่วนหนึ่งมันก็ยุ่งกันอยู่มันก็ฆ่ากันไปมันก็แย่งกันไปใช่ไหม แม้แต่กษัตริย์อาชาตศัตรูก็ยังฆ่าพ่อถูกไหม มันก็ยังมีเรื่องเบียดเบียน แล้วก็ทางมคธก็ยกทัพไปตีวัชชี รุกรานกันอะไรต่าง ๆ พระเจ้าจันทปัชโชติ พระเจ้าอุเทน อะไรก็ว่ากันวุ่นไปหมดใช่ไหม นี่ก็เรื่องของสังคมมนุษย์เนี่ยมันจะเอาดีอุดมคติให้มันดีทุกคนคงไม่ไหว มันอยู่ที่ว่ามนุษย์เป็นสัตว์ที่ต้องฝึกต้องพัฒนา หลักการนี้ใช้ได้ตลอดเวลาใช่ไหม ในเวลาหนึ่ง ๆ นั้นมนุษย์ทุกคนจะไม่มีหรอกที่พัฒนาอยู่ในระดับเดียวกันหมดถูกไหม นั้นมันก็จะอยู่ในระดับต่างกันแห่งการพัฒนา
คนฟังถาม คือผมมานึกว่า ผมเปรียบกับสมัยนั้น พระองค์สัมมาสัมพุทธเจ้ายังมีพระชนม์ชีพอยู่ก็ทำให้สังฆะมีความเข้มแข็งมาก แต่ปัจจุบันสัมฆะที่จะเป็นตัวแทนหรือเป็นตัวที่สามารถเผยแพร่ธรรม
พระตอบ อ๋อ อันนี้เรียกว่าสังคมขาดกัลยาณมิตร เพราะตัวกัลยาณมิตรมันไม่มีคุณสมบัติ หรือว่ามันไม่สามารถ หรือพูดอีกนัยหนึ่งก็คือสังคมไม่สามารถพัฒนากัลยาณมิตรขึ้นมา ไม่มี ก็เอานะ มันก็เป็นปัญหาของมนุษย์ แต่ว่าทำไงเราจะช่วยเท่าที่ทำได้ ถ้าเราจับหลักให้ได้ ก็มาปฏิบัติดำเนินตามแนวทางที่จะสร้างสรรค์สู่มัชฌิมาปฏิปทาให้เป็นไปเพื่อจุดหมายที่ดีงาม ก็ยุติในภาคเช้าไว้เท่านี้ก่อน