แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ไฟล์ถอดเสียงนี้ยังไม่ได้ผ่านพิสูจน์อักษร นำขึ้นมาเพื่อช่วยในการศึกษาค้นคว้าของผู้สนใจ
พระอาจารย์ คุยกันต่อเรื่องของวัตถุมงคลหรือว่ารูปธรรมที่สื่อธรรมะถ้าใช้ถูกต้อง ทีนี้ไปนึกถึงที่ท่านจักรพันธ์ถามเมื่อเช้า เรื่อง ระหว่างหนังสือกับพระเครื่อง ท่านถามอีกที
พระนวกะ ???
พระอาจารย์ ก็มีแง่มุมที่เหมือนบ้างแต่ว่าไม่มากนัก คือเหมือนในแง่ที่ว่า ก็เป็นสื่อธรรมะด้วยกันทั้งคู่ถ้าใช้ถูก แต่หนังสือนี่สื่อโดยตรงเลย มันแน่นอนว่าสื่อตัวธรรมะโดยวัตถุประสงค์หน้าที่ของมัน บทบาทของมัน หนังสือคือสื่อโดยตรง แต่พระเครื่องนี่สื่อโดยอ้อมต้องผ่านวัตถุอีกทีหนึ่ง บางทีสื่อไม่ถูกไปสื่ออื่นเสียอีก ออกไปยอกเรื่องนออกราวเลย แม้แต่เอาไปเป็นสินค้าในกรณีที่ไม่ได้แจก ถ้าเกิดมีก่รแลกเปลี่ยนเป็นเงินทองขึ้นมา เราจะได้ว่าพวกกหนังสือออกไปสู่กิจการที่เขาทำเป็นธุรกิจ ในกรณีที่ไม่ใช่พระแจกเป็นร้านค้าทำ ก็ยังเป้นได้แค่สินค้าซื้อขายแลกเปลี่ยนตามอัตราส่วนที่อยู่ในความสัมพันธ์ระหว่างผู้ผลิตกับผู้บริโภค ก็เหมือนหนังสืออื่น บางที่หนังสืออื่นขายได้ราคาดีกว่า เช่น หนังสืออ่านเล่น แต่ถ้าเป็นวัตถุมงคลลงทุนนิดเดียวกำไรมหาศาล พวกทำหนังสือธรรมะขายเสี่ยงต่อการขาดทุนเยอะ คนซื้อน้อยและราคาจำกัด แต่ถ้าเป็นวัตถุมงคล พระเครื่องลงทุน10บาท อาจจะขาย1000บาท หรือยิ่งกว่า อาจลงทุน100บาท ขาย10000 20000 5000 50000 ฉะนั้นกำไรมหาศาล หากว่าเจตนาไม่ดีไม่เป็นบุญกุศล ไม่ได้คิดเอามาเพื่อสร้างสมธรรม ประโยชน์สาธารณะหาประโยชน์ส่วนตน กลายเป็นการค้ากำไรเกินควร แทบไม่มีการค้ากำไรเกินควรอันใดได้กำไรมากเท่านี้เลย ทีนี้มาย้อนเรื่องของเรา รวมความคือต้องใช้ให้ถูก พวกวัตถุมงคลสื่อธรรมะได้ในขอบเขตจำกัด สื่อได้ในระดับศีลคือความประพฤติว่ามาช่วยป้องกัน ทำให้ต้องยึดถือข้อปฏิบัติ เช่น การงดเว้นจากการเบียดเบียนกัน การละเมิิดศีล แล้วแตพระอาจารย์จะสั่ง และสื่อทางจิตใจ ทำให้มีความปลาบปลื้มมั่นใจ เอิบอิ่มใจ ได้ผลทางจิตใจ แต่สื่อไปภึงปัญญาน้อย ยาก หนังสือธรรมะสื่อถึงปัญญาโดยตรง ฉะนั้นสำคัญมาก สื่อหนังสือธรรมะเหมือนฟังคำสอน เอาคำสอนของพระพุทธเจ้าออกไปและไปเผยแผ่ต่อ แต่มีการใช้ประโยชน์ซ้อนคือ หนังสือไปหนุนวัตถุมงคลอีกที ไม่ใช่เอาหนังสือมาสื่อตัวธรรมะแล้ว แต่ว่าเอาหนังสือไปใช้โปรโมทวัตถุมงคล พระเครื่อง หรือทำเป็นหน้าม้าโฆษณาคุณภาพของวัตถุมงคล อันนั้นกลายเป็นใช้หนังสือเพื่อประโยชน์อีกอย่างหนึ่งไม่ใช่สืื่อธรรมะโดยตรง นั่นเป็นเรื่องของความซับซ้อนของสังคมปัจจุบัน ต้องพิจารณากันหลายขั้นตอน ก็มีแง่มุมที่ต้องคำนึงถึงสองอย่างนี้
ขอย้อนมาความหมาย ประโยชนืของการปฏิบัติต่อเรื่องวัตถุมงคลโดยเฉพาะพระเครื่องกันต่อ ที่พูดเรื่องประวัติความเป็นมาเพื่อให้เห็นถึงบทบาทและการปฏิบัติของคนโบราณสืบมาแต่สมัยพุทธกาล ทีนี้มาปัจจุบัน ได้เล่าถึงหลวงพ่อวัดบ้านกร่าง อยากเล่าต่ออีกนิดถึงจริยาวัตรของหลวงพ่อซึ่งเป็นที่เรื่องลือ ผู้คนเลื่อมใสศรัทธามาก ขลัง ศักดิ์สิทธ์ ท่านมีดี แต่ปกติท่านไม่ให้ใคร คนก็อยากจะได้ ความศรัทธาเลื่อมใสต่อท่านมาก จะเห็นว่าเวลามีงาน ต้องการกำลังคน เขาจะมากันพร้อมเพรียงมาก คราวหนึ่ง วัดบ้านกร่างมีการย้ายเสนาสนะทั้งหมด กุฏิ ศาลา หอสวดมนต์ซึ่งใหญ่มาก เสนาสนะบางอย่าง เช่น กุฏิ ก็รื้อแล้วไปสร้างใหม่ได้ แต่เสนาสนะบางอย่าง อยากรักษาไว้อย่างเดิม เช่น หอสวดมนต์ ก็ใช้วิธียกไปทั้งหลัง จะยกอย่างไรไม่ได้มีเครื่องมือ เทคโนโลยีอย่างปัจจุบัน ย้ายจากจุดนี้ไปอีกฝั่งห่างออกไปมากพอสมควร ก็ใช้วิธีนัดประชาชน นัดเวลาให้มาพร้อมกัน ระหว่างนั้นช่างก็ไปเอาไม้ไผ่มาผูกเชือกมัดตรึงต้นเสา ระหว่างเสาต่างๆมัดตรึงให้เป็นช่อง ให้คนเข้าไปยืนเป็นช่องๆ แล้วเลื่อยตัดเสาให้ตรงกันทุกเสา ในเวลาเดียวกัน ก็ไปทำเสาปูนซีเมนต์รองรับไว้ที่ใหม่ พอถึงวันนัด ประชาชนมามากมายเข้าประจำที่ ถึงเวลาหลวงพ่อให้สัญญานยกพร้อมกัน ศาลาก็เดินเลย เดินไปวางที่ใหม่ เดินเหมือนคนเดินไปเรียบร้อยมาก นี้เป็นเครื่องแสดงถึงศรัทธาของพุทธศาสนิกชนที่มีพระสงฆ์ที่เขาเคารพเป็นศูนย์กลาง ว่ามีผลในทางสามัคคีเกิดพลังอันยิ่งใหญ่ ทำการอะไรก็สำเร็จ ชีวิตประจำวันของท่านไม่มีการพูดถึงของขลังเลย และไม่ให้ใครด้วย แต่ถ้าใครเดือดร้อน ถูกคุณไสย ก็มาหาท่านเป็นกรณีไป ท่านก็แก้ไขให้เฉพาะรายนั้นๆ ไม่ต้องพูดโฆษณากัน ใครมีเรื่องก็แก้เฉพาะตัวไป ในชีวิตประจำวันท่านพูดแต่เรื่องธรรมะ คำสอนให้ดำเนินชีวิตอย่างไร ให้หาเลี้บงชีพ ให้อยู่ร่วมกันดีๆ มีความสัมพันธ์ที่ดีช่วยเหลือเกื้อกูล ถ้าเป็นนักเรียนให้ขยันหมั่นเพียร สอนแต่เรื่องธรรมะ หมายความว่าชีวิตประจำวันก็ทำหน้าที่ให้ธรรมะ ไม่มีการให้เครื่องรางของขลัง คนจะได้จากท่านยากมาก ขอก็ไม่ให้ บางทีท่านให้ลูกศิษย์ที่ประพฤติดีปฏิบัติชอบ อาจจะโตขึ้น ย้ายถิ่นฐานไปที่ใหม่ จะได้รักษาคุ้มครอง และจะบอกว่าไปแล้วให้ตั้งใจขยันหมั่นเพียรทำการหาเลี้ยงชีพโดยสุจริต อย่าได้ประพฤติเสียหาย พระจะได้คุ้มครอง เวลาจะให้ก็กำกับไปเสร็จเรื่องของศีลธรรม สั่งให้เว้นอะไร ประพฤติอย่างไร ฉะนั้นโอกาสที่จะให้มีน้อย การให้แบบนี้ ทำให้เกิดผลได้หลายอย่าง เพราะคนที่อยากได้ก็ต้องเอาตัวอย่างของคนทืี่ได้ ต้องประพฤติดี ถ้าไม่ดีหลวงพ่อก็ไม่ให้ เวลาให้ก็จะเป็นโอกาสที่จะได้สอนธรรมะ ก็เป็นเครื่องมือสื่อธรรมได้เป็นอย่างดี อันนี้เอามาเป็นบทสรุปว่า พระสมัยก่อนท่านปฏิบัติตามหลักการนี้ ปฏิบัติต่อเครื่องวัตถุมงคลอย่างไร สรุปได้คือ หนึ่ง ไม่มีราคา ไม่มีค่าเป็นเงินทอง ท่านให้เปล่า สอง ไม่ได้ให้ง่าย ไม่กลาดเกลื่อน กว่าจะได้ต้องประพฤติดี เรียกได้ว่าต้องสะสมบารมีของตัวเองเยอะกว่าจะได้มา สาม มีข้อเรียกร้องทางศีลธรรม พระจะคุ้มครองต่อเมื่อเธอประพฤติตัวดี มีข้อห้ามมาก เช่น ด่าแม่ พระไม่คุ้มครอง ที่ศรีประจันมีขุนศรี สมัยผมเด็กไม่กี่ขวบ ขุนศรีเลื่องลือเรื่องหนังเหนียว ปราบผู้ร้าย โดนยิงไม่เป็นไร เป็นมือขมัง เรียกว่าเป็นนักปราบโจรที่น่ากลัว ขุนศรีประจันรักษาไปปราบโจร ต่อมาคราวหนึ่ง ถูกโจรยิงตาย ชาวบ้านโจษจันว่าโจรทำไงไม่รู้ ท่านขุนโมโหเลยด่าแม่มัน เลยปังเลย ท่านขุนตาย ฉะนั้น โบราณสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของขลัง ต้องมีศีลธรรมกำกับมา มีคุณค่าทางจิตใจ สื่อโยงระหว่างบุคคลที่มีพระคุณและความดี อย่างหลวงพ่ออุปัชฌาย์ท่านจะให้กับลูกศิษย์ก็เลือกผู้ประพฤติดี และเวลาที่จะให้ ให้ในเวลาจะจากไปทำมาหากินหรือตั้งหลักฐาน พอให้ยาก ลูกศิษย์ไปอยู่ไกล พระองค์นี้จะเป็นตัวแทนของหลวงพ่อ เมื่อนึกถึงพระก็นึกถึงพระพุทธเจ้าด้วยอันดับหนึ่ง สอง ระลึกถึงอาจารย์หลวงพ่ออุปัชฌาย์ที่ให้มา ความซาบซึ้งเวลานึกถึงพระคุณความดีของท่านได้ช่วยเหลือเกื้อหนุนมา อบรมสั่งสอน ระลึกถึงพระก็ต้องระลึกถึงคำสอนของท่านด้วย ทีนี้พอแก่เฒ่าลง อุตส่าห์รักษาพระมาเป็นอย่างดี ถนอมที่สุด มีลูกโตขึ้นก็เรียกมาว่า พระองค์นี้พ่อได้มา หลวงพ่ออุปัชฌาย์ท่านให้ พ่อรักยิ่งชีวิตรักษาไว้อย่างดี เวลานี้ลูกโตแล้ว พ่อจะมอบให้ คุณค่าทางจิตใจความสัมพันธ์โยงระหว่างลูกกับพ่อ เข้ามาอยู่ที่หลวงพ่อนี้ และโยงไปหาอุปัชฌาย์ของพ่ออีก โยงไปหาพระพุทธเจ้าอีก นี่ล่ะคุณค่าทางจิตใจ รวมอยู่ที่พระเครื่ององค์เดียวนี่ ฉะนั้นห้อยคออยู่แล้ว นึกถึงหลวงพ่อทีไรก็นึกถึงทั้งพระพุทธเจ้า ทั้งพ่อ ทั้งอุปัชฌาย์ของพ่อ คุณค่าทางจิตใจมันเต็ม มีคุณค่าสูงมาก เรามาดูปัจจุบัน คุณค่าเหล่านี้แทบไม่มีเหลือเลย หนึ่ง มันซื้อได้ด้วยเงินทอง เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ซื้อได้ด้วยเงิน สอง มันเกลื่อนกลาดหาได้ง่าย สาม ไม่มีข้อเรียกร้องทางศีลธรรม เป็นเรื่องของหาลาภเงินทอง เป็นที่ตั้งแห่งความโลภสำหรับตัวเขาเองว่าเรามีพระเครื่องนี้เราจะปลอดภัย ฮึกเหิม ทำอะไรไมต้องกลัว กลายเป็นฮึกเหิมทำความชั่วก็มี เป็นเรื่องของการได้โชคลาภส่วนตัว ไม่มีคุณค่าทางศีลธรรม ไม่มีข้อเรียกร้องทางศีลธรรมจริยธรรม สี่ ไม่มีคุณค่าทางจิตใจที่เชื่อมโยง ความสัมพันธ์ระหว่างผู้มีพระคุณ พ่อแม่ ปู่ย่าตายาย แม้แต่พระพุทธเจ้าก็ไม่ได้ระลึกถึง เป็นวัตถุมงคลที่ช่วยให้ได้ลาภผลเท่านั้น อย่าไปดูถูกคนโบราณว่ามานับถือพระเครื่องวัตถุมงคล เรามาเอาตัวเราไปเทียบ เพราะคนสมัยนี้ไม่ได้มีหลักอะไร และใช้ในทางเสียหายมาก ก็คิดว่าคนโบราณจะเป็นอย่างตัว เราจะเห็นว่า ทำไมวัตถุมงคล เรื่องรูปธรรมจึงเป็นสื่อธรรมะได้ พุทธศาสนาอยู่ท่ามกลางศาสนาอื่น มีพราหมณ์ ลัทธิเชื่อผีสางเทวดา ไสยศาสตร์ เกลื่อนกลาด บางอย่างมาก่อนพระพุทธศาสนาด้วย ความเชื่อในฤทธิ์เดชปาฏิหารย์ อิทธิฤทธิ์ อำนาจเหนือธรรมชาติมีกลาดเกลื่อน ประชาชนมีระดับการพัฒนาจิตใจไม่เท่ากัน และพระเองก็มีความสามารถไม่เท่ากัน บางองค์สอนให้เข้าใจได้ปัญญาง่าย บางองค์ไม่มีความสามารถ พระที่มีความสามารถมีความรู้หลักธรรมดีก็สามารถสอนโดยตรง เข้าถึงคนระดับมีปัญญา พระองค์เดียวกันไปสอนคนไม่มีปัญญาก็ใช้วิธีหนึ่ง อีกองค์ไม่รู้หลักธรรมอยากช่วยเหลือชาวบ้าน ทำไงจะสื่อพุทธศาสนากับชาวบ้าน เราต้องมองกว้าง อย่าเอาแต่ตัวเองเป็นประมาณว่าฉันมีความสามารถ ต้องให้พระทุกองค์เป็นอย่างฉัน เป็นไปไม่ได้ คนเราจะอยู่ในระดับการพัฒนาไม่เท่ากัน มีความหลากหลาย แต่เรามุ่งให้เขาได้ประโยชน์จากพระพุทธศาสนา หลักที่ต้องไม่ลืมคือ เป็นสื่อให้เขาหาทางขึ้นมา ให้เขาพัฒนา ต้องมีจุดไปพบกับเขา โดยมากต้องไปหาเขา ณ จุดที่เขายืนอยู่ ในขณะที่สังคมเต็มไปด้วยสิ่งเหล่านี้ คนก็กลัว ความกลัวทำให้คนหวั่นไหว แม้พุทธศาสนาจะสอนเป็นเหตุเป็นผล แต่ความหวั่นใจยังมี การที่ไม่รู้ว่าอนาคตเป็นอย่างไร อำนาจเร้นลับอย่างไร มนุษย์ยังมีเรื่องเหล่านี้อยู่ เวลาไม่มีเหตุการณ์อะไรก็เชื่อในเหตุผล แต่พอเกิดอะไรกับตัวก็หวั่นไหว ทั้งที่รู้ว่าพระพุทธเจ้าสอนไว้ หลวงพ่อก็สอน แต่ชักจะเอาไม่อยู่ ทีนี้ไปหาหลวงพ่อสอนเรื่องเหตุผลว่าอย่าไปเชื่อเป็นเรื่องของการกระทำ มีสติปัญญาก็เห็นตามหลวงพ่อ บางรายกลับไปเข้มแข็งจริงก็อยู่ได้ บางรายกลับไปชักไม่แน่ใจ ยังหวั่นใจอยู่ ขอปลอดภัยไว้ก่อนดีกว่า ทีนี้ ในสังคมมีพ่อมดหมอผี คนทรง ยังไงก็ปลอดภัยไว้ก่อนก็ไปหา ก็จะถูกชักจูง คนพวกนั้นจะหาลาภผล จะพูดอะไรต่างๆ คนนั้นแกล้งเอามั้ยจะทำให้ ก็ต้องเสียเงินทอง เป้นเรื่องของการโกรธ ดทสะ กิเลส โลภะ ชักออกนอกพระพุทธศาสนา ชักเพลิน ทีนี้หลวงพ่อเอาไม่อยู่ ปัญหาพวกนี้ต้องเจอแน่ อยู่ที่นี่ผมก็เจอ ชาวบ้านมาบอกเมื่อคืนฝันร้าย มีปีศาจดำทะมึนใหญ่เข้ามากระชากลูกออกไปจากอก ลองคิดดูลูกนี่เป็นสุดที่รัก ฝันร้ายอย่างนี้ใจไม่มั่นคง หวั่นไหวแล้ว ตัวเองยังพอว่านี่ลูกที่รัก ต้องปลอดภัยไว้ก่อน ก็มาหาพระ เพื่อให้เกิดความมั่นใจ ปลอดภัย ตอนนี้พระต้องใช้รูปธรรม ฝ่ายพิธีกรรมหรือวัตถุมงคลก็แล้วแต่ ก็อาจมาเป็นสื่อ แต่เราเอาแค่ประเพณี อาจเป็นแค่นำ้มนต์ก็วัตถุแล้ว เอ้า ทารับนำ้มนต์ไปไม่ต้องกลัว พรมน้ำมนต์ให้สบายใจได้ไม่ต้องกลัวปีศาจ ต่อจากนั้นใจชื้นขึ้นก็อธิบายเหตุผลในเชิงปัญญา เป็นโอกาสให้ธรรมะ ต่อไปนี้เลี้ยงลูกให้มีพรหมวิหารนะ มีเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ถ้าไม่มีเหตุอย่างนี้เขาไม่มาหานะ เลยเป็นโอกาสให้พระได้แสดงธรรมสอนวิธีเลี้ยงลูกอีก ได้ประโยชน์หลายชั้น กลายเป็นสื่อขึ้ยอยู่กับพระจะใช้หรือไม่ พระไม่ใช้โอกาสได้ลาภ โยมมาได้โอกาสรับปัจจัยเลยไม่ได้อะไรเลย ชาวบ้านหลงหนักไปอีก อย่างไรก็ตามมนุษย์ปุถุชนมีความหวาดภัยอันตรายตลอดเวลา โบราณพระก็ใช้เรื่องเหล่านี้มาปิดช่องความหวั่นใจ เพื่อให้ธรรมะเข้าไปถึง ปิดช่องความหวั่นใจก่อน ถ้าไม่ปิดใจ เขาไม่อยู่ไม่ฟัง ฟังแล้วออกไปก็ไม่มั่นคง ถ้าปิดช่องความหวั่นใจทีนี้มาหาพระได้หมด ไม่ต้องหาหมอผี คนทรง จบที่นี่เลย ทางเพลี่ยงพล้ำไม่มี ใจก็สบาย ท่านก็เลยให้พุทธศาสนาคลุมเรื่องเหล่านี้เข้าไปด้วย เพื่อที่จะมาหาพระแล้วจบที่นี่เลย นอกจากปิดช่องความหวั่นใจช่วยเขาแล้ว ยังเป็นการกันผลเสียจากลัทธิไสยศาสตร์ภายนอกที่เป็นเรื่องกิเลส เพราะลัทธิพวกนี้มีทั้งร้ายทั้งดี แม้แต่พวกฮินดู เทวดาก็รบกันแย่งคู่ครอง โลภะ โทสะ ราคะ โมหะ ทีนี้ไสยศาสตร์ก็มีเรื่องหาผลประโยชน์ แก้แค้น กิเลสมาก พุทธศาสนาก็ต้องมาเทียบคู่ แต่ของเรามีแต่คุณไม่มีโทษ สิ่งศักดิ์สิทธ์ทางพุทธศษสนามีแต่คุณไม่มีโทษ ไม่มีกิเลส เมื่อเข้ามาแล้วไม่มีการไปคิดร้ายผู้อื่น เขมรนี่เก่งใช้ไสยศาสตร์ทำร้ายคน เลื่องลือมาก พอมาหาพระแก้ได้ แต่เราทำแต่ส่วนคุณ แก้ผลเสียผลร้ายการทำร้าย เอาแต่ส่วนที่เป็นคุณอย่างเดียว นี่ก็ดึงเข้าหาธรรมะแล้ว มีทางหลายอย่างที่ที่เอามาใช้นำเข้าสู่พุทธศาสนา อย่างนี้ถือว่าเป็นการสื่อเข้าสู่พุทธศาสนาอย่างหนึ่ง เป็นตัวเชื่อมต่อจากภายนอกเข้าสู่พุทธศาสนา ในขณะที่พวกนั้นมุ่งหวัง ลาภ ผลประโยชน์เห็นแก่ตัว แก้แค้น การทำร้ายซึ่งกันและกัน พุทธศาสนาไม่มี แต่ถ้าพระทำหน้าที่แค่นั้น นักสังคมวิทยาท่านหนึ่งบอกว่า ศาสนาเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจคน เมื่อมีความกลัว หวาดหวั่น เกรงภัยอันตรายก็ไปหาศาสนา เช่น หมอผี พระ แล้วก็ทำพิธีให้ ปลอบประโลมใจก็หายหวาดกลัว สบายใจ ดล่งใจไป เขาเลยมองว่าพระมีบทบาทเดียวกับหมอผี ก็เลยมีตำราสังคมวิทยาของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งของประเมศไทย สรุปว่า โดยความหมายของศาสนา พระกับหมอผีเหมือนกัน อันนี้มองได้สองอย่าง หนึ่ง นักสังคมวิทยานี้ไม่เข้าใจเรื่องพุทธศาสนาเพียงพอ สอง เป็นเพราะพระเราเอง ในกรณีที่นักสังคมวิทยาไม่เข้าใจเพียงพอ แล้วพระยังไปทำให้เห็นอย่างนั้นอีก พระไม่ทำหน้าที่ที่ถูกต้อง ไม่ได้ดึงคนขึ้นมาสู่ความดีงามที่สูงขึ้น ทำให้แค่ให้เขามีที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ สบายกล่อมใจไปเลยได้เป็นแค่หมอผี ถ้าพระทำหน้าที่ถูกต้อง นี่เป็นจุดเชื่อมต่อระหว่าพุทธศาสนากับศาสนาอื่น ทำอย่างไรจะดึงคนขึ้นมาจากความหลง ความหวาดกลัวอันตรายนี้ พอให้เขาได้ยึดเหนี่ยวเราก็ดึงขึ้นมา ก็เป็นโอกาสที่จะสอนธรรมะ ใช้สติปัญญาให้พัฒนาพฤติกรรมทั้งจิตใจและปัญญา จุดนี้สำคัญ ถ้าพระไม่ทำหน้าที่นี้เสียความเป็นพระ บทบาทของพระก็หายไป พระก็กลายเป็นหมอผีอย่างที่ว่า นี้เราต้องทำให้ดีกว่า ก็มีแง่ดี ความหมายของคำว่าศักดิ์สิทธ์ในพุทธศาสนา จะเป็นเรื่องของคุณอย่างเดียวไม่มีโทษ จะเห็นว่าความศักดิ์สิทธ์ จะมีแม้แต่ความเข้าใจของชาวพุทธต่อพระพุทธเจ้า ต่อองค์พระพุทธรูป ชาวพุทธจะมององค์พระพุทธรูปในความหมายศักดิ์สิทธ์ แต่ความศักดิ์สิทธ์ในพุทธศาสนากับโบราณจะต่างกันชัดเจน ของโบราณจะมีความเก่งกาจมีอิทธิฤทธ์ ปาฏิหารย์ เช่น เทพเจ้าฮินดู ที่มีความสามารถกำจัดปรปักษ์ มีฤทธ์เดชแสดงโทสะได้รุนแรง เราจะเห็นว่า เมื่อทางศาสนาฮินดูสร้างเทวรูปต้องมีลักษณะดุร้าย โหดเหี้ยม ทารุณ มีกำลังมหาศาล กำจัดศัตรูได้อย่างรุนแรง ท่าทางฮึกเหิมผาดโผนโจนทะยาน ยกแขนขา หน้าตาถมึงทึง มีแขนมาก เท้ามาก พันมือ ซึ่งพันมือคงตีกันวุ่น มีแขนมากเข้าว่า ทศกัณฐ์สิบมือก็ยุ่งแล้ว สงสัยว่าแกจะใช้แค่สองสามมือเท่านั้น ถ้าใช้สิบมือมันตีกันเอง คิดดูว่าถ้าพันมือแล้วจะทำอะไร มันมากไร้ประโยชน์ ธรรมชาติสร้างมาดีแล้ว สองมือ เก่งกว่าเทวดา เทวดาพันมือสู้ธรรมชาติสร้างสองมือไม่ได้ เทวรูปของฮินดูก็เป็นอย่างนั้น มีอาวุธหลายชนิดเหนือธรรมดา เป็นฟ้าผ่าอสุนีบาต จักร สร้างให้เห็นว่าทีอิทธิฤทธ์ปาฏิหารย์ สามารถกำจัดศัตรูได้อย่างยิ่ง ความศักดิ์สิทธ์ของเขาพ่วงมาด้วยกิเลส ทางพุทธศาสนาความศักดิ์สิทธ์ขึ้นกับพระคุณ ศักดิ์สิทธ์สูงสุดอยู่ที่ความบริสุทธ์ ไม่มีความศักดิ์สิทธ์ใดสู้ความบริสุทธ์ได้ ในพุทธศาสนามีตำนานคัมภีร์ พูดถึงเรื่องความศักดิ์สิทธ์ขั้นยอด คือความบริสุทธ์ เรามีสัจจาธิษฐาน เอาความบริสุทธ์ความจริงเป็นที่ตั้งชนะพวกใช้กิเลส ความศักดิ์สิทธ์คืออำนาจที่บันดาลความสำเร็จให้เกิดขึ้น ศักดิ์แปลว่าอำนาจ สิทธ์แปลว่าความสำเร็จ ศักดิ์สิทธ์คืออำนาจที่บันดาลผลสำเร็จได้ ของเขาบอกพลังกำจัดศัตรู ของเราบอกความบริสุทธ์ พลังแห่งความกรุณา ความปรารถนาที่จะช่วยเหลือผู้อื่น สามพลังปัญญา จะเห็นว่าพระพุทธเจ้าของเรา มีพระคุณสามประการ 1พระปัญญาคุณ 2พระวิสุทธิคุณ 3พระกรุณาคุณ นี่คือยอดของความศักดิ์สิทธ์ เราสร้างพระพุทธรูปทั่ศักดิ์สิทธ์ นั่งสงบ ไม่เห็นแสดงอาการว่าจะไปข่มใคร ทำร้ายใคร แถมยิ้มซะด้วย มีเมตตา กรุณา บริสุทธ์ มีปัญญาสูงสุด นี่คือพระคุณความศักดิ์สิทธ์ที่แท้ ตกลงเราดึงความหมายของศักดิ์สิทธ์ศาสนาอื่นมาสู่พุทธศาสนาได้ผล ในท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่มีความเชื่อเหล่านี้ พุทธศาสนาก็มีเรื่องเหล่านี้มาช่วย แต่ดึงเข้ามาในความหมายที่ขัดเกลาให้ประณีต ต้องยอมรับความจริงว่า ปุถุชนยังมีจิตใจหวั่นไหว มีกิเลส ถ้าไม่ได้ฝึกจิตอย่างดี เวลาเกิดเหตุการณ์เฉพาะหน้ารุนแรง มันตั้งตัวไม่ติด จิตเตลิด เสียขวัญ ขวัญหนีดีฝ่อ ทำอะไรไม่ถูกและกำลังก็ไม่มี จิตใจไม่มีจุดยืน เสียสติ เสียสมาธิ ถ้าเป็นแบบนี้แม้เป็นชาวพุทธก็แพ้พวกอื่น ทีนี้พวกที่มีศรัทธารุนแรง ไม่ว่าเชื่อะไรก็ได้ แม้แต่กบเขียดก็ได้ ศาสนาโบราณบางทีไปเอาสัตว์มานับถือ อะไรก็ได้ให้มันมีศรัทธาซะอย่าง มันอยู่ที่จิตไร้สำนึก ถ้าเขามรศรัทธารุนแรงทำให้จิตเขามีกำลัง จิตจะพุ่งไปสู่สิ่งนั้นเกิดสมาธิ เมื่อเกิดเหตุร้ายฉับพลันคนที่มีความเชื่อในสิ่งนั้นอยู่ จิตมีจุดรวมพุ่งไปสิ่งนั้น เข้มแข็ง มีจุดยึด ใจก็เป็นสมาธิตั้งสติได้ก็ทำการได้ คนที่ไม่มีความเชื่อในสิ่งเหล่านี้และไม่ได้ฝึกจิตตนเองดีพอ พอเกิดเหตุตั้งสติไม่ทัน จิดเตลิด คราวนี้แย่กลับแพ้พวกมีศรัทธา แะนั้น อย่าไปดูถูก เราจึงต้องมีสิ่งศักดิ์สิทธ์ในความหมายนี้ แต่เราดึงเข้าหาพุทธคุณ ชาวพุทธจึงต้องมีพุทธคุณ มีพระรัตนตรัยไว้เป็นหลัก ศึ่งดึงมนุษย์เราจากความชั่วร้าย จากโทษของสิ่งศักดิ์สิทธ์ที่ไม่เข้าเรื่องพวกนั้น ทำให้มนุษย์พัฒนา ประณีตขึ้นมาดึงสู่สิ่งที่ดีงาม เรื่องของจิตไร้สำนึกเป็นเรื่องที่แรงจนคาดไม่ถึง สมุติว่าเราเข้าป่าเดินไปเป็นกลุ่ม มีคนตะโกนบอกเสือมาแล้ว เท่านี้ละครับ ตัวสั่นงันงกตั้งสติไม่อยู่ ต้องคิดมั้ยว่าเสือรูปร่างยังงั้น น่ากลัวอันตรายต่อเรายังงั้น ต้องใช้เวลาคิดมั้ยที่จะเกิดตัวสั่นงันงก ไม่ต้องเลยใช่มั้ย นี่คือสภาพที่ลงจิตไร้สำนึก มันจะออกมาทันที ไม่ต้องใช้เวลาคิด ไม่เหมือนเรื่องจิตสำนึกต้องคิดก่อนจะเอาไงจะทำไง มันมีคู่เทียบเวลาเราเกิดความประหม่า ไม่ต้องหนีเสือหรอกเอาแค่พูดในที่ประชุม จะต้องคิดไหมว่าต้องประหม่า เป็นมาเองนี่มันมาจากจิตไร้สำนึก ทีนี้จะมีอะไรมาสู้กับสิ่งนี้ ต้องอยู่ในจิตไร้สำนึกเหมือนกันต้องแรงพอกัน เสือมาแล้วถ้าเรามีหลักในใจที่แข็งมาก ตัวนี้มันยันกันอยู่ในตัวเลย ดุลย์เลย ไม่ตัวสั่น ขวัญหายเตลิด เราสามารถไปดึงได้มั้ยด้วยตนเอง ต้องฝึกจิตให้มีความเข้มแข็งพอ อันนี้คือการพัฒนามนุษย์ สำหรับผู้ที่ยังไม่มีพื้นฐานก็อาศัยสิ่งที่เชื่อมาคู่ดุลย์กับสิ่งตรงข้ามที่ระดับจิตไร้สำนึก ต้องคิดเรื่องเหล่านี้หลายๆชั้น อย่างที่เคยเล่า นักมวยนักกีฬาแข็งแรงมากไปสอบ วันประกาศผลสอบ พอไม่มีชื่อ ขาอ่อนยืนพับ นักกีฬาก็แข็งแรง ฟิต อยู่ๆฟังประกาศเท่านั้น ขาอ่อนยืนไม่อยู่เดินไม่ได้ นี่คือกำลังใจ มันลงถึงจิตไร้สำนึก ไม่ต้องคิดมันเป็นทันที อะไรที่มันจะแก้ได้ทันทีไม่ต้องใช้ความคิด มันต้องถึงขั้นนี้จึงแก้ได้ เป็นเรื่องที่ต้องแก้กันถึงจิตไร้สำนึก ฉะนั้น เรื่องความสักดิ์สิทธ์ก็เข้ามาสู่พุทธศาสนา แต่ต้องระวังมาก ความเชื่อในสิ่งศักดิ์สิทธ์มีผลดีอยู่บ้าง ทำให้ดกิดกำลังใจความเข้มแข็ง โดยเฉพาะในเรื่องจิตไร้สำนึกที่มีความรุนแรง อาจเกิดขึ้นมาปัจจุบันทันด่วน เรื่องสัญชาตญานความกลัว เป็นต้น มันแก้กันได้แต่ต้องระวัง พร้อมกันนั้นมันก็มีผลร้าย เมื่อเราเชื่อสิ่งเหล่านี้ ก็เริ่มมีการหวังพึ่งว่ามีอำนาจดลบันดาลมาช่วย เราก็มีความอุ่นใจ ลองคิดว่าคนที่หวังสิ่งที่ช่วยเหลือภายนอกยังต้องพึ่งสิ่งภายนอดอยู่ก็มีความอุ่นใจเป็นผลดี เราไม่ได้ปฏิเสธ กำลังจากพลังอื่นหรือคนอื่นมาช่วย ถ้าเราทำได้เองอันไหนดีกว่ากัน อันหลังดีกว่า เราจะยอมจมอยู่แค่ระดับหวังพึ่งอุ่นใจสบายใจแค่นั้น หรือเราจะพัฒนาไปสู่การพึ่งตนเอง แก้ไขปัดเป่าปัญหาด้วยตนเอง อย่างนี้เราแบ่งคนเป็น3ระดับ
1คนที่ช่วยตัวเองไม่ได้ ไม่มีที่พึงเลย ไม่มีความหวังว่าใครจะช่วยกั
บคนที่มีหวังอุ่นใจว่าใครจะช่วย ดูก่อนว่าพวกหลังมีจุดอ่อนอะไรบ้าง อย่างน้อย2ประการ
1การที่หวังพึ่งผู้อื่นได้ทำให้รอคอยและไม่เพียรพยายามที่จะแก้ไขใช้ปัญญาบำบัดปัญหาด้วยตนเอง ไม่ดิ้นรน ไม่ทำความเพียรพยายาม อุ่นใจแล้วนอนรอทำให้อ่อนแอตกอยู่ในความประมาท ปล่อยเวลาไม่พัฒนาตนเอง
2 ความไม่ชัดเจนว่าสิ่งเหล่านั้นจะช่วยจริงหรือเปล่า และจะมาช่วยในเวลาที่ต้องการหรือเปล่า เราเองต้องทำแค่ไหน ความไม่ชัดเจนนี่อันตรายมาก ทำให้รีรอหันรีหันขวาง ไม่ทำการอะไรให้ชัดเจนลงไป ทีนี้ลองเทียบกับคนที่ไม่มีความหวังเลย อาจแย่หรือดิ้นรนเต็มที่ แล้วเขาจะเข้มแข็งเกินหน้าพวกที่สองได้
ฉะนั้น การที่มีความหวังจากการช่วยเหลือของผู้อื่น มีอันตรายสองประการดังกล่าว อันนี้ไม่เป็นเฉพาะเรื่องอำนาจสิ่งศักดิ์สิทธ์เร้นลับ
อำนาจที่หวังพึ่งจากภายนอกมี2แบบ
1จากมนุษย์ด้วยกัน
2จากสิ่งศักดิ์สิทธ์เร้นลับที่มองไม่เห็น
แม้แต่การหวังพึ่งในหมู่มนุษย์ด้วยกันก็อันตราย ในสังคมใดที่มนุษย์ช่วยเหลือกันดี ซึ่งอาจจะดีกว่าสิ่งศักดิ์สิทธ์อีก เพราะแน่นอนกว่า แต่เมื่อหวังได้ จะทำให้คนจำนวนไม่น้อยคอยความช่วยเหลือ ไท่ดิ้นรนขวนขวายอ่อนแอ และตกอยู่ในความประมาท เป็นเหตุอ่อนแอของทั้งสังคม ในการช่วยเหลือที่ไม่ชัดเจน แม้แต่ระดับประเทศ เช่น รัฐบาลให้ความหวังว่าจะช่วยเหลือแต่ไม่ทำความชัดเจนว่า ช่วยแค่ไหน ประชาชนต้องทำเองเท่าไร อย่างนี้ประชาชนจะรีรอ ความช่วยเหลือก็ไม่มาสักที เลยไม่เป็นอันทำอะไร ถ้าอย่างนี้ไม่ช่วยเลยดีกว่า มันรู้แน่นอนแล้วจะดิ้นสุดฤทธ์ ถ้าคนรู้ว่าต้องทำไม่มีใครช่วย มันจะทำการเข้มแข็งขึ้นมา อันตรายจากการหวังพึ่งผู้อื่นจึงมีทั้ง2สถาน
1การหวังพึ่งได้ก็อ่อนแอรอคอย ตกอยู่ในความประมาท
2ไม่ชัดเจนว่าจะช่วยแค่ไหนก็รีรอ
รี่เป็นคติไม่เฉพาะการสัมพันธ์กับสิ่งศักดิ์สิทธ์แม้แต่ในหมู่มนุษย์ด้วยกีน พระพุทธเจ้าจึงสอนหลักธรรมว่า อย่าอยู่แค่เมตตา กรุณา มุทิตา ต้องถึงอุเบกขาด้วย จึงจะแก้ปัญหาเรื่องนี้ ในหมู่มนุษย์เรื่องความสัมพันธ์ของรัฐบาลกับประชาชน ต้องระวังอย่าให้ประชาชนอยู่ด้วยความหวังและไม่ชัดเจนว่าต้องทำแค่ไหน ต้องเด็ดขาดชัดเจน สำคัญมาก รัฐบาลทำเท่าใด ประชาชนทำแค่ไหน ต้องชัดเจนที่สุด ถ้าไม่ชัดคือความเสื่อมของสังคมทันที ถ้าช่วยแบบนี้ไม่ช่วยดีกว่า ฉะนั้น ไม่แน่ว่าระดับ1กับ2อะไรจะดีกว่ากัน อย่าไปนึกว่าคนที่ไม่มีความหวังพึ่งใครไม่ได้ จะแย่กว่าคนไม่มีที่พึ่ง เพราะความหวังพึ่งมีโทษทำให้อ่อนแอ และความไม่แน่นอนเด็ดขาดในการที่ต้องดิ้นรนขวนขวาย ทำเอง ตกอยู่ในความประมาท เป็นต้น ฉะนั้น การหวังพึ่งสิ่งศักดิ์สิทธ์ พระพุทธเจ้าไม่สนับสนุน ตอนนี้จุดแยกที่สำคัญมาก มาช่วยได้เฉพาะกำลังใจในการทำการ เช่น หายกลัว พระที่ไปปฏิบัติธรรมในป่าที่พูดไปแล้ว พระพุทธเจ้าให้หลักว่า ระลึกถึงพระพุทธเจ้าจะได้หายกลัว และมีกำลังที่จะปฏิบัติ แต่สิ่งที่จะต้องปฏิบัติชัดเจนอยู่แล้ว พระจะต้องปฏิบัติหน้าที่ การมาช่วยให้กำลังใจไม่ไปขัดขวางการปฏิบัติกิจหน้าที่ แต่ไปส่งเสริมกำลังขึ้นไป แต่การเชื่อสิ่งศักดิ์สิทธ์ ทำให้เราคิดว่ามีคนอื่นช่วย เราเลยไม่ต้องทำ หรือการเกิดกำลังใจครั้งนี้ไม่ไปสนับสนุน การกระทำของตนผิดทันที กลายเป็นหยุดกระทำ หยุดความเพียร ตัวหนุนความเพียรเท่านั้นที่จะใช้ได้ การหวังพึ่งนี้ทำให้ผิด เพราะทำให้ไม่เพียรพยายาม จุดนี้พลาด พระพุทธเจ้าไม่ได้ปฏิเสธว่าเทวดามีจริงหรือไม่มี ไม่ปฏิเสธฤทธิเดชปาฏิหารย์ว่ามีหรือไม่ รับเลยว่าอิทธิฤทธิปาฏิหารย์มีจริง ไม่เสียเวลาเถียงไม่มีจุดจบ ถ้ารอเถียงแล้วปฏิบัติได้ ไม่ได้เรื่อง พุทธศาสนาท่านไม่ให้รอ การปฏิบัติของพุทธศาสนาไม่ต้องไปรอการเถียง เหล่านี้ ยอมรับ มีก็มี มีฉันก็ไม่พึ่ง นี่ พระพุทธศาสนาเด็ดขาดตรงนี้ ต้องจับจุดให้ได้ เราเลยไม่ต้องขึ้นกับการถกเถียงของใคร พระพุทธเจ้ามีฤทธิ์มาก ใครจะมีเท่า ในพุทธประวัติ45พรรษา พระพุทธเจ้ายอดของคนมีฤทธิ เคยใช้ฤทธิบันดาลผลที่ต้องการให้แก่ลูกศิษย์คนไหน ไม่มี ทำไมไม่ใช้ฤทธิบันดาลผลให้แก่ลูกศิษย์ สาวก ชาวพุทธ เดี๋ยวคนนี้มีเรื่องอยากได้ก็ไปหาพระพุทธเจ้าช่วยบันดาล ไม่มี พระพุทธเจ้ามีหลักการมีเหตุผลชัด เทวดาให้อยู่กันอย่างมิตรอย่าไปอ้อนวอน อย่าไปหวังพึ่งทำหน้าที่ของกันและกัน เมวดาดีมีคุณธรรมจะช่วยก็ช่วยด้วยคุณธรรมช่วยคนดี เทวดาไม่มีคุณธรรมก็ต้องให้คนไปให้เครื่องเซ่นอ้อนวอน คนดีไม่ได้เซ่นก็ไม่ช่วย คนร้านเซ่นก็ช่วย จะยุติธรรมหรือ ต่อไปศีลธรรมก็เสียหมด ระบบในสังคมมนุษย์ก็เสียเทวดาก็เสียไปด้วยกัน ในหมู่มนุษย์คนมีอำนาจมีทรัพย์ เราก็ไม่ควรไปรอหวังพึ่ง เราควรทำหน้าที่ของเราให้ดรที่สุด เมื่อเราทำดีแล้ว คนมีทรัพย์มีอำนาจเขามีคุณธรรม เขาต้องมาช่วยคนดีสิ คนดีคนตกทุกข์ได้ยากก็ต้องมาช่วยด้วยคุณธรรม ไม่ใช่ต้องไปรอ ไปอ้อนวอน ระบบสังคมก็เสีย ตัวคุณธรรมก็ไม่มี คนอ่อนแอก็หวังพึ่ง คนที่มีกำลังก็ต้องใช้การยกย่องสรรเสริญเยินยอหรือเอากิเลสตอบแทน เครื่องเซ่นเข้าว่า ยิ่งไปสัมพันธ์กับเทวดาด้วยจะไม่เสียเฉพาะสังคมมนุษย์ จะเสียสังคมเทวดาด้วย เทวดาจะไม่ปฏิบัติพัฒนาตนเองมีกิเลสโลภะโทสะ แทรที่จะปฏิบัติธรรมขัดเกลาพัฒนาตนเอง ก็มามองว่ามนุษย์คนไหนจะเซ่นฉัน จะเอาเครื่องเซ่นมาให้มาก จะไปช่วยตนไหน แทนที่จะไปดูว่าคนไหนดีแล้วไปช่วย ฉะนั้น เทวดาในพุทธศาสนาไม่รอเครื่องเซ่น ต้องช่วยด้วยคุณธรรม ถ้าคนไหนทำความดี เดือดร้อน เทวดาต้องอาสน์ร้อนเอง ไม่มีการขอเซ่นไหว้ ในตำนานพุทธศาสนาต่างกับฮินดู ชาวพุทธไม่เคยสังเกตว่าต่างกันอย่างไร ของฮินดูต้องบูชายัญ ไปหาพราหมณ์ เทวดาองค์นี้ฤทธิเก่งทางนี้ ทางลาภ บันดาลยศ บันดาลลูกให้ เทวดาองค์นี้ชอบเตรื่องเซ่นแบบนี้ ใครอยากได้อะไรต้องไปหาพราหมณ์ผู้เชี่ยวชาญ อยากได้อันนี้ต้องเทวดาองค์นี้ องค์นี้ชอบแบบนี้ก็จัดเครื่องเซ่นแบบนี้ พราหมณ์ก็สบายได้ค่าตอบแทนในการจัดพิธี กุมอำนาจในการติดต่อกับเทพเจ้า มนุษย์ก็สัมพันธ์กับเทพเจ้าต้องเอาเครื่องเซ่นมาบูชายัญ หนักเข้าต้องฆ่าสัตว์มาบูชายัญ นี่คือความสัมพันธ์มนุษย์กับเมวดาในศาสนาพราหมณ์ พุทธศาสนาไม่ต้องมีเครื่องเซ่น อย่างดีบอกกล่าว เราให้ความเคารพ เราไม่เหยียดหยามเทวดา เราไปไหนเราแผ่เมตตาให้เทวดา ต้องจับให้ดีพุทธกับพราหมณ์ เราทำบุญก็อุทิศส่วนกุศลให้เทวดา สวดมนต์เราก็ชุมนุมเทวดามาร่วมฟังธรรมด้วย นี่คือการอยู่ร่วมกันอย่างฉันมิตร คนดีตกต่ำเดือดร้อน เทวดาอาสน์ร้อนพระอินทร์อาสน์ร้อน ทิพยอาสน์เตยอ่อนแต่ก่อนมา มากระด้างดังศิลาประหลาดใจ อันนี้คติพุทธ หมายความว่า เทวดาต้องเดือดร้อนเองไม่ต้องมีเครื่องเซ่น คนดีทำความดีเทวดาต้องคอยพิจารณา ต้องคอยสำรวจตรวจตราใครเดือดร้อนแล้วมาช่วยด้วยคุณธรรมของตัวเอง มนุษย์ไม่ต้องรอ ก็จะดี หลักธรรมะก็อยู่ในสังคมได้ โลกเทวดาก็จะดีด้วย เทวดาก็จะอยู่ในธรรมะ ฉะนั้น มนุษย์ก็ต้องทำหน้าที่ของตนให้ถูกต้อง อย่างเรื่องมหาชนกที่ในหลวงทรงนำมาพระราชนิพนธ์ ก็แสดงคตินี้ชัดเจน มหาชนกบำเพ็ญวิริยะบารมี คราวหนึ่งไปค้าขายเดินทางในเรือสมุทรออกทะเลใหญ่ เกิดมรสุมรุนแรง เรือจะแตก มองไม่เห็นฝั่ง พอรู้ว่าเรือจะแตกจิตไร้สำนึกสำแดงเดช ความกลัวตัวสั่นงันงกปริเทวนาการ พวกหนึ่งก็ร้องไห้คร่ำครวญรำพัยถึงพ่อแม่ญาติพี่น้องทีี่บ้าน ไม่มีสติ อีกพวกก็กราบไหว้อ้อนวอนเทวดาให้มาช่วย คนมีอาการวิปริตมากมาย ส่วนมหาชนกไม่รำพันร้องไห้คร่ำครวญ ไม่อ้อนวอนเทวดา ใช้ปัญญาพิจารณาตั้งสติแก้ไขสถานการณ์ เรือจวนจะล่มแล้วเราเตรียมตัวยังไงจึงจะดีที่สุดเรือแตกลงไปอยู่ในมหาสมุทร ให้อยู่ได้นานที่สุด ถ้ามันจะตายก็ให้นานอาจมีโอกาสรอด เราอาจว่ายมีกำลังพอ มันไม่ไกลนักก็ไปถึงฝั่ง ใช้สติปัญญาคิดหาจุดที่ดีที่สุดในเรือที่ลงไป แล้วไม่ถูกเรือดูดหรือครอบ หาท่อนไม้มาเตรียมไว้ พอถึงตอนล่มจริงแกก็ดำรงตัวได้ดีที่สุด พระองค์ลงไปอยู่ในน้ำเกาะท่อนไม้ว่ายนำ้ใช้ความเพียรไม่หดหู่ท้อใจ ใช้พลังเท่าที่มี คิดว่าทิศไหนดีมีฝั่งต้องลองเสี่ยงสักทิศ อยู่เฉยตายเปล่า ลองดูอาจจะรอดก็ได้ ว่ายน้ำไปเจ็ดวัน เทพธิดาประจำมหาสมุทรชื่อมณีเมขลามาตรวจดูคนเดือดร้อนมาเจอพระมหาชนก ยิ้มเยาะในใจว่าตายแน่ไม่มีทางเห็นฝั่ง มาว่ายอยู่ทำไม เลยปรากฏตัวกล่าวคำว่าท่านจะมาว่ายทำไมไม่เห็นฝั่ง ตายเปล่า พระมหาชนกตอบว่า เราเกิดมายังมีกำลังอยู่เป็นคนก้ต้องพยายามร่ำไปจนถึงที่สุด ถ้าตายก็ไม่เป็นหนี้ใคร ในที่สุดนางมณีเมขลาก็อุ้มเข้าฝั่ง คติ คือ พระมหา
ชนกทำความเพียรด้วยสติปัญญา ไม่อ้อนวอน เทวดามณีเมขลาช่วยด้วยคุณธรรมของตัวเอง ในสังคมมนุษย์ก็ต้องปฏิบัติเช่นนี้เหมือนกัน มนุษย์ที่มีอำนาจกำลังควรช่วยเหลือผู้อ่อนแอด้วยคุณธรรมของตนเอง ไม่ใช่ให้เขามาเซ่นไหว้ขอความช่วยเหลือ คนที่อยู่ในภาวะอ่อนแอก็ต้องช่วยตัวเองเต็มที่ ทำความเพียร เอาละ พุทธศาสนามีคติเรื่องนีชัดเจน พระพุทธเจ้ามียอดฤทธ์ ก็ไม่ใช้ฤทธ์มาบันดาลผลที่ต้องการให้ใคร ใช้ฤทธ์อย่างเดียวคือปราบผู้มีฤทธ์ในการเผยแผ่พุทธศาสนา เพราะในสังคมนั้นเชื่อกันจากอิทธิพลศาสนาพราหมณ์ว่าใครเป็นพระอรหันต์ต้องมีฤทธ์ มีค่านิยม ทิฐินี้อยู่ พระพุทธเจ้าประกาศศาสนาเจอพวกมีฤทธ์เยอะ ถ้าพระองค์ไม่มีฤทธ์พวกนั้นไม่ฟัง เขาถือว่าแน่กว่า อย่างพวกชฏิลเจอพระพุทธฌจ้าว่า ท่าทางแบบนี้ไม่ได้ความเดี๋ยวเราจะแกล้ง อยากมาขอพัก คืนแรกชฏิลก็แกล้งพระพุทธเจ้าก็ผ่าน คืนสองก็ผ่าน แกล้งแรงขึ้นทุกที จนกระทั่งไม่มีอะไรจะแกล้ง สู้ไม่ได้ ยอมเลย และยอมฟัง ถ้าพระพุทธเจ้าไม่มีฤทธ์เหนือ แกไม่ฟัง พอสอนธรรมะก็จบ พระพุทธเจ้าไม่ใช้ฤทธ์อีกเลย จึงเรียกว่าใช้ฤทธ์ปราบฤทธ์เพื่อสอนธรรมะ เป็นอุบายวิธีการ เราก็ต้องใช้แบบเดียวกัน การใช้สิ่งศักดิ์สิทธ์เป็นสื่อเข้าสู่ธรรมะ จุดหมายจะต้องแน่นนำเข้าสู่ธรรมะ ไม่ใช่ไปทำให้เขาจมอยู่ อันนี้เป็นคติในพุทธศาสนาว่ากำลังใจจากสิ่งศักดิ์สิทธ์นั้นเป็นสิ่งหนุนในการทำความเพียร อย่าให้เป็นกำลังใจที่ทำให้หวังพึ่งแล้วอ่อนแอ ตกอยู่ในความประมาท ลัทธิพึ่งสิ่งศักดิ์สิทธ์ฤทธ์เดชปาฏิหารย์มีผลร้ายดังนี้ ทำให้หวังพึ่ง รอคอย คนอ่อนแอลงขัดหลักพุทธศาสนา 4ประการ คือ
1 ต้องทำการด้วยความเพียรพยายาม ถ้าเราเชื่อสิ่งศักดิ์สิทธ์แล้วไม่มีความเพียรแปลว่าผิดหลักเกณฑ์พุทธศาสนา
2 หลักแห่งการพัฒนาตน ต้องฝึกฝนตนเองให้ดีขึ้น มีความสามารถยิ่งขึ้น เจอปัญหาอุปสรรคแล้วหวังพึ่งอำนาจเร้นลับรอให้ท่านช่วย เราก็ไม่พัฒนาตนเอง เจอปัญหาไม่คิดแก้มันก็อยู่เท่าเดิม ไม่ฝึกฝนตนเอง เรามีเวลาไม่เกิน100ปี มาเสียเวลารอคอยความช่วยเหลือจากสิ่งเหล่านี้ เราไม่พัฒนาตนเสียเวลาไปเปล่า ทั้งชีวิตหมดไปไม่คุ้ม เป็นการลงทุนที่แพงมาก เอาชีวิตไปทุ่มให้ทั้งชีวิต จมอยู่กับสิ่งเหล่านี้ ชีวิตที่ควรจะพัฒนาเกิดประโยชน์ ในช่วง100ปีเลยเสียเวลาเปล่า ฉะนั้นอย่าไปลงทุนไม่คุ้มค่า ซื้อมาด้วยราคาแพงไป เราอาจได้ความอุ่นใจ มีกำลังใจความสุขกล่อมใจสบายใจ แต่มันคุ้มหรือเปล่า เราสูญเสียเท่าไหร่ การที่จะให้ชีวิตพัฒนาเข้าสู่สิ่งที่ดีงาม
3 หลักความไม่ประมาท พุทธศาสนาเน้นมาก การหวังพึ่งก็รอ ใช้เวลาไม่เป็นประโยชน์ ตกอยู่ในความประมาทอ่อนแอ
4 สูญเสียอิสรภาพ เราหวังพึ่งอำนาจท่าน จะสำเร็จก็อยู่ที่ท่านไม่ได้อยู่ที่เรา เราก็ต้องขึ้นต่อท่าน เราไม่มีทางเป็นตัวของตัวเอง ขึ้นต่อผู้มีฤทธ์สิ่งศักดิ์สิทธ์ ไม่เป็นตัวของตัวเอง พึ่งตัวไม่ได้ก็ขัดหลักพึ่งตนเอง พุทธศาสนา มนุษย์ต้องพึ่งตนเองได้ ทำ แันจะหาทางให้คุณพึ่งตนเองได้ ตนให้เป็นอิสระ พระพุทธเจ้าสอนเราเพื่อให้พึ่งตนเองได้เป็นอิสระ พระพุทธเจ้าไม่ต้องการให้ใครมาขึ้นต่อพระองค์ พระองค์มีฤทธิ์ความสามารถเต็มที่แต่ไม่ยอมให้ใครมาพึ่ง แต่มาสอนให้คนพึ่งตนเองได้ ก่อนที่จะพึ่งตนเองได้ ต้องทำตนให้เป็นที่พึ่งได้ก่อน ต้องพัฒนาตนเองขึ้นมา พระพุทธเจ้ามาสอนให้เราพัฒนาตนเอง ทำให้ตนเป็นที่พึ่งได้ แล้วเราก็เป็นอิสระ ไม่ขึ้นต่อพระพุทธเจ้า ไม่เหมือนศาสนาเป็นอันมาก ที่จะมอบชีวิตจิตใจให้เทพเจ้า พระพุทธเจ้าบอกว่าเราเป็นกัลยาณมิตรของสัตว์ทั้งหลาย เราค้นพบธรรมะแล้วมาแสด
ง แล้วท่านได้เรียนรู้ปฏิบัติธรรมตามเราแล้วท่านจะเห็นด้วยตนเอง ทำได้ด้วยตนเองเป็นอิสระ
ถ้าเราไปพึ่งสิ่งศักดิ์สิทธ์ภายนอกมันขัดหลัก4ประการนี้ ฉะนั้น ท่านจึงบอกว่า ถึงมีถึงจริงก็ไม่พึ่ง เพราะขัดหลัก4 ประการ
1หลักความเพียร
2 หลักการพัฒนาตนให้ดีงามขึ้น
3 หลักความไม่ประมาท
4 หลักอิสรภาพพึ่งตนเองได้
จึงบอกว่าได้ไม่เท่าเสีย ไปทุ่มชีวิตให้แก่สิ่งเหล่านี้หรือ ในขณะที่ ถ้าเราเข้มแข็งขึ้นมาแล้วราจะได้มากมายกว่านั้นเยอะเลย ถ้าเรายอมทนสู้เราจะผ่านมันไป กว่าเราจะผ่านอันนี้ได้เราจะเข้มแข็ง จึงต้องระวัง สังคมทั่หวังพึ่งกันบางทีไม่พัฒนาหรอก สู้สังคมที่ทุกคนต้องดิ้นช่วยตัวเองไม่ได้ จะเข้มแข็งขึ้นมา ฉะนั้นการช่วยเหลือกับการไม่ช่วยจึงต้องดุลยภาพ พระพุทธเจ้าจึงสอยหลักพรหมวิหาร ที่เราจะเรียนกันต่อไป ทีนี้ลองสรุปกันว่า เรื่องของขลัง วัตถุมงคล พระเครื่องต่างๆ จะใช้ถูกต้องใช้ผิดอย่างไร
1 คนโบราณทำไว้เป็นเครื่องหมาย การที่เคยมีพุทธศาสนาเจริญที่นี่ วัตถุที่เป็นเครื่องสำแดงแทนองค์พระพุทธเจ้า แทนพระพุทธศาสนาด้วย ต่อไปพุทธศาสนาสิ้นไป เจอกรุแตก เจอสิ่งโบราณวัตถุเหล่านี้ อ๋อ พุทธศษสนาเคยเจริญอยู่
2 คนโบราณใช้เป็นเครื่องเตือนใจระลึกถึงพระพุทธเจ้า ระลึกถึงคุณพระพุทธเจ้า วัตถุนี่เป็นสื่อถ้าไม่มีระลึกด้วยนามธรรมนี่ระลึกยาก แม้ทำสมาธิก็ช่วยจูงจิตใจได้ ให้ระลึกถึงพระพุทธเจ้า และโยมไปหาคุณค่าทางจิตใจที่เล่าแล้วว่า โยงไปถึงพ่อแม่ ปู่ย่า ตายาย อุปัชฌาอาจารย์ ที่มอบหมายกันมาเป็นสิ่งที่ท่านรักษา เป็นคุณค่าของชีวิตมีความหมายมาก ซึ่งได้ผลทางศีลธรรม จริยธรรมต่างๆมากมาย คนเดี๋ยวนี้ขาดอันนี้ไป พยายามปฏิบัติให้ถูกต้อง
3 เป็นสื่อเข้าสู่ธรรม ใช้เป็นสื่อในการเรียกร้องศีลธรรม จริยธรรม เธออยากได้พระเธอต้องประพฤติตัวในศีลในธรรม ต้องเว้นประพฤติชั่วต้องทำความดีขยันหมั่นเพียรแล้วพระจะคุ้มครอง เรียกร้องศีลธรรมแล้ว สื่อในธรรมเวลาจะให้ก็สอนธรรมะ โดยเฉพาะเด็กๆพระอาจารย์น้อยองค์ที่มีความสามารถ เราต้องยอมรับ เราจะไปเอาตัวคนเดียวเข้าเทียบ ตัวพระอาจารย์องค์นี้อาจมีความสามารถสอยเด็กได้เก่ง สอนดวยนามธรรมสอนด้วยคำสอนล้วนๆ เด็กเข้าใจและศรัทธา พระทั่วไปที่ไม่ได้มีความสามารถอย่างนี้ แต่ก็หวังดีและมีหน้าที่ ตอนแรกเด็กก็ชอบวัตถุสิ่งสวยงาม พระสวยๆให้เด็ก เอานี้ไปนะแล้วก็สื่อธรรมะ ทีนี้ก็อยู่ที่ความรู้จักใช้เทคนิค แต่ว่าอย่าให้ง่ายๆนะ ต้องเอาอย่างคนโบราณ มีน้อยหายาก เด็กก็อยากได้ ให้ก็เอาเป็นที่ระลึกนะ ต่อมาก็โยงไปสอนธรรมะ ให้พระคุ้มครองและปฏิบัติรักษา5ข้อพอแล้ว เป็นต้น เด็กจะมีสิ่งระลึกเตือนใจ ฉันเป็นชาวพุทธต้องระลึกถึงพระพุทธเจ้า สำหรับเด็กมีประโยชน์มาก เด็กไม่มีสิ่งนี้ก็ไปหาอย่างอื่นประดับ ทำไมเราไม่ให้พระพุทธรูปไปแทน มีคุณค่ากว่าสวยงามอวดโก้ มีคุณค่าทางศีลธรรม ทางจิตใจ ยังผูกพันกับบิดามารดา พ่อแม่ให้ก็ได้ไม่ต้องพระให้ ยังมีประโยชน์หากใช้ให้เป็น เด็กจะต้องมีสื่อรูปธรรมจึงจะเข้าหานามธรรมได้ ที่ลืมไปในข้อสองคือ เป็นตัวกันลัทธิภายนอกที่จะทำให้เขว กันไสยศาสตร์ แล้วก็คุมให้อยู่ในความหมายของการเชื่อถืออำนาจสิ่งศักดิ์สิทธ์ในขอบเขตที่เป็นคุณ เป็นความดีงาม ไม่ให้ถูกชักจูงไปด้วยลัทธิภายนอกเช่น หมอผี ตกลงว่า
1 เป็นเครื่องหมายการดำรงอยู่ การเจริญพุทธศาสนา
2 ในความสัมพันธ์กับศาสนาโบราณอื่น เป็นเครื่องกันไสยศาสตร์ที่จะมาจูงให้ไปในทางร้าย คุมให้อยู่ในทางดี
3 เตือนใจให้ระลึกถึงพระพุทธเจ้า พระรัตนตรัย ความดีงาม โยงคุณค่าทางจิตใจไปถึงบิดามารดา เป็นต้น
4 เป็นสื่อธรรมะ เข้าสู่คำสอนของพุทธศาสนา ทำให้เกิดสมาธิ รวมจิตใจได้ง่าย เป็นทางให้พระได้สอนธรรมะ
ถ้าใช้ไม่เป็น ผิดอย่างไรบ้าง
1 ทำให้ติดหลง จมอยู่ ในความหมายว่าพุทธศาสนาเป็นที่พึ่งยึดเหนี่ยวจิตใจ ก็ได้ที่พึ่งพำนักกล่อมใจ ได้หวังพึ่งศาสนาท่านจะมาช่วย มีกำลังใจกล่อมใจสบาย หายเดือดร้อนใจ ก็เลยไม่ดิ้นรนขวนขวาย นอนรอความช่วยเหลือ
สรุปอีกทีการปฏิบัติที่ผิด
1ทำให้ติดหลง จมอยู่กับเรื่องเหล่านี้
2 หวังพึ่ง ทำให้อ่อนแอ ตกอยู่ในความประมาท ไม่ทำความเพียร พึ่งตนเองไม่ได้ ถ้าผู้ใช้เช่นพระ ไม่เข้าใจหลักพุทธศาสนา ไม่มีเจตนาที่ถูกต้อง ไม่มีปัญญานำต่อไป กลายเป็นดึงคนอออกจากพุทธศาสนาไปเลย เป็นผลร้ายที่ตรงข้ามเลย สิ่งเหล่านี้ก็เหมือนสิ่งศักดิ์สิทธ์ นอกพุทธศาสนาเป็นแบบไสยศาสตร์ เทพเจ้าไปเลย เอาความหมายนี้มาใส่พุทธศาสนา ก็ดึงคนออกจากพุทธศาสนาโดยไม่รู้ตัวซึ่เงป็นไปได้มาก ผลกลับตรงข้ามแทนที่จะดึงคนเข้าสู่ธรรมะ กลายเป็นดึงออก
4 อาจเป็นช่องทาง เป็นเครื่องมือของการหลอกลวงและหาลาภ ผู้มีเจตนาไม่ดีก็อาจใช้สิ่งเหล่านี้เป็นเครื่องมือ หาประโยชน์ส่วนตัว ได้ลาภได้สักการะมากมาย ผลต่อสังคมคือ การที่มนุษย์ก็อยู่ด้วยความหวังพึ่งสิ่งภายนอกและอ่อนแอ ที่สำคัญมากผลต่อสังคมคือ มนุษย์ที่หวังพึ่งอำนาจภายนอกมาช่วยนี้ จุดสัมพันธ์ของเขา คือ สิ่งเร้นลับที่มองไม่เห็น เขาจึงไม่เอาใจใส่ต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ไม่เหลียวแล จึงไม่พยายามช่วยร่วมกันแก้ปัญหา ไม่หวังพึ่งเพื่อนร่วมสังคมเดียวกัน สังคมก็จะพัฒนาได้ยาก และเป็นอุปสรรคแก่ประชาธิปไตยด้วย นอกจากสูญเสียของแต่ละคนซึ่งเป็นหลักใหญ่ไปแล้ว สังคมสูญเสียอีก คือ ไม่ร่วมกันคิดแก้ปัญหาและทำการร่วมกัน ทีนี้สังคมที่หวังพึ่งใครไม่ได้ก็จะดิ้นรนด้วยตัวเองหนึ่ง สอง เขาต้องมาหวังพึ่งแก้ปัญหา ในปัญหาร่วกันของชุมชน เป็นต้น ก็จะพัฒนาขึ้นมาด้วยเรี่ยวแรงกำลังคน ฉะนั้น จึงพูดว่าการหวังพึ่งสิ่งศักดิ์สิทธ์ต้องระวังมาก อาจเป็นการลงทุนได้ไม่คุ้มเสีย จะเป็นอย่างนี้มาก ผลได้คือ ทำให้จิตใจสบาย ผ่อนคลายทุกข์ หลบทุกข์ หลบปัญหา กล่อมใจ แม้แต่ตัวมันเองก็ทำให้พลาดได้ คือ สบาย ไม่ดิ้นรน อ่อนแอ สิ่งศักดิ์สิทธ์เล่านี้เป็นสิ่งกล่อมชนิดหนึ่ง มาร์กซิสจึงมองศาสนาว่าเป็นยาฝิ่น เพราะแกไม่รู้จักศาสนาพอ ไม่รู้จักพุทธศาสนา แกไปเห็นศาสนานั้นเป็นอย่่างนั้น จึงบอกว่าศาสนาเป็นยาฝิ่น พุทธศาสนาเรารอบคอบกว่าเยอะ คนสมัยใหม่ไปชื่นชมมาร์ก เข้าใจว่า เขาว่าถูก มีความจริงอยู่ ศาสนาเป็นยาฝิ่นติดเลย ทำให้กล่อมเพลิน สบายใจ ไปหาหมอผีก็มานอนสบาย ตอนมีทุกข์ภัย หวาดกลัว หวั่นใจ นอนไม่หลับ พอไปมาเสร็จนอนหลับได้ แต่สิ่งกล่อมใช้ให้เป็นมีประโยชน์ กีฬาเป็นสิ่งกล่อมชนิดหนึ่ง ใช้ในขอบเขตก็เป็นประโยชน์ สิ่งบันเทิง ดนตรีกีฬา เวลาเหน็ดเหนื่อยชีวิตบีบคั้น บางทีต้องหาอะไรช่วยได้จิตใจสบาย ร่างกายต้องการพักผ่อน จิตก็ต้องการพักผ่อน เราก็มาอาศัยสิ่งกล่อมเหล่านี้ จิตใจไม่สบายก็ฟังดนตรีกล่อมใจ สบายไป สิ่งศักดิ์สิทธ์ ไหว้ท่านหวังพึ่งท่านก็กล่อมใจสบายไป ชีวิตประจำวันวุ่นวาย ก็มาดูกีฬาสบายไป พวกนี้มีอำนาจเป็นตัวกล่อมทำให้คนได้พักจิตใจสบาย ก็ได้ประโยชน์ ทำให้มีพลังเดินหน้า แต่ผลร้าย คือไปติดสิ่งกล่อม เพลิน กลายเป็นผลร้ายทำให้ตัวเองหยุดนิ่ง ไม่ดิ้นรนขวนขวายทำการต่างๆ ฉะนั้นเราต้องใช้สิ่งกล่อมให้เป็น ใช้พอให้จิตที่เร่าร้อนได้สงบลง แต่อย่าอยู่แค่นี้ ให้เดินหน้าทำการต่อไป พวกศาสนาต่างๆไม่ใช่ว่าไม่มีประโยชน์ อย่างน้อยก็ผ่อนคลายหายทุกข์ จิตใจสบาย แม้กระทั่งสมาธิใช้ไม่เป็นก็เป็นสิ่งกล่อมติดเพลินได้ หลบปัญหาไม่แก้ปัญหาก็ผิดอีก ใช้ถูกยังไงต้องมาพูดกันต่อ เราต้องจับหลับพระพุทธศาสนาไว้ให้อีก อย่าให้เพลี่ยงพล้ำว่าเราใช้สิ่งเหล่านี้แค่ไหน อย่าไปดูถูกดูหมิ่น อย่าไปติดหลง ใช้ให้ถูก คำว่าไม่เชื่ออย่าลบหลู่จะตอบว่าไง ต้องเป็นไม่เชื่อแต่อยากจะเรียนรู้ ไม่หลบหลู่แต่ไม่ยอมสยบ ฉันจะต้องเรียนรู้ พุทธศาสนาสอนให้เราพัฒนาตัวก้าวหน้าต่อไป มีความเพียรเข้มแข็ง เราอาจจะได้ตัวสิ่งกล่อมประเดี๋ยวหนึ่ง แต่ถ้าเราเข้มแข็งเราจะได้ความสำเร็จและกำไรมากกว่า มนุษย์ปุถุชนจะเจริญงอกงามได้ด้วยทุกข์ภัยบีบคั้น จะลุกขึ้นดิ้นรถขวนขวาย ยามได้สบายมีความหวังก็จะลงนอนเสวยสุข ต้องระวัง สิ่งที่มนุษย์ว่าดีมันก็เกิดผลร้ายกับตัวเอง เราต้องจับจุดให้ได้ ปฏิบัติให้ถูกต้อง อยู่ที่ระดับการพัฒนาของคน สิ่งเหล่านี้ยืดหยุ่นและหลากหลายไปตามความแตกต่างของบุคคล ระดับอัธยาศัยบ้าง ระดับการพัฒนาบ้าง ปัจจับอื่นอีก เช่น ผู้สอนคือ พระ ก็มีระดับสติปัญญาแตกต่าง ต้องมีการพูดให้เห็นถึงเรื่องคุณและโทษให้ครบถ้วนบริบูรณ์ พระมีหน้าที่ต่อประชาชน ต้องชัดเจนเรื่องนี้ ผมถึงย้ำนักว่า เวลานี้เรื่องสิ่งศักดิ์สิทธ์ไสยศาสตร์ ความเชื่อเจ้าพ่อเจ้าแม่ มันครอบงำสังคมไทยเกลื่อนกลาด ถ้าเราไม่ชัดเจนต่อสิ่งเหล่านี้ สังคมจะอันตราย ต้องรีบสร้างท่าทีความชัดเจน ผู้นำผู้บริหารประเทศหรือพระสงฆ์ต้องชัดเจนต่อสิ่งเหล่านี้ ถ้าพร่ามัวไม่ชัดเจน พัฒนายาก ผู้บริหารประเทศชาติไม่เข้มแข็ง พอเจอสิ่งเหล่านี้หวั่นไหวซะแล้ว ต้องเข้มแข็ง ยืนหยัดตายเป็นตาย ลองได้คนแบบนี้ไม่ต้องกลัว เทวดายอมกับมนุษย์ที่เข้มแข็งที่มีหลักธรรม จะนำประชาชนได้ ประชาชนจะได้เข้มแข็งขึ้นมาบ้าง สังคมอยู่ได้ สังคมมนุษย์ตอนนี้มีปัจจัยที่จะสร้างความอ่อนแอมาก จะต้องจับหลักการในพุทธศาสนาและไปต่อได้
จบแล้ว ขออนุโมทนาทุกคน