แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ไฟล์ถอดเสียงนี้ยังไม่ได้ผ่านพิสูจน์อักษร นำขึ้นมาเพื่อช่วยในการศึกษาค้นคว้าของผู้สนใจ
พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต) : ขอเจริญพรท่านครูอาจารย์ ท่านผู้ทรงคุณวุฒิทุกท่าน การประชุมวันนี้เป็นการประชุมใหญ่มาก เรียกเป็นมหกรรมทีเดียว มหกรรมนี่เรียกว่าต้องเป็นงานใหญ่จริงๆ แต่เป็นมหกรรมพิเศษ คือเป็นมหกรรมวิทยาศาสตร์ทางจิต แล้วก็บอกว่านานาชาติด้วย นานาชาตินี้ก็แสดงว่าใหญ่จริงๆ ถึงระดับโลก เป็นสากล ทีนี้เป็นเรื่องทางจิตใจ เรื่องทางจิตใจนี้ก็มีความสำคัญเป็นพิเศษคู่กับทางด้านร่างกาย หรือทางวัตถุ ซึ่งปัจจุบันนี้เราก็รู้กันอยู่ว่าวิทยาศาสตร์นั้นเน้นทางด้านวัตถุ เป็นเรื่องของความรู้ความเข้าใจทางด้านธรรมชาติฝ่ายวัตถุ แล้วก็ทำให้เกิดความเจริญทางเทคโนโลยี คนนึกถึงวิทยาศาสตร์ก็นึกถึงเรื่องวัตถุ แต่วันนี้มาพูดเรื่องวิทยาศาสตร์ทางจิต เพราะฉะนั้นก็เป็นเรื่องพิเศษ ทีนี้ก็มีชื่อเฉพาะว่าเป็นเรื่องของพลังสมาธิจิตพิชิตปัญหาโลก ชื่อเรื่องก็ใหญ่นั่นเอง เพราะว่าไปพิชิตปัญหาโลกทีเดียว ถ้าพิชิตปัญหาโลกได้ก็แก้ปัญหาได้หมด งานมหกรรมครั้งนี้ก็มีความหมายหลายอย่าง คณะกรรมการผู้จัดได้ตั้งความมุ่งหมายไว้ นอกจากจะเป็นการฉลอง 60 ปีของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และอุทิศกุศลแด่บูรพาจารย์แล้ว ที่เป็นหลักใหญ่สำคัญก็คือจะได้ถวายเป็นพระราชกุศลในปีสำคัญ คือในโอกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เจริญพระชนมายุ 75 พรรษาด้วย อันนี้เมื่อพูดถึงเรื่องความกตัญญู ก็เป็นเรื่องความกตัญญูกตเวทีต่อแผ่นดินนั่นเอง เพราะว่าในหลวงทรงเป็นองค์แทนของสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งโยงไปถึงบูรพมหากษัตราธิราช ที่ได้สร้างสรรค์แผ่นดินชาติไทยนี้มาเป็นเวลายาวนาน ก็เหมือนอย่างที่เราอุทิศกุศลแด่บูรพาจารย์ที่สร้างมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์มา ทีนี้มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ก็อยู่บนแผ่นดินไทยนี้ ซึ่งบรรพบุรุษได้สร้างมา โดยมีองค์พระมหากษัตริย์เป็นผู้นำ ฉะนั้นเมื่อกตัญญูต่อพระมหากษัตริย์ก็คือกตัญญูต่อแผ่นดิน กตัญญูต่อบรรพบุรุษทั้งหมด ในฐานะพระองค์เป็นผู้นำ โดยเฉพาะพระมหากษัตริย์พระองค์ปัจจุบัน ก็ได้ทรงบำเพ็ญคุณประโยชน์ไว้แก่แผ่นดินมากมาย ไม่จำเป็นจะต้องพรรณนา เพราะฉะนั้นก็เหมือนกับว่างานที่เราฉลอง 60 ปีก็ดี อุทิศกุศลแด่บูรพาจารย์อุทิศถึงท่านก็ดี ก็เหมือนกับมาประมวลอีกครั้งหนึ่ง ประมวลเป็นพลังทั้งหมดที่จะมาถวายเป็นพระราชกุศลแด่องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในโอกาสอันสำคัญนี้ อาตมาภาพก็ขออนุโมทนาด้วย ทีนี้ในแง่ที่มาสนใจเรื่องจิตใจนี้ก็ขออนุโมทนา แล้วในเรื่องจิตใจนั้นแน่นอนว่าเรื่องสำคัญก็คือสมาธิ อันนี้ก็เป็นแนวโน้มอย่างหนึ่งของโลกปัจจุบันที่ว่าเมื่อมีความเจริญทางวัตถุมามากถึงระดับหนึ่งแล้ว ปรากฏว่าคนได้เกิดความรู้สึกผิดหวังต่อความเจริญทางวัตถุ แล้วก็ได้มองเห็นปัญหาต่างๆ เกิดขึ้นในโลกมากมาย ความทุกข์ยากของคนก็ดูเหมือนจะไม่ลดน้อยลงไป มีปัญหาสังคม อันนี้มองเห็นง่ายที่สุด เพราะเป็นเรื่องข้างนอก เราเกี่ยวข้องอยู่ เช่นมีความปลอดภัยหรือไม่ จะไปไหนก็ต้องคิดมาก มีการหวาดระแวง มีอาชญากรรม มีการฆ่ากันตายมากมาย ลักขโมยจี้ปล้น จนกระทั่งปัญหายาเสพติด ปัญหาลงมาครอบครัว แล้วก็โยงมาปัญหาเรื่องจิตใจ ปัญหาจิตใจก็ไปอยู่ที่ตัวคน แล้วพอดูข้างนอก ไปดูที่โลกนี่ก็มีปัญหาเรื่องธรรมชาติแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติร่อยหรอ เกิดมลภาวะมากมาย อันนี้เป็นปัญหาต่างๆซึ่งพัวพันอยู่ แยกไม่ออก อย่างเรื่องความเจริญทางวัตถุซึ่งสืบเนื่องจากเทคโนโลยี แล้วก็อยู่บนฐานของวิทยาศาสตร์ อันนี้ก็เป็นเหตุให้คนสมัยปัจจุบันที่เคยมีความฝัน ความหลง อยู่กับวิทยาศาสตร์ เรียกว่าคลั่งไคล้ทีเดียว คิดว่าวิทยาศาสตร์นี้จะมาช่วยให้มนุษย์พ้นจากปัญหาทุกอย่าง โลกนี้จะเป็นเหมือนสวรรค์บนพื้นดิน จะมีความสุขสมบูรณ์ทุกอย่าง อันนั้นเป็นความฝันตอนเราเริ่มยุควิทยาศาสตร์ พอถึงตอนนี้คนก็เกิดความผิดหวังเพราะปัญหามันมากมาย ก็เลยเกิดแนวโน้มที่หันกลับไปสนใจด้านจิตใจ แนวโน้มอันนี้ก็เป็นไปได้ทั่วโลก แต่พอพูดว่าโลกเนี่ย ปัจจุบันนี้เราก็ดูว่าใครมีอิทธิพลต่อโลก หรือว่ากำโชคชะตาของโลก ก็มองกันไปที่ตะวันตก ฉะนั้นเวลาพูดถึงเรื่องโลกปัจจุบันนี้ ก็มักจะมองไปที่ตะวันตก เพราะฉะนั้นแม้จะพูดเรื่องสมาธิ เรื่องจิตใจอะไรต่างๆ นี่ ก็มีอิทธิพลเรื่องของฝรั่งเข้ามาไม่น้อย หมายความว่าฝรั่งเองเขาผิดหวังกับความเจริญทางวิทยาศาสตร์ ทางวัตถุ ที่ปรากฏออกมาทางด้านเศรษฐกิจ แล้วก็ทำให้หันไปหาทางออก ทางออกที่สำคัญก็ตรงข้ามกัน คู่กัยกับทางด้านวัตถุ ก็คือด้านจิตใจ ก็เลยเกิดแนวโน้มหันมาสนใจเรื่องจิตใจ ในเรื่องจิตใจก็แกนของจิตใจก็คือเรื่องสมาธิ เพราะฉะนั้นเวลานี้ในโลกนี้ อย่างที่บอกเมื่อกี้ก็คือมีตะวันตกเหมือนกับเป็นตัวแทนไปสนใจเรื่องสมาธิกันมาก เมื่อเป็นอย่างนี้เรามาประชุมกันเรื่องนี้ ก็เลยต้องขอโอกาสไปพูดถึงเรื่องทางตะวันตกนิดหน่อย เพื่อจะได้ทราบภูมิหลังความเป็นมาของโลกนี้ ที่อารยธรรมปัจจุบันเหมือนมีตะวันตกเป็นตัวแทน ว่ากันไปเรื่องทางด้านจิตเนี่ย ภาษาตะวันตก ศัพท์เดิมเก่าๆ เนี่ย ก็หนีไม่พ้นคำว่า spirit สปิริตอันนี้เดิมคืออะไร มันเป็นเรื่องเก่าแก่มีมาแต่โบราณ คือมนุษย์มันก็เป็นมนุษย์อยู่นั่นแหละ มันเจริญแค่ไหนมันก็ยังเป็นคนอยู่ ทีนี้มนุษย์ตั้งแต่สมัยดึกดำบรรพ์มา มันก็มีความสงสัยเกี่ยวกับตัวเอง เกี่ยวกับธรรมชาติแวดล้อม แล้วตัวมนุษย์เองเนี่ยก็เป็นเรื่องสำคัญที่ว่านอกจากไม่รู้ธรรมชาติที่อยู่ภายนอกมีอะไร บันดาลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงไปต่างๆ แล้ว แม้แต่ชีวิตตัวเองก็ไม่รู้ ไม่เข้าใจจริง เดี๋ยวเกิดมา คนเกิดมา มาจากไหนก็ไม่รู้ เจริญเติบโตไป ชีวิตจะเป็นยังไง ตัวเองก็ไม่รู้อีก พรุ่งนี้จะเป็นยังไง ยังไม่รู้ เดี๋ยวมีคนตาย ตายไปแล้ว ไปไหน เป็นยังไง ตายไปแล้วก็ไม่รู้ ทีนี้ก็ทำให้คนต้องคิดหาความเข้าใจเกี่ยวกับชีวิตของตัวเอง ซึ่งสัมพันธ์กับโลกกับสิ่งแวดล้อมอะไรต่างๆ ก็เลยมีความเชื่อขึ้นมา เกิดศัพท์ที่เรียกว่า เอาฝรั่งเป็นหลักก็แล้วกัน ในกรณีนี้เรียก spirit เราก็แปลกันง่ายๆ ก็คือ ผี นั่นเอง ทีนี้คนนี่ที่สำคัญก็คือว่า ชีวิตเรามันคู่กับความตาย เวลาตายไปแล้ว เอ เขายังอยู่หรือเปล่า คนก็นึกไปนึกมา มันมีตัวจริงของคนอยู่เนี่ย ก็คือ spirit เจ้าspirit นี่ ตัวคนตายไปแล้วมันก็ยังอยู่ คนไทยเราเรียกว่าผี ความจริงคำว่าผีนี่ ไม่ใช่คำต่ำ คนเวลานี้ไปนึกว่าผีเป็นคำที่ไม่ดี ที่แท้จริง ผีเป็นคำไทยแท้ แล้วก็ใช้ได้ ทางดีทางร้ายก็ได้ ผีดีๆ สมัยโบราณเราก็ได้ยินกัน ผีปู่ย่าตายาย ผีเย้าผีเรือน อะไรต่างๆ ผีก็เป็นเรื่องที่ ถ้าเป็นผู้ใหญ่ เป็นผู้ที่ปกปักรักษา เป็นผู้มีฤทธิ์อำนาจมาช่วยมนุษย์ทั้งหลาย ก็เป็นผีที่ดี เป็นผีที่เคารพ อย่างไรก็ตามคือผีนี่ก็เป็นเรื่องลึกลับ มองไม่เห็นตัว ถ้าจะเห็นตัวขึ้นมาก็น่ากลัว คนก็ไม่อยากเห็น ก็มีทั้งว่าตามปกติไม่เห็นตัว แต่เห็นเมื่อไหร่ก็น่ากลัวเมื่อนั้น ก็เลยเป็นเรื่องลึกลับ แต่ว่านอกจากความลึกลับก็คือว่ามีอำนาจด้วย แล้วก็มีอำนาจเหนือคน จะมาทำอะไรคนให้เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ เรื่อง spirit นี้ก็มีมาตลอด คนก็เชื่อว่าคนมี spirit คล้ายๆ เป็นตัวแท้ตัวจริงของคนนี่แหละ เวลาตายแล้วเจ้านี่ ตัว spirit นี่ ก็ไม่ตาย ก็อาจจะมาเกี่ยวข้องกับลูกหลานต่อไป จะมาปกปักรักษา มีความห่วงใย หรือว่ามามีฤทธิ์มีอำนาจต่อผู้คนในสังคม ทีนี้ผีคนในสมัยก่อนก็อาจจะยังไม่ทันได้แยกดีแยกร้ายอะไรมากมาย ก็นึกถึงผีก็นึกถึงกับนึกถึงคนธรรมดาทั่วไป ก็คือคนที่มีอำนาจ คนที่เป็นผู้ใหญ่ ก็เหมือนคนธรรมดาทั่วไป ก็คือว่าทำอะไรให้เขาชอบใจเขาก็โปรดปรานช่วนเหลือ ทำอะไรไม่ถูกใจ ทำผิดทำอะไรผิด ไม่น่าทำ อะไรเนี่ย ท่านก็โกรธเอา คนก็นึกถึงผีก็เหมือนกับผู้ใหญ่ที่มีอำนาจนี่แหละ ตอนนี้ก็เลยกลายเป็นว่า ผีซึ่งมองไม่เห็นตัวเนี่ยก็มีอำนาจที่จะมาทำคน ถ้าหากว่าทำอะไรดีเขาจะมาคุ้มครองช่วยเหลือ แต่ถ้าทำไม่ดี เขาก็มาทำร้าย ลงโทษเอา ก็เลยเรื่องความเชื่อเรื่องผี เรื่อง spirit นี่ก็มีความสัมพันธ์กับมนุษย์ตลอดประวัติศาสตร์ คนโบราณก็ขยายความหมายคำว่าผีออกไป คำว่าผีนี่คนไทยเราก็เชื่อกันอยู่ ในโลกทุกแห่งทุกแดน ฝรั่งมังค่า แอฟริกา เชื่อทั้งนั้น ก็มีความเชื่อเรื่อง spirit เรื่องผีเนี่ย ทีนี้เวลาพระพุทธศาสนาเข้ามาเมืองไทย เราก็นิยมใช้ศัพท์อะไรต่างๆ ทำให้เป็นภาษาบาลี หรือว่าจะขลัง หรือว่าจะศักดิ์สิทธิ์ หรืออย่างน้อยก็มีความไพเราะ หรือว่าก็ว่าสูงขึ้นมา ก็เลยเราก็หาคำว่าผี แปลเป็นบาลีว่าอะไร คำบาลีว่าอะไรเรียกผี บางทีก็ไปมองอย่างพวกเทวดาก็เป็นผีชนิดหนึ่ง แต่ทีนี้หาคำที่มันเป็นแก่นเป็นแท้เป็นตัวจริงของคนเนี่ย ไปๆ มาๆ ก็นึกในทางพุทธศาสนา ก็ไปเอาคำว่าวิญญาณมา เราก็เลยมีคำว่าวิญญาณ คนตายไปแล้วเราก็มีการพูดกันว่า วิญญาณไปเกิด วิญญาณเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ นี่ก็คือวิญญาณ นี่ก็เหมือนกับว่าพยายามหาคำบาลีมาใช้เรียกผีนั่นเอง แต่ว่ามันก็เกิดปัญหาเพราะว่าที่จริงในหลักพุทธศาสนานั้น วิญญาณมีความหมายพิเศษเฉพาะ ซึ่งเป็นวิวัฒนาการในทางปัญญา ทางพุทธศาสนานั้นถือว่าสิ่งทั้งหลายเป็นอนัตตา ไม่มีเป็นตัวเป็ฯตน ทีนี้เรื่องผีนี่ เป็น spirit เป็นตัวแท้ตัวจริงของคน เป็นตัวตน อย่างที่ต่อมาก็ให้ความหมาย spirit นี้เหมือนกับ soul บางทีบางครั้งถึงกับใช้แทนกันได้ spirit เป็น soul soulก็คืออาตมัน เป็นตัวเป็นตน เมื่อเราเอาคำว่าวิญญาณของพุทธศาสนามาใช้กับคำว่าผี ซึ่งเป็นตัวเป็นตัว ก็ทำให้มองคำว่าวิญญาณของพุทธศาสนาเป็นตัวเป็นตนเลย อันนี้ก็น่าจะเป็นสาเหตุที่ทำให้เราเข้าใจความหมายคำว่าวิญญาณเพี้ยนไป แล้วจะมาปัจจุบันนี้ เรื่องเกี่ยวกับผี เรื่องเกี่ยวกับ spirit ก็เป็น adjective ก็คือ spiritual พอเป็น spiritual มาถึงปัจจุบันนี้ คำว่า spirit , spiritual ก็ขยายความหมายออกไปจากต้นรากอันเมื่อกี้ จนกระทั่งเดี๋ยวนี้ก็ไม่รู้จะแปลยังไงกัน แปลวิญญาณก็ไม่พอ ก็เลยเดี๋ยวนี้แปลว่าจิตวิญญาณเข้าไปอีก รวมแล้วก็มาจากเรื่องเดียวกัน เอาละ กลับไปเรื่อง spirit เรื่องผี ทีนี้เรื่องผีที่เรื่องตัวแท้ตัวจริงของคน มีฤทธิ์มีอำนาจลึกลับอะไรอย่างนี้ ยิ่งลึกลับคนก็ยิ่งกลัว เพราะฉะนั้นก็ต้องหาทางปฏิบัติให้ถูกต้อง การที่กลัวแล้วจะมาลงโทษทำร้ายคนเป็นยังไงๆ นี่ก็นอกจากเรื่องภัยอันตรายต่างๆ ภายนอกแล้ว ก็เรื่องตัวของเขาเอง ร่างกายชีวิตของเขา เช่นโรคภัยไข้เจ็บ ทีนี้พอมีโรคภัยไข้เจ็บ ก็หาเหตุธรรมดาไม่ได้ ก็นึกโทษไปที่ spirit
หรือผีนี่แหละ ไปๆ มาๆ ก็คงว่าคนนี้คงไปทำอะไรผิดผี ทำให้ผีโกรธเข้า อาจจะเป็นผีปู่ย่าตายายหรือผีใหญ่กว่านั้น หรืออะไรก็แล้วแต่ ผีประจำเมือง ก็เลยกลัว แล้วก็หาทางแก้ไข ต่อมาก็มีคนประเภทหนึ่งที่เรียกว่ารู้ทันผี รู้ใจผีขึ้นมา พอรู้ใจผี รู้ทันผี นี่ก็มาเป็นอย่างที่เราเรียกว่าหมอผี พวกนี้เก่งจนกระทั่งจับผีได้ ผีลงหม้อไปถ่วงน้ำก็มี อันนี้ก็เป็นวิวัฒนาการของมนุษย์ ที่หาทางแก้ปัญหากัน ในสังคมไทยโบราณเราก็จะเห็นว่ามีเรื่องนี้ เรื่องหมอผี แล้วก็มีอีกพวกก็คือแม่มด ในสังคมฝรั่งนี่พวกแม่มดนี่เกลื่อนกลาดมาก ต่อมาๆ ในสังคมตะวันตกมีความเจริญขึ้นมา ก็เกิดศาสนาใหญ่ขึ้นมาศาสนาหนึ่ง ในแง่นี้พูดเป็นความรู้ ไม่ได้เป็นเรื่องของการมาติเตียนอะไร ก็ว่าศาสนาคริสต์เกิดขึ้นมาก็เป็นศาสนาที่ถือพระเจ้าองค์เดียวที่เรียกว่า God บางทีเขาก็ใช้ spirit นี่แหละ Spirit ใช้ตัว S เป็นแคปิตอลเลตเตอร์ ตัวใหญ่ คำว่า Spirit นี้ก็เป็นชื่อหนึ่งที่ใช้เรียกพระผู้เป็นเจ้า God บางทีก็มีศัพท์พิเศษเป็นทางปรัชญา เป็นนามธรรมยิ่งขึ้น เป็น The holy Spirit นี่ก็เรียกว่าเป็น Godนั่นเอง หรือเป็นสาระเป็นแก่นแท้ความเป็นจริง God แล้ว The holy spirit บางทีก็เรียกว่า The holy ghost ซึ่ง ghost นี่คนไทยก็เรียกว่าผีนั่นเอง จะเรียกว่า The holy ghost ก็ได้ The holy spirit ก็ได้ อันเดียวกัน ตกลงว่า spirit ต่อมาก็มี spirit ใหญ่ ขออภัยจะเรียก ทางภาษาไทยเราไม่ถือเป็นเรื่องต่ำ คำดี ผีเนี่ย ก็คือพระผู้เป็นเจ้าก็คือผีใหญ่นั่นเอง เรามีผีเล็กผีน้อยกันมานานเนแล้ว ตอนนี้ก็มีท่านที่เป็นผีใหญ่ มาเป็นผีท่านเดียว ทีนี้พอมีผีใหญ่ท่านเดียวเกิดขึ้นมาแล้ว พวกคนในศาสนาของตะวันตกนี่ก็มองว่าพวกผีเล็กผีน้อยทั้งหลาย โดยเฉพาะพวกที่ไปสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับพวกผีเล็กผีน้อยอย่างนั้น พวกแม่มดอะไรพวกนี้ หมอผีทั้งหลายนี่ ไม่ได้แล้วพวกนี้เป็นพวกปฏิปักษ์ต่อพระผู้เป็นเจ้า เป็นปฏิปักษ์ต่อ God ที่เป็นเทพเจ้า เป็นผีที่ใหญ่ที่สุด อันนั้นจะต้องมานับถือผีใหญ่ พระผู้เป็นเจ้าองค์เดียวเท่านั้น จะไปนับถือผีเล็กผีน้อยไม่ได้ ตอนนี้ก็เลยทำให้เกิดการกำจัด เขาเรียกว่า persecution ก็เลยกลายเป็นว่ายุคที่ศาสนาคริสต์เกิดขึ้นมา ต่อจากนั้นก็กำจัดกันใหญ่ จับโดยเฉาะพวกแม่มดนี่ แม่มดหมอผีนี่ไปฆ่า ทีนี้ต่อมาเหตุการณ์มันไปถึงกับตั้งศาล เขาเรียกว่าศาล inquisitions แปลง่ายๆ ว่า ศาลไต่สวนศรัทธา คือใครนอกจากว่าเชื่อผิดหลักศาสนาของคริสต์ หรือว่าไปนับถืออย่างอื่น นับถือผีเล็กผีน้อย นับถือพวกแม่มดหมอผีอะไรพวกนี้โดยพวกแม่มดนี่ถูกจับ ก็เอามาเผาทั้งเป็น ปรากฏว่าพวกแม่มดนี่ หรือถูกกล่าวหาว่าเป็นแม่มดนี่ถูกฆ่าหรือเผาทั้งเป็นนี่ บางระยะวันหนึ่งเป็นร้อยก็มี ก็รวมความก็คือว่าในยุคที่ศาสนาคริสต์เกิดขึ้นมาแล้ว ก็เข้าสู่ยุคที่ศาสนาคริสต์เป็นใหญ่ มีพระเจ้าองค์เดียวเท่านั้นที่จะนับถือ นับถืออื่นไม่ได้ ใครนับถือผีอื่นก็เป็นพวกซาตาน เป็นปฏิปักษ์ต่อพระผู้เป็นเจ้า ก็ต้องฆ่า ต้องเผาทั้งเป็น ฉะนั้นนี่ก็เป็นยุคที่เราเรียกว่าสมัยกลางในยุโรป ตั้งแต่ ค.ศ.476 มา1,000 ปี ถึง 1453 นี่เขาเรียกว่าสมัยกลางของยุโรป แล้วพ้นจากนี้มาศาสนาคริสต์ก็ยังมีอิทธิพลอยู่ ก็ต้องกำจัดพวกที่นับถือนอกออกไปจากศาสนา เช่นพวกนักวิทยาศาสตร์ อย่างกาลิเลโอ บรูโน วีตัส อะไรพวกนี้ต้องจับมาเผาทั้งเป็น ถ้าสารภาพก็ อย่างกาลิเลโอ ยอมรับผิดก็เลยเอาแค่ขังอยู่ในบ้านจนตาย อันนี้ก็เป็นเรื่องของความเจริญทางด้านตะวันตก ก็เป็นอันว่าเขาถือผีพระองค์เดียว ก็คือผีใหญ่ที่สุด ใครจะไปนับถืออย่างอื่นไม่ได้ เป็นระยะเวลาที่คริสต์ศาสนาเจริญอยู่ 1,000 ปี ถ้าเทียบพุทธศักราช ก็ประมาณ พ.ศ.1,000-2,000 นั่นเอง คิดง่ายๆ ว่า ค.ศ. 476- 1453 ถ้าเทียบของเรามันก็คร่าวๆอย่างนั้น คือ พ.ศ.1,000-2,000 นี่เป็นระยะที่ศาสนาคริสต์เป็นใหญ่ในยุโรป เรียกว่าสมัยกลาง ฝรั่งในตอนที่พ้นสมัยกลางไปใหม่ๆ เนี่ย เรียกยุคนี้ว่ายุคมืดเลย ถือว่าเป็นระยะเวลาที่ขัดสนทางปัญญา พูดง่ายๆ ว่ากลัว เพราะว่าตกอยู่ภายใต้อำนาจของศาสนาคริสต์อย่างเดียว จะให้กำหนดเชื่ออย่าใดอย่างนั้น จะไปแสวงหาปัญญาอย่างอื่นไม่ได้ อันนี้คือเรื่องที่ว่าตอนนั้นศาสนาคริสต์ร่วมกับทางพวกจักรพรรดิพวกกษัตริย์ ก็กำจัดคนที่นับถือผีเล็กผีน้อยอย่างที่ว่าไปแล้ว พอพ้นจากนั้นมาแล้วก็ความจริงศาลที่เรียกว่า inquisitions นี่มันตั้งยุคหลังจากออกจากสมัยกลาง
แล้ว แล้วต่อกันมาจนกระทั่งหลังสมัยกลาง อันนี้ก็ขอเล่ามาพอให้เห็นภูมิหลัง ต่อมาจากนั้นเป็นยังไง พอพ้นสมัยกลางก็คือว่าพวกฝรั่งเนี่ย ก็เกิดความรู้สึกเบื่อหน่าย แล้วก็รู้สึกกดดันบีบคั้นมาก จะต้องเชื่ออย่างนั้นอย่างเดียว พวกนี้ก็เลยดิ้นรน คนเรานี่ธรรมชาติอย่างหนึ่งคือยิ่งบีบยิ่งดิ้น ยิ่งถูกกดดันถูกบีบคั้นเขา พวกนี้แสวงหาปัญญา ก็ทำให้เกิดการตื่นตัว ทำให้พวกชาวตะวันตกนี้ดิ้นรนให้พ้นจากอำนาจของศาสนาคริสต์ เราเรียกยุคที่เขาตื่นตัวขึ้นมา เขาเรียกฟื้นคืนชีวิตใหม่ เขาไม่ใช่แค่ตื่น เขาถือว่าฟื้นเลย เขาตายไปนานแล้ว ฟื้นใหม่ที่เราเรียกว่ายุคเรอเนซองซ์ ก็นี่แหละ ยุคเรอเนซองซ์ก็คือยุคที่เริ่มออกจากสมัยกลาง ก็ตีซะว่า พ.ศ. 2,000 ตอนนี้พอออกจากสมัยกลาง พ้นจากอิทธิพลของศาสนาคริสต์ คนก็แสวงหาปัญญา หาความรู้ธรรมชาติกัน ตอนนี้ไม่ต้องกลัวแล้วว่าจะต้องถูกบังคับว่าต้องเชื่ออย่างนี้ แต่ที่จริงก็ยังบังคับกันอยู่ ก็อยู่ระยะการต่อสู้ แต่หมายความว่าคนส่วนใหญ่นี้ได้ตื่นตัวออกมา ก็มาแสวงหาปัญญา ก็เกิดเป็นยุควิทยาศาสตร์ ฟื้นฟูเอาศิลปะวิทยาการของกรีก-โรมัน ขึ้นมา แล้วก็มาต่อมาขยาย การแสวงหาค้นคว้าเพิ่มเติม ก็เกิดความเจริญทางวิทยาศาสตร์ ทีนี้ความเจริญทางวิทยาศาสตร์ก็ถือว่ายุค ค.ศ.1,500 เป็นต้นมา ตอนนี้คนได้รู้เข้าใจธรรมชาติ วิทยาศาสตร์ให้ความเข้าใจ ทำให้เกิดความเจริญทางเทคโนโลยี คนก็เกิดความหวังใหม่ บอกว่านี่วิทยาศาสตร์เหมือนกับมาโปรดเลย ต่อไปนี้มนุษย์จะรู้เข้าใจทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัว ธรรมชาติที่เคยมีอำนาจเหนือเรา เราจะทำอะไร จะปลูกพืช จะหว่านข้าว อะไรต่ออะไร ต้องรอธรรมชาติทั้งนั้นเลย แล้วก็ต้องอยู่ภายใต้อำนาจมันต่อไป ทีนี้เรารู้ความลับของธรรมชาติหมดแล้ว ต่อไปวิทยาศาสตร์จะทำให้เรามีอำนาจสามารถเอาชนะธรรมชาติได้ ตอนนี้แนวคิดพิชิตธรรมชาติก็เฟื่องฟูขึ้นมา เขาเรียกว่าแนวคิด the congress of nature อันนี้เป็นแนวคิดที่เป็นฐานของวิทยาศาสตร์ ซึ่งเป็นความคิดที่เกิดขึ้นตั้งแต่ยุคกรีก-โรมันโบราณโน่นแหละ ตั้งแต่โสเครตีส เพลโต อริสโตเติล ความคิดอันนี้มาฟื้นขึ้นใหม่ ก็พวกฝรั่งก็คิดจะเอาชนะธรรมชาติ การที่พัฒนาวิทยาศาสตร์นั้น ตัวความรู้วิทยาศาสตร์แท้ๆ บริสุทธิ์ เขาเรียกว่าวิทยาศาสตร์บริสุทธิ์ คือต้องการรู้ความจริงของธรรมชาติอย่างเดียว แต่เดี๋ยวนี้ฝรั่งก็ยอมรับกันว่าที่ว่าบริสุทธิ์มันไม่บริสุทธิ์จริง วิทยาศาสตร์บริสุทธิ์ pure science มันไม่ได้ pure จริง ทำไมมันไม่ใช่ pure จริงล่ะ อย่างน้อยเจตนามันไม่บริสุทธิ์ เจตนามันเป็นยังไง ที่วิทยาศาสตร์ตะวันตก ค้นหาความจริงของธรรมชาติกันมานั้น เจตนาแท้ๆ ฐานที่สุดคือต้องการจะเอาชนะธรรมชาติ เขาคิดกันว่าถ้าเขาล่วงรู้ความลับของธรรมชาติแล้ว เขาจะสามารถจัดการกับธรรมชาติได้ตามปรารถนา เมื่อจัดการกับธรรมชาติได้ตามปรารถนาแล้ว ก็คือสนองความต้องการของมนุษย์ ก็เอาธรรมชาติมา เช่นว่ามาเป็นวัตถุดิบ แล้วก็เอามาผลิตเป็นสิ่งเสพบริโภค บำรุงบำเรอให้มนุษย์มีความสุข อันนี้ก็เป็นความหวังจากวิทยาศาสตร์ อันนี้แหละเพราะฉะนั้นวิทยาศาสตร์ก็เลยมากับยุคที่เราเรียกว่าอุตสาหกรรม พอวิทยาศาสตร์เจริญไม่ช้าล่ะ เอาละ อุตสาหกรรมก็คู่กันมา วิทยาศาสตร์ทำให้เทคโนโลยีพัฒนาได้ เทคโนโลยีก็ทำให้อุตสาหกรรมดำเนินไปได้ อุตสาหกรรมเจริญไปก็ทำให้เอาธรรมชาติมาเป็นวัตถุดิบ มาสร้างเป็นผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม มาบำรุงบำเรอความสุขของมนุษย์ได้ ความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ ก็เจริญรุ่งเรืองกันต่อมา เพราะฉะนั้นในยุคที่ผ่านมาอารยธรรมของมนุษย์ก็มีวิทยาศาสตร์นี้เป็นพระเอก แล้วก็ตัวที่ประกอบอยู่ด้วยกันก็วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี อุตสาหกรรม แล้วจุดหมายคือเศรษฐกิจ เศรษฐกิจก็คือความรุ่งเรืองทางวัตถุ ฉะนั้นวิทยาศาสตร์ก็ค้นคว้าความจริงของวัตถุ เพื่อจุดหมายในการสร้างความรุ่งเรื่องพรั่งพร้อมทางวัตถุนั่นเอง เลยโลกที่ผ่านมาในยุควิทยาศาสตร์ ก็เหมือนกับไปสุดโต่งอีกทางหนึ่ง ในระยะก่อนนั้น ในยุคศาสนาคริสต์เป็นใหญ่ ในยุคที่มี The holy spirit นับถืออย่างเดียว มี Spirit ใหญ่ ตอนนั้น Spirit ใหญ่ก็ต้องให้กำจัด Spirit เล็กน้อยหมด พวกฝรั่งเบื่อหน่ายก็หนีออกมา ไม่เอาแล้วเรื่องทาง Spiritual ทางด้านจิตใจ หรือจะเรียกจิตวิญญาณก็แล้วแต่ แต่ว่าต้องเข้าใจว่าความหมายที่แท้เป็นยังไง นี่ก็ผละเต็มที่เลย ผละเต็มที่ ก็ไปหาวิทยาศาสตร์ ก็ไปหาวัตถุ จาก Spiritual ก็ไป material เต็มที่เลย เป็นยุควิทยาศาสตร์ที่สุดโต่ง ไปเอาแต่วัตถุอย่างเดียว เรื่องอะไรทางด้าน Spiritual มันเป็นเรื่องไม่จริง เป็นเรื่องคิดเอาเอง เป็นเรื่อง subjective อะไรต่างๆ เหล่านี้ นี่ก็เป็นเรื่องของความเจริญในยุควิทยาศาสตร์ ซึ่งผ่านมานานอีกตั้ง เท่าไหร่แล้ว เมื่อกี้บอกว่า พ.ศ. 2000 หรือตั้งแต่ ค.ศ. 1500 เป็นต้นมา ก็เกือบ 500 ปีแล้วถึงปัจจุบัน วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีได้มีอิทธิพลต่ออารยธรรมของมนุษย์ เป็นตัวแกนในการสร้างสรรค์อารยธรรม แต่ทีนี้พอมาถึงตอนนี้ พวกเรานี้ทันได้เห็นความเปลี่ยนแปลงใหม่ ก็คือประมาณสักครั้งศตวรรษที่แล้วมา ตีซะว่าสัก 50 ปีนี่ มนุษย์เริ่มเกิดความสำนึกใหม่ว่า นี่วิทยาศาสตร์ไม่สามารถจะให้ความสุขที่แท้จริงแก่มนุษย์ ไม่สามารถแก้ปัญหาของโลก ไม่สามารถแก้ปัญหาในแก่นแท้ของชีวิต ก็คือจิตใจได้ ก็อย่างที่ว่าแล้ว ปัญหาต่างๆ มันเกิดทับถม ทั้งปัญหาสังคม การสงคราม ปัญหาสังคมขนาดใหญ่ที่สุดก็คือสงคราม ระหว่างประเทศ แล้วสังคมเล็กๆ ย่อยๆ แต่ละสังคมก็มีปัญหามากมายอย่างที่พูดเมื่อกี้นี้ เรื่องอาชญากรรมอะไรต่างๆ เรื่องการขัดแย้งระหว่างมนุษย์ การเอารัดเอาเปรียบกัน จนกระทั่งมาถึงเรื่องปัญหาทางด้านสิ่งแวดล้อมที่มนุษย์จะสนองความต้องการของตัวเอง แล้วใช้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ เอาเทคโนโลยีไปจัดการกับธรรมชาติ มาเข้าโรงงานอุตสาหกรรม ไปๆ มาๆ มันเป็นการรังแกธรรมชาติแทนที่ว่าจะเอาชนะธรรมชาติ ก็กลายเป็นทำลายธรรมชาติ ก็เกิดความเดือดร้อนตีกลับเข้าไปหามนุษย์เอง ตอนนี้กลายเป็นว่าอารยธรรมมนุษย์ ในยุคปัจจุบันนี้ ที่ว่าเจริญที่สุดเนี่ย ได้นำปัญหามาให้มนุษย์ครบถ้วนทุกอย่างเลย ก็คือว่าปัญหาสังคมนี้มีกันมาแต่โบราณ ยุคไหนๆ ก็มีความขัดแย้งระหว่างมนุษย์ แล้วก็ปัญหาจิตใจหนักเข้าไปอีก ปัญหาร่างกายนี่ดีขึ้นหน่อย คือเก่งในการที่ว่าช่วยร่างกายมนุษย์ การบำบัดรักษา การแพทย์เจริญ อย่างเมื่อก่อนนี้ไส้ติ่งอักเสบเท่านั้นมีหวังตาย แต่ตอนนี้ง่ายนิดเดียว หรืออย่างคนเป็นนิ่วสมัยก่อน ก็มีหวังตาย แต่ว่าเดี๋ยวนี้ก็แก้ปัญหาง่ายๆ แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่พ้นปัญหา โรคใหม่ๆ ก็เข้ามา โดยเฉพาะโรคที่มนุษย์สร้างขึ้นเองจากการดำเนินชีวิตที่ผิด เช่นโรคหัวใจมากขึ้น โรคมะเร็งก็อาจจะมาจากการดำเนินชีวิตที่ผิด มีจิตใจที่เครียดเป็นต้น โรคความดันโลหิตสูง อะไรต่างๆ เหล่านี้ก็เป็นเรื่องที่เป็นปัญหาของมนุษย์ โดยเฉพาะเรื่องโรคเครียด ซึ่งเป็นโรคที่ส่อไปถึงปัญหาทางด้านจิตใจ นี่ก็ปัญหาของมนุษย์ทางด้านสังคม ทางด้านชีวิตจิตใจ แล้วสุดท้ายปัญหาที่ไม่เคยมีก็คือปัญหาธรรมชาติแวดล้อม โลกนี้จะพินาศ จะวิบัตอ จะอยู่ไม่ได้ ก็เลยกลายเป็นว่าอารยธรรมเจริญสูงสุด ก็คือมนุษย์ได้ปัญหาครบถ้วนทุกประการ พอมนุษย์ได้ปัญหาครบถ้วนทุกประการ ทั้ง 3 อย่าง ทั้งปัญหาชีวิตมนุษย์ ปัญหาสังคม ปัญหาสิ่งแวดล้อมธรรมชาติทั้งโลกแล้ว คราวนี้ปรากฏว่าวิทยาศาสตร์ที่เจริญ ไม่สามารถแก้ปัญหา 3 อย่างนี้ เอาละสิ สร้างขึ้นมานี้ สร้างความเจริญให้เกิดปัญหาครบ ถ้าสร้างปัญหาครบแล้วแก้ปัญหาอะไรไม่ได้สักอย่าง
แก้ปัญหาสภาพแวดล้อมก็ไม่ได้ เพราะปัญหาสภาพแวดล้อมเกิดจากการที่มนุษย์เอาวิทยาศาสตร์ไปใช้ ที่จริงก็คือใช้เทคโนโลยีผิดทาง แล้วก็ปัญหาสังคมก็ยิ่งมีอาวุธยุทโธปกรณ์ที่จะทำลายกันร้ายแรง แล้วก็มีเครื่องมือ มีพวกไฮเทค เข้ามาช่วยในการก่อการร้ายทั่วโลกอีก แก้ปัญหา ระวังปัญหา ป้องกันได้ยาก แล้วปัญหาจิตใจก็ลึกซึ้งอย่างที่ว่า เดี๋ยวนี้ก็กลายเป็นแผ่ไปทั่ว ประเทศไทยไม่เคยมีโรคเครียด เดี๋ยวนี้ก็พลอยมีกับเขาไปด้วย ไปกันใหญ่เลย รวมความก็คือว่ายุควิทยาศาสตร์นี้เป็นยุคที่เจริญกันใหญ่ กลายเป็นว่าเป็นความเจริญทางด้านวัตถุ ที่เล็งมุ่งหมายไปด้านเศรษฐกิจ เอาเศรษฐกิจเป็นจุดหมาย เสร็จแล้วก็ทำให้มนุษย์ประสบปัญหาครบถ้วนทุกประการ พร้อมกันนั้นก็ไม่สามารถแก้ปัญหาได้สักอย่างเดียว อันนี้ก็เป็นความผิดหวังที่ทำให้มนุษย์จำนวนมากนี่เริ่มหาทางออก ปฏิกิริยาก็เกิดขึ้น ตีซะว่าประมาณ 50 ปีมาแล้ว เขาก็ไปมองดูที่เมืองฝรั่ง ที่เมืองอเมริกา ที่เป็นผู้นำในความเจริญยุคปัจจุบัน เราก็จะเห็นระลอกแห่งความตื่นตัวแสวงหาทางใหม่ ซึ่งแสดงออกในลักษณะที่เป็นปฏิกิริยา เป็นการผละ เป็นการทิ้ง หรือเป็นการที่จะปฏิวัติสังคม ปฏิวัติวัฒนธรรมของเขาเอง พอหันไปดูสัก 50 ปีมาแล้ว ก็เท่ากับของเราก็ พ.ศ. 2500 ที่เรียกว่า 25 พุทธศตวรรษ เราบางคนก็เรียกว่ากึ่งพุทธกาล ซึ่งเป็นภาษาที่ไม่ถือเป็นทางการ ใช้ไม่ได้ ทีนี้ตอนยุคนั้นของฝรั่งก็คือ อยู่ในราว ค.ศ.เท่าไหร่ 1950 ยุคนี้เราจะเห็นเลยว่าฝรั่งเริ่มมีความเคลื่อนไหว โดยเฉพาะในคนรุ่นใหม่ พวกหนุ่มสาวนี่แหละ หนุ่มสาวก็คือคนที่จะมาเริ่มยุคใหม่ แล้วพวกนี้จะมีความรู้สึกไวต่อความเป็นไปของสังคม เขาก็เห็นว่าสังคมอเมริกันที่สร้างกันมา เป็นสังคมของพ่อแม่ปู่ย่าตายายของเรา ซึ่งเราเคยคิดเป็นสังคมใหม่นั้น ตอนนี้มันเป็นสังคมเก่าไปแล้วสำหรับเด็กรุ่นใหม่เหล่านี้ สังคมเก่าของเขา พ่อแม่เป็นยังไง พวกนี้ก็เห็นว่าไม่เป็นสังคมที่ดีเลย มีปัญหามีความทุกข์มาก มนุษย์แต่ละบุคคลนี่เป็นทาส เขาเรียกว่า mass society individual นี้ เป็นทาสของ mass society มีปฏิกิริยาขึ้นมา ต้องหาทางออกทางด้านจิตใจ ที่เขาเรียน spiritual อย่าไปหลงติดกับด้านวัตถุ material อย่างเดียว ฉะนั้นก็เลยกลายเป็นว่าตอนนี้ตีกลับแล้ว จากการที่เอาแต่วัตถุ material เป็นพวก materialistic ตอนนี้หันไปทาง spiritual ใหม่แล้ว ซึ่งเกิดยุคที่เราอาจจะเรียกว่าฝรั่งเข้าสู่ยุค spiritual quest ก็ได้ spiritual quest ก็คือการแสวงหาทางด้าน spirit ทางด้านที่เขาแปลปัจจุบันว่าจิตวิญญาณ สมัยก่อนก็ใช้แค่วิญญาณ ซึ่งก็เป็นศัพท์ผิดทั้งนั้น วิญญาณก็ผิด เพราะว่าทางพุทธศาสนา บอกเมื่อกี้แล้วว่าวิญญาณเราใช้เพี้ยนไปเอง ถ้าใช้ศัพท์ไทยก็คือ เป็นการแสวงหาเรื่องผีนั่นเอง ต่อไปแสวงหาเรื่องผีๆ กันอีก ถ้าเป็นเรื่องผีแท้ๆ ไม่เป็นไร ก็หมายความว่าเป็นเรื่องลึกลับ มองไม่เห็นเลยไปหาตัวแทนตัวจริงของมนุษย์ แต่ทีนี้ถ้าเป็นคนผีนี่ไม่ดี คนผีๆ คือหมายความว่าจะเป็นคนก็ไม่ใช่ เป็นผีก็ไม่ใช่ ถ้าผีแท้ก็ดี คนแท้ก็ดี เอาละ ทีนี้คนก็กลับไปหาเรื่องผีกันใหม่ ตอนนี้เริ่มยุคแรกพวกนี้ที่เด่นขึ้นมา เขาเรียกว่าพวก beat generation ใครเคยได้ยินบ้าง beat generation นี่ในอเมริกาก็เกิดในยุค พ.ศ.2500 ค.ศ.1950 เศษๆ พวกนี้ก็มีการแสวหา มีการเดินทางทาง spiritual จะเรียกว่า spiritual travel ก็ได้ เดินทางจาริกไปทางจิตหรือจิตวิญญาณ หรือก็แล้วแต่จะชอบ แล้วพร้อมกันนั้นเขาก็เลยไม่อยากเป็นทาสของสังคมของเขานั้นด้วย พวกนี้ก็นอกจากว่าเดินทางทางด้านจิต แล้วเดินทางทางด้านวัตถุ ด้วยรูปธรรมด้วย พวกนี้ก็จะชอบเดินทางไป เดินทางไปโน่นไปนี่ ได้ไปแสวงหา ยุคนั้นจะเป็นพวกฝรั่งรุ่นหนุ่มที่ไปเที่ยวทำ ??? ตามข้างถนนไฮเวย์ ถ้าคนรุ่นเก่าๆ จะนึกออก เมืองอเมริกันสมัยนั้น พวก???ก็ยืนอยู่ข้างๆ ไฮเวย์ แล้วก็ยกกำปั้นขึ้นมา แล้วก็กระดกนิ้วไปกระดกนิ้วมา ทำท่าดู ถ้าใครเคยเห็นก็ทำ พวกนี้ก็คือว่าเป็นสัญญาณให้ช่วยรับ คนใจดีก็รับไป เขาก็เที่ยวไปเมืองโน้นเมืองนี้ อาศัยเดินทางฟรี พวกเด็กหนุ่มๆ สมัยนั้น พวกนี้ก็เป็นพวก beat generation ซึ่งเป็นการแสวงหาทางด้านจิตใจ spiritual quest ตอนนี้ก็หมายความว่าฝรั่งเริ่มแล้ว ปฏิกิริยาต่อวัตถุสังคมนิยม แล้วก็ด้านจิตใจ แต่ทีนี้มนุษย์มีความโน้มเอียงอย่างหนึ่ง คือชอบไปสุดโต่ง พอไปสุดโต่งอย่างสมัยก่อนนี้ อย่างที่บอก ก่อนเข้าวิทยาศาสตร์ก็สุดโต่งทางด้านจิต แล้วก็มาเข้ายุควิทยาศาสตร์ก็มาสุดโต่งทางด้านวัตถุ พอสุดโต่งทางด้านวัตถุ ตีกลับอีก จะไปสุดโต่งทางจิต ทีนี้ก็ยุคแสวงหาก็เริ่มขึ้น ต่อจากพวก beat generation พ.ศ. 2500 หรือ ค.ศ.1950 ต่อมา ค.ศ. 1960 กว่า แถวๆ 1965 เป็นต้นมา ก็เทียบของเราก็ พ.ศ. 2510 มา ยุคนี้ก็จะเป็นยุคฮิปปี้ หลายท่านก็คงได้ยิน ฮิปปี้นี้ก็คงเป็นเช่นเดียวกัน คือเบื่องหน่ายสังคม ปฏิเสธสังคมอเมริกันของพ่อแม่ว่า อยู่กันไปทำไมไม่เห็นมีความสุข วันๆ ตื่นขึ้นมาก็ได้แต่ตะลอนๆ รีบวิ่งไปซอกๆๆๆ หาเงินหาทอง เสร็จแล้วเงินทองมันก็ไม่ได้ให้ความสุขแท้จริง แล้วก็ไปนั่งตั้งท่าแต่งตัว ใส่ชุดสากลบ้าง ผูกเนคไทบ้าง แล้วก็ต้องนั่งสำรวมระวังกิริยาอาการในห้องแอร์หรือห้องอะไรก็แล้วแต่ เรื่องอะไรไปอยู่กับสิ่งเหล่านี้ไม่เห็นมีความหมาย ไม่เห็นมีความสุขอย่างแท้จริง พวกนี้บอกว่าเราไปนอนกลางดินกินกลางทรายกันดีกว่า เสื้อผ้าก็ไม่ต้องซักไม่ต้องรีด ผมก็ไม่ต้องตัด อยู่กันตามสบายเป็นธรรมชาติ บอกว่าเข้าถึงธรรมชาติดีกว่า ไอ้พวกนี้พวกที่เจริญทางวิทยาศาสตร์มันแปลกแยกจากธรรมชาติ พวกนี้ก็บอกว่าต้องเข้าถึงธรรมชาติ ก็เลยแสวงหาทำตัวเป็นฮิปปี้ สร้างคอมมูนของพวกตน นี่ก็เป็นการแสวงหาทางด้านจิตเหมือนกัน ก็มาจนกระทั่งต่อมาก็จะถึงยุคปัจจุบันก็มีพวกเรกเก้ ใช้ดนตรีอะไรต่างๆ เหล่านี้ ที่มีพวกดีเจอะไรเนี่ย มีความสืบทอดมาจากพวกเรกเก้ พวกนี้ก็เอาสิ่งเหล่านี้ เช่นเรื่องดนตรี มาเป็นเครื่องมือในการที่จะนำตัวเข้าไปสู่เรื่อง spiritual นี่ก็คือเรื่องของหลักที่พยายามแสวงหาทางด้านจิตใจ ที่เขาได้ผิดหวังมา แล้วรู้สึกว่าขาดไป ในระหว่างนี้ก็มีพวกอื่น ซึ่งแสดงถึงการดิ้นรนของตะวันตก ฝรั่งนี่เป็นนักดิ้นอย่างหนึ่ง แกดิ้นรนเก่งมาก แล้วทำให้เกิดความเจริญ เป็นพวกที่อยู่ไม่อยู่สุข ไม่อยู่นิ่ง อันนี้ก็เป็นลักษณะที่ดี ถ้ามองในแง่เราก็เรียกว่าเป็นลักษณะด้านหนึ่งของความไม่ประมาท เป็นส่วนที่ดี แต่ว่าเป็นความไม่ประมาท ซึ่งอาจจะเป็นเพียงความดิ้นรนของจิตใจ ซึ่งไม่ใช่ความไม่ประมาทแท้ ความไม่ประมาทแท้ก็เกิดจากความมีปัญญา รู้ในเหตุผล แล้วก็จึงดิ้นรนขวนขวายเพื่อจะแก้ปัญญาด้วยความรู้ความเข้าใจ แต่อันนี้เป็นการดิ้นรนเพื่อความต้องการทางด้านจิตใจ หรือดิ้นรนไปเพราะความอยากความปรารถนาของตัวเองเท่านั้น ก็พวกฝรั่งในยุคอย่างที่ว่านี้ spiritual เป็นยุคที่ยาวมากว่าครึ่งศตวรรษแล้ว ในระหว่างนี้เขาก็มีการแสวงหาอย่างอื่นด้วย อย่างที่ว่าพวก beat generation มาถึงฮิปปี้ มาเรกเก้ ในระหว่างนี้ก็มีพวกแสวงหาต่างๆ บางพวกก็กลับไปหาศาสนาเดิมของเขา ศาสนาคริต์ เพราะทำให้ระยะหลังนี้ศาสนาคริสต์เองก็เริ่มขึ้นมา เขาก็จะมีสถิติบอกว่า คนนี่ได้กลับไปสนใจศาสนามากขึ้น แต่ว่าก็ไม่พอหรอกเพราว่าหลายพวก พวกแสวงหาต่างๆ พวกแสวงหาพวกหนึ่งก็คือไปทางด้านโบราณ ไปหาแม่มดหมอผี ไปเรื่องไสยศาสตร์ มีกระทั่งอย่างนายคาร์ลอส คาสตาเนดา บางท่านคงจำได้ เขาเขียนหนังสือออกมา เขาเป็นนัก anthropologist ของอเมริกัน เกิดในต่างประเทศ แล้วก็ไปศึกษาไปฝึกเรื่องทางด้าน spiritual ซึ่งเราเรียกได้ว่าพ่อมด เป็นเรื่องพ่อมดหมอผีนั่นเองของพวกอินเดียนแดง ตอนนี้อินเดียนแดงเกิดฐานะดีขึ้นแล้วแหละ แต่ก่อนนี้พวกฝรั่งดูถูกมากว่าพวกอินเดียนแดงนี้เป็นพวกล้าหลัง ไม่เจริญ ต่อมาพอยุควิทยาศาสตร์ ชักจะทำให้คนผิดหวัง คนเริ่มหันหลังให้วิยาศาสตร์มากขึ้น ฝรั่งบางพวกนี้ปฏิเสธเลย ไม่เอาวิทยาศาสตร์ ไปเอาเทคโนโลยีทั้งนั้น เทคโนโลยีแกไม่ยอมใช้เลย แกจะอยู่กับธรรมชาติ ตอนนี้พวกอินเดียนแดงซึ่งเป็นพวกล้าหลังทางวิทยาศาสตร์ เป็นพวกที่อยู่กับธรรมชาติมานี่ ก็ทำให้ฝรั่ง อย่างน้อยพวกหนึ่งก็ไปยกย่องสรรเสริญ หนึ่งก็คือเรื่องของธรรมชาติแวดล้อม พวกนี้อยู่กับธรรมชาติ รักษาธรรมชาติดี อย่างท่านอัล กอร์ ที่เป็นรองประธานาธิบดีอเมริกันคนที่แล้ว ก็เคยเอาข้อความของอินเดียนแดงหวหน้าเผ่าคนหนึ่งชื่อว่าซีแอตเติล หัวหน้าเผ่าอินเดียนแดงซีแอตเติล ซีแอตเติลก็มาเป็นชื่อเมืองสำคัญในรัฐวอชิงตัน ที่อยู่ตะวันตกเหนือสุดของอเมริกา เหนือแคลิฟอร์เนีย เหนือ
ออริกอนขึ้นไป ทีนี้หัวหน้าเผ่าอินเดียนแดงซีแอตเติลเนี่ยเคยถูกติดต่อจากประธานาธิบดีอเมริกัน ประธานาธิบดีท่านนี้ขอซื้อที่ดิน คืออเมริกันนี่ซื้อที่ดินจากอินเดียนแดงคงจะหลายครั้ง แม้แต่ก่อนอเมริกันซื้อก็มี อย่างพวกฮอลันดาก็ซื้อเกาะแมนฮัตตัน เกาะแมนฮัตตันที่เป็นศูนย์กลางของเมืองนิวยอร์ก หรือเขาเรียกว่าศูนย์กลางเศรษฐกิจของโลกเนี่ย ก็พวกฝรั่งนี่ไปซื้อ พวกดัชต์พวกฮอลันดาไปซื้อจากอินเดียนแดง ด้วยราคา 24 เหรียบเท่านั้น อันนี้อเมริกันก็นอกจากรบแย่งชิง
ดินแดน แล้ววิธีหนึ่งก็คือซื้อ ทีนี้ก็ติดต่อเจรจาขอซื้อที่ดินจากหัวหน้าเผ่าซีแอตเติล ซีแอตเติลก็เขียนตอบมา ข้อความในนั้นมีตอนหนึ่งก็บอกว่าอะไรกันนี่ท่านจะซื้อผืนดินเหรอ พวกข้าพเจ้าไม่เคยรู้จัก ผืนดิน แผ่นฟ้า มนุษย์เอามาซื้อขายได้ด้วยหรือ พวกเขาไม่เคยรู้เคยเห็น แปลก มนุษย์อะไรเนี่ย มันเป็นธรรมชาติมันก็อยู่ของมัน มนุษย์เอามาซื้อมาขยายกัน นี่แหละพวกฝรั่งก็ว่าพวกอินเดียนแดงนี้มันโง่จริง เขาไปถึงไหนแล้วที่ดินเขาก็ซื้อกันซื้อขายกันนะ แต่มาตอนนี้พอยุคที่มนุษย์ผิดหวัง เกิดปัญหา ธรรมชาติแวดล้อม สิ่งแวดล้อมเสีย พวกฝรั่งนี่กลับไปยกย่องอินเดียนแดง ตอนนี้เอาจดหมายตอบของหัวหน้าเผ่าซีแอตเติลอินเดียนแดงเนี่ย เอามายกย่อง เอามาโค้ตในหนังสือเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมในอเมริกันนี่หลายเล่ม รวมทั้งอัล กอร์นี้ด้วย อัล กอร์นี่จะเขียนหนังสือชื่อว่า The earth in the balance โลกในภาวะดุลยภาพ ท่านผู้นี้ก็ยกข้อความของซีแอตเติลเอามาโค้ตไว้ บอกให้รู้ว่าเนี่ย คนอินเดียนแดงเขาอยู่กับธรรมชาติ คนที่เขามีวิถีชีวิต มีความคิดสอดคล้องกับความเป็นจริงของธรรมชาติ ก็มีความเห็นอย่างนี้ กลายเป็นว่าตอนนี้คนอเมริกันนี่หันไปยกย่องให้เกียรติพวกอินเดียนแดงแล้ว นอกจากนี้ก็มีพวกกลับไปแสวงหาทางด้าน spiritual ที่ว่านี้ ก็อย่างคาร์ลอส คาสตาเนดา ก็ไปเรียนไปฝึกเรื่องวิชาทางด้านที่เราเรียกว่าไสยศาสตร์ เรื่องการปฏิบัติต่อผี ไปเรียนพวกพ่อมดนั่นเอง เรียนพ่อมดหมอผีมา แล้วก็มาเขียนเป็นหนังสืออะไรต่างๆ เหล่านี้ นี่ก็คือจะเป็นจริงไม่เป็นจริงก็แล้วแต่ บางทีเขาก็ว่าพวกนี้เขียนเกินความจริง exaggeration ไป แล้วรวมความก็เป็นอันว่าพวกฝรั่งนี่ก็แสวงหาทางด้านจิตใจกันใหญ่ นี่ก็ไปด้านหนึ่งก็ไปหาพวกอินเดียนแดง แล้วพวกพ่อมดหมอผีก็กลับมาเฟื่องฟูขึ้นมาอีก ไสยศาสตร์กลับมา โหราศาสตร์กลับมา ทีนี้พวกผีเหล่านี้ถ้าเป็นสมัยพวกคริสต์เจริญ ตอนนั้นจับฆ่าหมด ตอนนี้มีเสรีภาพทางศาสนา ตอนนี้ก็เลยแสวงหากันใหญ่ ทีนี้อีกพวกหนึ่งก็มาแสดงหาทางด้านตะวันออก ก็ได้ยินรู้กันอยู่ว่าทางด้านตะวันออกเนี่ย เจริญ มีความชำนาญพิเศษทางด้านจิตใจ แทบจะตรงข้ามกับฝรั่งที่ไปทาง material ตะวันออกนี้เป็นผู้ชำนาญพิเศษทางด้านspiritual ก็คือทางด้านจิตใจ ฝรั่งจำนวนไม่น้อยก็เลยหันมาสนใจตะวันออก โดยเฉพาะตะวันออกมาชื่อเสียงมากทางด้านสมาธิ โยคี ฤษี ต่างๆ แล้วก็รวมทั้งทางพุทธศาสนา พระของเราด้วย รวมทั้งทางมหายาน ทางญี่ปุ่น นิกายเซน นี่โดดเด่นมากเรื่องสอนสมาธิ นำเขาเลยตอนระยะแรกๆ แล้วต่อมาก็พวกธิเบต ก็นำเอาการสอนสมาธิเข้าไป ฝรั่งหันมาสนใจกันมากมาย อันนี้เป็นยุคของการแสวงหาทางด้าน spiritual ทั้งนั้นเลย ทีนี้ฝรั่งก็หันมาทางด้านตะวันออก มาทางด้านสมาธินี่แหละ เริ่มเข้ารูป ช่วงนี้เป็นช่วงที่เราจะเห็นว่ามีพวกนอกจากนิกายเซน แล้วก็ต่อมาก็ธิเบต แล้วในระหว่างนั้นก็พวกทางอินเดีย เช่น โยคี ต่างๆ นี่เข้าไปมาก โยคีต่างๆ นี้ไปไหน คนฝรั่งจะตามไปขอความรู้ ไปขออะไรต่างๆ อาตมาเคยไปตอนแรกๆ ไปเดินอยู่ที่ไหน นิวยอร์ก หรือวอชิงตัน หรือที่ไหนก็ไม่ทราบ ฝรั่งเข้ามาเลย บอกท่านๆ ช่วยผมหน่อยได้ไหม ผมมองเห็นเป็นงูมาหานี่จะแก้ยังไง เขาปฏิบัติทางด้านสมาธิแล้วก็เกิดมองเห็นขึ้นมา พอเห็นพระ เห็นโยคี เห็นอะไรต่างๆ ฝรั่งตื่น ตอนนั้นก็เป็นแฟชั่นเลย แล้วก็เป็นอันว่าเรื่องของตะวันออกไปนี่ เรื่องสมาธินี่เป็นที่สนใจกันอย่างยิ่ง ความสนใจนี้ก็ค่อยมีเหตุผลมากขึ้นๆ ตอนแรกเป็นความตื่นแบบแฟชั่นอย่างที่ว่าเมื่อกี้ ทีนี้ก็ถือว่าความสนใจนี่ชักลงตัว มีความสนใจทางด้านสมาธิอะไรต่างๆ เหล่านี้ แต่กระแสนี่ก็จะไป ถ้าเราศึกษาสังคมตะวันตกเราจะเห็นความเจริญ การแสวงหาของเขา นอกจากพวกมีสมาธิอะไรต่างๆ ตอนนี้บางคนก็ไปทำเป็นกระบวนการใหญ่ อย่างพวกฮะเรคริชณะ สมัยเมื่อยุคนั้นแหละใกล้ๆ ต่อจากพวกฮิปปี้ ก็มาพวกฮะเรคริชณะ ก็คือพวกฝรั่งหนุ่มสาวที่ไปเข้าขบวนการของฮินดู ของพวก เว-ทัน-ตะ ฮินดูไป ก็มีสวามีท่านหนึ่งไปตั้งกลุ่มสอนขึ้นมาแล้วก็พวกฝรั่งนี่ก็เข้ามาหา แล้วหนุ่มสาวก็เข้ามาอยู่ด้วยจนกระทั่งละทิ้งพ่อแม่ เกิดเป็นเรื่องเป็นราวในสังคมฝรั่ง พ่อแม่ไปหาทนายให้มาช่วยเอาลูกกลับมา ลูกไม่เรียนหนังสือแล้ว ไปอยู่กับฮะเรคริชณะ เลิกแต่งกายแต่งเสื้อผ้าอย่างตะวันตก ไปนุ่งโรตีแบบแขก แล้วก็ไว้ผมเปีย โกนผม ทาหน้าเป็นสีต่างๆ สีขาว สีแดง แล้วก็ถือฉิ่งถือกลองคล้ายๆ กับกลองยาว ไปเต้นตามสี่แยก ไปเต้นตามหน้าตึกมหาวิทยาลัย เช่นโคลัมเบีย เป็นต้น ตอนนั้นเป็นยุคนี้แหละ ก็คือเรื่องราวของฝรั่งที่เขาแสวงหาทางด้าน spiritual แต่อันหนึ่งที่น่าสังเกตก็คือว่า ในขวนการเหล่านี้ จะเป็น beat generation ก็ดี พวกฮิปปี้ก็ดี แล้วก็พวกเรกเก้เนี่ย อันหนึ่งก็คือว่าพยายามจะเข้าถึงจุดหมายทางด้าน spiritual หรือทางด้านจิตนั้นด้วยยาเสพติด เช่น กัญชา เป็นต้น เพราะฉะนั้นกัญชาก็เริ่มเฟื่องตอนนั้น อย่างพวก beat generationก็ใช้มา พวกฮิปปี้ก็ใช้ อย่างยุคฮิปปี้นี่จะมีพวกที่ใช้ LSD ด้วย อันนี้ก็เป็นเรื่องว่าฝรั่งเขาแสวงหากันไปต่างๆ เสร็จแล้วมันก็คือเรื่องที่จะเข้าถึงตัวแท้ตัวจริงของมนุษย์ ก็คือตัวผีนั่นเอง spirit ที่ว่านี้ จะทำยังไง เพราะว่าด้านวัตถุด้านกายภายนอก มันไม่เพียงพอแล้ว นี่ก็คือเรื่องที่เราควรจะรู้ความเป็นมาของฝรั่งก็ผ่านมาอย่างนี้ แล้วทีนี้เรามาดูว่าสังคมหรือโลกทั้งหมดที่มีแนวโน้มมีกระแสความเป็นไปอย่างนี้ บทเรียนที่เราควรจะได้ก็คือว่าระวังอย่าไปสุดโต่ง ฝรั่งนี่ก็ไปสุดโต่งทางจิต แล้วปฏิกิริยาก็ไปสุดโต่งทางวัตถุ มาวิทยาศาสตร์ เป็นยุคความเจริญทางอุตสาหกรรม แล้วก็จะตีผละออกไป ดีไม่ดีก็เป็นสุดโต่งทางด้านจิตใจ ไป spiritual อีก จึงเป็นเรื่องที่ต้องระวัง ถ้าเราหันมาดูทางพุทธศาสนาก็คือว่า ทางพุทธศาสนาสอนหลักสายกลาง ความจริงความสุดโต่งทางด้าน material หรือวัตถุ และทางด้านจิตspiritual เนี่ย มันก็มีตั้งแต่ก่อนพุทธกาลแล้ว ก็คือบทเรียนที่ทำให้พระพุทธเจ้าได้ทรงประกาศมัชฌิมาปฏิปทา หรือทางสายกลางนั่นเอง ฉะนั้นพวกกษัตริย์ เศรษฐีสมัยก่อน ก็แสวงหาวัตถุกัน มีความเจริญ มีความพรั่งพร้อมทางวัตถุ มีความมัวเมาลุ่มหลงระเริง อีกพวกหนึ่งก็เกิดปฏิกิริยาเบื่อหน่ายมองไม่เห็นความหมายของความเจริญพรั่งพร้อมทางวัตถุ ก็ออกไปอยู่ป่า ตัดขาดจากสังคมไปเป็นฤษีชีไพร ไปเล่นฌานกีฬา ก็คือเล่นฌาน สนุกทางจิตไป ได้ฌานแล้วพวกนี้ก็มีความสุขแต่ว่าไม่เอาเรื่องทางสังคม ตัดขาดเรื่องทางสังคมไปเลย สุดโต่งอย่างนี้พระพุทธเจ้าทรงเห็นแล้ว ไม่ต้องมาเอาในสังคมตะวันตกปัจจุบันหรอก อินเดียมีมาก่อน พระพุทธเจ้าทรงแสวงหาเช่นเดียวกัน จะถือว่าพระองค์ประสูติและเกิดขึ้นในยุคการแสวงหาทางด้านจิตเหมือนกัน พระองค์ก็ได้ออกไปทรงแสวงหาอย่างนี้ถึง 6 ปี ก่อนไปตรัสรู้ เสร็จแล้วก็ทรงประกาศว่าอันนั้นเป็นที่สุด 2 อย่าง แล้วพระองค์ก็ประกาศทางใหม่ที่ว่ามัชฌิมาปฏิปทา ทีนี้เราก็มาดูว่าเราจะจัดการกับสิ่งเหล่านี้ ปฏิบัติต่อมันให้พอดีได้อย่างไร ที่จริงมันก็เป็นความจริงทั้งคู่ วัตถุเป็นเรื่องจริงที่เราต้องเกี่ยวข้อง จิตใจก็อยู่ตัวเรา เราก็ต้องเกี่ยวข้อง ใช่ไหม จะปฏิบัติกับมันให้ถูกต้องอย่างไร ไม่ใช่ปฏิเสธสุดโต่ง ละทิ้งอันหนึ่งไปหาอันหนึ่ง อย่างเต็มที่เด็ดขาดสิ้นเชิง ซึ่งเป็นไปไม่ได้ ไปๆ มาๆ ก็กลายเป็นหลอกตัวเองไป ทีนี้เราก็หันมาดูที่ตัวคนคนเราก็อย่างนั้นก็คือมีกายกับใจ กายกับใจมนุษย์มีสองส่วนนี้ กายกับใจถ้าไปทางวิทยาศาสตร์ ก็คือแกผละทางด้านจิตใจ เพราะแกไม่ยอมรับความจริงด้านนี้เลย พอไปผละทางด้านจิตใจแล้วสิ่งที่วิทยาศาสตร์สร้างขึ้นมาก็เป็นวัตถุภายนอก ซึ่งมาสนองปรนเปรอทางด้านร่างกาย สิ่งที่วิทยาศาสตร์ไปช่วยเทคโนโลยีให้พัฒนาขึ้นมา เป็นเรื่องวัตถุ มันกลับมาทำให้มนุษย์นี้เหมือนกับว่าถูกแยกส่วนออกไปเป็นสองซีก คือไปหลงกับวัตถุ มีความแปลกแยกจากชีวิตของตัวเอง จากจิตใจของตัวเอง แล้วเกิดแยกกับสภาพแวดล้อม เกิดโลกของมนุษย์ขึ้นมา เป็นสังคมของมนุษย์อันหนึ่งซึ่งคนในยุคปัจจุบันที่ผ่านมานี่ บางคนนี่เกิดมาแทบไม่เคยคำนึงถึงโลกที่แท้ที่ล้อมพวกมนุษย์อยู่ หรือล้อมโลกมนุษย์อยู่ก็คือธรรมชาติ เขามองอยู่แค่โลกมนุษย์เท่านั้นเอง มีชีวิตอยู่วันๆ ก็อยู่กับโลกของมนุษย์เนี่ย ฉะนั้นวิทยาศาสตร์ที่สร้างวัตถุให้เจริญขึ้นมาก็คือทำให้มนุษย์นี้เกิดความแปลกแยก ก็คือแปลกแยกจากโลกของธรรมชาติ มาอยู่กับโลกของมนุษย์ จะเป็นโลกแห่งความเจริญทางวัตถุ ซึ่งสร้างวัตถุขึ้นมาๆ แล้วก็มาบำรุงบำเรอ มนุษย์ก็มาหลงมัวเมาอยู่ในวัตถุเหล่านี้ แล้วภายในตัวเองมนุษย์ก็แปลกแยกจากจิตใจของตัวเองด้วย ด้านจิตใจก็ไม่คำนึง ไม่เรียนรู้ ไม่เอาใจใส่ ก็ไปอยู่กับวัตถุแล้วก็ร่างกาย แล้วต่อมาถ้าเราวิเคราะห์ให้ดี ส่วนที่ไปหลงวัตถุคืออะไร ก็คือใจนั่นแหละ ตกลงก็ใจนั่นเองไปหลงวัตถุ แล้วใจตัวเองก็เลยแปลกแยกจากตัวเอง ใจก็ไม่รู้ตัวเอง ทีนี้เราบอกแล้วว่ามนุษย์ที่เป็นกายกับใจเนี่ย ถ้าว่าไปแล้วมนุษย์นี่จะต้องรู้ตระหนักตัวเอง ว่ามนุษย์เราเป็นสุดยอดแห่งวิวัฒนาการธรรมชาติ ธรรมชาติวิวัฒนาการสูงสุดก็มาเป็นมนุษย์นี่แหละ ทีนี้มนุษย์ที่บอกว่าไปรู้ธรรมชาติ รู้ทั้งหมดๆ ในเมื่อมนุษย์เองนี่เป็นสุดยอด เป็นที่สุดของวิวัฒนาการทางธรรมชาติ ถ้าอย่างนั้นถ้ามนุษย์จะรู้จักธรรมชาติที่แท้จริงให้สมบูรณ์ ก็ต้องรู้จักตัวเองด้วยสิ ว่างั้น ใช่ไหม ถ้าไม่รู้จักตัวเองจะไปรู้จักธรรมชาติได้ยังไง เพราะวิทยาศาสตร์นี้ไม่มีทางเลย ยอมรับไหมว่ามนุษย์นี้เป็นวิวัฒนาการสูงสุดของธรรมชาติ ถ้ายอมรับคุณจะต้องรู้จักมนุษย์ รู้จักมนุษย์ต้องรู้จักยังไง รู้จักตัวคุณเอง เราเรียนรู้จักมนุษย์คนอื่น เราอาจจะบอกว่ารู้จักคนโน้นคนนี้ รู้ได้จริงไหม เราก็รู้แค่ร่างกายของเขา รู้เข้าไปถึงใจไหม ที่สุดก็ต้องรู้จักที่ตัวเอง ในที่สุดจะรู้จักธรรมชาติสมบูรณ์ ต้องรู้จักที่ตัวมนุษย์ แล้วก็ที่ตัวเราเอง อย่างที่พระพุทธศาสนาบอกว่า ปัจจัตตัง ในที่สุดก็หนีไม่พ้นต้องรู้จักตัวเองให้แท้จริง แล้วที่บอกว่าจะเอาชนะวิทยาศาสตร์ ตั้งความมุ่งหมาย congress of nature หรือ mastery over nature ??? ก็คือความหมายอย่างเดียวกัน ก็เป็นจุดหมายขอวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่จะเอาชนะครอบครองมีอำนาจเหนือธรรมชาติ การจัดการกับธรรมชาติได้ตามชอบใจ ทีนี้ถ้ามนุษย์เป็นสุดยอดของธรรมชาติ ถ้ามนุษย์จะเอาชนะธรรมชาติจริง ในที่สุดก็ต้องชนะตัวเองได้ ไม่มีทางเลี่ยง ฉะนั้นถ้าคุณจะเอาชนะธรรมชาติ ถ้าคุณยังเอาชนะตัวเองไม่ได้ จะเอาชนะธรรมชาติที่ไหน มันก็ไม่จบ จะไปโลกพระจันทร์ พระอังคาร ก็ได้ฝุ่นได้กรวดมา ใช่ไหม ได้ก้อนหินมาก็มาวิเคราะห์กันใหญ่ เสร็จแล้วตัวเองคนที่วิเคราะห์นั้น จิตใจของมันเป็นยังไงก็ไม่รู้อีก ไม่รู้จักตัวเองที่ไปเที่ยววิเคราะห์ให้ผู้อื่น ก้อนหินก้อนกรวดจากโลกพระจันทร์ อะไรพวกนั้นด้วย เป็นอันว่าต้องรู้จักตัวมนุษย์เอง รู้จักตัวเอง แล้วก็ต้องเอาชนะตัวเองให้ได้ ทีนี้เมื่อบอกว่ามนุษย์นี่ประกอบด้วยกายกับใจ แล้วบอกว่าเป็นสุดยอดแห่งวิวัฒนาการของธรรมชาติ เอ สัตว์อื่นมันก็มีกายกับใจเหมือนกันนะ แต่มันขาดอันที่สูงสุด วิวัฒนาการสูงสุดของมนุษย์มันอยู่ที่ปัญญา แล้วในกายกับใจที่ประกอบกันนี้ลึกลงไปในใจมีปัญญา เราดูเป็นชั้นๆ ในท่ามกลางสังคม เรามีบุคคล บุคคลก็มีชีวิต บุคคลนี้เป็นส่วนหนึ่งของสังคม ชีวิตเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ ในคนๆ เดียวนี้มีสองด้าน ด้านที่อยู่ในสังคมเป็นบุคคล ด้านที่อยู่ในธรรมชาติเป็นชีวิต ทีนี้คนแค่แยกระหว่างบุคคลกับชีวิต มนุษย์ยุคนี้ยังแยกไม่เป็นเลย ไม่รู้ว่าอันไหนเป็นความต้องการของชีวิต อันไหนเป็นความต้องการของบุคคล ถ้าแค่เขาแยกความต้องการของชีวิตกับความต้องการของบุคคลได้ เขามีความรู้เข้าใจชีวิตธรรมชาติเพิ่มขึ้น แล้วสามารถปฏิบัติจัดการกับตัวเอง เอาชนะสิ่งทั้งหลายได้มากขึ้นเยอะเลย ทีนี้แกนของชีวิตนี้ก็ไปด้วยจิตใจ พอไปที่จิตใจแล้วส่วนลึกที่จะทำให้มนุษย์มีวิวัฒนาการขึ้นไปสูงสุดที่จะรู้ธรรมชาติ รู้ตัวเอง ชนะทุกสิ่งทุกอย่างนั้น มันคือปัญญา ฉะนั้นในที่สุดจะต้องถึงปัญญา ปัญญาก็เป็นสุดยอดอีกทีหนึ่ง ตอนนี้มนุษย์นี่ไปแปลกแยกจากตัวเอง ใจตัวเองนี่แหละ ใจมนุษย์นี่แหละที่หลงวัตถุ ใจเลยไปอยู่กับวัตถุซะ เมื่อใจไปหลงวัตถุแล้ว มันก็เลยกลายเป็นว่า มนุษย์นี่กลายไปเป็นทาสของสิ่งภายนอก นึกว่าตัวเองเก่งไปจัดการกับธรรมชาติ จัดการกับวัตถุได้ มีความภูมิใจใหญ่เลย ทระนง หยิ่ง ว่าฉันเก่งมาก ฉันเอาชนะ จัดการกับธรรมชาติได้ เสร็จแล้ว ไปๆ มาๆ ต้องเป็นทาสของวัตถุ หมายความว่ายังไง คือว่าต้องอาศัยมัน ถ้าไม่มีมันแล้วฉันหมดความสุข มีชีวิตที่ดีไม่ได้ มนุษย์จะมีชีวิตที่ดีมีความสุข ต้องอาศัยวัตถุ ต้องอาศัยสิ่งภายนอก ไม่เป็นตัวของตัวเอง มนุษย์จะมีอิสรภาพที่แท้จริงนี้ จะต้องเป็นอิสระจากวัตถุเหล่านั้นได้ด้วย ก็หมายความว่าจะสามารถมีความสุขด้วยตัวเองมากขึ้น มาชีวิตที่ดีโดยพึ่งพาวัตถุน้อย สามารถเอาวัตถุมารับใช้ตัวเอง ไม่ใช่กลายเป็นว่าตัวเองไปพึ่งพาวัตถุ ในยุคที่วิทยาศาสตร์เจริญเมื่อไม่กี่ปีมานี้ มีปัญหากันมากว่ามนุษย์จะพึ่งพาเทคโนโลยี คือใช้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์พัฒนาเทคโนโลยีไป พัฒนาไปนี่กลายเป็นผู้พึ่งพา ก็เกิดความกลัวกันว่ามนุษย์จะต้องพึ่งพาเทคโนโลยีหลายด้าน พึ่งพายังไง พึ่งพา หนึ่ง-ในแง่การดำเนินชีวิต การดำเนินชีวิตต้องพึ่งพา รวมทั้งการทำงานด้วย แต่ก่อนนี้ทำงานด้วยมือ ด้วยความสามารถ ด้วยการพัฒนาอินทรีย์ ตา หู จมูก ลิ้น อะไรเนี่ย ให้มัคน มันชัด แล้วก็ทำงานได้ดี ต่อมาพอมีเทคโนโลยีมาช่วยก็พึ่งเทคโนโลยีแล้ว สิ่งที่พอจะทำได้ ทำไม่ได้ ต้องอาศัยเทคโนโลยีแล้ว เคยยกตัวอย่างบ่อยๆ อย่างแพทย์สมัยก่อนนี้ เขาก็ต้องฝึกอินทรีย์เขา คนที่อยู่กับตัวเอง อยู่กับธรรมชาติ ฝึกอินทรีย์ ดูคนไข้จนกระทั่งตานี่คม คนไข้เดินเข้ามานี่แทบจะบอกได้เลยว่าเป็นโรคอะไร อย่างน้อยจำกัดขอบเขตของโลกได้ พอมาก็ถามเจาะเลยว่าเป็นอย่างนี้ๆ ใช่หรือเปล่า หรือเป็นยังไง ถามเขา เดี๋ยวได้เรื่องแล้ว หรืออย่างหูก็เหมือนกัน อย่างช่างที่ชำนาญ ฟังเครื่องยนต์ผิดปกติ รู้เลยว่านี่จะผิดที่ตรงไหนส่วนไหน ในอินทรีย์ที่เฉียบคมเหล่านี้ ช่วยมนุษย์มาตลอด ต่อมาพอมีเทคโนโลยี มนุษย์ไม่พึ่งตัวเองแล้ว ไปพึ่งเทคโนโลยี ต่อไปนี้นะ ถ้าแพทย์ไม่รู้สำนึกตัว ก็จะต้องพึ่งเอกซเรย์ พึ่ง MRI พึ่ง MRA พึ่งเครื่องมือสารพัดแหละ ถ้าไม่มีเครื่องมือเมื่อไหร่ แพทย์วินิจฉัยโรคไม่ได้ อันนี้ก็แสดงว่าหมดอิสรถาพ เขาเรียกว่าการพึ่งพาเทคโนโลยีทางด้านการงาน แล้วการดำเนินชีวิตก็เหมือนกัน จะไปไหน ทำอะไร ทำไม่ได้แล้ว แม้แต่จะคิดเลขในใจ คิดไม่เป็นแล้ว เขามาซื้อสินค้าอยู่ในร้าน คิดราคาไม่ถูก ต้องไปเอาเครื่องคิดเลขมา เกิดเครื่องคิดเลขมันเสีย คิดไม่ได้ อย่างนี้เขาเรียกว่าพึ่งพาเทคโนโลยี เพราะฉะนั้นมนุษย์นี่จะต้องไม่ลืมตัวเอง ไม่ปล่อยให้ตัวเองนี่ไปพึ่งพาเป็นทาสเทคโนโลยี หมายความว่าเทคโนโลยีมีก็ดี มันมารับใช้เรา แต่ไม่มีเราจะต้องทำด้วยตัวเองได้ เราจะต้องฝึกต้องพัฒนาตนอยู่ตลอดเวลา หรือพึ่งพาในด้านความสุขก็เช่นเดียวกัน มนุษย์แต่ก่อนนี้ไม่มีอะไรเครื่องมือมากมาย ก็มีความสุขไป อาจจะมีความสุขมากพอสมควร ต่อมาต้องมีวัตถุโน้นมากขึ้น ต้องมี พวกสื่อ พวกโทรทัศน์ ทีวี วิดีโอ มีคอมพิวเตอร์ มีอะไรต่างๆ เหล่านี้ แล้วสิ่งเหล่านี้ก็ปรนเปรอ บำรุงบำเรอความสุข ต่อมาปรากฏว่าความสุขของเขาไปฝากกับสิ่งเหล่านี้ ต้องผ่านสิ่งเหล่านั้น ถ้าไม่มีสิ่งเหล่านั้นแล้ว มีความกระวนกระวาย ก็แสดงว่ามนุษย์สูญเสียความสามารถที่จะมีความสุขไป ก็หมดอิสรภาพ ก็กลายเป็นทาสพึ่งพาเทคโนโลยี ทั้งในแง่การดำเนินชีวิต การทำงานและความสุข ฉะนั้นแทนที่ว่าเทคโนโลยีจะมาเป็นทาสรับใช้ ก็กลายเป็นนายมนุษย์ไป มนุษย์ถ้ารู้จักตัวเองก็จะปฏิบัติต่อสิ่งเหล่านี้ได้ถูกต้อง แต่ว่าโดยแท้โดยจริงก็คือว่าตัวใจของตัวเองแหละที่ไปหลงวัตถุ แล้วก็ขาดปัญญาที่มาปลดปล่อยจิตใจ ปัญญาจะเป็นตัวปลดปล่อยจิตใจ ก็เลยทำให้เกิดปัญหากันขึ้นมา ฉะนั้นเราก็ต้องมาเรียกว่าตั้งหลักกันให้ดี ทีนี้ตั้งหลักกันให้ดี ในเมื่อใจของตัวเตลิดไป ไปหลงวัตถุเป็นต้นแล้ว เสียหลักแล้ว จิตใจก็หมดอิสรภาพ หมดพลัง ขาดความเข้มแข็ง เป็นจิตใจที่อ่อนแอ อย่างเดี๋ยวนี้พูดกันว่าทำไมคนฆ่าตัวตายมาก ไม่เฉพาะฆ่ากันตายนะ ฆ่าตัวตายก็มาก อย่างสังคมไทยสมัยก่อนนี่ฆ่าตัวตายยากมาก เรายังได้ยินฝรั่งเมื่อสมัยที่แล้ว เราได้ยินฝรั่งฆ่าตัวตายมาก ยังล้อกันว่าสังคมฝรั่งฆ่าตัวตายมาก สังคมไทยฆ่ากันตายมาก ฆ่าตัวตายกับฆ่ากันตาย เวลานี้ทั้งสองสังคมจะใกล้กัน ฝรั่งทั้งฆ่าตัวตายมาก ฆ่ากันตายก็มาก คนไทยก็ฆ่ากันตายก็ยังมากอยู่แล้วมากขึ้นด้วย แล้วยังแถมฆ่าตัวตายเพิ่มขึ้นไปอีก เลยฆ่ากันใหญ่ ตกลงก็มนุษย์นี่แหละตาย ก็เป็นเรื่องของความเสื่อมอย่างหนึ่งก็คือ ปัญหาของมนุษย์ ซึ่งแท้จริงไปอยู่ที่ปัญหาจิตใจ ที่ฆ่าตัวตายมันเรื่องจิตใจแล้ว ไม่ใช่เรื่องอื่น บางทีมีเงินมีทองมีวัยกำลังงดงามสุขสดใส มีกำลังเป็นหนุ่มเป็นสาว สมัยก่อนไม่มีทางเป็นไปได้จะมาฆ่าตัวตาย เดี๋ยวนี้ฆ่าตัวตาย เด็กหนุ่มสาววัยรุ่น เป็นเรื่องประหลาด ไม่ใช่เราประหลาดเท่านั้น ฝรั่งก็ประหลาดมาแล้ว ฝรั่งเมื่อสถิติถอยหลังไปซัก 6-7 ปีก่อน ฝรั่งก็วิตกกันมาก คือฝรั่งเขาก็ศึกษาของเขาเหมือนกัน เขาบอกว่าสมัยก่อนนี้ในยุคอุตสาหกรรมแท้ๆ คนแก่ฆ่าตัวตายมาก เพราะคนแก่ของฝรั่งนี่เหงาในยุคอุตสาหกรรมนี่ พวกหนุ่มสาวไปทำงาน ละทิ้งคนแก่ อยู่เปลี่ยวเปล่าเดียวดาย แกก็เหงา ฆ่าตัวตายกันเยอะ ทีนี้ต่อมาในช่วง 3-4 ปีต่อมา ก็เกิดมีสถิตใหม่ เป็นของสำนักงานสุขภาพแห่งชาติ เขาก็ออกสถิติมาบอกว่าช่วง 30 ปีนี้ เด็กวัยรุ่นหนุ่มสาวอเมริกันฆ่าตัวตายเพิ่มขึ้น 300 เปอร์เซ็นต์ ก็คือ 3 เท่า ตอนนั้นฝรั่งตกใจ ฝรั่งตกใจมาก หาคำตอบไม่ได้ เวลานี้ของไทยเราเป็นไง ของเราทำตามฝรั่ง ก็คือเรามีเด็กฆ่าตัวตายมากขึ้น เราก็ไม่ได้ทำสถิติชัดเจน ว่าฆ่าตัวตายเพิ่มขึ้นกี่เท่า อันนี้ปัญหาเหล่านี้เป็นเรื่องที่ว่า มันมากับความเจริญทางด้านวัตถุที่คนนี่ใจไม่อยู่กับตัว เตลิดออกไปหลงมัวเมากับวัตถุ ทีนี้เราก็ต้องตั้งหลักให้ดี ก็คือว่าคือใจต้องกลับมาตั้งหลักได้ ตั้งหลักก็คือต้องมาอยู่ที่ศูนย์กลาง ใจต้องมาอยู่ที่ศูนย์ ทีนี้ใจที่เตลิดเปิดเปิงก็เป็นใจที่ว้าวุ่น วุ่นวายสับสน เป็นใจที่ฟุ้งซ่าน เป็นใจที่กระวนกระวาย จนกระทั้งเป็นใจที่เครียด อันนี้คือจิตใจที่มันเสียศูนย์ จิตใจที่ไม่มีดุลยภาพ มันเตลิดออกไปแล้ว ทีนี้เราก็ต้องตั้งหลักให้มัน ใจก็ต้องกลับมาอยู่กับตัว ใจที่จะไม่วุ่นวายไม่สับสน ก็คือใจที่เราเรียกง่ายๆ คำศัพท์ว่า สมาธิ นั่นเอง เมื่อจิตเป็นสมาธิอยู่กับตัว ตั้งตัวได้ ก็คือจิตมันแน่วแน่ ตั้งหลักได้ คราวนี้หายฟุ้งซ่าน หายกระวนกระวาย ก็เป็นจิตที่ดี เป็นจิตที่เป็นสมาธิแล้ว จิตสมาธิอย่างนี้อยู่ในโลกของวัตถุ ก็อยู่ได้ดีขึ้น แล้วจะปฏิบัติจัดการกับวัตถุ ก็ปฏิบัติได้ถูกต้องขึ้น แล้วก็ไม่เป็นทาสของวัตถุ ไม่ต้องพึ่งพาวัตถุเกินไป เกินอัตราที่ควรจะพึ่งตามปกติในฐานะที่เป็นปัจจัย ทางพุทธศาสนาท่านบอกว่าพวกวัตถุ พวกเศรษฐกิจนี่เราต้องพึ่งมันเหมือนกัน แต่ว่าเป็นปัจจัยเท่านั้นนะ เป็นปัจจัยก็คือเป็นเครื่องเกื้อหนุน เราอาศัยมันเพื่อก้าวไปสิ่งที่ดีงามยิ่งขึ้นไป ไม่ใช่เป็นจุดหมาย มนุษย์ยุคปัจจุบันนี้ เอาเศรษฐกิจ เอาวัตถุเป็นจุดหมาย เพราะฉะนั้นก็เสียดุลเลย ทีนี้หัวเป็นหาง หางเป็นหัว เพราะฉะนั้นก็เสียหมดเลย อารยธรรม อารยธรรมนี้เอาวัตถุเป็นจุดหมาย พุทธศาสนาบอกเอาวัตถุเป็นปัจจัย ถ้าเราเอาวัตถุเป็นปัจจัยนี่เราไม่เสียดุลหรอก เราก็มารักษาจิตของเราให้มีหลักให้ดี แล้วเราก็ปฏิบัติจัดการกับวัตถุ เอามันมาเป็นปัจจัยรับใช้เราในการที่จะมาพัฒนาชีวิต มาพัฒนาสังคมให้มนุษย์ดีขึ้น ถ้าเราเอาไปเป็นจุดหมาย เราก็ต้องแย่งชิงกัน เราต้องเบียดเบียนกันเรื่อยไป ทีนี้พอตั้งศูนย์กลับมา ก็เอาเป็นว่าจะต้องมาทำจิตให้ได้หลักเป็นสมาธิอยู่ตัว จิตเป็นสมาธิ พูดง่ายๆ ก็คือเป็นจิตที่อยู่ตัวนั่นเอง ตั้งหลักได้ มีความเข้มแข็งแน่วแน่มั่นคง เมื่อมันไม่เตลิดเปิดเปิง ไม่พร่า ไม่กระจายแล้ว ก็แน่นอน ก็เกิดความเข้มแข็ง อันนี้ในภาวะนี้ที่เราเรียกว่าสมาธิ เพื่อให้เกิดความเข้าใจมากขึ้น ก็จะเอาหลักที่พระพุทธเจ้าสอนไว้มาพูดใหม่ สมาธินี่ความหมายหลักการของมันง่ายๆ ก็คือ การทำจิตให้อยู่กับสิ่งๆ เดียว หรือพูดง่ายๆ จิตอยู่กับสิ่งที่ต้องการ คือจิตคนจำนวนมากนี่ สิ่งที่ต้องการ สิ่งที่ควรจะอยู่ มันไม่อยู่แล้ว มันเที่ยวเตลิดฟุ้งซ่าน ไปโน่นไปนี่ แล้วถ้าเก่งก็อยู่ได้ตามต้องการ จิตอยู่กับสิ่งที่ต้องการได้ตามต้องการนี้ มีสมาธิ อันนี้เราก็ให้ความหมายว่าจิตแน่วแน่ ตั้งมั่น อะไรต่างๆ ก็จิตแน่วอยู่ในสิ่งเดียว แล้วพอมันมั่นมันแน่ว เป็นศูนย์กลางให้แล้ว พวกคุณสมบัติ องค์ประกอบทางด้านจิตอื่นๆ มันก็ไม่กระจัดกระจาย ไม่สับสน พร้อมที่จะทำงาน ตอนนี้พุทธศาสนาบอกว่าเป็นจิตที่พร้อมจะใช้งานได้ เรียกว่าเป็นจิตเป็นกัมมนียะ ศัพท์สำคัญ แล้วเราจะเอาจิตนี้ไปใช้ยังไงก็ได้ ถ้าไปใช้แต่วัตถุอย่างเดียวโดยไม่มาดูแล ไม่ได้มาปฏิบัติจัดการ เราจะให้วัตถุภายนอกใช้งานได้ดี เราก็ต้องไปเตรียม อย่างพวกอุปกรณ์ต่างๆ นี่ต้องไปตั้งศูนย์ทำให้ได้ดุล อย่างรถยนต์วิ่งให้ดีก็ต้องมีการตั้งศูนย์ ตั้งให้ได้ดุลอะไรกัน คนก็เหมือนกัน เราจะไปปฏิบัติจัดการกับวัตถุ ดำเนินชีวิตในโลก เราก็ต้องตั้งศูนย์ในจิตใจของเราให้ได้ดุลเหมือนกัน แล้วองค์ประกอบทางด้านจิตใจต่างๆ มันอยู่ที่แล้วมันพร้อมจะใช้งาน ทีนี้จิตที่พร้อมจะใช้งานก็เป็นลักษณะสำคัญของสมาธิ แต่ทีนี้พระพุทธเจ้ายังตรัสแสดงถึงลักษณะ หรือคุณค่าของสิ่งที่เป็นสมาธิ ซึ่งรวมได้เป็น 3 อย่าง ลักษณะของจิตที่เป็นสมาธิ ซึ่งเป็นประโยชน์ของมันด้วยเนี่ย
อันที่หนึ่งที่เราสนใจกันมากก็คือพลัง อย่างที่ตั้งหัวข้อวันนี้ก็บอกพลังจิต พลังสมาธิจิต เมื่อจิตมีสมาธิก็จะเกิดพลัง เกิดกำลังนั่นเอง เข้มแข็งมั่นคง เมื่อเกิดความแน่วแน่แล้วมันก็มั่งคงเข้มแข็งแน่นอน พระพุทธเจ้าตรัสเปรียบไว้ เหมือนกับน้ำที่ไหลลงจากที่สูง เอาง่ายๆ อย่างเคยยกอุปมาบ่อยๆ เหมือนอย่างกับเราหิ้วถังน้ำใหญ่ถังหนึ่งขึ้นไปบนยอดเนิน แล้วขึ้นไปถึงยอดเนินแล้วเราก็สาดโครมไม่มีจุดหมายเลย กระจัดกระจาย น้ำทั้งถังนั่นหายหมดเลย ไม่มีเหลือ ไม่มีความหมายอะไรเลย แต่ถ้าหากว่าเราเทน้ำถังใหญ่นั้น ลงในร่องในรางที่ไปทางเดียว น้ำนั้นจะมีกำลังมาก พัดพาเอาสิ่งที่ขวางหน้า เช่นกิ่งไม้ใบหญ้าไปหมดเลย อันนี้ก็เป็นอุปมาที่แสดงลักษณะของจิตที่เป็นสมาธิ ฉะนั้นจิตที่เป็นสมาธิก็จะมีคุณสมบัติที่ว่ามีพลัง มีความเข้มแข็งอันนี้ แล้วคนจะสนใจในแง่นี้มาก เรื่องพลังจิตที่เข้มแข็งจากสมาธิ เอาละนะ บางครั้งก็เปรียบเทียบ อย่างในอรรถกถาบางครั้งท่านเปรียบเทียบเหมือนอย่างกับแว่น เว่นขยายเนี่ย เอาไปกลางแจ้งที่แดด แล้วก็ใช้รวมแสง ทำให้แสงแดดรวมเป็นจุดเดียว แค่แว่นเล็กๆ เท่านั้น ทำให้ไฟลุกได้ อันนี้ก็เหมือนกับจิตที่เป็นสมาธิ รวมให้เป็นหนึ่งแล้วจะมีพลังแรงมาก แรงและเข้มแข็งมาก อันนี้คุณสมบัติที่หนึ่ง
อันที่หนึ่ง พระพุทธเจ้าตรัสว่าจิตเป็นสมาธิแล้วเนี่ย มันสงบด้วย มันนิ่ง พอมันนิ่ง มันไม่ฟุ้งซ่าน ไม่พลุ่งพล่าน ไม่กระวนกระวายก็เหมือนกับน้ำที่มันตั้งอยู่บนที่ที่มันหก ไม่มีลมพัดพาพัดพลิ้ว ไม่มีใครมาเขย่า น้ำนั้นแม้จะมีฝุ่นละอองปนอยู่ ไม่ช้าก็ตกตะกอน แล้วน้ำข้างบนก็จะใสหมด ในแล้วดียังไง ก็มองเห็นหมดสิ มีอะไรในน้ำก็มองเห็นหมด ทีนี้ถ้าเราไม่มีสมาธิ จิตไม่แน่วแน่ มันก็เหมือนกับว่าในจิตของเราเนี่ยมีอารมณ์ต่างๆ มีอะไรต่ออะไรเก็บไว้ ข้อมูลมากมายในจิตใจ มันก็พลุ่มพล่านขึ้นมา ปะปนกัน นึกอันโน้นที นึกอันนี้ทีหนึ่ง มันตีกันเอง มองอะไรเห็นอะไรไม่ชัดเจนสักอย่าง พอจะดูอันโน้น เจ้านี่ผ่านมาบัง อะไรอย่างนี่ ยิ่งคนที่ไม่มีสมาธิ เป็นใจฟุ้งซ่านมาก ก็เหมือนกับมีตะกอนพุ่งขึ้นมามากมายหมด มองไม่ค่อยเห็นอะไร ทีนี้พระพุทธเจ้าก็ตรัสเปรียบบอก เหมือนอย่างกับน้ำในลำธารหรืออะไรก็แล้วแต่ ที่ลงไปมีปู มีปลา มีกรวด มีอะไรต่ออะไรอยู่ แม้กระทั่งทรายเล็กๆ เป็นเม็ดอยู่ที่ท้องน้ำ หรือก้นแม่น้ำ หรือก้นคลอง ก็มองเห็นหมด อันนี้ก็คือคุณสมบัติของจิตที่เป็นสมาธิในแง่ที่ให้เกิดความใส เพื่อมองการณ์เห็นด้วยปัญญา พูดสั้นๆ ก็คือ เอื้อต่อปัญญานั่นเอง คนที่จะใช้ปัญญาและพัฒนาปัญญา ถ้ามีสมาธิจะช่วยมาก เราต้องการคิดเรื่องอะไร ใจสงบแน่วไม่ฟุ้งซ่านวุ่นวาย เราก็คิดได้ละเอียดซับซ้อนลึกซึ้งมากขึ้น มองได้ชัดขึ้น แต่ถ้าใจของเราวุ่นวายสับสน แล้วมองไม่เห็นอะไรเลย ใจพลุ่งพล่านๆ บางทีคิดไม่ได้ด้วยซ้ำ อย่าว่าแต่จะคิดเลย คิดไม่ได้ ฉะนั้นคุณสมบัติที่สำคัญของจิตที่เป็นสมาธิก็คือ ใส เอื้อต่อการใช้ปัญญา ยิ่งจะพิจารณาเรื่องละเอียดลึกซึ้งเท่าไหร่ ก็ยิ่งต้องการสมาธิมากขึ้น เพราะฉะนั้นจึงมีการฝึกสมาธิเพื่อจะไปบรรลุภูมิธรรมเบื้องสูง เพื่อเจริญวิปัสสนาเป็นต้น อันนี้ก็เป็นคุณสมบัติข้อที่สองของจิตสมาธิ
คุณสมบัติที่สาม ก็เนื่องอยู่ด้วยกัน ก็คือจิตที่เป็นสมาธิก็ต้องสงบ แน่วแน่ เมื่อมันสงบแน่วแน่ มันนิ่ง มันไม่มีอะไรรบกวน ไม่มีอะไรพลุ่งพล่านกระวนกระวาย เพียงไม่มีอะไรกวนนี่ จิตของเราอยู่กับตัว สบาย มันเป็นจิตที่อยู่ของมันเอง ไม่มีอะไรเข้ามากระทบกระทั่ง เป็นจิตสงบอย่างนี้ก็คือได้ความสุขนั่นเอง ถ้ามีอะไรต่ออะไรกระทบกระทั่งวุ่นวาย ก็ไม่มีความสุข เดือดร้อน อันนี้จิตมีสมาธิก็เลยมีคุณสมบัติที่สาม ก็คือสุขสงบ หรือสงบสุข
ด้านทั้งสามนี้ คนก็จะนำไปใช้ต่างๆ กัน หลายคนจะติดเพียงแง่ใดแง่หนึ่ง ประโยชน์ของสมาธิ บางพวกก็ไปติดในพลังจิต เอาความเข้มแข็ง เลยไปโน่น ทางอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ไป ทีนี้บางพวกพอได้สมาธิเกิดความสงบสุข คราวนี้สบายไม่อยากทำอะไร ทีนี้ถ้ามีปัญหาอะไรต่ออะไรก็ไม่อยากคิดแล้ว มีทางหนีแล้ว แทนที่จะต้องไปกินเหล้า หนีทุกข์ ตอนนี้ก็ไปนั่งสมาธิ แต่มองไปมองไป ถ้าไม่ระวังให้ดี ก็นั่งสมาธินี่ทุกข์เหมือนกันนะ อันนี้ก็คือหนีปัญญา แทนที่จะแก้ปัญหาก็ไม่แก้ซะแล้ว ฉะนั้นพวกนี้ก็ต้องระวัง ทางพระท่านจึงบอกว่า ระวังนะ ต้องเจริญสมาธิเนี่ยในหลักอินทรีย์ 5 ให้อินทรีย์มาดุลกัน ได้สมดุล ก็คือสมาธิมันแรงไปมันจะมีขี้เกียจ ท่านบอกว่าสมาธิมันเป็น โกสัชชะ??? เป็นพวกของ โกสัชชะ ทุกท่านคงทราบแล้วว่า ความเกียจคร้าน ฉะนั้นสมาธินี่พอใจมันสงบสบาย มีความสุข มันก็ชวนให้ขี้เกียจ มันไม่อยากทำอะไรแล้ว นั่งสมาธิ ใจสบาย ฉะนั้นพระก็เลยต้องเตือนบอกว่าอย่าเพลินนะ อย่าหลงสมาธินะ มันจะพาให้เกียจคร้าน ต้องทำอินทรีย์ให้พอดีก็คือว่าต้องหนุนวิริยะขึ้นมา มีความไม่ประมาท ตัวกระตุ้นความเพียรก็คือความไม่ประมาท แล้วจะต้องกลับไปสู้ปัญหา ทำสมาธิมาเตรียมจิตให้พร้อม กลับไปสู้ปัญหา สู้มัน ไปแก้ปัญหา อย่าทิ้ง อย่าไปหนี อันนี้ก็เป็นวิธีการอย่างหนึ่ง ก็เป็นเรื่องของคนนำสมาธิไปใช้ ต้องระวัง อย่าไปติดคุณค่าในแง่ของความสงบสุข ไปตกอยู่ในความเกียจคร้านและความประมาทไป ทีนี้อีกด้านหนึ่งใช้สมาธิในแง่ใสเอื้อต่อปัญญา อันนี้พระพุทธเจ้าใช้มากที่สุด ทางพุทธศาสนาจะมุ่งว่ามนุษย์เป็นสุดยอดวิวัฒนาการของธรรมชาติ แล้วที่ในใจของมนุษย์นั้น มีเจ้าตัวปัญญาที่พัฒนาขึ้นมา มันจึงทำให้มนุษย์วิวัฒนาการสุดยอด ปัญญานี่จะเป็นตัวเชื่อมมนุษย์ที่เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ เข้ากับธรรมชาติส่วนอื่นได้หมด หมายความว่าจากปัญญานี่ มนุษย์ที่เป็นธรรมชาติส่วนหนึ่งไปร่วมรู้ธรรมชาติส่วนอื่นได้หมดเลย ฉะนั้นปัญญาเป็นตัวโยงเราไปหาธรรมชาติอื่นหมดเลย ถ้าเราไม่มีปัญญาซะอย่างเดียวเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ ก็หลงงมงายไปตามกระแสธรรมชาติ ไปตามเหตุปัจจัยที่เราไม่มีอำนาจจะไปทำอะไรได้ ทีนี้ปัญญาก็นำมาสู่อำนาจ มาจัดการกับจิต มาปลดปล่อยจิตอีกทีหนึ่ง ฉะนั้นจิตนี่จะไม่มีอิสรภาพถ้าหากไม่มีปัญญา
เอาละ นี่ก็คือเรื่องของคุณค่าของสมาธิ 3 ประการ ที่มนุษย์ก็ไปติดกันในแง่ต่างๆ แต่พระพุทธศาสนาบอกว่าคุณค่าที่แท้อยู่ที่มันเอื้อต่อการใช้ปัญญา แล้วเจ้า 2 ตัวนั้น ทั้งคุณค่าประโยชน์ในแง่ของพลังจิตก็ตาม คุณค่าในแง่ของความสงบสุขก็ตาม เอามาใช้เป็นตัวหนุนในแง่ใส ที่จะใช้ในทางปัญญาได้ดี ก็หมายความว่ารวมทั้ง 3 คุณค่าเข้าด้วยกัน มาหนุนในการพัฒนาชีวิตของตัวเอง โดยมีปัญญาเป็นแกนกลาง มนุษย์ก็เดินหน้าต่อไป คราวนี้ก็จะไปสู่การปลดปล่อยทุกอย่างให้เป็นอิสรภาพด้วยปัญญา ปัญญาก็นำไปสู่สิ่งที่ทางพระเรียกว่า วิมุตติ คือความหลุดพ้น นี่ก็เป็นเรื่องของสมาธิที่น่าจะทราบกันไว้เป็นหลักการทั่วๆ ไป ทีนี้มนุษย์เราเนี่ย อย่างที่ว่าแล้ว สมาธินี้เป็นส่วนสำคัญของจิตเลย เพราะฉะนั้นในทางพุทธศาสนาเวลาพูดถึงเรื่องการฝึกอบรม หรือพัฒนาทางด้านจิตใจ ใช้คำว่าสมาธินี่เหมือนกับแทนกระบวนการพัฒนาทางจิตทั้งหมด เพราะมันเป็นตัวแกนกลาง เพราะสมาธิพอมีขึ้นมาแล้ว คุณสมบัติอื่นๆ มันก็ตั้งได้ที่เลย ทุกอย่างก็ตั้งได้ที่เหมือนกับโต๊ะของเรานี่ พอตั้งมั่นแล้ว เราจะทำงานอะไรก็ได้ แล้วเราจะเอาอะไรมาจัดการให้เจริญงอกงาม ขยายตัวพัฒนาการขึ้นไปก็จากพื้นฐานที่มั่นคง ทีนี้ฐานภายนอก สังคมมั่นคงด้วยศีล คือการไม่เบียดเบียนกัน การอยู่ร่วมกันด้วยดี เรียกว่าเป็นพื้นดินที่เหยียบยันให้สังคมเจริญไปได้ แล้วชีวิตแต่ละคนก็ต้องอาศัยพื้น คือ ศีล เนี่ย ที่สังคมอยู่ร่วมกันมีความสัมพันธ์ แล้วมาทางจิตก็อาศัยพื้นที่มั่นคงก็คือสมาธิ พอตั้งหลักได้แน่เหมือนโต๊ะที่มันวางได้ที่แล้ว ทำงานอะไรก็ทำไป แต่ลองโต๊ะขาไม่แน่น พื้นไม่เรียบสิ หวั่นไหวไป ของวางไม่อยู่ หล่นระเนระนาด ทำงานก็ทำไม่ได้ ฉะนั้นสมาธินี่ก็เลยเป็นเหมือนตัวแทนคุณสมบัติทางด้านจิตใจทั้งหมด พอเราได้สมาธิแล้ว เราก็อย่าไปหลงลืมเอาคุณสมบัติแค่พลังจิต หรือว่าความสงบสุขเท่านั้น แต่ว่าต้องเอาคุณสมบัติต่างๆ ที่มันอยู่ในจิต อาศัยตัวสมาธินี้เป็นแกนกลางในการรวม แล้วเอามาช่วยทำงานกัน ก็ไปสนองความต้องการของปัญญา เจ้าตัวปัญญาก็เอาจิตมาเป็นที่ทำงาน เป็นกัมมนียะ อย่างที่ว่า ก็เดินหน้าไป ตอนนี้ก็จะไปรู้เข้าใจ รู้ทันธรรมชาติ รู้ชนะตัวเอง รู้กิเลสตัวเอง รู้จักตัวเอง ตอนนี้จะเกิดปาฏิหาริย์ขึ้นมา ปาฏิหาริย์ที่แท้ เรื่องปาฏิหาริย์นี้ก็อีก คนที่ชอบสมาธิในแง่พลังจิตเนี่ย มักจะมาสนใจเรื่องฤทธิ์ปาฏิหาริย์ อันนี้ก็เลยต้องพูดเรื่องปาฏิหาริย์นิดหน่อย เรื่องอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์คนชอบมาก แต่ปาฏิหาริย์นี้คืออะไร ปาฏิหาริย์นี้ทางพระท่านแปลว่า นำปฏิปักษ์ให้หายไป หรือกำจัดปฏิปักษ์ได้ ตีกลับ ย้อนกลับ ก็พูดง่ายๆ ก็คือว่า กำจัดปฏิปักษ์ได้ อะไร กำจัดปฏิปักษ์ได้ ก็เราก็มาใช้ฤทธิ์ที่ว่าสามารถทำอะไรได้แปลกๆ ถึงกับขั้นว่าเหาะเหินเดินอากาศอะไรอย่างนี้ ดำดิน อะไรที่เรามุ่งไปว่าจะไปจัดการกับเขา โดยมากพวกมีฤทธิ์มักจะมุ่งในแง่การเอาฤทธิ์ปาฏิหาริย์นี้ไปจัดการศัตรูเป็นต้น มุ่งไปในแง่นั้น ก็คือจิตใจยังมีกิเลสเหมือนเดิม ความอยาก ความปรารถนาก็ยังเหมือนเดิม ฤทธิ์ปาฏิหาริย์ก็เลยมาสนองความต้องการอย่างนี้ หรือว่าจะสร้างความพร้อม อยากจะมีฤทธิ์ปาฏิหาริย์ จะสร้างความพรั่งพร้อมทางวัตถุ เป็นต้นเหล่านี้ เราก็เลยต้องมาดูว่าปาฏิหาริย์ที่แท้จริง แล้วก็ฤทธิ์ที่แท้จริงเป็นยังไง ถ้าเราจะแยกได้ ฤทธิ์มีหลายขึ้น อย่างทางวิทยาศาสตร์ที่จัดการกับธรรมชาติกับวัตถุได้นี่ ทางพระก็ต้องเรียกว่าเป็นฤทธิ์ชนิดหนึ่ง พระท่านบอกว่า หนึ่ง- อามิสฤทธิ์ สอง-ธรรมฤทธิ์ ฤทธิ์มีสองนะทางพุทธศาสนา อามิสฤทธิ์ นี่วิทยาศาสตร์ช่วยได้เยอะ ที่มาทำให้เกิดอามิสฤทธิ์ ก็คือความเจริญพรั่งพร้อมทางวัตถุ ทีนี้วิทยาศาสตร์เขามีปาฏิหาริย์นะ เขาสามารถจัดการให้สำเร็จตามความประสงค์ แก้ไขปฏิปักษ์ที่ขัดขวางที่ขัดขวาง ปฏิปักษ์ในที่นี้ก่นพวกอุปสรรคต่างๆ ทำโน่นทำนี่ไม่ได้ มันติดขัดไปหมด พอวิทยาศาสตร์มา เทคโนโลยีมา ทำให้มนุษย์นี่สามารถเอาชนะอุปสรรคเหล่านั้นได้ สร้างความเจริญทางวัตถุได้สำเร็จ นี่ก็เรียกว่าเป็นฤทธิ์ปาฏิหาริย์ชนิดหนึ่ง ทีนี้ฤทธิ์ปาฏิหาริย์ทางพวกที่ไปกำจัดศัตรูแบบเหาะเหินเดินอากาศ ดำดิน อะไรต่ออะไร อำพรางตัวให้จากคนเดียวเป็น 5 คน 10 คน 100 คน 1,000 คน แปลงกายต่างๆ เหล่านี้ นี่ก็เป็นฤทธิ์อีกแบบหนึ่ง ทีนี้ฤทธิ์ที่สูงสุดก็คือฤทธิ์ทางปัญญา ที่รู้เข้าใจความจริงของธรรมชาติ รู้เข้าใจความคิดจิตใจของตัวเอง รู้ทันกิเลสตัวเอง กำจัดกิเลสได้ ฉะนั้นปาฏิหาริย์ของพระพุทธเจ้านี่สูงสุดอยู่ที่พระองค์สามารถตัวศัตรู ตัวอุปสรรค ตัวร้ายในใจของพระองค์ได้ ก็คือฆ่ากิเลสได้หมดเลย นี่ปาฏิหาริย์สูงสุดนะ ทีนี้ถ้าหากว่าไม่มีปาฏิหาริย์สูงสุดนี้ ไปทำอะไรคนโน้นได้ ไปรังแกศัตรูได้ ไปสร้างวัตถุได้ เสร็จแล้วแพ้กิเลสในตัวเอง ตกอยู่ใต้อำนาจความอยากความปรารถนาของตัวเอง แล้วจะเรียกว่าปาฏิหาริย์สูงสุดได้ยังไง มันไปไม่รอด ฉะนั้นปาฏิหาริย์ทางจิตใจนี่ไม่พอ ปาฏิหาริย์ทางจิตใจก็ต้องแยกอีก ปาฏิหาริย์ทางจิตใจนี้ก็มีหลายระดับ บางทีปาฏิหาริย์ทางจิตใจนี้เรามุ่งไปทางที่ว่าเราไปสนองความต้องการทางวัตถุซะมาก ความต้องการทางวัตถุ ทางสัมคม มีอิทธิฤทธิ์แล้วจะไปทำโน่นทำนี่ ทางวัตถุบ้าง ไปจัดการกับคนอื่นทางสังคมให้เก่งกล้าสามารถได้ ที่แท้มันไม่ได้ความมีปาฏิหาริย์ ทางแท้จริง แม้แต่ทางจิตเอง ว่าไปแล้วพระพุทธเจ้าทรงเตือนอยู่เสมอ อย่าเลยเถิดเตลิดเปิดเปิง ทีนี้คนเรานี่เราอยู่ในสังคมมนุษย์ หนึ่ง-ชีวิตของเรา จิตใจของเรา ทำให้ดีมีความสุข สอง-เมื่ออยู่ร่วมสังคม ทำสังคมให้ดีงาม มีความสุข อยู่ร่วมธรรมชาติในโลกก็เอาประโยชน์จากธรรมชาติสิ่งแวดล้อมได้ดี แล้วก็ช่วยสร้างสรรค์รักษา อนุรักษ์ให้ธรรมชาติในโลกมันอยู่ดีด้วย เป็นโลกที่สวยสดงดงาม ดีทั้งแก่เราและแก่ผู้อื่น แล้วจิตใจของเราก็สบาย ความจริงสิ่งเหล่านี้ เมื่อทำให้มันดีแล้วมันเป็นปาฏิหาริย์ในตัวเอง ก็คือเราเห็นธรรมชาติที่ดีงามเนี่ย จิตใจของเรานี่ที่ทุกข์เศร้าหมองอยู่ บางทีกำจัดได้เลย ใช่ไหม การที่ธรรมชาติที่สวยสดงดงามมันกำจัดความรู้สึกขุ่นมัวเศร้าหมองในจิตใจของเราได้เนี่ย ก็เป็นปาฏิหาริย์อย่างหนึ่ง เพราะฉะนั้นปาฏิหาริย์เล็กๆ น้อยๆ อย่างนี้ เราอย่าไปลืม เพราะเป็นปาฏิหาริย์ที่เกี่ยวข้องกับชีวิตของเรามากกว่าปรฏิหาริย์ชนิดที่จะไปมุ่งสร้างฉากขึ้นมาแล้วจะไปมีฤทธิ์ แผลงตัวแปลงตัวเป็นเสือ แปลงตัวเป็นหมี แปลงตัวเป็นอะไรก็ไม่รู้ แปลงจาก 100 คน เป็น 1,000 คนอย่างนั้น มันไม่อยู่บนความเป็นจริงของชีวิต ฉะนั้นพระพุทธเจ้าทรงให้มองให้ถูก คือหมายความว่าถ้าจะมีก็ต้องเอาใชในทางที่เป็นประโยชน์ และอย่าลืมตัว ก็คือใจที่ตัวเองนั่นเองหลง นึกว่าตัวเองเก่งจริงมีพลังสมาธิ เสร็จแล้วจิตของตัวเองที่เป็นฐานสมาธิกลับเดินทางผิดซะนี่ ฉะนั้นปาฏิหาริย์อย่างที่มีในชีวิตประจำวัน เราไม่เคยคิดกัน เราจะไปเอาปาฏิหาริย์ชนิดที่มาฝึกกันปุ๊บปั๊บได้ ไปนั่งที่สำนักอาจารย์โน้นอาจารย์นี้ แต่ว่าตั้งแต่เราเกิดมานี่ ชีวิตของเรานี่เป็นการฝึกเป็นการศึกษาเป็นการเรียนรู้ มนุษย์เราเป็นสัตว์ที่ฝึกได้เรียนรู้ได้ เราต้องฝึกต้องเรียนรู้ศึกษาไป แล้วถ้าเรารู้จักดำเนินชีวิตให้ถูกต้อง เราก็พัฒนาชีวิตเราตั้งแต่เกิด ก็ตั้งแต่ในครอบครัว มาเป็นเด็กๆ ก็มีการฝึกกัน การฝึกอบรมก็อยู่ที่พ่อแม่เลี้ยงดูให้ถูกต้อง พ่อแม่เลี้ยงดูให้ถูกต้องก็พัฒนาคนทั้งกายทั้งใจ จิตใจก็เจริญขึ้นมา ก็มีสมาธิเป็นแกนกลาง แล้วปัญญาก็อาศัยจิตที่เป็นสมาธินั้นพัฒนาชีวิตของเขาต่อไป แม้กระทั่งปลดปล่อยจิตให้เป็นอิสระ ตอนนี้แหละที่ว่าเราต้องเริ่มกันด้วยการฝึกสมาธิ เจริญสมาธิกันตั้งแต่ในครอบครัว ตั้งแต่เด็กเกิดมาเลี้ยงกันไป ไม่ใช่รอให้โตแล้วจนกระทั่งเกิดปัญหาอยากจะฆ่าตัวตายแล้วจะมาหาสมาธิกัน ไม่ใช่อย่างนั้น ทีนี้ก็เลยว่าในครอบครัวนี่ ถ้าพ่อแม่ดีก็จะเริ่มทำให้เกิดปาฏิหาริย์ทางด้านจิตใจ ถึงออกมาทางสังคม ปาฏิหาริย์พวกนี้พระพุทธเจ้าจะทรงสรรเสริญมาก เพราะมันเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับชีวิตคน แล้วมันฟื้นคุณธรรมความดี ปาฏิหาริย์ของพระคุณแม่ เวลานี้สังคมกำลังต้องการอย่างมาก ไม่ต้องไปมองไกลนะ ถ้าท่านต้องการจะสร้างปาฏิหาริย์ อย่าลืมสร้างปาฏิหาริย์เล็กๆ น้อยๆ ที่มันยิ่งใหญ่ เล็กน้อย แต่ยิ่งใหญ่ เช่นปาฏิหาริย์พระคุณแม่ ถ้าหากว่าพ่อแม่เลี้ยงเด็กดี มีพรหมวิหารเริ่มจากเมตตาไปถูกต้อง คือ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา นี่ ดูจากตัวอย่างความเป็นจริงที่แม่ ท่านก็ให้เลย บอกเมื่อลูกยังเด็กเล็กน้อย แม่มีเมตตารักใคร่เลี้ยงดูให้เจริญเติบโต นี่เมตตานะ ลูกยังเล็ก พ่อแม่ก็รับเลี้ยงดู ลูกเจ็บไข้ได้ป่วย แม่สงสาร มีกรุณาหาทางรักษาให้หายโรค นี่สอง สาม-ลูกเจริญวัยเติบใหญ่เป็นหนุ่มสาว สวยสดงดงาม แม่ก็มีความยินดีปลื้มใจมุทิตาด้วย อยากให้ลูกแข็งแรง งดงาม สวยหล่ออยู่นานๆ นี่เรียกว่ามุทิตา สี่-ลูกตั้งใจทำงานทำการ ขวนขวายในกิจหน้าที่ของตัวเอง แม่ก็วางอุเบกขา ว่าเขารับผิดชอบตัวเองได้ เอาใจใส่ ไม่เสีนหายแล้ว ก็ดูอยู่ คอนดูอยู่ด้วยอุเบกขา นี่คือคำอธิบายที่คิดว่าชัดเลยว่าเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา เป็นยังไง ใช้ตัวอย่างนี้อธิบายเลย เอาแม่เป็นตัวอย่าง หนึ่ง-ลูกยังเล็ก ยังเด็ก ยังน้อย ก็รัก เลี้ยงดูให้เจริญเติบโต ด้วยเมตตา สอง-ลูกเจ็บไข้ได้ป่วย มีทุกข์เดือดร้อน แม่ก็สงสารหาทางแก้ไข บำบัดโรคภัยไข้เจ็บ ด้วยกรุณา ลูกเติบใหญ่เจริญวัยสวยสดงดงาม แม่ก็ปลื้มใจ มุทิตายินดีด้วย อยากให้ลูกแข็งแรงสวยงามอยู่นานๆ มุทิตา แล้วก็สี่ ลูกตั้งใจขวนขวายทำหน้าที่การงานของตัวเองด้วยดีอยู่แล้ว แม่ก็วางอุเบกขา คอยดู หรืออย่างมากเป็นที่ปรึกษาให้ เด็กเจริญขึ้นมามีความซาบซึ้ง มีความอบอุ่นในบ้านรักพ่อรักแม่นี่ โบราณว่าพระคุณแม่จะตามไปปกปักรักษา ทำไมจึงปกปักรักษาได้ รักษาได้สารพัดเลย พระคุณแม่ซาบซึ้งมาก อยู่ในใจ มีพลังขนาดไหน ปาฏิหาริย์นี่อาตมาจะยกตัวอย่างเพราะพูดแม่เท่านั้นแหละ น้ำตาไหลเลย ใช่ไหม ไม่ต้องคิดเลย ทีนี้ถ้ามีเหตุการณ์อะไรบางอย่างเกิดขึ้นมา บางทีเราเรียกร้องพระคุณแม่เอามาใช้ได้เลย พระคุณแม่จะมาช่วยเลย อย่างเกิดอะไร จะทำสิ่งที่ไม่ดีขึ้นมา แหมมีใครมาช่วยทักหน่อย นี่แม่อยู่บ้าน นึกยังไงบ้างเรามาทำ ถ้าเขารักแม่จริงนะ ความซาบซึ้งนี่มันจะขึ้นมาตื้นตันใจเลย เขาอาจจะต้องงดการกระทำชั่วร้ายนั้นได้ อันนี้คือปาฏิหาริย์ที่แท้จริง ปาฏิหาริย์พระคุณแม่ อันนี้คือสิ่งที่เราต้องการ ขณะนี้ปาฏิหาริย์แบบนี้กำลังจะหมดไปในสังคมไทย แล้วจะไปเที่ยวเรียกร้องอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์อื่น ปาฏิหาริย์พวกนั้นมันกลายเป็นบางทีเอามาสนองกิเลสกันเท่านั้น ปาฏิหาริย์แบบนี้สิจะรักษาชีวิตและรักษาสังคมได้ ถ้าเด็กไทยทุกวันนี้มีปาฏิหาริย์พระคุณแม่อยู่นะ เคยยกตัวอย่างเช่นบอกว่าเราไปในป่า คนร้องว่าเสือเท่านั้นเอง เราไม่ต้องคิดเลยใช่ไหม ไม่ต้องไปนึกว่าเสือนี้รูปร่างเป็นยังไง มันมีพิษมีภัยมีอันตรายยังไง ไม่ต้องนึกหรอก ไม่ต้องนึกต้องคิดเลย ทันทีพอได้ยินว่าเสือ บางคนเข่าอ่อนเลย ใช่ไหม บางคนก็วิ่งสุดขีดเลย ไม่นึกอะไรทั้งนั้นแหละ ไอ้นี่คือมันลึกไปถึงที่เรียกว่าจิตใต้สำนึกเลย พระคุณแม่ก็เช่นเดียวกัน ถ้าหากว่าเราได้ฝึกได้อบรมขึ้นมา จะซาบซึ้งอย่างดีเนี่ย มันไม่ต้องพูดต้องพรรณนาเพราะพูดว่าแม่เท่านั้นเอง เราก็ถึงขึ้นถึงคอ ถึงน้ำตา ถึงอะไรหมดทุกอย่างเลย พฤติกรรมจะอยู่เลย ฉะนั้นเวลานี้เรากำลังสูญเสียปาฏิหาริย์พระคุณแม่ไป สังคมก็เสื่อมโทรม มีมีแรงเหนี่ยวรั้ง ไปไหนก็ทำอะไรตามชอบใจ ความผูกพันอะไรไม่มี เพราะฉะนั้น ถ้าหากว่าสร้างขึ้นมาได้ การเลี้ยงดูอย่างดีในครอบครัว เด็กมีความรักความอบอุ่นขึ้นมาแล้ว โตขึ้นไปพระคุณแม่จะตามไป รวมทั้งพระคุณพ่อด้วยเช่นเดียวกัน แต่พระคุณแม่นี่จะเป็นหลักใหญ่ การเลี้ยงดูสมัยนี้ทำให้เด็กอ่อนแอ เช่นว่าพ่อแม่ห่างเหินลูก ถ้ารักก็จะตามใจ ทีนี้เด็กได้รับการตามใจ ก็ไม่ได้อยู่กับความเป็นจริงของโลกกับชีวิต โลกและชีวิตนี้มันเอาตามใจไม่ได้หรอก เวลาเขาออกไปสู่ในโลกแห่งความจริง เขาได้สิ่งที่ชอบใจบ้าง ไม่ได้บ้าง ก็ต้องรู้จักควบคุมบังคับใจตัวเอง ทีนี้ถ้าเขาอยู่ในครอบครัวตั้งแต่เด็ก เขาอยู่กับความเป็นจริง พ่อแม่เลี้ยงด้วยพรหมวิหาร เมตตาก็เมตตาไป กรุณาก็กรุณาไป มุทิตาก็มุทิตาไป แต่ตอนอุเบกขาต้องอุเบกขา พออุเบกขา ให้เด็กอยู่กับเหตุผล ต้องมีความเข้มแข็ง อะไรที่ผิดต้องรู้จักยับยั้ง จะได้ตามชอบใจทุกเรื่องไม่ได้ ตอนนี้แหละ เด็กได้ฝึกหัดอยู่กับความเป็นจริงตั้งแต่ในครอบครัว มันก็มีความเข้มแข็ง รู้ว่าขอบเขตอะไรที่เราควรจะได้ตามใจหรือไม่ตามใจ พอเขาออกไปสู่ในโลก มันก็เจอสิ่งที่ชอบใจ ได้อย่างใจบ้าง ไม่ได้อย่างใจบ้าง มันเคยไปแล้ว คุมใจตัวเองได้ บังคับใจตัวเองได้ เข้มแข็ง มันก็ไม่เป็นไร ก็เป็นเรื่องธรรมดา ไอ้นี่กลายเป็นว่าอยู่ในครอบครัวมีแต่ความอ่อนแอ พอออกมาผจญโลก ไม่ได้ดั่งใจ ตายเลย เพราะฉะนั้นเราต้องมาช่วยกัน สังคมจึงบอกว่าระวังนะอย่าเตลิดเปิดไป ถึงกับตั้งเป็นหัวข้อเรื่องบอกว่า ตั้งศูนย์ให้ดีไว้ อย่าให้เลยเถิดเตลิดไป ก็มันมีเรื่องหลายเลยเถิดเลยที่พูดมานี่ หลายเลยเถิดแล้ว อันนี้ก็หลายเลยเถิด ตอนนี้ก็มาถึงเรื่องนี้ด้วย สังคมของเราเนี่ย เรามาสนใจเรื่องจิตใจ เรื่อง spiritual ยังไงก็ต้องระวังให้ดี อย่าให้เสียดุล ทีนี้ก็มาดูกันในชีวิตที่เป็นจริง ชีวิตมนุษย์ในสังคม ในท่ามกลางธรรมชาติ ตั้งแต่ในครอบครัวเลี้ยงดูกันนั้น มีปาฏิหาริย์พระคุณแม่ช่วยลูกไว้ ต่อไปลูกเขาก็จะไปพัฒนาจิตใจ เขาก็ดี คนที่มีจิตใจอย่างนี้ อยู่กับความดีงามแล้ว มันสร้างสมาธิอะไรต่ออะไรก็ง่าย ที่จริงมันก็คือมีพลังสมาธิ เวลาพูดว่าแม่ นี่จิตเป็นสมาธิเลย เป็นสมาธิชนิดหนึ่ง ระดับหนึ่งขึ้นมาเลย จิตมันมีพลังมีความหมายขึ้นมาเลย แล้วอย่างที่ในคัมถีร์ท่านก็เล่าไว้ มีพระตั้งหลายสิบรูปไปที่ชนบทแห่งหนึ่ง ก็มีพระเจ้าถิ่น ท่านก็นำพาไปดูโน่นไปดูนี่ แล้วเสร็จ พระอาคันตุกะ ประมาณ 50 รูป ไปบิณฑบาต ปรากฏว่าไม่ได้อะไรมา ทีนี้พระที่อยู่ที่นั่น ท่านก็บอกว่าเดี๋ยวท่านจะไปบิณฑบาตเอง จะได้ช่วย 50 องค์นี้ ท่านไปบิณฑบาตท่านก็ได้อาหารมาเหลือเฟือ พระที่เป็นอาคันตุกะก็ถามท่าน คุณนี่ได้โลกุตตรธรรมหรือไง ได้ฌานหรือไง ท่านบอกเปล่า ผมไม่ได้ทั้งนั้นแหละ ผมได้สาราณียธรรม ก็คือผมปฏิบัติตามหลักสาราณียธรรม ก็เป็นปาฏิหาริย์ของสาราณียธรรม การปฏิบัติตามในหลักธรรมทางสังคม สาราณียธรรมเป็นหลักธรรมทางสังคม ที่ท่านบอกมีการเมตตาด้วยกายกรรม กระทำต่อกันด้วยเมตตา ด้วยความรักความปรารถนาดี พูดต่อกันด้วยเมตตา พูดดี พูดด้วยหวังดี ปรารถนาประโยชน์ต่อกัน แล้วก็เมตตามโนกรรม คิดปรารถนาดี มองกันในแง่ดี อะไรต่างๆ เหล่านี้ แล้วก็รู้จักแบ่งปันลาภผลต่อกัน ไม่แบ่งแยกกัน ไม่ดูหมิ่นกัน มีความประพฤติสม่ำเสมอ อยู่ในระเบียบวินัยของสังคม ไม่ทำตัวให้เป็นที่รังเกียจต่อชุมชนเป็นต้น อะไรเหล่านี้ยึดถือด้วยหลักการเดียวกัน พวกนี้ก็เป็นปาฏิหาริย์ในทางสังคม เป็นปาฏิหาริย์ของสาราณียธรรม ทำให้พระองค์นั้นเป็นที่รักของญาติโยมประชาชน เขาก็อุปถัมภ์บำรุงด้วยศรัทธาความเลื่อมใส ไม่ใช่หมายความว่าไปปาฏิหาริย์ด้วยการไปหลอกลวงเขา หาลาภหาผลอะไร นี่ปาฏิหาริย์ที่แท้แบบนี้ ที่เป็นเรื่องของคุณธรรมความดีเนี่ย ควรจะสร้างกันให้ครบ ไม่ใช่ไปติดอยู่กับปาฏิหาริย์ระดับเดียว พลังจิตพลังสมาธิมันต้องออกมาในชีวิตประจำวันเหล่านี้ด้วย อย่างพลังจิตทางด้านพระคุณแม่เนี่ย เด็กจะได้ทันทีเลย แล้วก็พลังจิตที่ออกมาทางสังคม ด้วยการประพฤติปฏิบัติตามหลักสาราณียธรรมในการอยู่ร่วมกัน อย่างนี้เป็นปาฏิหาริย์ในทางพุทธศาสนา แล้วไปอย่างสุดท้ายคือปาฏิหาริย์ที่สามารถมีปัญญามากำจัดกิเลสในใจของตัวเองได้ เอาชนะตัวเองได้ เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องใหญ่เพราะว่า เมื่อฝรั่ง โลกตะวันตกตื่นเรื่องสมาธิกันเนี่ย พวกตะวันออกก็ไปสนับสนุน ไปช่วยเหลือส่งเสริม เกิดกระบวนการสมาธิกัน หลายท่านคงเคยได้ยินเมื่อ 20-30 ปี มาแล้ว ก็เริ่มเกิดพวก TM ตอนนี้ก็อาจจะยังอยู่บ้าง แต่ว่า TM ที่เคยรุ่งมากสมัยก่อน ที่เรียกว่า transition meditation พวกฝรั่งมากันเยอะแยะ พอเป็นนักธุรกิจว่ามาฝึก transition meditation มีการโฆษณาด้วย จะทำให้จิตใจมีความสุขด้วย พร้อมกันนั้นก็ทำธุรกิจได้ดียิ่งขึ้นด้วย การทำธุรกิจดียิ่งขึ้นก็คือสามารถเอากำไรได้มากขึ้นด้วยนั่นเอง อันนี้ TM ที่เป็นเรื่องการฝึกสมาธินี้ เออ ดีนี่ หมายความว่านี่คือการใช้พลังจิต เอาสมาธิไปเผยแพร่ช่วยโลกตะวันตก มีจิตใจดีขึ้น เพราะฝรั่งมีปัญหาเรื่องจิตใจเยอะแยะ มีความเครียดมีจิตใจ ??? มี stress อะไรพวกนี้ ตอนสมาธิเข้าไปพวกฝรั่งก็ชื่นชมกันยกใหญ่ อันนี้เรามองไปมองมาปรากฏว่า TM สมาธิ โยคี ต่างๆ นี้มากมายที่ไปนะ ไม่เฉพาะ TM เท่านั้น ไปๆ มาๆ ก็คือไปช่วยให้ฝรั่งมีจิตใจดีขึ้น มีความสุขขึ้น จิตใจเข้มแข็งมั่นคงในการทำงานขึ้น แต่ว่ามันไปสนองแนวคิด เขามีแนวคิดทุนนิยมอยู่ ก็ยังเป็นทุนนิยมอยู่ เขามีความคิดในทางธุรกิจ หาผลประโยชน์กำไรให้มาก เขาก็ยังมีความคิดอย่างเดิม เป็นแต่เพียงว่าเขาได้เครื่องมือ เขาได้วิธีการที่ไปสนอง ช่วยให้เขาได้ดำเนินชีวิต ทำกิจการงานสนองแนวคิด หรือทางพระเรียกว่าทิฐิแบบนั้นได้ดีขึ้นเท่านั้นเอง ตกลงว่าตัวแกนแท้ไม่ได้เปลี่ยนเลย ก็คือแนวคิดทิฐิ นี่แหละ ผลที่สุดถ้าเราไม่รู้จักใช้พลังสมาธิให้เป็น มันกลายเป็นว่าสมาธิมันก็แค่ไปช่วยเสริมกำลังของแนวคิดทิฐิอันนั้นให้ได้ผลรุนแรงยิ่งขึ้น ฉะนั้นพวกทุนนิยมก็ชอบสิ ได้พลังจิต ได้พลังสมาธิ ใช้ให้ทำการค้าได้กำไรมากยิ่งขึ้น แล้วกำไรสูงสุดก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไร ฉะนั้นมันก็ต้องถึงปัญญา ฉะนั้นแค่ spiritual มันก็เลยไม่พอ เพราะพวกฝรั่งก็ได้ spiritual แบบนี้จากพวก TM แล้ว ก็เกิดความพอใจในระดับหนึ่ง ก็มีความสุข พวกนี้บางคนก็ไม่หนีปัญหา ก็เอาสมาธิ ทำจิตใจให้พร้อมที่จะทำงานแบบของเขา แล้วก็ทำธุรกิจให้ได้ผล ก็เลยทางพุทธศาสนาเนี่ย ต้องแก้ไขไปถึงแนวคิด แนวคิด ทิฐิ แก้ด้วยอะไร ก็ด้วยปัญญา ก็คือเรื่องของปัญญาที่ต้องรู้เข้าใจ อะไรผิด อะไรถูก อะไรเป็นคุณค่าที่แท้จริงของชีวิต ของโลก ของธรรมชาติ ของโลกทั้งหมดเนี่ย ตอนนี้ก็คือเรื่องของปัญญา เราต้องเอาพลังสมาธิมารับใช้ปัญญา ก็คือพูดเป็นหลักการก็คือไปสนองรับใช้แนวคิดที่ถูกต้อง บุคคลก็เลยต้องมีสัมมาทิฐิ เมื่อมีสัมมาทิฐิ พัฒนาสัมมาทิฐิ ปัญญาเห็นชอบถูกต้องนั้นไปแล้ว พลังสมาธิก็มาเกื้อหนุนในการพัฒนาปัญญาที่ชอบ ก็จะเจริญงอกงามไปสู่ความเป็นอิสระ เป็นความหลุดพ้นทั้งทางด้านวัตถุ ที่เราไม่ต้องพึ่งพาขึ้นต่อเทคโนโลยี เป็นต้น แล้วก็ไม่ต้องขึ้นต่อธรรมชาติมากเกินสมควร มารู้จักปฏิบัติแก้ไข อยู่ร่วมกับธรรมชาติได้ดีขึ้น โดยตัวเองมีสวัสดิภาพ ความปลอดภัยมากขึ้น แล้วก็มีอิสรภาพทางสังคม อยู่ในสังคมอย่างปลอดภัย ไม่มีการเอารัดเอาเปรียบข่มเหงกัน เป็นต้น ไม่มีความขัดแย้งกัน ไม่มีสงคราม แล้วก็เป็นอิสระในโลก ในจิตใจของตัวเอง จากกิเลสทั้งหลาย สามาถกำจัดกิเลสทางจิตใจให้หลุดพ้ร ให้พ้นจากความทุกข์ได้ มีจิตใจที่เป็นสุขอย่างแท้จริง มนุษย์นี้เราอาศัยการพัฒนาพลังจิตแห่งสมาธิอย่างถูกต้อง ก็จะสามารถเดินไปสู่ทางที่ถูกต้องได้ มิฉะนั้นถ้าเราไม่พัฒนาปัญญาแก้ไขแนวคิดที่ผิดให้หมดไปแล้ว ไปๆ มาๆ เราหลงพัฒนาพลังจิตกับสมาธิไป มันกลายไปเป็นสนองความต้องการแนวคิดที่ผิดซะ เป็นมิจฉาทิฏฐิ ก็เลยเป็นพระเทวทัตไปเลย พระเทวทัตเป็นไง พระเทวทัตก็มีแนวคิด มีกิเลสนั่นเองที่ผิด อยากจะยิ่งใหญ่มีอำนาจ ก็พัฒนาพลังจิต ได้ฌาน ได้สมาบัติ มีฤทธิ์ปาฏิหาริย์มาก เสร็จแล้วก็เลยพลังจิตสมาธินั้นมาใช้โดยการล่อพระเจ้าอชาตศัตรู ตอนนั้นเป็นเจ้าชาย ให้มาเป็นพรรคพวก แล้วก็คิดการณ์กันในการที่จะเป็นใหญ่ พระเจ้าอชาตศัตรูก็ถึงกับฆ่าพระราชบิดา ก็คือพระเจ้าพิมพิสารไป เพราะฉะนั้นพลังจิตก็เลยเป็นดาบสองคม พลังจิตก็เป็นสิ่งที่ดีมาก แต่ใช้ผิด ใช้ไม่ถูกต้อง เหมือนเทคโนโลยีพัฒนาขึ้นมา ใช้ไม่เป็นก็เกิดโทษมาก ใช้เป็นก็มารับใช้มนุษย์ พลังจิตก็เช่นเดียวกัน ก็เป็นเทคโนโลยีเหมือนกัน เทคโนโลยีทางด้านจิตใจ ถ้าใช้ถูกก็เป็นคุณค่าเป็นประโยชน์ ถ้าใช้ผิดก็นำมนุษย์ไปสู่ความพังพินาศย่อยยับ สังคมจะยิ่งตกต่ำลงไปได้เหมือนกัน ฉะนั้นเราก็จะเห็นว่าถ้าหากว่า พลังจิตมีมาก แต่จิตใจไม่หลุดพ้น ปัญญาไม่ม่แก้แนวคิด แก้กิเลสในใจของตัวเอง บางทีโยคี ฤษี มีฤทธิ์เก่งจริง แต่ไปอเมริกา หาลาภทางวัตถุจากพวกฝรั่ง คือหมายความว่าจิตใจมีสมาธิ มีฤทธิ์ แต่ฤทธิ์ที่ไปหาลาภ ก็กลายเป็นว่าโยคีอินเดียจำนวนไม่น้อยไปอเมริกาเพื่อไปหาลาภ ก็คือไม่พ้นวัตถุนั่นเอง บอกว่าไปทางด้านจิตใจ แต่ที่จริงก็คือต้องการวัตถุ ตอนนั้นโยคีบางท่านไปอยู่อเมริกา หนังสือ encyclopedia บางฉบับนะ ถ่ายมาเลยนะ มีโยคีคนหนึ่ง นานแล้ว อาตมาเลยลืมชื่อไป เพราะหลายสิบปีแล้ว อ้วนตุ๊เลย นั่งในสนามกีฬาใหญ่ พอจะพูด คนฟังหนุ่มสาวมากเหลือเกิน ต้องจัดที่สนามกีฬา คนก็ต้องเป็นหมื่นเป็นแสน ฝรั่งมากันเต็ม ยุคนั้นเป็นแฟชั่น กำลังคลั่งสมาธิ หนุ่มสาวทั้งนั้น ในรูปที่ encyclopedia เขาถ่ายมาลงนั้น หนุ่มคนหนึ่งกำลังไปเกาะอยู่ที่นั่งของโยคีหนุ่มคนนี้ แหม มีความภักดีอย่างสูง โยคีคนนี้ต่อมาก็รวยมหาศาล เป็นมหาเศรษฐีท่านหนึ่ง แล้วอีกท่านหนึ่ง ไม่ต้องออกชื่อแล้ว อยู่ทางรัฐโอเรกอน ก็เหมือนกับตั้งอาณาจักรขึ้นมาเลย มีคนศรัทธาเลื่อมใสมากก็ด้วยเรื่องกระบวนการของสมาธิ เสร็จแล้วท่านผู้นี้ร่ำรวยมาก มีรถโรวสรอยด์เหมือนจะ 14 คัน อาตมาจำไม่แน่ว่า 12 คนนี่ ไม่ใช่น้อยนะ รถโรวสรอยด์ 12 คัน 14 คันนี่ รวยมาก มีเครื่องบินใช้ส่วนตัว มีที่ดินเป็นเขตของตัวเอง แล้วก็มีบริวาร มีฝรั่งมานั่งนับถือกันมากมาย อยู่ที่รัฐโอเรกอน ต่อมาก็มีปัญหา รัฐบาลเรียกภาษีว่าหนีภาษี แล้วก็ตรวจสอบกันใหญ่ ในที่สุดก็เนรเทศ แต่อาตมาไม่ทราบนะความจริงจะเป็นยังไง อาตมาว่าฝรั่งอาจจะกลัวก็ได้ รัฐบาลอาจจะกลัวว่าประเทศของเขานี่อาจจะเกิดปัญหา ก็จะเป็นดินแดนหนึ่งที่ต่อไปอาจจะแข็งกระด้างต่อรัฐบาลได้เลย นี่อินเดียไม่ใช่ย่อยนะ เป็นดินแดนของ spiritual ที่จะไปช่วยอเมริกา หรือไปซ้ำอเมริกาก็ไม่รู้ ทั้งช่วยทั้งซ้ำ เพราะฉะนั้นเราจะต้องระวังให้ดี บทเรียนเล่านี้ควรรู้ บทเรียนที่ฝรั่งก็ควรจะรู้ แล้วไทยก็ควรจะทราบ แล้วก็ปฏิบัติอย่างรู้เท่าทัน แล้วก็กลับมาหาหลักพุทธศาสนาที่แท้จริง คิดว่าเรามีคำตอบแล้ว ขอให้มาเล่าเรียนศึกษากันให้ดี คือทางพุทธศาสนานี่ หนึ่ง-ทั้งหมดนี้จะเป็นพลังจิตอะไรการพัฒนามนุษย์ ต้องนำไปสู่การพึ่งตนเองได้ เป็นอิสระ ไม่ใช่พัฒนาไปพัฒนาไป กลายเป็นนักพึ่งพา เป็นทาส อย่างวิทยาศาสตร์พัฒนามนุษย์ไป พัฒนาโลกไป พัฒนาเศรษฐกิจไป ทำให้มนุษย์กลายเป็นผู้พึ่งพาวัตถุมากขึ้น พึ่งพาเทคโนโลยีมากขึ้น แสดงว่าผิดแล้ว ก็พัฒนาไป มนุษย์จะต้องพึ่งตนเองได้มากขึ้น เป็นอิสระมากขึ้น เพราะฉะนั้นจะไปใช้พลังจักรวาลหรืออะไรก็ตาม ก็เอามาเกื้อหนุน เหมือนอย่างพระพุทธเจ้ามาเป็นกัลยาณมิตรให้เรา ก็เพื่อช่วยเรา บอกแนะนำทางเรา เพื่อเราจะได้พัฒนาตัวเองไปสู่การพึ่งตนได้ ฉะนั้นพลังจักรวาล อย่างที่ว่าแล้วเนี่ย ในที่สุดมันไม่เหนือมนุษย์ เพราะมนุษย์บอกแล้วว่าเป็นยอดสุดแห่งวิวัฒนาการของธรรมชาติ จักรวาลมันจะมาใหญ่กว่ามนุษย์ได้ยังไง เพราะมนุษย์เป็นสุดยอดของวิวัฒนาการ ในที่สุดเจ้าพลังจักรวาลนี้ ก็ต้องมาเป็นทาสรับใช้มนุษย์นั่นเอง ทีนี้ก็อยู่ที่ว่าวิธีปฏิบัติในการที่จะเอาพลังจักรวาลมาสอนมาอะไรต่ออะไรกันนี่ นำไปสู่การช่วยให้เขาพึ่งตนเองได้หรือเปล่า อันนี้เป็นเหมือนกับมาตรฐานในการวัดเลย หนึ่ง-ทำให้พึ่งตนเองได้ เราจะต้องพยายามเข้าสู่เป้าหมาย เป็นอิสระ สอง-ทำเรื่องลึกลับให้เป็นเรื่องที่ง่าย ไม่ใช่ทำแล้วยิ่งลึกลับๆ หนักเข้าไป พระพุทธเจ้าทรงสอนลูกศิษย์ ทำเรื่องยากให้ง่าย จนกระทั่งพระองค์บอกว่า เราไม่มีกำปั้นของอาจารย์ ทางพระเรียกว่า อา-จา-รา-ยะ-มุ-ถิ แม้แต่คำสอนของพระองค์พระองค์ก็ไม่มีการปิดบังอำพราง หวงวิชา ไม่มีเลย เป็นแต่เพียงว่าเป้าหมายคือช่วยชีวิตเขา ให้เขามีความสุขหลุดพ้นสังคมอยู่ดี พระองค์ก็สอนไปตามสถานการณ์นั้นให้เหมาะกับชีวิต ให้เหมาะกับบุคคล สถานการณ์ เหตุผล ของชุมชน เป็นต้น อันนี้ก็คือว่าไม่มีความลึกลับ แล้วเอาความลึกลับมาเปิดเผย เพื่อให้มันง่าย ให้มันตื้น ว่างั้นนี่สอง แล้วสาม-ก็คือก็เนื่องกันนั่นแหละ เมื่อหายลึกลับให้เป็นเรื่องธรรมดา เพราะในที่สุดแล้ว สิ่งทั้งหลายเนี่ย เราจะเรียกว่าลึกลับหรืออะไร อัศจรรย์ เป็นพลัง เป็นปาฏิหาริย์ ฤทธิ์ ในที่สุด ก็คือเป็นธรรมดา เช่นธรรมดาของเหตุปัจจัย ก็เมื่อทำเหตุอย่างนั้น ผมมันก็เกิดอย่างนั้น แม้แต่ที่ใครจะเก่งยังไง แม้นักวิทยาศาสตร์สร้างระเบิดปรมาณูได้ ไฮโดรเจนบอมพ์ได้ นิวเคลียร์ได้ อะไรต่างๆ เหล่านี้ ก็ถือเป็นเรื่องอิทธิฤทธิ์ใช่ไหม ทางวัตถุ แต่ที่จริงมันก็เป็นธรรม หมายความว่ายังไง พอเรารู้เข้าใจ มันก็เป็นไปตามกระบวนการเหตุปัจจัย เราทำเหตุปัจจัยนั้นก็เกิดผลอย่างนั้น ในที่สุดมันก็หนีธรรมดาไม่พ้น ทางพระก็รวมที่สุด ก็เรียกว่าธรรมดาแห่งเหตุปัจจัย เป็นต้น ใครรู้ถึงธรรมดาจริงก็จบแล้ว ทุกอย่างรวมที่ธรรมดา ฉะนั้นเราก็อยู่ท่ามกลางธรรมชาติ แล้วในที่สุดเราต้องรู้ธรรมดา เพราะธรรมดาก็คือความเป็นจริงของธรรมชาติ ธรรมชาติเป็นไปยังไง อันนั้นคือธรรมดา พอเรารู้ธรรมดา เราก็เข้าถึงความจริงของธรรมชาติ มันก็จบ จะไปเรียนพลังจักรวาล ความลี้ลับอัศจรรย์เท่าไหน ในที่สุดก็รู้ว่ามันก็คือความจริงของธรรมชาติ ธรรมดาของมันเป็นอย่างนั้น เป็นอันว่าธรรมนั้นเราไม่เคยได้ยิน เราไม่เคยได้มอง เราไม่เคยได้รู้จักมาก่อน เพราะปัญญาเราจำกัด พอเรารู้เข้าไปๆ ก็กลายเป็นธรรมดา ก็คือเรารู้ธรรมดา ในที่สุดทั้งหมดก็เป็นธรรมดา ในที่สุดชีวิตเรา เราก็ธรรมดา ก็จบ ก็จบด้วยธรรมดา เพราะฉะนั้นถ้าเราไม่ใช้พลังจิตฝึกสมาธิให้ดี ในที่สุดก็คือเป็นเพียงว่าเป็นเครื่องมือที่ไปเชื่อมกับวัตถุ ในการที่ว่าจะเพิ่มวัตถุของพวกทิฐิทางวัตถุนิยมเป็นต้น อะไรไป ก็ไม่ไปไหน เพราะฉะนั้นก็ต้องดูหลักการของพุทธศาสนาให้ชัด ระบบศีล สมาธิ ปัญญา ระบบพฤติกรรม จิตใจ และปัญญา ประสานกัน นำชีวิตไปสู่ความเป็นอิสระ ทั้งทางด้านร่างกายวัตถุ ทั้งทางด้านจิตใจ ทั้งทางด้านสังคม ทั้งทางด้านสิ่งแวดล้อม เราจะทำได้ยังไง หลักการทางปฏิบัติ เรียกว่า มัชฌิมาปฏิปทา ก็ขอให้ศึกษากันให้ดี
วันนี้ก็ขออนุโมทนาท่านอาจารย์และท่านผู้ทรงคุณวุฒิที่มีความสนใจในเรื่องทางจิต ก็คือเรื่องสมาธิอย่างนี้ ที่เราตั้งชื่อว่าพลังสมาธิจิต ว่าพลังสมาธิจิตเราเห็นความสำคัญแล้ว แต่ตอนนี้เรามีจุดหมายโดยบอกว่าจะพิชิตปัญหาโลก ก็หมายความว่าจะต้องเอาพลังสมาธิจิตนี้มาใช้ให้ถูกต้องด้วย พลังสมาธิจิตจะไปแก้ปัญหาโลกพิชิตมาได้ยังไง ถ้าใช้ผิด ถ้าใช้อย่างที่ว่า ไปหาลาภไปเพิ่มแนวคิด ไปหนุนซ้ำเติมแนวคิดวัตถุนิยมของฝรั่ง แทนที่จะไปแก้ปัญหาโลก มันไม่แก้แล้วล่ะ มันอาจจะซ้ำเติมก็ได้ ทำลายธรรมชาติแวดล้อม ด้วยระบบการอุตสาหกรรม และก็การพัฒนาเศรษฐกิจที่ไม่ถูกต้อง ที่ฝรั่งยอมรับแล้วว่าเป็น unsustainable development เป็นการพัฒนาที่ไม่ยั่งยืน อันนี้ก็มาจากนี่แหละ มาจากแนวการพัฒนาตามหลักการของเจตนารมณ์ของวิทยาศาสตร์ที่พัฒนาเทคโนโลยี อุตสาหกรรมขึ้นมา เพื่อจุดหมายทางเศรษฐกิจ เราต้องรู้ตระหนักว่าปัญหามันอยู่ที่ไหน แล้วไปจัดการให้มันพอดี แต่ก็อย่าไปละทิ้งวัตถุโดยสิ้นเชิง เพราะว่าวัตถุเป็นปัจจัย วัตถุเป็นเครื่องเกื้อหนุน เราไม่มี เราก็ไปไหนไม่ได้เช่นเดียวกัน เรามีเราใช้ให้เป็น วัตถุก็ยิ่งเกื้อกูล มาใช้ประโยชน์ ทำให้มนุษย์พัฒนาที่ถูกต้อง ก็คือการประสานกลมกลืนกันอย่างพอดี ให้เกิดดุลยภาพนั่นเอง เพราะฉะนั้นก็เลยเข้ากับหัวข้อเรื่องที่ตั้งไว้ว่า ตังศูนย์ให้ดุลไว้ อย่าให้เลยเถิดเตลิดไป อาตมาอาจจะทำชื่อเรื่องไม่ชัดเจนนัก แต่ว่าก็ได้ความทำนองนี้ ถ้าเราได้ดุลไว้ แล้วเรารู้ว่าศูนย์อยู่ที่ไหน ตั้งมันให้ถูกให้ได้หลัก ไม่เตลิดเปิดไป เราไปเชื่อมประสานให้ครบกระบวนการของการพัฒนาชีวิตมนุษย์ ก็คือทั้งศีล สมาธิ ปัญญา หรือ พฤติกรรม จิตใจ และปัญญา มันก็จะนำไปสู่วิมุตติ ในจิตใจของคนที่พ้นจากกิเลสเป็นต้น ที่เป็นปฏิปักษ์ในใจของตัวเอง ที่เข้ามาครอบงำคอยชักพาเราไปในทางที่ผิดพลาด แล้วเราก็จะรู้ดีรู้ชั่วรู้ประโยชน์ไม่ใช่ประโยชน์ของสังคม รู้ดีรู้ชั่วรู้ประโยชน์ไม่ใช่ประโยชน์ของโลก ของธรรมชาติ ปฏิบัติต่อสิ่งเหล่านั้นได้อย่างถูกต้อง ก็ปลดปล่อยให้สิ่งเหล่านี้ทั้งหมด ทั้งชีวิตของเราเอง เพื่อนมนุษย์ สังคม และสิ่งแวดล้อมโลกนี้ เป็นอิสระ อยู่ด้วยกันด้วยการประสานกลมกลืน พึ่งพาอาศัย เกื้อหนุนซึ่งกันและกัน ก็จะเป็นโลกที่ดีงาม ตามหลักพุทธศาสนาที่ท่านบอกให้จุดหมายไว้ว่าให้เข้าถึงโลกที่เป็นสุขไร้การเบียดเบียน ถ้ำพลังสมาธิจิตมาช่วยอันนี้ได้ ด้วยอาศัยพฤติกรรม ศีลนี้เป็นพื้นฐานมั่นคงไว้ สังคมดีเอื้อ การบำเพ็ญสมาธิจิตใจพัฒนา แล้วเอาปัญญามาใช้ประโยชน์แก้ไขปัญหา จัดการสร้างสรรค์ให้ถูกต้อง จุดหมายของมนุษย์ก็จะบรรลุผลอย่างที่ว่านี้ได้ ก็ขออนุโมทนาว่าการจัดงานครั้งนี้มีความหมายขึ้นมาอย่างสำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือ เป็นการฉลองครบ 60 ปีของมหาวิทยาลัยเกษตรศษสตร์เองด้วย แล้วในการที่มหาวิทยาลัยครบ 60 ปี ก็หมายถึงว่ามหาวิทยาลัยได้เจริญมาด้วยอาศัยครูอาจารย์เป็นต้น ผู้บริหารรุ่นเก่าๆ ท่านได้สร้างสรรค์ ได้สั่งสอนให้ความรู้กันมา นี่ก็ทำให้มหาวิทยาลัยเจริญมา เราก็เลยระลึกถึงพระคุณของท่าน ก็มาทำบุญอุทิศกุศลให้แก่บูรพาจารย์ท่านเหล่านั้น อันนี้ก็เป็นเรื่องของคุณธรรม คือความกตัญญูกตเวที นี่ก็เป็นพลังจิตอย่างหนึ่ง ถ้าเราทุกคนไม่สักแต่ว่าทำนะ ถ้าใจมีความรู้สึกขึ้นมาจริงๆ เห็นคุณค่าความดีงาม เห็นความสำคัญของคนรุ่นก่อน งานที่ทำมารุ่นก่อนเนี่ย ความกตัญญูเกิดขึ้นมาแท้จริง จิตใจซาบซึ้งเนี้ย มันเกิดฤทธิ์เกิดปาฏิหาริย์ เราจะทำได้หรือเปล่า สำคัญ ถ้าจิตใจไม่ซาบซึ้ง ไม่แน่วแน่ ทีนี้ถ้าหากว่าเรามองอีกแง่หนึ่ง แม้แต่เรื่องอย่างนี้ใจเรายังไม่ยอมจะซึ้งจะแน่วแน่เนี่ย เราจะไปสร้างพลังจิตได้ยังไง จิตเจริญสมาธิได้ยาก เอาจิตสมาธิมาเจริญกันด้วยเรื่องง่ายๆ อย่างนี้แหละที่เป็นเรื่องประจวบ ประสบเหตุการณ์ สถานการณ์ที่เข้ามา เราใช้จิตปฏิบัติต่อเหตุการณ์นั้นถูกต้อง ก็คือการสร้างสมาธิ ไม่ปล่อยให้มันสูญเสียไปเปล่า เหตุการณ์ที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ครบ 60 ปี เรานึกมาถึง มหาวิทยาลัยของเราเจริญมาได้อย่างนี้ เพราะผลงานของบูรพาจารย์ ท่านบริหารเป็นต้น รุ่นเก่า สร้างสรรค์กันมาตั้งแต่ผู้ร่วมสถาปนา ท่านเหล่านี้ได้สร้างสรรค์คุณความดี ก็เป็นธรรมดาต้องมีผิดพลาดอะไรกันบ้าง แต่รวมแล้วก็คือว่าผลงานที่ปรากฏในบัดนี้ ก็คือความเพียรพยายามและการกระทำ รวมทั้งสติปัญญาของท่าน ฉะนั้นเราก็เห็นคุณค่า จิตของเราซาบซึ้งในนี้ ก็เกิดเป็นพลังสมาธิขึ้นมา อย่างน้อยก็ในระดับหนึ่ง อันนี้เราก็ได้พัฒนาดูชีวิตของเราเองด้วย ฉะนั้นก็ใช้โอกาสอย่างนี้ให้เป็นประโยชน์ ก็คือพลังแห่งความกตัญญูกตเวที เช่นเดียวกับที่เราได้แบบอย่างมาจากพลังพระคุณแม่ที่ว่า เรามาในทางสังคมนี้ก็เช่นเดียวกันแหละ อย่างลูกๆ ซาบซึ้งพระคุณแม่ ก็เป็นพลังจิต พลังสมาธิ พระคุณแม่ก็เป็นปาฏิหาริย์ขึ้นมา ถ้าชาวมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เกิดความซาบซึ้ง มองเห็นคุณค่าความดีงามของความเพียรพยายาม การสร้างสรรค์ การใช้สติปัญญาของบูรพาจารย์ที่ทำให้มหาวิยาลัยเจริญขึ้นมานี้ เราจะเกิดกำลังใจขึ้นมา มีความเข้มแข็งที่จะช่วยกันสร้างสรรค์มหาวิทยาลัยให้เจริญก้าวหน้าต่อไป นี่ก็ไม่ใช่อะไรอื่น ก็คือพลังจิตที่เป็นสมาธิมากนั่นเอง แล้วเราก็จะใช้พลังปัญญาในการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ต่อไป เพราะฉะนั้นก็ขออนุโมทนา ทางมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ที่ได้จัดการประชุมใหญ่ กิจกรรมต่างๆ ขึ้นมา เป็นการฉลองมหาวิทยาลัยครบ 60 ปี ซึ่งเราคงไม่มองกันแค่วัตถุภายนอก แต่มองลึกลงไปถึงองค์ประกอบปัจจัยต่างๆ ที่ได้สร้างสรรค์ให้ 60 ปีนี้เกิดขึ้นมาเป็นความเจริญของมหาวิทยาลัยในบัดนี้ อาตมาภาพก็ขออนุโมทนาท่านอาจารย์และผู้ทรงคุณวุฒิทุกท่าน แล้วขอให้การประชุมที่เรียกว่ามหกรรมวิทยาศาสตร์นานาชาติ ครั้งที่ 7 นี้ ดำเนินไปได้ด้วยดี บรรลุผลสมตามวัตถุประสงค์ ซึ่งไม่ใช่วัตถุประสงค์เฉพาะของเราเท่านั้น แต่เป็นวัตถุประสงค์ของนักปราชญ์ มีพระพุทธเจ้าเป็นผู้นำ แล้วก็เป็นวัตถุประสงค์ของชีวิต ของโลก ของสังคมนี้ทั้งหมดด้วย จะสัมฤทธิ์ผลด้วยดี อย่างน้อยเราก็เป็นปัจจัยเกื้อหนุนส่วนหนึ่ง ก็ขอให้ทุกท่านจงได้มีพลังเช่นพลังสมาธินี้แหละเป็นแกน ในการที่จะปฏิบัติภารกิจนี้ให้บรรลุผลสมความประสงค์ ก็ขอให้ทุกท่านที่มีจิตใจดีงามประกอบด้วยความกตัญญูกตเวทีเป็นปัจจัยแห่งการสร้างพลังสมาธิจิตนี้ จงเจริญงอกงามยิ่งขึ้นด้วยความสุข ด้วยจตุรพิธพรชัยทุกเมื่อไปตลอดทั้งปีใหม่ที่จะมาถึง และตลอดกาลเบื้องหน้าทุกเมื่อเทอญ