แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ไฟล์ถอดเสียงนี้ยังไม่ได้ผ่านพิสูจน์อักษร นำขึ้นมาเพื่อช่วยในการศึกษาค้นคว้าของผู้สนใจ
คุยกันต่อเรื่องของวัตถุมงคล หรือว่ารูปธรรมที่สื่อธรรมะ ถ้าถูกต้อง นะฮะ ทีนี้ก็ไปนึกถึงที่ท่านจักรพันธ์ถามเมื่อเช้าเรื่องระหว่างหนังสือกับพระเครื่อง ท่านถามว่าไง ท่านลองถามอีกทีซิฮะ ว่าไงฮะ
ท่านจักรพันธ์ : การทำหนังสือธรรมะเพื่อแจกเหมือนกับทำพระเครื่องแจกอย่างไร ???
อ๋อ ก็มีแง่มุมที่จะเหมือนบ้างแต่ว่าไม่มากนัก คือเหมือนได้ในแง่ที่ว่าก็เป็นสื่อธรรมะด้วยกันทั้งคู่ ถ้าใช้ถูก นะฮะ แต่ที่นี้ว่า อ่า หนังสือเนี้ยมันสื่อโดยตรงเลย มันแน่นอนเลยว่าสื่อตัวธรรมะ โดยวัตถุประสงค์ โดยหน้าที่ของมัน บทบาทของมัน หนังสือก็สื่อโดยตรงเลย แต่ทีนี้พวกพระเครื่องนี่สื่อโดยอ้อม นะฮะ ต้องผ่านวัตถุอีกทีหนึ่ง และบางทีถ้าสื่อไม่ถูกก็ไปสื่ออื่นซะอีกนะฮะ ออกไปนอกเรื่องนอกราวเลย อันนั้นจึงต้องระวังมาก
ทีนี้แม้แต่ว่าเอาไปเป็นสินค้าในกรณีที่ไม่ได้แจก ถ้าเกิดมีการแลกเปลี่ยนเป็นเงินทองขึ้นมานี่ เราจะเห็นได้ว่าพวกหนังสือนี่นะ ออกไปสู่กิจการที่เขาทำเป็นธุรกิจ ในกรณีที่ไม่ใช่พระแจก ร้านค้าเขาทำเนี่ย มันก็ยังเป็นได้แค่สินค้าซื้อขายแลกเปลี่ยนตามอัตราส่วนที่อยู่ในความสัมพันธ์ระหว่างผู้ผลิตกับผู้บริโภค ใช่มั้ยฮะ ก็เหมือนกับหนังสืออื่นๆน่ะ บางทีหนังสืออื่นๆอาจจะขายได้ราคาดีกว่าด้วย เช่น หนังสืออ่านเล่น ใช่มั้ยฮะ
แต่ทีนี้ถ้าเป็นพวกวัตถุมงคลนี้ละก็ ลงทุนนิดเดียวล่ะกำไรมหาศาลเลยนะฮะ พวกทำหนังสือธรรมะขายนี่เสี่ยงต่อการขาดทุนเยอะ ใช่มั้ยฮะ คนซื้อนี่น้อย นะฮะ แล้วก็ราคาก็ต้องจำกัด แต่ถ้าเป็นวัตถุมงคล พระเครื่องนี่นะ ลงทุน 10 บาท อาจจะขายพันบาท หรือยิ่งกว่านั้นอีก ใช่มั้ย อาจจะลงทุน 100 บาท ขายหมื่น แล้วเอาสองหมื่นห้าพัน หรือห้าหมื่นอะไรไปเลย เพราะฉะนั้นกำไรมหาศาล จนกระทั่งเรียกว่าถ้าหากว่า เจตนาไม่ดี ไม่เป็นบุญเป็นกุศล ไม่ได้คิดเอามาใช้เพื่อสร้างสรรค์ทำประโยชน์สาธารณะ ส่วนรวมอะไรเนี่ย หาประโยชน์ส่วนตน กลายเป็นการค้ากำไรที่หนักที่สุดเลยใช่มั้ย การค้ากำไรเกินควรน่ะ นะฮะ แทบจะไม่มีการค้ากำไรควรอันใด ถ้า จะได้กำไรมากเท่านี้เลย นะฮะ
อ้าว ทีนี้ก็ย้อนกลับมาเรื่องของเรา ก็แต่ว่ารวมความก็คือว่าต้องใช้ให้ถูก ก็สื่อ สื่อธรรมะได้ ทีนี้ อ้อ พวกวัตถุมงคลพระเครื่องนี่สื่อได้ก็ในขอบเขตจำกัด สื่อได้ในระดับศีล คือ ความประพฤติ เช่นว่ามาช่วยป้องกัน นะฮะ ทำให้ต้องยึดถือข้อปฏิบัติ เช่น การงดเว้นจากการเบียดเบียนกัน การละเมิดศีลอะไรแล้วแต่พระอาจารย์จะสั่ง แล้วก็ได้สื่อทางจิตใจ นะฮะ ทำให้จิตใจนี่มีความปลาบปลื้ม มีความมั่นใจ มีความเอิบอิ่มใจอะไรต่างๆน่ะ ได้ผลทางจิตใจ แต่สื่อไปถึงปัญญานี่น้อย ยาก
ส่วนหนังสือธรรมะนี่สื่อถึงปัญญาโดยตรงเลยนะ เพราะฉะนั้นสำคัญมาก นั้นก็สื่อหนังสือธรรมะก็เหมือนกับฟังคำสอน ก็มาเอาคำสอนของพระพุทธเจ้าออกไป นะฮะ แล้วก็ไปเผยแผ่ต่อ แต่ทีนี้มันมีการใช้ประโยชน์ซ้อนอย่างนี้คือ หนังสือนั้นไปหนุนวัตถุมงคลอีกทีหนึ่ง นะฮะ เช่นอย่างเดี๋ยวนี้มีการใช้กันเยอะ ไม่ใช่ว่าเอาหนังสือมาสื่อตัวธรรมะแล้ว แต่ว่าเอาหนังสือเนี่ยไปใช้สำหรับโปรโมตวัตถุมงคล พระเครื่อง หรือทำเป็นคล้ายๆหน้าม้า สำหรับโฆษณาคุณภาพของพระเครื่องวัตถุมงคล อาจารย์ขลัง เป็นต้น ใช่มั้ยฮะ อันนั้นกลายเป็นใช้หนังสือเพื่อวัตถุประสงค์อีกอย่างหนึ่ง ไม่ใช่เป็นสื่อธรรมะโดยตรงแล้ว นั่นเป็นเรื่องของความซับซ้อนในสังคมปัจจุบัน นะฮะ ก็ต้องพิจารณากันหลายขั้นตอน ก็มีแง่มุมที่อย่างน้อยจะต้องคำนึง 2 อย่างนี้ นะฮะ
นี้ก็ขอย้อนกลับมาเรื่องของความหมาย ประโยชน์ การปฏิบัติต่อเรื่องวัตถุมงคล โดยเฉพาะพระเครื่องกันต่อ นี้ที่พูดมาแล้วนี่ก็พูดในแง่ของประวัติความเป็นมา นะฮะ เพื่อให้เห็นถึงบทบาทและการปฏิบัติของคนในสมัยโบราณ สืบมาตั้งแต่สมัยพุทธกาล ทีนี้ก็มาถึงยุคใกล้ปัจจุบันนี้ก็ได้เล่าไปถึงเรื่องของหลวงพ่อวัดบ้านกร่าง ผมก็เลยอยากจะเล่าต่ออีกนิดหนึ่ง ทีนี้ว่าถึงจริยวัตรของตัวหลวงพ่อเอง หลวงพ่อวัดบ้านกร่างนี้ก็เป็นที่เลื่องลือ ประชาชนก็มีความเลื่อมในศรัทธามากว่าท่านขลัง ว่าศักดิ์สิทธิ์ ท่านมีดี แต่ว่าปกติแล้วท่านไม่ให้ใคร คนก็อยากจะได้ นะฮะ
ทีนี้ความที่ศรัทธาเลื่อมใสท่านมากเนี่ย จะเห็นถึงอิทธิพลในทางศรัทธา นะฮะ ว่าเวลามีงานมีการอะไร ต้องการกำลังคนนี่ เขาจะมาพร้อมเพรียงมาก คราวหนึ่งที่วัดบ้านกร่างนี่ก็มีการย้ายเสนาสนะทั้งหมดเลย ทั้งกุฏิ ทั้งศาลา ทั้งหอสวดมนต์ หอสวดมนต์ก็ใหญ่มาก นะฮะ อันนี้ก็จะย้ายอย่างไร เสนาสนะบางอย่าง เช่น พวกกุฏินี่ก็ไม่จำเป็นก็ไปรื้อแล้วก็สร้างใหม่ได้ แต่เสนาสนะบางอย่างนี่ อยากจะรักษาไว้อย่างเดิม เช่น หอสวดมนต์ ก็ใช้วิธียกไปทั้งหลัง นะฮะ จะยกยังไง ไม่ได้มีเครื่องมือเทคโนโลยีเหมือนปัจจุบัน ย้ายจากจุดนี้นะไปตั้งอีกแห่งหนึ่ง ห่างออกไปมากพอสมควร
ก็ใช้วิธีนัดประชาชน นัดหมายว่า วันที่เท่านั้นนะ เวลานั้นให้มาพร้อมกัน แล้วตอนระหว่างนั้น ก็ช่างก็ไปเอาไม้ไผ่เนี่ยมาใช้เชือกผูกมัดตรึงต้นเสา ระหว่างเสาต่างๆเนี่ยผูกมัดถึงกันหมดให้เป็นช่องที่คนจะเข้าไปยืนเป็นช่องๆๆๆ แล้วก็เลื่อยตัดเสาให้ตรงกันทุกเสา ในเวลาเดียวกันก็ไปทำเสาปูนซีเมนต์เตรียมรอรับไว้ที่ใหม่ นะฮะ พอถึงวันนัดก็ประชาชนก็มากันมากมาย นะฮะ ไม่รู้ว่าเท่าไหร่ล่ะ นะฮะ แล้วก็เข้ามาประจำที่ ถึงเวลาหลวงพ่อก็ให้สัญญาณ ยกพร้อมกัน ศาลาก็เดินเลย นะฮะ เดินไปแล้วก็ไปวางที่ใหม่ เดินเหมือนคนเดิน นะฮะ ไปอย่างเรียบร้อยมาก นะฮะ นี่ก็เป็นเครื่องแสดงอย่างหนึ่งถึงศรัทธาของพุทธศาสนิกชนที่มีพระสงฆ์ที่เขาเคารพเป็นศูนย์กลาง นะฮะ ว่ามีผลในทางความสามัคคี ทำให้เกิดพลังอันยิ่งใหญ่ ทำการอะไรต่างๆก็สำเร็จ
ทีนี้หลวงพ่อน่ะท่านเป็นที่เคารพนับถืออย่างเนี้ย ทีนี้ท่านก็เป็นที่เลื่องลือ แต่ว่าชีวิตประจำวันของท่านเนี่ย ท่านไม่มีการพูดถึงเรื่องของขลังอะไรเลย ไม่มีการพูดถึง แล้วไม่ให้ใครด้วย แต่ถ้าใครมีเรื่องเดือดร้อน ถูกผีเข้า หรือว่า ถูกทำ นะฮะ ถูกคุณไสยอะไรต่างๆก็มาหาท่าน เป็นเฉพาะราย เฉพาะกรณี ท่านก็แก้ไขให้เฉพาะรายนั้นๆ ก็ไม่ต้องพูดโฆษณากันไปใช่มั้ยฮะ ใครมีเรื่องก็แก้เฉพาะตัวไป
แต่ในชีวิตประจำวันท่านก็พูดถึงแต่เรื่องธรรมะคำสอนว่าให้ดำเนินชีวิตอย่างไร ให้ขยันหมั่นเพียร ทำมาหาเลี้ยงชีพ ให้อยู่ร่วมกันโดยดี มีความสัมพันธ์ที่ดี ช่วยเหลือเกื้อกูล อะไรต่างๆ ถ้าเป็นนักเรียน ให้เป็นเด็กก็ขยันหมั่นเพียรอะไร ก็สอนแต่เรื่องธรรมะ ก็หมายความว่าชีวิตประจำวันก็ทำหน้าที่ของพระที่ให้ธรรมะ สอนธรรมะไป ไม่มีการให้เครื่องรางของขลัง เพราะฉะนั้นคนจะได้จากท่านยากมาก ขอก็ไม่ให้
บางทีที่ท่านจะให้ก็ลูกศิษย์ที่ท่านเห็นว่าประพฤติดี ปฏิบัติชอบ เขาอาจจะโตขึ้นมา อาจจะย้ายถิ่นฐานไปอยู่ที่ใหม่ เออ ก็เรียกมาก็ พระสมัยเก่าๆจะเป็นอย่างเงี้ยนะฮะ ลูกศิษย์ที่ประพฤติดี อ้าว ก็เรียกตัวมาว่า เธอจะย้ายถิ่นฐานไปอยู่ที่ใหม่นะ หลวงพ่อจะให้ของดีไป ได้รักษาคุ้มครอง นะฮะ พร้อมกันนั้นหลวงพ่อก็จะบอกว่านะ เธอไปแล้วก็ตั้งหน้าตั้งตาขยันหมั่นเพียรทำการหาเลี้ยงชีพโดยสุจริตนะ แล้วก็อย่าได้ประพฤติเสียหาย อ่า พระท่านจะได้คุ้มครอง เวลาจะให้ก็กำกับไปเสร็จ เรื่องของศีลธรรม นะฮะ ข้อประพฤติว่าควรจะเว้น หรือสั่งให้เว้นอะไร แล้วก็ให้ประพฤติอย่างไร นะฮะ เพราะฉะนั้นโอกาสที่จะให้เนี่ยน้อย
ทีนี้การที่จะให้อย่างนี้ก็มีความหมาย ทำให้เกิดผลได้หลายอย่าง เพราะคนที่อยากจะได้ก็ต้องเอาตัวอย่างของคนที่ได้ใช่มั้ย เพราะต้องประพฤติดี ถ้าไม่ประพฤติให้ดี หลวงพ่อก็ไม่ให้ ถ้าอยากได้ของดี ก็ต้องประพฤติตัวให้ดี นะฮะ แล้วก็นอกจากนั้นเวลาให้ หลวงพ่อก็จะ เป็นโอกาสที่จะได้สอนธรรมะอีก ใช่มั้ยฮะ ก็เป็นเครื่องมือสื่อธรรมได้อย่างดี นะฮะ
อันนี้ก็เอามาเป็นบทสรุปให้เราดูว่า ลักษณะของพระสมัยก่อนที่ท่านปฏิบัติตามหลักการเนี้ย ปฏิบัติต่อเรื่องของวัตถุมงคล พระเครื่อง เป็นต้น อย่างไร อ้าว ก็พอสรุปได้ หนึ่ง ไม่มีราคาไม่มีค่าเป็นเงินทอง ใช่มั้ย นะฮะ ท่านไม่เอาเงิน เพราะว่าต้องให้เปล่า สอง ไม่ได้ให้ง่ายๆ ไม่กลาดเกลื่อน นะฮะ ให้ยาก จะได้มานี่ต้องประพฤติให้ดี โห กว่าจะได้ทั้งที นะฮะ แทบ เรียกว่า เรียกว่า ต้องสะสมบารมีของตัวเองกันเยอะเลยกว่าจะได้มา นะฮะ แล้วก็ สาม นะฮะ มีข้อเรียกร้องทางศีลธรรม ใช่มั้ย เอ้อ เธอจะได้นะ พระจะคุ้มครองต่อเมื่อเธอประพฤติตัวดีอย่างงั้นๆ ถ้าเธอประพฤติเสียหายอย่างงั้นๆ พระไม่คุ้มครอง สมัยก่อนนี่เขาจะมีข้อห้ามเยอะเลยนะ พระที่ได้ไปเนี่ย
อย่างไปด่าแม่เขานี่พระไม่คุ้มครองเลย ที่สุพรรณ อำเภอศรีประจันต์ ก็มีท่านขุนท่านหนึ่ง เราเรียกกันว่าขุนศรี สมัยผมเด็กเล็กๆ ไม่กี่ขวบหรอก นี่ขุนศรีนี่เลื่องลือมากว่าหนังเหนียว ปราบผู้ร้ายนี่โดนยิงก็ไม่มีเป็นอะไรเลย นะฮะ เพราะฉะนั้นก็เป็นมือที่ขมัง นะฮะ เรียกว่าเป็นนักปราบโจรที่น่ากลัว นี้ขุนศรีท่านชื่อเต็มว่าขุนศรีประจันต์รักษาเนี่ย ไปปราบโจร ไปปราบโจร ต่อมาคราวหนึ่งปรากฏว่าถูกโจร ถูกโจรยิงตาย อ้าว ชาวบ้านเขาก็โจษจันไปว่า โจรมันทำไงก็ไม่รู้ ท่านขุนก็เลยโกรธ โมโหมัน ด่าแม่มัน พอด่าแม่มันเท่านั้นแหละ ปังเลย เข้าเลย ท่านขุนตายเลย นะฮะ นี่ เพราะฉะนั้นเนี่ย โบราณ เรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของขลังนี่ต้องมีศีลมีธรรม เพราะฉะนั้นเนี่ยจะกำกับมาเสร็จ
อ้าว แล้วอะไรอีก มีคุณค่าทางจิตใจที่เป็นสื่อโยง สื่อโยงระหว่างบุคคลที่พระคุณหรือความดี นะฮะ อย่างว่า หลวงพ่ออุปัชฌาย์ท่านจะให้แก่ลูกศิษย์ นะฮะ ก็ต้องเลือกผู้ที่ประพฤติดี แล้วเลือกเวลาที่จะให้ ให้ในยามที่จะจากไป ไปทำมาหากินหรือว่าไปตั้งหลักตั้งฐาน อะไรงี้ ทีนี้พอให้ไปแล้ว และให้ได้ยากเนี่ย ลูกศิษย์ไปอยู่ไกลๆเนี่ย พระองค์นี้จะเป็นตัวแทนของหลวงพ่อ เมื่อนึกถึงพระนี่ก็นึกถึงพระพุทธเจ้าด้วยอันดับหนึ่งใช่มั้ย ว่านี่เป็นองค์แทนพระพุทธเจ้า นึกถึงพระพุทธเจ้า สอง ระลึกถึงอาจารย์หลวงพ่ออุปัชฌาย์ที่ให้มา โอ๋ ความซาบซึ้งน่ะ เวลาระลึกถึงก็แล่นไปหมดเลย ใช่มั้ย จิตใจที่นึกถึงพระคุณความดีของท่านที่ท่านได้ช่วยเหลือเกื้อหนุนมา อบรมสั่งสอนมา คำสอนของท่าน ท่านสั่งเรามายังไง นะฮะ ระลึกถึงพระ ก็ต้องระลึกถึงคำสอนของท่านด้วย ใช่มั้ยฮะ จะต้องประพฤติปฏิบัติยังไง
ทีนี้พอตัวแก่เฒ่าลง ใช่มั้ยฮะ อุตส่าห์รักษาพระองค์นี้ไว้อย่างดีเนี่ย นะฮะ จะเรียกว่าถนอมอย่างดีที่สุดแล้ว นะฮะ พอแก่ตัวเข้าก็มีลูกก็ลูกรัก เออ โตขึ้นแล้วนะ ก็มา เรียกมา นี่นะ พระองค์เนี้ย พ่อได้มา หลวงพ่ออุปัชฌาย์ท่านให้ พ่อเนี่ยรักอย่างชีวิตเลย รักษาไว้อย่างดี เวลานี้ลูกโตแล้ว พ่อก็จะมอบให้ นะฮะ อ้าว ลูกก็ได้รับไปใช่มั้ยฮะ โอ๋นี่ ลูกรับไปก็นี่เป็นของที่พ่อรักที่สุด แล้วตั้งใจมอบให้แก่เรา คุณค่าทางจิตใจ ความสัมพันธ์โยงระหว่างลูกกับพ่อนี่ เข้ามาอยู่ที่หลวงพ่อนี่ แล้วโยงไปหาอุปัชฌาย์ของหลวงพ่ออีก โยงไปหาพระพุทธเจ้าอีก ใช่มั้ย นี่แหละตลอดเลยคุณค่าทางจิตใจนี่รวมอยู่ที่พระเครื่ององค์เดียวนี่
เพราะฉะนั้น ห้อยคออยู่ ระลึกถึงหลวงพ่อนี่ทีไรก็นึกถึงทั้งพระพุทธเจ้า ทั้งพ่อ ทั้งอุปัชฌาย์ของพ่อเนี่ย มันคุณค่าทางจิตใจมันเต็มหมดเลย นั้นมันมีคุณค่าสูงมากเลย เรามาดูปัจจุบันนี้คุณค่าเหล่านี้เนี่ยมันแทบจะไม่มีเหลือเลย นะฮะ หนึ่ง มันซื้อได้ด้วยเงินทอง มันเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ซื้อได้ด้วยเงิน ใช่มั้ยฮะ ใช่มั้ยสอง มันเกลื่อนกลาดดาษดาหาได้ง่าย นะฮะ
สาม มันไม่มีข้อเรียกร้องทางศีลธรรมเลย ถูกมั้ย เป็นเรื่องของหาลาภ หาเงิน หาทอง อย่างเดียว เอ่อ เป็นที่ตั้งแห่งความโลภสำหรับตัวเขาเองว่าเนี่ย แบบเรามีพระเครื่องนี่ อ่า เราจะได้ปลอดภัย ได้ฮึกเหิม จะทำอะไรก็ไม่ต้องกลัว ใช่มั้ย กลายเป็นยุหัวใจในทางฮึกเหิมทำความชั่วก็มี นะฮะ แล้วก็เป็นเรื่องของการเห็นแก่ตัว ได้โชคได้ลาภส่วนตัว นะฮะ ไม่มีคุณค่าทางศีลธรรม ไม่มีข้อเรียกร้องทางศีลธรรม จริยธรรมเข้ามา
สี่ ไม่มีคุณค่าทางจิตใจที่เชื่อมโยงอย่างที่ว่าความสัมพันธ์ระหว่างท่านผู้มีพระคุณพ่อแม่บิดามารดาปู่ย่าตายาย อะไรต่างๆเหล่านั้น ไม่มี ใช่มั้ยฮะ แม้แต่พระพุทธเจ้าบางทีก็ไม่ได้ระลึกถึง นึกแต่ในแง่ว่าเป็นวัตถุมงคลที่จะช่วยให้ตัวได้ลาภได้ผลเท่านั้นเอง ตกลงคุณค่าเหล่านี้หายหมดเลย เพราะฉะนั้นอย่าไปดูถูกคนสมัยโบราณ นึกว่าเอ้อคนโบราณมานับถือพระเครื่อง เครื่องรางของขลัง วัตถุมงคล เรามาเอาตัวเราไปเทียบ เพราะคนสมัยนี้ไม่ได้มีหลักอะไรแล้ว และใช้ในทางที่เสียหายมาก ใช่มั้ยฮะ ก็นึกว่าคนโบราณจะเป็นอย่างตัว เขาไม่ได้เป็นอย่างนั้น นะฮะ
เพราะฉะนั้นในความหมายนี้เราจะเห็นว่า เรื่องที่ว่า ทำไมวัตถุมงคลหรือพระเครื่องซึ่งเป็นเรื่องของรูปธรรมเนี่ย จึงมาสื่อธรรมะได้ ใช่มั้ยฮะ อ้าว ทีนี้คุณค่าเนี่ยไม่ได้อยู่เท่านี้หรอก พุทธศาสนานั้นอยู่ท่ามกลางลัทธิศาสนาอื่น มีศาสนาพราหมณ์ มีพวกภูติ ลัทธิเชื่อผีสางเทวดา อะไรต่างๆ เรื่องไสยศาสตร์ มีเกลื่อนกลาดอยู่ ใช่มั้ย นะฮะ แล้วบางทีเขามีอยู่ก่อนพุทธศาสนาด้วย ทีนี้คนเขานับถือสิ่งเหล่านี้อยู่ เดี๋ยวมีทำก็แล้ว คนนั้นถูกคุณถูกไสย ถูกเขาเสกหนังเข้าท้องหรืออะไรอย่างงี้นะฮะ อะไรทำนองเนี้ย นะฮะ ไอ้เรื่องความศักดิ์สิทธิ์ความเชื่อในฤทธิ์เดชปาฏิหาริย์บ้าง ในเรื่องของอิทธิฤทธิของอำนาจเร้นลับเหนือธรรมชาติ มันมีอยู่กลาดเกลื่อนหมด
อันนี้ พุทธศาสนาอยู่ท่ามกลางสิ่งเหล่านี้ แล้วประชาชนมีระดับของการพัฒนาชีวิตจิตใจไม่เท่ากัน ต่ำบ้างสูงบ้าง บางคนไม่รู้เรื่องเลย เรื่องธรรมะคำสอนพระพุทธเจ้า แล้วก็ไปเชื่อในสิ่งเหลวไหลต่างๆ เรื่องใน หวังจากอำนาจดลบันดาลเหล่านี้ แล้วพระเองก็มีความสามารถไม่เท่ากัน บางองค์สามารถสอนให้ธรรมะเขาเข้าใจได้ปัญญาได้ง่าย แต่บางองค์ท่านก็ไม่มีความสามารถ และท่านก็ไม่มีความรู้พอ
เรามองกว้างๆถึงสภาพทั้งหมดเนี่ย พระพุทธศาสนาจะช่วยประชาชนได้อย่างไร การช่วยก็ต้องเป็นไปในระดับต่างๆ พระที่มีความสามารถ นะฮะ มีความรู้หลักธรรมดีก็อาจจะสอนโดยตรงเลย อย่างที่ว่า เข้าถึงคนระดับที่มีปัญญา นะฮะ แต่เนี้ยพระองค์เดียวกันนั่นแหละไปสอนคนที่ไม่มีปัญญา ไม่รู้เรื่องเลยนิ ก็อาจจะต้องใช้วิธีนึง แต่ทีนี้อีกองค์นึงพระนั้นไม่มีปัญญาด้วยน่ะ ไม่รู้หลักธรรมด้วย แต่ว่าจะอยากจะช่วยเหลือชาวบ้าน ทำไงจะสื่อพุทธศาสนากับชาวบ้าน
เราต้องมองกว้างอย่าเอาตัวเองคนเดียวเป็นประมาณ ว่าฉันนี่มีความสามารถสอน ต้องให้พระทุกองค์ทำได้อย่างฉัน มันเป็นไปไม่ได้ นี่สังคมส่วนรวม คนเราอยู่ในระดับการพัฒนาไม่เท่ากัน มีความหลากหลาย แต่ว่าเรามุ่งอยู่ว่า ให้เขาได้ประโยชน์จากพระพุทธศาสนา แต่หลักอันหนึ่งที่จะต้องไม่ลืมก็คือเป็นสื่อว่าทำไงจะดึงเขาขึ้นมา ให้เขาพัฒนา แต่ว่าต้องมีจุดไปพบกับเขา จุดที่จะพบนี่เราจะให้เขากระโจนมาหาเรานี่ทำได้ยาก โดยมากจะต้องไปหาเขา ณ จุดที่เขายืนอยู่ ใช่มั้ยฮะ
ทีนี้ไอ้ตอนนี้แหละในขณะที่ในสังคมนี่เต็มไปด้วยสิ่งเหล่าเนี้ย คนก็กลัวสิ่งเหล่านี้ ความกลัวนี่เป็นอันหนึ่งเลยนะฮะ ที่มันทำให้คนหวั่นไหว แม้พุทธศาสนาจะสอนเป็นเหตุเป็นผลน่ะ แล้วก็เห็นเนี่ย คน พวกระดับหนึ่งน่ะเห็นว่าพุทธศาสนาสอนดีเป็นเหตุเป็นผล นะฮะ แต่ความหวั่นใจความหวาดหวั่นยังมี การที่ไม่รู้ว่าอนาคตเป็นอย่างไร มีอำนาจเร้นลับอะไรต่างๆเนี่ย มนุษย์ปุถุชนยังมีไอ้เรื่องเหล่านี้อยู่ ความหวาดหวั่นมันมีอยู่
ทีนี้เวลาไม่มีเหตุการณ์อะไรมันก็ไม่เป็นไรล่ะ ใช่มั้ย ก็เชื่อในเหตุในผล พอเกิดอะไรขึ้นกับตัว เอาล่ะสิทีเนี้ย ชักจะหวั่นไหวแล้วใช่มั้ย ทั้งๆที่รู้ว่าพระพุทธเจ้าสอนธรรมะไว้ พระหลวงพ่อท่านก็สอนเป็นเหตุเป็นผลแล้ว อ้า แต่ว่ามันชักจะเอาไม่อยู่ นะฮะ ทีนี้มาหาหลวงพ่อ หลวงพ่อสอนเป็นเหตุเป็นผล เออ เราอย่าไปเชื่ออะไรต่ออะไรเลย มันเป็นเรื่องของการกระทำของเรา เราต้องมีสติปัญญา ก็เห็นตามหลวงพ่อ ก็เอา น่ะ ว่าตามหลวงพ่อนะ
บางรายก็กลับไปก็เข้มแข็งจริงก็อยู่ได้ แต่บางรายไม่อย่างงั้นสิ พอกลับไปบ้าน เอ๊ ชักไม่แน่ใจแล้ว ยังไงๆมันก็ยังหวั่นใจอยู่นะฮะ เอ๊ ยังไงๆก็ปลอดภัยไว้ก่อนดีกว่า เอาละสิทีเนี้ย ปลอดภัยไว้ก่อน ใช่มั้ย ทีนี้ในสังคมนี้มันมีเกลื่อนกลาดนี่ มีพวกพ่อมดหมอผี มีคนทรง ยังไงๆก็ปลอดภัยไว้ก่อน ไปหาแล้ว ใช่มั้ยฮะ ดอดไปหาแล้ว ไปหาพวกหมอผี ไปหาคนทรงแล้ว นะฮะ ทีนี้พอไปหาแล้วทีนี้มีโอกาสที่จะถูกชักจูงแล้วทีนี้ ใช่มั้ย ไปทำแล้วไม่หยุดแค่นั้น
พวกนั้นอาจจะหาลาภ หาผล อาจจะพูดอะไรต่างๆ นี่คุณถูกเขาทำ ไอ้พวกนั้นมันแกล้ง เอามั้ย ผมจะทำให้ ว่างั้น ฉันจะทำให้ ก็ต้องเสียตัง เสียเงิน เสียทอง แล้วเป็นเรื่องของการโกรธ โทสะ แล้ว ใช่มั้ยฮะ เรื่องของกิเลสมาแล้ว นะฮะ เดี๋ยวก็ไป อยากได้ลาภ ได้ผล ได้ผลประโยชน์ อ่า เป็นเรื่องโลภะ เรื่องโทสะ แก้แค้นมาแล้ว ไปแล้ว ชักออกนอกพุทธศาสนา ทีนี้ชักเพลิน ทีนี้ไม่ได้แล้ว หลวงพ่อเอาไม่อยู่ ใช่มั้ยฮะ นี่
ฉะนั้น ปัญหาอย่างงี้ต้องเจอแน่ อยู่นี่ก็เจอ เนี่ยอย่างผมอยู่ที่เนี่ย บางทีมีมาแล้วชาวบ้านมา รายนึงมาถึงบอก เมื่อคืนนี้ฝันร้าย มีปีศาจหรืออะไรไม่รู้ดำทมึนใหญ่เหลือเกินเข้ามา มาถึงก็มากระชากลูกออกไปจากอก โอ้โห ไหนลองคิดดูซิครับ นะฮะ ลูกนี่เป็นสุดที่รักใช่มั้ย ฝันร้ายอย่างนี้ใจไม่มั่นคงแล้วหวั่นไหว ทีนี้ เอ ลูกที่รักนี่มันต้องเอาไว้ก่อนเนี่ย ตัวเองยังพอว่าเนี่ย ลูกรักนี่ ยังไงๆต้องปลอดภัยไว้ก่อน ใช่มั้ย ก็มาหาพระว่า ยังไงๆให้เกิดความมั่นใจปลอดภัย เนี่ย
ตอนนี้พระก็อาจจะต้องใช้ จะเป็นรูปธรรมฝ่ายพิธีกรรมหรือว่าเป็นเรื่องของวัตถุมงคลก็แล้วแต่ ก็อาจจะมาเป็นสื่อ แต่เราเอา จะเอาแค่ประเพณี ว่าพิธีกรรมอะไรที่นิยมทำกันมาตามประเพณีที่จะช่วย อาจจะเป็นน้ำมนต์ นี่ก็วัตถุนั่นแหละ ใช่มั้ยฮะ อ้าว มารับน้ำมนต์ไป ไม่ต้องกลัว นะฮะ ก็พรมน้ำมนต์ให้ เอาล่ะนะ สบายใจได้ ไม่ต้องไปห่วง เรื่องปีศาจปีเศิจนั้น นะฮะ ทีนี้ต่อจากนั้นก็ใจชื้นขึ้นมาแล้วใช่มั้ยฮะ ก็อธิบายเหตุผล เออ ทีนี้ก็อธิบายในเชิงปัญญา เพราะเขาเบาใจแล้วนิ แล้วก็ให้ธรรมะอะไรต่ออะไร เป็นโอกาสที่จะให้ธรรมะไปอีก ต่อไปนี้เลี้ยงลูกนะ ให้มีหลักในการเลี้ยงนะ ให้มีพรหมวิหารนะ ให้มีเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ยังไง
ถ้าหากเขาไม่มีเหตุอย่างงี้เขาไม่มาหานะ เขาไม่เคยถาม เลยเป็นโอกาสนะให้พระได้แสดงธรรม สอนวิธีเลี้ยงลูกอีก ใช่มั้ยฮะ ได้ประโยชน์หลายชั้น ก็กลายเป็นว่าเป็นสื่อ ทีนี้อยู่ที่พระจะใช้หรือไม่ใช้ เกิดพระไม่ใช่เป็นโอกาส ได้ลาภซะเลยอยู่คนเดียว โยมมาเนี่ยจะทำพิธี จะได้ปัจจัยแล้ว เลยไม่ได้อะไรเลย ใช่มั้ยฮะ ชาวบ้านก็หลงตามเดิมหลงหนักเข้าไปอีก นะฮะ
แต่นี้อย่างไรก็ตาม ก็คือว่า ไอ้เรื่องของมนุษย์ปุถุชนเนี่ย ความหวาดหวั่นเกรงภัยอันตรายที่มองไม่เห็นเนี่ยมีอยู่ตลอดเวลา พระเราก็โบราณาก็เลยใช้เรื่องเหล่านี้เข้ามาใช้ปิดช่องความหวั่นใจ เพื่อจะให้ธรรมะเข้าไปถึงก็ปิดช่องความหวั่นใจซะก่อนด้วย ถ้าไม่ปิดช่องความหวั่นใจ ใจเขาไม่อยู่ไม่เป็นอันฟังด้วย หรือฟังไปแล้วก็ออกไปแล้วก็ไม่แน่ ไม่มั่นคง ทีนี้ถ้าปิดช่องความหวั่นใจแล้วเป็นอันว่าเอาแล้วนะมาหาพระได้หมด ไม่ต้องไปหาหมอผี ไม่ต้องไปหาคนทรง ถูกมั้ย ก็จบที่นี่เลย ไอ้ทางที่จะเพลี่ยงพล้ำก็ไม่มี ใจก็สบายก็หมด เพราะฉะนั้นท่านก็เลยเอามาเข้ามาให้พุทธศาสนาไปคลุมพวกเหล่านี้เข้าไปด้วย นะฮะ เพื่อจะได้มาหาพระแล้วจบไปที่นี่เลย ได้ทุกอย่าง
ทีนี้ นอกจากนั้นแล้วอะไรอีก นอกจากว่าปิดช่องความหวั่นใจแล้ว ช่วยเขาแล้ว ยังเป็นการที่กันผลเสียจากลัทธิลึกลับไสยศาสตร์ภายนอกที่เป็นเรื่องกิเลส อ้า เพราะว่าเรื่องลัทธิไสยศาสตร์ภายนอกเนี่ย เช่นเดียวกับพวกผีสางเทวดาเนี่ย มันมีทั้งร้ายทั้งดีใช่มั้ยฮะ แม้แต่เรื่องพวกเชื่อเทวดาอย่างฮินดูเนี่ยก็บอกแล้วเมื่อเช้าว่า เทวดานี่ก็รบกันเก่งนัก ยกทัพแย่งคู่ครองอะไรต่ออะไรกัน โลภะ โทสะ ราคะว่ากันเต็มที่ โมหะ ทีนี้ไสยศาสตร์ก็เหมือนกัน มีเรื่องของการหาผลประโยชน์ เรื่องของการแก้แค้นอะไรใช่มั้ยฮะ เรื่องของกิเลสนี่มาก นี้ ในแง่นี้แล้ว พุทธศาสนาเราก็มีตัวมาเทียบคู่ว่าเราก็มี แต่ของเรามีแต่คุณอย่างเดียว ไม่มีโทษ นะฮะ
ทีนี้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ในทางพุทธศาสนานี้ ไม่มีโทษ ไม่มีกิเลส มีแต่พระคุณ ใช่มั้ยฮะ อ้าว ทีนี้ เมื่อเข้ามาแล้วจะไม่มีเรื่องการที่จะไปคิดร้ายผู้อื่น จะไปทำร้ายกันไม่มี ทีนี้ถ้าไปกลัว เพราะไปถูกไอ้พวก หมอผีหรือพวกทำไสยศาสตร์ข้างนอก อย่างเขมรนี่เก่งนักเรื่องเนี้ย ทำร้ายคน นะฮะ เรื่องใช้ไสยศาสตร์ทำร้ายคนเนี่ย มีชื่อเลื่องลือมาก นี้ พอมาหาพระนี่ พระแก้ให้ได้ แก้การทำร้ายของพวกไสยศาสตร์ข้างนอก พวกเก่ง พวกคฤหัสถ์ ใช่มั้ย แก้ให้ได้ แต่ว่าเราทำแต่ส่วนคุณ เราแก้ผลเสียผลร้ายการทำร้าย แล้วเอาแต่ส่วนที่เป็นคุณอย่างเดียว นั้นก็ดึงเข้าหาธรรมะแล้ว ใช่มั้ยฮะ นี่
เพราะฉะนั้นก็มีทางหลายอย่าง ที่ว่าท่านเอามาใช้ในทางที่นำเข้าสู่พุทธศาสนา อย่างนี้ก็ถือเป็นการสื่อเข้าสู่พุทธศาสนาอย่างหนึ่ง เป็นตัวเชื่อม เป็นจุดที่จะเชื่อมต่อจากศาสนาภายนอกเข้าสู่พุทธศาสนา ในขณะที่พวกนั้นเนี่ยมุ่งหวังลาภ ผลประโยชน์ นะฮะ การเห็นแก่ตัว สนองความต้องการของตัวเอง การแก้แค้น การทำร้ายซึ่งกันและกัน พุทธศาสนาไม่มี แต่ถ้าพระทำหน้าที่แค่อย่างนั้น ก็จะถูก เหมือนอย่างนักสังคมวิทยาท่านหนึ่งท่านเขียนตำราที่เคยเล่าให้ฟัง เขาเนี่ยเขาไม่เข้าใจ เขามองพระเหมือนกับศาสนาโบราณว่า โอ้ ศาสนานี้ก็เป็นที่พึ่งที่ยึดเหนี่ยวจิตใจคน เป็นที่พึ่งที่ยึดเหนี่ยวอย่างไร มีความกลัว มีความหวาดหวั่น เกรงภัยอันตราย ก็ไปหาศาสนา นะฮะ เช่นว่า หมอผี ก็ศาสนาเหมือนกัน หาพระ ไปหาแล้วก็ทำพิธีให้ ก็ปลอดประโลมใจก็หายกลัวหายหวาดนะฮะ สบายใจ โล่งใจไป ใช่มั้ย
อันนี้เขาก็เลยมองว่า อ๋อ พระนี่ก็มีหน้าที่บทบาทอย่างเดียวกับหมอผี ก็เลยมีตำราสังคมวิทยาของมหาวิทยาลัยหนึ่งในประเทศไทยเนี่ยน่ะ ไม่บอกว่ามหาวิทยาลัยอะไร นะฮะ ผมไปอ่านเจอเข้า เขาก็สรุปเลยขึ้นในตัวป้ายเลยบอกว่าเนี่ย โดยความหมายทางศาสนาแล้วเนี่ย พระกับหมอผีเนี่ยเหมือนกัน น่า เนี่ยสรุปเลยเห็นมั้ย อันนี้ก็มองได้ 2 อย่าง หนึ่ง นักสังคมวิทยานี้ก็ไม่เข้าใจเรื่องศาสนาเพียงพอ ไม่รู้จักพุทธศาสนา ใช่มั้ยฮะ
สอง ก็อาจจะเป็นเพราะพระเราเอง ในกรณีที่นักสังคมวิทยาเองก็ไม่เข้าใจเพียงพออยู่แล้ว แล้วพระยังไปทำให้เขาเห็นอย่างงั้นเสียอีก ก็คือพระเองเนี่ย ไม่ได้ทำหน้าที่ของพระที่ถูกต้อง ไม่ได้ดึงคนขึ้นมาสู่ความดีงามที่สูงขึ้น ก็ไปทำให้คนเนี่ยได้แค่ให้เขาได้มีหลักยึดเหนี่ยวจิตใจ ปลอบประโลมใจ สบายกล่อมใจไปได้เท่านั้นเอง ใช่มั้ยฮะ ก็เลยได้แค่หมอผี ใช่มั้ย ทีนี้ถ้าพระทำหน้าที่ถูกต้อง ไอ้นี่เป็นเพียงจุดเชื่อมต่อระหว่างพุทธศาสนา ศาสนาอื่น ว่าทำไงเราจะดึงคนขึ้นมา ถอนคนขึ้นมาจากไอ้ความที่จมอยู่ในสภาพของความหลงอะไรต่างๆ จากความหวาดกลัวอันตรายนี้
พอให้เขาได้ที่เกาะที่ยึดเหนี่ยวแล้วเราก็ดึงเขาขึ้นมาสิทีนี้ ก็เป็นโอกาสที่จะให้สอนธรรมะให้สติปัญญา ให้พัฒนาทั้งพฤติกรรม จิตใจ และปัญญา นี่สิ จุดเนี้ยที่สำคัญ ถ้าพระไม่ทำหน้าที่นี้ก็เสียความเป็นพระ ใช่มั้ย ไม่มีความหมาย บทบาทของพระก็หายไป นะฮะ ก็กลายเป็นพระก็เป็นหมอผีอย่างที่ว่าไป ใช่มั้ยฮะ นั้นเราจะต้องทำให้ดีกว่า แต่ว่า มันก็มีแง่ดีอยู่แล้วที่ว่า ความหมายของแม้แต่ใช้คำว่าศักดิ์สิทธิ์เนี่ยในพุทธศาสนาเนี่ย จะเป็นเรื่องของคุณอย่างเดียว ไม่มีเรื่องของโทษ นะฮะ
เพราะฉะนั้นเราก็จะเห็นว่า เรื่องของความศักดิ์สิทธิ์เนี่ย จะมีแม้แต่ความเข้าใจของชาวพุทธต่อพระพุทธเจ้า ต่อองค์พระพุทธรูปถูกมั้ยฮะ นี้ชาวพุทธจะมองพระพุทธรูปในความหมายศักดิ์สิทธิ์ด้วย แต่ความศักดิ์สิทธิ์ในพุทธศาสนากับในศาสนาโบราณนี่จะต่างกันชัดเจน เพราะว่าความศักดิ์สิทธิ์ศาสนาโบราณ ความเก่งกาจมีอิทธิฤทฺธิปาฏิหาริย์อย่างที่พูดไปแล้ว เช่น เทพเจ้าฮินดู ที่ว่ามีความสามารถที่จะกำจัดคู่ปรปักษ์ ใช่มั้ยฮะ มีฤทธิ์เดช แสดงโทสะได้รุนแรง ใช่มั้ยฮะ
อันนี้เราจะเห็นว่า เมื่อทางศาสนาฮินดูเขาสร้างเทวรูปเนี่ย เทวรูปให้ไปดูเหอะ จะต้องสร้างในลักษณะที่ให้เห็นว่า โอ้โหนี่เก่งกาจ ดุร้าย โหดเหี้ยม ทารุณ มีกำลังมหาศาล กำจัดศัตรูได้อย่างรุนแรง ใช่มั้ย เพราะฉะนั้นท่าทางนี่แกก็จะฮึกเหิม น่ะ ผาดโผนโจนทะยาน ยกแขนยกขา นะฮะ แล้วหน้าตาถมึงทึง แล้วก็มีแขนมาก มีเท้ามาก อาจจะมีพันมือเลย ใช่มั้ยฮะ จนกระทั่งว่ามือไม่รู้พัน พันมือนี้มันจะไปทำอะไรได้เนอะ มันคงตีกันวุ่นหมดแล้ว นะฮะ นี้เขาให้มีแขนมากเข้าว่าแหละ เออ มีร้อยมีพัน แค่ทศกัณฑ์ 10 มือก็ยุ่งแล้วใช่มั้ย ทศกัณฑ์ 10 มือนี่เวลาแกใช้ สงสัยแกจะใช้แค่สองสามมือเท่านั้น น่ะ แกใช้ 10 มือ 10 มือมาตีกันเอง ทีนี้เราลองไปคิดดูตั้งพันมือ แล้วมันจะไปทำอะไร ใช่มั้ยฮะ มันมาก ไร้ประโยชน์ ธรรมชาติมันสร้างมาดีแล้ว 2 มือเนี่ย นะฮะ เก่งกว่าเทวดา เทวดาสร้างพันมือสู้ธรรมชาติสร้าง 2 มือไม่ได้ นะฮะ
ทีนี้ อ้าว ทีนี้เทวรูปของฮินดูก็จะเป็นอย่างนั้น ผาดโผนโจนทะยาน นะฮะ มีอาวุธเข้ามาอีก อาวุธก็ต้องมีหลายๆชนิด ต้องอาวุธที่ดีที่สุด แหมที่มันชนิดที่มันเหลือระอาแหละ นะฮะ มันเหนือกว่าอาวุธธรรมดา นะฮะ เป็นฟ้าผ่า เป็นอสุนีบาต เป็นอะไรต่ออะไร นะฮะ เป็นจักรเป็นเจิก เรียกว่าสร้างกันขึ้นมาเนี่ยเทวรูปนี่จะต้องให้เห็นว่ามีอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ มีความยิ่งใหญ่ มีความสามารถกำจัดศัตรูได้อย่างยิ่งใช่มั้ย เนี่ย เพราะฉะนั้นความศักดิ์สิทธิ์ของเขาก็พ่วงมาด้วยกิเลส นะฮะ นี้ก็อำนาจทางที่ว่าเป็นกิเลสนี้
ทีนี้มาทางพุทธศาสนานี่ พุทธศาสนานี่ความศักดิ์สิทธิ์ขึ้นสู่พระคุณ ความศักดิ์สิทธิ์สูงสุดกลายเป็นว่าอยู่ที่ความบริสุทธิ์ ไม่มีความศักดิ์สิทธิ์ใดสู้ความบริสุทธิ์ได้ เพราะฉะนั้นในพุทธศาสนาก็จะมีตำนาน มีคัมภีร์ที่พูดถึงเรื่องความศักดิ์สิทธิ์ที่ ในที่สุดแล้ว ความศักดิ์สิทธิ์ชั้นยอดคือความบริสุทธิ์ นี่ เรามีสัจจาธิฐาน นะ เอาความบริสุทธิ์ความจริงเป็นที่ตั้ง นะฮะ ชนะพวกฤทธิ์ พวกใช้กิเลส นะฮะ อ้าวทีนี้ ความศักดิ์สิทธิ์ อำนาจให้ดลบันดาลผลสำเร็จ สร้างความศักดิ์สิทธิ์ก็คืออำนาจที่บันดาล บันดาลผลสำเร็จให้เกิดขึ้น ศักดิ์ แปลว่า อำนาจ สิทธิ แปลว่า ความสำเร็จ ศักดิ์สิทธิ์ ก็แปลว่า อำนาจที่บันดาลผลสำเร็จได้ ใช่มั้ยฮะ มีอะไร อ้าว ของเขาบอกว่าพลังที่กำจัดศัตรูใช่มั้ย ของเราบอกความบริสุทธิ์
ต่อไป พระพุทธ มีอะไรอีก พลังแห่งความกรุณา ความปรารถนาประโยชน์สุขแก่ผู้อื่น คิดจะช่วยเหลือ สาม พลังปัญญา ใช่มั้ยฮะ ก็เราจะเห็นว่านี่ พระพุทธเจ้าของเรานี่ มีพระคุณ 3 ประการ หนึ่ง พระปัญญาคุณ สอง พระวิสุทธิคุณ สาม มหากรุณาคุณ นี่คือยอดของความศักดิ์สิทธิ์ เสร็จแล้วเราสร้างพระพุทธรูปที่แสนจะศักดิ์สิทธิ์เป็นยังไง พระพุทธรูป นั่งสงบ ใช่มั้ย เอ้อ ไม่เห็นแสดงอาการว่าจะไปข่มใครไปทำร้ายใครเลย นั่งสงบเรียบร้อย แถมยิ้มซะด้วย นะฮะ มีเมตตา ใช่มั้ย นี่บริสุทธิ์ มีเมตตา กรุณา นะฮะ จะช่วยคนอื่น แล้วก็บริสุทธิ์ มีปัญญา ปัญญาสูงสุด นี่นี่ คือพระคุณ ความศักดิ์สิทธิ์ที่แท้ ตกลงเราก็ดึงจากความหมายความศักดิ์สิทธิ์แบบศาสนาอื่นเข้ามาสู่พุทธศาสนา นี่ก็ได้ผลแล้ว
ทีนี้ เอาละในท่ามกลางที่อยู่สภาพแวดล้อมที่เขามีความเชื่อเหล่านี้ พุทธศาสนาก็มีเรื่องเหล่านี้เข้ามาช่วย จะดึงเข้ามาในความหมายที่ขัดเกลาให้ปราณีตใช่มั้ย นี้สิ่งเหล่านี้เราจะต้องยอมรับความจริงที่พูดไปแล้วว่าปุถุชนเนี่ยใจมันยังหวั่นไหว มันยังมีกิเลส อันนี้ถ้าไม่ได้ฝึกจิตอย่างดีนะ อ้าว เวลาเกิดเหตุการณ์เฉพาะหน้ารุนแรงขึ้นมานี้มันตั้งตัวไม่ติดเหมือนกันนะ ถ้าตั้งตัวไม่ติดจิตเตลิด เสียขวัญ ขวัญหนีดีฝ่อนี่ ทำอะไรไม่ถูกเลยนะ พละกำลังก็ไม่มีแล้วทำอะไรก็ไม่ถูกด้วยเพราะจิตใจไม่มีจุดยึด เสียสติ เสียสมาธิ ถ้าอย่างงี้ แม้เป็นชาวพุทธก็กลายเป็นแพ้พวกอื่น
ทีนี้พวกที่มีศรัทธารุนแรงเนี้ยนะ ไม่ว่าเชื่ออะไรหรอก เอาอะไรก็ได้ นะฮะ แม้แต่เอากบเอาเขียดก็ได้ นะฮะ ก็ศาสนาโบราณบางทีไปเอาสัตว์อะไรต่ออะไรก็อะไรมากันนับถือถูกมั้ย เอาอะไรก็ได้ให้มันมีศรัทธาซะอย่างอะไรเนี่ย มันอยู่ที่จิตไร้สำนึก ถ้าลงมันเชื่อลงจิตไร้สำนึกแล้วนะฮะ จิตมันมั่นเลยทีเดียว เพราะฉะนั้นจะเป็นศาสนาที่ไหนๆก็มันสำคัญสาระมันอยู่ที่ไอ้เนี่ยตัวศรัทธาที่ลงถึงจิตไร้สำนึก นี้ถ้าเขามีศรัทธารุนแรง ไอ้ศรัทธารุนแรงนี่มันทำให้จิตมีกำลังใช่มั้ย แล้วจิตมันจะพุ่งแน่วไปสู่สิ่งนั้น พอจิตพุ่งแน่วมันก็เกิดสมาธิสิ นี้เกิดเหตุร้ายขึ้นมาโดยฉับพลันทันทีเนี่ย ปั๊บนี่น่ะ คนที่มีความเชื่อในสิ่งศักดิ์สิทธิ์อยู่ จิตมันมีจุดรวมเลย มันมีจุดพุ่งจุดรวมปั๊บมันไปอยู่ที่สิ่งนั้นมันก็เข้มแข็งขึ้นมาใช่มั้ย พอจิตมันเข้มแข็ง มีจุดยึดใจมันก็เป็นสมาธิ ตั้งสติได้ ก็ทำการได้สิ
ทีนี้คนที่ไม่ได้มีความเชื่อในสิ่งเหล่านี้เนี่ย แล้วไม่ได้ฝึกจิตของตัวเองดีพอ พอเกิดเหตุขึ้นมาตั้งสติไม่ทัน จิตเตลิดเลยพร่าหมดเลย คราวนี้เลยแย่เลยใช่มั้ย ทำอะไรไม่ถูกเลย กลับแพ้พวกมีศรัทธา เพราะฉะนั้นอย่าไปดูถูก ทำยังไง ก็เราจึงต้องมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในความหมายนี้ แต่ว่าเราดึงเข้ามาหาพุทธคุณ เพราะฉะนั้น ชาวพุทธเราก็มีพุทธคุณ มีพระรัตนตรัยไว้เป็นหลัก ซึ่งดึงมนุษย์เรานี่พ้นความชั่วร้าย จากโทษของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่มันไม่เข้าเรื่องเหล่านั้นแล้ว ทำมนุษย์ให้พัฒนาให้ปราณีตขึ้นมา นะจะได้สามารถ เราไม่ได้หยุดอยู่แค่นั้น ไม่ให้เขามีสิ่งยึดเหนี่ยวแล้วอยู่เท่านั้น แต่เราต้องการดึงเขาขึ้นสู่สิ่งที่ดีงามขึ้นไปด้วย ไม่ใช่จมอยู่ ใช่มั้ยฮะ
เรื่องของจิตไร้สำนึกนี่ มันเป็นเรื่องที่ว่าแรงจนคาดไม่ถึง สมมติว่าเราเข้าไปในป่า เอาในทางร้ายนะฮะ เราเข้าไปในป่า เนี่ยนะ เดินกันไปเป็นกลุ่มเนี่ย มีคนหนึ่งตะโกนขึ้นบอกเสือมาแล้วเท่านี้แหละครับ ตัวสั่นงันงกตั้งสติไม่อยู่อะไรต่างๆ เป็นกันไปต่างๆเนี่ย ต้องคิดมั้ย ว่าเสือรูปร่างมันเป็นอย่างงั้นนะ เออ มันน่ากลัวอย่างงั้น มันเป็นอันตรายต่อเราอย่างงั้น ต้องใช้เวลาคิดมั้ยครับที่จะเกิดตัวสั่งงันงก ไม่ต้องเลยใช่มั้ย นี่คือสภาพที่ลงจิตไร้สำนึก ไอ้สิ่งอะไรที่มันลงถึงจิตไร้สำนึกเนี่ย มันออกมามันทันทีพรั่ง มันไม่ต้องเวลาคิดหรอก ไม่เหมือนของเรื่องของจิตสำนึก ถ้าจิตสำนึกต้องคิดก่อน จะเอายังไง จะทำยังไง นี่ในทางเรื่องของตรงข้ามก็เช่นเดียวกัน ใช่มั้ย เพราะฉะนั้นมันจึงมีคู่เทียบ
เวลาเราเกิดความประหม่า ไม่ต้องไปถึงหนีเสือหรอก เอาแค่ว่าจะต้องขึ้นพูดในที่ประชุมเนี่ย แล้วมันต้องมาคิดมั้ยว่าจะประหม่า มีมั้ยต้องคิดมั้ย มันเป็นมาเองใช่มั้ย เออ นี่มันมาจากจิตไร้สำนึก แล้วความกลัวความหวาดนี่นะฮะ ทีนี้มันมีอะไรที่จะทำให้จิตของคนมีตัวสู้อันเนี้ย มันก็ต้องอยู่ในจิตไร้สำนึกเหมือนกัน ต้องแรงพอกันใช่มั้ยฮะ นี้พอว่าเสือมาแล้วนี่ ถ้าเรามีไอ้หลักที่ความเชื่อในใจที่มันแข็งมากใช่มั้ย ไอ้ตัวนี้มันยันกันอยู่ในตัวเลย ปั๊บ ดุลเลยใช่มั้ย อยู่ ไม่ตัวสั่น ไม่ขวัญหาย ไม่เตลิด อันนี้เราสามารถไปถึงได้มั้ย ด้วยตนเอง ถ้าตนเองต้องฝึกจิต ฝึกจิตให้มีความเข้มแข็งพอ อันนี้คือการพัฒนามนุษย์ แต่สำหรับมนุษย์ปุถุชนที่ยังไม่มีพื้นฐานนี่ ก็อาศัยอะไร อาศัยสิ่งที่เชื่อ ใช่มั้ย มา มาคู่ดุลกับไอ้สิ่งที่เป็นตัวตรงข้ามในระดับจิตสำ ไร้สำนึกเนี่ย เพราะฉะนั้นต้องคิดหลายๆชั้น เรื่องเหล่านี้
เหตุการณ์แบบนี้จะมีเยอะเลยนะฮะ บอกว่าเวลามีอะไรไอ้ที่มันลงถึงความกลัวเป็นต้นน่ะที่อยู่ในจิตไร้สำนึกเนี่ย มันเป็นทันทีเลย ใช่มั้ย ขาสั่นพั่บๆๆๆ หรืออย่าง เอ่อ แม้แต่อย่างที่เคยเล่าว่า เอ่อ นักมวย นักกีฬาเนี่ย นะฮะ แข็งแรงออกอย่างกับอะไร นะฮะ ไปสอบ สอบมาแล้วก็วัน ถึงประกาศผลก็มาดูผลสอบ ประกาศ พอดูประกาศผล ไม่มีชื่อเท่านั้นล่ะ ขาอ่อนพับยืนไม่อยู่เลย เชื่อมั้ย เป็นไปได้มั้ยครับ เป็นไปได้ เอ้า ก็นักกีฬาก็แสนจะแข็งแรงไง ร่างกายฟิตอย่างกับอะไร ใช่มั้ย อยู่ๆมาอ่านประกาศเท่านั้นแหละ ขาอ่อนยืนไม่อยู่แล้ว เดินไม่ได้แล้ว ใช่มั้ยฮะ เนี่ยกำลังใจ มันลงจิตถึงไร้สำนึกเนี่ย มันไม่ต้องคิดหรอก มันเป็นทันทีเลย
เพราะฉะนั้นอะไรที่มัน จะแก้กันอย่างทันทีได้อย่างนี้ ไม่ต้องใช้ความคิด มันต้องถึงขั้นนี้ใช่มั้ย มันต้องถึงขั้นนี้จึงจะแก้กันได้ ไปมัวคิดกันอยู่ไอ้ฝ่ายโน้นมันไม่ต้องคิด พอได้ยินเท่านั้นมันไปแล้ว ไอ้ฝ่ายนี้จะมาคิดอยู่ตามเหตุผลว่ามันเป็นไปไม่ได้ ไม่ทันหรอก นะฮะ นี่เป็นเรื่องที่ต้องแก้กันให้ถึงขั้นจิตไร้สำนึก แต่เอาแล้วนะนี่นี่ก็เป็นอันว่าเนี่ยเป็นเรื่องที่เราจะต้องเข้าใจเหตุผล เพราะฉะนั้นเรื่องความศักดิ์สิทธิ์ก็เข้ามาสู่พุทธศาสนา แต่ต้องระวังมาก อ้าวทีนี้ว่าความเชื่อในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ก็ในแง่นี้ก็เหมือนกับมีผลดีอยู่บ้าง ทำให้เกิดกำลังใจความเข้มแข็งขึ้นมาใช่มั้ย โดยเฉพาะในระดับของเรื่องจิตไร้สำนึกที่มีความรุนแรงอาจจะเกิดขึ้นมาปัจจุบันทันด่วน เรื่องเกี่ยวกับสัญชาตญาณความกลัว เป็นต้น มาแก้กันได้ แต่ต้องระวัง พร้อมกันนั้นมันก็มีผลร้าย
เมื่อเราเชื่อในสิ่งเหล่านี้แล้ว มันก็เริ่มจะมีผลก็คือการหวังพึ่งว่ามีอำนาจดลบันดาล อำนาจภายนอกที่จะมาช่วยเรา แน่ เราก็มีความอุ่นใจ นี้ลองคิดดู นะฮะ คนที่หวังสิ่งที่ช่วยเหลือภายนอก ยังต้องพึ่งสิ่งภายนอกอยู่ นะฮะ ก็มีความอุ่นใจ มีผลดีนี่ เราไม่ได้ปฏิเสธ ใช่มั้ยฮะ มีผลดี มีความอุ่นใจ มั่นใจ กำลังใจเกิดขึ้นแหละ แต่ว่ากำลังใจนี้มาจากการที่อุ่นใจว่าจะมีพลังอื่นมาช่วย หรือคนอื่นช่วย ใช่มั้ยฮะ กับการที่ว่าถ้าเราทำได้ด้วยตนเอง อันไหนดีกว่ากัน อ้า การที่ว่า อู๋ อุ่นใจ มั่นใจว่าเนี่ยมีภัยอันตราย ท่านจะมาช่วยเรา กับการที่เราแก้ไขอันตรายได้ด้วยตนเอง เอาอันไหนดีกว่ากัน อันหลังดีกว่า
เราจะยอมจมอยู่แค่ระดับหวังพึ่ง อุ่นใจ สบายใจ แค่นั้น หรือเราจะพัฒนาไปสู่การพึ่งตนเองได้ แก้ไขปัดเป่าปัญหาด้วยตนเอง ถ้าอย่างงี้เราก็แบ่งคนเป็น 3 ระดับ ระดับที่ 1 คือ คนที่ช่วยตัวเองก็ไม่ได้ ไม่มีความสามารถ แล้วก็ไม่มีที่พึ่งเลย ไม่มีความหวังว่าใครจะช่วย อ้า ขาดความหวังขาดความอุ่นใจ นะฮะ ขาดกำลังใจนี่พวกที่ 1 พวกที่ 2 นี่มีความหวังจากอำนาจภายนอก คนอื่น เหนือสิ่งศักดิ์สิทธิ์จะมาช่วย อุ่นใจ มีกำลังใจ พวกที่ 2 พวกที่ 3 นี่มีความสามารถจะกำจัดภัยอันตรายด้วยตนเอง พึ่งตนเองได้ 3 พวกนี่ เอ้า ลองวัดซิครับ ระดับไหนดีที่สุด ระดับ 3 แล้วระดับไหนรองลงมา ระดับ 2 ยังมีความอุ่นใจ และที่แย่ที่สุดก็คือระดับ 1 เอ้านะ อันนี้ โดยทั่วไป ใครๆก็ต้องตอบอย่างเงี้ย นะฮะ อย่าเพิ่ง บางทีไม่แน่ นะฮะ
ทีนี้ เอาแล้ว โดยมาตรฐาน 3 อัน ก็ต้องว่าอย่างเงี้ย การที่มีที่พึ่งให้ความอุ่นใจมันก็ยังดีนะฮะ แต่ว่า อันที่ 1 ที่ 2 เนี่ยไม่เด็ดขาด คนที่ไม่มีที่หวังว่าจะมีใครมาให้พึ่งมาให้ช่วยเนี่ยนะ กับคนที่มีที่หวังอุ่นใจว่าใครจะช่วยเนี่ย ดูก่อนว่าพวกที่หวังพึ่งมีคนจะช่วยเนี่ย จะมีจุดอ่อนอะไรบ้าง จุดอ่อนอย่างน้อย 2 ประการ หนึ่ง การที่หวังพึ่งผู้อื่นได้ ทำให้รอคอย และไม่เพียรพยายามที่จะแก้ไข ใช้ปัญญาบำบัดปัญหาด้วยตนเอง ไม่ดิ้นรน นะฮะ ไม่ทำความเพียรพยายาม อุ่นใจแล้วก็นอนรอซิ ใช่มั้ย อ้าวล่ะ ทำให้อ่อนแอ ใช่มั้ยฮะ ตกอยู่ในความประมาท เพราะปล่อยเวลานี่ หวังพึ่ง ตัวเองก็เลยไม่ได้พัฒนาตัวเองด้วย ไม่พัฒนาตัวเองด้วย ตกอยู่ในความประมาทด้วย นะฮะ
ทีนี้ หนึ่งแล้วนะฮะ หวังพึ่งเขา สอง อะไร สองก็คือ ความไม่ชัดเจนว่าสิ่งเหล่านั้นน่ะ ก็ยังไม่รู้ว่าท่านจะช่วยจริงหรือเปล่า บางทีถึงกับว่าช่วยได้จริงหรือเปล่า ใช่มั้ยฮะ และช่วยได้จริง จะมาช่วยหรือเปล่า อันในเวลาที่ต้องการ แล้วเราเองจะต้องทำแค่ไหน ความไม่ชัดเจนเรื่องนี้เป็นอันตรายมาก นะฮะ มนุษย์นี่ถ้าไม่มีความชัดเจนว่า เขาจะช่วยแค่ไหน ตัวต้องทำแค่ไหนเนี่ย อันตราย ทำให้รีรีรอรอ หันรีหันขวาง แล้วก็ไม่ทำการอะไรให้ชัดเจนลงไป ทีนี้เราไปเทียบกับคนที่ไม่มีความหวังเลย นะฮะ อาจจะแย่เลย หรือไม่งั้นจะดิ้นเต็มที่ คนที่รู้ว่าไม่มีใครช่วย เด็ดขาดแล้ว นะฮะ มันจะดิ้นสุดฤทธิ์ เชื่อมั้ย แล้วเขาอาจจะเข้มแข็ง และอาจจะเลยหน้าพวกที่ 2 ได้ นะฮะ
เพราะฉะนั้น การที่มีความหวังจากการช่วยเหลือผู้อื่นนี้มีอันตรายอย่างที่ว่ามาแล้ว 2 ประการ การหวังพึ่งก็ทำให้อ่อนแอด้วยตนเอง แล้วก็การที่ไม่ชัดเจนนี้จะทำให้หันรีหันขวาง นะฮะ ทำอะไรก็ไม่ทำให้ชัดลงไป อันนี้เรื่องนี้เป็นแม้แต่ไม่เฉพาะอำนาจช่วยเหลือจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์เร้นลับนะ อำนาจที่เราจะหวังพึ่งจากภายนอกเนี่ยมี 2 แบบ คือ หนึ่ง จากมนุษย์ด้วยกัน สอง จากสิ่งศักดิ์สิทธิ์อำนาจเร้นลับที่มองไม่เห็น แม้แต่การหวังพึ่งในหมู่มนุษย์ด้วยกัน ก็มีอันตราย ในสังคมใดที่มนุษย์ช่วยเหลือกันดี ช่วยเหลือกันจริงๆด้วย ซึ่งอาจจะช่วยเหลือกันดีกว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์อีก นะฮะ เพราะแน่นอนกว่า
แต่เมื่อมนุษย์หวังพึ่งกันได้แล้ว จะทำให้คนจำนวนไม่น้อยเนี่ย รอคอยความช่วยเหลือ และด้วยความหวังพึ่งผู้อื่นนั้นก็ไม่ทำการ ไม่ดิ้นรนขวนขวาย ก็จะอ่อนแอและตกอยู่ในความประมาท เป็นเหตุอ่อนแอทั้งของสังคมเลยทีเดียว ประการที่ 2 การช่วยเหลือนั้นไม่ชัดเจน แม้แต่ในระดับประเทศ เช่นว่า รัฐบาลกับประชาชน รัฐบาลให้ความหวังกับประชาชนว่าจะช่วยเหลือ แต่ไม่ได้ทำความชัดเจนว่า รัฐบาลจะช่วยได้แค่ไหน ประชาชนต้องทำเองเท่าไหร่ ถ้าอย่างนี้ ประชาชนจะรีรีรอรอ จะทำอะไรก็ไม่ทำ หันรีหันขวาง อันนี้เขาจะช่วยหรืออะไร เราจัดความช่วยก็ไม่แน่จะมาซักที เลยไม่เป็นอันทำอะไร
ถ้าอย่างนี้ไม่ช่วยเลยเด็ดขาดดีกว่า ถ้าไม่ช่วยเลย มันรู้แน่นอนไปแล้ว มันจะดิ้นสุดฤทธิ์อย่างที่ว่า ถ้าคนเรามันรู้ว่ามันต้องทำแล้ว นะฮะ ไม่มีใครเอาด้วย ไม่มีใครช่วย ใช่มั้ย ต้องทำเนี่ย มันจะทำการแล้วมีความเข้มแข็งขึ้นมา นั้น อันตรายจากหวังพึ่งผู้อื่นนี้ จึงมีทั้ง 2 สถาน หนึ่ง การที่หวังพึ่งได้ ก็อ่อนแอ รอคอย ตกอยู่ในความประมาท สอง ความไม่ชัดเจนว่า จะช่วยแค่ไหน ก็จะทำให้หันรีหันขวาง รีรอ ทำอะไรก็ไม่ทำให้เด็ดขาดลงไป นั้น นี้เป็นคติไม่เฉพาะสัมพันธ์กับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แม้แต่ในหมู่มนุษย์ด้วยกันเอง
เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าจึงสอนหลักธรรมว่า อย่าอยู่แค่เมตตา กรุณา มุทิตา ต้องถึงอุเบกขาด้วย นะฮะ เพื่อจะแก้ปัญหาเรื่องนี้ แล้วก็ในหมู่มนุษย์ที่ว่า เช่น ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลกับประชาชนต้องระวัง อย่าให้ประชาชนอยู่ด้วยความหวังแล้วไม่ชัดเจนว่า เขาจะต้องทำแค่ไหน นะฮะ ต้องให้เด็ดขาดลงไปเลย ต้องทำความชัดเจน ถืออันนี้เป็นเรื่องสำคัญมาก ว่ารัฐบาลจะช่วยแค่ไหน ประชาชนต้องทำเท่าใดอันนี้ต้องชัดที่สุด ถ้าไม่ชัดนั้นคือความเสื่อมของสังคมทันทีเลย นะฮะ บอกแล้วว่าถ้าจะช่วยแบบนี้ ไม่ช่วยดีกว่า นะฮะ ถ้าไม่ช่วย ให้รู้ว่าไม่ช่วยเด็ดขาด เธอจะต้องทำเอง เขาจะดิ้น แล้วเขาจะเข้มแข็งขึ้นมา นะฮะ
เอาละครับเป็นอันว่า เพราะฉะนั้นไม่แน่ว่าระดับ 1 กับระดับ 2 นี่ใครจะดีกว่ากัน ใช่มั้ย อย่าไปนึกว่าคนที่ไม่มีความหวัง พึ่งใครไม่ได้นี้จะแย่กว่าคนที่มีที่หวังพึ่ง อ่า เพราะว่าความหวังพึ่งนั้น มีโทษที่ทำให้อ่อนแอ แล้วก็ความไม่แน่นอนเด็ดขาดในการที่ต้องดิ้นรนขวนขวายทำเอง ตกอยู่ในความประมาทเป็นต้น เพราะฉะนั้น การหวังพึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์อำนาจเร้นลับนั้น พระพุทธเจ้าจึงไม่ทรงสนับสนุน ตอนนี้จุดแยกที่สำคัญมาก มาช่วยได้เฉพาะให้กำลังใจในการกระทำการ เช่น หายกลัว พระไปปฏิบัติธรรมในป่า ที่พูดไปแล้ว นะฮะ
พระพุทธเจ้าให้หลักว่าระลึกถึงพระพุทธเจ้าจะได้หายกลัว แล้วมีกำลังที่จะมาปฏิบัติ แต่สิ่งที่จะต้องปฏิบัติ ชัดเจนอยู่แล้ว ใช่มั้ย พระจะต้องปฏิบัติหน้าที่ ไอ้การที่มาช่วยให้กำลังใจเนี่ย ไม่ไปทำให้ขัดขวางการที่ท่านจะปฏิบัติกิจหน้าที่ แต่ไปส่งเสริมกำลังขึ้นไป แต่ถ้าการเชื่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์หวังพึ่งนี้ มันมาทำให้เราเลยคิดว่าคนอื่นมาช่วย แล้วเราก็เลยไม่ต้องทำ แสดงว่า เราจะไม่ มันกับการที่เชื่อหวังพึ่ง หรือการเกิดกำลังใจครั้งนี้ไม่ไปสนับสนุนการกระทำของตน ผิดเลยทันที ใช่มั้ยฮะ
มันกลายเป็นไปว่า ไปหยุดการกระทำเลย หยุดความเพียร มันต้องเป็นตัวหนุนความเพียรเท่านั้นจึงจะใช้ได้ ถ้าไปหยุดความเพียร ผิด นี้การหวังพึ่งนี้ทำให้ผิด เพราะว่าหวังพึ่ง ทำให้ตนเองไม่เพียรพยายาม จุดนี้พลาด เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าไม่ได้ปฏิเสธว่าเทวดามีจริงหรือไม่มี พระพุทธเจ้าไม่ปฏิเสธ ฤทธิ์เดช ปาฏิหาริย์ มีหรือไม่มี รับเลย มี เทวดา มี อิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์มีจริง นะฮะ ไม่ไปเสียเวลาเถียง เถียงไปก็ไร้ประโยชน์ เถียงไปร้อยปีพันปีไม่รู้จักจบ ไม่มีชนะกันละฮะ ถ้าเถียงว่าเทวดามีไม่มี นะฮะ อีกห้าพันปีก็เถียงไม่จบ เถียงว่าฤทธิ์ปาฏิหาริย์มีจริง ไสยศาสตร์ทำได้จริงมั้ยน่ะ เถียงอีกห้าหมื่นปี ไม่จบ เชื่อมั้ย เถียงไปทำไม แล้วก็รอว่าต้องเถียงเสร็จแล้วจึงปฏิบัติได้ ไม่ได้เรื่อง
พุทธศาสนาท่านไม่ให้รอ การปฏิบัติของพุทธศาสนาไม่ต้องไปขึ้น ไม่ต้องไปรอการเถียงเหล่านี้ ยอมรับก็ได้ มีก็มี เป็นไรไป เทวดามีก็มี ฤทธิ์ปาฏิหาริย์ ไสยศาสตร์มีก็จริง มี ฉันก็ไม่พึ่ง นี่ นี่พุทธศาสนาเด็ดขาดตรงนี้น่ะ เทวดามีฉันก็ไม่หวังพึ่ง เออ ฤทธิ์ปาฏิหาริย์ มี ฉันก็ไม่หวังพึ่ง ไม่ต้องไปรอเขาเถียง แกจะเถียงก็เถียงกันไป แกจะเถียง เถียงไป ฉันไม่รอ ฉันปฏิบัติได้ทันที เนี่ยจับจุดนี้ให้ได้ พุทธศาสนาไม่ต้องไปเถียง นะฮะ ก็มันเด็ดขาดไปแล้ว มีก็ไม่หวังพี่งแล้วจะไปยุ่งอะไรอีกล่ะ ใช่มั้ย เอ้า ก็เด็ดขาดหมดเรื่องไปแล้ว นะฮะ เนี่ย เดี๋ยวนี้ยังจับจุดนี้ไม่ได้ ไปเถียงกันอยู่นั่นน่ะ เอ้อ คล้ายๆว่า เออ ถ้าเถียงกัน ถ้ารู้ว่ามีแล้วต้องหวังพึ่งซิใช่มั้ย ไปอยู่ที่นั่นเอง เลยไม่เป็นอันปฏิบัติ พุทธศาสนาเด็ดขาดมากตรงนี้ นั้นเราเลยไม่ต้องไปขึ้นกับการถกเถียงของใคร
พระพุทธเจ้ามีฤทฺธิ์ ใช่มั้ย มีฤทธิ์มาก เออ ใครจะมีฤทธิ์เท่าพระพุทธเจ้าล่ะ เออ แต่พระพุทธเจ้าใช้ฤทธิ์ทำอะไรบ้าง ในพระพุทธประวัติมีมั้ยครับ 45 พรรษา พระพุทธเจ้ายอดของคนมีฤทฺธิ์เคยใช้ฤทธิ์บันดาลผลที่ต้องการให้แก่ลูกศิษย์คนไหน มีมั้ย ไม่มี จริงมั้ย อ้า แล้วทำไมพระพุทธเจ้ายอดมีฤทฺธิ์ แล้วทำไมไม่ใช้ฤทธิ์บันดาลผลที่ต้องการให้แก่ลูกศิษย์ แก่สาวก แก่ชาวพุทธ เดี๋ยวก็ชาวพุทธคนนี้มีเรื่อง อยากได้นี่ก็ไปหาพระพุทธเจ้าช่วยบันดาล ไม่มีใช่มั้ย พระพุทธเจ้านี่หลักการของเราชัด มีเหตุผล ทั้งๆที่มี ทำได้จริง แต่ไม่เอา เทวดา เรายอมรับ มี ให้อยู่กันอย่างมิตร นะฮะ อย่าไปอ้อนวอน อย่าไปหวังพึ่ง ทำหน้าที่ของกันและกัน นะฮะ
เสร็จแล้ว เทวดาดีมีคุณธรรมจะช่วย ช่วยด้วยคุณธรรมซิ ใช่มั้ย เรื่องจะเป็นอย่างงี้ ในตำนานคัมภีร์พุทธศาสนา เราไม่ต้องไปหวังพึ่ง ไม่ต้องไปอ้อนวอนขอความช่วยเหลือ ถ้าเทวดามันดีมีคุณธรรมก็ต้องช่วยคนดี เอ้า เทวดาไม่มีคุณธรรม ก็ต้องรอให้คนไปอ้อนวอน ให้เครื่องเซ่น ใช่มั้ยฮะ ถ้าให้เทวดารอเครื่องเซ่น ไอ้คนดีไม่ได้เซ่นก็ไม่ช่วย ไอ้คนร้ายไปเซ่น ก็ช่วย เอ้ ยังงี้มันจะยุติธรรมเหรอ ต่อไปศีลธรรมก็เสียหมด ระบบในสังคมมนุษย์ก็เสีย เทวดาก็เสียไปด้วยกันน่ะ นะฮะ
ในหมู่มนุษย์นี่น่ะ คนมีอำนาจมีทรัพย์ เราก็ไม่ควรไปรอหวังพึ่งใช่มั้ย เราก็ควรจะทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด เมื่อเราทำดีแล้ว คนมีทรัพย์มีอำนาจ ถ้าเขามีคุณธรรมเขาต้องมาช่วยคนดีซิ คนดี คนตกทุกข์ได้ยาก ยากไร้ ก็ต้องมาช่วยด้วยคุณธรรม ไม่ใช่ต้องไปรอ ให้ไปอ้อนวอนอะไรอย่างงั้น นะฮะ ถ้าต้องไปรออ้อนวอนอย่างงั้น ไอ้ระบบสังคมก็เสีย ถูกมั้ยฮะ อ่า ตัวคุณธรรมก็ไม่มี หวัง ฝ่ายคนอ่อนแอก็หวังพึ่ง ไอ้ฝ่ายคนที่มีกำลังก็ต้อง เอา เรียกว่าต้องใช้ ไอ้ การยกย่อง สรรเสริญ เยินยอ หรือการที่เอากิเลส อะไรพวก ผลตอบแทน เครื่องเซ่นอะไรเข้าว่า เพราะฉะนั้นก็เสีย
ทีนี้ ยิ่งไปสัมพันธ์กับเทวดาด้วย มันจะไม่เสียเฉพาะสังคมมนุษย์ มันจะเสียสังคมเทวดาด้วย เทวดาก็จะไม่เป็นอันไปปฏิบัติพัฒนาตนเอง ตัวเองก็ยังมีกิเลส มีโลภะ โทสะ แทนที่จะไปปฏิบัติธรรม ขัดเกลาพัฒนาตัวเองก็มามองว่ามนุษย์คนไหนจะเซ่นฉัน จะเอาเครื่องเซ่นมาให้มาก จะไปช่วยคนไหน ใช่มั้ย แทนที่จะไปดูว่าคนไหนเขาดีแล้วเราไปช่วยเนี่ย ไปดูว่าเขาให้เครื่องเซ่น เราไปช่วย อย่างงี้มันจะใช้ได้ที่ไหนล่ะ นะฮะ เพราะฉะนั้นเทวดาในพุทธศาสนาไม่รอเครื่องเซ่นครับ เรามีเรื่องเทวดา เทวดาก็เหมือนมนุษย์เนี่ยต้องช่วยด้วยคุณธรรม ถ้าคนไหนทำความดีเดือดร้อนแล้ว เทวดาต้องอาสน์ร้อนเอง นี่ ไม่มีการไปขอเซ่นไหว้เลย
ในตำนานพุทธศาสนา อันนี้จะต่างกับของฮินดูชัด แต่ชาวพุทธเองก็ไม่เคยสังเกตว่าต่างกันอย่างไร ของฮินดูนี่ต้องไปบูชายัญ เอ้อ ไปหาพราหมณ์ เอ้อ เทวดาองค์นี้มีฤทธิ์เก่งในทางบันดาลนี้ องค์นี้เก่งในทางบันดาลลาภ องค์นี้เก่งทางบันดาลยศ องค์นี้เก่งทางบันดาลลูกให้ องค์นี้เก่งทางอะไรก็ไม่รู้ บันดาลเก่ง แล้วเทวดาองค์นี้ชอบเครื่องเซ่นแบบนี้ ชอบเครื่องเซ่นแบบนี้ อ้าว ใครอยากจะได้อะไรก็ต้องไปหาพราหมณ์ ใช่มั้ย พราหมณ์เป็นผู้เชี่ยวชาญก็บอก เออ แกอยากได้อันนี้ ต้องเทวดาองค์นี้ อ้าว แล้วเทวดาองค์นี้ท่านชอบอย่างนี้ ก็จัดเครื่องเซ่นอย่างนี้ ถูกมั้ยฮะ พราหมณ์ก็สบายซิได้ ค่า ค่าตอบแทนในการจัดพิธี ใช่มั้ยฮะ แกก็ได้เงินได้ทอง แกก็กุมอำนาจในการที่ติดต่อกับเทพเจ้าไว้ ใช่มั้ย ทีนี้มนุษย์ก็สัมพันธ์กับเทพเจ้า ต้องเอาเครื่องเซ่นมา มาบูชายัญ เอาใจหนักเข้าหนักเข้าก็ต้องฆ่าสัตว์ ฆ่าคนบูชายัญ ไม่มีที่สิ้นสุด
เนี่ย ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับเทวดาในลักษณะศาสนาพราหมณ์ พุทธศาสนาไม่มี ไม่ต้องเป็นเครื่องเซ่น อย่างดี บอกกล่าว อ้าว เราให้ความเคารพ เราไม่เหยียดหยามเทวดา นะฮะ เราไปไหนเราแผ่เมตตาให้เทวดา เออ ความสัมพันธ์เนี่ยต้องจับให้ดีนะ พุทธกับพราหมณ์ พราหมณ์สัมพันธ์กับเทวดาต้องไปอ้อนวอนแล้วคอยหวังพึ่ง คอยขอผลประโยชน์ เครื่องเซ่นเอาไปให้ แต่พุทธศาสนานี่มีความสัมพันธ์แบบเมตตา นะฮะ เป็นเพื่อนร่วมโลก เราอยู่ด้วยกันเป็นเพื่อนร่วมโลกต้องมีเมตตาต่อกันไม่เฉพาะกับเทวดาหรอก แม้แต่กับแมว ใช่มั้ย เราก็ต้องมีเมตตา ถูกมั้ย เพราะฉะนั้นกับแมวยังมีเมตตา แล้วกับเทวดาไม่มีเมตตายังไง งั้นเราไปไหนเราก็แผ่เมตตาให้กับเทวดาด้วย ขอให้ท่านเป็นสุข เราทำบุญ เราก็อุทิศกุศล กุศลให้แก่เทวดา นี้ เราสวดมนต์ เราก็ อย่างที่เคยบอก เราก็ชุมนุมเทวดา บอกให้เทวดามาร่วมฟังธรรมด้วย เผื่อแผ่จิตใจให้ นี่คือการอยู่กันอย่างฉันมิตร
ทีนี้ถ้าคนดีตกต่ำเดือดร้อน เทวดาอาสน์ร้อน พระอินทร์อาสน์ร้อนเลย ทิพอาสน์เคยอ่อนแต่ก่อนมา กระด้างดั่งศิลาประหลาดใจ ใช่มั้ย อันนี้ คติพุทธ หมายความว่า เทวดาต้องเดือดร้อนเอง นะฮะ ไม่ใช่ว่าจะต้องมาเครื่องเซ่น คนดีทำความดี เทวดาก็ต้องคอยคำนึง คอยพิจารณา ต้องคอยตรวจตราใครตกต่ำเดือดร้อน แล้วมาช่วย ช่วยด้วยคุณธรรมของตัวเอง มนุษย์ไม่ต้องไปรอ แล้วอย่างนี้มนุษย์เองก็จะดี หลักธรรม อ้า ธรรมะก็อยู่ในสังคมได้ แล้วโลกเทวดาเองก็จะดีด้วย เทวดาก็จะอยู่ในธรรมะ ใช่มั้ยฮะ อันเนี้ย หลักการอันเนี้ย สำคัญมาก เพราะฉะนั้นก็มนุษย์ก็ต้องปฏิบัติทำหน้าที่ของตัวเองให้ถูกต้อง
นั้นอย่างเรื่องมหาชนกนี่ เล่าอีกที มหาชนกที่ในหลวงทรงนำมาพระราชนิพนธ์เนี่ย ก็แสดงคตินี้ชัดเจน มหาชนกบำเพ็ญวิริยะบารมี นะฮะ คราวหนึ่งก็ไปค้าขาย เดินทางไปในเรื่องเดินสมุทรออกในทะเลใหญ่ นะฮะ เกิดมีมรสุมมารุนแรง เรือจะแตก โอ้ แน่นอนแล้วเรือจะแตก มองไม่เห็นฝั่ง เอาละซิ พอรู้ว่าเรือแตกนะ จิตไร้สำนึกสำแดงเดชแล้วใช่มั้ย ความกลัวขึ้นมาตัวสั่นงันงก คร่ำครวญเทวา ปริเทวนาการ นะฮะ พวกหนึ่งก็ร้องไห้คร่ำครวญ รำไพ รำพันถึงพ่อแม่ญาติพี่น้องที่อยู่ที่บ้าน เอาซิทีนี้ ไม่มีสติ อีกพวกหนึ่งก็กราบไหว้อ้อนวอนเทวดาให้มาช่วยอะไรต่างๆ นี่คนมีอาการวิปริตต่างๆมากมาย
ส่วนมหาชนกนี่ไม่เอาทั้งนั้น ไม่รำพันรำพึงร้องไห้คร่ำครวญ ไม่มาอ้อนวอนเทวดา ไม่เอาทั้งนั้น ใช้ปัญญาพิจารณาตั้งสติแก้ไขสถานการณ์ เรือจะจวนล่มแล้ว เราเตรียมตัวยังไงจึงจะดีที่สุด เรือแตกลงไปอยู่ในมหาสมุทรให้อยู่ได้นานที่สุด ถ้ามันจะตายก็ให้อยู่ได้นานหน่อย แต่ทว่ามัน ในขณะที่อยู่ได้นาน มันมีโอกาส อาจจะรอดใช่มั้ย อาจจะมีเรือผ่านมา หรืออาจจะเราว่ายมีกำลังพอ มันไม่ไกลนักก็ไปถึงฝั่ง เอ้า เตรียมตัว แต่ใช้สติปัญญา คิดการ เตรียมหาจุดที่ดีที่สุดในเรือที่จะไปอยู่ ตรงที่ว่ามันเรือลงไปแล้วเราจะไม่ถูกเรือดูดหรือว่า เราจะไม่ถูกครอบเสีย แล้วก็หาไม้หาท่อนไม้มาเตรียมตัวไว้ แกก็เตรียมดีที่สุดเลยใช่มั้ยฮะ
พอถึงตอนมันคว่ำจริงๆล่มจริงๆ แกก็ดำรงตัวได้ดีที่สุด มหาชนกเนี่ย เรียกแกก็ไม่ค่อยถูกละนะ พระองค์แล้ว ต้องเป็นพระองค์ ขอ ขออภัย ก็เรียกพระองค์ พระองค์ก็ลงไป ลงอยู่ในน้ำอย่างดี มีท่อนไม้อะไรเกาะ ใช่มั้ยฮะ แล้วก็ว่ายน้ำ นะฮะ ใช้ความเพียร พอลงไปแล้วก็ไม่ได้รำพึงรำพัน ไม่ได้ท้อถอยหดหู่ ท้อแท้ใจ ใช้พลัง กำลังเท่าที่มี ลองคิดว่าทิศไหนดีที่สุดที่น่าจะมีฝั่ง มันไม่เห็นทุกทิศแหละนะ เอา มันก็ต้องลองทิศหนึ่งแหละนะ เสี่ยงมันดู อยู่เฉยตายเปล่า ถ้าลองดูอาจจะตายก็ได้ แต่อาจจะรอดก็ได้ ก็ว่ายน้ำไปเรื่อย 7 วันน่ะ
เทวดาเทพธิดาประจำมหาสมุทร ชื่อ นางมณีเมขลาเนี่ย ก็มาตรวจดู นะฮะ เทวดาก็มีหน้าที่ของตนเองเหมือนกัน รักษามหาสมุทร นะฮะ ก็ดูคนเดือดร้อนมา ก็มาเห็นมหาชนกว่ายน้ำ ก็นึกยิ้มเยาะในใจ ไอ้ตาคนนี้มันตายแน่ๆอยู่แล้ว นะฮะ มันไม่มีทางเห็นฝั่ง แล้วมาว่ายอยู่ทำไม ใช่มั้ยฮะ ก็เลยไปปรากฏตัวขึ้นมาแล้วก็กล่าวคำว่า นะฮะ ก็เลยเกิดเป็นบทสนทนาขึ้นมา ก็เริ่มต้นว่าเนี่ย ท่านจะมาว่ายอยู่ทำไม ไม่เห็นฝั่ง ว่าตายเปล่า นะฮะ พระมหาชนกก็บอกว่า เราเกิดมาแล้วยังมีกำลังอยู่เป็นคนก็ต้องพยายามร่ำไปจนถึงที่สุด จะตายก็ไม่เป็นหนี้ใครว่างั้น นะฮะ ก็เลยเกิดบทสนทนาไป ในที่สุดก็นางมณีเมขลาก็เลยอุ้มพาเข้าฝั่งไป
นี่ คติก็คือว่า มหาชนกเนี่ยทำความเพียรด้วยสติปัญญาของตัวเอง ใช้สติ ไม่ไปอ้อนวอน ใช่มั้ยฮะ ทีนี้ เทวดามณีเมขลาก็มาช่วย ก็ช่วยด้วยเมตตา ด้วยคุณธรรมตัวเอง นะฮะ นี่เป็นคติสำหรับมนุษย์เหมือนกันว่าสังคมมนุษย์ก็จะต้องปฏิบัติอย่างนี้ นะฮะ ก็มนุษย์ที่มีอำนาจ มีกำลังก็ควรจะช่วยเหลือผู้อ่อนแอกว่าด้วยคุณธรรมของตนเอง ไม่ใช่ให้เขา รอให้เขาเซ่นไหว้ มาขอความช่วยเหลือ นะฮะ มันจึงจะอยู่ดีได้ สังคม ใช่มั้ยฮะ แล้วตัวคนที่อยู่ในภาวะที่อ่อนแอ หรือไม่มีที่พึ่ง เดือดร้อน ก็ต้องช่วยตัวเองเต็มที่ ทำความเพียร อย่าไปรอ หวังความช่วยเหลือผู้อื่น
เอานะฮะ ตกลงว่าพุทธศาสนานี่ เรามีคติเรื่องนี้ชัดเจนแหละ เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าทรงมีฤทธิ์ ยอดฤทธิ์ ก็เลยไม่ใช้ฤทธิ์มาบันดาลผลที่ต้องการให้ใคร ก็ใช้ฤทธิ์อย่างเดียว ปราบผู้มีฤทธิ์ ว่างั้นนะ ปราบผู้มีฤทธิ์ในการเผยแผ่พระศาสนา เพราะอะไร เพราะว่าสังคมยุคนั้นนี่เชื่อกันนักหนา เชื่อติดมาจากอิทธิพลศาสนาพราหมณ์ว่า ใครจะเป็นพระอรหันต์ต้องมีฤทธิ์ นะฮะ ถือว่าคนมีฤทธิ์คือพระอรหันต์ เพราะฉะนั้นก็มีค่านิยม มีภาพ มีไอ้ตัวทิษฐิอันนี้อยู่ นี้พระพุทธเจ้าประกาศพระศาสนา ไปเจอพวกมีฤทธิ์เยอะหมดเลย นี้ถ้าพระองค์ไม่มีฤทธิ์ พวกนั้นไม่ฟัง เพราะถือว่าเขาแน่กว่า ใช่มั้ยฮะ
อย่างพวกชฎิลเนี่ย เจอพระพุทธเจ้ามาปั๊บ โอ๋ย ท่านผู้นี้ นักบวชหนุ่มคนนี้ ท่าทางอย่างนี้ นะฮะ ไม่ได้ความล่ะ เดี๋ยวเราจะแกล้ง จากมาขอพัก มาขอพะกก็เอาแล้วคืนแรก ชฎิลก็แกล้ง พระพุทธเจ้าก็ผ่าน คืนสองก็ผ่าน คืนสามก็ผ่าน เอ๊ เอา แกล้งแรงขึ้นทุกที ผ่านทุกคืนจนกระทั่ง ผลที่สุด ชฎิลไม่มีอะไรจะแกล้งแล้ว สู้ไม่ได้ ผลที่สุดยอมเลย พอยอม สู้พระพุทธเจ้าไม่ได้ ฤทธิ์แพ้ก็เลยยอมฟัง ใช่มั้ย ถ้าพระพุทธเจ้าไม่มีฤทธิ์เหนือ แกไม่ฟัง พูดอะไรแกก็ไม่ฟัง ทีนี้ พอฤทธิ์เหนือแกก็ฟัง พอฟัง พระพุทธเจ้าก็สอนธรรมะ ก็จบ พระพุทธเจ้าไม่ใช้ฤทธิ์อีกเลย ใช่มั้ยฮะ จึงเรียกว่าใช้ฤทธิ์ปราบฤทธิ์ เพื่อจะได้สอนธรรมะ เป็นอุบายเป็นวิธีการในการที่จะ ทีนี้ฤทธิ์ก็เลยกลายเป็นสื่อธรรมะ เพื่อจะนำเขาเข้าสู่ธรรมะ นั้นเราก็ต้องใช้แบบเดียวกัน การใช้สิ่งศักดิ์สิทธิ์อะไรต่างๆเนี่ยเป็นสื่อเข้าสู่ธรรมะ จุดหมายจะต้องแน่นแฟ้นแน่นอน เพราะนำเขาสู่ธรรมะ นะฮะ ไม่ใช่ไปทำให้เขาจมอยู่ นะฮะ
อันนี้ก็เป็นคติในพุทธศาสนานะครับว่า กำลังใจที่ได้จากสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้นเป็นกำลังใจที่หนุนในการทำความเพียร อย่าให้เป็นกำลังใจที่มาทำให้หวังพึ่งแล้วก็เลยหยุดรอ หวังความช่วยเหลือแล้วก็อ่อนแอตกอยู่ในความประมาท ทีนี้ลัทธิหวังพึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ อำนาจ ฤทธิ์เดช ปาฏิหาริย์ ไสยศาสตร์ส่วนมากเนี่ยมันมีผลร้ายดั่งนี้ ที่ทำให้หวังพึ่งและรอคอย นะฮะ ฉะนั้นก็ทำให้คนอ่อนแอลงไปทุกที ก็เลยขัดหลักการสำคัญพุทธศาสนาอย่างน้อย 4 ประการที่จะต้องจำไว้ การเชื่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรืออะไรก็ตาม ไสยศาสตร์ สิ่งเร้นลับอะไร ถ้ามาขัดหลัก 4 ประการนี้ใช้ไม่ได้ พุทธศาสนาไม่ยอม
หลักพุทธศาสนา หนึ่ง ต้องทำการด้วยความเพียร ใช่มั้ยฮะ นี่หลักพุทธศาสนาชัดเจน เราเรียกว่าหลักกรรม และหลักความเพียร กรรมวาที วิริยวาที หรือกรรมวาทะ วิริยวาทะ ถือหลักการกระทำด้วยความเพียรพยายาม หนึ่ง ถ้าเราไปเชื่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์แล้วทำให้เราไม่กระทำด้วยความเพียร แสดงว่าผิดหลักการพุทธศาสนอันที่ 1 สอง พุทธศาสนาสอนหลักการแห่งการพัฒนาตน ต้องฝึกฝนตนเองให้ดียิ่งขึ้นให้มีความสามารถยิ่งขึ้น นี้ไปเจอปัญหาไปเจออุปสรรค ไปเจอสิ่งทีต้องทำ และไปหวังพึ่งอำนาจเร้นลับซะแล้ว รอให้ท่านช่วย เราก็ไม่พัฒนาตนเอง เจอปัญหาไม่คิดแก้ มันก็อยู่เท่าเดิม ใช่มั้ย ปัญญาก็ไม่พัฒนา
นี้ถ้าเราเจอปัญหา เราคิดแก้ไข เราใช้ปัญญา ปัญญาของเราพัฒนาขึ้นมา อย่างนี้เราดีขึ้น เพราะฉะนั้น การเชื่อ หวังพึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ อำนาจเร้นลับก็ทำให้ขัดขวางการพัฒนา ไม่ฝึกฝนตนเอง เรามีชีวิตอยู่ชาติหนึ่งแค่ 100 ปี ไม่เกิน 100 ปีเนี่ยโดยมาก เสร็จแล้วเวลานี้มันน้อย เรามาเสียเวลารอคอยความช่วยเหลือจากสิ่งเหล่านี้ เราไม่พัฒนาตนเอง เสียเวลาไปเปล่า ชีวิตเลยทั้งชีวิตเลยหมดไป ไม่คุ้ม เป็นการลงทุนที่แพงมากนะฮะ ลงทุนที่เราอาจจะต้องเอาชีวิตไปทุ่มให้ทั้งชีวิตเลย และเลยหมดไปกับความจมอยู่กับสิ่งเหล่านี้ นะฮะ
ชีวิตที่ควรจะพัฒนาได้ ใช้เวลาให้เป็นประโยชน์ในช่วง 100 ปีเนี่ย เลยมาเสียเวลาไปเปล่า จะ เพราะฉะนั้น อย่าไปลงทุนที่ไม่คุ้มค่า ซื้อมาด้วยราคาแพงเกินไป ใช่มั้ยฮะ นั้นเราอาจจะได้ความอุ่นใจ ความมีกำลังใจ ความสุข กล่อมใจ สบายใจ แต่มันคุ้มหรือเปล่า เราสูญเสียเท่าไหร่ สูญเสียการที่จะได้ให้ชีวิตพัฒนาเข้าถึงสิ่งที่ดีงาม ที่ประเสริฐอีกเยอะแยะเนี่ย เราต้องไปสูญเสียหมดเลย เนี่ย เราได้แค่สิ่งกล่อมใจให้สบายเท่านี้เองเลย ชีวิตเราได้แค่นี้เหรอ คุ้มมั้ยที่เราจะไปลงทุน ได้ไม่เท่าเสีย นั้นนะฮะ
อ้าว พุทธศาสนาถือหลักการพัฒนาตนเอง ต่อไป สาม หลักความไม่ประมาท พุทธศาสนาเน้นนัก พระพุทธเจ้าตรัสซ้ำแล้วซ้ำอีกต้องอยู่ด้วยความไม่ประมาท นะฮะ ทีนี้ ไปหวังพึ่งก็รอซิทีนี้ ไม่ต้องทำอะไรแล้ว ใช้เวลา ไม่ได้ใช้เวลาให้เป็นประโยชน์ ก็รอซิ เวลาก็ผ่านไปผ่านไป เออ ตกอยู่ในความประมาท อ่อนแอ ต่อไป สี่ สูญเสียอิสรภาพ เป็นยังไง อ้าว ก็เราหวังพึ่งอำนาจท่านนี่ จะสำเร็จก็อยู่ที่ท่านนี่ ไม่ได้อยู่ที่เรา ใช่มั้ย เราก็ขึ้นต่อท่านซิ เราไม่มีทางเป็นตัวของตัวเองแล้ว ความสำเร็จไม่สำเร็จอยู่ที่ท่าน เราไม่เป็นตัวของตัวเอง ก็ต้องขึ้นต่อท่านแล้ว ขึ้นต่อผู้มีฤทธิ์ ขึ้นต่อศักดิ์สิทธิ์ ไม่เป็นตัวของตัวเอง ต้องหวังพึ่งผู้อื่น พึ่งตัวเองไม่ได้ ก็ขัดหลักพึ่งตนเอง
พุทธศาสนาสอนให้พึ่งตนเอง ถูกมั้ย แล้วก็ให้มีอิสรภาพ มนุษย์ต้องพึ่งตนเองได้ ทำตนให้เป็นที่พึ่งตนเองได้ คือ ทำได้ด้วยตนเอง และพึ่งตนเองได้ก็เป็นอิสระ ถ้าไม่ทำตนเองให้เป็นที่พึ่งได้ ก็พึ่งตนเองไม่ได้ เมื่อพึ่งตนเองไม่ได้ ก็ไม่มีอิสรภาพ ก็ต้องขึ้นกับผู้อื่น พุทธศาสนานั้นต้องการเน้นนัก ให้เป็นอิสระ พุทธเจ้ามาสอนเรานี้เพื่อให้เราช่วยตัวเองได้ พึ่งตนเองได้ เป็นอิสระ พระพุทธเจ้าไม่ต้องการให้ใครมาขึ้นต่อพระองค์ ถูกมั้ย พระองค์มีฤทธิ์เต็มที่สามารถเต็มที่ แต่พระองค์ไม่ยอมให้ใครมาพึ่ง แต่ฉันมาช่วยคือสอนให้คุณพึ่งตนเองได้ ฉันจะหาทางให้คุณเนี่ยพึ่งตนเองได้ ก่อนที่คุณจะพึ่งตัวเองได้ คุณต้องทำตนให้เป็นที่พึ่งได้ก่อน ไม่ใช่อยู่ๆจะพึ่งตนเองนะ คนที่จะพึ่งตนเองต้องทำตนให้เป็นที่พึ่งได้ ต้องพัฒนาตัวเองขึ้นมา
เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้ามานี่มาช่วยเรา ก็คือมาช่วยสอนเรา แนะนำเรา นะฮะ เพื่อให้เราเนี่ยพัฒนาตัวเองให้เราพึ่งตนเองได้ ทำตนให้เป็นที่พึ่งได้ นะฮะ นั้นเสร็จแล้วเราก็เป็นอิสระ ไม่ขึ้นต่อพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าไม่ต้องการให้ใครมาขึ้นต่อพระองค์ ไม่เหมือนศาสนาเป็นอันมากที่สอนว่าต้องมาฝากชีวิตจิตใจ มอบชีวิตจิตใจไว้ในองค์เทพเจ้านั้น เทพเจ้านี้ ใช่มั้ย อ้า สุดจิตสุดใจ พุทธศาสนาไม่มีอย่างงั้น พุทธศาสนามาสอนมาช่วยให้คนพึ่งตนเองได้ พุทธเจ้ามาสอน เราเป็นกัลยาณมิตรของสัตว์ทั้งหลาย เราค้นพบธรรมะ เรามาบอก แสดง แล้วท่านได้เรียนรู้ปฏิบัติ ทำตามเราแล้วท่านจะเห็นด้วยตนเอง ทำได้ด้วยตนเอง เป็นอิสระ นะฮะ
เพราะฉะนั้น ตกลง 4 ข้อนี้ ถ้าเราไปหวังพึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ อำนาจภายนอกเนี่ย มันก็ขัดหลัก 4 ประการนี้ เพราะฉะนั้นท่านจึงบอกว่าถึงมี ถึงจริง ก็ไม่พึ่ง เพราะอะไร เพราะมันขัดหลักการนี้ หนึ่ง หลักการทำการด้วยความเพียร สอง หลักการฝึกฝนพัฒนาตนให้ชีวิตดีงามขึ้น สาม หลักความไม่ประมาท สี่หลัก สี่ หลักอิสรภาพ พึ่งตนเองได้ ใช่มั้ยฮะ เพราะฉะนั้นจึงบอกว่าได้ไม่เท่าเสีย เราจะไปทุ่มชีวิตให้แก่สิ่งเหล่านี้หรือ ใช่มั้ยฮะ ในขณะที่ถ้าเราเพียรพยายามเข้มแข็งขึ้นมาแล้ว เราจะได้มากมายกว่านั้นเยอะเลย ถ้าเรายอมทนสู้ เราจะผ่านมันไป กว่าเราจะผ่านอันนี้ได้ เราจะเข้มแข็ง ถูกมั้ยฮะ
เพราะฉะนั้นจึงต้องระวัง สังคมที่หวังพึ่งกันได้เนี่ย บางทีไม่พัฒนาหรอก สู้สังคมที่ทุกคนต้องดิ้นช่วยตัวเองไม่ได้ ใช่มั้ย เข้มแข็งขึ้นมา เพราะอันนี้ เพราะฉะนั้นการช่วยเหลือกับการที่ไม่ช่วยจึงต้องดุลยภาพ พระพุทธเจ้าจึงสอนหลักพรหมวิหารที่เราจะเรียนกันต่อไป นะฮะ แต่ไม่ใช่ไม่ให้ช่วยเลยนะฮะ ต้องช่วย และช่วย ต้องช่วยอย่างมีหลักที่ว่า ช่วยโดยพยายามให้เขาช่วยตัวเองได้
อ้าว นี่ก็ว่ากันมาในหลักการต่างๆของพุทธศาสนา มันมีหลายแง่หลายมุมนะฮะ ทีนี้เราลองมาสรุป กันซะอีกทีว่า เรื่องของขลัง วัตถุมงคล พระเครื่องอะไรต่างๆเนี่ย จะใช้ถูกต้อง จะใช้ผิดอย่างไร นะฮะ สรุปได้มั้ยครับ ที่ว่ามาเนี่ย พูดมาเยอะ เลยยาวยืดเลยเนี่ย ลองสรุปซิว่ามีอะไรบ้าง นะฮะ
สรุปว่า เรื่องพระเครื่อง หนึ่ง ก็คือคนโบราณทำไว้ว่า เป็นเครื่องหมายของการที่ว่า เคยมีพุทธศาสนาเจริญที่นี่ นะฮะ เป็นวัตถุที่เป็นเครื่องสำแดง เป็นองค์แทนพระพุทธเจ้าก็คือ องค์แทนพุทธศาสนาด้วยว่า โอ๋ ต่อไปพุทธศาสนาสูญสิ้นไปแล้ว มาเจอกรุแตก มาเจอสิ่งที่เป็นโบราณวัตถุเหล่านี้ ก็อ๋อ พุทธศาสนาเคยมีเจริญอยู่
อ้าว สอง คนโบราณใช้เป็นเครื่องเตือนใจระลึกถึงพระพุทธเจ้า ระลึกถึงคุณพระพุทธเจ้า เพราะเป็นองค์แทน ใช่มั้ย วัตถุนี่เป็นสื่อ นะฮะ ถ้าไม่มีวัตถุ ปุถุชนนี่มันระลึกด้วยนามธรรม มันระลึกยาก แม้แต่จะทำสมาธิก็บอกแล้วว่า ทำให้ช่วยจิตใจ ใช่มั้ย จูงจิตได้ นั้นก็เตือนใจให้ระลึกถึงพระพุทธเจ้า นะฮะ แล้วโยงไปหาคุณค่าทางจิตใจ เช่นที่เล่าไปแล้วว่า โยงไปถึงพ่อแม่ ปู่ย่าตายาย อุปัชฌาอาจารย์เนี่ย ใช่มั้ย ที่ว่า ที่มอบหมายกันมาเป็นสิ่งที่ท่านรักษา เป็นคุณค่าของชีวิตที่เป็นสิ่งสำคัญเนี่ย มีความหมายมากซึ่งได้ผลทางศีลธรรม ทางจริยธรรมอะไรต่างๆมากมาย ใช่มั้ยฮะ คนเดี๋ยวนี้ขาดอันนี้ไป พยายามปฏิบัติให้ถูกต้อง นี้สื่ออันนี้ อ้อ ทีนี้ก็ เอ่อ เป็นอันว่าเป็นเครื่องเตือนใจระลึก
พอเตือนใจระลึกก็ไปความหมายที่สาม ก็คือเป็นสื่อเข้าสู่ธรรมะ ก็มาใช้เป็นสื่อในการเรียกร้องศีลธรรม จริยธรรม อ้าว เธออยากจะได้พระ พระท่านคุ้มครอง เธอจะต้องประพฤติตัวอยู่ในศีลในธรรม ต้องเว้นจากการประพฤติชั่วอย่างงั้นอย่างนี้ใช่มั้ย ต้องทำความดีขยันหมั่นเพียร แล้วพระจะคุ้มครอง เรียกร้องศีลธรรมแล้ว ใช่มั้ยฮะ แล้วสื่อในทางธรรมะ อ่า เวลาจะให้ก็สอนธรรมะ เอ้อ ให้รู้จักสิ่งที่ดีขึ้น อะไรอย่างงี้ โดยเฉพาะเด็กๆ เด็กๆนี่ เราจะสอนจะอะไรเนี่ย พระอาจารย์หลาย น้อยองค์ที่จะมีความสามารถใช่มั้ย เราต้องยอมรับ เราจะไปเอาตัวคนเดียวเข้าเทียบ อ่า ตัวพระอาจารย์องค์เนี้ยอาจจะมีความสามารถสอนเด็กได้เก่ง สอนด้วยนามธรรม สอนด้วยคำสอนล้วนๆ เด็กก็เข้าใจ แล้วก็เด็กก็ศรัทธา
ทีนี้พระทั่วไปท่านไม่ได้มีความสามารถอย่างงี้นี่ แต่ท่านก็หวังดี แล้วท่านมีหน้าที่ อันนี้ทำไงล่ะ ตอนแรกๆเด็กมันก็ชอบพวกวัตถุใช่มั้ยฮะ สิ่งสวยๆงามๆพระสวยๆเอ้อ ก็เอาให้เด็ก เอ้อ เอาอันนี้ไปนะ แล้วก็สื่อธรรมะเอาซิ ทีนี้ก็อยู่ที่ความที่จะรู้จักใช้ ใช่มั้ยฮะ เทคนิคก็มาแล้วว่า อ้าวหนู นะฮะ แต่ว่าอย่าให้ง่ายๆนะ ต้องหาวิธี ต้องเอาอย่างคนโบราณน่ะ และก็มีน้อยๆ นะฮะ มีน้อย หาได้ยาก เด็กก็อยากจะได้ ก็เอา ก็ให้ก็เอาเป็นที่ระลึกนะ นะฮะ หรือว่าต่อมาก็อาจจะโยงไปหาสอนธรรมะว่า เนี่ยเธอ ให้พระท่านคุ้มครองแล้วรักษาข้อปฏิบัติ 5 ข้อ พอแล้ว ไม่ต้องเอามาก นะ อย่างงี้เป็นต้น ใช่มั้ยฮะ
เด็กๆเนี่ย เด็กก็จะมีสิ่งที่เป็นระลึกเตือนใจว่า เออ ฉันเป็นชาวพุทธนะต้องระลึกถึงพระพุทธเจ้าอะไรเนี่ย มีสิ่งเตือนใจอยู่กับตัวบ้าง สำหรับเด็กๆนี่มีประโยชน์มาก ถ้าเด็กไม่มีสิ่งนี้ แกก็ไปหาร็อกเก็ต ไปหาอะไรต่ออะไรอื่นไป หาสิ่งสวยงามประดับ อ้าว ก็แกก็ต้องมีอยู่แล้วหาสิ่งประดับ ก็เราทำไมไม่เอาพระพุทธรูปให้ล่ะดีกว่ามั้ย ใช่มั้ยฮะ มีคุณค่ากับการที่เพียงสวยงาม เอาไปอวดโก้ มันยังมีคุณค่าทางศีลธรรม ทางจิตใจอีก ยังผูกพันกับบิดากับมารดา อะไรต่างๆ พ่อแม่จะให้ก็ได้ ไม่ต้องพระให้ เนี่ย มันจะมีประโยชน์ ก็รู้จักใช้ให้เป็น นะ สำหรับเด็กๆเนี่ยมีประโยชน์มาก นะฮะ เพราะว่า เด็กนี้ต้องอยู่กับสิ่งที่เป็นวัตถุ สิ่งเป็นรูปธรรมจึงจะสื่อเข้าหานามธรรมได้ นะฮะ นี้ก็เป็นประโยชน์อีกอย่างหนึ่ง
นั้น อันนี้ก็เอาเป็นอันว่า สื่อธรรมะใช่มั้ยฮะ นะฮะ แล้ว อ้อ อันที่สองที่ลืมไปก็คือว่า เป็นตัวกันลัทธิภายนอกที่มันจะนำให้เขว กันไสยศาสตร์เป็นต้น หมายความว่า กันแล้วก็คุม คุมให้อยู่ในความหมายของการเชื่อถืออำนาจ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ในขอบเขตที่เป็นคุณเป็นความดีงาม ไม่ให้ถูกชักจูงไปด้วยลัทธิภายนอก เช่น หมอผีให้ไปทางเสีย ใช่มั้ยฮะ
ตกลงว่า หนึ่ง เป็นเครื่องหมายการดำรงอยู่ เจริญของพุทธศาสนา สอง ในความสัมพันธ์กับศาสนาโบราณอื่นๆก็ไปเป็นเครื่องกันไสยศาสตร์ที่จะมาจูงให้ไปในทางร้าย แล้วก็คุมให้อยู่ในคุณความดี ใช่มั้ยฮะ นี่ อยู่ท่ามกลางอันนี้ก็กันไว้ได้คุมไว้ได้ ทีนี้เหนือขึ้นไป เตือนใจให้ระลึกถึงพระพุทธเจ้า พระรัตนตรัย ความดีงาม โยงคุณค่าทางจิตใจไปถึงบิดามารดาเป็นต้น สี่ ก็เป็นสื่อธรรมะเข้าสู่คำสอนของพุทธศาสนา แล้วก็จะทำให้จิตเกิดสมาธิ รวมจิตใจได้ง่าย แล้วก็เป็นทางให้พระได้สอนธรรมะอะไรต่ออะไรไป เรียกร้องจริยธรรม ก็ได้ 4 ประการ ใช่มั้ยฮะ นี่อย่างน้อย นะฮะ ใช้ให้เป็น
ทีนี้ ถ้าใช้ไม่เป็น ผิด ใช้ยังไงบ้าง ก็ หนึ่ง ทำให้ติดหลง จมอยู่ ในความหมายว่าศาสนาเป็นที่พึ่งที่ยึดเหนี่ยวจิตใจก็ได้ที่พึ่งพำนัก กล่อมใจแล้ว ได้หวังพึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ท่านจะมาช่วยเรามีกำลังใจ กล่อมใจสบาย อ่า หายทุกหายร้อน หายเดือดเนื้อร้อนใจ ก็เลยไม่ดิ้นรนขวนขวาย นอนรอความช่วยเหลือ นะฮะ
อ้าว เป็นอันว่าสรุปอีกทีหนึ่ง การปฏิบัติที่ผิด ก็ หนึ่ง ว่า ทำให้ติด ให้หลง จมอยู่กับเรื่องเหล่านี้ สอง ก็หวังพี่ง ใช่มั้ยฮะ แล้วก็ทำให้อ่อนแอ นะฮะ ตกอยู่ในความประมาท ไม่ทำการด้วยความเพียร และก็พึ่งตนเองไม่ได้ นะฮะ แล้วต่อไปก็อาจจะ ถ้าผู้ใช้ เช่นพระเนี่ย ไม่เข้าใจหลักการพุทธศาสนา ไม่มีเจตนาที่ถูกต้อง ไม่มีปัญญาที่จะนำเขาต่อไป กลายเป็นเครื่องดึงคนออกจากพุทธศาสนาไปเลย เป็นผลร้ายที่ตรงกันข้ามเลย กลับไปนึกว่าสิ่งเหล่านี้ก็เหมือนกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์นอกพุทธศาสนาเป็นแบบไสยศาสตร์ เป็นแบบเทพเจ้าไปเลย ใช่มั้ยฮะ ก็เอาความหมายนี้มาใส่พุทธศาสนา ก็ดึงคนออกจากพุทธศาสนาโดยไม่รู้ตัวเลย ซึ่งเป็นไปได้มากด้วย นะฮะ เพราะฉะนั้น ผลกลับตรงข้าม แทนที่จะดึงคนเข้าสู่ธรรมะสู่พุทธศาสนาก็กลายเป็นดึงออกไปเลย
สี่ อาจจะเป็นช่องทาง เป็นเครื่องมือของการหลอกลวง และหาลาภ ใช่มั้ยฮะ ผู้มีเจตนาไม่ดี ก็อาจจะใช้สิ่งเหล่านี้เป็นเครื่องมือ นะฮะ หาผลประโยชน์ส่วนตัวไป นะฮะ ได้ลาภ ได้สักการะอะไรต่างๆ มากมาย และก็ผลต่อสังคมก็คือ การที่มนุษย์ ก็อยู่ด้วยความที่ว่า หวังพึ่งสิ่งภายนอกแล้วก็อ่อนแอกันทั่วๆไป และอีกอย่างหนึ่งที่สำคัญมาก ผลต่อสังคม ก็คือว่า มนุษย์ที่หวังพึ่งอำนาจเร้นลับภายนอกมาช่วยนี้
จุดสัมพันธ์ของเขาก็คือ สิ่งเร้นลับที่เขามองไม่เห็น ความสัมพันธ์ของเขาไปอยู่กับสิ่งนี้ เมื่อความสัมพันธ์ไปอยู่ที่นี้แล้ว เขาจะไม่ค่อยเอาใจใส่ต่อเพื่อมนุษย์ด้วยกัน ไม่ค่อยเหลียวแล มนุษย์นั้นอยู่ด้วยการจะสร้างสรรสังคมด้วยการที่เหลียวแลกันอย่างหนึ่ง และการที่ต้องหวังพึ่งกัน ไม่จำเป็นจะต้องไปเหลียวแลผู้อื่นหรอก แต่การที่หวังพึ่งผู้อื่นนี่แหละ ก็ทำให้มนุษย์ต้องไปร่วมมือกับคนอื่น ใช่มั้ยฮะ ทำให้พยายามมาช่วยกันร่วมกันแก้ปัญหา เมื่อมนุษย์รู้อยู่ว่า เราจะต้องแก้กับปัญหากันเองด้วยตัวพวกเราเอง มนุษย์ก็จะไปหาทางที่จะมาร่วมกันคิดแก้ปัญหา การหวังพึ่งซึ่งกันและกัน การเอาใจใส่ซึ่งกันและกันเกิดขึ้น การร่วมกันคิดเกิดขึ้น ก็ทำการแก้ปัญหาของสังคมได้
แต่มนุษย์ที่ไปหวังพึ่งสิ่งเร้นลับอำนาจเนี่ย จุดมุ่งในการสัมพันธ์เขาไปอยู่ที่สิ่งเหล่านั้นซะแล้ว เขาก็ไม่มาคิดหวังพึ่งเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ที่อยู่ในชุมชนเดียวกัน ที่อยู่สถานะระดับเดียวกับเขา ที่เป็นเพื่อนร่วมท้องถิ่นสังคม เพราะฉะนั้น การร่วมมือ การช่วยเหลือกันในสังคมแบบนี้จะไม่ค่อยมี การร่วมกันคิดแก้ปัญหาเป็นต้น เพราะฉะนั้น สังคมอย่างนี้ก็จะพัฒนาได้ยาก และจะเป็นอุปสรรคแก่ประชาธิปไตยด้วย เพราะประชาธิปไตยจะต้องอาศัยการที่มนุษย์ที่อยู่ในชุมชนท้องถิ่นสังคมนั้น มาพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ร่วมมือกันในการคิดแก้ปัญหา ใช่มั้ยฮะ นั้นคือผลเสียในสังคม น่ะ
ผลเสียใน ที่เป็นหลักใหญ่ตรงกลาง ซึ่งแต่ละคนก็สูญเสียอยู่แล้ว ก็หลายอย่างแหละ นะ ทำให้ไม่ทำการด้วยความเพียร ทำให้ไม่พยายามพัฒนาตนเอง นะฮะ ทำให้ตกอยู่ในความประมาท ทำให้ไม่พึ่งตนเอง สูญเสียอิสรภาพ นะฮะ นี่เป็นหลักใหญ่ เสร็จแล้วในสังคมก็ยังสูญเสียอีกก็คือ การที่ว่า จะไม่มาร่วมกันช่วยกันคิดแก้ปัญหา และทำการร่วมกัน นะฮะ จริงมั้ย อ่า มนุษย์พวกนี้ สังคมแบบเนี้ย ก็จะไม่ค่อยมีการร่วมกันแก้ปัญหาในหมู่มนุษย์ อันนี้สังคมที่หวังพึ่งใครไม่ได้แล้ว นะฮะ เขาก็จะต้องดิ้นรนสุดขีดด้วยตนเอง หนึ่ง สอง เขาจะต้องมาหวังพึ่งกัน ช่วยกันคิดแก้ปัญหา ในปัญหาร่วมกันของชุมชน เป็นต้น ก็จะพัฒนาขึ้นมาด้วยเรี่ยวแรงกำลังคน
เพราะฉะนั้นจึงพูดว่า การหวังพึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์เหล่าเนี้ยต้องระวังมาก อาจจะเป็นการลงทุนที่ได้ไม่คุ้มเสีย จะเป็นอย่างนี้มาก ผลได้คือ ทำให้จิตใจสบาย ผ่อนคลายทุกข์ไปที หลบทุกข์หลบปัญหา กล่อมใจ ปลอบประโลมจิตใจ ชุ่มฉ่ำไปได้ ใช่มั้ยฮะ แต่แค่นี้มันพอมั้ย แม้แต่ตัวมันเองก็ทำให้พลาดได้ ก็มันคือว่า มันก็เลยสบาย ไม่ดิ้นรนอย่างที่ว่าเมื่อกี้ อ่อนแอ นั้น สิ่งกล่อม สิ่งศักดิ์สิทธิ์อะไรต่างๆเหล่าเนี้ยเป็นสิ่งกล่อมชนิดหนึ่ง เพราะฉะนั้นนะ มาร์กซิสมันจึงมองศาสนาว่าเป็นยาฝิ่น ใช่มั้ยฮะ เพราะแกก็ไม่รู้จักศาสนาพอ โดยเฉพาะแกไม่รู้จักพุทธศาสนาเลย แกก็ไปเห็นศาสนาต่างๆเป็นอย่างงั้น แกก็บอกศาสนาเป็นยาฝิ่น เป็น opium เนี่ย แกไม่รู้จัก คาร์ล มาร์กไม่รู้จักพุทธศาสนา นะฮะ แล้วแกก็ไม่รู้หลักการเหล่านี้ เพราะฉะนั้น พุทธศาสนาเรารอบคอบกว่าเยอะ
นี้พวกคนสมัยใหม่ก็ไปชื่นชมมาร์กนะฮะ โดยเข้าใจว่า โอ๋ นี่เขาว่าถูกนิ มันก็มีความจริงอยู่ใช่มั้ย ว่าศาสนาก็เป็นยาฝิ่น ติดเลย หง่อม และก็ทำให้กล่อม กล่อมก็เพลินสบาย สบายใจแล้ว นะฮะ ไปหาหมอผีก็มานอนสบาย ตอนก่อนนี้มีทุกข์มีไฟ มีภัยหวาดกลัวหวั่นใจ นะฮะ นอนไม่หลับ พอไปหามาเสร็จแล้วนอนหลับได้ ใช่มั้ย แต่ว่าอย่าไปปฏิเสธซะเลยนะ สิ่งกล่อมมีประโยชน์นะครับ สิ่งกล่อมใช้ให้เป็นมีประโยชน์ เนี่ย ตอนนี้ก็ตื่นกีฬา กีฬาก็เป็นสิ่งกล่อมชนิดหนึ่ง ถ้าใช้ในขอบเขตก็เป็นประโยชน์ นะฮะ สิ่งบันเทิง ดนตรี กีฬา นะฮะ สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งกล่อมทั้งนั้น คนเรานี่เหน็ดเหนื่อยมีความร้อนรนกระวนกระวาย ชีวิตบีบคั้น บางทีมันก็ต้องมาหาอะไรที่มันช่วยให้จิตใจสบาย กล่อมจิต พักจิตบ้าง ใช่มั้ย นะฮะ การ ร่างกายก็ต้องการการพักผ่อน จิตก็ต้องการการพักผ่อน
อันนั้น เราก็มาอาศัยสิ่งกล่อมเหล่าเนี้ย นะฮะ ดนตรี บางคนก็ เออ จิตใจไม่สบายวุ่นวายก็ฟังดนตรี ก็กล่อมใจสบายไป นะฮะ ก็สิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็ไป เรามาอะไรมาอ้อนวอนกราบไหว้ท่านก็เอ้อหวังพึ่งท่านก็กล่อมใจสบายไปนะฮะ อะไรต่างๆเหล่าเนี้ย กล่อมใจสบาย น่ะเราไปมีเรื่องราวชีวิตประจำวันก็วุ่นวาย ก็มาดูกีฬาสบายไปที อะไรอย่างเงี้ยน่ะ ดูรายการบันเทิงทีวีทีก็กล่อมใจ พวกนี้มีอำนาจเป็นตัวกล่อม ทำให้คนได้พัก จิตใจสบาย พอพักแล้ว มันก็ บางทีทำให้สด จิตใจที่มันเหนื่อยเพลีย ห่อเหี่ยว มันเกิดเป็นความสดชื่นขึ้นมาเหมือนกัน ก็ได้ประโยชน์ทำให้มีพลังที่จะได้เดินหน้า
แต่ว่าทีนี้มันเกิดผลร้ายตอนที่ไปติด นะฮะ ถ้าเกิดไปติดสิ่งกล่อมเมื่อไหร่ คราวนี้ล่ะไปเลย นี้ข้อสำคัญก็คือมันติด ไอ้สิ่งกล่อมนี้มักจะจูงใจในการที่ติด ใช่มั้ย พอไปติดก็เพลิน คราวนี้ก็กลายเป็นว่าแทนที่จะมีผลดี ก็ผลร้ายมาแล้ว ก็ทำให้ตัวเองหยุดนิ่ง ไม่เคลื่อนไหว ไม่ดิ้นรน ไม่ขวนขวาย ไม่ทำการต่างๆ ใช่มั้ยฮะ นั้น อำนาจผลในทางลบก็เกิดขึ้น เพราะฉะนั้นเราจะต้องใช้สิ่งกล่อมให้เป็น ถ้าจะใช้ อ้าว ก็ใช้พอว่า เอ่อ จิตที่มันดิ้นรนกระวนกระวายเร่าร้อนเนี่ยให้มันได้สงบเย็นลงไป แต่อย่าอยู่แค่นี้นะ ให้ถือว่าเป็นการเตรียมจิตพร้อมแล้วได้พัก มีกำลังและเรี่ยวแรงและเดินหน้าต่อไปทำการ ตรงนี้ซิที่สำคัญมาก นะฮะ
เพราะฉะนั้นพวกศาสนาต่างๆมันก็ไม่ใช่ไม่มีประโยชน์ มีประโยชน์ อย่างน้อยคนก็ผ่อนคลายหายทุกข์ ใช่มั้ยฮะ จิตใจก็สบาย ไม่งั้นเขาจิตใจมันเร่าร้อนกระวนกระวาย กระสับกระส่ายหมดเลย แล้วมันทำอะไรไม่ได้เลย ไม่มีกำลัง มันก็ช่วยได้แต่ว่าพร้อมกันนั้นก็มีผลเสียที่ว่าเนี่ย การที่ว่าทำให้กลับมาติด มาเพลิน ติดเพลินก็ ติดเพลินกล่อมนี่ก็เป็นโทษแล้ว และก็มาหวังพึ่งอีก ก็อ่อนแออีกก็เป็นโทษที่พูดไปแล้วทั้งหมดเนี่ยแหละ เพราะฉะนั้นก็ต้องใช้ให้ถูกต้อง นี้สิ่งกล่อมมาได้แม้กระทั่งสมาธิ สมาธิถ้าใช้ไม่เป็นก็เป็นสิ่งกล่อมอีก บางคนนี่อย่างฝรั่ง จิตใจเร่าร้อน นะฮะ เพราะอยู่ในสังคมที่บีบคั้น ระบบการแข่งขัน มุ่งหาวัตถุเสพ แล้ววัตถุเสพ ก็ไม่ให้ความสมใจ
ถ้ามาถึงจุดหนึ่งก็เบื่อหน่าย ชีวิตไม่มีความสุข ไปๆมาๆก็เลยมาเจอสมาธิ ชอบใจ ฝรั่งก็มาชอบใจนั่งสมาธิก็สบาย หายทุกข์หายร้อน จิตใจสงบ ก็กล่อมอีก เอาสมาธิเป็นตัวกล่อม ติด เพลินอีก อ้าว ทำให้หลบปัญหา ไม่แก้ปัญหา ผิดอีก นะฮะ เพราะฉะนั้น ถ้าใช้ไม่เป็น สมาธิก็เป็นสิ่งกล่อมอีก แล้วจะใช้ถูกยังไง เป็นเรื่องที่เราจะต้องมาพูดกันต่อไปทั้งนั้น สิ่งเหล่านี้เป็นแง่มุมที่เอามาพูดเบื้องต้น มันมีแง่เขวอยู่ตลอดเวลา แม้แต่การปฏิบัติธรรม อ้า อันนี้ ก็รวมความแล้วก็พูดมาเยอะแยะ สรุปแล้วก็ไม่จบซะที สรุปแล้วก็มาขยายออกอีก นะฮะ
อันนั้นก็ เห็นท่าจะควรจะจบซะที นะฮะ ที่จริงก็มีแง่จะพูดอะไรอีกก็ไม่รู้ เมื่อกี้นี้นึกขึ้นมาแล้วก็หายไปซะอีก มันมีเรื่องเยอะ เรื่องเหล่านี้มันมีแง่มุมมากมาย นะฮะ เพราะฉะนั้นเราก็จับหลักพุทธศาสนาไว้ให้ดี อย่าให้พลาดได้ อย่าให้เพลี่ยงพล้ำ นะฮะ ว่าเราใช้สิ่งเหล่านี้แค่ไหน แล้วก็อย่าไปดูถูกดูหมิ่น และก็อย่าไปติดไปหลง ใช้ให้ถูก เพราะว่า เดี๋ยวนี้มันจะมีแนวโน้มไปสุดขั้ว พวกหนึ่งก็ปฏิเสธ ก็ด่าว่าติเตียนไปเลย ใช่มั้ย อีกพวกหนึ่งก็หลงงมงายติดไปเลย
นี่บางทีก็บอกว่าไม่เชื่อแต่อย่าลบหลู่ เดี๋ยวนี้อ้างกันนักเชียว นะฮะ ไม่เชื่อแต่อย่าหลบลู่แล้วท่านจะตอบว่าไง ไม่ใช่ไม่เชื่อ แต่ฉันอยากจะเรียนรู้ ว่างั้นนะฮะ ใช่มั้ย เราไม่ได้ลบหลู่ พุทธศาสนาไม่เคยสอนให้ลบหลู่ใคร แต่ท่านไม่ให้ว่า ไม่เชื่อ ไม่เชื่อแล้วหลบหลู่แล้วจะยังต้องยอมอย่างงั้น ไม่ได้เหมือนกัน พุทธศาสนาก็ไม่ยอมที่จะว่า ไม่ลบหลู่แล้วต้องยอมสยบ บอกว่าไม่เชื่อแต่อย่าลบหลู่ เอ๊ ฉันไม่ลบหลู่แต่ฉันไม่ยอมสยบ นะฮะ ฉันจะต้องเรียนรู้ เพราะฉะนั้นคุณให้ปัญญาฉันมา ให้เหตุให้ผล ใช่มั้ยฮะ ฉันต้องการเรียนรู้ แล้วพุทธศาสนาสอนให้เราพัฒนาตัวก้าวหน้าต่อไป ต้องทำการด้วยความเพียร ให้มีความเข้มแข็ง
เราอาจจะได้จากสิ่งกล่อมให้สบายชั่วประเดี๋ยวหนึ่ง แต่ถ้าเรามีความเข้มแข็ง ไอ้ตัวทุกข์ที่บีบคั้นกลับเป็นพลังให้เราประสบความสำเร็จ แล้วสิ่งที่ได้นั้นกำไรมากกว่า ถูกมั้ยฮะ ได้สิ่งกล่อมสบายไปชั่วประเดี๋ยวหนึ่ง ก็ยอมทนทุกข์ ทุกข์นี่เป็นตัวบีบคั้น ทำให้มนุษย์นี่ไม่ประมาท โดยเฉพาะมนุษย์ปุถุชนนั้น จะเจริญงอกงามได้ เพราะทุกข์บีบคั้น ภัยคุกคาม มนุษย์ปุถุชนนั้นเมื่อทุกข์บีบคั้นและภัยคุกคามก็จะลุกขึ้นดิ้นรนขวนขวาย ยามใดสบายมีความหวังก็จะลงนอนเสวยสุข ใช่มั้ยฮะ เพราะฉะนั้นต้องระวัง เพราะฉะนั้น ไอ้สิ่งที่มนุษย์ว่าดีเนี่ย บางทีมันก็เกิดผลร้ายแก่ตัวเอง เพราะฉะนั้นก็ เราก็จับจุดให้ได้ ปฏิบัติต่อสิ่งเหล่านี้ให้ถูกต้อง ก็เอาเป็นว่าสิ่งที่จะใช้ได้ก็มีแค่ อะไรล่ะเนี่ย ที่ว่า
โดยสาระสำคัญก็คือว่า ถ้าจะใช้แค่เป็นสิ่งกล่อม ก็กล่อมพอให้ได้พักจิตแล้วสดชื่นแล้วเดินหน้าต่อไป แล้วต้องใช้ให้เกิดกำลังใจในทางสนับสนุนความเพียรพยายาม ไม่ใช่ทำให้เรานี่ไปรอคอยความช่วยเหลือเลย สยบความเพียร ไม่เพียรพยายาม ใช่มั้ยฮะ ต้องใช้ให้ถูกต้องอย่างนี้ นะฮะ แล้วก็ถ้ามีกำลังเข้มแข็งขึ้น ให้อยู่ด้วยตนเองเลย นะฮะ ให้ใช้สิ่งเหล่านี้มาเป็นตัวเร่งตัวเองให้ไม่ประมาทยิ่งขึ้น แล้วคนที่ไม่ยอมกับสิ่งเหล่านี้นั้นใช้ทุกข์บีบคั้นภัยคุกคามมาทำให้ตนนี่เร่ง ยิ่งเร่งรัดในการดิ้นรนขวนขวายหนักเข้าไปอีก ใช่มั้ยฮะ ก็อยู่ที่ระดับการพัฒนาของคนด้วย
สิ่งเหล่านี้ยืดหยุ่นและหลากหลายไปตามความแตกต่างระหว่างบุคคล ความแตกต่างระหว่างบุคคลนั้น โดยความถนัดอัธยาศัยบ้าง โดยระดับการพัฒนาบ้าง แล้วยังไปสัมพันธ์กับปัจจัยอื่นๆอีก เช่น ปัจจัยในฝ่ายผู้สอน อย่างพระ พระก็มีความแตกต่าง ในระดับความสามารถ สติปัญญา อะไรต่างๆด้วย เพราะฉะนั้นการที่จะพูดถึงสิ่งเหล่านี้จะตัดสินลงไปเป็นอย่างเดียวไม่ได้ ต้องพูดให้เห็นเรื่องคุณและโทษและทางออกให้ครบถ้วนบริบูรณ์
ที่พูดมานี่คิดว่ามีความชัดเจนพอหรือยัง นะฮะ โดยเฉพาะพระเนี่ย ทำหน้าที่ต่อประชาชนต้องชัดเจนเรื่องนี้ เพราะฉะนั้นต้องขออภัยที่ต้องพูดถึงตัวเองว่า ตอนนี้ผมถึงย้ำนัก เวลาไปพูดในที่ประชุมว่า เวลานี้เรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ไสยศาสตร์อะไรต่างๆ ความเชื่อ เจ้าพ่อเจ้าแม่เนี่ย มันครอบงำสังคมไทยเกลื่อนกลาด และเราไม่มีความชัดเจนต่อสิ่งเหล่านี้ สังคมที่ไม่มีความชัดเจนเนี่ย จะเป็นสังคมที่มีอันตราย เพราะฉะนั้นจะต้องรีบสร้างความชัดเจน มีท่าทีที่มัน เอายังไงลงไปให้มันแน่นอน
โดยเฉพาะผู้ที่รับผิดชอบต่อสังคม เป็นผู้นำประเทศ ผู้บริหารประเทศ นะฮะ หรือว่าเป็นพระสงฆ์ เป็นนักการศึกษา พวกนี้จะต้องชัดเจนเลย ท่าทีต่อสิ่งเหล่านี้ เอายังไงต้องชัดลงมาเลย นี่มันคลุมๆเครือๆ สังคมที่เต็มไปด้วยความพร่ามัว คลุมเครืออย่างงี้พัฒนายาก แล้วผู้บริหารประเทศชาติก็ไม่มีความเข้มแข็ง พอไปเจอสิ่งเหล่านี้หน่อย หวั่นไหวซะแล้ว กลัว ต้องทำตาม นะฮะ อันนั้นไม่ดี อ้าว ต้องแก้ ต้องเปลี่ยนเสาใหม่ นะฮะ ต้องย้ายนู่นย้ายนี่ ไม่มีความเข้มแข็ง
ผู้นำต้องมีความเข้มแข็ง ฉันจะยืนหยัดในหลักการ ตายเป็นตาย ลองได้คนอย่างงี้แล้วไม่ต้องกลัวเลยฮะ เทวดายอมนะครับ เทวดายอมแก่มนุษย์ที่เข้มแข็ง แล้วจะเล่าให้ฟังอีกยังมีเรื่อง เอ๊ หรือเล่าแล้วก็ไม่รู้ ยังใช่มั้ย ยัง เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับเทวดา ยัง งั้นเล่าให้ฟังอีก พุทธศาสนามีเรื่องเยอะ แต่เรานี่จับกันไม่ถูกเลย เราไปนับถือ พอบอกมีเทวดาก็ไปนับถือแบบพราหมณ์เลย พุทธศาสนาท่านสอนมานักหนา ในคัมภีร์เยอะแยะไม่เอามาใช้ นะฮะ
แต่ผมให้หลักไว้อันนึงแล้ว พุทธศาสนาสอนว่าธรรมต้องเหนือเทพ แล้วมันจะมีการที่ว่า มนุษย์เกิด เกิดกรณีพิพาทกับเทวดา ก็มี เรื่องอะไรต่างๆเหล่านี้มีในคัมภีร์ทั้งนั้นน่ะ แล้วมนุษย์นี่เข้มแข็งจริงๆน้า แต่เข็มแข็ง ต้องเข้มแข็งมีหลักที่อยู่ในธรรม ถ้ามนุษย์อยู่ในธรรม เทวดาต้องยอมนะฮะ เพราะฉะนั้นผู้นำของประเทศเรา ผู้บริหารเนี่ยต้องเข้มแข็ง ถ้าฉันปฏิบัติถูกต้องตั้งอยู่ในธรรมแล้วเทวดาก็เทวดาเถอะ จะมาบอกว่าอันนี้อันนี้ไม่เอาทั้งนั้นล่ะ ตายเป็นตายมันต้องขนาดนั้น เพราะด้วยความเข้มแข็งนี่แหละจะสู้ได้ แล้วจะนำประชาชนได้ด้วย ประชาชนต้องการความเข้มแข็ง ประชาชนก็มีจิตใจอ่อนแออยู่แล้ว แล้วผู้นำไปอ่อนแออีก แล้วจะไปได้อะไร ใช่มั้ยฮะ
อันนี้พอผู้นำเข้มแข็งเป็นหลักให้ประชาชนก็จะได้เข้มแข็งขึ้นมาบ้าง สังคมมันก็จะอยู่ได้ เพราะฉะนั้นเวลานี้เราต้องการผู้นำที่มีความเข้มแข็ง ที่เอาธรรมะมายืนหยัดแล้วสู้กับเทวดาได้ นะฮะ จนกระทั่งเทวดาต้องยอม อย่างคติของพุทธศาสนาที่มีมา ในประวัติของบุคคลในพุทธศาสนาที่ท่านยืนหยัดมาแล้ว เทวดาต้องยอม ใช่มั้ยฮะ ชาวพุทธจะต้องเป็นอย่างงั้น แต่ไม่ได้หมายความเราดูถูกเทวดานะ บอกแล้วนะ เราไม่ได้ลบหลู่เลย เทวดาให้เกียรติเรา โดยถือว่าเทวดาโดยทั่วไปนี้ท่านโดยเฉลี่ยแล้วอยู่ในระดับคุณธรรม ภูมิธรรมสูงกว่ามนุษย์ นั้นมนุษย์ก็นับถืออย่างท่านผู้ใหญ่ นะฮะ ให้ความเคารพ มีเมตตาต่อกัน อย่างที่ว่าไปแล้ว อุทิศกุศลให้อะไรต่ออะไร ทำดีที่สุด มนุษย์ก็ดีที่สุด
แต่ถ้าเทวดาไม่ตั้งอยู่ในธรรม มนุษย์ก็ต้องยืดหยัดในธรรมะ แล้วก็จะเป็นหลักให้แก่สังคมมนุษย์ แล้วเป็นหลักให้แก่เทวดาด้วย เทวดาก็ต้องพึ่งมนุษย์เหมือนกัน ไม่ใช่ว่าเทวดาจะเป็นฝ่ายช่วยมนุษย์อย่างเดียว ขณะนี้สังคมของเราเนี่ยมีปัจจัยที่จะสร้างความอ่อนแอมาก และกำลังไหล กระแสนี้กำลังแรงมาก เพราะฉะนั้นจะต้องจับหลักให้ได้ จับหลักให้ได้และยืนขึ้นมาในหลักการพุทธศาสนานี้ เรียกเข้มแข็งแล้ว ไปได้ สังคมไทยจะอยู่
เอาละครับวันนี้พูดมา จะจบหลายหนแล้วไม่จบซักที ตอนนี้จบแน่ก็ขอโมทนาทุกองค์ นี้ก็ทีนี้ถ้ายังไม่มีอะไรก็กราบพระพร้อมกัน