แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ไฟล์ถอดเสียงนี้ยังไม่ได้ผ่านพิสูจน์อักษร นำขึ้นมาเพื่อช่วยในการศึกษาค้นคว้าของผู้สนใจ
ท่านประธานการเสวนา : ขอกราบนมัสการพระคุณเจ้า และผู้เข้าร่วมเสวนาภาษาพุทธในครั้งที่ 3 ชมรมพุทธศาสนา โรงพยาบาลวิชัยยุทธ รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งและยินดีอย่างมากในการเสวนาครั้งนี้ พระคุณเจ้าพระธรรมปิฎก วัดญาณเวศกวัน ได้เมตตามานำเสวนาในหัวข้อเรื่องภัยแห่งพระพุทธสาสนาในประเทศไทย ซึ่งเชื่อว่าจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งกับชาวพุทธทุกคน ทั้งที่มาในวันนี้ และที่จะได้อ่าน ที่ฟังเทป ที่ได้บันทึกจากรายการนี้ คงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องแนะนำพระคุณเจ้า เพราะทุกท่านรู้จักดีอยู่แล้ว คงได้เคยอ่านหนังสือเล่มใดเล่มหนึ่งของท่าน เพราะว่าพระคุณเจ้ามีชื่อเสียงระดับโลก แต่ที่สำคัญที่สุดก็คือ เมื่อใดก็ตามที่จะมีผู้เบี่ยงเบนพระธรรมคำสอน ไม่ว่าองค์กรนั้นจะยิ่งใหญ่เพียงใด พระคุณเจ้าจะออกมาเป็นผู้ชี้ความถูกต้อง อย่างโดดเด่นและโดดเดี่ยว แต่อยากจะขอกราบเรียนว่า อย่างน้อยมีพวกเราชาวพุทธที่อยู่ร่วมกับท่านเสมอ ผมขอเรียนทุกท่านว่าท่านพระคุณเจ้าสุขภาพไม่ค่อยสู้แข็งแรงนัก ไม่ได้บรรยายในที่ใดมา 3 ปีกว่าแล้ว ทุกท่านจึงโชคดีมากที่จะได้ฟังการบรรยายในวันนี้ สำหรับวันนี้ก็เป็นกุศลอย่างยิ่งที่เราได้ฟังพระคุณเจ้าพระธรรมปิฎกพูดถึงภัยของพระพุทธศาสนาในประเทศไทย ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง เพราะเกี่ยวข้องกับความมั่นคงของประเทศไทย และความสงบสุขของคนไทย เพราะการที่เราได้เสวนากันมา 2 ครั้งก่อนโน้น ว่าถ้าภาวะของพุทธศาสนาในประเทศไทยเปลี่ยนแปลงไป จะเกิดผลกระทบทางเลวร้ายต่อคนทุกคนที่อยู่ในประเทศไทย ไม่ว่าเขาจะนับถือศาสนาใดก็ตาม เพราะประเทศจะไม่มีความสงบสุข วันนี้เราคงจะได้รู้ว่า ภัยของพระพุทธศาสนานั้นจะมีในรูปแบบใดบ้าง ตามที่พระคุณเจ้าจะได้ชี้แจงให้เห็น ผมขอกราบนิมนต์พระคุณเจ้า
พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต) : ขอเจริญพรท่านประธานการเสวนาและท่านสาธุชนผู้สนใจใฝ่ธรรมทุกท่าน ทั้งบุคคลภายในโรงพยาบาลวิชัยยุทธ แล้วก็ญาติโยมที่มาจากข้างนอก วันนี้อาตมาภาพได้รับนิมนต์มา ก็ถือเป็นครั้งพิเศษ ไม่ใช่พิเศษสำหรับโยม พิเศษสำหรับตัวเอง คือว่าอย่างที่ท่านประธานเสวนาได้พูดแล้วว่า ไม่ได้ไปพูดข้างนอกนาน ความจริงไม่ใช่ 3 ปีเลยโยม ประมาณ 5 ปีแล้ว ไม่ได้ออกมาพูดข้างนอกเลย วันนี้ก็มาพูดที่โรงพยาบาลวิชัยยุทธ ความจริงก็ไม่ใช่ข้างนอกอีก เพราะว่าในโรงพยาบาล อาตมาก็เคยมาอาพาธอยู่ที่นี่ ก็เลยถือว่ามาพูดอยู่ข้างในนี้เอง เพราะฉะนั้นวันนี้ยังถือว่าพูดข้างในอยู่ ยังไม่ได้ออกไปพูดข้างนอก วันนี้ก็นิมนต์ให้พูดเรื่องภัยแห่งพระพุทธศาสนาในประเทศไทย ชื่อเรื่องทำให้ไม่น่าสบายใจ เรื่องภัยนี้ไม่ดี ใครๆ ก็ไม่ชอบ แต่ว่าวันนี้ก็ขอร้องโยมว่าให้ฟังอย่างสบายใจ แต่ว่าเมื่อฟังอย่างสบายใจแล้วก็ต้องขอต่อไปว่าอย่าประมาทด้วย คือความสบายใจมักจะมากับความประมาท คนเราพอสุขสบายก็มีความโน้มเอียงว่าจะเฉื่อย จะนอน จะเพลิน ต้องมีอะไรมาบีบเค้น จึงลุกขึ้นวิ่ง ลุกขึ้นเต้น กระฉับกระเฉง กระตือรือร้น ทำโน่นทำนี้ มันก็เลยกลายเป็นว่า ในโลกก็เป็นธรรมดาว่าคนเราเนี่ยเวลามีภัยคุกคาม มีทุกข์บีบคั้นก็ลุกขึ้นดิ้นรนขวนขวาย พอสุขสบายก็นอนต่อไป ทีนี้เมืองไทยเราเนี่ยมีสภาพเรื่องของความสบายมาก พระพุทธศาสนาก็สอนวิธีปฏิบัติที่ทำให้เราทำจิตใจให้สบาย มีความสุขได้ง่ายด้วย ฉะนั้นก็เลยต้องระวัง พระพุทธศาสนาก็เลยต้องย้ำเรื่องความไม่ประมาท เพราะว่าเมื่อสบายแล้ว คนโน้มเอียงจะประมาท ก็เป็นการฝึกตัวของเรา แล้วทดสอบตัวด้วยว่า ทำอย่างไรจะให้ไม่ประมาททั้งที่สุขสบาย ใครที่ทั้งๆ ที่สุขสบายก็ไม่ประมาทได้ คนนั้นแหละเป็นคนที่ปฏิบัติธรรมได้ผล ถ้าหากว่าสุขสบายแล้วยังประมาทก็เป็นอันว่ายังปฏิบัติธรรมไม่ก้าวหน้าเท่าที่ควร วันนี้ก็ขอให้ทำใจให้สบาย แล้วการที่พูดวันนี้ ภัยก็จะมีมาก ก็ไม่ให้ฟังด้วยอารมณ์ มีความโกรธ ความเคือง อะไรต่างๆ เป็นเรื่องของปัญญา เรื่องของปัญญาก็คือความรู้ความเข้าใจ มีอะไรเกิดขึ้น จะดีจะร้าย ต้องรู้ทั้งนัน เพราะว่าคนที่จะไม่ประมาทได้ก็ต้องรู้สิ ถ้าไม่รู้จะไปจัดการอะไรได้ แต่ทีนี้ว่าเมื่อรู้แล้วก็ต้องทำให้จิตใจผ่องใส โปร่งโล่ง ไม่ไปตามอารมณ์ ไม่ตกอยู่ในอำนาจอารมณ์ด้วย ซึ่งอันนั้นก็ยากอีกข้อหนึ่ง คือทำยังไงจะได้ยินเรื่องที่ร้ายแล้วก็วางใจ สงบได้ ก็เป็นเรื่องฝึกใจชาวพุทธทั้งนั้น เพราะฉะนั้นวันนี้ที่พูดมานี่ ทั้งให้สุขสบายและไม่ประมาทก็ตาม แล้วก็ให้รู้เรื่องร้ายด้วยจิตใจที่ปลอดโปร่งผ่องใสได้ นี่เป็นเรื่องการปฏิบัติธรรมทั้งสิ้น ทีนี้ที่ให้อาตมาพูดเรื่องภัยของพุทธศาสนา ความจริงภัยมันมีมานานแล้ว จากประสบการณ์ของอาตมาภาพเอง เมื่อปี 2525 นั่นเป็นตัวอย่างเท่านั้น ก็ได้พูดเรื่องที่ต้องให้มีการกระตือรือร้น ทำอะไรมาประกาศบอกชาวพุทธกันมากมาย ให้ตื่นตัวขึ้นมาว่ามีอันตรายเข้ามาแล้ว แต่เสร็จแล้วหลังจากนั้นก็เงียบๆไป ก็ทำให้รู้สึกว่ามาถึงเวลานี้ บางครั้งเหมือนกับว่าแทบจะสายไปแล้วมั้ง แต่ถ้าหากว่าไม่ประมาทจริงๆ มันก็ยังมีทางที่จะแก้ไขปัญหาได้ เรื่องภัยที่จะให้พูดเนี่ย อาตมาก็บอกว่าขอแบ่งว่ามี 2 อย่าง คือภัยจากภายนอกกับภัยจากภายใน เรื่องภัย 2 อย่างนี้ต้องรู้ ต้องแก้ไขทั้ง 2 อย่าง ถ้าเอาแต่เพียงด้านเดียวก็ผิด ไม่ถูกต้อง โดยมากเราจะไปสุดโต่ง บางคนก็เอาแต่ภายนอก ไม่ดูข้างใน จริงๆ ภัยอันตรายที่เกิดภายในนี่เป็นเรื่องร้ายแรงมาก อย่างที่ท่านประธานการเสวนาได้พูดมาเมื่อกี้นี้ ก็คิดว่าจัดอยู่ในประเภทภัยภายใจ ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่ ภัยภายนอกแม้จะแรงอย่างไรก็ตาม ถ้าภายในยังเข้มแข็งอยู่นี่ ก็จะสามารถดำรงตน รักษาตัวไว้ได้ แต่ถ้าหากว่าภายในอ่อนแอซะแล้ว ภัยภายนอกก็เข้ามาซ้ำเติมได้ง่าย แม้จะไม่มีภัยก็ทำลายตัวเองหมดเลยนะ เพราะฉะนั้นวันนี้ต้องพูดทั้งภัยภายนอกและภัยภายใน ทีนี้ก็อยากจะพูดถึงภัยภายนอกซะก่อน แล้วก็ค่อยๆ พูดตีวงเข้ามาข้างใน ภัยภายนอกที่เรามองดูเป็นภัยต่อพระพุทธศาสนาเนี่ย ถ้าว่าไปแล้วก็ไม่ใช่ภัยต่อพุทธศาสนาเท่านั้น ถ้าภัยต่อพุทธศาสนา ก็หมายถึงภัยต่อประเทศชาติสังคมไทยทั้งหมดด้วย ทีนี้ภัยต่อประเทศชาติสังคมเนี่ย ก็เป็นภัยอย่างเดียวที่จะเกิดแก่โลก ก็หมายความว่าถ้าภัยเกิดกับพุทธศาสนาได้ ประเทศไทยมีปัญหาได้ ก็เป็นปัญหาแก่ทั้งโลกนั่นแหละ เพราะฉะนั้นวันนี้เรามองดูสภาวะ สถานการณ์ของโลกทั้งหมดเลย ที่นี้เวลานี้ลองมองดูไปทั่วโลกจะเห็นว่าอยู่ในภาวะที่ไม่ปลอดภัย มีปัญหามากมายเหลือเกิน ไม่ต้องพูดถึงปัญหาธรรมชาติแวดล้อมที่คนก็สนใจกันมาก เอาแค่เรื่องมนุษย์ด้วยกันเองเนี่ย เรื่องของสังคม การรบราฆ่าฟันก็ยังมีกันมากมาย ในประเทศเดียวกันก็เกิดการสงคราม เกิดการฆ่ากันอย่างมารุณโหดร้ายซึ่งไม่น่าจะเกิดขึ้นในหมู่มนุษย์ แล้วก็เป็นเรื่องของ
หนึ่ง ก็เป็นเรื่องเผ่าพันธุ์
สอง เรื่องลัทธิศาสนา
คนยังแบ่งแยกกัน อยู่ในสังคมเดียวกันอยู่กันดีไม่ได้ ทำไมเป็นอย่างนี้ ทั้งๆที่ว่าเจริญขึ้นมามีอารยธรรมมากแล้วเนี่ย อย่างที่เราได้ยินอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน กี่มีไม่รู้จะหมดไป ก็คือการรบสงครามระหว่างยิวกับอาหรับ โดยเฉพาะยิวปาเลสไตน์ สงครามก็มีอยู่เรื่อย ก็เป็นสงครามที่มีความทั้งในแง่เผ่าพันธุ์และลัทธิศาสนา ก็คือเรื่องยิวกับชาวมุสลิม ชัดๆอยู่ ก็เป็นศัตรูกันเป็นพันๆปีแล้ว หรือมองไปอย่างประเทศ
ฟิลิปินส์ อินโดนีเซีย อะไรพวกนี้ ก็มีสงครามการรบการฆ่าฟันกันเรื่องของลัทธิศาสนา แต่ว่ามองไปทางเมืองฝรั่งอย่างไอน์แลนด์ ไอน์แลนด์เหนือก็รบกันระหว่างโปรแตสแตนท์กับคาทอลิก ก็มีปัญหากันมาไม่รู้จักจบสิ้น ถอยหลังไปไม่นานนี้ก็บอสเนีย ฆ่ากันโหดร้ายทารุณอย่างยิ่ง มองไปอย่างนี้แล้วเนี่ย เราต้องมองไปข้างหน้า เวลาเราพูดถึงปัญหาภัยปัจจุบันเนี่ย ที่จริงก็คือการมองไปในอนาคตว่า สภาพที่เป็นอย่างนี้มันส่องแนวโน้นว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร ถ้าเรามองไปแล้วไม่เห็นอะไรที่เป็นแนวโน้มที่ดี หรือหลักประกันว่าจะแก้ปัญหาได้ ก็แสดงว่ามันจะต้องมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นอีก แล้วก็อาจจะรุนแรงมากขึ้นด้วย ไม่ว่าสภาพความคิด ความเชื่อถือ ไม่ว่าทิฐิของคน เป็นเรื่องที่สำคัญ เรามีความเชื่อ ตั้งจิตตั้งใจมองอะไรอย่างไร มันก็คิดอย่างนั้นไป ในแง่ของทิฐิ ความคิดคามเชื่อ อะไรเหล่านี้ เราเห็นอะไรที่จะทำให้เรามั่นใจหรือปลอดภัยมากว่า มันจะมีแนวโน้มที่ดีขึ้น ถ้าถามญาติโยมก็จะมองไม่เห็นเลย มีแต่เรื่องที่ยาก มีปัญหากันอยู่เรื่อยไป ถ้ามองในแง่นี้แล้ว ในเรื่องของการที่เกิดสงครามฆ่าฟันกันระหว่างคนต่างผิว ต่างเผ่า เรื่องลิทธิศาสนาเนี่ย เรามามองประเทศไทยเราเนี่ยกลับเป็นประเทศที่ดีที่สุด ประเทศที่ร่มเย็นเป็นสุข คนไทยนี่ไม่มีความรังเกียจเดียดฉันท์ คนผิวเผ่าไหน ลัทธิศาสนาไหน ก็อยู่กันได้ดี เป็นอย่างนี้มาตลอด เป็นเวลายาวนานแล้ว เพราะว่าคนไทยไม่รังเกียจใคร ปรับตัวเข้ากับทุกคนได้ และที่เป็นอย่างนี้ได้ก็เพราะพระพุทธศาสนา อันนี้แน่นอน เพราะว่าแนวคำสอนของพระพุทธศาสนานั้น ให้มีเมตตา กรุณา และเมตตากรุณานั้นเป็นสากล ไม่มีการจำกัดว่ารักเฉพาะพวกนี้พวกนั้น หรือว่าฆ่าคนนั้นได้ไม่เป็นบาป ฆ่าคนนี้จึงจะเป็นบาป พวกนั้น กลุ่มนั้น ฆ่าแล้วกลายเป็นว่าได้บุญซะด้วยก็มี นี่ก็เป็นการที่ว่า อย่างน้อยก็เป็นข้ออ้าง เป็นการสนับสนุนให้เกิดการรบราฆ่าฟัน เมืองไทยเราเป็นอย่างนี้มานานแล้ว ถอยหลังไปดูในประวัติศาสตร์ก็ได้ วันนี้อาตมาก็เลยอยากเท้าความในประวัติศาสตร์ให้เห็นว่า ประเทศไทยของเราเป็นมายังไง แล้วต่อไปยังจะเป็นอย่างนั้นอยู่หรือเปล่า เมืองไทยของเรานี่อยู่ร่วมกับใครก็ได้ ถอยหลังไปพอที่เราจะมีหลักฐานพอเห็นได้ ก็สมัยที่ฝรั่งเริ่มเข้ามา ซึ่งมีบันทึกเหตุการณ์ ถึงคนไทยจะไม่บันทึก ฝรั่งเขาก็บันทึกไว้ สมัยพระนารายณ์มหาราชนี้ ฝรั่งก็เข้ามา แล้วพร้อมกับฝรั่งที่เข้ามาล่าเมืองขึ้น มาค้าขาย อะไรต่างๆเหล่านี้ ศาสนาก็เข้ามาด้วย ก็มีการนำศาสนาเข้ามาเผยแผ่ แล้วพวกที่เข้ามาเผยแผ่ศาสนานั้นเอง เขาก็บันทึกไว้ อย่างพวกบาทหลวงนี่ก็บันทึกถึงสภาพชีวิตจิตใจ นิสัยของคนไทย มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ เป็นคนยิ้มแย้มแจ่มใสต้อนรับคนอื่น ไม่ว่าจะเป็นชาติไหน ลัทธิศาสนาไหน อาตมาก็จะอ่านให้ฟังถึงที่ทางศาสนาคริสตร์ บาทหลวงเขาเข้ามา เขาจะมาเพื่อเผยแผ่ศาสนา แล้วเขาก็มาดูว่างคนไทยเป็นยังไง แล้วเขาก็บันทึกไว้ นี่เป็นบันทึกในสมัยอยุธยา สมัยแผ่นดินพระนารายณ์มหาราช บาทหลวงชื่อ ฌอง เดอ บลู ได้บันทึกไว้ตอนหนึ่ง ซึ่งกรมศิลปากรได้นำมาจัดพิมพ์เป็นหนังสือไว้ เป็นจดหมายเหตุการเดินทางของพระสังฆราชแห่งเบลิธ นี่หมายถึงว่าเป็นประมุขของศาสนาฝ่าย
คริสตร์ที่เข้ามา เขาเขียนไว้ นี่เป็นบาทหลวงเองนะที่เขียน ไม่ใช่เราเขียน เขาบอก ข้าพเจ้าไม่เชื่อว่าจะมีประเทศใดในโลกที่มีศาสนาอยู่มากมาย และแต่ละศาสนาสามารถปฏิบัติพิธีการของตนได้อย่างเสรีเท่ากับประเทศสยาม เขามีประสบการณ์ในการไปเผยแผ่ศาสนาเยอะแยะ เขามาเห็นเมืองไทยแล้วเขามีความประทับใจอย่างนี้ แล้วอีกตอนหนึ่งเขาก็เขียนบอกว่า ความคิดของชาวสยามที่ว่าทุกศาสนาดี ดังนั้นพวกเขาจึงไม่แสดงตนเป็นปฏิปักษ์ต่อศาสนาอื่นใด หากศาสนานั้นๆ สามารถยืนหยัดอยู่ได้ ภายในกฎหมายของรัฐ นับแต่โบราณกาล ผู้ปกครองของไทยมีเจตนารมณ์อันดีงาม จะปล่อยให้แต่ละชาติประกอบพิธีทางศาสนาของตนได้อย่างเสรี แล้วก็มีตอนหนึ่งเขาบอกว่า นี่เองคือเสรีภาพในส่วนที่เกี่ยวกับการนับถือศาสนา อันเป็นสิ่งที่คนทั้งหลายได้ชื่นชมกันอยู่ในราชอาณาจักรแห่งนี้ อันนี้บาทหลวงเขียน ทีนี้ดูฝ่ายฝรั่งที่เป็ยทหาร เป็นนักปกครองบ้าง ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ชาวฝรั่งเศสคนหนึ่งเข้ามารับราชการคนหนึ่ง ได้เป็นนายพล ชื่อนายพลฟอร์บัง ก็อยู่ในเมืองอยุธยานาน แล้วต่อมาก็กลับไปประเทศฝรั่งเศส ก็ไปเล่าให้ทางฝรั่งเศสฟัง เขาก็บันทึกกันไว้ แต่ตอนนี้จะอ่านเรื่องการชวนสมเด็จพระนารายณ์มหาราชให้หันเข้าหาศาสนาคริสตร์ก่อน อันนี้เป็นประชุมพงศาวดาร พ่อค้าฝรั่งเศส อันนี้เอาบันทึกพ่อค้าฝรั่งเศส ก่อนจะถึงบันทึกของนายพล ให้เห็นหลายๆอย่าง บาทหลวงก็รู้ว่าเขาพูดว่ายังไง พ่อค้าเขาพูดว่ายังไง ทหารเขาพูดว่ายังไง พ่อค้าฝรั่งเศสเขาเขียนว่า ถ้าพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ได้ทรงชักชวนแล้ว สมเด็จพระนารายณ์ก็คงจะหันเข้าหาศาสนาโรมันคาทอลิกเป็นแน่ ถ้าการณ์เป็นได้เช่นนี้จริงแล้ว จะเป็นพระเกียรติยศแก่พระเจ้าหลุยส์สักเพียงใด เพราะเวลาพระองค์ได้จัดการศาสนาในพระราชอาณาเขตของพระองค์ ยังได้ทรงจัดการทำลายศาสนาอันไม่ดีในแผ่นดินฝ่ายตะวันออก ซึ่งนับว่าเป็นประเทศที่เจริญที่สุดอยู่แล้ว อันนี้ก็หมายความว่าเขาไม่เห็นสมเด็จพระนารายณ์เนี่ย ไม่ได้รังเกียจเดียดฉันท์ อุปถัมภ์ศาสนา นักบวช บาทหลวงที่เข้ามาเผยแผ่ เขาเลยเข้าใจ นึกว่าในหลวงทรงพร้อมแล้วที่จะไปนับถือศาสนาคริสตร์ ก็เลยบอกให้พระเจ้าหลุยส์ได้ทำพระราชสาส์นมาชวน เพราะความใจดีของคนไทย จนกระทั่งเขาเข้าใจผิด แต่อีกอันหนึ่งที่น่าสังเกตก็คือว่าเขามีความภูมิใจว่า ถ้าเขาไปไหน เขาได้เอาศาสนาของเขาไป แล้วเขาได้ทำลายศาสนาของที่นั่นด้วย เพราะเขาถือว่าศาสนานั้นไม่ดี เพราะฉะนั้นก็เขียนคุยไว้ในนี้ ยังได้ทรงจัดการทำลายศาสนาอันไม่ดีในแผ่นดินฝ่ายตะวันออก เขาถือว่าไม่ดีไปหมด อันนี้เป็นบันทึกของพ่อค้า ซึ่งต่อมาพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ก็ทรงมีพระราชสาส์นมาเชิญชวนสมเด็จพระนารายณ์มหาราชให้หันไปนับถือคริสตร์ที่ว่าจริงๆ ทุกท่านคงทราบว่าสมเด็จพระนารายณ์ทรงตอบว่ายังไง ทรงตอบก็ยาวอยู่ นั่นแหละ ซึ่งก็มีข้อความเอาสั้นๆว่า พระผู้เป็นเจ้าทรงสร้างทุกสิ่งทุกอย่าง สร้างแผ่นดิน สร้างสิงสาราสัตว์ ทรงดลบันดาล ถ้าหากว่าพระเจ้าต้องการให้พระองค์เป็นคริสตร์ พระองค์ก็จะบันดาลเอง เพราะฉะนั้นพระเจ้าหลุยส์ไม่ต้องมายุ่ง ก็พระเจ้าทรงบันดาลได้ทุกอย่างอยู่แล้ว ก็พระเจ้าบันดาลที่ทรงต้องการ นี่แสดงว่ายังไม่ทรงต้องการสิจึงทรงปล่อยให้พระองค์เป็นพุทธอยู่ ใช่ไหม พระนารายณ์มหาราชก็ทรงมีพระปรีชาสามารถอย่างยิ่ง ตอบเทีเดียวเลย พระเจ้าหลุยส์ก็ไม่รู้จะว่ายังไง ก็บัวไม่ให้ช้ำ น้ำไม่ให้ขุ่น ทีนี้จะมาถึงนายพลฟอร์บังบ้าง นายพลฟอร์บังก็เขียนไว้ว่าอย่างนี้นะเจริญพร ได้เขียนไว้บอกว่าที่ทำให้คริสตรศาสนาแผ่ไพศาลไปได้ไม่เร็วนั้น ไปได้ไม่เร็วนั้น ต้องโทษจรรยาวัตรของพระภิษุสงฆ์ ซึ่งมีความอดทนและเคร่งครัดมาก พระภิษุสงฆ์เหล่านี้ไม่เสพสุราเมรัย ฉันแต่ของที่คนถวายเป็นวันๆไปเท่านั้น ของที่ได้มากเกินความจำเป็นก็บริจาคแก่คนจน ไม่เก็บไว้สำหรับวันรุ่งขึ้นเลย ตามปกติใจความของพระธรรมเทศนานั้น แนะนำให้คนทำบุญ ทั่วพระราชอาณาจักรนั้นมีคนใจบุญมากมาย เพราะฉะนั้นเราจึงไม่แลเห็นคนที่จนถึงต้องขออาหารมารับประทาน ธรรมจรรยาของเขา หมายถึงของคนไทยเนี่ย เลิศกว่าของเรามาก นายพลฝรั่งเศสเขาเขียน เขาหานับถือผู้สั่งสอนศาสนาของเราไม่ เพราะว่าผู้สอนศาสนาไม่เคร่งครัดเท่าภิกษุสงฆ์ เมื่อผู้สั่งสอนศาสนาของเราแสดงคริสตรธรรม คนไทยซึ่งเป็นคนว่านอนสอนง่าย นั่งฟังธรรมมะบรรยายนั้นเหมือนคนเล่านิทานให้เด็กฟัง ว่างั้น ความพอใจของเขานั้น ไม่ว่าจะสอนศาสนาใดก็ชอบฟังทั้งนั้น พระภิกษุสงฆ์ไม่เถียงเรื่องศาสนากับผู้หนึ่งผู้ใดเลย เมื่อมีใครยกคริสตรศาสนาหรือศาสนาใดๆมาพูดกับท่าน ท่านก็เห็นว่าดีทั้งนั้น ถ้ามีคนมาปรักปรำพระพุทธศาสนา ท่านก็ตอบอย่างเย็นใจว่า เมื่ออาตมาภาพเห็นว่าศาสนาของท่านเป็นศาสนาที่ดี เหตุใดท่านจึงไม่เห็นว่าพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาที่ดีเหมือนกันเล่า พระของเราก็ตอบอย่างนี้ คือมีจิตใจกว้างขวางอย่างที่ฝรั่งเขาพยายามมานานเนแล้ว ฝรั่งมีแต่รบกัน ฆ่ากัน ด้วยศาสนา จนกระทั่งต้องอยู่กันด้วยกฎหมาย เอากฎหมายมาเป็นเครื่องป้องกัน ไม่ให้คนมารุกรานกัน ก็เป็นอย่างนี้มา เป็รประเพณีมาตลอด ทีนี้แม้แต่ในอีกด้านหนึ่งเนี่ย อย่างทางใต้ของเราก็มีศาสนาอิสลาม มีคนมุสลิมเยอะ ของเราก็อยู่กันมาด้วยดี ไม่มีปัญหา เหมือนพี่เหมือนน้อง คนทางใต้ พระทางใต้ก็จะเล่าให้ฟัง บอกว่า ในภาคใต้เราที่เป็นมาสมัยก่อน คนไทยพุทธ คนไทยมุสลิมอยู่ด้วยกัน เวลาคนมุสลิมสร้างมัสยิด คนไทยพุทธไปช่วยสร้าง ก็เวลาชาวพุทธสร้างโบสถ์ ทางมุสลิมก็เลยมาช่วยสร้างด้วย อย่างนี้เป็นสภาพที่หาได้ยาก มันไม่มีที่ไหนในโลก พระมาจากนราธิวาสก็มาเล่าให้ฟัง ท่านมีความวิตกห่วงใยความเป็นไปในจังหวัดของท่าน อนาคตจะเป็นอย่างไรหนอ ท่านบอกสมัยท่านเป็นเด็กเนี่ย จะเป็นเด็กพุทธ เด็กมุสลิม ก็เรียนหนังสือด้วยกัน ก็โตมาด้วยกัน เป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เด็ก ตอนเป็นเด็กไม่ถือศาสนาไหนศาสนาไหนๆ ไม่รู้จัก เพราะฉะนั้นก็เป็นเพื่อนกันสนิท พอโตแล้วก็อยู่ด้วยกัน ก็พูดคุยกันดี สบาย ทีนี้ตอนหลังเขาแยกเรียนคนละโรงเรียน พอแยกกันตั้งแต่เด็ก ทีนี้เริ่มมีปัญหาแล้ว คราวนี้ก็เป็นคนละพวกสิ โน่นพุทธ โน่นมุสลิม ท่านก็เป็นห่วงว่า ไม่ใช่เป็นห่วง คือวิตกกังวลว่าต่อไปมันจะเกิดอะไรขึ้น สถานการณ์หรือเรื่องเหตุการณ์ทางสังคมที่มันเกิดเปลี่ยนแปลงไป ซึ่งเป็นเรื่องในทางที่ไม่ดี อย่างประเทศอเมริกาที่เราว่าเป็นประเทศที่ดี เสรีภาพ มีความเป็นประชาธิปไตย มันเป็นด้วยกฎหมาย คือเขามีประสบการณ์ที่กีดกันบีบคั้นข่มเหงกันมาก ของฝรั่งเนี่ยลองไปอ่านประวัติศาสตร์ จริงๆเราต้องรู้ว่าฝรั่งเป็นมายังไง เขารบราฆ่าฟันกันมากมาย จนกระทั่งว่าต้องใช้วิธีตั้งกฎหมายขึ้นมา เป็นเครื่องป้องกัน บังคับคน แล้วการที่เขาหนีมาจากยุโรป นั่นเหตุหนึ่งที่สำคัญก็คือ การหนีภัย หรือการบีบคั้นทางศาสนา นั่นเอง มาหาอิสรเสรีภาพ และคนชาตินี้เชิดชูเสรีภาพมาก ก็เพราะว่าถูกกดขี่ข่มเหงมาในอดีตมากมายนั่นเอง ทีนี้ อย่างอเมริกาตอนนี้แม้จะมีอย่างกฎหมายบังคับควบคุม ก็ยังมีอย่างพวกสมาคมลับ อย่างคูคลักซ์แคนเอาไว้สำหรับฆ่าคนผิวดำ หรือมีนาซีใหม่ เดี๋ยวนี้ก็ยังมีอยู่ คือในจิตใจมันยังแก้ไม่ตกแต่ของเราแก้ไปในจิตใจเลย ถึงได้พูดได้ว่าเรื่องเสรีภาพทางศาสนา อเมริกาอย่ามาคุยเลย มันไม่มีเทียบ เทียบเมืองไทยเราไม่ได้ เพราะฉะนั้นเขาเสรีภาพ ใช้คำสมัยใหม่เขาเรียกเสรีภาพทางลบ ในทางคอยกั้น คอยกัน คอยระวังไม่ให้รุกรานข่มเหงกัน แต่ของไทยเราเป็นเสรีภาพแบบบวก กลายเป็นสามัคคีช่วยเหลือเกื้อกูลกัน แต่ว่าอันนี้เป็นสภาพที่เป็นมาในพื้นเพภูมิหลังของเรา ที่เราจะต้องรู้จักตัวเอง แต่ว่าสภาพอย่างนี้เราจะรักษาไว้ได้หรือเปล่า เป็นเรื่องที่เราจะต้องคิดแล้ว นี่แหละก็คือปัญหาเรื่องภัยแก่พระพุทธศาสนา เราพูดได้ว่าสภาพอย่างที่ว่ามา ที่อยู่ร่วมกันด้วยความร่มเย็นเป็นสุข เหมือนพี่เป็นน้อง ไม่ว่าต่างสีต่างเผ่า ต่างศาสนาเนี่ย เราพูดได้เลยว่าเป็นได้เฉพาะเมื่อชาวพุทธเป็นคนส่วนใหญ่ แต่ถ้าเมื่อไหร่ชนพุทธมีน้อยลง ก็จะเริ่มเกิดปัญหา พูดได้เลยว่าเมื่อไหร่คนพุทธ อย่างเมืองไทยเนี่ย 90 เปอร์เซ็นต์ ทั้งนั้นแหละ เริ่มเดือดร้อน ปัญหาจะต้องเกิดขึ้น ตอนนี้เหลือ 95 เปอร์เซ็นต์ ก็มีเค้าแล้ว จะเริ่มร้อนแล้ว คิดไปอย่างนี้เราก็พูดได้ว่า ก็คนศาสนาอื่นไม่ได้คิด ไม่ได้มองอย่างชาวพุทธ อยากจะยกตัวอย่างเรื่องหนึ่ง อย่างที่ข่าวใหญ่สำหรับโลกเลย เมื่อไม่กี่เดือนมาแล้ว ก็คือเรื่องกรณีตาลีบัน พวกตาลีบันที่เข้ามาปกครองประเทศอัฟกานิสถาน ได้ใช้ปืนใหญ่ ใช้ลูกระเบิด ทำลายพระพุทธรูปที่มีมาเป็นพันๆปีแล้ว ซึ่งถือว่าเป็นสมบัติของโลก เพราะว่าที่นั่นเคยเป็นดินแดนพุทธศาสนา เป็นศูนย์กลางพระพุทธศาสนาเลย อยู่แถวๆอาณาจักรกุษาณะ ของพระเจ้ากนิษกะ มาถึงตอนนี้ก็ถูกผู้ปกครองของชาวมุสลิมคือตาลีบันทำลายลงไป ความจริงในประวัติศาสตร์เขาเคยทำลายมาหลายครั้ง แต่ว่าสมัยก่อนไม่มีอุปกรณ์ที่ทันสมัยอย่างนี้ ทำลายได้ก็แค่ไปต่อย ไปทุบ อย่างในอินเดียเนี่ย ชาวพุทธไปนมัสการสังเวชนียสถาน ก็จะเห็นพระพุทธรูปที่ต่างๆ ในที่ๆเปิดเผยเห็นได้ง่าย พระพุทธรูปจะถูกทำลาย แบบถ้าเป็นศิลาใหญ่ๆ ก็ต่อนที่พระนาสิก ก็คือจมูก ให้เสียโฉม คือเขาทำลายไม่ไหว สมัยก่อนไม่มีอุปกรณ์เครื่องมือที่จะทำลาย ก็ได้แค่นั้น ก็ทำลายที่พระนาสิก ก็จะเป็นอย่างนี้ทั่วไปหมด ทีนี้ตอนนี้ก็มีเครื่องมือทำลายที่ร้ายแรง มีระเบิด มีปืนใหญ่ ก็เลยทำลายได้หมดสิ้นเลย เมื่อเกิดกรณีตาลีบันขึ้นมา ก็ดูว่าชาวพุทธก็ตาม ชาวโลก ชาวมุสลิมก็ตาม จะมีความรู้สึกแสดงออกอย่างไร ก็มักจะเป็นสัญญาณว่าเราจะมองสถานการณ์ ซึ่งหมายถึงแนวโน้มต่อไปในอนาคตอย่างไร คนที่มีแนวคิดอย่างนี้ ที่เขาทำอย่างนี้ได้เนี่ย ใจเขาเป็นอย่างไร เขานึกคิดต่อผู้อื่นอย่างไร มา เราไม่ต้องมาคิดสถานการณ์เฉพาะหน้า มันจะต้องมองไปในอนาคต ว่าเมื่อเขายังมีความคิด มีความเชื่อ มีสภาพจิตใจอย่างนี้ อะไรจะเกิดขึ้นต่อไป นี่เป็นเรื่องที่สำคัญ ทีนี้เท่าที่ดูแล้ว ชาวพุทธก็มีบ้างที่ตื่นตัว แต่ว่าน้อย อาตมาเรียกว่าน้อย แต่ในฝ่ายทางมุสลิมก็มี เราก็ได้ยินว่ามีชาวมุสลิมที่ไม่เห็นด้วย อย่างอาจารย์ชัยวัตร ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ก็ดี เขียนลงในหนังสือพิมพ์ แสดงความไม่เห็นด้วย แต่ว่าก็ไม่ได้ออกจากองค์กรใหญ่ของชาวมุสลิม ซึ่งควรจะแสดงให้เห็นท่าทีที่ชัดเจน แล้วบางคนก็พูดในทางตรงข้าม ที่อาตมาจะอ่านให้ฟังตัวอย่างที่เขาส่งไปลงหนังสือพิมพ์สยามรัฐสัปดาห์วิจารณ์ เขาเขียนหัวข้อว่า เวรกรรมของตาลีบัน อาตมาว่ายาวไป จะอ่านเฉพาะบางส่วน บอกเรื่องการทำลายพระพุทธรูปของตาลีบันที่ผ่านมานั้น อาจจะเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องในสายตาของศาสนิกชนอื่น ที่ไปทำลายศาสนสถานของชาวพุทธ ซึ่งพระพุทธรูปเป็นที่เคารพสักการะสำหรับศาสนาของเขา นี่เขาเขียนต่อไป นี่เป็นชาวมุสลิมเขียนลงไป สิ่งที่เขาทำอาจเป็นสิทธิของเขาที่ไม่มีใครไปว่าเขาได้ เราก็มีสิทธิ์แค่ออกความเห็นและวิจารณ์ เขาจะฟังหรือไม่ฟังก็เป็นเรื่องของเขา เพราะเขาทำในบ้านของเขา ถ้ามุสลิมไทยมีจเว็ดในบ้าน เราก็ต้องกำจัด ท่านวันนอร์ของเราก็เปลี่ยนแปลงห้องรัฐมนตรี โดยการพระพุทธรูปออกไป และอดีตรัฐมนตรีว่าการต่างประเทศ ด็อกเตอร์สุรินทร์ พิศสุวรรณ ก็ยกพระพุทธรูปออกจากห้องทำงานเหมือนกัน การที่จะให้อิสลามเป็นสากลไม่ได้หมายความว่าจะยืดหยุ่นได้ทุกๆ เรื่อง อิสลามเป็นศาสนาที่สร้างสรรค์ไม่ใช่ทำลาย บางครั้งการทำลายอาจเป็นสาเหตุจากการสร้างสรรค์ ศาสดามูฮัมหมัดก็เคยทำสิ่งเดียวกัน บรรดาเทวรูปต่างๆที่อยู่ในเมกกะถูกทำลาย แต่ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นก็ทำให้สังคมนั้นรวมตัวกันเป็นหนึ่งเดียว อันนี้ก็คือท่าทีที่เป็นตัวอย่าง ก็เขามองประเทศนั้นเป็นบ้านของเขา ถ้าอย่างนี้มันก็ลำบาก ก็หมายความว่าคนที่ถือศาสนาอื่นก็ไม่ใช่บ้าน ทั้งๆที่เกิดที่นั่น อย่างนี้ก็ต้องอยู่บ้านคนเดียว ก็เป็นเรื่องที่ว่าเราจะต้องมองด้วยความรู้ความเข้าใจและไม่ประมาท ว่าคนมีสภาพจิตอย่างนี้ ต่อไปจะเกิดอะไรขึ้นในระยะยาว ก็ขอเล่าไปเรื่อยๆ ยกตัวอย่าง อย่างประเทศมาเลเซียเมื่อสักร่วมจะ 10 ปีแล้ว วันหนึ่งก็มีคนมาเลเซียมาที่วัด ก็เข้ามาหาเข้ามาบ่น บอกวิตกกังวล ตอนนี้ประเทศมาเลเซียประกาศให้ศาสนาอิสลามเป็นศาสนาประจำชาติ เป็น state religion แล้วก็จะมีปัญหาเรื่องการศึกษาเล่าเรียนเด็ก ชาวพุทธก็จะต้องมีการเปลี่ยนแปลงในเรื่องหลักสูตรอะไรต่างๆ เขาก็ว่าทำไปถือโอกาสเอาศาสนาอิสลามเป็นศาสนาประจำชาติ ทั้งๆที่คนมุสลิมมีแค่ 49 เปอร์เซ็นต์ เขาบอก แล้วรัฐบาลไปประกาศว่าเป็น 51 เปอร์เซ็นต์ ถือว่าเป็นเสียงข้างมาก คนชาวพุทธบอกว่า จริงๆมุสลิมมีแค่ 49 เปอร์เซ็นต์ แต่รัฐบาลบอกว่ามี 51 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเป็นเสียงข้างมากก็เลยประกาศให้ศาสนาอิสลามเป็นศาสนาประจำชาติ ก็คิดว่ามันไม่สำคัญหรอกว่า 49 หรือ 51 เปอร์เซ็นต์ แค่ 51 เปอร์เซ็นต์นี้ก็เอาเป็นศาสนาประจำชาติได้ ก็ถืออย่างนั้นได้ นั่นก็เป็นเรื่องที่ว่าแนวคิดเนี่ยเป็นอย่างไร เรื่องของประเทศไทยกับประเทศต่างๆ ความคิดเนี่ยไปคนละแบบนะ เราดูอย่างประเทศอื่น อย่างประเทศอเมริกา เราบอกว่าเขาเป็นประเทศที่มีเสรีภาพทางศาสนา แยกรัฐกับศาสนาเนี่ย ถ้าเราสังเกตเราก็จะเห็นว่า อย่างประธานาธิบดีเข้ารับตำแหน่ง ก็จะมีพิธี เขาเรียกว่าปฏิญาณตนเข้ารับตำแหน่ง หรือ inauguration เนี่ย ทั้งๆที่ประเทศอเมริกามีชาวคริสตร์อยู่ราวๆ 85 เปอร์เซ็นต์ เป็นโปรเตสแตนต์ 60 กว่าเปอร์เซ็นต์ แล้วก็เป็นคาทอลิก 20 กว่าเปอร์เซ็นต์ เวลาทำพิธีปฏิญาณตนเข้ารับตำแหน่ง เขาจะต้องสาบานตัวกับไบเบิล ใช่ไหม ก็ต้องเอามือแตะคัมภีร์ไบเบิล แล้วลงท้ายว่า So help me God หรือแม้แต่พิธีปฏิญาณธงอเมริกัน แสดงความภักดีต่อประเทศชาติ เขาจะมีกฎหมายที่ออกมา สภากำหนดไว้ทำสำหรับปฎิญาณตน ปฎิญาณตนตอนหนึ่งจะมีบอกว่า One Nation Under God คือประเทศอเมริกาเป็นประเทศหนึ่งเดียวภายใต้พระผู้เป็นเจ้า ถ้าถามว่าประเทศอเมริกาถือศาสนาไหนเป็นศาสนาประจำชาติ ถ้าถือตามนี้ก็ตอบได้เลย แม้เขาจะบอกว่าในรัฐธรรมนูญ เขาจะให้รัฐกับสาสนาแยกกัน อันนั้นมันเป็นเฉพาะเรื่องของคาทอลิกกับโปรเตสแตนต์แล้วโปรเตสแตนต์ที่มีหลายนิกายทะเลาะกัน ก็เลยว่าจะเอาอันไหนเป็นใหญ่ไม่ได้ ที่เขาเอาศาสนาเป็นเสรีภาพ แยกรัฐกับศาสนา ที่จะกลายเป็นเรื่องเกี่ยวกับศาสนาทั้งหลาย ความจริงมันเป็นเรื่องระหว่างคริสตร์ด้วยกันเองคือคาทอลิกกับโปรเตสแตนต์หนึ่ง แล้วก็โปรเตสแตนต์ที่ต่างนิกายกัน เป็นร้อยๆ นิกายนั่นต่างหาก ปัญหาขอเขาอยู่ที่นั่น เขามีนิกายมากมาย แล้วเขาตกลงกันไม่ได้ก็เลยทะเลาะกัน เราเองบางทีไม่รู้ภูมิหลัง เห็นเพียงตัวหนังสือว่าเขามีเสรีภาพทางศาสนนานะ ให้ศาสนากับรัฐกับไม่ต้องเกี่ยวข้องกัน ไม่รู้ว่าเขาเป็นมายังไง แล้วก็จะเอาวิธีนี้มาใช้กับประเทศไทย ยังไม่เข้าใจภูมิหลัง ก็เลยกลายเป็นว่าสิ่งที่ควรจะเป็นประโยชน์กับประเทศชาติก็ไม่เกิดขึ้น กลายเป็นว่าเอาสิ่งที่เป็นโทษมาใส่กับประเทศของตัวเอง อย่างเรียกว่า อย่างนายกรัฐมนตรีไทยเข้ารับตำแหน่งก็น่าจะมีพิธีทางพุทธศาสนาบ้าง ถ้าจะเอาอย่างอเมริกานะ อย่างอื่นเอาอย่างอเมริกา แต่อย่างนี้ไม่เอา ถ้าจะว่าตามประเพณีของเรา พระมหากษัติย์ทรงมีพิธีบรมราชาภิเษก ก็แน่นอนว่าจะต้องมีพิธีทางพระพุทธศาสนา แต่ทีนี้ว่าเมื่อเรามาเป็นประชาธิปไตย เราไม่ได้สืบต่อเรื่องวัฒนธรรม ประเพณี ทำไมสิ่งเหล่านี้เราไม่สืบต่อ ก็เป็นเรื่องที่ควรจะต้องนำมาพิจารณาด้วย ทีนี้อีกเรื่องหนึ่งที่อาตมาพูดไว้แต่ต้น ที่บอกว่าเมื่อปี 2525 ก็มีเรื่องตื่นเต้นกันใหญ่ ชาวพุทธก็ลุกขึ้นมาเคลื่อนไหวสักพักหนึ่งก็เงียบไป ก็คือกรณีที่เรียกว่า vatican council 2 หรือการประชุมสังคยนาวาติกันครั้งที่ 2 เรื่องนี้เป็นไปมายังไงก็มาเล่าให้ฟังซะด้วย ก็ย้อนหลังไปนี่ก็เกือบ 20 ปีแล้ว 19 ปีแล้ว ตอนนั้นฝ่ายชาวพุทธได้ไปเจอเอกสารของ secretary for non christian เป็นสำนักเลขาธิการเพื่อคนที่ไม่ใช่ชาวคริสตร์ เป็นเอกสารลับ เขาบอกว่าเป็น confidential
นี่ก็ไปเจอเข้ากับเอกสารนี้ ซึ่งเขาใช้สำหรับสื่อกันระหว่างพวกบิชอฟคาทอลิกที่ทำงานอยู่ในประเทศต่างๆ หลายๆประเทศ ในเอกสารนี้ก็ไปเจอนโยบายใหม่ของคาทอลิกที่จะปฎิบัติต่อศาสนาอื่นๆ ให้รู้ว่าเวลานี้ทางคาทอลิกได้เปลี่ยนนโยบาย คือก่อนหน้านี้ชาวคริสต์คาทอลิก โดยเฉพาะบาทหลวงเวลาเผยแผ่ศาสนา ก็จะใช่วิธีรุนแรง ดาว่า โจมตี อย่างสมัยก่อนที่มีญาติโยมอายุมากๆ ก็จะได้ยิน อย่างที่สนามหลวงเนี่ย บางทีพวกเผยแผ่ศาสนาคริสตร์ก็ขึ้นไปยืน แล้วก็โจมตีพุทธศาสนาด่าว่าต่างๆ แล้วต่อมาภาพนี้ก็หายไป ก็มีการเปลี่ยนแปลงในการที่เข้ามาเป็นมิตร อะไรต่างๆ ทีนี้ชาวพุทธก็ไปเจอเอกสารลับนี้ขึ้นมา สืบเนื่องมาจาก vatican council 2 ซึ่งเขาประชุมตั้งแต่ปี 1962 -1965 ก็เป็น พ.ศ.ประมาณ 2505 แต่ว่าเรามาเจอหลังจากนั้นตั้งนานแล้ว ที่เข้าเปลี่ยนนโยบาย โดยตัวเองก็แปลกใจว่าชาวคริสตร์บาทหลวงอะไรต่างๆ เข้ามาสัมพันธ์กับชาวพุทธอย่างดีจนกระทั้งว่าองค์การศาสนาถึงกับตั้งเป็นหน่วยงานเป็นศูนย์อะไรที่ว่าศาสนสัมพันธ์ขึ้นมา คำว่าศาสนสัมพันธ์ก็แปลมาจากภาษาอังกฤษที่ทางคาทอลิกใช้ว่า dialog ซึ่ง dialog ปกติก็แปลกันว่าเสวนาหรืออะไรทำนองนี้ แต่ในกรณีนั้นเขาแปลว่าศาสนสัมพันธ์ ที่องค์การศาสนาตั้งหน่วยนี้ขึ้นเพื่อให้ทางคริสตร์ทางพุทธอะไรต่างๆได้มาประสานกัน มีความกลมกลืนเป็นอันหนึ่งอันดียวกัน ทีนี้พอไปเจอเอกสารลับนี้ก็บอกว่าเขาเปลี่ยนนโยบายในการเผยแผ่ศาสนาว่า ในโลกปัจจุบันนี้การที่จะมาใช้วิธีโจมตีด่าว่ามันไม้ได้ผลแล้ว แต่อย่างในเมืองไทยเอง บาทหลวงเขาก็รู้อยู่ เขาพูดว่าในเมืองไทยนี้ศาสนาคริสตร์เข้ามาตั้งแต่ ตีซะว่าสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ก็ราว 300 ปี มาถึงปัจจุบันนี้มีคนไปเป็นคริสตร์แค่แสนกว่า เวลาที่ผ่านไปยาวนานหลายร้อยปี ทุนมหาศาลที่ใช้ไปเนี่ย เมื่อมาเทียบกับผลที่ได้ ถือว่าไม่ได้ผลเลย ฉะนั้นการที่จะใช้วิธีอย่างเก่าเนี่ย เลิกได้แล้ว ก็เลยเปลี่ยนมา ที่หน่วยกลางที่วาติกันเองก็เปลี่ยนเป็นนโยบาย จากการประชุมใหญ่ครั้งนี้ โดยให้ใช้วิธี dialog วิธีการวิสาสะกัน ให้ใช้วิธีที่เรียกว่า assimilation เรียกว่าการกลมกลืน ทีนี้นโยบายกลมกลืนเขาก็มีตัวอย่างให้ในเอกสารนั้น ซึ่งพอดีเขาพูดถึงวิธีปฏิบัติในประเทศไทยด้วย ว่าประเทศไทยนี้ ในนั้นมีบอกหมด รายงานว่าสถานการณ์เป็นยังไง ??? เป็นยังไง พุทธสมาคมเป็นยังไง ได้ผลหรือไม่ พระสงฆ์เป็นยังไง ชาวไทยเป็นยังไง แล้วจะปฏิบัติยังไงจึงจะได้ผลดี เขาก็บอกวิธีปฏิบัติ ก็ต้องใช้วิธีกลมกลืน ในแง่คำสอนทางศาสนาก็ให้คนที่เก่งของคริสตร์ไปเรียนหลักทางพุทธศาสนา แล้วก็เอามาใช้ในคริสตรศาสนา พวกพิธีกรรมต่างๆก็เอามาใช้ ตอนนั้นก็ปรากฎนำมาใช้ในพิธีกลมกลืนกัน ซึ่งเดี๋ยวนี้ก็ยังมีอยู่ อย่างชาวคริสตร์ต่อจากนั้นมาซึ่งจนกระทั่งปัจจุบันเนี่ย มีการทอดผ้าป่า มีการทอดกฐิน ตอนหนึ่งถึงกับใช้วิธีบวชแบบพุทธเลย มีการตั้งมีผู้สวดอะไรต่างๆ คือเขาพยายามก็ดูว่าอันไหนได้ผลก็ทำต่อ อันไหนไม่ได้ผลก็เลิกไป แต่ว่าผ้าป่านี้ยังทำ นี่ก็เป็นตัวอย่าง แล้วก็อย่างนำเอา เช่น แบบแผนเรื่องของการก่อสร้างสถาปัตยกรรมก็ให้มาเป็นคล้ายๆกับไทย แบบพุทธ แล้วก็เอาโต๊ะหมู่บูชาเข้าไปใช้ ซึ่งเดี๋ยวนี้ก็จะทราบได้ว่า นำเอาโต๊ะหมู่เนี่ย แบบของในวัดพุทธศาสนาไปใช้ในโบสถ์คริสตร์ ตั้งไม้กางเขนแทนพระพุทธรูปอะไรอย่างนี้ บางแห่งก็ได้ทราบว่าเอาพระพุทธรูปไปตั้งข้างๆด้วย อันนี้ก็เป็นเรื่องของวิธีการกลมกลืนซึ่งทำมา ซึ่งชาวพุทธไม่ได้รู้เรื่อง จะมองไปในแง่ดีว่านี่เขามาเป็นมิตรกับเรา ทีนี้เราไปเจอนอกจากในเรื่องของภาคปฏิบัติแล้ว ก็ไปเจอในแง่คำสอน ก็มีเอกสารของสถาบันคริสตร์ออกมา พูดถึงนโยบายเกี่ยวกับคำสอน เขาก็ตั้งวิธีการนำเอาหลักธรรมของพุทธศาสนาไปอธิบาย โดยใช้วิธีอธิบาย เขาเรียกอะไร เดี๋ยวอาตมาจะต้องขออ่านให้ฟัง เขาใช้ศัพท์ว่ายังไง เขาว่าใช้แนวทางอธิบายคริสตรศาสนาอย่างชาวพุทธ โดยใช้ศัพท์และหลักธรรมของพระพุทธศาสนา อันนี้เขาตั้งไว้ในเอกสารประจำ แล้วก็พยายามทำ มีบาทหลวงหลายท่านพยายามทำอย่างนี้ แล้วก็ให้ใช้นโยบายเอาพุทธกับคริสตร์นี้เป็นอันเดียวกัน การใช้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันก็คือว่า อย่างที่บอกเมื่อกี้กลมกลืน แต่อาตมาว่าไม่ใช่กลมกลืน ครอบเลย การครอบก็คือว่าเอาพุทธไปอยู่ข้างในแล้วเอาคริสตร์นี่เป็นใหญ่ การเอาคริสตร์เป็นใหญ่ก็คือว่าให้พระพุทธเจ้าเป็นคนที่พระเจ้าส่งมา เพราะฉะนั้นในเอกสารของคริสตร์ตอนนั้นก็จะมีออกมาชัดเจนเลย บอกว่าพระพุทธเจ้าเป็น ปะ-กา-สก ที่พระผู้เป็นเจ้าได้ส่งมา ปะ-กา-สก ที่พระผู้เป็นเจ้าได้ส่งมา เพื่อมาเตรียมชาวตะวันออกไว้ต้อนรับพระเยซู ว่างั้น เพราะว่าพระพุทธเจ้าประสูติก่อนพระเยซู ประมาณ 500 ปี คือ 543 ปี ไม่ใช่ 543 หรอก ถ้าเรานับพุทธศักราชจากพุทธปรินิพพาน ก็ต้องบวกไปอีก 45 ปี ไม่ใช่ 80 ปี เป็น 600 กว่าปี ทีนี้เขาก็ให้ถือว่าพระพุทธเจ้านี้พระเจ้าส่งมา เพื่อเตรียมรับพระเยซู เพราะฉะนั้นก็ให้เตรียมชาวตะวันออกไว้ต้อนรับพระเยซู แล้วก็มีการที่เอาธรรมมะของพระพุทธศาสนาไปอธิบายให้เข้ากับคริสตร์ ให้เป็นว่าที่พระพุทธเจ้าสอนเนี่ยเป็นเรื่องของพระเจ้าสั่งมาให้สอน อาตมาจะอ่านให้ฟังเป็นตัวอย่าง เช่นอย่างใน บาทหลวงมนัส จวบสมัยเขียนไว้ในแสงธรรมปาริทัศน์ ปีที่ 5 ฉบับที่ 2 พฤษภาคม – สิงหาคม 2524 หน้า 102-104 บอกว่า ปฐมเหตุของสรรพสิ่งคือพระเจ้าผู้สร้าง พระองค์คือองค์สยมภู พระองค์เป็นผู้สร้างสากลและจักรวาล และทรงตั้งกฏปฏิจจสมุปบาทขึ้นครองโลก เท่านั้นนะ พระพุทธเจ้าตั้งกฏปฏิจจสมุปบาทเพื่อครองโลก ปฏิจจสมุปบาทคือแผนการของพระเจ้าที่มีต่อโลกและมนุษย์ พระเจ้าทรงไขแสดงให้พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้และนำมาตีแผ่ ว่างั้น นี่คือวิธีที่ว่ากลมกลืน ก็เอาเป็นว่า อ๋อ ที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้เนี่ย คือพระผู้เป็นเจ้าไขให้ ไขแสดง ถ้าใช้ศัพท์ฝรั่งเขาเรียกว่า revelation ไขแสดงให้พระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วนำมาตีแผ่ อย่างหลักอื่นก็เหมือนกัน อย่างเรื่องไตรลักษณ์ เขาก็จะมีอธิบาย คือบาทหลวงเขาก็จะอธิบายเป็นแนวว่าชาวคริสตร์หรือบาทหลวงที่เผยแผ่เนี่ยจะเอาธรรมมะของพุทธไปใช้อย่างไร เขาจะอธิบายว่า อ๋อ อนิจจังในคัมภีร์ไบเบิลก็สอนไว้ว่าอย่างนี้ ทุกขังก็สอนไว้ว่าอย่างนี้ อนัตตาก็สอนไว้ว่าอย่างนี้ๆ อาตมาอ่านแล้วตอนนั้นก็ไปค้นดูว่า เอ ในคัมภีร์ไบเบิลมีสอนอย่างนี้จริงหรือเปล่า ไปดูแล้วไม่เห็นมันน่าจะแปลอย่างนั้น ไม่รู้เขาแปลได้ยังไง ตรงนี้เขาแปลเป็นอนิจจัง ตรงนั้นเขาแปลเป็นทุกขัง เขาแปลไปได้ แล้วอนัตตาเขาบอกว่ามี เสร็จแล้วเขาว่ายังไงรู้ไหม เขาบอกว่า คือเขาพูดแล้วสรุปความได้ความว่า พระพุทธศาสนาพระพุทธเจ้าก็สอนไปได้จนถึงอนัตตา สอนอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ได้ ต้องอาศัยพระเยซูมาสอนอัตตาอีกทีหนึ่ง ก็คือพระเยซูนี้มาทำให้จบ ต้องไปสู่อัตตาของพระเยซูอีกที อาตมาจะอ่านให้ฟังสักตอนหนึ่ง อันนี้มาจากสัปดาห์สาสน์ นิตยสารรายสัปดาห์ โดยโบสถ์นักบุญโยเซฟ บ้านโป่ง ราชบุรี เขียนว่าพระเจ้าทรงใช้พระธรรมสร้างทุกสิ่ง พระธรรมนั้นมาเกิดเป็นมนุษย์แท้ พระธรรมมาเกิดเป็นมนุษย์แท้ หมายถึงพระธรรมมาเกิดเป็นพระเยซู พระธรรมคงนิจจัง สุข อัตตา มาเกิดเป็นมนุษย์ซึ่งอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เพื่อมนุษย์จะได้รับสภาพนิจจัง สุข อัตตา จากพระธรรม พระธรรมเป็นบุตรองค์เดียวของพระเจ้า มนุษย์ที่รับสภาพนิจจัง สุข อัตตา เมื่อคริสตรชนถึงแก่ความตาย อนัตตาก็สูญสิ้นไป เหลือแต่อัตตาในโลกุตตระ ซึ่งเป็นนิจจังและสุขอย่างสมบูรณ์ อันนี้ก็เป็นตัวอย่างให้เห็นว่าเขาได้ปฏิบัติจริงอย่างนี้ เขาเอาธรรมมะในพุทธศาสนามาอธิบายใหม่ให้เป็นของคริสตรศาสนา แต่ว่ามีนโยบายไว้ชัดว่าต้องให้สูงกว่า ก็คือว่าเอาพุทธไปอยู่ในนั้นอีกทีหนึ่ง ก็เลยเรียกว่าเป็นวิธีการครอบ อันนี้ก็เป็นเรื่องที่ว่าควรจะรู้ อาตมาก็ว่าชาวพุทธก็ไม่เคยรู้ ทั้งๆว่าอันนั้นเป็นเหตุการณ์ที่เคลื่อนไหวกันครั้งใหญ่ เมื่อปี 2525 19 ปีมาแล้ว แล้วก็เงียบหายไป ก็ไม่ได้มีการเอาจริงเอาจังอะไร เลยกลายเป็นเรื่องตูมตาม หรือไฟไหม้ฟางแล้วก็จบไป อาตมาถึงได้บอกว่าถึงเวลานี้แทบจะสายเกินไปแล้วหรือเปล่าที่จะมาตื่นตัวกัน เพราะว่าเวลานี้อะไรต่ออะไรมันไปไกลเยอะแล้ว ทีนี้ปัญหาก็จะมาจากชาวพุทธเองด้วย ในการที่เรามีลักษณะอย่างนี้ ไม่ค่อยจะได้ค่อยถืออะไรเป็นจริงเป็นจัง ก็เลยกลายเป็นคนที่ตกอยู่ในความประมาท แล้วก็มาเข้ากับลักษณะที่ว่า อยู่สบายๆ สบายๆ ก็ไม่ประมาท ถ้าเป็นชาวพุทธจริงต้องไม่ประมาทได้ทั้งๆที่สุขสบาย คือว่าทั้งๆที่สุขสบายก็ไม่ประมาท อย่างนี้ถึงจะเป็นชาวพุทธได้จริง แล้วอีกอย่างนอกจากความประมาทก็คือความเป็นคนใจกว้างจนไม่มีหลัก เรื่องนี้อาตมาจะเล่าตัวอย่างอันหนึ่ง ก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้น เหตุการณ์อาจจะเห็นชัดดี เมื่อหลายปีมาแล้ว ยังอยู่ในกรุงเทพฯ วันหนึ่งก็มีคนยิวมาที่วัด ไม่รู้เรื่องอะไรมาที่วัด ไม่รู้จักกันสักหน่อย ก้มีคนแนะมาว่า เขาอยากจะปรึกษาเรื่องนี้จะไปที่ไหน เขาไปหาที่วัด แล้วเขาก็มาเล่าบอกว่าเนี่ยผมเป็นคนยิวเดินทางมากับภรรยา ภรรยามาทำวิทยานิพนธ์แล้วก็มาอยู่ที่โรงพยาบาลคริสตร์แห่งหนึ่งในเมืองเหนือ เขาก็บอกชื่อ แต่อาตมาขอสงวนชื่อไว้ เขาก็บอกว่าเขาได้เห็นภาพที่เขาไม่สบายใจว่าทำไมเมืองไทยปล่อยอย่างนี้ คือที่โรงพยาบาลนั้นนักบวชในศาสนาจารย์ของศาสนาคริสตร์ ก็เอาข้าวของรางวัลเงินทองให้ ชักชวนคนไทยไปนับถือศาสนา การที่จะให้คนไปนับถือศาสนาด้วยวิธีการเอาอามิส เหยื่อล่อเงินทอง เป็นสิ่งที่ทำไม่ได้ ประเทศของเขานี่ถือว่าต้องไล่ออกจากประเทศเลย แต่ทำไมเมืองไทยจึงปล่อย เขาเป็นคนต่างประเทศเขายังไม่สบยใจเลย ทนไม่ได้ที่จะมองเห็นอย่างนี้ ทำไมคนไทยจึงปล่อย ก็เป็นสภาพที่ว่าอย่างนี้ คือคนไทยเราไม่ได้มีปัญหา ใครจะทำอะไรก็ทำไป ฉันไม่ถือเพราะว่าใจกว้าง ทีนี้ใจกว้างนี้เราไม่รู้ว่าเขาต้องการยังไง เจตนาเขายังไง มันก็เป็นเรื่องที่ว่าเราจะต้องรู้และไม่ประมาท แม้ว่าเราจะใจดี พระพุทธเจ้าให้เรามีเมตตา เมตตานั้นต้องมากับปัญญา ไม่ใช่เมตตาลอยๆ เมตตาลอยๆ เมตตามากับโมหะ ความโง่เท่านั้นเอง มันก็ไม่มีอะไรเหลือ ทีนี้เรื่องของคนไทยก็ปัญหามาก แล้วก็ยังมาเป็นคนสมัยใหม่ คนสมัยใหม่ก็ไปเรียนต่างประเทศกันมาก กลับมาเป็นผู้ปกครองบริหารบ้านเมืองก็ไม่ค่อยรู้เรื่องประเทศของตัวเอง ไม่รู้เรื่องประเทศของตัวเอง ก็รวมทั้งไม่รู้พุทธศาสนาด้วย แม้แต่เรื่องเป็นประชาธิปไตยก็ดี ก็ทำเป็นประชาธิปไตยไปงั้นเอง บางเรื่องก็แสดงขึ้นมาว่าอย่างนี้ไม่ถูก ไม่เป็นประชาธิปไตย อะไรต่างๆ ก็ลองสังเกตดู ถ้าใครพวกไหนรุนแรง พวกนี้ไม่กล้า อย่างที่ว่าถ้าชาวพุทธทำอะไรนิดๆหน่อยๆ พวกนี้จะออกมาว่า แต่ถ้าเป็นพวกศาสนาที่รุนแรง เงียบเลยพวกนี้ ก้แสดงว่ามันไม่ใช่ประชาธิปไตยจริง ประชาธิปไตยจริงมันต้องเอาเหตุเอาผลพูดออกมาแสดงได้ทั้งหมดเพื่อเอาความถูกต้อง ทีนี้ก็เลยทำให้น่ากลัวว่าถ้ามันต้องใช้ความรุนแรงจึงจะหยุด อย่างนี้ก็แย่ สังคมของเราก็จะไปไม่ไหว ทีนึ้คนที่ไปเรียนกลับมาจากเมืองนอกนี่ก็นอกจากไม่รู้จักประเทศของตัวเองแล้ว ก็ไม่รู้จักฝรั่งจริงด้วย อย่างไปเรียนอเมริกาก็ไม่ได้เข้าใจรากเหง้าพื้นเพภูมิหลังเขา ศาสนาที่เขาแบ่ง เขาเรียกว่าแยกรัฐกับศาสนา อะไรอย่างเนี่ย ที่แท้มันเป็นยังไง มีเหตุผมมีภูมิหลังเป็นยังไง เพราะว่าเวลาเขามีแบบมีแผนมีกฎหมายยังไงก็อยากจะนำมาใช้ การที่เรานำมาโดยไม่รู้จักเขาไม่รู้จักเราเนี่ย มันเป็นการทำที่เกิดผลเสียหายทำลายมากกว่าที่จะสร้างสรรค์ เรื่องนี้ก็เป็นในเรื่องที่ในแง่ของการบริหารประเทศชาติ ต้องถือว่าอภัยไม่ได้ อย่างข่าวออกมาคนที่ขึ้นมาเป็นรัฐมนตรี เวลาเข้ารับตำแหน่ง เข้าไปสำนักงาน ข่าวก็ออกมาประชาชนไปบูชาไปไหว้อย่างโน้นอย่างนี้อะไรก็ไม่รู้ ไม่เป็นแบบอย่างแก่ประชาชน แทนที่จะไปไหว้พระพุทธรูปให้ชัดเจนออกมา อันนี้ชาวพุทธ อาตมาคิดว่าปล่อยไม่ได้ ถ้าขืนปล่อยแบบนี้แล้วประเทศชาติไปไม่ไหว จริงไม่จริง โยมรู้สึกบ้างไหม ข่าวออกมาเนี่ย เข้ารับตำแหน่ง เข่าสู่สำนักงาน ก็เป็นผู้นำ ถ้าเป็นผู้นำของสังคมนี้ต้องรู้จักสังคมนี้ให้ดี คำว่ารู้จักสังคมนี้ก็หมายความว่ารู้จักพระพุทธศาสนาด้วย เพราะพระพุทธศาสนานี้เป็นสมบัติของชาติ เป็นฐานของวัฒนธรรม หรือเป็นสิ่งที่คนส่วนใหญ่นับถืออยู่ เมื่อท่านจะบริหารประเทศชาติท่านก็ต้องรู้สิ่งที่เป็นเรื่องของสังคมของตัวเอง คนที่ไม่รู้จักสิ่งที่ตัวเองจะไปจัดทำปฏิบัติ อย่าทำ เราจะทำอะไร จะเป็นแพทย์ ไม่รู้จักโรคภัยไข้เจ็บแล้วไปทำได้ยังไง จะบริหารประเทศชาติไม่รู้จักประเทศนี้ ไม่รู้จักสังคมนี้จะบริหารได้ยังไง อันนี้เราปล่อยปละละเลย การมองว่ารู้จักพุทธศาสนา ไม่ใช่หมายความว่าจะต้องรู้จักในฐานะเป็นศาสนานะ แต่รู้จักในฐานะเป็นเรื่องของคนไทย เป็นเรื่องที่คนไทยจะต้องเกี่ยวข้อง เพราะท่านอยู่ในสังคมนี้ สภาพแวดล้อมอย่างนี้ มีพระพุทธศาสนาอยู่รอบตัว ท่านเข้าไปปฏิบัติอยู่ ถ้าท่านไม่รู้แล้วท่านจะไปทำยังไง การที่ผู้นำหรือผู้บริหารไม่รู้เรื่องประเทศชาติของตัวเอง ไม่รู้จักสังคมของตัวเองเนี่ย เป็นภัยอันตรายอย่างมาก แล้วเราชาวพุทธจะปล่อยไว้ได้ยังไง ทีนี้ถ้าเราหันหลังไป แม้แต่สมัยราชาธิปไตยเนี่ย ในหลวงรัชกาลที่ 5 ทรงส่งพระโอรสไปศึกษาในต่างประเทศ ทรงเอาพระทัยใส่มากที่จะให้รู้เรื่องของเมืองไทย ทรงมีจดหมายพระราชหัตถเลขาไปตักเตือนอะไรต่างๆ อันนี้น่าจะเป็นแบบอย่างกับคนไทย คนไทยเราที่ส่งลูกไปเรียนนอกเนี่ย ถ้าเราดำเนินตามพระราชจริยาวัตรนี้จะเป็นประโยชน์มากกว่าในหลวงทรงทำไว้ยังไง อันนี้ก็น่าจะนำมาเผยแพร่ ว่าในหลวงทรงมีพระราชหัตถเลขาไปทรงสอนพระราชโอรสที่เรียนอยู่ต่างประเทศยังไงบ้าง พอเป็นผู้นำแล้วต้องรู้เรื่องของประเทศชาติ สังคมของตัวเอง แม้เราจะไปอยู่ไกลก็ต้องหาวิธีให้ได้เรียนรู้สังคมของตัวเองให้ได้ เพราะฉะนั้นในสมัยนั้นแม้จะเป็นราชาธิปไตย จะเห็นว่าองค์พระมหากษัตริย์รู้เรื่องเมืองไทย รู้เรื่องพระพุทธศาสนาดีทีเดียว อย่างในหลวงรัชกาลที่ 6 เนี่ย เขารู้เรื่องพระศาสนารู้เรื่องธรรมมะได้ดี แล้วทีนี้ถ้าผู้ปกครองประเทศของเราปัจจุบันไม่รู้เรื่องเนี่ย เราจะมาปฏิบัติเรื่องราวของประเทศชาติได้อย่างไร ทีนี้ก็ขอพูดเลยต่อไปแล้วมาถึงเรื่องภัยภายในก็พูดเรื่องภัยภายในกันเลย ภัยภายในก็อย่างที่พูดเมื่อกี้เรื่องของความไม่รู้ เป็นคนไทย บอกว่าเป็นพุทธศาสนิกชนนับถือพุทธศาสนา แต่ไม่รู้จักพุทธศาสนา ไม่รู้ว่าพระพุทธศาสนาสอนอะไร ไม่รู้เชื่อยังไงถูก ไม่รู้เชื่อยังไงผิด เราจะเห็นว่าคนชาวพุทธเดี๋ยวนี้มีเยอะแยะ เดี๋ยวก็มีข่าวออกหนังสือพิมพ์ ขูดต้นไม่บ้าง หาเลข หาหวย สัตว์เกิดมาพิการแขนขาไม่เต็มอะไรอย่างเนี่ย มีอวัยวะวิปริตไป ไปกราบไปว่ายขอหวย อันนี้หรือเป็นชาวพุทธ เคยบอกว่าสัตว์พิการออกมาลูกสัตว์พิการไปกราบไหว้ แล้วทำไมลูกคนประเสริฐกว่าเกิดมาพิการทำไมไม่ไปกราบไปไหว้ ใช่ไหม เจริญพร ทำไมลูกคนไปกราบไหว้ยังดีกว่าเลย ทีนี้ลูกคนเกิดมาพิการกลับไม่เอาใจใส่ ลูกสัตว์เกิดมาพิการไปกราบไปไหว้ เป็นดีไปได้ อันนี้ก็เป็นเรื่องแปลกๆที่ว่าแสดงว่ารวมแล้วก็คือคนไทยเนี่ยไม่รู้จักพุทธศาสนา ไม่รู้จักคำสอนของพระศาสนา มีการเชื่อถือมีการปฏิบัติที่วิปริตผิดพลาดต่างๆ เมื่อเป็นอย่างนี้เราก็มาโยงกับสภาพสังคมปัจจุบัน เราบอกเป็นประเทศพุทธศาสนา ทำไมจึงมีปัญหามากมาย มีเรื่องอาชญากรรมอะไรต่ออะไรแปลกๆ อย่างที่ท่านประธานเสวนาได้เล่าให้ฟังเมื่อกี้ เรื่องในโรงเรียน เรื่องเด็ก เรื่องอะไรต่างๆ อ้าว ก็เพราะว่าคนที่เป็นชาวพุทธไม่รู้จักพุทธศาสนา เชื่อถือผิด ปฏิบัติผิด ก็เลยบอกว่าถ้าอย่างนั้นวิธีแก้ปัญหสังคมไทย ก็ง่ายๆ ตรงไปตรงมา เพราะคนไทยส่วนใหญ่ 95 เปอร์เซ็นต์ หรือในหลายถิ่นส่วนมากเกือบ 100 เปอร์เซ็นต์ เป็นพุทธศาสนิกชนแต่ไม่รู้จักพุทธศาสนา จึงได้เชื่อผิดปฏิบัติผิดแล้วก็เลยทำให้เกิดปัญหาสังคมมากมาย เพราะฉะนั้นแก้ไขง่านที่สุดก็คือให้เขาเรียนรู้จักพุทธศาสนาซะ พอคนเหล่านี้ที่เป็นชาวพุทธ หรือชื่อว่าเป็นชาวพุทธ เรียกตนว่าเป็นชาวพุทธเนี่ย มารู้จักหลักพระพุทธศาสนา เชื่อถูกปฏิบัติถูกมันก็เลยแก้ปัญหาสังคมเสร็จไปในตัวเลย ทำไมจะต้องไปคิดอะไรต่ออะไรให้มันวุ่นวาย ในการศึกษาอันโน้นอันนี้มาแก้ปัญหา ไม่ตรงจุด ก็ชัดอยู่แล้วชาวพุทธไม่รู้จักพุทธศาสนา ก็แก้ให้รู้ซะ พอแก้ให้รู้แล้วมันก็จะปฏิบัติถูก มันก็จะได้ผลเอง มันก็แก้ปัญหาสังคมไปได้ในตัว อันนี้เรากลับไม่เอาใจใส่ ไปใช้วิธีแก้ปัญหาอย่างโน้นอย่างนี้ อย่างตอนปฏิรูปการศึกษาก็บอกว่าจะส่งเสริมอะไรยังไง ก็มีคำถามเป็นคำถามหลักอยู่อันหนึ่ง ที่จะต้องขอให้ตอบ ถ้าเรารียนยอมรับคำถามและคำตอบเมื่อกี้ จะบอกว่าทำอย่างไรจะให้เด็กนักเรียนในโรงเรียนไทยทั่วประเทศได้เรียนพุทธศาสนา ได้รู้จักพุทธศาสนา อันนี้คือคำถาม แล้วท่านทำมาให้ได้ตามนี้ อันนี้ก็คือการปฏิรูปให้มาแก้ไขปัญหาประเทศชาติ เพราะที่ผ่านมามันไม่รู้จะพุทธศาสนา แล้วก็เลยทำให้เกิดปัญหาอย่างนี้ ทีนี้เราไปปฏิรูปเราก็ไปพูดปัญหาอื่น คิดจะส่งเสริมอย่างโน้นอย่างนี้แต่ว่าตัวปัญหาหลักนี้คิดว่ายังไม่ได้ตอบ เพราะฉะนั้นก็ถ้าจะปฏิรูปการศึกษาในแง่ที่เกี่ยวกับพระศาสนา และแง่ของการเกี่ยวข้องกับศีลธรรมจริยธรรมอะไรเนี่ย ก็ขอให้ตอบคำถามนี้เป็นคำถามหลักก่อน ว่าโรงเรียนที่มีอยู่ทั่วประเทศ เด็กนักเรียนทั่วประเทศไทย ทำอย่างไรจะให้ได้เรียนรู้พระพุทธศาสนา
ทีนี้ต่อไปก็คือคนไทยเราชาวพุทธไม่มีจิตสำนึกในความเป็นเจ้าของส่วนร่วมรับผิดชอบในพระพุทธศาสนา อันนี้สังเกตเป็นมานานแล้ว คือเวลามีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นเนี่ย วิจารณ์เหมือนกับคนนอก เหมือนกับฉันไม่เกี่ยว ไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองเป็นชาวพุทธ ฉันมีส่วนร่วมด้วย ฉันจะต้องรับผิดชอบ ฉันจะต้องร่วมแก้ไข ก็วิจารณ์กันไปกลายเป็นเรื่องของคนอื่น อย่างพระประพฤติไม่ดีก็ว่าพระประพฤติไม่ดี ไม่ได้เรื่อง แทนที่จะมองว่าแล้วฉันจะต้องทำอะไร และฉันมีความรับผิดชอบอย่างไร แล้วบางทีดีไม่ดีก็ยกศาสนาไปให้พระซะเลย เหมือนกับว่าพระเป็นเจ้าของพุทธศาสนา พุทธศาสนาเป็นของพุทธบริษัท 4 ใช่ไหม เจริญพร พระพุทธเจ้าตรัสไว้แล้ว ไม่ใช่ของพระ พุทธบริษัททั้ง 4 มี ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา หรือบรรพชิตคฤหัสถ์ทั้งหมดนี่ เป็นเจ้าของพุทธศาสนา เรามีสิทธิ์เท่ากัน ที่ว่ามีสิทธิ์เท่ากันก็คือญาติโยมอยากจะบวชก็บวช ก็มีสิทธิ์เหมือนกัน ทีนี้ก็พุทธศาสนาตั้งอยู่อย่างนี้ พุทธบริษัททุกคนมีสิทธิ์เท่ากัน ทีนี้บางคนในหมู่พวกเราเองเนี่ย ก็ใช้สิทธิ์นี้เข้ามาบวช แต่บางคนเข้ามาไม่ซื่อ ก็มาทำผิดทำพลาดเสียหาย ไม่ทำประโยชน์ มาแสวงหาผลประโยชน์ แล้วอย่างนี้เราจะยอมให้เขาเป็นเจ้าของศาสนาเหรอ ถ้าเขาเป็นคนหนึ่งที่เข้ามาจะเอาประโยชน์จากพระพุทธศาสนา มีหน้าที่มีฐานะเหมือนกับเรา แล้วก็เข้ามา เมื่อเขาทำไม่ถูกเราก็ต้องเอาเขาออกไปใช่ไหม เรื่องอะไรไปยกศาสนาให้เขา หรือทำยังกับว่าเขาเป็นตัวแทนพุทธศาสนา เวลาเขาทำอะไรไม่ดีกลายเป็นพุทธศาสนาไม่ดี มันคิดผิดนะ เพราะฉะนั้นคิดซะใหม่ ถ้าหากว่าผิดพลาดประพฤติไม่ดีก็คิดอย่างนี้ ก็เหมือนกับพวกเรา ท่านเรานั้นก็เป็นคนหนึ่งอย่างเรา เสร็จแล้วก็ใช้สิทธิเข้าไปในนั้น เข้าไปอยู่วัด เข้าไปบวช เสร็จแล้วประพฤติไม่ดี ไม่สมกับใช้สิทธินี้ เราก็ขอเอาออกมาซะ ก็จบไป ถ้าหากว่าท่านประพฤติดีเราก็ส่งเสริมสนับสนุน เพราะว่าพุทธศาสนายกย่องคนมีเจตนาดีเป็นกุศล เข้ามาต้องการจะฝึกตน การที่มาบวชก็เป็นการเข้ามาฝึกตน เข้ามารับสิกขา คือการศึกษาของพระพุทธศาสนา เข้ามาฝึกตนในศีล สมาธิ ปัญญา ใครที่มีเจตนาดีพร้อมที่จะฝึกตน เจริญในไตรสิกขา เราก็ให้เกียรติเคารพนับถือกราบไหว้ แต่ถ้าท่านไม่ปฏิบัติตามหน้าที่ที่ควรจะเป็นเราก็ไม่ยอมให้อยู่เหมือนกัน อันนี้เราก็ถือว่าเป็นการใช้สิทธิของชาวพุทธนั่นเอง ก็มีสิทธิเท่ากัน เพราะฉะนั้นต้องตั้งจิตตั้งใจใหม่ ถ้าขืนไปตั้งใจยกศาสนาให้เป็นของพระไป ตัวไม่เกี่ยว ไม่มีความสำนึกในความรับผิดชอบอย่างนี้ พระพุทธศาสนาก็อยู่ไม่ได้ อันนี้ต้องรีบแก้ไขนะ แล้วก็ท่าทีที่มองอีกอย่างหนึ่งก็คือเป็นท่าทีที่ผิดมานานแล้วในสังคมไทย คือมองว่าถ้าใครไม่เอาเรื่องเอาราว วางเฉย โอ ดี จะหมดกิเลส อันนี้เป็นอันตรายมากกับพุทธศาสนา คือไปนึกว่าอุเบกขา อุเบกขานี่มีหลายอย่าง แต่อุเบกขาในหลักใหญ่ก็มี 2 อย่างคือ อุเบกขาที่ถูกต้อง กับอุเบกขาที่ผิด อุเบกขานั้นเป็นธรรมมะชั้นสูง อุเบกขาที่ถูกต้องมากับปัญญา คือมีปัญญารู้แล้ววางเฉยได้ เหมือนกับที่อาตมาบอกว่าญาติโยมฟังเรื่องนี้แล้วนะ เป็นเรื่องของปัญญาต้องรู้ แต่ต้องวางใจให้อยู่ในความสงบได้ ไม่ใช่ไปตามอารมณ์ อย่างนี้ถ้าวางได้ก็คือฝึกในอุเบกขา คือรู้แล้ววางตัววางใจสงบเรียบ แต่ว่าไม่ประมาท เหมือนอย่างว่าเกิดเหตุตูมตามน่าตื่นเต้นขึ้นมาเนี่ย จะมีคน 3 ประเภท
พวกที่หนึ่ง ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลย อะไรเกิดขึ้นก็ไม่รู้ พวกนี้ก็เฉย เขาเฉยเพราะเขาไม่รู้
พวกที่สอง คือพวกที่รู้ครึ่งไม่รู้ครึ่ง รู้เหตุการณ์น่าตื่นเต้นแต่ไม่รู้จะแก้ไขยังไง ตื่นเต้นโวยวายๆ พวกนี้ก็ทำให้เรื่องวุ่น แล้วก็บางทีก็ทำให้เลวร้ายหนักเข้าไปอีก
พวกที่สาม คือพวกรู้จริง แล้วก็รู้ทางแก้ด้วย พวกนี้จะนิ่ง นิ่งได้รู้ เฉยได้รู้ คือที่เราต้องการเขาเรียกว่าอุเบกขาแท้ คือรู้เข้าใจเลย มองออกว่าเรื่องนี้เป็นยังไง จะแก้ไขยังไง มีขั้นตอนยังไง จังหวะยังไง เพราะฉะนั้นวางแล้วได้ใจแล้ว จะปฏิบัติการเมื่อนั้น ทำ ระหว่างนี้ก็วางท่าทีเฉย นิ่งๆ เป็นกลางอยู่อย่างนี้ เรียกว่าอุเบกขาแท้ อุเบกขาด้วยปัญญา
ทีนี้ถ้าพวกไม่รู้แล้วก็เฉย เรียกว่า อัญญาณุเบกขา ก็เฉยด้วยไม่รู้ แปลเป็นไทยว่า เฉยโง่ ทีนี้ถ้าหากใครไปเฉยด้วยไม่รู้ละก็ ก็กลายเป็นเฉยโง่ไป แล้วต้องระวังนะ คนไทยเราเนี่ยต้องเฉยให้ถูก ต้องเฉยด้วยปัญญา ถ้าเฉยไม่มีปัญญา เฉยไม่รู้เรื่อง เฉยเมย เฉยเมิน เฉยไม่เอาเรื่องเอาราวอย่างนี้เรียกว่าอัญญาณุเบกขา โง่ต้องระวังมาก ทีนี้ในประวัติศาสตร์พุทธศาสนาเนี่ยท่านให้ถือกิจส่วนรวมเป็นสำคัญ ในทางวินัยนี้เรื่องกิจของสงฆ์นี้เป็นใหญ่ อย่างพระภิกษุที่เป็นพระอรหันต์ จะไปเข้านิโรธในสมาบัติ จะต้องวางใจไว้ก่อนเลยว่าถ้ามีเรื่องส่วนรวมของสงฆ์เกิดขึ้นต้องออกจากนิโรธสมาบัติทันที อันนี้ก็เป็นหลักหนึ่งเลย อย่างเวลาเกิดเหตุการณ์ใหญ่ๆขึ้น เมื่อพระพุทธเจ้าจะปรินิพพาน มีพระที่พูดไม่ดีว่าพระพุทธเจ้าปรินิพพานก็ดีเหมือนกัน พระองค์อยู่จู้จี้ เราจะทำอะไรก็ไม่สะดวก นิพพานแล้วทีนี้เราจะทำอะไรก็สบายแล้ว พระมหากัสสปะเถระเป็นพระอรหันต์ผู้ใหญ่ได้ยินเท่านี้ ท่านก็กระตือรือร้นขวนขวายไปหารือกับพระอรหันต์องค์อื่น แล้วก็ว่าควรทำสังคยนา พระมหากัสสปะเถระนี่เป็นพระเถระธุดงค์ ตลอดชีวิตอยู่ป่านะ แต่ในฐานะพระอรหันต์เมื่อมีเรื่องส่วนรวมท่านจะไม่นิ่งเฉย ก็คือทำด้วยอุเบกขาแบบมีปัญญา ท่านเป็นหัวหน้าในการกระตือรือร้นลุกขึ้นมาให้จัดประชุมเตรียมสังคยนา เพราะฉะนั้นพระอรหันต์คือพระมหากัสสปะเป็นแบบอย่างของพระที่เรียกว่าเป็นพระที่เหมือนกับว่าไม่เอาเรื่องกับสังคม แต่ว่าท่านที่จริงท่านไม่ได้เฉยไม่ได้นิ่งไม่ได้ปล่อยปละละเลย ปล่อยวางได้แต่อย่าปล่อยปละละเลย ปล่อยวางเป็นเรื่องของจิตใจที่มายึดติดถือมั่น แต่ปล่อยปละละเลยเป็นความประมาท อกุศล เป็นความเสื่อม ปมาโท มจฺจุโน ปทํ ความประมาทเป็นทางแห่งความตาย ดังนั้นต้องแยกให้ถูกว่าเป็นปล่อยวางหรือปล่อยปละละเลย ถ้าปล่อยวาง เอ้อ ดี ปล่อยปละละเลย เอ้อ เป็นประมาท ใช้ไม่ได้แล้ว ผิด ดังนั้นพระอรหันต์มีลักษณะอย่างหนึ่ง เป็นผู้ที่ไม่อาจจะประมาทเลย พระอรหันต์จะมีคุณสมบัติพิเศษอันนี้นะ เป็นผู้ไม่อาจจะประมาทเลย ให้ไปอ่านดูเถอะ เพราะฉะนั้นพระอรหันต์จะเป็นผู้ไม่ประมาท ปล่อยวางทางจิตใจไม่ให้ยึดติดอะไร แต่เพราะท่านไม่มีอะไรต้องทำเพื่อตัวเอง ไม่มีกิเลสที่จะทำอะไรเพื่อตัวเองเลย เพราะฉะนั้นท่านก็ยกชีวิตนี้ให้เป็นของส่วนรวม ประโยชน์แก่มนุษย์เพื่อ พะ-หุ-ชะ-นะ-หิ-ตา-ยะ พะ-หุ-ชะ-นะ-สุ-ขา-ยะ-โล-กา-นุ-กัม-ปา-ยะ เพื่อประโยชน์สุขของมนุษยชนเพื่อความสุขของชาวโลก เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วถึงได้จาริกไปไม่เห็นแก่เหน็ดแก่เหนื่อย เดินทางไปไหนก็ได้ นอนกลางดินดินกลางทรายก็ได้ เพราะว่าไม่มีอะไรต้องทำเพื่อตัวเองแล้ว ก็เลยยกชีวิตให้แก่สรรพสัตว์ อันนี้ก็เป็นลักษณะของพระอรหันต์ ท่านเรียกว่าเป็นผู้ไม่มีกิจที่จะต้องทำเพื่อตนเองอีกต่อไป เพราะฉะนั้นชาวพุทธเราก็เอาคติพระอรหันต์นี้มา ในสมัยลงกาเคยมีสงครามใหญ่ที่พระพุทธศาสนาจะหมดสิ้น ท่านยังเล่าไว้บอกว่าจะหนีภัยกัน ต้องลงเรือไป ในเรือนี้ก็เล็กจำกัด พระที่อายุมากท่านบอก เอ๊ะ เราไม่เป็นไรอีกไม่ช้าก็ตาย แต่พระศาสนาจะอยู่ได้ยังไง ต้องดูว่าพระองค์ไหนที่ยังแข็งแรง ที่จะทำงานรักษาพระพุทธศาสนาระยะยาวได้ ท่านบอกท่านไม่ยอมไป ให้ที่ในเรือแก่พระที่มีความสามารถที่จะเป็นผู้รักษาพระศาสนาต่อไป อันนี้คือคติของ??? คือนึกถึงประโยชน์ของส่วนรวมเป็นใหญ่ ดังนั้นคนไทยชาวพุทธจะต้องรู้เรื่องนี้ให้มาก ถ้าเป็นเรื่องของประโยชน์ส่วนรวมอะไรต่างๆ พระอรหันต์จะต้องมาเป็นผู้นำในการที่จะกระตือรือร้น ขวนขวาย ทำไปตามที่ถูกต้องทางธรรมวินัย เพราะฉะนั้นในประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนา เราจะมีหลายครั้งที่ว่าบางทีพระอรหันต์ก็ถูกลงโทษ โยมก็จะบอกว่าเป็นไปได้ยังไง ลงโทษพระอรหันต์ อย่างสมัยพระเจ้าอโศกก็มีลงโทษพระอรหันต์ แต่ไม่ใช่ฆราวาสมาลงโทษนะ ที่ประชุมสงฆ์ ในสมัยที่มีพระนาคเสนก็เช่นเดียวกัน มีเรื่องที่เขาลงโทษพระอรหันต์ ลงโทษยังไง ก็คือว่าเวลามีเรื่องของส่วนรวม กระทบกระเทือนต่อความสงบสุข เรื่องของความมั่นคงทางศาสนาขึ้นแล้วเนี่ย พระที่รับผิดชอบพระศาสนาโดยเฉพาะพระอรหันต์จะมาประชุมกัน แล้วพิจารณาปรึกษาว่าจะแก้ไขปัญหายังไง แล้วจะมอบให้ใครทำหน้าที่อะไร อย่างเรื่องพระนาคเสนก็ดี ตอนพระเจ้าอโศกก็ดี ก็จะมีการพิจารณาว่าองค์นั้นมีความสามารถทางนั้นน่าจะช่วยได้ ท่านก็รู้กันอยู่ แล้วก็อ้าว องค์นั้นไม่มานี่ประชุม ทำไมไม่มา มัวไปอยู่ห่างไกล ไปอยู่ในป่าซะนี่ เลยลงโทษเลย แสดงว่าไม่เอาภาระของที่ประชุมหรือส่วนใหญ่เท่าที่ควร ก็ลงโทษ เรียกตัวมาแล้วก็มอบภาระให้ การลงโทษของพระอรหันต์ก็คือมอบงานให้ทำ ไม่ได้ลงโทษอะไรที่เสียหายหรอก ก็อย่างองค์หนึ่งก็ได้รับมอบภาระให้ไปติดตามดู หาเด็กที่จะมาบวชแล้วก็จะมาเป็นกำลังของศาสนา ที่มีความเฉลียวฉลาด แล้วก็สั่งสอนให้การศึกษาจนกระทั่งมีความรู้ความสามารถที่จะไปรักษาพระศาสนาได้ อันนี้คือคติพระอรหันต์ที่เรามีประพฤติมีปฏิบัติกันมา ดังนั้นชาวพุทธจะต้องตั้งท่าทีให้ถูกต้องว่าพระอรหันต์เป็นผู้นำของพระศาสนา เป็นผู้นำของพุทธบริษัท ผู้ที่เอาใจใส่ต่อประโยชน์สุขของส่วนรวม แล้วจะไม่ปล่อยปละละเลย เพราะว่าปล่อยปละละเลยนั้นเป็นความประมาทอย่างที่ว่า อันนี้นก็ขอผ่านไป
ทีนี้อีกเรื่องหนึ่งก็คือ ภัยภายในที่สำคัญ ที่ท่านประธานเสวนาได้พูดยกตัวอย่างไปบ้างแล้ว เช่นจับพระที่ยักยอกเงินวัดหรืออะไรต่างๆ เหล่านี้ก็เป็นเรื่องของความเสื่อมในวงการพระสงฆ์ ซึ่งเราจะต้องยอมรับความจริง ว่าเวลานี้ปัญหาของเราเยอะทีเดียว ความเสื่อมนี้พูดมานานแล้ว พูดจนกระทั่งว่าไม่รู้จะพูดยังไง พูดแล้วพูดอีก เหมือนอย่างกับกระแสน้ำที่ไหลมาจะตกเหว ก็ควรจะรีบตะเกียกตะกายออกจากสายน้ำลงเหวซะ แล้วโดยเฉพาะก็คือว่าปัญหาของเรามันสะสมมานาน มันหมักหมม ไม่ใช่มัวมาดูผลปลายที่เกิดหรอก ผลที่เกิดอย่างนี้มันเป็นเพียงอาหารปรากฏของโรคเท่านั้น เหมือนแผลพุพอง ทีนี้ที่เราจะต้องแก้ก็คือว่า เลือดเสีย ลมเสีย อะไรต่างๆเหล่านี้ น้ำเหลืองเสีย ก็ต้องดูว่าสาเหตุมาจากไหน แล้วแก้ที่นั่น มาติ มาพูด มาบ่นกันเฉพาะอาการที่ปรากฏนี่มันแก้อะไรไม่ได้ ที่นี้เราก็ดูว่าที่เกิดปรากฏการณ์ปัญหาความเสื่อมต่างๆเหล่านี้ มันเป็นเครื่องฟ้องว่าวงการพุทธศาสนาของเรารวมทั้งวงการพุทธบริษัทมันได้เสื่อมมานานแล้ว กระแสเสื่อมเหตุปัจจัยมันสร้างกันมาหมักหมมมานานจนกระทั่งมันต้องโผล่ออกมาเป็นแผลพุพองเป็นต้นแล้ว เพราะฉะนั้นเราก็ต้องกลับไปแก้สาเหตุของมัน แต่อาการปรากฏชั่วคราวเฉพาะหน้าก็แก้ด้วยนะ ไม่ใช่ทิ้ง คือต้องแก้ 2 อย่าง แก้เฉพาะหน้าระยะสั้น กับแก้ระยะยาว ทีนี้ปัญหาสำคัญของเราก็คือเวลานี้
หนึ่ง ขาดการศึกษา โยมลองดูเถอะ พระบวชเข้ามาในต่างจังหวัดมากมาย บวชเข้ามาไม่ได้เรียนอะไรเลย โบราณเขาเรียกว่าบวชเรียน เราก็ได้ยินกันมาบวชเรียนๆ ตอนนี้เหลือแต่บวช บวชตามประเพณี ก็บวชไปให้ได้ชื่อว่าบวช พ่อแม่ก็ฉลองไป บางทีก็จัดงานจนกระทั่งว่าหมดเงินไม่รู้เท่าไหร่ บวชไม่กี่วัน สึกมาแล้ว แต่ว่าพ่อแม่เป็นหนี้ต่อ ในต่างจังหวัดมีเยอะ เวลาบวชเนี่ยบางทีต้องไปกู้เขามา เลี้ยงโต๊ะจีนเป็นแสนๆ เสร็จแล้วลูกก็บวชแค่ประเดี๋ยวหนึ่ง ครึ่งเดือน เดือนหนึ่ง แล้วก็วัดนั้นบางทีก็ไม่มีสอนอะไร เข้าไปแล้วก็ไปอยู่เฉยๆ ทีนี้ถ้าเป็นวัดไม่ดีอีก ก็ไปเห็นพระประพฤติไม่ดี คนที่บวชก็ยิ่งเบื่อพระศาสนา พระธรรมวินัยก็ไม่รู้จัก เงินทองก็จัดสิ้นเปลืองไปเปล่า ไม่ได้อะไรขึ้นมา บวชแล้วก็บวชผ่านไป สภาพนี้ก็เกิดมีขึ้นมากมาย เราจะต้องให้พระที่บวชเข้ามาได้เรียน ได้เรียนก็คือว่า ได้เรียนพระธรรมวินัย แล้วก็ได้เรียนโดยการประพฤติปฏิบัติ การที่มีกิจวัตรอะไรต่างๆเหล่านี้จะเรียนอย่างนั้น ไม่ใช่เฉพาะเรียนในห้องเรียน ไม่ใช่เรียนเฉพาะคำสอน คำว่าศึกษาหรือเรียนนี่ก็คือเรียนจากชีวิตจริง จากการที่ฝึกฝนปฏิบัติทำกิจกรรมที่วัดต่างๆ เหล่านี้ก็คือเรียนทั้งนั้น คือฝึกอบรมกาย วาจา ใจ แล้วก็ปัญญา เราเรียกรวมว่าศีล สมาธิ ปัญญา ต้องฝึกทั้งหมด ทีนี้เราจะต้องพยายามฟื้นฟูให้การศึกษาเหล่าเรียนมีขึ้นมาให้ได้ บวชเข้าไปแล้วอย่าให้บวชเปล่า ต้องให้สมชื่อว่าบวชเรียนให้ได้ ถ้าหากไม่ผ่านการศึกษามาแล้วเนี่ย ก็ปฏิบัติไม่ถูก ต่อไปพระศาสนาก็เลอะเลือน ก็ทำผิดทำพลาด อย่างผู้ที่บวชมาแล้วเนี่ยบางทีก็เจตนาดีอยากจะสงเคราะห์ชาวบ้าน ตัวเองบวชเข้ามาแล้วก็ไม่ได้มีอกุศลจิตอะไร แต่เพราะไม่เรียนรู้ ไม่รู้อะไรเป็นหลักพระศาสนา ก็แนะนำสั่งสอนเขาไม่เป็น ก็เลยไปทำเรื่องนอกรีตนอกรอย ให้หวยก็อยากจะสงเคราะห์ชาวบ้าน ไม่รู้จะช่วยเขายังไง ฉันไม่มีวิธีช่วยอย่างอื่นฉันก็ให้หวย พระดีเจตนาดีก็มีนะ แต่ว่ามันไม่ถูกต้อง เพราะว่าไม่ได้เรียนรู้ ไม่มีธรรมมะที่จะสอนเขา เป็นต้น เพราะฉะนั้นมันก็ตามมา ทีนี้ยังมีอีกพวกหนึ่งที่ว่าอันนี้เจตนาไม่ดี พวกที่เข้ามาใช้เป็นแหล่งหากิน ฉะนั้นพระพุทธศาสนามักจะเสื่อมในช่วงที่เจริญที่สุด เมื่อไหร่พระพุทธศาสนาเจริญที่สุดแล้วก็จะเสื่อม เพราะฉะนั้นจะต้องระวังมาก เมืองไทยเราเป็นดินแดนพระพุทธศาสนาเจริญมากแล้ว เพราะฉะนั้นจะต้องระวัง ไม่ประมาทอย่างยิ่ง เพราะความเสื่อมมันพร้อมที่จะเข้ามา เวลาเจริญนี่จะเป็นยังไง พุทธบริษัทก็มีสติ ญาติโยมก็มีความเลื่อมใสในศาสนา ก็ทำนุบำรุงกันใหญ่ พอทำนุบำรุงกันใหญ่ ทีนี้บวชเป็นพระมาก็ลาภสักการะมาก อยู่สบาย ญาติโยมก็ชักจะบำรุงบำเรอปรนเปรอเลย ทีนี้ถ้าพระไม่มีสติแล้วก็ไม่กวดขันให้การศึกษากันดีๆ ก็เห็นแก่ความสุขสบาย
หนึ่ง ก็จะย่อหย่อนลง ประมาทเอง พระประมาทก่อนด้วย ญาติโยมก็ประมาทตาม
สอง ก็คือว่าพวกที่อยู่ข้างนอกเห็นเป็นช่องทางโอกาสว่าเข้ามาบวชพระแล้วสบาย มีหากินได้สบาย ก็เลยเอามาใช้เป็นแล่งหากินไป เพราะฉะนั้นในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช พุทธศาสนาได้รับการอุปถัมภ์บำรุงจากพระเจ้าอโศกอย่างมาก พระพุทธศาสนาเจริญมาก ก็จึงเกิดปัญหามากก็คือมีเดียรถีย์ปลอมบวชเยอะ ใช่ไหม เพราะบวชเข้ามาแล้วสบายนี่ มีลาภ หากินยังไงก็ได้ พระเจ้าอโศกก็ไม่ได้ประมาทก็เลยต้องจัดการแก้ไข สอบความรู้พระขึ้นมา จับสึกไปตั้ง 80,000 องค์ อย่างสมัยพระนารายณ์มหาราชก็เหมือนกัน พุทธศาสนาก็เจริญ สมเด็จพระนารายณ์มหาราชก็ต้องจัดการสอบความรู้พระ จับสึกไปก็เยอะ เมื่อผู้ใดไม่มีความรู้สมเป็นพระ เข้ามาอยู่ในพุทธศาสนาไม่รู้ธรรมวินัยเป็นไปได้ยังไง ฉะนั้นก็ไม่สมควรอยู่ ก็ให้สึกไปซะ ก็ไม่ได้ฆ่าได้แกงอะไรนี่ ใช่ไหม ก็เพียงแต่ทำให้สมกับภาวะที่ท่านควรจะเป็นเท่านั้นเอง ทีนี้เราชาวพุทธมีหลักเกณฑ์มีพิธีการอะไรบ้างไหม เวลาพระศาสนาเจริญมันก็ต้องมีร่องรอยความเสื่อมนี้ เราก็ต้องช่วยกันแก้ไข นี่ไม่ใช่มาสนับสนุนให้โยมมาจับพระสึกนะ แต่หมายความว่าให้เราไม่ประมาท คือว่าวิธีปฏิบัติแต่โบราณท่านก็วางมาให้แล้ว เราไม่ได้เอามาใช้
แล้วอีกอย่างหนึ่งที่น่ากลัวก็คือว่าพระศาสนานั้นอยู่ได้ต้องมีศาสนทายาท ศาสนทายาทที่ผ่านมาเมืองไทยเรานี่ก็เป็นประเทศพุทธศาสนา เราก็ให้ลูกหลานบวชเรียนกันมา โดยมีประเพณีบวชเรียนอย่างน้อยก็บวชเมื่ออายุ 20 ปีบริบูรณ์ แล้วก็บอกว่าบวชตามบุญบารมีอยู่ได้เท่าไหนก็เท่านั้น บางคนบวชพรรษาเดียวสึก บางคนยังมีศรัทธาก็บวชต่อ2-3 ปี บางคนก็อยู่เรื่อยไปตลอดชีวิต แล้วของเรานี่ก็บวชได้สึกได้ตามสมัครใจก็เลยไม่มีปัญหา เพราะว่าถ้าตัวใจไม่พร้อม ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่พระสงฆ์ได้ ก็สึกไปซะ เพราะว่าถ้าฝืนบังคับให้อยู่ก็ใจไม่อยู่แต่ตัวอยู่นี้อาจจะประพฤติปฏิบัติผิดพลาดเสียหาย แล้วพระศาสนาก็เสื่อม ประเพณีไทยเราก็ดีอย่างหนึ่ง ก็ให้เสรีภาพอย่างนี้ แต่อันหนึ่งก็คือนอกจากบวชเมื่อวัยหนุ่ม 20 ปี ก็บวชแต่เด็กอีก ทีนี้พอเด็กบางทีอายุ 7 ขวบ ก็เริ่มไปอยู่วัดแล้ว ไปเรียนหนังสือกับหลวงพ่อ พระอาจารย์ที่วัด เด็กวัดส่งปิ่นโตบ้างอะไรบ้าง ก็เลยได้เรียนหนังสือ ต่อมาบางคนก็บวชเณร หลวงพ่อเห็นว่าเด็กคนนี้มาวัดตั้งใจเรียนหนังสือ เรียนได้ผลดี มีแววดี ก็ชวนบวชเณร พ่อแม่ก็เห็นด้วย เราเลยมีพระบวชเณรตั้งแต่เล็กอายุ 7 ขวบ 8 ขวบ 10 ชวบ บวชกันจนกระทั่งมาเป็นพระเถระผู้ใหญ่เยอะแยะ ทีนี้พระเถระที่รักษาพุทธศาสนารุ่นที่ผ่านๆ มาเนี่ย โดยมากจะบวชมาตั้งแต่เป็นเณร เพราะว่าการที่จะรู้หลักพระศาสน รักษาพระศาสนาได้ ต้องอาศัยการศึกษายาวนานเหมือนกัน กว่าจะเรียนได้ ก็เลยเรียนตั้งเป็นเณรอายุ 12,13,15 อะไรเนี่ย แล้วก็มาจบเอาก็พอดีเป็นพระ มีพรรษาพอสมควร พรรษา 10 อะไรอย่างนี้ ก็เริ่มรับผิดชอบงานพระศาสนาได้ ก็อยู่มา อย่างนี้ องค์ไหนอยู่ได้ก็อยู่ อยู่ไม่ได้ก็สึกไป ไม่ว่าอะไร แต่เวลานี้เรากำลังจะหมด แม้จะบวชอายุ 20 ก็บวชแค่สั้นๆ บางที 7 วันก็ยังมีเลย 15 วันบ้าง เดือนหนึ่งก็นับว่าดี พรรษาหนึ่งก็หาได้ยาก ทีนี้ที่ลำบากกว่านั้นก็คือเณรไม่มีจะบวช ยิ่งขยายการศึกษาไปตอนนี้ไม่มีแล้ว ก็ต้องอาศัยเณรบวชฤดูร้อน มันก็ยังมีบางแห่ง ท่านยังรักษาไว้ได้ ก็คือว่าทุกปีท่านจะบวชเณรภาคฤดูร้อน แล้วเด็กที่บวชภาคฤดูร้อนเนี่ย ส่วนหนึ่งจะยังรักพระศาสนา อยากเรียนต่อก็ไม่สึก ก็อยู่มา ยกตัวอย่างที่วัดพยัคฆ์คาราม ที่อำเภอศรีประจันต์ สุพรรณบุรี เรียกกันง่ายๆวัดเสือ เขาจัดมาอย่างนี้ บวชเณรภาคฤดูร้อนนานมากแล้ว ไม่รู้กี่ปีแล้ว สิบๆปี เวลานี้นะ เณรบวชภาคฤดูร้อน บางองค์อยู่จนจบประโยค 9 จบประโยค 9 ไปหลายองค์แล้ว เจริญพร เดี๋ยวนี้ต้องเอาอย่างนั้น เพราะว่าเราไม่มีพวกเด็กที่ไปบวชเณรแบบสมัยก่อน ก็ต้องใช้วิธีนี้ช่วย แล้วก็เอาจริงเอาจัง ก็ต้องเอาใจใส่ให้การศึกษา ก็จะได้ศาสนทายาท แต่ทีนี้โดยทั่วไปแล้วเราไม่ค่อยได้อย่างนี้ ก็คือว่าบวชภาคฤดูร้อนสั้นๆ แล้วก็จบไปก็สึกกันหมด แล้วก็นอกจากนั้นที่อื่นก็ไม่มีเณรบวช พอไม่มีเณรบวช คราวนี้ก็ไม่มีการศึกษาเล่าเรียน คนที่บวชเป็นพระแล้วเรียนก็มีจำนวนน้อย เพราะฉะนั้นการศึกษาปริยัติธรรมก็เสื่อมโทรมลงไป ศาสนทายาทก็ขาดแคลน ก็เป็นเรื่องที่จะต้องเอาจริงเอาจัง ว่าเราจะเอามาประสานกับการปฏิรูปการศึกษาได้ยังไง จะให้การปฏิรูปการศึกษานี้มาเอื้อกับพระศาสนา เช่นว่ามีเณรได้บวชเรียน แล้วเรามาหาทางผสานหลักสูตร ผสานระบบแนวทางกันว่าเป็นไปได้ไหมที่จะมาช่วยรักษาศาสนทายาทด้วย ถ้าทำอย่างนี้ได้ การปฏิรูปการศึกษาก็จะเกิดประโยชน์ขึ้นมาอีกอันหนึ่ง แล้วพวกพระเณรที่บวชเหล่านี้ก็จะมาช่วยสังคมไทยระยะยาวก็คือมาสอนศาสนาสอนจริยธรรมสอนพุทธศาสนาแก่สังคมนั่นแหละ ทีนี้เมืองเหนือแต่ก่อนนี้เป็นเมืองที่ได้ขึ้นชื่อว่ามีเณรมากกว่าพระ คือเมืองไทยนี่ภาคกลางนี้มีพระมากกว่าเณร ภาคอีสานมีเณรกับพระพอๆกัน ภาคเหนือนี้มีเณรมากว่าพระ นี่ที่เป็นมาในเมืองไทย แต่เวลานี้ไม่ว่าที่ไหนเณรหมด ไม่ว่าภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคใต้ หมดเณร ทีนี้ทางเหนือก็พลอยหมดเณรไปด้วย เขาเรียกเณรว่าพระใช่ไหมภาคเหนือ เขาเรียกพระว่าตุ๊ คือบอกว่าพระนี่คือเณร แล้วการบวชพระหรือบวชเณรเป็นเรื่องใหญ่มากของชาวเหนือ เขาก็ถือเป็นสำคัญเลยการบวชเณร ทีนี้เวลานี้ไม่มีเณร จนกระทั่งทราบว่าต้องไปเอาเณรจาก 12 ปันนามา คือเอาจากต่างประเทศมา เอาจากประเทศจีนมา ก็เป็นไทยเหมือนกัน เป็นไทย 12 ปันนา นอกประเทศ ก็เลยไทยคนเหนือเองก็ไม่มีบวชเณร อันนี้ก็เป็นความเสื่อมอย่างหนึ่งในระยะยาวที่จำเป็นต้องเอาใจใส่ด้วย ไม่เฉพาะเณรไม่มี พระที่จะรักษาวัดเดี๋ยวนี้ก็หายาก เดี๋ยวนี้เขามีวัดหลวงชนิดใหม่ มีผู้มาถามปัญหาว่าเดี๋ยวนี้มีวัดหลวงชนิดใหม่ชนิดหนึ่งนะรู้ไหม ก็งงว่าวัดหลวงอะไร พูดกันไปพูดกันมาบอกวัดหลวงตา วัดหลวงชนิดใหม่ วัดหลวงตา ทำไมเรียกวัดหลวงตา ก็คือว่าเดี๋ยวนี้มันไม่มีพระรักษาพระศาสนาแล้ว ก็เลยคนแก่ๆ นั่นแหละ เวลาเลิกทำงานทำการ บางคนก็มาหาความสงบ เขาตั้งใจมาดีก็มาบวช แต่บางคนตั้งใจไม่ดีก็มีเข้ามา ใช้พระศาสนาเป็นที่พักผ่อนหาอาชีพอะไรไปเลยก็มี ทีนี้ก็มาบวชเมื่ออายุมากแล้ว ก็ไม่ได้ร่ำเรียนอะไร ก็ไม่รู้ ก็ได้แต่รักษาวัด หลายปีมาแล้วเวลาไปต่างจังหวัดเนี่ย ไปพบพระอายุ 70 ,75 ,60 กว่า ไปถาม ท่านพรรษาเท่าไหร่ครับ บอก 1 พรรษา อะไรอย่างนี้ แต่ก่อนนี้เราไปเห็นพระสูงอายุ เราก็ต้องนึกว่าเป็นพระผู้ใหญ่ บวชมานาน ญาติโยมต้องระวังนะ อันนี้ก็เป็นเรื่องที่ต้องรู้ ลองดูเถอะ ไปต่างจังหวัดต้องถามพรรษาพระด้วย ว่าท่านบวชมากี่พรรษา ปรากฏว่าเป็นอย่างนี้เป็นส่วนใหญ่ ไม่มีพระที่อยู่มาจริง ได้รับการศึกษาอบรมธรรมวินัยหรอก เป็นผู้ที่มาบวชอย่างนั้นเองเมื่อแก่ ตั้งใจดีบ้างไม่ดีบ้าง ดีเราก็อนุโมทนา แต่เราก็ต้องรู้ความเป็นจริงว่า ถึงท่านจะมาดีก็เถอะท่านก็ทำอะไรไม่ได้เท่าไหร่ เพราะว่าไม่มีเวลาที่จะศึกษาเล่าเรียน แล้วก็ร่างกายก็ทรุดโทรมแล้ว เล่าเรียนอะไรก็ไม่ไหว แล้วท่านก็ได้แต่มาอยู่รักษาวัด ทีนี้เวลาหนังสือพิมพ์ลง เราควรจะสืบด้วย มีข่าวพระอายุตั้งเยอะแล้วประพฤติไม่ดีเนี่ย หนังสือพิมพ์น่าจะให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์กับสังคมว่าองค์นี้บวชเมื่อไหร่มาจากไหนพื้นฐาน พอดีบวชได้ปีสองปี เป็นคนก็ไม่ดีอยู่แล้วในหมู่บ้านนั้น เป็นคนแย่อยู่แล้วในชุมชนนั้นแล้วก็เข้ามาบวช นี่เขาเรียกว่าบวชอาศัยพระศาสนาเลี้ยงชีพ เป็นปัญหามาก ทีนี้บวชเข้ามาแล้วไม่รู้อะไร อย่างอาตมาตอนอยู่ที่ภูเขาที่พนมสารคามก็บางทีมีญาติโยมมา เขาก็เยี่ยมมาเล่าให้ฟังว่าที่วัดผลนะ พระท่านก็บวชมาพรรษาน้อยๆ เจ้าอาวาสก็ไม่มี ทีนี้ท่านก็ต้องทำเป็นหัวหน้าประกอบพิธีเวลาทำพิธีผมก็ต้องบอกท่าน ต้องให้โยมบอกบท มัคทายกบอกว่าตอนนี้ให้ศีลนะ ตอนนี้ให้ทำอย่างนั้นนะ พระท่านบวชมาใหม่ท่านไม่เป็นนี่ แทนที่จะเป็นพระนำโยม ต้องเป็นโยมนำพระ นี่คือสภาพที่เป็นจริงเวลาปัจจุบันนี้ แล้วถ้ายิ่งร้ายกว่านั้นก็คือว่าต้องประมูลพระแล้ว โยมเคยได้ยินไหม บางถิ่นไม่มีพระ วัดไม่มีพระแล้วทำยังไง ญาติโยมก็ต้องการพระเวลามีพิธีมีเรื่องมีราวมีงานศพอะไรอย่างนี้ ไม่มีพระ ก็เลยไปประมูลพระกัน เคยมีพระมาที่วัด อ้าว ท่านมาจากไหน ไปไงมาไง ถามได้ความว่าผมเดิมอยู่นั่นตอนนี้ไปอยู่ที่จังหวัดเชียงราย ไปอยู่ทำไม เป็นอย่างนั้น มีโยมเขามาติดต่อว่าถ้าไปอยู่นั่นแล้วจะให้เงินเท่านี้ ก็ประมูลกันเป็นข้าวสารกระสอบๆเท่านั้นกระสอบเท่านี้กระสอบก็มี อย่างนี้เป็นมาหลายปีแล้วนะ ญาติโยมทราบหรือเปล่า นี่คือความเสื่อมของพุทธศาสนา อย่างภาคใต้ก็มีบางแห่ง ท่านเจ้าคณะองค์หนึ่งท่านเล่าให้ฟังว่าวัดนี่พอจะเข้าพรรษาทีหนึ่งก็คนในหมู่บ้านก็มาชุมนุมกันตกลง ปีนี้ใครจะบวชได้บ้าง ไปบวชรักษาวัดแล้วก็รับกฐินได้ 5 องค์ แล้วก็ไปบวชกัน พอรับกฐินเสร็จ ใครจะสึกก็สึก ปีหน้าว่ากันใหม่ นี่คือใช้วิธีรักษาวัด แล้วจะเอาอะไรกับศาสนา ใช่ไหม ธรรมมะอะไรที่จะสอน ชาวบ้านก็ไม่รู้เรื่องรู้ราว ไม่ได้รับการฝึกอบรม สภาพการณ์พระศาสนาอย่างนี้เป็นมานานแล้ว ประมาณ 10 กว่าปีแล้วที่วัดในประเทศไทยไม่มีเจ้าอาวาสประมาณ 5,000 วัด เราบอกว่ามีวัดตั้ง 30,000 วัดใช่ไหม เสร็จแล้วโยมรู้หรือเปล่าว่าวัดที่ไม่มีเจ้าอาวาสมีเท่าไหร่ ที่ไม่มีเจ้าอาวาสเพราะไม่มีพระที่มีคุณสมบัติจะเป็นเจ้าอาวาส เพราะว่าบวชมาได้พรรษาสองพรรษาอะไรต่างๆเหล่านี้ ก็เป็นเจ้าอาวาสไม่ได้ ก็ได้รักษาการณ์ไว้ วัดที่เป็นอย่างนี้มีตั้งประมาณ 5,000 วัด แล้วเราจะเอาดียังไง ในเมื่อชุมชนมีศูนย์กลาง มีผู้นำชุมชนเป็นอย่างนี้ ไม่มีคุณภาพ อันนี้คือภัยภายในทั้งนั้น ภัยที่เกิดจากเจตนาบ้าง ไม่เจตนาบ้าง เพราะฉะนั้นเมื่อคนภายนอกเขาต้องการจะหาช่องทำลาย มันก็เลยง่าย เวลามีเรื่องไม่ดีอะไรต่างๆขึ้นมาก็ประโคมข่าวเข้าไป จนกระทั่งญาติโยมบางท่านก็ไปสงสัยพวกสื่อ เช่นไปสงสัยหนังสือพิมพ์ว่า เอ หนังสือพิมพ์พวกนี้มันจะไปมีอะไรหรือเปล่า มีแผนการไม่ดีหรือเปล่า เราก็ต้องมองเป็นกลางๆว่าเขาอาจจะดีก็ได้ เราก็ไม่รู้ว่ายังไงละ แต่ว่าเราอย่าไปมองด้านเดียว อย่าไปมองในแง่ร้ายว่าเขาจะหาช่องทำลายอย่างเดียว มันก็ต้องมีว่า
หนึ่ง ถ้าเขาหาช่องทำลายเราก็หาทางแก้ไขไป
สอง สิ่งไม่ดีของเราต้องแก้ไขด้วยนะ จะไปโทษแต่ภายนอกย่างเดียวเท่านั้นไม่ได้ ถ้าเราไม่เสียเขาไม่มีที่ซ้ำใช่ไหม ทีนี้ถ้าเราเสียเขาก็ซ้ำสิ ฉะนั้นเราก็ต้องแก้ไขตัวเราด้วย
ถ้าจะไม่ประมาทจริงๆ มองให้ครบทั้ง 2 อย่าง
อันนี้ก็เป็นเรื่องภัยต่างๆ ที่มากมายเยอะแยะไปหมด แล้วอีกอย่างปัญหาบางอย่างก็เกี่ยวกับบ้านเมืองด้วย บางทีก็เป็นเพราะว่าทางบ้านเมืองไม่เอาจริง หมู่บ้านปลอมบวช จังหวัดชัยภูมิ เป็นมาหลายปีแล้ว พอถึงฤดูแล้ง ก็ทั้งผู้หญิงผู้ชายก็โกนหัว ผู้หญิงก็ห่มขาว ผู้ชายก็แต่งเป็นพระ แล้วก็เดินทางเข้ากรุง แล้วก็มามีจุดกลางอยู่แห่งหนึ่ง แล้วก็เวลาเช้าก็เอาขึ้นรถไปจ่ายลงไปในที่ต่างๆ เป็นพระก็ไปบิณฑบาต เป็นแม่ชีก็ไปแจกซองหรือไปตั้งผ้าป่าบ้าง อะไรต่างๆ หาเงินมารวมกัน พอหมดฤดูจะขึ้นหน้าฝนก็กลับไป พอไปถึงหมู่บ้านก็เอาจีวรออกตากตามหมู่บ้าน คนไปก็ เอ ทำไมหมู่บ้านนี้จีวรเยอะแยะไปหมด ก็เป็นพวกปลอมบวชกลับไป ก็ไปซักจีวรแล้วก็ตากไว้ พอถึงฤดูปีหน้า หน้าแล้งก็เข้ามาใหม่ ก็เป็นมาทุกปี ถ้าบ้านเมืองเอาจริง ทำยังไงจะทำไม่ได้ ใช่ไหม แค่นี้ปัญหาทำไม่ได้ ปล่อย เนี่ย ชาวพุทธเราเป็นอย่างนี้ ปล่อยกันไป ปล่อยกันไป ศาสนาก็เสื่อม เรื่องหลายอย่างมันเป็นเพราะความมาเอาจริง อย่างตำรวจบางทีก็บอกว่าอย่างพวกพระบ้างชีบ้างที่มาเรี่ยไรทำผิดกฎหมาย เขาจับไปปรับ แล้วเขาก็มาทำต่อ เพราะอะไร เพราะว่าที่เขาได้มันมากกว่าที่ปรับใช่ไหม ปรับก็ไม่เท่าไหร่หรอก หาเดี๋ยวเดียวก็คุ้ม เพราะฉะนั้นก็ไม่มีทางแก้ไข ถ้าหากว่าบ้านเมือง เจ้าหน้าที่แก้ไขจริงๆ มันก็ต้องมีเป้าหมายว่าเราจะทำเรื่องนี้ด้วยเห็นแก่พระศาสนา ด้วยเห็นแก่สังคม เอาให้แน่นอนลงไป เพราะว่าการที่ทำกันแบบว่าสักแต่ว่าทำเนี่ย มันก็ทำให้ปัญหาพระศาสนาเนี่ยค้างคาไม่รู้จักจบ เรื่องเยอะภัยภายใน อาตมาพูดวันนี้ก็ยาวแล้ว ไม่รู้ญาติโยมจะเบื่อหรือยัง จะเกินเวลาด้วย เอาละ ก็ขอว่าเดี๋ยวก็จะจบสักที อีกอย่างหนึ่งก็คือว่าเมืองไทยคนไทยเราเนี่ย เพราะเหตุที่เราใจดีมีความเป็นมิตรมีน้ำใจแก่คนอื่น เราก็มีแนวโน้มที่จะนิยมชมชอบคนอื่นได้ง่าย ทีนี้เวลานี้เราก็ไปชื่นชมนิยมฝรั่ง เราก็เลยมีค่านิยมตามวัฒนธรรมฝรั่ง อะไรต่ออะไรมาจากฝรั่งเป็นดีไปหมด ปัญหาในสังคมไทยที่เกิดในเวลานี้มากทีเดียวที่เกิดจากค่านิยมเห่อฝรั่ง ตามฝรั่งในเรื่องไม่เป็นเรื่อง ในเรื่องที่ไม่เป็นสาระ ไม่เป็นแก่นสาร เป็นเรื่องชั่วครู่ชั่วยาม วูบวาบๆ ฉาบฉวย ตามเขาไปเนี่ย ไม่ได้ไปดูสังคมเขาจริงว่าตัวที่แก่นสารของเขามันมีอะไร ที่จะเอา ที่มันต้องเหน็ดเหนื่อยทำได้ยาก ไม่เอา เราก็เลยเป็นพวกที่เสพบริโภค วันนั้นได้พูดไปทางด้านการศึกษา บอกว่าสังคมไทยนี้นะเป็นสังคมบริโภคนิยมตามฝรั่ง อเมริกันก็เป็นสังคมบริโภค แล้วเราก็เป็นสังคมบริโภค แต่ว่าที่จริงมันไม่เหมือนกันนะ ฝรั่งเป็นสังคมบริโภคพร้อมกับเป็นสังคมนักผลิตด้วย ฐานของเขาเป็นนักผลิตมานานแล้ว คือเป็นสังคมอุตสาหกรรม เขาสร้างตัวมาเหน็ดเหนื่อย แต่สังคมเราไม่ได้ผ่านการเป็นนักอุตสาหกรรม ไม่ได้ผ่านการผลิต อยู่ๆก็มาเป็นนักบริโภคเลย ก็ต้องเรียกว่าเป็นนักบริโภคสิ้นเชิง ถ้าใช้ภาษาอังกฤษเขาก็ต้องเรียกว่าเป็น absolute consumer คนไทยเป็นอย่างนั้น ไม่ได้อย่างฝรั่ง ฝรั่งเขายังเป็นนักผลิตครึ่งหนึ่ง แต่ที่นี้เราไปจับเฉพาะด้านเป็นนักบริโภค เราก็เลยเป็นผู้บริโภคได้แต่ทำไม่เป็น คนไทยเราจะเป็นอย่างนั้นนะ บริโภคได้แต่ทำไม่เป็น ตื่นรอว่าฝรั่งทำอะไร มีอะไรใหม่ ก็รอจะมีตามเขา คอยซื้อ แต่ว่าไม่คิดจะทำ ประเทศที่เขาจะเจริญได้เนี่ย เขาต้องมองว่าฝรั่ง ญี่ปุ่น ทำอะไรได้ ฉันจะทำให้ได้อย่างนั้น อย่างนี้เขาเรียกว่าเป็นนักสร้างความเจริญ แต่ถ้าหากว่าฝรั่ง ญี่ปุ่นมีอะไรกินใช้ ฉันจะมีกินใช้อย่างนั้นบ้าง อันนี้ก็เป็นนักบริโภค เป็นนักบริโภคความเจริญ ไม่ใช่นักสร้างความเจริญ ฉะนั้นเด็กไทยจะต้องสอนให้ได้ ไม่ใช่รอว่าจะใช้ของโน้นของนี้มีแล้วโก้ ต้องใครทำได้จึงจะโก้ ถ้าใครบริโภค??? อย่าไปให้โก้เลย อย่าไปยกย่องเลย ต่อเมื่อเธอทำได้ ฉันจึงจะยกย่อง ต้องเป็นนักทำ นักผลิตให้ได้ เพราะความเป็นนักบริโภคอย่างนี้มันก็นำไปสู่ความเสื่อม เพราะเรื่องของการบริโภคนี่มันไปสัมพันธ์กับพวกอบายมุข และการเป็นคนอ่อนแอ เป็นการที่หาความสุขโดยไม่ต้องทำ กลัวความยากความลำบาก ทำไม่เป็น ถ้าทำแล้วเหนื่อย ก็ฝืนใจทำ มีความทุกข์ ก็เลยเป็นนักบริโภค ก็เลยไปหาแต่สิ่งที่จะบำรุงบำเรอ ในที่สุดมันก็ไปทางเสื่อมง่าย เป็นเสพยาบ้ายาอะไรไปในสังคม มั่วสุมอะไรต่างๆ ถ้าเราพัฒนาเด็กของเราให้เป็นนักทำนักสร้างบ้าง ไม่ใช่เป็นแต่นักบริโภคอย่างเดียว ไม่ใช่บริโภคได้อย่างเดียว ฉันทำเป็นด้วย แล้วการที่จะทำเป็นก็ต้องอยากทำ ต้องสร้างนิสัยอยากทำขึ้นมา แล้วก็ทำให้มันเก่ง แล้วก็อย่างที่ว่าแล้ว เห็นอะไรฝรั่ง ญี่ปุ่น ต้องบอกว่า ฝรั่ง ญี่ปุ่น ทำอะไรมา ฉันจะต้องทำให้ได้ ถ้าพูดอย่างนี้เมืองไทยเปลี่ยนทิศเลย ถ้าบอกว่าฝรั่งทำอะไรมา ฉันจะมีอย่างนั้นบ้าง อย่างนี้จบ ไปไม่รอด มีอะไร ตัวเองทำไม่ได้ก็ต้องซื้อเขา ใช่ไหม ถ้าหากว่าฉันต้องทำเป็นบ้าง แม้แต่ซื้อมาก็ซื้อมาศึกษา หาทางทำให้ได้ ประเทศไทยก็จะเข้าแนวพุทธศาสนาที่สอนให้เรามีความขยันหมั่นเพียร ฉันทะ นี่คือความอยากทำ ก็มีความอยากอยู่ 2 ประเภท วันนี้ก็เลยอยากจะพูดกับโยมด้วยว่า คนไทยบางทีเรียนพุทธศาสนาไปก็ชักจะได้ครึ่งหนึ่ง เพี้ยนบ้าง คลาดเคลื่อนบ้าง อย่างคำในพุทธศาสนานี้เราก็ได้มาครึ่งหนึ่ง เช่นคำว่า อยาก ให้ญาติโยแปลเป็นภาษาพระ จะได้ว่าอะไร โยมลองนึกดู นึกได้ว่า ตัณหา อย่างหนึ่งใช่ไหม แสดงว่าโยมได้คะแนน 50 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นเอง ก็ อยาก มันต้องมี 2 ชนิด พระท่านบอกไว้ ความอยากมี 2 อย่างคือ
หนึ่ง อยากที่เป็นอกุศล
สอง ความอยากที่เป็นกุศล
ที่โยมบอกมาว่า ตัณหา นั้นเป็นความอยากฝ่ายอกุศล ทีนี้ความอยากฝ่ายกุศลคืออะไร ต้องตอบให้ได้ ความอยากฝ่ายกุศลคือ ฉันทะ ตัณหาความอยากคืออยากเสพอยากบริโภค อยากบำรุงบำเรอ ตา หู จมูก ลิ้น ของตัวให้สบาย มีความสุข ก็บำเรอตา หู จมูก ลิ้น กาย นั่นแหละ ตัณหา
ทีนี้ความอยากอีกอย่างหนึ่งที่เป็นกุศล ท่านเรียกว่า ฉันทะ แปลว่าอะไร พระท่านอธิบายแปลบาลีเป็นบาลี ฉันทะ แปลว่า กัตตุกัมยตา แปลว่าอะไร แปลว่าความอยากทำ นี่แหละเมืองไทยกำลังต้องการอันนี้ ตัวตัณหาอยากได้อยากเสพเนี่ย พอแล้ว คนไทยมีพอ แต่ฉันทะอยากทำมันไม่มี เพราะฉะนั้นต้องสร้างขึ้นให้ได้ กัตตุกัมยตา แปลว่าความอยากทำ พระพุทธเจ้าบอกว่าถ้าฉันทะ ความอยากทำ หมายถึงทำให้ดีนะ ไม่ใช่ทำเรื่อยเปื่อยไป การทำให้มันดีแล้วก็เจริญ มรรคจึงเกิดขึ้นพระพุทธเจ้าตรัสบอกว่าเมื่ออาทิตย์จะอุทัยมีแสงเงินแสงทองขึ้นมาก่อนฉันใด เมื่ออริยมรรคจะเกิดแก่ภิกษุมีฉันทะมาก่อนฉันนั้น ถ้าภิกษุรูปใดมีฉันทะ ก็อยากจะทำ อยากจะปฏิบัติ อยากจะรู้ อยากจะศึกษาพระธรรมวินัย อยากจะไปทำกับตัวเอง อยากจะพัฒนาในไตรสิกขา ในศีล สมาธิ ปัญญา ญาติโยมก็เช่นเดียวกัน จะมีชีวิตที่เจริญงอกงามดี ต้องรู้ว่าพุทธศาสนาไม่ได้สอนแต่เพียงว่าให้ละความอยาก ให้ละ ให้ลด นั้นในแง่ของตัณหา แต่ท่านให้ส่งเสริมความอยากที่เป็นกุศลที่เรียกว่าฉันทะ ตราบใดที่ยังไม่บรรลุอรหัตผล จะต้องมีฉันทะตลอด ท่านบอกตัวอย่าง 2 อย่างนี้ต้องละ ตัณหานั้นเกิดเมื่อไหร่ก็ละมันซะเลยได้ ส่วนฉันทะนั้นละด้วยการทำให้สำเร็จก่อน ทำให้สำเร็จแล้วก็ละได้ ใช่ไหม อย่างนี้ เพราะฉะนั้นต้องละฉันทะด้วยการทำให้สำเร็จ แล้วฉันทะจะอยู่กระทั่งเป็นพระอรหันต์แล้ว พระพุทธเจ้ามีพุทธคุณอันหนึ่ง เป็นพุทธธรรม พุทธธรรมก็คือลักษณะหรือคุณสมบัติของพระพุทธเจ้า ซึ่งมีมาก มี 18 ประการ มีข้อหนึ่งคือมีฉันทะไม่ถดถอยเลย นี่เป็นคุณสมบัติของพระพุทธเจ้า มิฉะนั้นพระพุทธเจ้าจะเสด็จจาริกไปสั่งสอนธรรมได้อย่างไร ถ้าพระองค์ไม่มีฉันทะ พระพุทธเจ้ามีฉันทะไม่ลดถอยนะให้จำไว้เลย ต้องการจะทำสิ่งที่ดีเป็นประโยชน์ ต้องการช่วยเหลือประชาชน ต้องการจะโปรดประชาชนให้เขาได้ความสุข ให้เขาพ้นจากทุกเนี่ย พระองค์ไม่มีหยุดหย่อนเลย ฉันทะอันนี้เป็นพุทธคุณอันหนึ่ง ใน 18 ประการเรียกว่าเป็นพุทธธรรม 18 ประการ ข้อหนึ่งว่ามีฉันทะไม่ลดถอย เพราะฉะนั้นเราเป็นพุทธศาสนิกชนก็ต้องสร้างฉันทะนี้ขึ้นมาให้ได้ แล้วต้องสร้างในเด็กให้เป็นคนที่มีนิสัยอยากทำ อยากสร้าง ถ้าเป็นเศรษฐกิจก็คืออยากผลิต แต่ว่าเศรษฐกิจนี่ไม่ค่อยปลอดภัยหรอก เพราะว่าการผลิตนี้ต้องระวังเหมือนกันว่าผลิตไปมีโทษ แต่ถึงยังไงก็ให้มันได้นิสัยนักผลิตขึ้นมาก็ยังดี แล้วกล้าไปทำสิ่งอื่นที่เรียกว่าเป็นการสร้างสรรค์ ฉะนั้นการที่เราไปนิยม ตามวัฒนธรรมฝรั่งเนี่ย ก็ไปได้แค่เปลือก แค่ผิว ก็อันตราย แล้วสิ่งดีที่เรามีเราก็ไม่เอามาใช้เป็นประโยชน์ ฉะนั้นเราจะต้องมาปรับปรุงแก้ไขตั้งแต่การศึกษาของเราทีเดียว เพื่อให้มันเปลี่ยนวิถีทางสังคมของเรา วันนี้อาตมาก็ได้พูดมาเรื่องภัยแห่งพระพุทธศาสนานี้ก็ยาวนานแล้ว ทีนี้ได้พูดไปอย่างเมื่อกี้แล้วว่าพุทธศาสนาทำให้ประเทศไทยเป็นดินแดนที่ร่มเย็นเป็นสุข แล้วก็คนไทยชาวพุทธไม่มีความรังเกียจเดียดฉันท์ ใครก็ได้ ยินดีต้อนรับทุกคน แต่ในสภาพนี้มีในเมื่อพระพุทธศาสนามีชาวพุทธเป็นจำนวนแทบทั้งประเทศ พอเปลี่ยนแปลงก็ต้องเตรียมตัวว่าเราจะแก้ไขอย่างไร เพื่อจะให้สภาพที่ดีนี้มันคงอยู่ต่อไป ที่น่ากลัวก็คือว่าพวกหนึ่งมาด้วยวิธีรุนแรง อีกพวกหนึ่งก็คือด้วยวิธีเหยื่อล่อ เลห์กล เหยื่อล่อ เงินทองอะไรต่างๆ เหล่านี้ ฉะนั้นก็ต้องรู้ทันเป็นอย่างน้อย เราไม่ได้คิดเป็นปฏิปักษ์ศัตรูกับใคร แต่จำเป็นจะต้องรู้ เข้าใจ แล้วก็คิดหาทางแก้ไข เป็นผู้ไม่ประมาท ทั้งนี้ก็เพื่อประโยชน์ ไม่ใช่เพื่อตัวเราเอง ก็เพื่อส่วนรวม รักษาพระศาสนาไว้ให้เป็นสมบัติแก่คนรุ่นต่อไป เพื่อพุทธศาสนาจะช่วยให้คนไทยมีธรรมะที่จะอยู่แล้วร่มเย็นเป็นสุข ถ้าแผ่ไปได้ทั่วโลก ทั่วโลกก็มีความสุข เพราะคนที่เป็นชาวพุทธ เห็นอยู่แล้วไม่รังเกลียดใคร อยู่กับใครก็ได้ ทีนี้ถ้ามันประมาท มันก็เลยลืมตัวไป มันก็เลยกลายเป็นไม่เอาใจใส่ ละเลย สิ่งที่ควรแก้ไขป้องกันก็เลยไม่ทำ ฉะนั้นก็พร้อมกับคุณธรรมความดีงามที่มีเมตตากรุณา ก็อย่าลืมว่าจะต้องมีปัญญาด้วย ปัญญาตั้งแต่รู้สถานการณ์ เข้าใจว่าอะไรเกิดขึ้น แล้วก็ไม่ประมาทนะ รู้ เข้าใจ มีปัญญา แล้วก็ไม่ประมาท แล้วทำการณ์ไปด้วยจิตที่เที่ยงตรง สงบ เราไม่ได้ทำด้วยกิเลส ทำด้วยปัญญาและความปรารถนาดีเพื่อประโยชน์แก่เพื่อนมนุษย์ แก่สังคมประเทศชาติไทย แล้วก็โลก ก็คิดว่าพูดมามากพอแล้ว ก็ขออนุโมทนาทุกท่าน แล้วขอให้จงได้มีกำลังกายกำลังใจกำลังปัญญาและกำลังความสามัคคี ที่จะช่วยกันรักษาพระพุทธศาสนาไว้โดยเรียนรู้เข้าใจด้วยตัวเอง ไม่ใช่รักษาเฉยๆ รักษาที่แท้ก็คือเรียนรู้ เข้าใจ แล้วนำมาประพฤตติปฎิบัติ แล้วก็ทำให้ลูกหลานได้เรียนรู้เข้าใจด้วย เพื่อให้ธรรมมะออกผลสู่ชีวิตจริงจะได้รักษาสังคมประเทศชาติ ต่อไปก็ขอให้ทุกท่านเจริญด้วยจตุรพิธพรชัยทั่วกัน ขออนุโมทนาทุกท่านเทอญ
ท่านประธานการเสวนา : ต้องขอกราบพระเดชพระคุณที่ได้กรุณาเมตตาบรรยาย ได้ทราบว่าเนื่องจากเป็นรายการลักษณะเสวนา ไม่ทราบว่าจะมีท่านผู้ใดอยากจะถามปัญหาหรือว่าอะไรพระคุณเจ้าไหมครับ คิดว่าท่านคงจะพอตอบได้เท่าที่มีเวลาเล็กน้อยครับ เชิญครับหมอ
ผู้ร่วมเสวนา (ชาย): กราบนมัสการพระเดชพระคุณนะครับ กราบเรียนท่านประธาน ท่านอาจารย์สมพล และท่านผู้มีเกียรติ กระผมเคยพูดคุยกับเพื่อนๆบางคนที่เป็นกัลยาณมิตรกัน ก็มองเห็นว่าจุดหนึ่งที่ชาวพุทธขาดนี่นะครับ ก็คือองค์กรอะไรสักอย่างหนึ่งซึ่งเป็นตัวแทนของชาวพุทธ ที่จะเป็นปากเสียงให้ชาวพุทธได้อย่างมีประสิทธิภาพ เราจะเห็นว่ามีองค์กรพุทธศาสนาต่างๆ มากมาย จำนวนค่อนข้างมาก แต่เรามองไม่เห็นองค์กรไหนที่ทำหน้าที่คล้ายๆองค์กรกลางๆ ซึ่งจะเป็นเวทีกลางที่จะให้ผู้แทนขององค์กรต่างๆ ชาวพุทธจากลุ่มต่างๆ ชมรมต่างๆ ได้มานั่งคุยกัน เสวนากัน เพื่อหาแนวทางที่จะได้มีการปฏิบัติหรือมีการดำเนินการคล้ายคลึงกัน ในยามที่ทุกๆฝ่ายก็เห็นว่าภัยต่างๆมากมาย แต่หลายๆฝ่ายก็ได้แต่ปรารภกันอยู่แต่ในวงกลุ่มเล็กๆ กระผมก็อยากกราบเรียนถามท่านพระเดชพระคุณว่าพระคุณท่านจะมีแนวคิดแนวแนะนำอย่างไร ว่าทำอย่างไรจะให้องค์กรพุทธทั้งหลายที่มีอยู่มากมาย ได้สามารถที่จะมารวมกันประสานกัน ไม่ได้หมายถึงการหลอมรวมนะครับ หมายถึงการประสานร่วมกันที่จะมานั่งคุยกันเพื่อช่วยกันหาหนทางที่จะต่อต้านภัยอันนี้ และอีกประเด็นหนึ่งที่ผมขออนุญาตฝากเรียนถามในที่นี้เลย ก็ที่คุยกันกับเพื่อนๆนี่นะครับ ในแง่ของว่าพระพุทธเจ้าก็ได้ตรัสไว้ชัดเจนว่าพระพุทธศาสนาจะอยู่ได้ด้วยพุทธบริษัททั้ง 4 ซึ่งปัจจุบันก็คงจะหมายถึงในฝ่ายพระสงฆ์ฝ่ายหนึ่ง แล้วก็ฝ่ายฆราวาส ทั้งอุบาสก อุบาสิกา ??? เป็นไปได้ไหมครับว่า ในอนาคตน่าจะมีนอกเหนือจากว่าองค์กรกลางๆ สำหรับกลุ่มพุทธบริษัท กลุ่มชาวพุทธที่จะมารวมกันบ้าง จะมีในลักษณะของสมัชชาหรือสภาชาวพุทธได้ไหมครับ ที่จะรวมทั้งสมองกำลังสติปัญญาจากพระสงฆ์ผู้ปฎิบัติดี ปฏิบัติชอบทั้งหลาย แล้วก็ทางฝ่ายฆราวาสด้วย ที่จะมาช่วยกันกำหนดโชคชะตาและทิศทางของพระพุทธศาสนาในประเทศ ก็เป็น 2 ประเด็นที่พวกกระผมก็เคยคุยๆกันนะครับ หนึ่งก็คือคล้ายๆองค์กรกลางของกลุ่มชาวพุทธ อันที่สองก็คือสมัชชาชาวพุทธที่รวมทั้งฝ่ายสงฆ์และฝ่ายฆราวาส กราบขอความเมตตาจากพระคุณเจ้าช่วยกรุณาให้ความเห็นหน่อยครับ
พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต) : เจริญพร อันนี้ที่จริงก็อยู่ในที่อาตมาคอดจะพูดเหมือนกัน คือชาวพุทธไม่รู้จักรวมตัวกัน เป็นปัญหาอย่างหนึ่ง เป็นภัยภายในเหมือนกัน เราไม่เคยกับการทำงานแบบนี้ ฉะนั้นก็เลยเป็นความบกพร่องที่สำคัญ ในความอยู่สบายก็เป็นเหตุอย่างหนึ่งที่ทำให้ไม่รู้จักรวมตัว เวลามีภัยอันตรายขึ้นมาจึงจะรวมตัวกันได้ทีหนึ่ง อย่างประวัติศาสตร์ไทยเนี่ย เวลาเกิดต่างประเทศยกกองทัพมารุกรานอย่างนี้ ก็จะรวมตัวกันได้ดี ลุกขึ้นต่อสู้ศัตรู พอศัตรูกลับไปแล้วก็ทะเลาะกันเองต่อ อันนี้ก็เป็นเรื่องที่เป็นมาเรื่อยๆ อันนี้จะทำยังไงเราจะเดินหน้าต่อ รวมตัวกันได้ยามมีภัยอันตรายที่มองเห็น และยามมีภัยอันตรายชนิดมองไม่เห็น เพราะภัยอันตรายมันก็มี 2 ชนิด นอกจากแยกกันภัยภายนอก ภัยภายในแล้ว คือ ภัยที่มองเห็นกับภัยที่มองไม่เห็น ทีนี้ภัยที่มองไม่เห็นนี้ มันมีตลอดเวลา เราจึงต้องไม่ประมาท อันนี้การรวมตัวก็คือว่าต้องทำตลอด เพื่อจะไม่ประมาท พระพุทธเจ้าก็ตรัสอยู่แล้ว บอกว่าต้องหมั่นประชุมกันเนืองนิตย์ มีหลักพุทธศาสนาหนึ่งที่ชาวไทยไม่ค่อยปฏิบัติ คือ อปาริหานิยธรรม บอกว่า
หนึ่ง หมั่นประชุมกันเนืองนิตย์
สอง เมื่อเลิกประชุมก็อยู่จนเลิกพร้อมกัน
แล้วก็เมื่อมีเรื่องที่เป็นกิจส่วนรวมต้องลุกขึ้นร่วมกันทำพร้อมเพรียงกัน อันนี้แค่ 3 ข้อแรก ชาวพุทธก็แทบจะตกการปฏิบัติธรรมในข้อ อปาริหานิยธรรม ทางที่เป็นที่ตั้งแห่งความเสื่อม นั่นก็เป็นเรื่องที่คุณหมอเตือนก็ดีแล้ว
อาตมาว่าอันนี้ตอบยาก คือเราต้องเริ่มต้น คำตอบก็คือเพิ่มเริ่มต้นนั่นเอง ฉะนั้นการที่จะเริ่มต้นได้เนี่ย ก็ต้องมีจุดรวมเหมือนกัน อะไรมาอาศัยเพื่อเป็นจุดรวม แล้วก็เริ่มขึ้นไป ก็ทำ แต่ว่าให้มีขึ้นมาก่อน ให้มีการเริ่มต้นก็แล้วกัน ข้อสำคัญคือเกี่ยงกัน ทีนี้เวลามีเรื่องที่ต้องทำก็เกี่ยงกันซะอีก เวลาจะแก้ปัญหาก็เกี่ยงกัน คนโน้น คนนี้ อะไรอย่างนี้ ซัดกันไปซัดกันมาก็เลยไม่มีการร่วมแก้ปัญหา ใครรู้ปัญหา ใครทำได้ ทำเลย แล้วก็ไม่ใช่รังเกียจผู้อื่น ต้องพร้อมที่จะรับความร่วมมือ แล้วก็รับการที่ว่าจะมีข้อบกพร่องอะไรต่างๆที่จะเกิด แก้ไขด้วย ทีนี้ก็อยู่ที่ว่าตอนนี้ต้องเริ่มต้น นี่อาตมาอย่างที่ทำก็ถือเป็นการเริ่มต้นอย่างหนึ่ง ก็คิดว่าดีแล้ว เพราะว่าที่มีการเสวนาก็ถือเป็นการรวมตัวชนิดหนึ่งแล้ว ทีนี้ก็ดูว่าเราจะรวมตัวกันได้ไหม แต่ทีนี้อย่างที่ทำอยู่นี้เราจะรวมได้เพิ่มกว้างขวางขยายออกไปไหม แค่ไหน อย่างไร ก็อยู่ที่ว่าเมื่อมีการเริ่มต้นจากจุดหนึ่ง จุดอื่นก็อาจมีการเริ่มต้น แล้วเราจะมาประสานกันยังไง อันนี้คือปัญหาต่อไป แสดงว่าเวลานี้มีแล้ว มีบ้างบางจุดที่มีการเริ่มต้น ที่จะรวมตัวกัน แต่ว่าการรวมตัวนี้นังเป็นหย่อมๆ ทีนี้ก็ต้องมาประสานกันระหว่างหย่อมเล็กหย่อมน้อยนั้นให้มันกว้างขวางออกไป วิธีของคนไทยนี้ ถ้าเรามองสังคมไทยเดิมจะใช้วิธีเป็นหย่อมๆ ก็คือชุมชนแต่ละชุมชน พุทธศาสนาที่อยู่ในเมืองไทย อยู่ได้ด้วยชุมชนแต่ละชุมชน คือเรามีชุมชนอยู่ในหมู่บ้าน อยู่ในตำบล แล้วหมู่บ้านนั้นๆก็จะมีวัดเป็นศูนย์กลาง แล้วชุมชนของตัวเองก็มีความสมบูรณ์ในตัวเอง แต่ละชุมชนเหล่านี้ก็เชื่อมประสานกัน อย่างประเพณีทอดกฐิน ทอดผ้าป่า ชุมชนนี้พากันไปทอดกฐินที่วัดโน้น ก็คือชุมชนหนึ่งเนี่ยไปประสานร่วมมือแสดงน้ำใจต่อชุมชนหนึ่ง ซึ่งทำกันมาเรื่อย ทีนี้ถ้าตามระบบประเพณีนี้ก็คือว่า เราให้แต่ละชุมชนได้เข้มแข็ง แล้วพุทธศาสนาก็อยู่ได้เอง คือเมืองไทยก็อยู่ประเทศไทยก็อยู่กับพุทธศาสนาก็อยู่ด้วยกัน ทำแต่ละชุมชนให้ดี ให้เข้มแข็ง ทีนี้ปัญหาก็คือชุมชนแต่ละชุมชนเนี่ยกำลังอ่อนแอกำลังจะสลายตัว วิธีของเราไม่ใช่วิธีรวมศูนย์นะ วิธีของเราคือวิธีที่ชุมชนย่อยๆแต่ละชุมชนเขาอยู่ได้ แล้วเขาก็พึ่งตัวเองได้พอสมควร แล้วก็มีศูนย์กลางที่คอยช่วยหล่อเลี้ยง แล้วถ้าเราใช้ระบบนี้ก็คือเราจะสามารถเป็นชุมชนหรือชุมนุมหรือหน่วยย่อยๆนี่กระจายอยู่ที่ต่างๆ แต่ว่ามีหลักการมีแนวทางอันเดียวกัน อันนี้คือสิ่งสำคัญ นอกจากตั้งหน่วยร่วมมือของตัวแล้วเนี่ย ทุกหน่วยเหล่านั้นมีหลักการอันเดียวกัน สิ่งที่จะประสานให้เกิดความสามัคคีนั้นอยู่ที่หลักการ หลักการอันเดียวกันแล้วก็หมายถึงจุดหมายด้วย หลักการ แนวทาง วิธีปฏิบัติ มันเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันด้วยอันนี้ ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันมันมาอยู่ที่นามธรรมอันนี้ ตัวหลักการ ตัวจุดมุ่งหมาย ตัวแนวทางดำเนิน แล้วเสร็จแล้วมันก็เลยกลายเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันทั้งประเทศเลย พุทธศาสนาของเราอยู่ได้อย่างนั้นนะ เจริญพร อย่าไปคิดว่าทำให้กรุงเทพฯเข้มแข็งแล้วประเทศไทยจะอยู่ได้ ไม่ใช่หรอก ต้องไปทำให้ทุกชุมชนทั่วประเทศเขาเข้มแข็ง เจริญงอกงาม พุทธศาสนาในแต่ละชุมชนดี มีพระดี มีเจ้าอาวาสดีมีคุณสมบัติ นั่นแหละพุทธศาสนาอยู่ได้ ถ้าเราตั้งใจกันอย่างนี้นะ เราต้องไปช่วยชนบทให้เยอะๆ ทีนี่ชุมชนสิกำลังสลาย ระยะที่ผ่านมาเรามีปัญหามากที่ว่ากำลังของชนบทไหลมาส่วนรวมหมด แล้วชนบทก็อ่อนแอเสื่อมโทรมจนกระทั่งไม่มีแรงไม่มีกำลังจะช่วยตัวเอง ก็กลายเป็นชุมชนพึ่งพา ต่อมามีอะไรไปเอื้อไปอะไรแกก็ไปหมดเลย เพราะว่าอ่อนแออยู่แล้ว ก็ไม่มีภูมิต้านทานเรี่ยวแรงกำลัง ใครมาไม่ดีก็ล่อไปได้เลย ฉะนั้นอันหนึ่งที่จะต้องคิดก็คือว่าทำไงจะมีชุมชนที่มีความเข้มแข็งอยู่ในแต่ละหน่วยกระจายกันไป แล้วมีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันด้วยหลักการแนวทางอันเดียวกัน ชุมชนของเราเมื่อเป็นชุมชนพุทธ เช่นเรามีวัดเป็นศูนย์กลาง พระก็มีพระธรรมวินัยเป็นหลัก ชุมชนก็มีเรื่องบุญเรื่องกุศล แล้วความเชื่อในทาน ศีล ภาวนา ก็รักษาบุญกุศล แล้วความเชื่อในทาน ศีล ภาวนา ก็รักษาชุมชนนั้นไว้ ฟังพระสอนก็ดำเนินชีวิตได้ถูกต้อง มันก็อยู่ในศีลในธรรม ก็สังคมร่มเย็นเป็นสุข อันหนึ่งก็ถ้ามองในแง่นี้ก็คือว่าศูนย์กลางเนี่ยเมื่อเราตั้งหน่วยอะไรขึ้นมาทำงานกันทางพระศาสนาแล้ว ส่งหนึ่งที่ต้องคิดก็คือทำยังไงถึงจะเอื้อไปสู่ชนบทต่างๆ ที่กำลังถอยร่น กำลังเสื่อมทั้งการทางพระศาสนาและทางโลก หรือว่าทางด้านทุกอย่าง เศรษฐกิจ สังคม อะไรต่ออะไร เราจะสลายหมด แต่ถ้าเขาเห็นคุณค่าเห็นประโยชน์ เขาก็จะต้องรักษาไว้ ที่นี้ในอดีตมันชัดเจน วัดเป็นศูนย์กลาง เป็นแหล่งการศึกษา เป็นที่รวมอะไรทุกอย่าง กิจกรรมของชุมชนก็อยู่ที่นั่นหมด นั่นเขาก็ต้องรักษาเอาไว้ พระเป็นผู้นำ พระเป็นผู้ให้ความรู้ เป็นแทบจะทุกอย่างของเขา ฉะนั้นเราจะต้องฟื้นฟูประเทศไทยด้วยการไปฟื้นฟูชุมชนชนบท หมู่บ้าน แล้วก็ให้เขาอยู่โดยมีหลักให้พร้อม ทั้งวัดทั้งบ้านให้มีการประสานร่วมมือกัน พระต้องมีอะไรให้แก่ประชาชน ก็คือให้ทางนามธรรม ก็รวมความตามหลักที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ พระพุทธเจ้าบอกว่าพระสงฆ์กับคฤหัสถ์เนี่ย อุ-โพ-อัน-โย-นิ-ถิ-ตา อาศัยซึ่งกันและกัน ฝ่ายหนึ่งให้วัตถุสิ่งของปัจจัยสี่ ฝ่ายหนึ่งให้ธรรม ก็คือทานมี 2 อย่าง มีอามิสทานกับธรรมทาน ญาติโยมมีหน้าที่เอื้อบำรุงพระสงฆ์ให้อยู่ได้ด้วยอามิสทาน คือปัจจัยสี่ พระมีหน้าที่ให้ธรรมมะแก่ประชาชน ทั้งสองฝ่ายต้องให้แก่กันนะ ไม่ใช้ให้ฝ่ายเดียว บางทีเราไปเข้าใจผิดคิดว่าพระไม่ต้องให้อะไร นึกว่าโยมเป็นฝ่ายให้ พระก็ต้องให้เหมือนกัน ทานมี 2 อย่าง หน้าที่ของพระก็หน้าที่ให้ธรรม หน้าที่ให้ธรรมนั้นมี 2 อย่าง ให้โดยพูดกับให้โดยไม่ต้องพูด ให้โดยไม่ต้องพูดคือหมายความว่าพระปรากฏตัวขึ้นที่ไหน ญาติโยมชื่นใจที่นั่น อันนี้สิ่งที่จะต้องให้โยมได้ธรรมมะในเบื้องแรกคือได้ ปะ-สา-ทะ คือความผ่องใสของจิตใจ พอพระไปโผล่ที่ไหน ญาติโยมกลัววิ่งหนีอย่างนี้ก็จบกัน เอ๊ะ องค์นี้จะมาเอาอะไร อย่างนี้ก็ใจไม่ดีแล้ว ถ้าญาติโยมเห็นพระ พระก็เป็นเครื่องหมายของความไม่มีภัย อันนี้สัญลักษณ์ที่หนึ่ง พอเห็นพระที่ไหน หมดภัยที่นั่น สบายใจเลยเนี่ย ไปชนบท ไปป่าไปดง กลัวภัยอันตราย พอเจอพระใจโล่งชื่นใจสบาย โบราณเขาว่าลงนั่งยกมือท่วมหัวเลย หมดแล้วไม่มีภัยอันตราย เพราะฉะนั้นพระของเราเป็นสัญลักษณ์ของการไม่มีภัย ต้องรักษาไว้ให้ได้ แล้วต่อมาก็เป็นที่มาของความเลื่อมใส ตื่นขึ้นมาแต่เช้า ก่อนจะประกอบอาชีพการงาน เตรียมตักบาตรแล้ว เห็นพระเดินเป็นแถวลัดทุ่งนามา ฟ้าส่องแสงพระอาทิตย์แดดส่องจีวรสะท้อนเป็นแสงสีทอง ญาติโยมเห็นพระเดินเป็นแถวมาก็จิตใจสบายแช่มชื่น มีปิติ อิ่มเอบใจได้ตักบาตร อะไรอย่างนี้ อันนี้เป็นเรื่องหล่อเลี้ยง ทีนี้พระไปในพิธีอะไรปรากฏขึ้นมาก็มีท่าทางมีความสงบสำรวม ทำให้ญาติโยมมีจิตใจชื่นบาน นี่เรียกว่าให้ธรรมโดยไม่ต้องพูด ทีนี้ถ้าตัวมีความสามารถก็พูดธรรมมะให้สั่งสอนในเรื่องทาน ศีล ภาวนา หลักการดำเนินชีวิต การปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ก็ได้ 2 ชั้น ทีนี้ตอนนี้ให้ธรรมโดยพูดก็ไม่ค่อยจะมี ให้ธรรมโดยไม่ต้องพูดบางทีก็ให้อย่างอื่นแทน เพราะฉะนั้นโยมก็ลำบากไปด้วย แต่อย่าไปท้อ โยมต้องนึกว่านี่คือพระศาสนาของเรา เราต้องช่วยกันแก้ไข แล้วเหตุที่เสื่อมอย่างนี้ก็เป็นเพราะพวกเราเองด้วย เพราะเราอาจจะไปจับจุดผิด บำรุงผิดที่ ก็เลยทำให้เกิดปัญหาขึ้นมา ถ้าเรารู้เข้าใจนะ ทำด้วยปัญญา มีความไม่ประมาท มีเมตาเจตนาเป็นกุศลแล้ว แก้ปัญหาได้ไม่สายเกินไป แต่ถ้าโยมยังไม่ปฏิบัติทางนี้นะ ยังประมาทอยู่ และไม่เรียนรู้หาปัญญา เจตนาไม่เป็นกุศลอยู่ละก็ สายแล้วว่างั้นเถอะ ไม่ทันหรอก ฉะนั้นก็ขอให้รีบมาช่วยกัน อาตมาตอบซะยืดยาวไปเลย หนึ่งก็เอาละให้เริ่มกัน ก็ดีแล้วที่เริ่มต้น แล้วก็ประสานกันไป เจริญพร
ท่านประธานการเสวนา : คำถามของคุณหมออำนาจ ที่ถามนี่เราได้ discuss กันเมื่อเสวนาครั้งที่ 1 ผมเคยรวบรวมองค์กรต่างๆ ที่เกี่ยวกับชาวพุทธ ได้ 4 หน้ากระดาษนี้นะครับ แต่ว่าก็หาองค์กรหลักไม่ได้ในการเสวนาคราวที่แล้ว เลยบอกผ่านไปยังยุวพุทธิกสมาคม เพราะเห็นว่ามี activity และเป็นองค์กรที่รับรองทางกฎหมายนะครับ ว่าจะมาช่วยกันรวบรวมได้ไหม เพราะว่าจริงๆ แล้วศาสนาอื่นเขามีการบริหารจัดการที่เป็นรูปธรรมที่ชัดเจน แล้วก็แนวทางที่แน่วแน่ แต่ของเราไม่มีนะครับ ทีนี้องค์กรที่เป็นหลักจะต้องเป็นองค์กรที่กฎหมายรับรอง ก็มีอยู่ในองค์กรไม่กี่องค์กร อันนี้ก็ต้องขอแรงช่วยกัน ไม่ทราบทางเปรียญธรรมหรือว่าอะไร มี เชิญครับ
คุณโอฬาร : นมัสการพระคุณเจ้าพระธรรมปิฎก แล้วก็ท่านผู้ดำเนินการเสวนา กระผมโอฬาร อัศวฤทธิกุล กราบเรียนด้วยความเคารพอย่างสูงนะครับว่าผมมีความห่วงใยต่อพุทธศาสนาอย่างมาก พุทธศาสนาเราไม่เสื่อมหรอกครับ คนทำให้เสื่อม คนที่ไม่เข้าใจเรื่องพุทธ แล้วเรื่องนี้เมื่อได้รับฟังจากพระเดชพระคุณแล้ว ก็อยากจะหาวิธีแก้อยู่ตลอดเวลา ไม่ใช่เป็นระยะเวลาเพิ่งคิด เป็นเวลาสิบๆ ปีแล้วนะครับ อาทิเช่นในต่างจังหวัด วัดไม่มีสมภาร ไม่มีเจ้าอาวาส ขาดการดูแล แล้วก็สร้างโบสถ์ใหญ่โต สร้างศาลาไว้มากมาย แต่ไม่มีคนรักษา ปรากฏว่าบวชพระแต่ละปีนั้น โบสถ์นั้นไม่ได้ใช้ประโยชน์เท่าที่ควรเลย แข่งกันสร้าง ด้วยเหตุการณ์อย่างนี้นะครับ ได้กราบเรียนนมัสการพระราชาคณะไปหลายองค์ อยากจะปรับปรุง อยากจะหาวิธีแก้ไข แล้ววิธีแก้ไขก็คงจะไม่ยากนะครับ ต่อเมื่อเห็นพระราชาคณะทั้งหลายได้กระจายอำนาจ พุทธสมาคมเข้าไปช่วยเหลือ กรมศาสนาต้องทำตัวเป็นตัวอย่างที่ดี เพื่อที่จะให้พุทธศาสนิกชนได้เดินตาม ให้เยาวชนได้เดินตาม ให้เยาวชนได้ปกปักรักษาสิ่งที่บรรพบุรุษได้ทำมา ผมกราบเรียนอย่างนี้ครับ ใน 5,000 วัดนั้น คงจะให้ท่านประธานเสวนาเป็นผู้นำ ผมจะร่วมด้วย จะใช้ทุนทรัพย์เท่าไหร่ก็ตาม ผมเชื่อว่าท่านประธานการเสวนาในการเสวนาในวันนี้ แล้วผู้นำที่เข้ามาได้ร่วมเสวนาในวันนี้ คงจะร่วมจิตร่วมใจกันหาทางขจัดได้ อยากจะก่อตัวเล็กๆขึ้นมาก่อน ทำสัก 20-30 วัด คงจะทำทั้งหมดไม่ได้หรอกครับ ถ้าตัวอย่างสัก 10, 20, 30 วัดแล้ว ผมเชื่อว่าคนที่มีความสามารถ คนที่อยากออกมาแสดงความรักความเคารพพระพุทธศาสนา ที่รักพระพุทธศาสนา จะต้องออกมามากกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ขณะนี้ชาวพุทธเฉยเมยครับ อย่างพระเดชพระคุณได้กล่าวมาข้างต้นว่า นิ่งไม่ออกความเห็นนั้น ด้วยความเคารพว่า ผมอยากมีส่วนเข้ามาช่วยเหลือในพุทธศาสนา แล้วก็ในอดีตนั้น อยากกราบนมัสการพระเดชพระคุณเจ้า แล้วท่านประธาน และพุทธศาสนิกชนทุกคนว่า การรักการเคารพอย่างลึกซึ้งนั้นไม่ได้เกิดขึ้นมาในวันเดียว ความดีความชั่วไม่ได้เกิดขึ้นมาวันเดียว ต้องมีการสะสม เพราะฉะนั้นผมเห็นด้วยกับนโยบายในอดีตที่มีการบรรพชาเณร บวชเณรแล้วให้เณรนั้นได้ศึกษาเล่าเรียนแตกฉาน ได้เข้ามาเป็นผู้นำทางศาสนาในอนาคต ในอดีตนั้นผมจำได้ครับว่าพระองค์ใดนั้นข้ามเขตก็จะต้องมีใบสุทธิ ไปไหนที่ทำไม่ถูก พระซึ่งเป็นสารวัตรก็จะต้องขอตรวจและจับลงโทษได้ ถ้าผิด เดี๋ยวนี้หย่อนยานไม่หมด อยากให้ท่านพระเดชพระคุณในฐานะผู้นำ ทางพระราชาคณะ ได้โปรดนำเรื่องนี้เข้ามาดำเนินการใหม่เพื่อเข้มแข็งระบบระเบียบต่างๆ แล้วก็ผมเชื่อว่าพุทธศาสนิกชนที่มาฟังเสวนาในวันนี้ มาร่วมเสวนาวันนี้ คงจะร่วมจิตร่วมใจกันสนับสนุนพระเดชพระคุณให้นโยบายเป็นไปตามที่เราต้องการ ครับ กระผมขอนมัสการด้วยความเคารพครับ
พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต) : เจริญพร จริงๆ เรื่องนี้ก็มีพระที่ท่านเอาใจใส่ขวนขวายก็ทำอยู่เหมือนกัน บางแห่งบางจังหวัดหรือบางภาค ท่านก็คล้ายๆเป็นโครงการหาเณรบวชเลย เพราะรู้อยู่ว่าตอนนี้ขาดแคลนเณร แต่จะทำไปได้แค่ไหนเพียงใดก็ยังไม่เป็นเรื่องของการประสานรวมกันทั้งหมด ก็เป็นหย่อมๆ อย่างที่ว่า ก็เลยกลายเป็นว่าไม่พร้อมกัน มันก็มีวิธี 2 อย่าง ก็คือว่า
หนึ่ง ก็คือจัดสภาพสังคมให้มันเอื้อต่อระบบที่เราต้องการ หรือว่าวิธีปฏิบัติอย่างนั้น คือการที่ว่าทำไงจะทำให้มีเณรบวชได้อีก เช่นว่าจัดการศึกษายังไงเพื่อจะให้มีทางให้คนที่เรียนนี้เป็นเณรด้วย อย่างหนึ่ง
อีกอย่างหนึ่งก็คือ เราหาวิธีใหม่ที่เหมาะสมกับสภาพสังคมที่เปลี่ยนไป ว่าเอาละถ้าไม่มีเณรบวชจะใช้วิธีไหนดี สร้างวิธีใหม่ขึ้นมา อันนี้ก็เป็นเรื่องที่ต้องช่วยกันคิดต่อไป แต่เวลานี้ที่ทได้ก็อย่างที่ว่าคือทำเป็นหย่อมๆ แล้วก็อาจจะไม่ยั่งยืน
ท่านประธานการเสวนา : ผมคิดว่าคงจะต้องรอ พ.ร.บ.คณะสงฆ์ เท่าที่อ่านดูที่เถระสมาคมเขียนรูปร่างไว้น่าจะทำอะไรได้มากกว่าที่ทำมาในอดีตนะครับ จากนี้คงต้องรอรูปร่างที่ออกมา เชิญครับ
คุณระวี : กระผมนายระวี ภาวิไล ขอกราบเรียนถามประเด็น 2 ประเด็น ประเด็นหนึ่งพระคุณเจ้ากล่าวว่าภัยของพระพุทธศาสนามีมานานแล้ว อย่างน้อย 19 ปี ท่านพูดถึงเรื่องภัยจากศาสนาอื่น พระคุณเจ้าก็ได้บอกว่าเมื่อมีภัยทางศาสนาเกิดขึ้นเนี่ย พระอรหันต์ท่านจะไม่ดูดาย พระคุณเจ้ายกตัวอย่างพระมหากัสปะ ว่าท่านขวนขวายจัดการประชุมสังคยนาขึ้น เท่าที่ผ่านมาจนบัดนี้กระผมก็เห็นพระคุณเจ้าเท่านั้นที่ขวนขวาย ทั้งๆ ที่มีสุขภาพไม่สมบูรณ์เลย พระคุณเจ้าก็ขวนขวาย กระผมไม่เห็นมีพระคุณเจ้าอื่นๆที่ผมได้ยินว่าท่านผู้นั้นเป็นพระอรหันต์อย่างนั้นอย่างนี้ ผมไม่เห็นว่ามาร่วมกับพระคุณเจ้าทำอะไรเลย ทำไมเป็นอย่างนั้น นี่คือคำถามของกระผม อีกคำถามหนึ่งก็เกี่ยวข้องกับเรื่องการเป็นพระอรหันต์เหมือนกัน พระคุณเจ้ากล่าวว่า แต่อันนี้เป็นประเด็นวิชาการสักหน่อยกระมัง พระอรหันต์นั้นท่านเข้านิโรธสมาบัติ ท่านก็อาจจะตั้งใจไว้ว่าถ้าพระพุทธเจ้าก็ดี หรือสงฆ์ก็ดี ต้องการท่าน ท่านจะออกจากนิโรธสมาบัติมาได้เลย ทีนี้กระผมก็สงสัย เพราะนิโรธสมาบัตินั้นตามที่กระผมเข้าใจนั้น ชื่อเต็มคือ สัน-ยา-เว-ชะ-ยิ-ตะ-นิ-โร-สะ-มา-บัด หมายความว่าสัญญาและเวทนาดับไป ซึ่งหมายถึงว่าจิตดับไปตลอดระยะที่เข้านิโรธสมาบัตินั้นด้วย อ้าว ถ้าจิตดับไปตลอดเวลานั้น ใน สัน-ยา-เว-ชะ-ยิ-ตะ-นิ-โร-สะ-มา-บัด ท่านจะหยั่งรู้ได้ด้วยญาณในวิถีใดอีกล่ะ ที่พระพุทธเจ้าประสงค์ท่าน หรือสงฆ์ คณะสงฆ์ประสงค์ท่าน ท่านจะออกมา ตรงนี้กระผมยังไม่ชัดเจน นอกเสียจากว่าจะต้องเชื่อว่ากายกับจิตนั้นสัมพันธ์กัน แยกกันไม่ออก และสังคมกับกายนั้น ก็ต้องหมายความว่าสังคมด้วยกับจิตของแต่ละบุคคลนั้นไม่ได้แยกกัน ตรงนี้ไม่ทราบว่าจะมีคำตอบอย่างไร ขอประทานอภัย
พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต) : เจริญพร เท่าที่พอจะนึกได้ตอนนี้ก็คือว่า เพราะเหตุนี้จึงต้องตั้งจิตไว้ ความตั้งจิตของท่านนั้นเป็นตัวสำคัญ มันก็ไปผสานกันในเรื่องของสภาพที่เกิดขึ้น เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นซึ่งเป็นสภาพแวดล้อมที่ท่านอาจารย์บอกว่าทางกายก็ถูก ความเป็นไปในสังคมก็เป็นเรื่องของสภาพแวดล้อมอยู่ทางด้านกาย ทีนี้ของจิตที่ท่านตั้งไว้ แล้วภาวะของท่านที่บริสุทธิ์ มันกลายเป็นความแจ่มใสที่ว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับตรงที่ตั้งจิตก็เลยตื่นขึ้นมาเลย ถ้าจะตอบง่ายๆก็ตอบได้อย่างนี้เลย คือความพร้อม ความใสนี้มีอยู่ ความตั้งใจมันไปจรดกับจุดนั้นเมื่อไหร่ก็ออกมาทันที ก็ตอบได้แค่นี้ก่อน
คุณระวี : มีคำถามอีกเรื่องหนึ่งว่าพระอรหันต์ท่านไปไหนกันหมด ขณะที่ภัยของสังคมไทยภัยของพระพุทธศาสนามีแล้วนะครับ ท่านไปไหนกันหมด
พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต) : อาจจะตอบว่ายังเป็นหย่อมๆ คืออยู่ที่โน่นแห่ง อยู่ที่นี่องค์ เลยเป็นหย่อมๆ ไป ตอนนี้จะต้องมารวมศูนย์กัน
คุณบูชา : ขออนุญาตกราบนมัสการพระคุณเจ้า ผมชื่อบูชาครับ คืออยากจะเสริมที่คุณหมอท่านได้เสนอแล้วก็ความคิดเห็นของอาจารย์หมอสมพลนิดนึงครับ คือผมคิดว่าคำว่าเครือข่ายเนี่ย การเคลื่อนด้วยเครือข่ายไม่จำเป็นต้องใช้อำนาจ ต้องใช้ทรัพยากรอะไรมาก คือมันต้องใช้ปัญญาเยอะนะครับ ทีนี้องค์กรกลางที่ว่าเนี่ย ผมอาจจะยังมองต่างมุมกับคุณหมอสมพลนิดนึง ความจริงขั้นแรกอาจจะยังไม่ต้องถึงขนาดมีองค์กรที่มีความถูกต้องทางกฎหมายอะไรก็ได้ที่เขารับรอง แต่ว่ามันใช้เป็น??? หรือคณะที่ประสานงาน เพียงแต่ว่าต้องมีตัวยืนจริงๆ ทำงานต่อเนื่องทุกวันๆ คิดแต่เรื่องนี้ ว่าจะเดินยุทธศาสตร์เรื่องพุทธศาสนายังไง ทุกวันเราคิดแต่เรื่องนี้ คิดเรื่องอื่นไม่ได้ แล้วจริงๆตอนนี้ผมคิดว่ากระแสอาจจะยังไม่ถึงขั้นขนาดนั้น แต่เป็นไปได้ว่าเราอาจจะรวมความรู้ให้ครบก่อน คือจะเดินยุทธศาสตร์มันต้องมีข้อมูลครบใช่ไหมครับ ว่าใครอยู่ตรงไหน ศัตรูอยู่ตรงไหน พันธมิตรอยู่ตรงไหน เส้นทางเดินทัพไปทางไหน หาม้าพวกนี้ให้ครบ แล้วพอถึงเวลาเดินมันเคลื่อนทันที คือคล้ายกับที่ท่านอาจารย์??? ปฏิรูปการเมืองนะครับ ท่านบอกวันนั้นไม่มีใครสนใจท่านทำเรื่องความรู้ก่อน ได้หนังสือมาปึ๊งหนึ่ง พอมีกระแสขึ้นมาคนเริ่มเบื่อการเมือง พอดีตอนนั้นเศรษฐกิจตกด้วย อะไรพวกนี้ คนก็เบื่อกันทั้งประเทศ มันก็เดินเรื่องนี้ได้ ทีนี้ผม ความเห็นผมนะครับว่าตอนนี้อาจจะเป็นไปได้ว่าเราหา secretaria ตรงนี้ สำหรับรวมรวมความรู้ ใครเป็นพันธมิตรอยู่ที่ไหนยังไง แล้วจะเคลื่อนเรื่องนี้ยังไง เอาแค่นี้ก่อน แล้วถ้ามีเวลา โอกาสเหมาะก็อาจจะเคลื่อนตรงนี้ได้ ได้ทันการณ์ครับ
พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต) : เจริญพร ก็ขอกล่าวอีกนิด อันนั้นก็เป็นเรื่องของส่วนที่จะนำไปใช้ปฏิบัติด้วย อันหนึ่งที่ต้องมีที่สำคัญคือใจก่อน ทีนี้การที่จะใจรวมกัน หนึ่ง จุดหมายรวม ถ้าคนเรามีจุดหมายร่วมกันแล้วก็ใจก็ร่วมกันได้ แล้วเช่นว่าเพื่ออะไรนี่ต้องชัด คำว่าเพื่ออะไรนี่ต้องตอบให้ได้ พอเพื่ออะไรอันนั้นทุกคนเห็นด้วย ฉันทำเพื่อ ใจรวมกันเลย อันนี้อันที่หนึ่ง อย่างศูนย์รวมของจิตใจ ก็เช่นพระพุทธศาสนาเวลานี้ สิ่งหนึ่งที่จะต้องทำให้ได้คือให้เป็นรวมกับที่พระพุทธเจ้าให้ได้ ชาวพุทธที่ผ่านมาเป็นปัญหาอันหนึ่งคือเริ่มกระจายไป เป็นสำนัก เป็นอาจารย์ เป็นอะไรต่างๆ อันนี้จะต้องมองอาจารย์ด้วยความเคารพ ให้ถูก แล้วอาจารย์นั้นจะต้องเป็นสื่อโยงไปหาจุดรวมเดียวกันคือพระพุทธเจ้า อันนี้เราจะต้องทำให้ได้ มิฉะนั้นเราจะรวมกันไม่ได้ สภาพพระพุทธศาสนาที่ผ่านมาตอนนี้เกิดปัญหาเรื่องนี้มาก ฉะนั้นถ้าจะทำต่อไป หาทางให้เรามารวมที่พระพุทธเจ้า ถ้าเอาพระพุทธเจ้าเป็นจุดรวมได้ก็มันก็เดินหน้าไป พอรวมที่พระพุทธเจ้า คือรวมที่พระธรรม พระสงฆ์ มาด้วยกันหมด เป็นรัตนตรัยเป็นอันเดียวกัน แล้วก็ฝากไว้ด้วยอันนี้ เจริญพร
ท่านประธานการเสวนา : ความจริงยังมีผู้จะแสดงข้อคิดเห็นหลายคน แต่ว่าพระคุณเจ้าไม่ค่อยสบายมา 2 วันที่แล้ว นี่ใช้เวลามาเกือบ 3 ชั่วโมงแล้ว ก็คงต้องขอให้พระคุณเจ้าได้ไปพักผ่อนก่อนนะครับ แล้วก็สำหรับท่านที่ยังไม่ได้พูด คิดว่าในการเสวนาครั้งต่อๆไป เราคงมีโอกาสได้มาพบกันอีกนะครับ แล้วก็ได้พูดกัน เพราะครั้งที่ 1 เราพูดถึง 4 ชั่วโมง นี่ก็เกือบ 3 ชั่วโมงแล้ว คงต้องขออนุญาตหยุดตรงนี้ก่อนนะครับ ให้พระคุณเจ้าได้ไปพักผ่อน ก็ขอขอบคุณทุกท่านที่ได้มาในวันนี้แล้วให้ข้อคิด แล้วเราเจอกันอีกครั้งเดือนหน้าครับ ขอบคุณมากครับ