แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ไฟล์ถอดเสียงนี้ยังไม่ได้ผ่านพิสูจน์อักษร นำขึ้นมาเพื่อช่วยในการศึกษาค้นคว้าของผู้สนใจ
ฟังไปมาเลยมีเกิดคำถามขึ้นมาอีกคำถามหนึ่ง
เอ้า นิมนต์
เรียนถาม 2 คำถามเลย
นิมนต์
(???) คำถามแรกนี่ มีข้อสงสัยเพราะว่าที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อบอกว่าบุคคลนิพพานทำการเพื่อโลกเนี่ย นี้ทางพอไปทางมหายานเนี่ยเค้าบอกว่า คติของพระโพธิสัตว์เค้าคือทำการเพื่อโลกก่อน แต่ว่ายังไม่ต้องนิพพานก็ได้ คือพระโพธิสัตว์นี่คือ ยอมไม่นิพพาน ถามในแง่ที่ว่าอยากทราบว่าคติอย่างนี้นี่ที่มาที่ไปยังไง แล้วก็มันมีความหมายในเชิงสังคมยังไง
เรื่อง(???)พระโพธิสัตว์
อีกคำถามหนึ่งนี่ จะถาม(???)เรื่องระบบเศรษฐกิจ เมื่อกี้พระเดชพระคุณหลวงพ่อพูดถึงเรื่องว่าปัจจุบันคนนี่
หาความสุขจากเสพ
หาความสุขจากเสพ มีความสุขได้ยากขึ้น มีโอกาสได้อ่านหนังสือพุทธศาสนากับโลกธุรกิจ ที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อให้สัมภาษณ์ทางหนังสือพิมพ์ชาวเยอรมัน ก็ตอนนี้ว่ากำลังจะเริ่มอ่านหนังสือเศรษฐศาสตร์แนวพุทธพระเดชพระคุณหลวงพ่อเขียนไว้ ในพุทธศาสนากับโลกธุรกิจเนี่ย เท่าที่ผมจับความได้ก็คือว่าพระเดชพระคุณหลวงพ่อก็วิเคราะห์วิชาเศรษฐศาสตร์ที่เป็นพื้นฐาน คือปัจจุบันนี้โลกเราก็เรียกว่าขับเคลื่อนด้วยเศรษฐกิจซะมากเป็นตัวหลักเลย
โดยเฉพาะแบบทุนนิยม
แบบทุนนิยม ทีนี้ พอเป็นอย่างนี้เนี่ยหลักวิชาเศรษฐศาสตร์ที่เป็นพื้นฐานของระบบเศรษฐกิจในโลกที่เป็นทั้งหมดอยู่เนี่ย มันมีพื้นฐานมาจากการแข่งขัน จะใช้อีกคำหนึ่งก็คือจะเรียกว่าให้แก่งแย่งกันก็ได้
ครับ
ตรงนี้พอดีกำลังจะเริ่มอ่านเศรษฐศาสตร์แนวพุทธก็เลยอยากจะขออารัมภบทจากพระเดชพระคุณหลวงพ่อ???แนววิเคราะห์ ???
ครับ อนุโมทนา แต่จะตอบไหวหรือเปล่าเนี่ย คำถามเดียวก็โอ้โหใหญ่นะ เรื่องพระโพธิสัตว์เรื่องเดียวก็เรียวกว่าใช้เวลากันเป็นชั่วโมงแล้ว มันยากเหมือนกันนะเพราะว่ามันกลายเป็นต้องรู้เรื่องความเป็นมา คือเรื่องพระโพธิสัตว์เนี่ย ถ้าเราจะเข้าใจชัด เราก็ต้องรู้เรื่องหลักการเดิมใช่มั้ย ว่าความหมายเดิมของพระโพธิสัตว์คืออย่างไร คือพระโพธิสัตว์ก็มีมาแต่เดิมแล้ว ตั้งแต่ในพุทธศาสนาดั้งเดิม ที่พระพุทธเจ้าก่อนที่ตรัสรู้ พระองค์ก็เป็นพระโพธิสัตว์ เพราะฉะนั้นเมื่อพระพุทธเจ้าตรัสสอนแสดงธรรมที่มีในพระไตรปิฎก เวลาพระองค์ตรัสถึงพระองค์เองก่อนที่จะตรัสรู้เนี่ย พระองค์ก็เรียกว่าพระองค์ก็ยังเป็นพระโพธิสัตว์อยู่ นี่นะ เพราะฉะนั้นต่อมาเมื่อมีการเทศน์ มีการแสดงธรรมมากมาย เรื่องมันยืดยาวไปก็ย้อนว่าแม้แต่ก่อนที่จะมาประสูติในชาตินี้ อ้าวเคยเกิดมา เกิดมา เกิดมาแล้วก็ตอนนั้น(???)เริ่มที่จะตั้งใจจะเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว คิดจะบรรลุธรรมแล้ว (???)เป็นพระพุทธเจ้า ตั้งใจขึ้นมา แล้วในขั้นตอนสำคัญ(???)ก็คือว่าตอนนั้นเริ่มบำเพ็ญบารมี แล้วก็จะเป็นพระโพธิสัตว์ ก็กลายเป็นว่าพระพุทธเจ้าเนี่ยก่อนตรัสรู้เมื่อได้เริ่มเพียรพยายามที่จะก้าวไปสู่การตรัสรู้ ระยะระหว่างนั้นก่อนตรัสรู้ทั้งหมดเรียกว่าพระโพธิสัตว์ ก็แปลว่าสัตว์ผู้มุ่งโพธิ ก็มาจากโพธิ กับสัตตะ สัตตะก็หมายถึงคนเนี่ยแหละ คือภาษาบาลีท่านไม่ได้รังเกียจคำว่าสัตว์ ภาษาไทยเนี่ยมันรังเกียจ สัตว์นี่ท่านหมายถึงคนก่อนเลยนะ พอเราพูดถึงสัตว์นี่ปั๊บ ต้องนึกถึงคนก่อน เช่นมหาสัตว์ก็คือมหาบุรุษ เรียกว่ามหาสัตว์ พระโพธิสัตว์ก็คือสัตว์ผู้มุ่งตรัสรู้ นี้คำว่าสัตว์ก็เป็นธรรมดา สัตว์ผู้มุ่งตรัสรู้ ทีนี้โพธิสัตว์นี่ก็ เอาละ ความหมายเดิมก็ก่อนตรัสรู้ พระพุทธเจ้าก็ตรัสในความหมายอย่างเงี้ย ก็หนึ่งก็คือโพธิสัตว์ยังไม่ได้ตรัสรู้ เมื่อเป็นอย่างนี้ก็พระองค์ก็เป็นปุถุชน เอาล่ะนะ ทีนี้พระพุทธเจ้าเล่าเรื่องพระโพธิสัตว์มานี่ พระโพธิสัตว์จะเป็นพระพุทธเจ้าได้ก็ต้องเพียรพยายาม เค้าเรียกว่าบำเพ็ญบารมี ถ้าพูดภาษาสมัยใหม่ในความหมายง่าย ๆ ???ก็คือพัฒนาตน พัฒนาปัญญานี่เป็นใหญ่ที่สุด แล้วก็พัฒนาปัญญาได้ก็ต้องพัฒนาทาน พัฒนาศีล พัฒนาศีล สมาธิ ปัญญา ถ้ารวมแล้วก็คือเพื่อให้ได้ปัญญาจนกระทั่งได้ตรัสรู้ เพราะโพธินั่นก็ปัญญานั่นเอง แต่เป็นปัญญาขั้นที่เรียกว่าตื่นโพลงรู้ความจริงของสัจธรรม นี้ถ้าเป็นปัญญาธรรมดาก็ใช้กว้าง ๆ หมด รู้อะไรก็ปัญญาหมด นี่ปัญญาที่ถึงขั้นเค้าเรียกโพธิ พระพุทธเจ้าก็บำเพ็ญเพียรพยายามมาเพราะตอนนั้นยังไม่ได้ตรัสรู้ ก็เป็นพระโพธิสัตว์ หนี่งและ ต่อมาก็เพื่อมาสอนคนให้ทำความดี ก็เลยยกตัวอย่างว่าพระโพธิสัตว์ในระหว่างที่เพียรพยายามทำความดีบำเพ็ญบารมีอะไรต่าง ๆ มาเพื่อจะเป็นพระพุทธเจ้าเนี่ย แหม ท่านต้องตั้งใจจริง ขนาดเสียสละชีวิต ขนาดเสียสละอวัยวะ ทำทุกอย่างด้วยความเพียรอย่างยิ่งเนี่ย ท่านต้องทำต้องสู้เต็มที่เลย ก็ ท่านก็สู้ได้ เอาเป็นว่าพระโพธิสัตว์เนี่ยท่านบำเพ็ญบารมีอย่างยวดยิ่งเลย เสียสละชีวิตก็ได้ ทีนี้คนเราเนี่ยพระพุทธเจ้าก็สอนให้ทำความดี ให้เว้นความชั่ว แต่คนทั่วไปเนี่ยยังอ่อนแอ บางทีพอไปเจอเรื่องยากเข้าก็ท้อใจจะทำความดี หรือว่าไปเจอสิ่งยั่วยวนล่อเร้าเข้าก็จะละเมิดทำชั่ว พระพุทธเจ้าก็เลยเล่าเรื่องคนที่จะเป็นแบบอย่างทีเสียสละเพียรพยายามเหลือเกิน ทำความดีได้สำเร็จมาก็คือผู้ที่จะเป็นพระพุทธเจ้า ก็คือพระองค์นี่แหละก่อนที่จะตรัสรู้ เอาเลย เมื่อเราพูดถึงเรื่องชาติก่อน ก็เลยเล่าเรื่องสมัยก่อนนี้เคยทำความดีอย่างงี้ เคยประสบปัญหาถูกคนแกล้งอย่างนั้น ทำความดีเค้าก็แกล้งนะ พระพุทธเจ้านี่ถูกแกล้งอย่างหนักเลย พระพุทธเจ้าก็ไม่ท้อ แล้วก็ไม่เบียดเบียนเขา พระองค์ก็ยืนหยัดในความดีจนกระทั่งชนะเขาด้วยความดี ชนะโดยธรรมเลยเนี่ย พระพุทธเจ้าก็ต้องเอาพระโพธิสัตว์นี้มาเป็นตัวอย่างเพื่อเล่าให้คนเกิดกำลังใจที่จะหนึ่งละชั่ว ทนทานที่จะไม่ถูกชักจูงไป สองแล้วในการทำความดีอย่างไม่ท้อถอย เพราะพระพุทธเจ้านี่สละชีวิตเพื่อเขาได้ อย่างพระองค์นี่เคยเกิดเป็นวานรก็คือลิง มาเจอนายคนหนึ่งนั้นหลงป่า พระองค์ก็มีเมตตา อ๊ะ มีกรุณาก็ไปช่วยเค้า อุตส่าห์พาออกจนพ้นป่า ไอ้เจ้าคนนี้มันนึกถึงว่ามันก็หิวของมัน(???) แต่ว่าแก ลิงหรือพญาวานรก็ช่วยให้ได้กินอาหารไปพอประทะประทัง แต่แกไม่รู้จักพอ แกก็นึกว่าไอ้เจ้าลิงตัวนี้มันเนื้อมันดี เราพ้นจากป่านี้ไปได้ก็ฆ่ามันกินเนื้อมันเลย ก็เลยคิดอุบาย ตอนนี้ก็ต้องอาศัยมันพาพ้นป่าไปก่อน พอพ้นป่าได้ก็เพลียด้วยกันก็นอนหลับ พอนอนหลับก็เจ้าคนนี้นะ เจ้ามนุษย์เนี่ยซึ่งร้ายกว่าลิงก็ไปหาก้อนหินมา จะมาทุ่มหัวมันน่ะจะให้มันตาย แต่เจ้าลิงนี้เป็นลิงโพธิสัตว์ปัญญาไว ก็สติดี ตื่นไว ก็ตื่นรู้ทัน รู้ทันก็หลบได้ หลบได้แล้วก็ลุกขึ้นมาพูด ก็เลยสั่งสอนมนุษย์ซะ ก็เลยพญาวานรก็สั่งสอนคน แต่พระองค์ไม่ใช่ไม่ถูกนะ ถูกก้อนหินนั้นบาดเจ็บเหมือนกัน ก็ช้ำไปแต่ก็ไม่ทำอันตราย ก็บอกว่าก็ขอให้ท่านเดินทางต่อไปโดยสวัสดี แต่ว่าก็ให้รู้ว่าคนเราเนี่ยควรปฏิบัติต่อกันอย่างไร แม้แต่กับสัตว์ทั้งหลาย หรือว่าก็ควรจะมีเจตนาที่ดี มีน้ำใจต่อกัน ไม่เบียดเบียนกัน พระองค์สอน นี่อย่างนี้เป็นต้น พระองค์ก็จะต้องเล่าเรื่องเหล่านี้ของพระโพธิสัตว์มาเป็นตัวอย่างให้คนเกิดกำลังใจที่จะทำความดีอย่างที่ว่า ก็เป็นอันว่าเรื่องพระโพธิสัตว์หนึ่งก็คือท่านที่ยังไม่ได้ตรัสรู้ ยังเป็นปุถุชนอยู่ บำเพ็ญความดีเรียกว่าบารมีอย่างเต็มที่เพื่อจะได้เป็นพระพุทธเจ้าต่อไป สองการเล่าเรื่องพระโพธิสัตว์นั้นก็เพื่อเป็นตัวอย่างที่จะกระตุ้นเตือนจิตใจของคนทั่วไปเนี่ยให้เกิดกำลังใจและเห็นแบบอย่างในการทำความดี เนี่ย เนี่ย สองอย่าง แล้วพยายามทำตัวเป็นพระโพธิสัตว์บ้าง ให้ทำความดีอย่างพระโพธิสัตว์ เอานะ นี่เข้าใจคติ(???) นี้ต่อมาเมื่อเราได้รู้ว่า อ๋อ พระพุทธเจ้านี่ไม่ได้ผูกขาด ไม่มีตำแหน่งผูกขาดว่าพระพุทธเจ้าองค์นี้เท่านั้น พระพุทธเจ้าก็ตรัสบอกว่าในสังสารวัฏที่มันเวียนว่ายตายเกิดกันไปเนี่ย พระพุทธเจ้าพระองค์ก็ไม่ใช่องค์เดียวหรอก โลกมันเปลี่ยนแปลงไป มันก็เปลี่ยนยุคเปลี่ยนสมัย ยุคของพระพุทธเจ้าองค์นี้สิ้นไปแล้ว ไม่มีคนรู้จัก โลกมันเจริญมันเสื่อมไป ต่อมาคนประพฤติผิดอะไรต่าง ๆ ไม่ดีแล้วก็มีพระพุทธเจ้ามาอุบัติอีก ก็จะมีพระพุทธเจ้าเกิดมาอย่างนี้เรื่อยไป นี่ก็คือเท่ากับพูดในแง่หนึ่งก็ไม่ผูกขาดความเป็นพระพุทธเจ้าก็อยู่ที่การพัฒนาตัวเองให้เกิดปัญญาอย่างนั้นตามความหมายที่ว่าได้บรรลุธรรมด้วยตนเอง แล้วก็สามารถสั่งสอนทำประโยชน์แก่ผู้อื่นได้ เรื่องก็เป็นอย่างเงี้ย ก็เลยว่าเราก็เลยมีตัวอย่างรายนามพระพุทธเจ้า รายพระนามพระพุทธเจ้าเยอะแยะไปหมด อย่างที่เราเรียกกัน พระพุทธเจ้ายี่สิบห้าพระองค์ พระพุทธเจ้าห้าพระองค์ พระพุทธเจ้ายี่สิบเจ็ดพระองค์ อะไรอย่างเงี้ยนะ เยอะไปหมด ก็เหตุว่าพระพุทธเจ้าเนี่ยมีมาเยอะ แล้วนี่เป็นเพียงตัวอย่าง ยังมีอีกเยอะแยะ แล้วเมื่อพูดถึงพระพุทธเจ้า อ้าวแล้วก่อนนั้นพระองค์ก็เป็นโพธิสัตว์หมด ตกลงก็เลยกลายเป็นว่าพระโพธิสัตว์ พระพุทธเจ้าแต่ละองค์ก็มีพระโพธิสัตว์มาก่อนนั้นซึ่งอาจจะเกิดมาไม่รู้กี่ชาติ(???) เอาละครับนี่หลักการ ทีนี้ต่อมาพระพุทธศาสนาก็เจริญงอกงามขึ้นมาในประเทศอินเดียมาสี่ห้าร้อยปี พอศาสนาพราหมณ์เมื่อพุทธศาสนาเกิดขึ้นเจริญนี่แกก็ฟุบเหี่ยวแห้งแย่ลงไป นี่จนกระทั่งว่าแกก็หาทางที่จะฟื้นฟูเพื่อจะ เรียกง่าย ๆ ว่าเพื่อจะยึดอำนาจคืน เพราะว่าพราหมณ์เนี่ยสูญเสียอำนาจความยิ่งใหญ่ สูญเสียสถานะ หนึ่งพระพุทธเจ้าให้เลิกบูชายัญซึ่งเป็นตัวทำลายผลประโยชน์อย่างยิ่งของศาสนาพราหมณ์ สองก็ให้เลิกถือวรรณะ ก็เป็นการทำลายสถานะความยิ่งใหญ่ของพราหมณ์ซึ่งถือตัวว่าเป็นวรรณะสูงสุดหมดเลย หลักการของพระพุทธเจ้าก็เปลี่ยนหมด พราหมณ์เอ๊ยพรหมที่เป็นใหญ่สร้างโลกก็กลายเป็นว่าธรรมะสูงสุด พระพรหมเป็นเทพไม่ได้สูงสุดต้องอยู่ใต้ธรรมะอะไร(???) คัมภีร์ไตรเวทที่ว่าเป็นหลักการสูงสุดเปลี่ยนไม่ได้ ก็กลายเป็นพระพุทธเจ้าไม่ได้นับถือ ถือว่าให้อยู่ที่มนุษย์นี่ต้องแสวงหาความจริงด้วยหลักการสิกขาพัฒนาให้เกิดปัญญาอะไรต่าง ๆ ทีนี้แกก็เกิดความพูดได้ง่าย ๆ ว่า(???)หาทางที่ว่าจะกำจัดพุทธศาสนา และยิ่งมาพระเจ้าอโศกถึงกะไม่ใช่แค่สอน พระพุทธเจ้าแค่ทรงสอนใช่มั้ย อย่าไปเบียดเบียนสัตว์เลยบูชายัญกันเนี่ยทำให้เกิดการทำลายชีวิต เราควรจะบำเพ็ญบูชายัญด้วยการที่เสียสละช่วยเหลือกันในสังคม(???)เนี่ย ทีนี้พอพระเจ้าอโศกไม่ใช่แค่นั้น ไม่ใช่แค่สอน พระองค์เป็นนักปกครอง พระเจ้า(???)ก็แม้จะอุปถัมภ์ศาสนาต่าง ๆ เหมือนกัน ไม่เบียดเบียนใคร แต่ว่าด้วย(???)ปกครองก็เป็นการปกครอง พระองค์ไม่ต้องการให้เบียดเบียนชีวิต ก็เขียนประกาศ ในสมัยนั้นใช้ศิลาจารึก งั้นศิลาจารึกก็จะปรากฏเยอะเลย ในถิ่นนี้มิให้มีการฆ่าสัตว์บูชายัญ เอาล่ะสิทีเนี้ย มันก็คือการไปห้ามพวกศาสนาพราหมณ์ พราหมณ์ฆ่าสัตว์บูชายัญไม่ได้ ห้ามเลย คราวนี้มันเป็นเรื่องของการปกครอง แล้วก็พราหมณ์ก็ไม่มีสิทธิพิเศษ ก็แล้วแต่(???)มีคุณสมบัติมีปัญญาดีท่านก็รับเข้าราชการใช่ไหม ก็มีความสามารถยังไงก็ว่าไปตามนั้น ทีนี้พราหมณ์แกก็หาทาง ก็พยายามกำจัดราชวงศ์ จนถึงเหลนหลานก็เลยได้โอกาส ก็เลยคบคิดกันกำจัดฆ่าเหลนของพระเจ้าอโศก(???) แล้วพราหมณ์ก็ขึ้นครองแผ่นดินตั้งองค์ใหม่เรียกว่าราชวงศ์สุงคะ พราหมณ์ชื่อปุษยมิตรก็ขึ้นเป็นกษัตริย์องค์แรกของราชวงศ์ แล้วก็ฟื้นฟูการบูชายัญทันที ศาสนาพราหมณ์วรรณะวรรเณอะก็กลับมา แล้วก็พยายามกำจัดพุทธศาสนา อันเนียะ นี้ศาสนาพราหมณ์ก็พยายามฟื้นฟู ก็ทำไงตัวเองจะอยู่ได้อย่างดี ก็เห็นว่าคำสอนพุทธศาสนานี่มีจุดแข็งมาก ก็ต้องหาทางเอาไอ้จุดแข็งในพุทธศาสนานี่ไป ก็มาศึกษาเอาหลักพุทธศาสนาไปใช้ในศาสนาพราหมณ์ ก็ตอนนี้พัฒนาเป็นฮินดู ยุคศาสนาฮินดูก็เกิดขึ้น เนี่ยในช่วงระยะที่ตั้งแต่สมัยพระเจ้าอโศกเนี่ยเค้าถือว่าเริ่มเป็นยุคเค้าเรียก Classical Hindu ก่อนนั้นเรียกศาสนาพราหมณ์ (???)ศาสนาฮินดูก็คือศาสนาที่ฟื้นฟูตัวเองที่จะมาทำให้เข้มแข็งขึ้นมาสู้กับพุทธศาสนาเป็นต้นได้ นี้ศาสนาฮินดูก็เกิดขึ้นมาก็เอาหลักพุทธศาสนาไปใช้ด้วยจนกระทั่งว่ามาสู้กันด้วยอหิงสา แต่ก่อนนี้เคยฆ่าสัตว์บูชายัญใช่มั้ย ตอนหลังศาสนาฮินดูถึงกับว่าไม่กินเนื้อสัตว์ เป็น vegetarian เป็นมังสวิรัติซึ่งศาสนาพราหมณ์ให้ฆ่าสัตว์บูชายัญจะมากินไม่กินเนื้อสัตว์ได้ (???) เค้าก็เปลี่ยนมาเป็นถึงขนาดนี้ ก็แข่ง(??)พุทธศาสนา เอาหลักธรรมอะไรต่ออะไรไป เนี่ยเค้าก็ฟื้นฟูตัวเองมา ทีนี้พอศาสนาฮินดูเข้มแข็งขึ้นแล้วก็เค้าตั้งตัวเป็นกษัตริย์อะไรต่ออะไร เค้าก็ใหญ่ด้วย(???) พุทธศาสนาก็ยุคหลังนี่ก็ พระพุทธเจ้าก็ไม่ได้อยู่แล้วด้วยใช่ไหม และความสามารถก็ชักน้อยลง ทีนี้พระส่วนหนึ่งก็ยังยืนหยัดที่จะสอนหลักการเดิม ทีนี้พระอีกส่วนหนึ่งก็เห็นว่าสู้กับศาสนาฮินดู แล้วศาสนาฮินดูเค้ามีเทพเจ้าให้บูชา มันสนองความต้องการของคนจำนวนมากที่เอาง่าย ๆ ชอบบูชาบวงสรวงอ้อนวอน หมายความว่าอยากได้อะไรก็ไปหาเทพเจ้าแล้วก็บูชายัญก็คือบวงสรวงอ้อนวอนเอา คนไทยยังชอบเลยใช่ไหม นี่นับถือพุทศาสนาเนี่ย ดูสิเนี่ย แล้วในอินเดียจะไม่ชอบไงเค้ามีพื้นอย่างนั้นอยู่ แล้วศาสนาฮินดูเค้าก็เป็นช่องง่ายนี่มีเทพเจ้าต่าง ๆ ให้บูชายัญ(???)ให้บวงสรวงอ้อนวอนแล้วก็สร้างเทพเจ้าใหม่ในยุค Classical Hindu แต่เดิมมีแต่พระพรหม ตอนนี้ก็มีพระวิษณุคือนารายณ์ พระอิศวรเรียกว่าพระศิวะ เนี่ยยุค Classical Hindu เนี่ยเกิดเทพเจ้าใหญ่ขึ้นมาอีก 2 องค์ ซึ่งต่อมานี่เหนือกว่าพรหม 2 องค์นี่เขาถือว่าใหญ่กว่าพรหม และสองอันนี่ก็แข่งกันเป็นคนละนิกาย เป็นวิษณุ นิยายไวศวะ นิกายพระนารายณ์ กับนิการไศวะ นิกายพระศิวะ พระอิศวร แล้วก็สองนิกายนี้ก็แข่งกัน นี้เมื่อสองนิกายนี้แข่งกันใหญ่ แล้วก็มีการนับถือเทพเจ้าอะไรต่าง ๆ ก็ให้มีความภักดี (???)อะไร ลัทธิของเขาก็ยิ่งย้ำ(???)เรื่องนี้มากขึ้น ทีนี้พระส่วนหนึ่งเนี่ย โอ้โห จะทำไงดี(???) ก็เห็นว่าพวกศาสนาฮินดูเนี่ยชาวบ้านเค้ามีเทพเจ้าให้อ้อนวอน ก็เลยได้รับความเชื่อถือมีคนนิยมมาก เอ๊ะ เราจะทำไง เราไม่มีอะไรให้อ้อนวอน มีอะไรให้อ้อนวอนก็คือจะมาช่วย เมื่ออ้อนวอนได้ก็มาช่วยนั่นเอง เราต้องใช้ความเพียรพยายามตัวเองนะต้องใช้สติปัญญาพัฒนาชีวิตของตนเองให้ดี เอ๊ะจะทำไงสู้ศาสนาฮินดูได้ ก็เลยพระพวกหนึ่งเนี่ยก็เลยคิดว่าเออเรามีคติโพธิสัตว์นี่ พระโพธิสัตว์นี่ก็คือท่านที่มีความเพียรพยายาม มีน้ำใจช่วยเหลือเพือนมนุษย์จนกระทั่งสละชีวิตของตัวเองเพื่อผู้อื่นได้อย่างพญาวานรเพื่อกี้นี้ใช่มั้ย สละชีวิตของตนเองเพื่อคนนั้นก็ได้ โอ๊ เราก็มีหลักนี้อยู่นี่ เพราะฉะนั้นเราก็เอาหลักพระโพธิสัตว์นี่มาฟื้นฟูสิใช่ไหมฮะ เอาเลยทีนี้ว่าเอาพระโพธิสัตว์ขึ้นมาตั้งว่าพระพุทธเจ้าก่อนที่จะบรรลุโพธิญาณเป็นพระพุทธเจ้าเนี่ยเป็นพระโพธิสัตว์มาก่อน พระโพธิสัตว์เนี่ยมีมหากรุณามาก บำเพ็ญบารมีช่วยเหลือสัตว์ทั้งหลายนะไม่เห็นแก่ทุกข์ร้อนของพระองค์เอง เอาล่ะทีนี้ก็จะพร้อมมาช่วยแล้ว พวกเราก็มีเหมือนกันนะ ไม่ต้องรอเทพเจ้ามาช่วย พระโพธิสัตว์ช่วยได้ ทีนี้ไอ้จุดยืนมันเปลี่ยน พอพระโพธิสัตว์นี้จะมาช่วย คนนี้มันก็แทนที่ว่าจะเอาอย่างพระโพธิสัตว์ในการทำความดี คือเดิม คติเดิมน่ะ พระโพธิสัตว์ท่านความทำความดีด้วยความเพียร เสียสละอย่างยิ่ง เราจะต้องทำอย่างท่านบ้าง ใช่ไหมนี่คือทำความเพียรอย่างท่าน เสียสละอย่างท่าน ทำความดีให้เต็มที่อย่างท่าน แต่ตอนนี้มันกลายเป็นว่าพระโพธิสัตว์ท่านใจดี ท่านพร้อมที่จะช่วยเรา แทนที่จะทำความดีอย่างท่านมันกลายเป็นว่าไปขอให้ท่านช่วยเลย นี่มันกลับตรงนี้แหละ พระโพธิสัตว์ฟื้นใหม่คราวนี้มันคติมันกลายเป็นว่ามาตอนแรกน่ะพระที่ท่านพัฒนาคตินี้ท่านก็รู้คติเดิมอยู่ ในด้านหนึ่งท่านก็สอนด้วยว่าให้เราพยายามทำตัวเป็นพระโพธิสัตว์ แต่สำหรับคนทั่วไปก็มีความหมายแบบเทพเจ้าฮินดูว่าท่านพร้อมจะมาช่วยพวกเรา สำหรับคนชาวบ้านมันก็กลายเป็นที่มาอ้อนวอนขอใช่ไหม นี่แหละคติมันก็เปลี่ยนจนกระทั่งว่าพระโพธิสัตว์นี่กลายเป็นที่อ้อนวอน นี่มันเปลี่ยนมาอย่างนี้ แล้วทีนี้พระโพธิสัตว์เพื่อให้เห็นว่าท่านเป็นมหากรุณามาก ก็พัฒนาความคิดจนกระทั่งว่าโอ๊ย พระโพธิสัตว์นี่ท่านจะบรรลุนิพพานแน่แล้ว แต่ท่านยังไม่บรรลุหรอก เพราะท่านยังไม่เข้านิพพาน เพราะท่านต้องการที่จะมาช่วยพวกเราก่อน แหม มีมหากรุณายิ่งใหญ่นี่เพื่อย้ำความมีมหากรุณาเข้าไป แต่ทีนี้ไอ้คติธรรมดาของธรรมชาตินี่เมื่อคนเราบรรลุนิพพานมันก็คือนิพพานนั่นแหละ จะบอกว่าฉันจะรอไม่เข้านิพพานนี่ท่านก็ต้องมาพัฒนาทฤษฎี กลายเป็นว่าพระโพธิสัตว์ไม่ใช่เพียงว่าเป็นผู้ที่ยังไม่บรรลุนิพพาน ยังไม่รู้ยังไม่มีปัญญาถึง กำลังพัฒนาอยู่แล้วก็เลยยังไม่บรรลุนิพพาน กลายเป็นว่าท่านมีความสามารถมีคุณสมบัติพร้อมบรรลุนิพพานได้แต่ท่านยั้งตัวเองไว้ไม่บรรลุ กลายเป็นอย่างงั้นไป นี่แหละเรื่องมันก็อย่างงั้น ทีนี้ถ้ามองในแง่ของเรา เราก็ถือว่าผิดธรรมชาตินะ ความจริงมันก็ไปทำ ความจริงเมื่อเราบรรลุนิพพานก็คือบรรลุนิพพานใช่มั้ย จะไปถอยไปถอนหรือไปรั้งรออะไรยังไง อ้าวแล้วทีนี้ถ้าตัวเองยังไม่บรรลุนิพพานจริงก็คือยังมีปัญญาไม่เต็มที่ เมื่อมีปัญญาไม่เต็มที่ การที่จะช่วยเหลือสัตว์ทั้งหลายเนี่ยมันจะมีจุดอ่อนข้อบกพร่อง ท่านคิดว่าบกพร่องอะไร หนึ่งปัญญาไม่เต็มที่ก็ตัดสิน เมื่อบุคคลยังมีปัญญารู้แจ้งโลกและชีวิตไม่สมบูรณ์ก็จะรู้เข้าใจอะไรเป็นประโยชน์ไม่เป็นประโยชน์ไม่เต็มที่ด้วยจริงไหม พระพุทธเจ้ารู้ชัดว่าอะไรจึงจะเป็นประโยชน์ไม่เป็นประโยชน์ในขั้นสูงสุด ทีนี้เมื่อพระโพธิสัตว์ยังไม่ได้มีปัญญาถึงโพธิญาณ ท่านก็ไม่รู้ว่าอะไรเป็นประโยชน์แท้จริงไม่เป็นประโยชน์แท้จริง ท่านอาจจะมาช่วยผิดก็ได้ เหมือนพระโพธิสัตว์ของพระพุทธเจ้าองค์นี้ตอนที่ก่อนตรัสรู้เนี่ยบางชาติท่านก็บรรลุฌาณสมาบัติแบบพวกฤาษีชีไพรแล้วท่านก็สิ้นชีวิตก็ไปเกิด(???)พรหมโลกซึ่งเมื่อมาเป็นพระพุทธเจ้าแล้วพระองค์จะบอกผิดใช่ไหม ไปนึกว่าเป็นฌาณสมาบัตินี่นึกว่าสมบูรณ์ไม่ใช่หรอก พระโพธิสัตว์ท่านก็เรียกว่าเป็นปุถุชนที่ดีที่สุด แต่ท่านก็เป็นปุถุชนนะ หนึ่งการกระทำความดีของท่านนี่ทำด้วยปณิธานที่ตั้งใจจะเป็นพระพุทธเจ้า ท่านยังไม่บรรลุนิพพาน ท่านยังไม่หมดกิจเพื่อตนเอง ท่านยังไม่ใช่ว่าเป็นผู้ไม่มีอะไรต้องทำเพื่อตนเอง ท่านไม่ใช่อย่างนั้น ท่านกำลังต้องทำเพื่อตัวเองเต็มที่เพื่อจะบรรลุนิพพาน กำลังบำเพ็ญบารมี ท่านยังไม่สมบูรณ์ เพราะงั้นที่ท่านทำความดีนี่ไม่ใช่ทำความดีแบบพระอรหันต์พระพุทธเจ้า ท่านทำความดีด้วยปณิธานว่าท่านตั้งใจเพื่อจะเป็นพระพุทธเจ้า ส่วนพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ท่านทำความดีเพราะท่านไม่มีอะไรต้องทำเพื่อตัวเอง แยกได้ใช่ไหม เพราะ(???)นั้นไม่เหมือนกัน งั้นพระโพธิสัตว์เนี่ยจะทำโดยที่ว่าด้วยแรงของปณิธานความตั้งใจเนี่ยเสียสละชีวิตอะไรต่ออะไรซึ่งบางทีทำ(???)จริง ก็ไม่ถึงกับเป็นตัณหาเป็นฉันทะนี่แหละ เอ่อ เป็นฉันทะแต่เรี่ยวแรงที่ทำเนี่ยมันคล้าย ๆ มันยังไม่พ้นตัณหา คล้าย ๆ ว่าตัณหายังแทรกได้อยู่ ก็หมายความว่าฉันทะอาจจะยังไม่บริสุทธิ์ แล้วก็อย่างที่ว่า หนึ่งท่านทำความดีไม่ได้ทำเพราะว่าท่านหมดกิจเพื่อตัวเอง แต่ท่านทำด้วยปณิธาน สองท่านมีปัญญายังไม่สมบูรณ์ เพราะฉะนั้นสิ่งที่ท่านรู้เข้าใจว่าเป็นประโยชน์หรือเป็นโทษแก่ชีวิตเป็นต้นเนี่ยท่านก็ยังไม่แจ่มแจ้ง (???)ก็ความพลาดก็มีได้ เพราะฉะนั้นก็ยังเป็นจุดอ่อน ทีนี้พระโพธิสัตว์ของมหายานก็กลายเป็นว่าความหมายเนี่ยเหมือนกับกำกวม(???) บางทีก็เหมือนกับว่าผู้ยังไม่ตรัสรู้เต็มที่ บางทีก็บอกตรัสรู้เหมือนพระพุทธเจ้าได้แล้วแต่ว่ายั้งตัวเองไว้ไม่ยอมบรรลุนิพพานซึ่งมันก็มีแง่เถียงทั้งนั้นแหละ เอาแล้วพอเข้าใจใช่ไหม รู้ว่าเหตุผลเป็นมาอย่างไร ก็ให้รู้ความแตกต่างด้วยระหว่างพระพุทธเจ้ากับพระโพธิสัตว์