แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ไฟล์ถอดเสียงนี้ยังไม่ได้ผ่านพิสูจน์อักษร นำขึ้นมาเพื่อช่วยในการศึกษาค้นคว้าของผู้สนใจ
พระนวกะ: พอพูดถึงเรื่องที่คนไทยชอบเรื่องฤทธิ์เดชในปัจจุบันนี้ก็ยังคงมีอยู่ใช่ไหมครับ
พระพรหมฯ: ไม่ใช่คงหรอก ชอบมากเลย
พระนวกะ: ครับ ชอบมากเลย ผมก็เลยอยากจะถามเกี่ยวกับบทสวดมนต์ หรือว่าคาถาต่างๆ พวกศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายเนี่ย อย่างเช่นคาถาชินบัญชร แบบนี้ครับ ที่ผมเคยได้ยินมาว่าเป็นคาถาที่ศักดิ์สิทธิ์มาก ถ้าเกิดว่าท่องวันละ 9 จบ วันละหลายๆจบเนี่ย จะสามารถเปลี่ยนภพ เปลี่ยนชาติได้เลยอะไรแบบนี้ครับ ก็เลยอยากถามถึงคาถานี้ แล้วก็อีกคำถามนึงเกี่ยวกับการสวดมนต์ของฆราวาสครับ ว่าเราควรจะสวดอะไร แล้วก็สวดไปเพื่ออะไร เรื่องเกี่ยวกับการสวดมนต์
พระพรหมฯ: ความจริงก็ได้ประโยชน์หลายอย่างที่ท่านพูดตามที่เขาเชื่อกัน นี่มันก็มีหลักเอื้อให้ เช่นที่เชื่อกันขนาดที่ว่า ถ้าสวดมนต์อย่างนี้แล้วเป็นหลักประกันว่าไม่ไปสู่ภพที่ต่ำอย่างนี้ มันก็มีแง่ มีมุม เหมือนอย่างที่ญี่ปุ่นเขาเชื่อญี่ปุ่น แต่ที่นี้ว่าเราดูว่ามันมีแง่ดี แต่มันมีแง่เสีย แล้วเราจะหลีกแง่เสียยังไง ญี่ปุ่นเขามีนิกายเยอะใช่ไหม เคยเล่าแล้วว่าเวลานี้เขามีกว่า 200 นิกาย นิกายใหญ่ก็ห้า แล้วนิกายเหล่านี้มันต่างกันลิบลับเลย อย่างนิกายเซนนี่ เน้นเรื่องสมาธิ ต้องปฎิบัติกันเคร่งครัด มีกิจวัตรในการทำสมาธิกันอย่างเต็มที่เลย แต่ว่าอย่างนิกายบางนิกาย เอานิกายชิน หรือ โจโดชิน แต่ชินนี่หนักกว่าเขา นิกายชินไม่ใช่ชินโตนะ ชินโตนั่นคนละศาสนา แต่ชินนี่เป็นนิกายของพระพุทธศาสนา ต้องแยกให้ถูก นิกายชิน นี่คือ นิกายสุขาวดี ทีนี้สุขาวดีเขามี 2 นิกาย คือนิกายโจโด นิกายสุขาวดี และก็นิกายโจโดชิน เรียกสั้นๆว่าชิน ก็เป็นนิกายสุขาวดีที่เกิดทีหลัง ทีนี้โจโดยังยึดอะไรต่ออะไรอยู่ในพวกวินัยอะไรมากหน่อย แต่พอมาชินนี่เขาไม่มีพระ ไม่มีคฤหัสถ์ คือจะเรียกว่านักบวช หรือไม่เรียกว่านักบวชก็แล้วแต่ของเขาหนะ จะเรียกแต่เป็นผู้ทำพิธีก็ได้ นิกายชินเนี่ย ผู้ที่เราเรียกว่าเป็นนักบวช เป็นพระก็แล้วแต่เนี่ย เป็นสังฆราชก็แล้วแต่เนี่ย ก็แต่งเป็นชุดคฤหัสถ์ หวีผมแปล้ใส่ชุดสากล มีครอบครัวเต็มที่ ตอนผมไปเยี่ยมเมื่อปี 2511 ก็มีผู้หญิงสาวมาต้อนรับ สังฆราชก็ต้อนรับเราแล้วก็มีผู้หญิงเอาชามาต้อนรับ สังฆราชก็แนะนำว่านี่ลูกสาวผมนะ เนี่ยคือสังฆราชนิกายชิน เนี่ยนิกายชินเขาเป็นอย่างนี้ คือเขาถือว่าไม่มีพระ ไม่มีคฤหัสถ์ หรือไม่มีพระ ไม่มีฆราวาส พระนิกายชินก็ทำธุรกิจ ทำอุตสาหกรรม เป็นเจ้าของโรงงานอุตสาหกรรม เป็นเจ้าของกิจการต่างๆแม้แต่ในประเทศไทย เราไม่รู้หรอกว่าเขาเป็นพระ นอกจากเวลามีพิธีการเช่น การประชุมทางศาสนาใหญ่ๆ เขาก็มีแผ่นปื้นผ้าสีเหลืองมาพาดบ่า นอกนั้นตัวเขาก็แต่งชุดสากล ถ้าเข้าพิธีก็มีเสื้อคลุมสีดำคล้ายๆผ้ามุ้งมาสวมอีกชั้นหนึ่งแล้วก็ประกอบพิธี อย่างนี้เป็นต้น นิกายสุขาวดีเขาก็มีคำสอนที่จะถือว่าง่ายก็ได้ เขาบอกว่า ให้เอ่ยนามพระอมิตตาภะ วันละมากที่สุดได้เป็นพันๆครั้ง ก็ยิ่งดี ตายแล้วจะได้ไปเกิดในแดนสุขาวดี อยู่กับพระอมิตตาภะ พระอมิตตาภะนี่เป็นพระพุทธเจ้าที่สูงสุดของนิกายสุขาวดี เป็นสวรรค์ตะวันตก ทีนี้วิเคราะห์ดูคำสอน เขามีหลักไหม ก็มีอยู่ วันๆหนึ่งก็ออกชื่อ ออกนามได้ศรัทธาต่อพระอมิตตาภะให้มากที่สุดวันละเป็นพันครั้ง ก็คือในเมื่อคุณมีศรัทธาอย่างจริงใจ ทำอะไรไปใจเราก็อยู่กับพระพุทธเจ้า ด้วยศรัทธาพระพุทธเจ้า ใจเราก็ดี เราก็มีความสุข เราก็มีความเบิกบานผ่องใสใช่มั้ย และเราก็ไม่คิดจะทำชั่ว ในแง่หนึ่งมันก็เป็นหลักประกันเหมือนกันว่าจะทำให้ไปดีได้ใช่มั้ย อันนี้ก็เรียกว่าอาศัยศรัทธา ทีนี้เหมือนที่ท่านบอกว่ามาสวดมนต์เนี่ย สวดมนต์บทดีดี หรืออะไรก็ได้ที่เชื่อมั่น แล้วเสร็จแล้วเราก็มีใจศรัทธาต่อพระพุทธเจ้า ใจเราก็ปลาบปลื้ม ใจเราก็อิ่ม ใจเราก็สดชื่นผ่องใส เบิกบาน ก็เป็นใจดี เป็นกุศลได้ใช่มั้ย มันก็เลยทำให้ถ้าเกิดจิตเกิดตายขณะนั้นจิตมันก็ดี จิตก็ไปดีได้ เหมือนกับเป็นหลักประกันมองในแง่หนึ่ง แต่ทีนี้ว่ามองในแง่อื่นละ? เราไม่มองแง่เดียว มองในแง่อื่นก็คือ ก็เลยไม่ต้องมีความเข้าใจอะไรแล้ว อยู่กันนั่นแหละ ไม่ต้องเรียนต้องรู้ต้องศึกษา ได้แต่ด้านศรัทธา ปัญญาไม่เกิด ใช่ไหมฮะ? ความจริงพระพุทธเจ้าให้มีศรัทธาก็เพื่อได้เป็นฐาน จะได้โยงมาว่าคุณจะได้รับฟังคำสอนและจะได้ไปศึกษา ทำให้เกิดปัญญาเข้าใจลึกซึ้งขึ้นไปก็จะก้าวหน้า ถ้าคนอยู่กันแค่ศรัทธาหมด ทีนี้คนที่เขาไม่ได้มีศรัทธามันก็ไม่มีคำสอนอะไรที่จะไปสอน พวกนี้ก็มองพวกนี้ว่างมงายเท่านั้นเอง ไม่มีอะไรเลย ไม่รู้เรื่อง แต่ใจดี ใจดีแต่โง่ว่างั้น เสร็จแล้วผู้อื่นเขาก็ไม่ศรัทธา เขาก็เบียดเบียนเอา เขาก็ทำอะไรต่ออะไรไม่ดี ตัวเองก็อยู่ไม่ได้ ตัวเองต่อไปก็เดือดร้อน ใจมันก็ผ่องใสอยู่ได้ไม่นาน ถ้าอยู่พวกเดียวใช่ไหม พระพุทธเจ้าก็เลยไม่ให้อยู่กับแค่อันเดียว ไม่ใช่ไม่ดี ศรัทธาดี ทำให้จิตมันมั่น ศรัทธามันดีทำให้จิตเป็นสมาธิได้ และก็ทำให้จิตมีอฐิษฐาน มีความมุ่งแน่ว เด็ดเดี่ยวต่อคุณธรรมความดี แต่มันต้องเจริญวัฒนาต่อไป นี่อย่างลัทธินิกายพวกนั้นเขาก็สอนสำหรับสานุศิษย์ที่อยู่สูงขึ้นไป ฉันไม่ได้อยู่แค่นี้หรอก ฉันต้องสอนให้เขาก้าวต่อไปอีก อย่างนี้เป็นต้น ทีนี้เอาละครับ มาพวกเราเนี่ย พวกเราถ้าหากไปอยู่กับเรื่องของมนต์อะไรต่างๆ มันก็ดีอย่างที่ว่า อย่างที่เชื่อจริงๆเชื่อมั่นหนะ จิตมันมีศรัทธามันก็ไม่ไปทำชั่ว แล้วจิตที่อย่างที่บอกไปเมื่อกี้ มีความผ่องใสเป็นจิตที่ดี เป็นกุศล แม้แต่ตายเวลานั้นก็เป็นจิตที่ดี แต่ว่ามันเป็นหลักประกันได้เฉพาะชั่วคราวไม่มั่นคงระยะยาว เกิดไปเจอสถานการณ์อะไรต่อมิอะไร มันไม่มีหลักความเชื่อที่เป็นหลักปัญญาอยู่ มันก็ไปเลย หวั่นไหวง่าย มีคนที่มีความสามารถมาพูดให้เห็นว่าตัวเองเชื่อเนี่ยยังไม่ถูกต้อง หรือไม่เห็นมีปัญญาอะไร หรือว่าถามอะไรก็ตอบไม่ถูก ตัวเองตอบไปก็แกว่ง ตอนนี้จิตมันก็ไม่มั่นคงแล้ว อยู่กับความเบิกบานผ่องใสไม่ได้แล้ว มันก็ไม่เป็นจิตที่เป็นอิสระแท้จริง เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าก็บอกว่าศรัทธานั้นดี แต่ว่าจะเอาศรัทธาอย่างเดียวไม่ได้ ต้องมีปัญญาด้วย แล้วคุณก็พัฒนาไป ศรัทธามันก็ทำให้คุณมาเชื่อตามคำสอน เช่น เมื่อศรัทธาต่อพระพุทธเจ้า ก็ฟังคำสอนของพระองค์ พระองค์ก็จะบอกได้ง่าย บอกให้ประพฤติอะไร พระองค์ก็ให้ประพฤติศีล ไม่เบียดเบียนกัน เป็นต้น ให้ทำความดี ศีลมันก็เจริญได้ เมื่อเจริญศีลแล้วศรัทธามีกำลัง ปฏิบัติติสมาธิ มันก็ง่ายขึ้นเพราะกำลังจิตมันดี มันก็มุ่งแน่วไป ก็ได้หมด ศีลก็ได้ สมาธิก็ได้ แล้วก็เชื่อฟังฉัน ฉันบอกคำสอนอะไร ก็ได้รับไปฟัง แล้วฉันจะได้มีโอกาสที่จะได้คุย แนะนำในเรื่องปัญญาเข้าไป ก็ได้ศีล สมาธิ ปัญญา ทีนี้ว่าฉันเอาธรรมะเหล่านี้นี่มาโยงกันเป็นปัจจัยเอื้อต่อกัน หมายความว่าไม่ให้หยุดอยู่แค่นั้น ก็เป็นอันว่าไม่เปล่าประโยชน์ ได้ประโยชน์มากถ้าไปเทียบกับคนที่ไม่มีหลัก ก็ดีกว่าเยอะแยะเลย และก็อย่างที่ว่าในแง่ของเฉพาะ ไม่มีตัวอื่นเข้ามายุ่งแล้วก็ได้ผลดีได้ อย่างที่บอกว่าทั้งที่สวดมนต์เนี่ย ไม่รู้สักนิดเลยว่าเนื้อความที่สวดเป็นอย่างไร ไม่เข้าใจเนี่ย แต่สวดแล้วใจมันดีด้วยศรัทธาทั้งนั้นแหละ เพราะใจมันศรัทธาว่ามนต์ที่ท่านให้นี้มันแหมมันดีจริงๆ ว่างั้นนะ ใจเชื่อนี่แหละครับใจมันก็ผ่องใส เบิกบาน มีความปลาบปลื้มใจ สวดด้วยความตั้งใจจริง จิตมันเป็นกุศล มันผ่องใสมันแทบจะเป็นสมาธิเลยนะ มันก็ได้ผลนะสิใช่ไหมฮะ ดังนั้นมันก็เป็นหลักประกันในตอนนั้นว่าถ้าตายตอนนั้นแล้วก็ไปดีเลย แต่มันไม่เป็นหลักประกันระยะยาว พอเข้าใจนะฮะท่านกตปุญโย เพราะฉะนั้นเราอย่าไปหยุดแค่นั้น ดีทุกอันแหละ เขาบอกด้วยศรัทธาก็ไปสุคติได้ พูดเฉพาะกรณี ด้วยศีลก็ไปสุคติได้ใช่ไหมฮะ สมาธิก็ไปสุคติสูงขึ้นไปอีก ไปรูปพรหม อรูปพรหมก็ยังได้ ปัญญาก็ไปสุคติได้จนถึงโลกุตระเลยทีนี้ หลุดพ้นไปนิพพานได้เลย ถ้ามาเทียบชั้นกันก็หมายความว่าไปได้ต่างระดับกัน ศีลนี่คุณไปได้แค่นี้ แค่กามสุคติภูมิ สุคติระดับกาม ไปได้แค่นั้นศีล ถ้าสมาธิคุณก็ไปได้สูงขึ้น สุคติเหมืิอนกันแต่ว่าไปขั้นรูปพรหม อรูปพรหม แล้วปัญญาก็ไปถึงอริยภูมิเลย ก็ตกลงว่าดีทั้งนั้น แต่ว่ามันมีขั้นตอนที่เราต้องก้าวต่อไปอีก เพราะฉะนั้นการสวดชินบัญชร ก็สวดด้วยความเชื่อศรัทธา ใจเราก็ผ่องใสเบิกบาน แต่ที่จริงดูในชินบัญชรมีอะไรละ ก็บอกให้พระโมคลานะอยู่ที่นั่น พระสารีบุตรอยู่ที่นั่น อยู่ที่อกบ้าง อยู่ที่ไหล่บ้าง อยู่ที่หน้าผากบ้าง อันนี้ก็เป็นชินบัญชร ก็เหมือนเป็นกรงเป็นรั้วที่กรอบกั้นเราไม่ให้เรามีภัยอันตราย เราก็อยู่ในกรงเนี่ยที่ช่วยกั้นเราจากภัยอันตราย ความก็คือว่ายังหวังให้พระอริยเจ้า พระมหาสาวกทั้งหลายมาให่้คุ้มครองเรา มันก็คล้ายกับศาสนาประเภทที่ยังหวังพึ่งการอ้อนวอน ก็แบบนี้ศาสนาที่เขาพึ่งการอ้อนวอน เขาก็ไม่ไร้ผล เพราะว่ามันก็ช่วยอย่างนี้ จิตก็สบายมีความอุ่นใจ ถูกไหมครับแต่ว่าท่านก็ไม่ได้เจริญไปไหน ท่านก็อยู่ด้วยความเชื่อว่าท่านจะมาช่วย เวลาเรามีภัยอันตรายก็มาช่วยแต่ไม่ต้องใช้ปัญญาใช้ความคิดอะไร ในแง่หนึ่งก็ดีที่ว่าทำให้ใจมีหลัก ใจมั่นคง คนที่ใจมั่นคง มีหลักศรัทธาเนี่ย ในแง่หนึ่งคนที่มีปัญญาไม่ได้ฝึกมาพอในด้านจิต เวลาเกิดสถานการณ์ฉุกเฉินบางทีได้คนที่มีปัญญาเนี่ยแพ้คนมีศรัทธาอีก อ้าวทำไมคนมีศรัทธาถูกหาว่างมงาย แต่เวลาเกิดสถานการณ์ร้ายเขาอาศัยศรัทธาทำให้ใจเขาอยู่ สติก็อยู่ด้วย เมื่อใจอยู่นี่สติมันก็ตั้งได้มันก็ไม่เตลิดเปิดเปิง มันก็เลยเกิดความมั่นคง พอสติมันอยู่ใจไม่เตลิดมันก็เลย ไอ้สติมันอยู่ปัญญามันจะคิดการอะไรต่อไปได้ด้วยเพราะปัญญาตัวที่เป็นแบบโลกียะที่จะดำเนินชีวิตมันมีอยู่แล้ว มันเคยใช้อยู่ ทีนี้สถานการณ์รุนแรงอย่างนี้คนที่ไม่เคยได้ฝึกไว้ และก็ไม่มีอะไรเป็นหลักยึดใจแม้จะมีปัญญาอยู่บ้างพอสมควรแต่ไปสติเตลิดเสียนี่ ใช่ไหม เป็นคนที่ไม่มีหลักยึดมั่นเลยพอเกิดสถานการณ์ร้ายนี่ ใจเตลิดเปิดเปิงไปเลย พอใจเตลิดไปแล้วทีนี้เสียขวัญ เสียหมดทุกอย่างเลย ตั้งหลักไม่ได้เลย ทำอะไรผิดหมดเลย เลยกลายเป็นเกิดภัยพิบัติอันตรายใหญ่หลวงไปแพ้คนที่มีศรัทธาที่หาว่าเขางมงายอีกใช่ไหม เพราะฉะนั้นไอ้นี่มันอยู่ที่ตัวปัจจัยนั้นในสถานการณ์นั้น เราจะต้องเข้าใจ คนที่มีปัญญาก็อย่าไปประมาท ประมาทไม่ได้เหมือนกันตัวเองในแง่หนึ่งนี่ก็แพ้เขานะ ท่านก็บอกแล้วนะคุณมีปัญญามากแต่ศรัทธาอ่อนเนี่ย คนมีปัญญาอ่อนศรัทธานี่บางทีจับจด ปัญญาจับจดคือคล้ายๆว่าชวนให้ประมาท ชวนให้ประมาทหมายความว่า บางทีนั่นก็รู้ นี่ก็รู้แต่ว่ายังไม่รู้จริงและก็ไม่จับให้มั่นก็เลยกลายเป็นคนคว้างด้วยซ้ำ ทีนี้ศรัทธามันทำให้จับจุดแน่วลงไป ท่านก็เลยให้มีศรัทธามาดุลกับปัญญาเพื่อจะให้ปัญญามันมีจุดจับ ว่าเราจะเอาอย่างไรแน่เพราะคนที่มีศรัทธาที่เอื้อต่อปัญญาก็เช่นว่าเขาต้องการรู้เรื่องอะไร เขาไปหาแหล่งที่จะให้ปัญญาเขาในเรื่องนี้ แล้วก็ไปเจอแหล่งนี้ เช่น เอาว่าเป็นบุคคล เอ้อ คนนี้นี่เท่าที่เราฟังนี่เรื่องนี้รู้จริง ใช่ไหม รู้จริงแล้วก็เกิดศรัทธา เกิดศรัทธาก็เอาว่าจะต้องหาความรู้กับท่านผู้นี้ หรืออาศัยเป็นแหล่งความรู้อย่างน้อยก็ให้ก้าวไปอีกขั้นหนึ่ง มันก็ได้หลักได้แนวทางที่จะเดินหน้าได้ดี ก็เลยทำให้ก้าวไปได้ด้วยดีไม่เหมือนคนที่เคว้งคว้างจับอะไรก็ไม่ได้ ก็ได้แต่ว่าอยากรู้อยากอะไรไปเรื่อยๆ ที่พระพุทธเจ้าทรงสอนให้มีศรัทธาไว้ ก็เพราะคนจำนวนมากเนี่ยเมื่ออยากมาฟังพระพุทธเจ้าแล้ว ก็คือได้เห็นว่าพระองค์เนี่ยเท่าที่เราดู เท่าที่เราฟัง ทุกอย่างที่พระองค์พูดนี่เป็นเหตุ เป็นผล เป็นจริงหมดเลย ฉะนั้นก็น่าเชื่อถือว่าพระองค์มีอะไรน่าเชื่อถือให้เรารู้อีกเยอะ ก็เลยสนใจที่จะมาฟังพระองค์ต่อ ใช่ไหมฮะอันนี้คือศรัทธา ศรัทธาเป็นตัวเชื่อมแต่ไม่ใช่เชื่อมให้หยุดอยู่กับพระพุทธเจ้าว่าพระองค์สอนยังไงก็ต้องเชื่อ แต่พระองค์บอกแล้วว่าฟังเราแล้วให้พิจารณาด้วยนะ เกิดปัญญาตัวเธอเองเพราะฉันให้ปัญญาเธอไม่ได้ แต่ฉันบอกให้เธอให้คำแนะนำเป็นต้น ให้ประสบการณ์ที่ฉันมีมาแล้วคุณไปพิจารณาดู นี่มันก็เป็นตัวเชื่อมว่าพระองค์จะเป็นแหล่งที่จะให้ประสบการณ์สิ่งที่พระองค์ผ่านมาแล้วบอกเขา แล้วมีความสามารถในการบอกการแนะนำ ในการชี้ช่องทาง ในการนำไปปฏิบัติ ในการฝึกด้วย ก็เลยได้ผลขึ้นเขามีศรัทธาในเรื่องนี้แล้วก็อาศัยพระองค์ เขาก็ก้าวไปในปัญญาของเขา นี่ก็คือเรื่องที่ทำให้ก้าวหน้าไป พอได้ศรัทธาอย่างนี้ก็ทำให้คนสามารถไปได้เยอะเลย ในเมื่อไปเจอแหล่งที่รู้จริงอย่างพระพุทธเจ้าก็ไปได้ตลอดกระบวนเลย คนที่ปัญญาจริงแต่ไม่เจอแหล่งศรัทธา อันนี้ก็คว้างอยู่อย่างนั้นแหละ หาตัวก้าวต่อจากที่ตัวรู้ไม่ได้ก็เลยตันอีกเหมือนกัน เพราะฉะนั้นศรัทธากับปัญญามันก็เอื้อกัน