แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ไฟล์ถอดเสียงนี้ยังไม่ได้ผ่านพิสูจน์อักษร นำขึ้นมาเพื่อช่วยในการศึกษาค้นคว้าของผู้สนใจ
พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต) : ขอเจริญพรโยมญาติมิตรสาธุชนทุกท่าน ขออนุโมทนาที่ท่านทั้งหลายได้มาร่วมพิธีวันวิสาขบูชา ซึ่งหลายท่านมาตั้งแต่เช้า บางท่านมาช่วงเช้า แล้วก็อยู่ทำบุญเลี้ยงพระบ้าง ตักบาตรบ้าง แล้วก็มีธุระก็ต้องกลับไปก่อน บางท่านก็อยู่ตลอกมาจนกระทั่งเย็น จนกระทั่งจะได้เวียนเทียบด้วยกัน ก็ถือว่าได้มีจิตใจร่วมกันเป็นจิตสามัคคี แล้วก็ทำให้เรามีกายสามัคคี มีกายพร้อมเพรียงกัน มาร่วมประชุมกัน โดยกำหนดเอาการเวียนเทียนเป็นเครื่องนัดหมาย เมื่อเราตกลงจะเวียนเทียนกันก็คือเราจะได้ทำบุญต่างๆ หลายอย่าง รวมทั้งการฟังธรรมนี้ด้วย ถ้าพูดสรุปก็คือจะได้บำเพ็ญทาน ศีล ภาวนา แต่ว่าแม้จะเป็นทาน ศีล ภาวนา ที่เริ่มด้วยทาน การให้ แต่ว่าทั้งหมดมาจากใจก่อน ก็คือจิตใจของญาติโยมทั้งหลาย มีศรัทธาเป็นใจที่เป็นบุญเป็นกุศล ผ่องใส แช่มชื่น มีความเอิบอิ่มใจ แล้วก็มีความสุข มาด้วยใจอย่างนี้เป็นบุญเป็นกุศลตั้งแต่ต้นแล้ว แล้วก็มาทำบุญ ออกมาทางกาย วาจา อีก ให้ครบ ทาน ศีล ภาวนา ทีนี้วันนี้เป็นวันที่เราจะทำบูชาใหญ่ การเวียนเทียนประจำปีวันวิสาขบูชาถวาย เป็นการบูชาแด่พระรัตนตรัย โดยเฉพาะก็เป็นวันที่ถือว่าเป็นวันพระพุทธเจ้า คือวันประสูติ ตรัสรู้ นิพพาน ก็เจาะจงพิเศษว่ารำลึกถึงพระพุทธเจ้า พร้อมทั้งพระคุณของพระองค์ แล้วความหมายของวันวิสาขบูชา แล้วเราก็มาทำพิธีเวียนเทียนกัน แต่สำหรับวันนี้ เป็นโอกาสมีเรื่องพิเศษเพิ่มเข้ามาอีกอย่างหนึ่งก็คือ อยากจะขอโอกาสโยมญาติมิตรทั้งหลาย ว่าก่อนจะทำพิธีเวียนเทียน
วิสาขบูชา แล้วก่อนที่อาตมาภาพจะกล่าวธรรมกถา ก็มีเรื่องที่จะแจ้งญาติโยมทราบ โดยเฉพาะโยมญาติมิตรที่เป็นผู้ศรัทธามาวัดอยู่เสมอ ก็คือว่าตอนนี้ก็มีเหตุการณ์สืบเนื่องว่าหลังจากวันวิสาขบูชานี้ไปไม่กี่วัน ก็จะมีการเดินทางไปปฏิบัติศาสนกิจในต่างประเทศ ทีนี้การไปปฏิบัติศาสนกิจต่างประเทศก็เป็นของพระภิกษุที่ท่านเป็นชาวต่างประเทศอยู่แล้ว ก็คือว่าหลังวันวิสาขบูชานี้แล้ว พระอาจารย์สุรีโย คือพระภิกษุพระเถระที่นั่งอยู่อันดับที่สี่ต่อจากนี้ไป ซึ่งโยมเห็นก็รู้ชัดทันทีว่าเป็นพระฝรั่ง เรียกกันง่ายๆ พระฝรั่ง ทีนี้ว่าท่านได้มาจำพรรษาอยู่ที่นี่ก็ปีเศษแล้ว แต่ว่าเดิมแท้ท่านเป็นพระวัดป่านานาชาติ ก็จำพรรษา อุปสมบทมาได้ 13 พรรษา ก็เป็นพระเถระแล้ว แล้วก็มาจำพรรษาที่นี่ ทีนี้วัดป่านานาชาติก็อยู่ที่อุบลราชธานี ก็เป็นวัดทางสายของหลวงพ่อชา ที่วัดหนองป่าพง ทีนี้ทางวัดหนองป่าพ วัดป่านานาชาติ ก็ได้ไปตั้งวัดขึ้นในต่างประเทศ ที่ประเทศอังกฤษ อเมริกา เป็นต้น ตอนนี้ที่อังกฤษก็มีหลายวัดอยู่ อาตมาก็จำไม่ได้ว่ากี่วัด แล้วมาช่วงนี้พอดีมีวัดหนึ่งขาดเจ้าอาวาส ทีนี้ทางสายวัดป่านานาชาติก็ตกลงกันมอบหมายพระอาจารย์สุรีโยรูปที่สี่เนี่ย ขอให้ท่านไปเป็นเจ้าอาวาส ที่วัดที่เดวอน อังกฤษภาคใต้ วันเหมือนจะชื่อHartridge Buddhist Monastery ก็เป็นวัดทางพุทธศาสนาที่สายหลวงพ่อชานี่แหละ ทีนี้ในโอกาสที่ท่านจะเดินทางก็ถือเป็นเรื่องสำคัญ ในแง่หนึ่งก็เป็นเหตุการณ์ของวัด แต่ว่าถ้ามองกว้างออกไปก็เป็นเหตุการณ์พระศาสนาด้วย ก็เห็นความคืบหน้าความเป็นไปของกิจการพระศาสนาที่ว่ามีการเผยแผ่พุทธศาสนาในต่างประเทศ นี่ก็เป็นพุทธศาสนาในประเทศอังกฤษ หรือประเทศตะวันตก เมื่อท่านจะเดินทางไปอย่างนี้ก็เลยถือโอกาสว่าขอให้ท่านพระอาจารย์สุรีโยได้กล่าวให้คติแก่โยมญาติมิตรทั้งหลาย เพราะว่าท่านเป็นชาวเมืองตะวันตก เดิมก็ไกลจากพระพุทธศาสนา ท่านยังเข้ามาสู่พุทธศาสนา ถึงกับอุปสมบทเป็นพระภิกษุ เดินทางมาถึงเมืองไทย แล้วท่านมาแล้วเห็นพุทธศาสนิกชน แล้วท่านคิดยังไง ท่านรู้สึกยังไง มีอะไรที่ท่านจะให้เป็นแง่คิดแก่ญาติโยม ก็เลยจะขอโอกาสอาราธนาท่านได้กล่าว ก็นิมนต์ท่านได้กล่าวตามปรารถนา ถวายเวลาทั้งหมดก็ได้ ก็แล้วแต่ท่านจะเห็นสมควร ก็ขอนิมนต์พระอาจารย์สุรีโยได้กล่าวแก่ญาติโยมในโอกาสนี้ ก่อนที่จะเดินทางไปสู่ประเทศอังกฤษ
พระอาจารย์สุรีโย : ตอนแรกอยากจะกล่าวคำขอบคุณกับหลวงพ่อ ท่านเจ้าคุณธรรมปิฎก เพราะท่านได้มีเมตตาให้อาตมามาอยู่
วัดญาณเวศกวัน แม้แต่ได้มาประมาณ 18 เดือนที่แล้ว ก็มากับอาจารย์ชัยอสโร ได้ขอมาอยู่ ไม่ได้เขียนจดหมาย มาพูดคุยกับท่านเจ้าคุณก่อน เพื่อจะขออนุญาต มาวันหนึ่ง ก็บอกถ้าเป็นไปได้อยากมาอยู่ที่วัดนี้เป็นระยะหนึ่ง แล้วก็ได้ถามว่าท่านมีห้องว่าง ท่านก็ไม่ได้คัดค้าน ท่านว่ามีห้องให้พัก แล้วท่านได้ถามถึงจุดประสงค์ที่อาตมาอยากจะศึกษาอะไร ท่านเจ้าคุณเองอาจจะไม่สามารถทำหน้าที่เป็นครูสอนทุกวันๆ ต้องสนใจศึกษาเอง ต้องเอาใจใส่ในเรื่องหนึ่งที่เกี่ยวกับการศึกษาพุทธศาสนา ก็เลบรู้สึก ถ้าเป็นภาษาอังกฤษก็ I feel honored ไม่รู้จะแปลได้อย่างไร ภาษาไทยก็รู้สึกเหมือนกับได้เกียรติที่ท่านเจ้าคุณให้อาตมามาอยู่ด้วย แล้วก็ได้รู้จักชื่อของท่านเจ้าคุณนานมาแล้ว เพราะด้วยบังเอิญมหาวิทยาลัยที่อาตมาได้เรียนหนังสือปริญญาโทอยู่ที่สหรัฐฯ มหาวิทยาลัยวอสมอล ที่ใกล้ๆ เมืองฟิลาเดเฟีย โดยบังเอิญท่านเจ้าคุณเคยอยู่ 1 ปี แต่ก่อนอาตมาเป็นนักศึกษาเคยได้ยินชื่อของท่าน แล้วก็มีอาจารย์??? ที่มหาวิทยลัยนั้น สอนเฉพาะเรื่องของพุทธศาสนา แล้วก็ท่านสนใจคำสอนของท่าพุทธทาส ในจังหวะที่อยู่ในเมืองไทยได้มีศรัทธาเกิดขึ้นตอนศึกษามัธยมศึกษาที่สหรัฐฯแล้ว ได้ตัดสินใจจะไปดูวัดที่อังกฤษ เพราะเคยได้พบกับพระชื่อท่านเจ้าคุณสุเมโธ อาจารย์สุเมโธ เป็นพระฝรั่งองค์หนึ่ง เป็นพระฝรั่งที่เป็นลูกศิษย์ของอาจารย์ชา บวชมาประมาณ 30 กว่าปีแล้ว ตอนนี้ท่านไปตั้งวัดที่อังกฤษ ท่านอยู่อังกฤษประมาณ 20 ปี เลยอาตมาได้มีโอกาสพบกับท่านที่อเมริกา ตอนท่านไปสอนเป็น??? เป็นการอบรมพวกฆราวาสที่อเมริกา แล้วก็ได้มีความสนใจไปดูวัด ก็ไปอังกฤษไปดูวัด เป็นความประทับใจจึงขอไปบวชด้วย ที่อังกฤษก็อยู่ 2 ปี เป็นนาคก่อน คือไม่เหมือนประเทศไทย ที่อยากจะบวชได้ทันที เข้ามาวัด มาศึกษา บวช กฏของอุปสมบถคือบวชพระ แล้วก็บวชทันที ที่โน่นต้องผ่านการสอบก่อน อาจารย์จะต้องดูก่อน ใครไม่จริงใจจะบวช ใครจริงใจจะบวชเป็นพระ แล้วอาตมาก็ได้ผ่านการทดสอบอันนี้ อาจารย์ได้อนุญาตบวชเป็นพระ ประมาณ 13 ปีที่แล้ว แล้วได้อยู่ที่อังกฤา 7 ปี อีก 3 พรรษา ที่เรียกว่าช่วงนวะ การเป็นพระใหม่ อยู่ที่วัดที่อังกฤษ เป็นวัดของหลวงพ่อชา มีวัด 4 แห่ง อาตมาได้อยู่ในวัดชื่อ อมราวดี กับ ??? ที่อังกฤษ พอบวช 5 พรรษา เสร็จแล้วจะเข้าในช่วงที่เรียกว่า มัชฌิมะ คือผ่าน เป็นพระนวะเสร็จแล้ว ในวินัยก็บอกว่า ถ้ามีความรู้เพียงพอ ก็ออกไปมีอิสระจะตัดสินใจจะไปอยู่ที่ไหน ตอนอาตมาอยู่อังกฤษเคยได้ยินเรื่องราวของประเทศไทยหลายเรื่อง เพราะรุ่นอาจารย์เคยอยู่ในเมืองไทย เลยเคยได้ยินเรื่องของการอยู่ในป่า การอยู่กับสัตว์ป่านั้น อยู่แบบในประเทศไทยที่ส่วนมากเป็นชาวพุทธอยู่ เลยสนใจ ถ้าจะอยู่เป็นพระที่อังกฤษก็เหมือนกับอยู่เป็นนกตามทะเล คือมีแต่เกาะต่างๆ ที่จะไปอยู่อาศัยได้ ต้องบินจากเกาะหนึ่ง ไปที่อีกเกาะหนึ่ง เป็นวัดเล็กๆ แล้วก็มีชาวพุทธมาทำบุญ แต่พอเข้าไปในเมือง ไปเดินตามหมู่บ้านอะไรก็คนไม่ค่อยรู้ พระคืออะไร แม้แต่ศาสนาก็ไม่รู้ เป็นจากศาสนาไหน อาจจะนึกว่าเป็นศาสนาชาวฮินดู แล้วเห็นถือบาตร ถ้าฝาบาตรอยู่ก็อาจจะนึกว่าเป็นกล่องมาเล่นดนตรีตามถนน ไม่รู้มาบิณฑบาต ทุกอย่างก็คล้ายๆ กับเป็นเรื่องใหม่สำหรับคนอังกฤษ แต่เข้ามาอยู่ในเมืองไทยก็รู้สึกเหมือนกับว่าอยู่เป็นปลาในทะเล คือไปที่ไหนคนไทยก็รู้ พระคืออะไร พระมีการปฏิบัติอย่างไร มีหน้าที่เป็นอะไร ไปที่ไหนก็มีแต่คนรู้จัก แล้วคอยยกมือไหว้ เลยได้ขอจากอาจารย์จะมาอยู่ในเมืองไทย ต่อไปต่อมาได้รับอนุญาต ตอนแรกก็พูดภาษาไทยไม่ได้เลย ก็มีแต่บางคำเหมือนกับ ห้องน้ำอยู่ที่ไหน สวัสดี อะไรเท่านี้ งูๆ ปลาๆ เลยต้องอาศัยอยู่ที่วัดนานาชาติก่อน ไปที่นั่น เจ้าอาวาสสมัยนั้นเป็นแคนาดา แล้วก็พูดคุยใช้ภาษาอังกฤษ ที่อุบลฯ พอได้อยู่ที่วัดนานาชาติประมาณ 5 เดือน มีความรู้สึกอยากไปเดินธุดงค์ มันเหมือนกับอยากคล้ายๆ กับอยากจะดูเดินธุดงค์เป็นยังไง จะไหวไหม ก็เกิดความสนใจ เลยได้ขอ ได้ลาอาจารย์ แล้วก็เดินธุดงค์ เริ่มจากเมืองกาญจนบุรี มีกลด
มีบาตร แล้วก็นอนตามสวนตามป่าไม้ต่างๆ ได้เดินธุดงค์ประมาณ 3 ปี ช่วงเข้าพรรษาก็หยุด ออกพรรษาก็เดินต่อ เข้าไปจังหวัดประมาณ 20 จังหวัด ไปดูทุกภาคของเมืองไทย มีความสนใจอยากจะรู้คนไทยมีความเป็นอยู่อย่างไร แล้วศาสนาพุทธเจริญแค่ไหน บางครั้งก็ไม่ได้ปักกลด บางครั้งก็ไปอาศัยวัดเฉพาะฝนตกอย่างนี้ บางครั้งก็ไม่อยากอยู่ในกลด มันเปียก เลยขอเข้าไปในหมู่บ้าน ขออยู่กับพระที่วัดบ้าง แล้วก็ได้กลับไป หลังจากเดินธุดงค์ประมาณ 3 ปี ก็ไปอยู่อุลบฯ ไปอยู่ที่สาขาของวัดป่านานาชาติ ที่อำเภอโขงเจียม อยู่ในอุทยานชื่อ ภูจ้อมก้อม แล้วก็ต้องฝึกภาษาอีสานอีก ก็รู้สึกปวดหัวนิดหน่อย เริ่มจะมีความก้าวหน้าในภาษาไทย แล้วก็ต้องศึกษาภาษาอีก สำเนียง แล้วก็คล้ายๆ กับ ถ้าโยมเคยไปเยอรมันนี ถ้าไปสวิตเซอร์แลนด์ เขาก็เรียกว่าเป็นเยอรมัน แต่อยู่เยอรมันก็ฟังไม่รู้เรื่องที่สวิตเซอร์แลนด์ คล้ายๆ กัน มันคล้ายจะเป็นอีกภาษาหนึ่ง แต่ก็ชาวบ้าน แล้วเฉพาะพวกเด็กในหมู่บ้าน เขาก็สอนภาษาให้ แล้วอาตมาก็ได้อยู่ที่วัดที่อังกฤษ ความหมายของนิกาย มหานิกาย หรือธรรมยุต ก็ไม่ค่อยมีความหมาย พระที่นั่นก็รู้สึกว่าบวชเป็นพระ ก็เป็นพระในศาสนาพุทธก็แล้วกัน แต่ก็จะดูในประเทศไทย ประเทศศรีลังกา ประเทศพม่า อาจจะเป็นคล้ายๆเป็นเรื่องธรรมดาของมนุษย์ที่จะแยกเป็นฝ่ายเป็นกลุ่ม เมืองไทยก็ยังโชคดีมีแต่ 2 นิกาย มหานิกาย หรือธรรมยุต ที่พม่ามี 5-6 นิกาย ศรีลังกาจะเป็น 10 กว่านิกาย แล้วก็ไม่ค่อยยอมลงปาฏิโมกข์ ยอมสังฆกรรมกัน เช่นว่า ฝ่ายตัวเองถูก ฝ่ายอื่นก็คือเป็นอะไรที่ผิด แต่ก็ที่อังกฤษก็ไม่ค่อยมีความหมาย บางครั้งใช้อยู่ในเมืองไทย คนในอาจจะเห็นว่ามีพระวัดป่า มีพระที่อยู่ในเมือง เพราะป่าก็นำสมาธิโยม กับเจริญแบบกรรมฐาน แล้วพระในเมืองจะอ่านหนังสือภาษาบาลีอย่างนี้ เป็นการแยก 2 ฝ่ายที่อาจจะมีความหมายในด้านหนึ่ง แต่ในความหมายคือเป็นพระ จะดูแบบคำสอนของพระพุทธเจ้า ความหมายก็ทดลอง จริงๆ ก็การเป็นชาวพุทธก็มีที่เป็นตามลำดับ ก็ตามลำดับ ดูเป็นขั้นเป็นตอน เป็นลำดับไป แต่ที่เรียนว่า ปริยัติ ปริธรรม แล้วก็ ปฏิเวธ คือการที่ตอนแรกต้องรู้ๆ ว่าพระพุทธเจ้าสอนอะไรบ้าง รู้แล้วก็พยายามเอาไปใช้ เอาไปประยุกต์ใช้ ไปใช้เป็นประโยชน์ในชีวิตประจำวัน คือชาวพุทธเราทุกๆ คนต้องทำเป็นลำดับนี้ ไม่มีใครที่จะเริ่มกับการปฏิบัติ โดยไม่ได้ผ่านการปริยัติ การเรียนรู้ แล้วอาตมาเองก็มาจากครอบครัวทั้งพ่อทั้งแม่ทั้งตา แบบญาติพี่น้องหลายคนเป็นอาจารย์ที่มหาวิทยาลัย มันคล้ายว่าอยู่ในสายเลือดที่เป็น??? ที่แบบอยากรู้ อยากอ่านหนังสือ อยากสะสมความรู้ บางครั้งอยู่ในวัดป่าอาจารย์ก็บอกว่าไม่ควรอ่านหนังสือ ก็เอาหนังสือออก อาตมาก็เคยทำประมาณ 5 พรรษา แต่รู้สึกเหมือนกับสมองมันจะเริ่มจะนอนหลับ มันเหมือนกับกล้ามเนื้อที่ไม่ทำงาน ในตอนนี้ก็รู้สึกเป็นสิ่งที่สามารถจะกลมกลืนกันได้ คือรู้สึกว่าศึกษาเป็นวิธีหนึ่งที่จะสร้างความฉันทะ ความสนใจธรรมะ ทำให้เกิดความเพียร แล้วเห็นว่าเป็นเรื่องจริตนิสัยของทุกคน ต้องรู้ตัวเอง อะไรที่เหมาะสมกับการปฏิบัติ แล้วตอนเข้ามาเมืองไทยแรกๆ ก็ได้มีโอกาสฟังท่านเจ้าคุณเทศน์ที่วัดป่านานาชาติ คือไปที่อุบลฯ จำไม่ได้กี่วัน 3-4 วัน แล้วได้มีโอกาสฟังเทศน์ของท่าน ก็ได้มีความแจ่มชัดที่ท่านพูดถึงเรื่องความสุขแล้วก็ความทุกข์ บางครั้งชาวพุทธ คนที่มองศาสนาพุทธ ว่าชาวพุทธเห็นทุกอย่างในแง่ที่ไม่ดี เห็นแต่ความทุกข์เท่านั้น แต่ท่านเจ้าคุณได้อธิบาย ที่จริงก็ชาวพุทธเราปฏิบัติเพื่อจะหาความสุข ไม่ใช่เพื่อจะหาความทุกข์ คือความทุกข์เป็นสิ่งที่ต้องรู้จัก ว่าเป็นสิ่งที่ทุกคนเรามีอยู่บ้าง ต้องประสบกับความทุกข์บ้าง แต่ที่จริงถ้ารู้ความทุกข์ชัดเจน มีอะไรมาแทน คือความสุขมาแทนในใจ เพราะไม่ยึดในสิ่งที่ไม่ควรยึด ไม่สร้างปัญหาเพิ่ม แล้วชีวิตจะเบาลง จะรู้สึกเย็นลง เป็นความสุข เป็นทางที่ไปในทางความสุข ตอนนั้นที่ฟังท่านเจ้าคุณพูด ประมาณ 7 ปีที่แล้ว 8 ปีที่แล้ว ก็คล้ายๆ กับปลื้มใจ หรือมีปิติที่ได้ฟังหลวงพ่อพูด ถึงกับน้ำตาไหล รู้สึกว่าท่านเจ้าคุณไม่ได้เทศน์เฉพาะจากหนังสือจากความจำ แต่ได้พูดจากประสบการณ์ของท่าน ท่านได้พบกับความสุขในตัวเองอยู่แล้ว อาตมารู้สึกท่านอธิบายให้ชัดเจน แล้วก็ด้วยใจเมตตา ตอนนั้นอาตมาประทับใจ ได้อธิษฐานถ้ามีโอกาสอยากจะมีโอกาสอยู่กับท่านเจ้าคุณด้วย ได้รู้สึกว่าเป็นโชคดีที่ได้มีโอกาสจริงๆ มาอยู่ในวัดญาณเวศกวัน ปีกว่า ก็เหมือนกับทุกๆ คน ก็ประทับใจมาก ในปัญญาบารมีของท่านเจ้าคุณ คือได้ยินว่าท่านได้รับชื่อท่านเจ้าคุณพระธรรมปิฎก เหมือนกับธรรมปิฎกก็อยู่ในใจของท่าน อาตมาเคยถามเรื่องต่างๆ ถึงชื่อคนในพระไตรปิฎก แล้วก็ไม่ต้องไปหาในหนังสือ มันมาจากความจำของท่าน เหมือนกับ photographic memory อาตมารู้สึกว่าในชาตินี้อาตมาไม่มีสิทธิ์มี photographic memory ในชาติหน้าอาจจะมีถ้าสร้างบารมีให้ดี ก็รู้สึกว่าถ้าอาตมาจะเป็นเจ้าคุณในอนาคตก็อาจจะตั้งชื่อเป็นท่านเจ้าคุณธรรมบท เพราะจำแค่บทหนึ่งๆ จำทั้งปิฎกไม่ได้ ตอนนี้ได้รับนิมนต์กลับไปอังกฤษ ไปจำพรรษาที่วัดเดว่อน ซึ่งเป็นสาขาแห่งหนึ่งของวัดใหญ่วัดอมราวดี ที่อังกฤษ เป็นวัดเล็กๆ ที่จริงจะเรียกว่าเจ้าอาวาสก็คงไม่ถูก เจ้าสำนัก จะมีพระแค่ 2 รูปเท่านั้น แล้วก็สามเณร ผ้าขาวอีกคนหนึ่ง แต่ก็ยินดีที่จะมีโอกาสในความสัมพันธ์ท่านเจ้าคุณได้ต่อ ที่ตอนนี้ก็พยายามช่วยในหน้าที่การแปลหนังสือพุทธธรรมให้แปลเป็นอังกฤษ ภาษาอังกฤษ งานนี้รู้สึกว่ามันค้างอยู่หลายปี 6-7 ปี ตั้งแต่อาจารย์บรูซไปทำ แต่มันยังไม่สำเร็จ ยังไม่พร้อมที่จะพิมพ์เป็นหนังสือ เลยรู้สึกดีใจที่จะมีโอกาสอาจจะต้องผ่านอินเทอร์เนต ผ่านอีเมล โดยได้ความกรุณาจากท่านครรชิตช่วยด้วย เป็นสื่อช่วยติดต่อกับท่านเจ้าคุณ ถามเรื่องราวต่างๆ ที่ยังสงสัยในงานการแปลพุทธธรรม ไม่รู้จะแปลให้เสร็จได้ เพราะรู้สึกว่าจะเป็นงานที่จะใช้ประมาณ 10 ปีกว่าจะเสร็จ แล้วรู้สึกว่าๆ ไม่อยากดูอนาคตไกลเกินไป จะรู้สึกตกใจ งานใหญ่เกินไป แต่ทำทีละนิดทีละน้อยก็รู้สึกยังเป็นประโยชน์อยู่ ในวันนี้ก็อยากบอกอนุโมทนากับญาติโยมที่ได้สนับสนุน ที่มาวัดบ่อยแล้วก็ทำบุญ ถ้าญาติโยมไม่ศรัทธาพระ ไม่ช่วยเหลือพระ พระก็หมด ไม่มีสิทธิ์ที่จะดูแลตัวเอง หาอาหารมา เพาะปลูกอาหารเอง อย่างนี้คือต้องอาศัยศรัทธาของญาติโยม เลยอยากอนุโมทนาด้วย รู้สึกปลื้มใจที่เห็นคนไทยยังเข้าวัดกัน โดยเฉพาะวันสำคัญ วันวิสาขบูชาวันนี้ คิดว่าพอสมควร จะยุติเพียงแค่นี้
พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต) : ขออนุโมทนาพระอาจารย์สุริโย ที่ท่านได้กล่าวกับญาติโยม ท่านก็เล่าทั้งประวัติความเป็นมาของท่าน ในการที่ได้เข้ามาสู่พระพุทธศาสนา แล้วก็จนกระทั่งถึงจะเดินทางไปประเทศอังกฤษ ก็เป็นพระเถระแล้ว ตอนนี้ก็เป็นครูอาจารย์แล้ว ก็ไปเผยแผ่พระศาสนา ก็เป็นเรื่องที่ควรอนุโมทนา แล้วท่านก็อนุโมทนาโยมที่ได้มาถวายปัจจัย 4 ทำให้พระสงฆ์อยู่ได้ อันนี้ก็เป็นเรื่องของการแสดงน้ำใจ ทีนี้ญาติโยมเอง เมื่อท่านเดินทางไปเผยแผ่พระศาสนา ทำงานในต่างประเทศ ก็เหมือนกับว่าได้ร่วมใจไปด้วยว่าเรามีใจร่วมกัน ก็คือศรัทธาในพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ก็มีจิตหวังดีปรารถนาดีที่ว่าส่งใจร่วมไปกับท่านก็คือว่า ส่งใจเผื่อแผ่ไป ตั้งใจขอให้ชาวประเทศอังกฤษหรือชาวตะวันตก ได้รู้เข้าใจพระพุทธศาสนา ได้รับประโยชน์จากธรรมะ ได้มีความสุขกัน ขอให้เรามีความสุขกันทั่วทั้งโลก ก็เป็นการแผ่เมตตาอย่างหนึ่งที่ว่าแผ่พระศาสนา ก็ว่าแผ่เมตตา แผ่จิตใจที่ดีงาม แผ่ปัญญา แผ่ความสุขไปให้ ทีนี้ถ้าเราทำสำเร็จ โลกนี้ก็จะเป็นโลกที่ดีได้ จุดหมายของพุทธศาสนาก็เป็นอย่างนี้ที่ว่าพระสงฆ์ไปทำงานพระศาสนา เราก็จำกันตลอดเวลา อ้างพุทธพจน์ที่ว่า จะ-รัน-ถะ-ภิก-ขะ-เว-จา-ริก-กัง ไปจนกระทั่งถึงว่า พะ-หุ-ชะ-นะ-หิ-ตา-ยะ พะ-หุ-ชะ-นะ-สุข-ขา-ยะ-โก-กำ –นุ-กา-วา-ยะ เป็นคติที่พระจะต้องถือปฏิบัติ หรือเป็นอุดมการณ์อะไรก็ได้ ว่าจะจาริกไป เดี๋ยวนี้ไม่จำเป็นต้องจาริกไปด้วยกายก็ได้ จาริกไปทางอินเทอร์เนต ทางอะไรบ้าง ก็จาริกไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุขแก่พหูชน หรือชนจำนวนมาก ด้วยเห็นแก่ความสุขของชาวโลก ท่านอาจารย์สุริโยท่านเดินทางไปคราวนี้ท่านก็ไปตามคติที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้นี้ เราก็ร่วมใจกัน เราที่ว่าเผยแผ่พระพุทธศาสนาก็คือ ต้องการเผยแผ่ธรรมะ ความดีงาม ความสุขไปให้กับประชาชน ขอให้คนทั้งโลกอยู่ด้วยความดีงาม มีความสุขทั่วกัน วันนี้ท่านก็ได้ย้ำถึงหลักที่ว่าพระพุทธศาสนาหลักการสำคัญก็ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ โยมต้องนึกได้แหละว่า 3 อย่างนี้ก็คือข้อสรุป หรือประมวลใจความของพระพุทธศาสนาในแง่หนึ่งก็ได้ คือเป็นวิธีสรุปคำสอนของพระพุทธเจ้า หลักทั้งหมด ไม่ใช่เฉพาะคำสอน รวมหมด พระพุทธสาสนาทั้งหมดทุกด้าน อยู่ในปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ ทีนี้เราก็ต้องทำให้ครบตามนี้ หลักนี้ใช้ได้ทั่วไป ก็ถึงเล่าเรียนให้รู้ แล้วก็นำมาลงมือทำ ปฏิบัติ แล้วก็บรรลุผลของการปฏิบัตินั้น ก็มี 3 ขั้นตอน หรือ 3 อย่าง ท่านก็ให้คติอันนี้ไว้ ก็คล้ายๆ กับเตือนญาติโยมชาวพุทธเรา วันวิสาขบูชานี้ ก็เป็นวันที่เราต้องการเอาธรรมะของพระพุทธเจ้ามาปฏิบัติ พระพุทธเจ้าก็ตรัสไว้เป็นเรื่องสำคัญ การปฏิบัตินี้ก็คือว่ามองในแง่หนึ่งก็คือว่า สิ่งที่ต้องการหรือผลที่เราอยากจะได้เนี่ย สำเร็จด้วยการทำ ไม่ใช่ว่าหวัง อ้อนวอน รอคอยโชคบันดาล ไม่ใช่อย่างนั้น หลักปฏิบัตินี้ในแง่หนึ่งก็เตือน ในแง่หนึ่งก็ว่าต้องทำนะ เพราะฉะนั้นการเกิดขึ้นของพระพุทธเจ้า ในโอกาสที่เรามาทำพิธีบูชา วิสาขบูชานี้ โยมมาหาหลักนี้ด้วย คือหลักการปฏิบัติ ก็เลยขอโอกาสสรุปสั้นๆ ว่าวันนี้ เดี๋ยวจะเย็ยจะค่ำ พอดีฝนตกไปแล้วหยุด ให้โอกาส ก็เหมือนกับว่าฝนฉวยโอกาสตกซะก่อน ตอนที่กำลังฟังพระอาจารย์สุริโย ได้ชุ่มฉ่ำใจไปด้วย แล้วก็ฝนก็ตกให้เสร็จไปเลย เดี๋ยวโยมจะได้เวียนเทียนได้สะดวก ทีนี้ที่พระพุทธเจ้าประสูติ ก็ขอทวนนิดหนึ่ง ที่มีพุทธดำรัส ตอนนั้นยังไม่ได้เป็นพระพุทธเจ้า เรียกว่าพุทธดำรัสก็ไม่ถูก แต่ว่าพระพุทธเจ้ามาตรัสทีหลังก็ถือเป็นพุทธดำรัสเหมือนกัน คือตรัสย้อนหลังเล่าเรื่อง ว่าตอนที่ประสูติตรัสเปล่ง อะ-สะ-มิ-วา-จา ว่า อะ-โค-หะ-มะ-สะ-มิ-โล-กัส-สะ เป็นต้น แปลว่าเราเป็นผู้เลิศแห่งโลก เป็นพี่ใหญ่ เป็นผู้ประเสริฐแห่งโลก คำเหล่านี้เป็นคำเรียกพระพรหม ถ้าเราโยงเรื่องนี้ถูกก็จะเข้าใจ เพราะว่าพระพุทธเจ้าตรัสคำนี้ขึ้นมาในสภาพแวดล้อมของยุคสมัยนั้นที่คนกำลังถือว่าพระพรหมเป็นผู้ประเสริฐสูงสุด เป็นผู้สร้างโลก บันดาลทุกสิ่งทุกอย่าง พระพุทธเจ้าประสูติขึ้นมา เจ้าชายสิทธัตถะนะไม่ได้หมายถึงพระองค์เองเป็นผู้ประเสริฐเลิศแห่งโลก แต่หมายถึงว่าที่เจ้าชายสิทธัตถะประสูตินั้นเป็นนิมิตแห่งการเกิดขึ้นของพระพุทธเจ้าผู้เป็นเลิศเป็นประเสริฐแห่งโลก ตอนประสูติก็เป็นนิมิตอย่างที่ว่า ก็จะเปลี่ยนวิถีทางของสังคมและความเชื่อทางศาสนา ที่คนไปรอคอยความช่วยเหลือจากพระพรหม แล้วก็ถือว่าพระพรหมสร้างสรรค์บันดาลมา สิ่งสำคัญในศาสนาพราหมณ์คือเรื่องเทพเจ้าสูงสุด พระพรหมเป็นใหญ่สร้างสรรค์บันดาลทุกอย่าง แม้แต่ความรู้ สติปัญญา วิชาการต่างๆ ก็ได้มาจากพระพรหม ต้องผ่านพระเวท คนบางพวกก็มีสิทธิ์เรียน บางพวกไม่มีสิทธิที่จะมีปัญญา บางพวกก็ไม่มีทางหลุดพ้นเพราะว่าไม่มีทางได้ความรู้ ไม่มีทางได้ปัญญา แล้วหน้าที่ของมนุษย์ก็คือต้องไปทำพิธีบูชายัญ บวงสรวงอ้อนวอนเทพเจ้า ขอผลดลบันดาลอันนี้ พระพุทธเจ้าตรัสมาประสูติออกมานี้ก็คือการเปลี่ยนวิถีทางความเชื่อและเปลี่ยนวิถีทางของสังคม ให้เห็นว่ามนุษย์สามารถเป็นผู้ประเสริฐเป็นผู้เลิศได้ ตอนประสูตินี่บอกนิมิตไว้ก่อนแล้ว ต่อมาตอนตรัสรู้ก็คือว่าที่มนุษย์จะประเสริฐเป็นผู้เลิศแห่งโลกนั้น เป็นด้วยอะไร เป็นด้วยรู้ธรรม ว่างั้น ก็หมายความว่าโยงมาหาธรรมแล้ว ตอนประสูตินี่ก็ยังเป็นมนุษย์อยู่ แล้วก็จะสำเร็จประเสริฐก็เลิศด้วย เป็นพุทธะด้วยธรรมะ ด้วยการรู้แจ้งเข้าถึงธรรมะ แล้วด้วยธรรมะแล้วก็ไร้ทุกข์ แต่ทีนี้ว่าต่อมาพระพุทธเจ้าก็ได้ไปประกาศเผยแผ่ให้คนได้รู้ธรรม เข้าถึงธรรม เป็นเช่นเดียวกับพระองค์ แล้วก็ปรินิพพานไป การปรินิพพานก็มีมัชฌิมวาจาที่ตรัสเตือนว่าให้ไม่ประมาท ก็เท่ากับบอกว่า การที่ทั้งหลายจะได้เป็นมนุษย์ผู้ไร้ทุกข์ เป็นผู้ประเสริฐ ได้เข้าถึงธรรมะ ได้ประโยชน์ถึงธรรมะนี้ ก็ต้องไม่ประมาท เราจะต้องเร่งปฏิบัติ เร่งศึกษาบำเพ็ญไตรสิกขา ทำสิ่งที่ควรทำ หรือทำเหตุปัจจัยให้เกิดผลที่ต้องการนั้นด้วยความไม่ประมาท ถ้าประมาทซะอย่างเดียวก็เป็นอันว่าปิดรายการ ไม่สำเร็จ เพราะฉะนั้นการปรินิพพานก็บอกให้ทราบว่า เราจะต้องไม่ประมาท ขวนขวายกระตือรือร้น รักตัวเองในการศึกษาพัฒนาตนเพื่อเข้าสู่ธรรมะ แล้วนำธรรมะมาใช้ประโยชน์ให้ได้ เหมือนกับว่าพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้นี้ ใครไม่รู้ก็นึกว่าพระพุทธเจ้านี่ไม่เอากับพวกเทพเจ้า แต่ว่าพุทธศาสนาไม่ใช่อย่างนั้น พุทธศาสนาไม่ได้ไปลบหลู่ดูหมิ่นแม้แต่เทพเจ้าทั้งหลาย เป็นแต่เพียงว่าขอสำคัญอยู่ 3 จุด หนึ่ง-ก็คือศาสนาพราหมณ์ที่เขาทำมาไม่ถูกต้อง ก็ให้เปลี่ยนซะ อย่าไปถือว่ามนุษย์จะรู้เข้าใจ เกิดปัญญา เข้าถึงความจริง เข้าถึงหลุดพ้นอะไรต่างๆ นี่ จะต้องเป็นไปด้วยอำนาจของเทพเจ้าพระพรหม มนุษย์ก็สามารถพัฒนาตัวเองได้ สร้างปัญญาได้ สอง-ก็คือไม่ยอมรับการที่ว่าพระพรหมเป็นผู้สร้างบันดาลทุกอย่าง จัดสรรมนุษย์เป็นชั้นวรรณะต่างๆ เกิดมาเป็นกษัตริย์ พราหมณ์ แพทย์ ศูทร ยังไง ก็ต้องอยู่อย่างนั้น พระพุทธเจ้าว่ามนุษย์เกิดมาก็เป็นมนุษย์เหมือนกัน มีสถานะ มีสิทธิ์ พัฒนาศักยภาพตนเองขึ้นไป อันนี้ข้อสำคัญอยู่ที่นี่ แล้วสาม-ก็ถือไม่ให้เป็นหน้าที่ของมนุษย์ที่จะไปคอยอ้อนวอนเอาอกเอาใจเทพเจ้า รอผลดลบันดาล ฉะนั้นในทางพุทธศาสนาก็เลยไม่ได้ลบหลู่ดูหมิ่นพวกเทพเจ้าอะไร ให้อยู่ร่วมกันด้วยเมตตา แถมให้เคารพนับถือได้ด้วย แต่ว่าอย่าไปทำ 3 อย่างที่ว่านั้น 3 อย่างนั้นไม่เอา เดี๋ยวนี้เขาพูดกันว่า ไม่เชื่อก็อย่าลบหลู่ เนี่ย ก็มีส่วนถูกแต่ว่าไม่ค่อยได้ประโยชน์ควรจะพูดให้มันได้ประโยชน์กว่านี้ ถ้าพูดตามคติพุทธศาสนา พุทธศาสนาไม่ลบหลู่อยู่แล้ว เทวดา เทพเจ้าอะไรต่างๆ แต่ข้อสำคัญก็คือไม่ลบหลู่แต่อย่ารอความช่วยเหลือ เพราะว่าถ้ารอความช่วยเหลือแล้วตกอยู่ในความประมาท ใช้ไม่ได้ ต้องเร่งรัดทำ นี่ละคือปฏิบัติ คือทำเหตุ ผลเกิดจากเหตุ เพราะฉะนั้นที่ท่านพระอาจารย์สุริโยมาพูดหลักปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวท เนี่ย เราก็มาเน้นในเรื่องปฏิบัตินี้ด้วย ในแง่นี้ในแง่หนึ่งก็คือว่าต้องลงมือทำ อย่ารอผลดลบันดาล คนไทยเรานี่พอไปนับถือเทวดาอะไรต่างๆ ก็เลยไปรอผลดลบันดาล คอยให้ท่านช่วย ก็เลยไม่ต้องทำกัน พุทธศาสนานี้สอนให้ทำ ความเพียร เป็นศาสนาแห่งการกระทำ และเป็นศาสนาแห่งการเพียรพยายาม จะจับจุดนี้ไว้ให้ได้ พอมองในแง่หนึ่งก็เหมือนทวนกระแส กระแสใจคน คนเรามันชอบ ให้ทำเองนี่ไม่ค่อยชอบหรอก อยากจะให้เขาทำให้ บอกเทวดาจะมาทำให้ เออดี ก็รอ รอให้ท่านช่วย แต่ทีนี้ถ้าอย่างนี้คนไม่ไปไหนแล้ว เพราะฉะนั้นสิ่งสำคัญคือพระพุทธเจ้า แม้แต่ทวนกระแสก็ต้องยอม ต้องใจเข้มแข็ง ชาวพุทธเนี่ย เพราะว่าเราจะนับถือเป็นเพื่อนเป็นญาติกัน เทวดา นับถือกันให้เกียรติกัน ยังไงก็ได้ แต่ขออย่างเดียวอย่าไปรอความช่วยเหลือจากท่าน พระพุทธเจ้าขอไว้ เพราะว่าต้องทำ ฉะนั้นไม่ต้องไปพูดว่า ไม่เชื่อก็อย่าลบหลู่ เพราะเราไม่ไปพูดเรื่องเชื่อไม่เชื่อ เราว่าเราไม่ลบหลู่อยู่แล้ว แต่ต้องต่อว่า ไม่ลบหลู่ แต่อย่ารอความช่วยเหลือ เพราะฉะนั้นต้องทำ ไม่มัวรอผลดลบันดาลให้ท่านทำให้ ไม่มัวอ้อนวอนกันอยู่ ไม่ได้ ต้องพยายามใช้ปัญญาพัฒนาตนให้สำเร็จด้วยความเพียรพยายาม อันนี้เป็นสิ่งสำคัญ เพราะฉะนั้นพุทธศาสนาก็เลยไม่มีการรุนแรง ไม่มีการไปบังคับใคร ใครจะนับถือยังไง นับถือเทวดาอะไรก็นับถือไป แต่ขอให้ปฏิบัติอย่างนี้ อย่าไปรอผล อย่าไปรอการดลบันดาล อย่าไปหวังให้ท่านทำให้ แล้วก็ขอเปลี่ยนหน่อย บอกว่าให้ที่ว่าบอกว่า ไม่เชื่อก็อย่าลบหลู่ ก็ขอให้เปลี่ยนเป็นว่า ไม่ลบหลู่ แต่อย่ามัวรอความช่วยเหลือ ก็ต้องทำเลย ตรงนี้จะได้ประโยชน์กว่า ไม่ลบหลู่ก็จบ มันก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา เราไม่ลบหลู่ เราเคารพนับถือให้เกียรติอย่างยิ่งอยู่แล้ว ชาวพุทธไม่ไปว่าใคร ไม่ลบหลู่ใคร แต่ว่ามีอันหนึ่งที่ต้องปฏิบัติก็คือ อย่ามัวรอความช่วยเหลือ ต้องทำ ชาวพุทธจะต้องเข้มแข็ง ต้องเป็นนักปฏิบัติ นักลงมือทำ นี่ก็เป็นคติจากวันวิสาขบูชา ในแง่หนึ่ง วันนี้ก็พูดกันในแง่นี้ก็แล้วกัน ตกลงว่าพระพุทธเจ้าประสูติขึ้นมานี้ก็ประกาศหลักการอันนี้ว่าให้มนุษย์เข้าถึงธรรม คือความจริงตามธรรมดาที่มีอยู่ในธรรมชาติ ความจริงที่สิ่งทั้งหลายมันเป็นไปตามเหตุปัจจัยเป็นต้น พระพุทธเจ้าก็เปลี่ยนจุดยืนว่า จากเทพเป็นใหญ่ หรือจากเทพสูงสุดมาเป็นธรรมสูงสุด ใช่ไหม คติพุทธศาสนานี้ต้องจำให้แม่น เดิมเขาถือเทพสูงสุด พอพระพุทธเจ้าเกิดขึ้นมาก็เปลี่ยนทันทีเลย เทพสูงสุดเปลี่ยนเป็นธรรมสูงสุด ตอนนี้เทพก็มาเป็นญาติพี่น้องของมนุษย์ นับถือกันแต่ว่าทั้งสองฝ่ายต้องถือธรรมสูงสุด เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าก็บอกว่า เราไม่ต้องมัวให้เทวดามาตัดสรรสร้างโลก มัวให้เทวดามาแก้ แย่ มนุษย์ต้องพัฒนาความสามารถแล้วมาช่วยกันสร้างสรรค์ ทำสังคมอะไรต่ออะไรของเราให้ดีงาม ถ้ามนุษย์ไปรอคอยความช่วยเหลือเทวดาเราก็มองข้ามหัวกันไปใช่ไหม คนนี้รอความช่วยเหลือเทวดามา เราก็มองข้ามหัวญาติพี่น้องเพื่อนฝูงหมด ก็ไปรอเทวดาอยู่นั่น ไม่คำนึงถึงญาติพี่น้องเพื่อนฝูงผู้ร่วมสังคม ทีนี้พอไม่รอความช่วยเหลือจากเทวดา เราก็มามองกันในหมู่มนุษย์ เราจะทำอะไรเราต้องร่วมมือกันช่วยกัน มนุษย์ก็ทำกันเอง เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าก็เลยให้มนุษย์เป็นพรหมซะเอง เป็นผู้สร้างสรรค์อภิบาลสังคม ให้มนุษย์ปฏิบัติตามหลักเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา แล้วเราก็สร้างสังคมที่ดีงามกันโดยไม่ต้องไปทำลายสังคมให้แหลกลาญลง รอพระพรหมมาสร้างใหม่ ใช่ไหม นี่ก็เป็นหลักที่พระพุทธเจ้าต้องการให้เราถือปฏิบัติ พระพุทธเจ้าก็ทำหน้าที่ในเรื่องของมนุษย์อย่างดีที่สุด จะเห็นว่าแม้แต่ในหน้าที่ระหว่างพ่อแม่กับลูก พระพุทธเจ้า พระพุทธมารดาทิวงคตไปแล้ว พระองค์ก็ไม่ละทิ้งหน้าที่อย่างที่ว่ามีเรื่องที่ไปเทศน์อภิธรรมปิฎก ตามพระมารดาที่ไปประสูติในสวรรค์ชั้นดุสิต ลงมาฟังที่ดาวดึงส์ ใครอาจจะวิจารณ์ในแง่จริงไม่จริง แต่ว่าสาระสำคัญอยู่ที่ว่าพระองค์ ทั้งที่เป็นพระพุทะเจ้าไม่ลืมหน้าที่ต่อแม่ นี่สิ่งสำคัญ ใช่ไหม นึกถึงแม่เรื่องใหญ่ ต้องทำหน้าที่ต่อแม่ ท่านสิ้นไปแล้ว เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าก็ตามไปเทศน์โปรดพระมารดา นี่สำคัญ แล้วพระพุทธบิดาอยู่เมืองกบิลพัสดุ์ พระพุทธเจ้าก็ตามไปโปรดจนกระทั่งบรรลุอรหันตผลบนเตียงปรินิพพาน หน้าที่ต่อญาติ ต่อพ่อแม่พี่น้อง เราทำกันให้ดี สังคมเราจะดี พระพุทธเจ้าก็ให้มนุษย์ทำหน้าที่ต่อกันให้ถูกต้อง พระองค์ก็ทำให้เป็นตัวอย่าง แล้วมองในแง่เทวดานี้ มนุษย์หวังผลจากเทวดา ให้เทวดามาช่วยก็มักจะเป็นการช่วยในเรื่องอามิส ขอลาภ ขอผล ขอยศ อะไรต่างๆ ใช่ไหม แทนที่จะไปขอเรื่องที่ดีงามเป็นธรรมะ จนกระทั้งพระพุทธเจ้าต้องไปเทศน์บนสวรรค์ดาวดึงส์ ก็คือพวกเทวดานี้จะเอาอามิสมาให้มนุษย์ พระพุทธเจ้าเอาธรรมะเอาปัญญาไปให้เทวดาเลย เอาไปให้ถึงสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เพราะฉะนั้นพวกเทวดาก็ต้องรอธรรมะและปัญญาจากมนุษย์ไปเลย ถ้ามนุษย์พัฒนาตัวเองดีก็มีความสามารถที่จะเอาธรรมะและปัญญาไปให้กับเทวดาได้ด้วย แล้วก็จะยกสถานะเทวดาขึ้นไปอีก แต่ว่า โล-กา-ภา-วะ-ยี คืออยู่ร่วมกันฉันท์มิตร คือมีเมตตาต่อกัน ไม่ลบหลู่แต่ว่าอย่ามัวรอความช่วยเหลือ ก็ฝากไว้ด้วย ก็เป็นอันว่าพระพุทธเจ้าก็มาประสูติ ตรัสรู้ ปรินิพพาน ในวันวิสาขบูชา นี้ เป็นการประกาศที่เคยพูดไว้ว่า ประกาศอิสรภาพให้แก่มนุษยชาติ โดยไม่รอการดลบันดาลของเทพเจ้าอีกต่อไป ให้อยู่ร่วมกันอย่างมีเมตตากับสัตวโลกทุกหมู่เหล่า ตั้งแต่พระพรหมลงมา พระพรมหม เทวดา ทุกชั้น เป็นมิตรกันทั้งนั้น แล้วเราก็อยู่ร่วมกันด้วยเมตตาไมตรี ต่างคนต่างทำหน้าที่ของตัวให้ดีที่สุด แล้วก็อยู่ด้วยกัน ปฏิบัติธรรมตามเหตุปัจจัยที่เป็นตัวธรรมะ คือความเป็นจริงของกฎธรรมชาตินี้ ที่เรียกว่าธรรมะ พระพุทธเจ้าประสูติมา ธรรมะก็ปรากฏเลย สถานะก็เลื่อนจากเทพสูงสุดมาเป็นธรรมสูงสุด ธรรมสูงสุดก็ทำให้มนุษย์เป็นผู้ประเสริฐ เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าประสูติมาก็ตรัสว่า อะ-โค-หะ-มะ-สะ-มิ-โล-กัส-สะ เราคือมนุษย์นี้เป็นผู้เลิศประเสริฐแห่งโลก ไม่จำเป็นต้องเป็นพรหมจึงจะเลิศ แต่มนุษย์นั้นจะเป็นผู้เลิศผู้ประเสริฐแห่งโลกได้อย่างไร ก็ต้องตรัสรู้ธรรมะ ต้องเข้าถึงธรรมะ เอาธรรมะมาใช้ประโยชน์ ก็เป็นพุทธะ แล้วการที่เราจะเข้าถึงธรรมะ ได้ประโยชน์จากธรรมะจริง เราก็ต้องไม่ประมาท นี่คือสาระในแง่หนึ่งของวันวิสาขบูชา 3 ชุดเหตุการณ์ด้วยกัน ประสูติ ตรัสรู้ ปรินิพพาน ก็ขอสรุปสั้นๆ เท่านี้ โยมก็คงจำแม่นแล้วนะ ว่ามีความหมายอย่างไร แล้ว 3 อย่างนี้สัมพันธ์กันชัดเจนเลย ก็ขออนุโมทนาโยมญาติมิตรอีกครั้งหนึ่ง แล้วก็ขอย้อนไปนิดหนึ่งก็คือตอนนำท่านพระอาจารย์สุริโย แล้วลืมบอกไป แต่ท่านก็บอกในตัวแล้ว ท่านเป็นชาวอเมริกัน บ้านเดิมก็อยู่ในรัฐคอนเนตติคัต ก็อยู่ฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติก ทางด้านตะวันออกของอเมริกา เหนือรัฐนิวยอร์กขึ้นไป ท่านชื่อเดิมว่าโรบิน นามสกุลว่ามัว moore โรบิน มัว แล้วก็มีบวชในพุทธศานา ก็ได้รับฉายาว่าสุริโย ตอนนี้ก็เป็นพระเถระ จะได้ไปเป็นเจ้าอาวาสที่วัดHartridge Buddhist Monastery ในเดม่อน ซึ่งเป็นมณฑลหนึ่งในอังกฤษภาคใต้ ซึ่งอยู่ในแถบใต้เช่นเดียวกับChithurst ซึ่งเป็นวัดแรกของสายหลวงพ่อชาที่ไปสร้างขึ้น เรียกว่าวัดจิตตวิเวก อยู่ที่Chithurst เป็นวัดที่อยู่ทางด้านใต้เหมือนกัน ของอังกฤษ แล้วเป็นใต้แถบตะวันออก แล้วก็ท่านนี้เป็นใต้แถบ เข้าใจว่าตะวันตก เลยไป นี่ก็เป็นการพูดให้เห็นภาพหน่อย โยมก็จะได้มองได้ อย่างน้อยก็พอเห็นรูปเค้าว่าท่านจะไปอยู่ที่ไหน ก็เป็นอันว่าอย่างที่ว่าแล้วก็ร่วมใจสนับสนุนส่งเสริมท่าน ก็ขอให้ท่านเดินทางโดยสวัสดิภาพ แล้วท่านก็ได้ปฏิบัติศาสนกิจด้วยการที่มีสุขภาพดี มีพลังพรั่งพร้อม ที่จะทำงานพระศาสนานี้เพื่อประโยชน์สุขแก่ประชาชน แล้วก็ขอให้เราทุกท่านตั้งใจแผ่เมตตาจิต ขอให้ชาวยุโรปชาวอังกฤษ ชาวตะวันตกทั้งหลาย ได้เจริญปัญญารู้เข้าใจธรรมะ ได้มีจิตใจดีงามมีความสุขโดยทั่วกัน ก็ปรารถนาดีกับทุกๆ คน อันนั้นก็คือเมื่อทุกคนได้รับผลดีอย่างนี้ นั่นแหละคือพระศาสนาแผ่ไปแล้ว วันนี้ก็เมื่อโยมได้ตั้งใจมาดี มาทำบุญวิสาขบูชา จะมาเวียนเทียนกัน ก็เลยได้ทำบุญหลายประการ ทั้งได้รับทราบความเคลื่อนไหวก้าวหน้าในกิจการพระศาสนาไปด้วย วันนี้ก็ขอถือโอกาสอาราธนาคุณพระรัตนตรัยอวยชัยให้พรแก่โยมญาติมิตรทุกท่านที่ได้มีจิตใจเป็นบุญเป็นกุศล ได้บำเพ็ญทาน ศีล และภาวนาแล้ว แล้วจะได้เวียนเทียนต่อไป ก็เป็นบทสรุปให้เรานำเอาบุญกุศลที่ได้บำเพ็ญนี้มาทำจิตใจของเราให้ดีงาม ให้เป็นจิตใจที่พร้อมทำพุทธบูชา ตั้งใจที่เป็นกุศลนี้ น้อมรำลึกถึงพระคุณของพระพุทธเจ้า มีความประสงค์แล้วก็ตั้งจิตปรารถนาดีต่อทุกคน ตั้งแต่ตัวเราเอง พ่อแม่พี่น้อง เด็กๆลูกหลานในครอบครัว ญาติมิตรประชาชน คนร่วมชาติร่วมโลกทั้งหลาย ก็ขอให้มีความสุขถ้วนทั่วกัน ได้รับผลจากธรรมะนี้ รัต-ตะ-นะ-ตะ-ยา-นุ-ภา-เว-นะ รัต-ตะ-นะ-ตะ-ยา-เต-ชะ-สา ด้วยเดชานุภาพคุณพระรัตนตรัย พร้อมทั้งบุญกุศลที่ได้บำเพ็ญแล้ว จงอภิบาลรักษาให้ญาติโยมญาติมิตรทั้งหลาย ได้ประสบจตุรพิธพรชัย มีความเจริญงอกงาม ร่มเย็นในพระธรรมของพระศาสนา พระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยทั่วกันทุกคนทุกเมื่อเทอญ