แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ไฟล์ถอดเสียงนี้ยังไม่ได้ผ่านพิสูจน์อักษร นำขึ้นมาเพื่อช่วยในการศึกษาค้นคว้าของผู้สนใจ
ก็พูดเรื่องพิธีกรรมที่ค้างไว้ ก็ได้พูดถึงการที่ว่า ความหมายของพิธีกรรม มันได้เป็นไปแบบสมัยโบราณ ศาสนาโบราณคือมองในแง่ของความขลังความศักดิ์สิทธิ์สื่อกับอำนาจเล้นลับที่มองไม่เห็นอย่างหนึ่ง แล้วก็อีกพวกหนึ่งก็เลยมองไปในแง่เป็นเรื่องที่สักแต่ว่าทำ ๆ ไปไม่มีความหมายอะไร อันนี้เวลามองพิธีกรรมในปัจจุบันความหมายเดิมนี่มันมาครอบงำซะ ทำให้บางทีก็ไม่เห็นประโยชน์ของพิธีกรรม แล้วก็เลยมามองว่า เอ้พุทธศาสนาปัจจุบันนี่ ไม่ค่อยเห็นมีเนื้อหาสาระเป็นแต่เพียงพิธีกรรม แสดงว่าพุทธศาสนาเสื่อม ก็เป็นการมองที่ทำให้ไม่รู้จักใช้ประโยชน์จากพิธีกรรม คล้าย ๆ ว่าพิธีกรรมนี่ในแง่หนึ่งเหมือนกันว่าเป็นเครื่องหมายว่าพระพุทธศาสนานี้จะหมดแล้ว ซึ่งมันก็มีความจริงอยู่ถ้าหากว่าพิธีกรรมเป็นไปในลักษณะที่ไม่มีความหมายไม่สื่อเนื้อหาสาระ แต่ว่ามองในทางกลับกันแม้แต่ละพิธีกรรมที่กำลังจะหมดความหมายนี่แหละในแง่หนึ่งมันก็ยังเป็นรูปแบบที่แสดงว่าพุทธศาสนานั้นยังไม่ถึงกับหมด เมื่อมันยังเหลืออยู่ ตัวจริงมันจะหมดไปเหลือรูปแบบที่ทรงไว้ก็เท่ากับยังเป็นโอกาส ให้เราเนี่ยฟื้นฟูได้ง่ายขึ้น ท่านลองคิดดูว่าถ้าไม่มีเหลือแม้แต่รูปแบบคือพิธีกรรมแล้วจะยิ่งแย่ใหญ่ เพราะเนื้อหาสมมุติว่าเนื้อหาหมดจริง แล้วรูปแบบก็หมดอีก ทีนี้แหละลำบากแล้วฟื้นยาก การที่มียังมีพฤติกรรมเป็นรูปแบบเหลืออยู่ แม้เนื้อหาจะหมดไปก็ยังเป็นโอกาสว่าเออมันยังไม่สูญสิ้นหมดเลยโดยสิ้นเชิง เราก็ใช้พิธีกรรมที่เป็นส่วนเหลือเนี่ยเป็นช่องทางที่จะฟื้นฟูตัวพุทธศาสนากลับมา ก็คือเอาเนื้อหาสาระกลับมาใส่ในรูปแบบที่เสียใช่ไหม ไม่ใช่ว่า เอ้อเหลือพิธีกรรมจะหมดแล้วทิ้งไอ้ตัวรูปแบบนี้เสียอีกก็เท่ากับว่าไม่รู้จักใช้ประโยชน์จากมันเหมือนกับว่าเป็นป้อมปราการสุดท้ายของพุทธศาสนา เราจะทิ้งป้อมประการสุดท้ายนี้อีกหรือ เราก็ควรจะเอามันมาใช้ประโยชน์เพื่อจะได้กลับฟื้นกำลังก็เท่าใช้มันเป็นก็น่าจะได้ประโยชน์มีคุณค่าอยู่
ทีนี้ความหมายพิธีกรรมที่ว่าสื่อสาระนี้เป็นยังไง เราอาจจะไปติดอยู่กับความหมายของพิธีกรรมในแง่ที่ว่าเมื่อกี้ คือศาสนาโบราณเป็นเรื่องของความขลังศักสิทธิ์ แล้วก็เลยมองไม่เป็นความหมายนั้นเป็นเรื่องของการสักว่าทำไป อันนั้นเราก็มัวไปติดความหมายเดิม ความจริงพิธีกรรมมันก็มีความหมายอื่นอยู่แล้ว ถ้าเรามองกว้างออกไปเราจะเห็นว่าเรื่องราวกิจการของส่วนรวมที่เป็นเรื่องของการอยู่ร่วมกันของมนุษย์เป็นกิจกรรมทางสังคมปกติต้องมีพิธีกรรมทั้งนั้น เมื่อเราจะมีการแม้การประชุม ก็ต้องมีพิธี ก็ว่าเริ่มตั้งแต่ว่า เอ้อจะมีการประชุมน่ะ พอมองว่าเป็นการประชุมก็คือการที่ว่าเราจะต้องจัดเป็นเรื่องเป็นราวขึ้นมาแล้ว ไม่ใช่ว่าอยู่กันยังไงก็ได้ การที่จัดเป็นเรื่องเป็นราวขึ้นมานั่นคือการทำเป็นพิธี พิธีก็คือวิธีนั่นเอง พิธีก็มาจากคำว่าวิธี พิธีก็พอแผงมาจากวอ อันนี้กรรมก็คือการกระทำหรือกิจกรรม เพราะฉะนั้นพิธีกิจกรรมเรียกว่ากิจกรรมที่เป็นวิธีการ เป็นวิธีการที่จะนำไปสู่ผลที่ต้องการ ทีนี้ว่าถ้าเราจะมีการเราต้องการที่จะพูดจาเรื่องอะไรขึ้นมา เพื่อจะปรึกษาหารือกิจการของส่วนรวมอะไรก็ตาม ถ้าไม่มีการประชุมมันก็หาโอกาสหรือจะพูดกันได้เรื่องได้ราวยาก ไปพูดคนนั้นทีคนนี้ทีมันจะได้เรื่องได้ราว ก็ให้มีการพบปะพร้อมเพรียงกัน การที่จัดให้มีการพบปะพร้อมเพรียงนั้นเป็นพิธีแล้ว เอ้าเริ่ม มีการประชุม ณ วันที่เท่านั้น เวลานั้นนี่ ก็ทำให้เราได้มาพบปะกัน พอพบปะกันก็จะยังต้องมีการจัดอีกว่า เอ้าจะจัดที่นั่งอย่างไรมาล้อมโต๊ะกันนี้นะ ไม่ใช่ไปนั่งกระจัดกระจายกันอยู่คนละห้อง นั่งลำดับยังไง ให้ประธานนั่งตรงไหน เวลาจะเริ่มประชุมก็มีการเปิดประชุม นั้เป็นเรื่องของกิจการใหญ่ ๆ มาประชุมกันหลายร้อยคน ก็ต้องมีจุดเริ่มต้นเป็นเครื่องหมายให้รู้ว่าเอาแล้วน่าจะเริ่มต้นแล้วนะ คนนี้เป็นประธานก็ต้องมีการกล่าวเปิดหรือผู้แนะนำบอกความมุ่งหมายในการประชุมนี้ หรือประเด็นที่ต้องการจะพูด นี่ล้วนแต่เป็นพิธีทั้งนั้น ก็รวมความในแง่นี้ก็ถือว่าพิธีกรรมนั้นเป็นกิจกรรมที่เป็นวิธีการที่จะนำไปสู่ผลที่ต้องการของส่วนร่วม ให้กิจกรรมส่วนรวมนั้นดำเนินไปอย่างได้ผล เริ่มตั้งแต่ว่ามันก็เป็นเครื่องนัดแหละ พอบอกว่าจะมีกิจกรรมอย่างเงี้ย ซึ่งจะต้องมีคล้าง ๆ เป็นระเบียบขึ้นมาแล้วว่า เอ้ามาพร้อม ๆ กันที่นั่น ๆ อย่างนี้ มันเป็นระเบียบขึ้นมาทันที ก็เป็นการนัดหมายทำให้คนทั้งหลายที่เกี่ยวข้องนั้นได้รู้ว่าจะไปทำอะไรเมื่อไหร่ แล้วพอไปในที่นั้นแล้ว พอนัดพบด้วยน่ะ นัดพบพร้อมกันและกันนัดหมายว่า เอาแล้วนะ ถึงตอนนี้จะเริ่มแล้วกิจกรรมที่ว่าเนี่ย
ที่นี้แม้แต่ทางศาสนานี่ ถ้าเราเอาความหมายในเชิงศักดิ์สิทธิ์ออกไป เราก็จะเห็นอันนี้ด้วย อย่างเวลาเริ่มพิธีมาประชุมพร้อมกันจะทำกิจกรรมของส่วนรวม เรียกว่าทำบุญ ผู้ที่เราเรียกว่าประธาน ซึ่งเมื่อผู้เป็นประธานเคลื่อนไหวนี่คนก็จะเอาใจใส่อยู่แล้ว คนที่เป็นประธานนี่ก็จะไปจุดธูป พอประธานไปจุดธูปนี่เป็นเครื่องหมายบอกนัดหมายกันแล้ว เอาแล้วนะเริ่มต้น ทุกคนที่จ้อกแจ้กจอแจเดินกันพล่าน หยุด มานั่งกันที่คุยกันก็สงบปากสงบคำสายตาก็รวมกันจ้องไปที่เดียวกันนี่ เกิดความจริงจังในการเริ่มต้นแล้วนัดหมายว่าเราจะได้ร่วมกิจกรรมศูนย์รวมกัน ทีนี้ประธานจุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัยอะไรต่าง ๆ เนี่ยพิธีกรรมในความหมายนี้ก็ทำให้
1 เป็นการนัดพบ
2 เครื่องนัดหมายในการทำกิจกรรมของส่วนรวม
3 สร้างความรู้สึกเป็นจริงเป็นจังว่าจะเอานะเรื่องนี้ ทีนี้ต่อไปยังไงล่ะ
ต่อไปมันก็เป็นส่วนเบื้องต้นที่จะนำเข้าไปสู่งานที่เราต้องการและอย่างเรื่องเขาพระสงฆ์นี่อย่างสวดปาฏิโมกข์ สวดปาฏิโมกข์เป็นสังฆกรรมอย่างหนึ่ง เป็นงานของส่วนรวม แต่จะเริ่มต้นก็ต้องมีการจัดเตรียมเวลาเริ่มสวดก็ยังมีการซักซ้อมถาม สะมะจะนีปะทีโปจะอุทะกังอาสะเนนะจะ สะมะจะนีการกวาดสถานที่ทำความสะอาดทำหรือยังนี่ ปะทีโปจะตั้งจุดดวงประทีปเทียนหรือไฟส่องหรือยัง นี่ทำกิจกรรมร่วมกัน นี่อย่างน้อย ปะทีโปจะนี่เวลาสวดปาฏิโมกข์นี่อาจจะเป็นที่มาของการที่มีการประเพณีถวายเทียนพรรษาอะไรต่ออะไรด้วยก็ได้นะพระมาอยู่ร่วมกันมีกิจกรรมอย่างน้อยต้องมีการสวดปาติโมกทุกครึ่งเดือนต้องอาศัยดวงประทีป อุทะกังตั้งน้ำหรือยังให้ฉัน ต้องเตรียมให้พร้อมนี่กิจกรรมรวมการประชุมจะเริ่มต้นแล้ว อาสะเนนะจะปูลาดอาสนะเอาไปให้พร้อมไม่ใช่มาถึงจะประชุมอยู่แล้วยังวุ่นวายทำโน่นทำนี่กันไม่เสร็จ ตลอดจนกระทั่ง อุขานังบอกฤดู พิขุขะระนานับจำนวนภิกษุนี่อะไร นี่เรียกบุพณ์สิ่งที่ก่อน ก่อนที่ตัวการประชุมจริงหรือสวดปาฏิโมกข์จะมา แสดงว่านี่พระศาสนาการทำกิจส่วนรวมนี่ให้ความเอาใจใส่ว่าเตรียมการให้พร้อมไม่ใช่มาวุ่นวายกันตอนประชุมแล้วการประชุมจะได้ดำเนินไปด้วดีใช่ไหม
นี้ถ้าสวดกลางวัน ปะทีโปจะบอกว่า ปะทีปะอุชะระนังจะ นี้การดวงประทีปให้สว่างเนี่ย บอกว่า สุริยา โรกะสะ อัตติตายะ ปะทีปะจิตังอะนะถิ บอกว่า สิ่งที่จะต้องใช้ กิจที่จะต้องใช้ดวงประทีปมีพร้อม มีแสงจากดวงอาทิตย์ว่างั้นน่ะ อย่างนี้เป็นต้น ส่วนกลางวันก็บอก นี่อย่างนี้เป็นต้น นี่เห็นไหมว่าเรื่องของพิธีกรรมเนี่ย มันเป็นการเตรียมการเพื่อจะให้กิจกรรมหรือการงานของหมู่ของสังคมส่วนรวมมันดำเนินไปได้ด้วยดี มันมีความพร้อมและทำให้เกิดความเป็นจริงเป็นจัง คนที่มาร่วมก็เห็นความสำคัญใช่ไหม นี่ก็เป็นเรื่องของพิธีกรรม ทีนี้อะไรเกิดมาอีกประโยชน์อย่างนี้ ประโยชน์ตามมาสิก็คือความเป็นระเบียบเรียบร้อย เอ้าแล้ว พอจัดเป็นพิธีกรรมใช่ไหมอย่างที่ว่าคนมาก็ต้อง 2 300 400 500 นี่พอมีพิธีกรรมบอกสัญญาณเริ่มต้นแล้วนะต่อไปนี้ เอาจริงเอาจังทุกคนต้องอยู่ในระเบียบนั่งกับที่ของตัวเองสงบปากสงบคำเป็นจะคุยอะไรกันวุ่นวายไม่ได้นะ ต้องตั้งใจทำกิจกรรมร่วมกันนี้เกิดความเป็นระเบียบเรียบร้อย เกิดความเป็นระเบียบเรียบร้อยแล้วอ้าวอะไร เอ้ากลายเป็นการฝึกวินัยแล้วซิใช่ไปไหม
ในแง่หนึ่ง กลายเป็นเรื่องของใช้เป็นวิธีการฝึกคนได้ วินัยเบื้องต้นเลยวินัยก็นำไปสู่ นำไปสู่อะไร นำไปสู่ศีลใช่ไหม เราต้องการศีลนี้ในพระศาสนานี้ข้อปฏิบัติสำคัญก็มีไตรสิกขาศีลสมาธิปัญญา ศีลเป็นเบื้องต้น ศีลก็คือการรู้จักควบคุมกายวาจา การฝึกในเรื่องกายวาจา การที่สามารถทำให้กายวาจาตั้งอยู่ในวินัยได้ ตั้งอยู่ในความดีงามความเรียบร้อย ทีนี้พอมีพิธีกรรมนี่อย่างที่บอกเมื่อกี้ว่าการเคลื่อนไหวกายวาจา การพูดต่าง ๆ เนี่ย จะต้องอยู่ในระเบียบ ไม่ใช่เดินวุ่นวายอยู่ หรือแม้แต่จะนั่งก็ยังมีการที่ให้นั่งโดยอาการที่สงบเรียบร้อย แล้วก็วาจาก็สงบนิ่งในเมื่อไม่ถึงโอกาสหรือไม่มีเหตุผลที่จะต้องใช้ใช่ไหม ฉะนัันก็ ฝึกกายวาจาที่ทำให้คนรู้จักควบคุมตัวเอง ทีนี้ศีลนั้นต้องการที่จะฝึกกายวาจาอยู่แล้ว ถ้าฝึกในเรื่องใหญ่ ๆ เราไม่เคยเตรียมฝึกในเรื่องเล็กน้อยไว้ก่อน มันอาจจะทำได้ยาก นี้คนในสังคมนี้เมื่อมนุษย์มาอยู่ร่วมกันต้องรู้จักสำรวมกายวาจาของตนเองที่จะอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้ดี ฉะนั้นพิธีกรรมต่าง ๆ ที่มีบ่อย ๆ กิจกรรมของชุมชนก็เป็นโอกาสให้แต่ละคนเนี่ยได้ฝึกหัดได้แง่นี้ก็เป็นอันว่าพิธีกรรมเป็นส่วนหนึ่งของวินัยถือได้เลยว่าเป็นส่วนหนึ่งของวินัยในเมื่อเป็นส่วนหนึ่งของวินัยก็เป็นเครื่องฝึกในเรื่องของศีล ฝึกกายวาจานั่นเองให้เราฝึกแม้แต่เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ จนกระทั่งเคยชิน เราจะรู้จักควบคุมกายวาจาของตนเองซึ่งหมายถึงการบังคับจิตใจตนเองได้ด้วย ทีนี้ในเมื่อเรารู้จักบังคับควบคุมตนเองได้ในเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ มันก็หมายถึงว่าเป็นพื้นฐานในการที่จะรักษาสิ่งที่เรียกว่าศีลหรือวินัยในวงกว้างออกไปในเรื่องใหญ่ ๆ ได้ด้วย ก็พุดได้ว่าพิธีกรรมก็เป็นส่วนเบื้องต้นของการฝึกในเรื่องศีล อันนี้ได้อะไรอีกพอเป็นเครื่องฝึกในเรื่องศีลแล้ว เอ้าอีกสิ่งหนึ่งที่ตามมาก็คือความงดงาม ความงดงามความน่าเลื่อมใสความรู้สึกประทับใจหรือความซาบซึ้งโดยเฉพาะในทางพุทธศาสนานี่จะเห็นได้ว่ามีผลมากเพราะว่าประชาชนนั้นมีจิตที่เป็นศรัทธาอยู่เป็นพื้นอยู่แล้ว หรือเรื่องราวเกี่ยวกับศาสนนี่จิตใจมันจะโน้มน้อมไปในทางของความดีงาม พอมีความเป็นระเบียบเรียบร้อยของพิธีเข้ามา เช่นว่าพระสงฆ์แม้เพียงว่ามานั่งพร้อมกันจำนวนมากเป็นแถวเป็นแนวเป็นระเบียบแค่นี้แหละคนเห็นก็เกิดความประทับใจแล้วใช่ไหม แล้วพอสวดพร้อมกันทำนองเรียบตามที่ฝึกไว้อย่างดีคนฟังนี่มีความประทับใจเกิดความปลื้มใจปีติบางทีร้องไห้น้ำตาไหลเลยใช่ไหม ก็ได้ผลทางจิตใจด้วยสิไม่ใช่เฉพาะแค่ศีล ได้ผลทางจิตใจทำให้จิตใจซาบซึ้งได้ปิติได้ความผ่องใสของจิตใจนี่ ได้ผลมากอันนี้จะเห็นได้เวลามีเหตุการณ์พิเศษ เหตุการณ์ใหญ่ ๆ นะคนเตรียมจิตพร้อมแล้วเวลามีพิธีกรรมที่ทำอย่างดีนะครับ คนจะได้ความรู้สึกนี้มาก เกิดความรู้สึกแหมซู่ซ่าเลยนะ ผมเคยเล่าบ่อย ๆ ถึงว่า เมื่อไปอเมริกาเที่ยวแรกนานมาแล้ว พ.ศ. 2515 ไปคณะเล็ก ๆ 3 รูป แล้วไปในอเมริกา อเมริกาตอนนั้นเพิ่งจะเริ่มเตรียมสร้างวัดอยู่แห่งหนึ่งที่ Los Angeles ก็ยังเป็นบ้านเล็ก ๆ หลังหนึ่งเท่านั้นเอง ส่วนที่อื่นจาก Los Angeles ยังไม่มี แล้วคนไทยที่ไปอยู่ที่นั่นแหละ แทบทั้งหมดไม่เคยมีโอกาสเห็นพระ เพราะหลายคนนี้ไม่ได้กลับมาเมืองไทยเลย ที่นี้เมื่อ 3 องค์ไปทางแถบตะวันออก คือตรงข้ามกับทาง Los Angeles ทาง New York Philadelphia อะไรพวกนี้ ก็พบคนไทยญาติโยมเยอะแยะ ญาติโยมเห็นพระก็ดีใจ เพราะไม่ได้เห็นมา คนตั้ง 20 ปีหรือ 10 กว่าปี เขาดีใจกันใหญ่แล้วก็จัด อยากจะให้ญาติโยมที่มาทำบุญร่วมกัน บางแห่งก็ไปเช่าไปขอใช้ที่ของวัดญี่ปุ่นแล้วก็นิมนต์พระไปเลี้ยงภัตตาหารทำบุญฟังธรรม อันนี้ก็มันก็เป็นพิธีกรรมแบบของตามประเพณีของเรา เวลาพระสวดปรากฏว่าญาติโยมร้องไห้น้ำตาไหลกัน เพราะอะไรเสียงสวดมนต์เนี่ยมันลงไปถึงจิตไร้สำนึกเลยน่ะ คนเรานี่มันเรื่องจิตที่มันรู้สึกสำคัญเนี่ยคือสิ่งที่ฝังลึกในจิตไร้สำนึก ตามปกติจะไม่รู้คือเราจะอยู่ด้วยจิต ระดับสำนึก เราก็ว่าไปตามเคยชิน เคยชินนั้นออกจากจิตไร้สำนึกแต่ว่ามันออกมาแค่ว่ารับรู้แค่ระดับจิตสำนึก มันก็เลยเรื่อย ๆ เปื่อย ๆ ไป ทีนี้พอลงไปถึงจิตไร้สำนึกมันสื่อ มันไม่รู้ตัวหรอกมันออกมาเองตื่นตันใจ เพราะอะไรเสียงสวดมนต์นี่ มันทำให้นึกถึงบ้าน นึกถึงประเทศไทยนึกถึงพ่อแม่ นึกถึงบรรพบุรุษปู่ย่าตายายมันหมดเลยมันสื่อมันเป็นตัวแทนมันเป็นสัญลักษณ์แทนทุกสิ่งทุกอย่างที่บอกไม่ถูกเลยใช่ไหม แต่ปรากฏขึ้นมาก็คือความตื้นตันใจขึ้นมาทีพรั่งทันทีไม่ต้องอธิบายใช่ไหม นี้อย่างนี้้เป็นต้น มีความหมายมากมันสื่อไปถึงอะไรต่าง ๆ มากมาย อันนั้นพิธีกรรมซึ่งเป็นเรื่องของวัฒนธรรมเนี่ย มันก็เลยกลายเป็นสิ่งหนึ่งที่เราเรียกว่าเอกลักษณ์ใช่ไหม เป็นเอกลักษณ์ไปเลย เป็นเรื่องของวัฒนธรรม มันเป็นลักษณะที่แสดงความเป็นอันหนึ่งอันเดียว แล้วเป็นแบบหนึ่งที่ต่างจากอย่างอื่นไม่เหมือนเขาละ นั้นเวลาไปทำพิธีกรรมแบบชาวพุทธของไทย มันก็สื่อความหมายอันนี้ที่เป็นอันหนึ่งที่ต่างหากจากคนอื่นนี่ ไม่มีใครเหมือนใช่ไหม ถ้าไม่มีอันนี้แล้วก็ไม่มีสิ่งที่จะมาสื่อได้ใช่ไหม นั้นนี่ก็มีความสำคัญมาก แล้วในแง่ของความซาบซึ้งประทับใจต่าง ๆ มีผลมาก
เล่าอีกครั้งหนึ่งว่า มีลูกโยมท่านหนึ่ง มีเพื่อนเป็นคริสต์ วันหนึ่งเพื่อนของลูกแต่งงาน ลูกก็เลยเข้าไปร่วมพิธีในโบสถ์คริสต์ด้วย ลูกมาเล่าให้พ่อแม่ฟังบอกว่าได้ร่วมพิธีได้ร่วมรับเห็นรับฟังเนี่ยเกิดความรู้สึกประทับใจมากจนแทบจะอยากเปลี่ยนศาสนาเลยว่าอย่างนั้นน่ะ นี่มีผลอย่างไรมากมายเรื่องนี้น่ะ ถ้ารู้จักจัดอย่างดี ดังนั้นในการจัดพิธีกรรมเนี่ย โดยความหมายแง่นี้ก็ต้องมุ่งไปที่จิตใจของญาติโยมหรือผู้ร่วมและผู้พบเห็น ไม่ใช่จัดมุ่งไปความใหญ่โตสิ้นเปลืองใช้เงินใช้ทองมาก เดี๋ยวนี้เราจะเห็นว่าจุดหมายเนี่ยมันไม่ค่อยมี มันไปมุ่งเพราะว่ามันกลายเป็นว่าไอ้ความหมายที่แท้จริงนี่มันเลือนรางไปใช่ไหม มันก็มาเหลือแง่ของความใหญ่โต จัดเอาใหญ่โตเข้าว่าใครจะใหญ่กว่ากันให้หรือลั่นไปทั่วทั้งจังหวัดเลยว่าที่วัดนั้นมีพิธีกรรมใหญ่โตมโหฬารเลยเนี่ย ก็ซึ่งหมายถึงการใช้เงินสิ้นเปลืองมาก ๆ ด้วย แทนที่จะคำนึงถึงคุณค่าผลทางด้านจิตใจว่าจะทำให้คนเนี้ยเกิดภาษาท่าเกิดศรัทธาเกิดความซาบซึ้งเกิดปีติน้อมจิตไปสู่คุณงามความดีได้เท่าไหร่ใช่ไหม จัดพิธีกรรมได้ดีนี่ก็น้อมจิตไปสู่ความดีงาม กระตุ้นเตือนใจให้คนอยากจะทำความดียิ่งขึ้นไปอะไรนี่แสดงว่าได้ผล เริ่มสื่อความหมายแล้วใช่ไหม
เอ้าเป็นอันว่าพิธีกรรมก็มีความหมายขึ้นมาอีก นอกจากเรื่องฝึกเรื่องศีลแล้วก็ได้ความเรียบร้อยงดงามนำไปสู่ผลคุณค่าทางจิตใจอีก อะไรอีก เอ้ามีผลในแง่ว่าพิธีกรรมในด้านพระศาสนานี่เป็นการเตรียมโอกาส ทำให้พระเนี่ยเริ่มตั้งแต่ได้พบกับญาติโยมแล้วต่อจากนั้น พระจะเอายังไงโอกาสเมื่อเปิดแล้วจะได้สื่อธรรมะกับญาติโยมทำหน้าที่ของพระ เมื่อพบแล้วนะโอกาสให้แล้วก็ใช้โอกาสนี้ทำหน้าที่ทำกิจของตัวเองตามบทบาทของตนเองเอ้าก็จะได้โอกาสสอนธรรมะ จะได้พูดจาทักทายปราศรัยไตร่ถามเขามีข้อสงสัยทางธรรมะยังไงก็อธิบายให้เขาฟังหรือไม่ได้สงสัยก็ไม่มีโอกาสถามก็จะได้ชี้แจงแสดงธรรมใช่ไหม เป็นโอกาสสำคัญของการแสดงธรรมนั้นเองเพราะว่าก็เป็นโอกาสที่จะให้ธรรม ได้เคยพูดไปแล้วว่าเมื่อพระพบกับญาติโยมหน้าที่ตามบทบาทก็คือการให้ธรรม เมื่อยังไม่ได้พูดก็ให้ธรรมโดยไม่ต้องพูดให้โดยการปรากฏตัวของตัวเองที่ถูกต้องตามลักษณะความเป็นสมณะที่มีความสงบเป็นต้น ก็ทำให้จิตใจของโยมมีความสดชื่นเบิกบาน นึกถึงเรื่องทางพระศาสนา นึกถึงธรรมะระลึกถึงพระรัตนตรัยจิตใจเขาดีงามและให้ธรรมะโดยไม่ต้องพูด ต่อไปมีโอกาสก็พูด ตัวเองมีความสามารถก็อธิบายธรรมะให้เขาฟังใช่ไหม
อันนี้ก็พิธีกรรมก็กลายเป็นโอกาสให้พระสงฆ์ได้พบกับญาติโยมและจะได้ทำหน้าที่ตามบทบาทของตนเอง ทำประโยชน์แก่ประชาชนใช่ไหม ถ้าไม่มีพิธีกรรมโอกาสที่จะพบกับญาติโยมญาติยาก แล้วญาติโยมมาวัดก็มาด้วยพิธีกรรมสะเยอะแล้วส่วนหนึ่ง ที่จะมาโดยไม่มีพิธีกรรมนี้น้อยใช่ไหม พิธีกรรมก็เป็นโอกาสได้พบญาตโยม ยิ่งนอกวัดโอกาสที่จะพบไม่มีเลย ก็มีพิธีกรรมนี่ งานขึ้นบ้านใหม่ งานอะไรต่าง ๆ สังคมจัดขึ้นมา อันนี้ก็อยู่ที่พระจะใช้โอกาสหรือไม่ นี่โอกาสมีแล้ว เตรียมโอกาสให้พระทำหน้าที่ตามบทบาทของตนโดยเฉพาะในการที่ให้ธรรมะแก่ประชาชน เอ้ายังมีประโยชน์อะไรอีกล่ะ ก็มี ประโยชน์นี่มีเยอะ ทีนี้ก็ต่อไปก็คือว่าสำหรับคนหมู่ใหญ่ การที่พระจะสื่อสารกับคนหมู่ใหญ่นี่ ธรรมะเป็นเรื่องละเอีดอ่อนเป็นนามธรรมลึกซึ้งคนจำนวนมากโดยเฉพาะคนที่ใหม่ประชาชนทั่วไปนี่ เข้าถึงยากไม่สนใจด้วยไม่เอาใจใส่การที่จะมาพบพระก็จะมีคนน้อยคนที่จะมาใช่ไหม ทีนี้พิธีกรรมนี่จะเป็นการสื่อสารกับคนหมู่มากได้ แล้วบางทีเราให้ธรรมะในรูปที่เป็นเนื้อหาสาระเป็นนามธรรมเนี่ยพูดจายากไม่ค่อยเข้าใจหรือไม่สนใจจะฟังก็ต้องเอากิจกรรมมาใช่ไหม ที่เป็นรูปแบบ เอารูปแบบกิจกรรมมาก็ช่วยให้เขามีความเข้าใจในเรื่องนี้ก็อยู่ที่ว่าเราจะจัดกิจกรรมยังไงที่จะให้เขาเข้าใจไปถึงสาระที่เราต้องการที่เป็นธรรมะอย่างได้ผล อันนี้ก็ต้องพัฒนาพิธีกรรมด้วยไม่ใช่ปล่อยเรื่อยไป สักแต่ทำตามตามกันมานั่นแหละ ถ้าสักแต่ว่าทำตาม ๆ กันมา ก็จะเข้าความหมายอย่างที่ว่าข้างต้น ก็คือพิธีกรรมเป็นเรื่องสักแต่ว่าทำใช่ไหม อันนี้ก็เป็นประโยชน์ที่เกิดขึ้นมาอีกอันหนึ่งแล้ว
นอกจากนั้นแล้วพิธีกรรมก็มีประโยชน์อีก คือเป็นสวดเบื้องต้น เป็นสูตรเบื้องต้นที่จะนำไปสู่สิ่งที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นไป เราจะให้คนปฏิบัติธรรมยกตัวอย่างง่าย ๆ อย่างจะบำเพ็ญสมาธิ นั่งสมาธิทำจิตใจให้สงบก็ต้องมีการเตรียมกายเตรียมจิตทำให้จิตนี้พร้อมวุ่นวายคิดเรื่องโน้นเรื่องนี้ออกมาจากบ้านผ่านมาในท้องถนนมีแต่อารมณ์อะไรต่าง ๆ ที่วุ่นวายทั้งนั้นเลย มาถึงจะมานั่งสมาธิทันทีนี่ใจไม่พร้อมใช่ไหม เดี๋ยวมันก็ตามเข้าไปอารมณ์ที่มาจากบ้านมาจากท้องถนนก็ตามเข้าไปรบกวน ก็มีขั้นตอนว่ามาเตรียมจิตเสียก่อนให้พร้อม เพื่อจะได้โน้มมาสู่ความสงบก็อาจจะมีการจัดพิธี เช่นว่าสวดมนต์ สวดมนต์ก็เป็นการเตรียมคล้าย ๆ ว่าเตรียมจิตโน้มเข้ามาสู่ความสงบให้พร้อมที่จะนั่งสมาธิ หรืออย่างจะมานั่งสมาธิกันเข้าปฏิบัติเป็นระยะยาวใจยังพะวักพะวงอยู่ เอ้เราจะมาอยู่ตั้ง 5 วัน 10 วันหรือเดือนนึงนะ จะเอายังไงใจชักคิดห่วงโน่นกังวลนี่ ท่านก็มีพิธีกรรม เช่นพิธีมอบกายถวายชีวิตแก่พระอาจารย์ นี่เป็นอุบายใช่ไหม ในบางสำนักหรือหลาสำนักหรือประเพณีปฏิบัติ ทางคัมภีร์ก็บอกในรุ่นหลัง ๆ นะ รุ่นหลัง ๆ ก็จะมีพิธีว่า เอ้าจะมาเข้ากรรมฐานมามอบตัวหรือมอบกายถวายชีวิตอาจารย์ กล่าวคำเลยบอกว่าในการปฏิบัตินี่ข้าพเจ้ายกชีวิตให้เลยหมายความว่าอย่าไปพูดถึงเรื่องอื่นเลย เรื่องกังวลอะไรต่าง ๆ ที่ท่านเรียกว่า บริโพดไม่คิดแล้ว ตัดเต็มที่เลยตอนนี้ขนาดชีวิตนี่มอบให้เลย มันทำให้เตรียมจิตนี่มุ่งมั่นเต็มที่เลยใช่ไหม มันก่อให้เกิดความรู้สึกจริงจัง ทีนี้พอเตรียมจิตอย่างนี้แล้ว ก็เรียกว่า มันเริ่มด้วยความ ที่มีความมุ่งมั่นจิตดิ่งไปแล้วมันก็พร้อมที่จะเข้าสมาธิ นี้ถ้ามัวปล่อยให้จิตไปกังวลอยู่อย่างนั้น พะวักพะวงห่วงหน้าห่วงหลังอยู่เลยไม่ได้ผลเลย นั้นพิธีกรรมตอนนี้ก็เป็นตัวมาเท่ากับตดตอนเอาไอ้ส่วนที่จะรบกวนจากข้างนอกทิ้งไปเลย แล้วทำให้พร้อมเข้ามาสู่พิธีกรรม
เพราะฉะนั้นพิธีกรรมก็เป็นตัวสวดเบื้องต้นเป็นสวดบุพภาคที่จะนำเข้าสู่สิ่งที่เป็นเนื้อหาสาระที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นไป แต่รวมแล้วมันก็คือเป็นรูปแบบที่มาห่อหุ้มไว้ซึ่งเนื้อหาสาระแล้วก็สื่อสาระ มันได้ทั้งในแง่ห่อหุ้มแล้วก็ทั้งสื่อ ห่อหุ้มก็คือรักษา ตัวหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าที่เป็นเนื้อหาสาระนามธรรมน่ะ ถ้าไม่มีรูปแบบช่วยจะรักษาไว้ยากใช่ใหม่ สำหรับคนหมู่ใหญ่สำหรับสังคม มันก็ต้องอาศัยรูปแบบมาช่วยเหมือนอย่างกะเนื้อมะม่วง หรือแม้แต่เนื้อกล้วย หรือผลไม้จะอยู่ได้ด้วยดียังไงต้องอาศัยเปลือก ถ้าไม่มีเปลือกก็อยู่ได้ยากใช่ไหม แต่ถ้าหากว่าเปลือกไม่มีเนื้อหมดความหมายเลย เหมือนกับพิธีกรรมที่ว่าถ้ามันไม่รักษาไม่ห่อหุ้มเอาเนื้อหาสาระไว้ไม่มีเนื้อหาอยู่ข้างในมันก็ไม่มีความหมายกลายเป็นสิ่งรกรุงรัง เป็นขยะไปใช่ไหม เพราะฉะนั้น มันต้องสัมพันธ์ซึ่งกันและกันเนื้อหาก็อาศัยเปลือกช่วยรักษาไว้ ที่พระศาสนาคำสอนหลักการต่าง ๆ มาถึงเราได้ในปัจจุบันนี้อาศัยรูปแบบทั้งนั้นใช่ป่ะ รูปแบบตั้งแต่การมีวัดวาอาราม มีพระภิกษุสงฆ์อะไรต่าง ๆ เหล่านี้แล้วก็มีกิจกรรมของชุมชนที่เป็นประเพณีเป็นวัฒนธรรมเหล่านี้รักษาตัวพระศาสนาไว้ได้ อย่างที่บอกแล้วว่าในเมื่อรูปแบบยังอยู่ แม้ว่าเนื้อหาสาระจะมองแทบไม่เห็นแล้วเนี่ย แต่ถ้าเรารู้จักใช้ประโยชน์เราก็อย่าเพิ่งทิ้งไอ้ตัวรูปแบบหรือเปลือกนี้เสีย เพราะก็เท่ากับว่ามันเป็นจุดเริ่มให้เราได้ถ้าเราไม่มีเหลือแม้แต่เปลือกสิเราจะแย่ใช่ไหม ไม่รู้จะเริ่มที่ไหน พอนี้เรารู้จุดเริ่มแล้ว เราโอ้นี่เนื้อมันจะไม่มีแล้วนะเหลือแต่เปลือกต้องรีบเอาเนื้อกลับมาใส่ใช่ไหมนี่ อันนี้พุทธศาสนาปัจจุบันถึงเวลาที่ต้องว่าพยายามเอาเนื้อกลับมาใช่ไหม แต่ว่าอย่าไปทิ้งประโยชน์ของเปลือกมัน ทีนี้ก็ 1 ก็คือห่อหุ้มรักษา 2 สื่อ สื่อก็คือว่า ทำให้เนื้อหานี่ สาระนี่ปรากฏแล้วก็ออกมาสู่ประชาชนคนหมู่มาก อย่างที่ว่าไปแล้วใช่ไหม เวลามีพิธีกรรมก็เป็นช่องทางให้เราได้สื่อไปถึงเนื้อหาสาระหลักธรรมตามคำสอนอีกทีหนึ่ง ก็ได้ทั้งเป็นสื่อแล้วเป็นสื่อที่ได้ผลดีแล้วแต่เราจะจัดอย่างไรใช่ไหม เพราะลำพังจะเอาเนื้อหาสาระอย่างเดียวไม่ค่อยเข้าใจแล้วไม่สนใจโดยเฉพาะสำหรับคนหมู่มากเพราะฉะนั้นเราต้องคำนึงถึงคนหมู่มากอย่าไปคิดเอาแค่คน 2 คน 3 คน เพราะปัญญาชนเราเป็นบางทีเราไปมองแต่ปัญญาชนหรือคนที่เขาสนใจอยู่แล้ว เอาแค่นั้นพอที่ไหนล่ะ พระศาสนามีเพื่อคนส่วนใหญ่ทั้งหมดไม่ใช่มีเพียงแค่คนแค่นั้น
ฉะนั้นเราต้องหาทาง แต่ขอให้พระผู้ทำหน้าที่นี้เข้าใจว่าจุดมุ่งหมายอยู่ที่ไหน อย่ามาติดอยู่กับแค่ตัวเปลือกหรือสิ่งห่อหุ้มหรือวิธีการหรือรูปแบบที่เป็นสื่อ แล้วก็เลยไม่ใช้สื่อให้เป็นประโยชน์ นี้ก็เปรียบเทียบนอกจากว่าเหมือนกับเกือบผลไม้แล้ว ก็ยกตัวอย่างอื่นก็เหมือนอย่างแก้วน้ำ อุปมาบ่อย ๆ แก้วน้ำมีประโยชน์อย่างไร แก้วก็มีประโยชน์ที่บรรจุน้ำใช่ไหม แก้วมีประโยชน์เพราะว่ามีน้ำ สิ่งที่เราต้องการคือน้ำ เราไม่ต้องการแก้ว แต่ถ้าเราไม่มีแก้วเราจะใช้ประโยชน์จากน้ำได้ยากใช่ไหม เราจะกินน้ำที เราต้องเดินไปที่แหล่งน้ำ เช่น ไปบ่อไปสระใช่ไหม แล้วก็ไม่มีแก้วก็ไม่มีเครื่องตัก แล้วต้องวักน้ำหรือเอาปากไปก้มไปเอาปากดูดน้ำหรืออะไรทำนองเนี้ย มันก็แสนจะยากเย็น ทีนี้มีแก้วก็เริ่มตั้งแต่การที่จะตักน้ำรับประทานหรือฉันกับง่าย เสร็จแล้วยังสามารถนำเอามาไว้ในที่ต้องการ จะดื่มน้ำอะไรก็ใช้ได้เมื่อนั้น แล้วต้องการแก้วเล็ก แก้วใหญ่ก็จัดเอาสิรูปแบบเอาให้เหมาะกับประโยชน์ที่ต้องการใช่ไหม เนื้อหาก็คือน้ำในรูปแบบลักษณะต่างกันไม่เหมือนกัน ในกิจกรรมอย่างนี้เราอาจจะต้องการแก้วรูปร่างอย่างนี้ แก้วปากบาน แก้วก้นตื้น แก้วปากเล็กน่ะ แก้วสูง หรือว่าแก้วใหญ่ แก้วเล็กอะไรเนี่ย รูปแบบนี้เราจัดให้สนองความต้องการเฉพาะกรณีได้เลยใช่ไหม แต่ว่าเนื้อหาก็คือน้ำ แต่ถ้าเราไม่ได้รูปแบบอันนี้แล้วเนี่ยจะใช้ประโยชน์จากน้ำได้ยากไม่ได้ตามต้องการ เพราะฉะนั้นรูปแบบก็มีประโยชน์มาก น้ำเป็นสาระไม่มีแก้วก็ใช้ประโยชน์ยาก แต่ถ้าแก้วไม่มีน้ำก็หมดความหมายเลยใช่ไหม
เอ้าเป็นอันว่ารูปแบบคือพิธีกรรมนี้ก็เป็นตัวทั้งรักษาห่อหุ้มเนื้อหาสาระไว้ และเป็นสื่อที่จะทำให้เนื้อหาสาระปรากฏผลเป็นประโยชน์แก่คนทั่วไป อันนี้ก็เป็นประโยชน์อีกอย่างหนึ่งของพิธีกรรม เยอะต้องค่อย ๆ นึก มันมีมากมายคืออยู่ที่ว่าจับหลักให้ได้ อันนี้ความจริงมีมากกว่านี้เอาว่าตอนนี้เอาแค่นี้ก่อน เพราะฉะนั้นจุดสำคัญ ก็คือว่าเป็นความสัมพันธ์ระหว่างเนื้อหาสาระกับรูปแบบ นี้กิจกรรมในพุทธศาสนานี้ เดิมเนี่ยก็ต้องการสื่อสาระพระพุทธเจ้าก็ไม่ต้องมีพิธีมาก ความจริงก็มีและลักษณะการประชุมการพบปะกันเป็นเรื่องเป็นราวนี่ ก็ต้องมีพิธีแต่ว่าพิธีนั้นบอกแล้วว่ามันเป็นเพียงส่วนที่จะนำไปสู่เนื้อหาสาระใช่ไหม แล้วเมื่อพระพุทธเจ้าทรงเป็นบุคคลที่มีความสามารถในการสอนไอ้รูปแบบที่จะต้องใช้มันน้อยใช่ไหม เหมือนพระที่มีความสามารถก็ไม่จำเป็นต้องเรียกร้องรูปแบบมาก แต่ทีนี้สำหรับพระทั่ว ๆ ไปล่ะไม่ได้มีความสามารถมากอย่างนั้น แล้วยิ่งพระศาสนานี่ดำรงมายั่งยืนนานเป็นเรื่องคนหมู่ใหญ่การที่จะต้องเอารูปแบบมารักษาเนื้อหาสาระก็ยิ่งมีความจำเป็นมากขึ้น เพราะเป็นกิจกรรมของชุมชนของสังคม แล้วก็พระส่วนใหญ่ซึ่งมีความสามารถเฉลี่ยก็ต้องการรูปแบบมาช่วยมากขึ้น ยิ่งมีความสามารถน้อยก็รูปแบบกิจกรรมก็ยิ่งต้องสำคัญต่อมากขึ้นใช่ไหม อันนั้นต่อมานาน ๆ ก็เข้าพิธีกรรมก็พอกพูนขึ้นมายิ่งพุทธศาสนาไปสัมพันธ์กับศาสนาอื่น ๆ ด้วย บางทีก็กลายเป็นว่าวิธีการที่จะไปสื่อกับคนที่เขานับถือศาสนาอื่นอยู่ก่อนใช่ไหม ทำไงจะให้เขามาสนใจเขานับถือผีสางเทวดาเขานับถือเทพเจ้าเขามีพิธีกรรมอย่างนั้นอย่างนั้น ถ้าพระไม่มีเขาไม่สนใจ พระก็มีพิธีกรรมบางอย่างขึ้นมาจูงใจเขาว่า เอ้อ เอ้เราไปดูท่านสิพอพิธีกรรม พระก็ขึ้นมาบ้างพอเขาเข้ามาแล้วเนี่ย พระก็สามารถค่อย ๆ แนะนำชักจูงชี้แจงให้เขาเข้าใจความหมายใหม่ตามแบบของพระพุทธศาสนาถูกไหม นั้นอาจจะใช้สิ่งเดียวกันกับศาสนาอื่นที่เขามี เพราะฉะนั้นพิธีกรรมหลายอย่างของเราเนี่ยมาจากศาสนาอื่น หรือบางอย่างคล้าย ๆ กัน แต่ว่าเราตัดส่วนที่ไม่เข้ากับหลักการของพระพุทธศาสนาทิ้ง โดยเฉพาะสิ่งที่เป็นเรื่องของการเบียดเบียน การทำลายชีวิตอะไรต่าง ๆ เหล่านี้ พุทธศาสนาจะเอาออกหมด ส่วนที่พอรับได้ไม่เสียหายอะไรเอาเข้ามา ไป ๆ มา ๆ เลยเอ้ มีน้ำมนต์ มีสายสินธุ์ มีอะไรต่ออะไรเข้ามา ทีนี้ถ้าพระไม่รักษาหลักการให้ดี แทนที่จะเป็นสื่อสาระของตัวเองเลยกลายเป็นตัวเองแหละหลงไปตามกลายเป็นตัวเองไปยึดถือตามศาสนาอื่นไปเลยนี่มันเลยมีทั้งคุณทั้งโทษน่ะ นี่พอพระเสียหลักมายืนหลักของตัวเองไม่เข้าใจหลักการพุทธศาสนาพระถูกรูปแบบดึงออกไป ไปเข้าไปจับเนื้อหาสาระข้างนอกมาใส่ของตัวเองเลยใช่ไหม รูปแบบนี้อยู่จริงแต่เนื้อหามันไม่ใช่เนื้อหาของเราเป็นเนื้อหาอื่นเข้ามา นั้นก็ในแง่นี้ก็มีทั้งคุณและโทษ
ที่นี้กิจกรรมส่วนรวม ที่ว่าเป็นพิธีกรรมซึ่งมีความหมายไม่เกี่ยวกับเรื่องความขลังศักดิ์สิทธิ์ตามแบบศาสนาโบราณไม่ได้สื่ออำนาจเร้นลับอะไรแล้วก็ไม่ใช่เป็นเพียงสักว่าทำนี่ เราจะเห็นนั้นก็คือสังฆกรรมใช่ไหม สังฆกรรมคือกิจกรรมของส่วนรวมที่ว่าพุทธศาสนานี้ให้ความสำคัญแก่สงฆ์ก็คือกิจกรรมของสังคมถือส่วนรวมเป็นใหญ่ เพราะฉะนั้นก็จะมีการกระทำที่เป็นกิจกรรมร่วมกันว่าภิกษุที่อยู่ในวัดเดียวกันอยู่ในเขตหนึ่งเนี่ย เวลามีเรื่องราวส่วนรวมต้องมาประชุมพร้อมกันพิจารณาวินิจฉัย เราจึงมีสังฆกรรมมากมาย สังฆกรรมก็คืองานส่วนรวมที่ต้องทำร่วมกันมาพิจารณามาประชุมกันวินิจฉัยว่าจะเอายังไง เช่นอย่างเรื่องว่า มีผู้จะมาสมัครเข้ามาเป็นภิกษุ ก็ต้องให้ภิกษุทั้งหลายที่อยู่ในวัดนั้นมาประชุมกันแล้วมาพิจารณามาดูคุณสมบัติของผู้เข้าบวชเป็นต้นว่าจะยอมรับหรือไม่ใช่ไหม ก็นี่เรียกว่าสังฆกรรม สังฆกรรมที่มีชื่อว่าผู้อุปสมบท ซึ่งมีความหมายชัดเจนเราเรียกว่าสังฆกรรม แต่ต่อมาตัวสังฆกรรมเองเหลือแต่รูปแบบ โดยที่บางทีผู้ที่มาร่วมในกิจกรรมนั้นไม่รู้ความหมายด้วยว่าที่มาประชุมเนี่ยทำอะไรกันบ้างว่ากันไปตามรูปแบบที่รักษาไว้ใช่ไหมอ้าวมาประชุมกันนะ มานั่งอันดับ องค์นี้ก็สวดไป องค์นั้นก็ว่าอย่างนี้ ได้ยินแต่คำสวดนึกว่าเสกคนเป็นพระเลยใช่ไหม เลยไม่ใช่เป็นกิจกรรมที่ว่า เอ้อนี่เป็นเรื่องที่ประชุมพระจะเอาอย่างไง จะรับคนนี้เข้ามาไหม มีมติยังไงใช่ไหม ไม่รู้เรื่อง พอดีพระไปนั่งไม่เข้าใจ
ก็นี้แหละสังฆกรรม ซึ่งเป็นพิธีกรรมที่มันมีความหมายแท้จริงที่เป็นสื่อสาระแต่ว่ามันเลือนความหมายไปเป็นความหมายแบบศาสนาโบราณเป็นวิธีกรรมแบบว่าคล้าย ๆ เป็นเรื่องขลังศักดิ์สิทธิ์สื่ออำนาจเล้นลับ หรือไม่งั้นก็กลายเป็นสักแต่ว่าทำอย่างที่ว่า อันนั้นสังฆกรรมก็ไป ๆ มา ๆ เดี๋ยวนี้ส่วนใหญ่ก็กลายเป็นเพียงพิธีกรรมในความหมายแบบโบราณ หรือแบบที่คนสมัยใหม่เข้าใจว่าสักแต่ว่าทำไปตามปรัมปรา คือตาม ๆ กันมาใช่ไหม ตามประเพณี เป็นเรื่องของประเพณีเท่านั้น อะไรอย่างนี้ แต่ว่าถึงอย่างไงก็ตามในเมื่อรูปแบบอันนี้ที่เรียกว่าเป็นพิธีกรรมมันอยู่ ซึ่งที่แท้ก็คือมันก็เป็นสังฆกรรมนั่นแหละมันอยู่ เนื้อหาสาระมึงก็พลอยอาศัยอยู่ ในตอนนี้ก็คือว่าคนที่เข้าใจก็รู้แต่ว่ามันเป็นโอกาสที่จะฟื้นสาระขึ้นมาได้ ถ้าแม้แต่รูปแบบไม่มีแล้ว ทีนี้ฟื้นยาก นี้เป็นเรื่องของพิธีกรรมที่จะทำให้เราเข้าใจเรื่องของพระศาสนาแม้แต่ในแง่ประวัติความเป็นมาวิวัฒนาการความเสื่อมความเจริญได้ด้วย แต่มาถึงบัดนี้ก็ ก็เข้าสู่สิ่งที่พูดข้างต้นก็คือว่าคนจำนวนมากเนี่ย จะมองเรื่องพิธีกรรมไปในความหมายแบบที่ 1 ก็คือแบบศาสนาโบราณที่ว่าเป็นเรื่องของเรื่องความขลังความศักสิทธิ์การสื่ออำนาจเร้นลับหรือไม่งั้น 2 ก็คือการทำตามประเพณีสืบกันมาสักแต่ว่าทำ ก็เป็นเรื่องของเราที่จะต้องเข้ามาทำความเข้าใจให้ถูกต้อง อย่างน้อยก็มาเริ่มที่จุดที่ว่า อ้อพิธีกรรมนี่ก็คือรูปแบบ ซึ่งมีความหมายมีประโยชน์ต่อเมื่อมันบรรจุไว้ซึ่งเนื้อหาสาระแล้วนำมาใช้สื่อเนื้อหาสาระ เนื้อหาสาระนั้นมีอย่างไรก็มีมากมายเริ่มตั้งแต่ว่ามันเป็นเรื่องของการใช้ฝึกศีลโดยถือเป็นวินัยเบื้องต้นอย่างที่ว่าแล้วก็เลยมีความหมายเชิงวัฒนธรรมที่ว่าเป็นเอกลักษณ์ของสังคมนั้น ๆ แล้วก็เลยมีประโยชน์ในแง่ของการนำคนรุ่นใหม่เข้าสู่ชุมชนหรือสังคมนั้น คนที่รู้จักใช้พวกพิธีกรรมเป็นก็ได้ประโยชน์ คนรุ่นใหม่เนี่ยต้องมีวิธีที่เขาเรียกว่า Socialisation ใช่ไหม การนำเข้าสู่สังคมและอันหนึ่งที่สำคัญก็สังคมของตัวเองซึ่งมีวัฒนธรรมเป็นเอกลักษณ์ที่ว่า นี้คนรุ่นใหม่นี่จะเข้าสู่สังคมของรุ่นพ่อรุ่นแม่เข้าสู่วัฒนธรรมได้อย่างไร พิธีกรรมนี่ก็เป็นตัวนำเข้ามาใช่ไหม ก็ใช้ประโยชน์อันนี้ด้วย แล้วก็ต่อมาก็เป็นประโยชน์ทั่ว ๆ ไปใช่ป่ะ เป็นเครื่องนัดพบ เป็นเครื่องนัดหมาย เป็นเครื่องเตรียมตัวเตรียมกายเตรียมใจเพื่อเข้าสู่สิ่งที่จะปฏิบัติหรือเนื้อหาสาระที่สูงขึ้นไป เป็นการที่ว่าให้รู้ตัวว่าจะเอาจริงเอาจังกับสิ่งที่จะทำต่อไป ตลอดจนกระทั่งว่า เป็นโอกาสที่สงฆ์จะได้พบปะญาติโยมแล้วจะได้ปฏิบัติหน้าที่ตามบทบาท นำเอาพิธีกรรมหรือรูปแบบนี้มาสื่อสาระคือเนื้อหาธรรมะ ให้ธรรมะแก่ประชาชน แล้วก็เป็นวิธีการสำหรับคนส่วนใหญ่ คนหมู่มากคือประชาชน ว่าจะได้ประโยชน์จากพุทธศาสนาอย่างไร อันนี้ก็ต้องอยู่ที่ว่าพระนี้มีความเข้าใจ เออแล้วก็อีกอันที่พูดไปแล้วก็คือเรื่องของการที่อย่างน้อยก็ทำให้โน้มจิตใจคนเข้ามาสู่ความดีงาม ความซาบซึ้งในความสงบความเป็นระเบียบเรียบร้อย ความมีปิติความประทับใจอะไรต่าง ๆ เหล่านี้ซึ่งควรจะเป็นจุดหมายอย่างหนึ่งในการจัดพิธีกรรมว่า เมื่อเราจะจัดพิธีกรรมและต้องคำนึงว่าทำไงจะให้ได้ผลในทางจิตใจแก่ประชาชนที่เข้ามาร่วม ไม่ใช่มุ่งแต่เพียงความใหญ่โตหรือความสิ้นเปลืองอย่างที่ว่ามา
ก็คิดว่าเราพูดเรื่องพิธีกรรมวันนี้ก็พอสมควรแล้วน่ะครับ พอจะเห็นประโยชน์ของพิธีกรรมไหมครับ ก็อยู่ที่พระด้วยน่ะ พระก็ต้องเป็นผู้นำว่าจะต้องเข้าใจแล้วก็นำมาใช้เป็นประโยชน์ มิฉะนั้นแล้วก็จะเหลืออย่างที่ว่า ที่ไร้ความหมายไม่มีเนื้อหาสาระ ดีไม่ดีเขาก็จะเห็นเป็นขยะไป แล้วเขาก็อยากจะกวาดทิ้งเสียด้วยใช่ไหม คนที่ไม่เข้าใจก็อยู่ที่เราเองจะต้องสร้างความเข้าใจเริ่มแต่ตัวเองและปฏิบัติให้เกิดผลตามความมุ่งหมายที่แท้จริง มีอะไรสงสัยนะครับ
คนฟังถาม ความจริงคนไทยนี่โชคดีที่มีพุทธศาสนา ผู้ให่ญของการศึกษาบรรจุพุทธศาสนา เพราะว่าจะได้เข้าใจพุทธศาสนาถูกต้องและสามารถนำมาปฏิบัติให้ตัวเอง เพื่อผลประโยชน์ให้ตัวเองที่มีคุณค่า ปัจจุบันนี้มหาวิทยาลัยไม่ค่อยถ้างั้นถ้าจะให้ถูกต้อง
พระตอบ ก็เหตุปัจจัยก็มีหลายอย่าง อันที่หนึ่งก็คือ ท่านที่มีหน้าที่รับผิดชอบในเรื่องการศึกษานี้เอง ท่านไม่ค่อยเห็นคุณค่า เพราะท่านไม่ค่อยเข้าใจหลักพุทธศาสนาว่าพุทธศาสนาคืออะไร หลายคนก็จะมองพุทธศาสนาเหมือนศาสนาต่าง ๆ เหล่านี้ เป็นเรื่องความศักดิ์สิทธิ์สนองความต้องการปลอบประโลมใจไปไม่มีเหตุมีผลอะไรนี้ เมื่อเขาไม่เข้าใจแล้วเขาก็ไม่เห็นคุณค่า และเขาก็ไม่รู้ว่าจะจัดเข้าไปทำไมใช่ไหม อันนี้อันหนึ่ง 2 ก็คือสภาพของสังคมเอง สังคมนี้ก็เห็นอยู่แล้วว่ามีแนวความคิดความเห็นมีค่านิยมที่มุ่งความเจริญทางวัตถุทางเศรษฐกิจกระแสวัฒนธรรมอารยธรรมตะวันตกเข้ามาครอบงำใช่ไหม ฉะนั้นการที่จะมาเห็นคุณค่าในด้านนี้ก็น้อยสังคมเองก็จะไม่เป็นตัวผลักดัน ฉะนั้นสังคมส่วนใหญ่เนี่ย อย่างพ่อแม่อยู่กับบ้านบางทีก็ไม่ได้เอาจริงเอาจัง กับการที่ว่าเองทางกระทรวงโรงเรียนให้ความรู้สึกลูกของตัวเองในเรื่องทางหลักธรรมคำสอนให้เกิดความเข้าใจหรือเปล่าใช่ไหม ก็จะไปสนใจแต่เพียงว่า เอ้อวิชาที่ลูกจะได้สอบได้ชั้นจะไปเข้ามหาวิทยาลัยได้จะได้เป็นการได้งานได้เงินดีเนี่ยมีหรือยังใช่ไหม แล้วก็ทำไม่มีวิชาอย่างนี้ไม่ได้ผลดีวิชานี้สอนไม่ได้ผลก็จะเรียกร้อง อาจจะอะไรไปหาปลัดกระทรวงหรือจะไปเรียกร้องอะไรก็ตามขึ้นมาเอาจริงเอาจัง แต่เรื่องวิชาทางเนื้อหาทางธรรมะคุณค่าทางจิตใจอะไรต่าง ๆ พ่อแม่เองก็ไม่เอาใจใส่ใช่ไหม หรือบางที่ไม่เอาใจใส่ บ้างบางคนไม่เห็นมีเลย บ่นไปก็เท่านั้น แต่ไม่มีเอาจริงจัง ไม่เหมือนของฝรั่งนะถ้าไม่มีละเอาตายเลยใช่ไหม ถึงตัวเลยเอาว่ากัน เอ้าว่ากันไงทำไมไม่จัดใช่ไหม แต่นี่ฝรั่งเองมันเริ่มก่อน นี้ฝรั่งเขาไม่เห็นคุณค่า ฝรั่งเองก็ตีจากศาสนามานานแล้วใช่ไหม แล้วก็นอกจากนั้นก็ยังมีให้แนวคิดที่ว่าแยก Church and State ศาสนากับรัฐออกจากกัน เพราะภูมิหลังของสังคมก็เขา นี่ศาสนาเป็นตัวที่ทำให้คนแตกแยกกันเข้ากันไม่ได้เพราะแม้แต่นับถือแค่ศาสนาเดียวกันแต่ต่างนิกายที่การทะเลาะกันจะตาย ถ้าขืนไปสอนในโรงเรียนก็แตกแยกกันใหญ่ นี้พุทธศาสนาเราไม่มีเรื่องนี้ แต่ว่าเพราะนักการศึกษาของเราจำนวนไม่น้อยท่านไปศึกษาตะวันตกก็ไม่เข้าใจก็นึกว่า อ้อตะวัตกเขาแยกเราก็ต้องแยกด้วยโดยไม่รู้เหตุรู้ผลแท้จริงใช่ไหม นั้นปมปัญหามันมาจากเหตุปัจจัยหลายอย่าง แต่ว่าอันที่ 1 ที่เราจะต้องทำก็คือการที่จะสร้างความรู้ความเข้าใจแล้วก็ให้เขาเห็นคุณค่าขึ้นมาแล้วก็พ่อแม่ครอบครัวนี้ก็เป็นสำคัญที่จะต้องเอาใจใส่ในการที่จะให้ลูกเนี่ยได้เจริญเติบโตพัฒนาอย่างถูกต้องได้รับการศึกษาที่มันเป็นความหมายที่แท้จริงไม่ใช่เป็นเพียงเพื่อไปเสนอของค่านิยมของสังคมบริโภคในการที่จะไปแข่งขันแย่งชิงผลประโยชน์ใช่ไหม แล้วเสร็จแล้วพ่อแม่ครอบครัวก็มีส่วนร่วมในการสร้างปัญหาให้แก่สังคมแล้วมาโอดครวญว่าทำไมสังคมเป็นอย่างนี้ ทำไมสังคมมันเสื่อม ทำไมจึงมีแต่ยาเสพติด ทำไมจึงมีความประพฤติเสียหายในทางกามารมณ์ ทำไมลูกไม่ได้เอาใจใส่ในการศึกษาอะไรต่าง ๆ ไม่รักพ่อแม่แล้วก็ไปดูว่าตัวเองพ่อแม่และเป็นเหตุสำคัญน่ะ ก็ไปหนุนลูกในเรื่องที่ผิด แล้วเสร็จแล้วตัวเองเป็นจุดเริ่มต้นทำให้เขาไปผิด แล้วพอมีผลร้ายเกิดขึ้นมาก็ไปโทษโน่นโทษนี่ไม่เคยโทษตัวเอง ฉะนั้นการศึกษาก็มาจากปัจจัยหลายฝ่ายทั้งครอบครัวจากพ่อแม่ทั้งนักการศึกษาผู้รับผิดชอบการศึกษาเอง แล้วก็รัฐผู้บริหารประเทศชาติ ผู้บริหารประเทศชาติก็ต้องมีผู้นำที่มีความเข้าใจในเรื่องนี้ใช่ไหม ไม่ใช่เป็นเพียงว่ารู้แค่จะไปแข่งกับประเทศอื่นได้ในสังคมยุคโลกาภิวัตน์เท่านี้มันไม่พอใช่ไหม เพราะว่าแข่งกันอย่างนั้นสังคมที่เจริญในยุคโลกาภิวัตน์ ก็คือสังคมที่กำลังมีปัญหาอย่างเต็มที่ตัวเองอยากจะไปเจริญอย่างเขา ทันเขาในแง่ความจริญแบบนั้นบ้าง อยากจะให้เก่งกับเขาในแง่นั้นอะไรต่าง ๆ ซึ่งแม้แต่จะไปแข่งกับเขา ก็ไม่รู้จะจัดอย่างไร ให้มันแข่งกับเขาได้อยู่แล้วใช่ไหม ฉะนั้นแค่นั้นก็ไม่ได้ เดี๋ยวนี้มันต้องเหนือการที่จะแข่งขันด้วยซ้ำที่จะต้องทำให้มันดีคือแก้ปัญหาของโลกปัจจุบันที่ประเทศที่เจริญแล้วก็ประสบอยู่ได้ด้วย ทำไงเราจะพัฒนาประเทศชาติด้วยการศึกษาเป็นปัจจัยสำคัญที่จะให้ไม่ต้องประสบปัญหาอย่างที่ประเทศพัฒนาแล้ว อย่างประเทศอเมริกาเขาประสบอยู่ อเมริกาประสบปัญหาหนัก ๆ หลายเรื่องแต่เวลานี้ไทยเรากลับจะหนักกว่าด้วยใช่ไหม เพราะว่าอเมริกานั้นเขามีข้อเสียเยอะก็จริงแต่พื้นฐานบางอย่างเขาแน่นดีพอสมควร ของเราพื้นฐานในแง่นั้นเราก็แย่อยู่แล้ว แล้วยังมาเอาให้ค่านิยมไม่ดีในระยะหลังของเขานี้มาเติมให้แก่ตัวเองได้รู้ไม่เท่าทันอีก ก็เลยยิ่งซ้ำเติมตัวเองหนักเข้าไป อาจจะหนักกว่าประเทศอเมริกาอีก ประเทศอเมริกาเองก็จะเอาตัวไม่รอด ก็อย่างที่นาย Gingrich พูด ผมเคยยกมาให้ฟังหลายครั้งแล้ว คืออเมริกา เดี๋ยวนี้พวกผู้รับผิดชอบผู้นำพวกนักคิดปัญญาชน นั้นมีความคิดห่วงปัญญาชนในต่อสังคมของตัวเองมาก เพราะมันเสื่อมโทรมจะเอาไว้ไม่อยู่ สภาพความเสื่อมนี่มันมากมายเหลือเกิน ทีนี้ว่ามันบรรยากันต้องใช้เวลายาว พอดีใน Gingrich ซึ่งเป็นประธานสภาอเมริกัน เขาเป็น House Speaker นี่เขาก็พูดบ่อย แล้วก็แต่งหนังสือออกมา นี้ที่เขาไปพูด คนอื่นก็ไปอ้างในหนังสือของคนอื่น แต่ของเขาเองเดี๋ยวนี้เขาก็พิมพ์ออกมาแล้ว ชื่อ To Renew Americaา ข้อความตอนหนึ่งเนี่ยพูดแค่ไม่กี่ประโยคก็สื่อสภาพสังคมอเมริกันได้ เขาบอกว่า ไม่มีอารยธรรมใดจะอยู่รอดไปได้นาน เมื่อเด็กหญิงอายุ 12 ปีก็มีลูกแล้ว นี่จะเข้าคำโบราณแล้วน่ะ เด็กอายุ 12 มีลูกดีมันก็ใกล้ที่โบราณพูดเรื่องมาตอนเรื่องสังคมเสื่อม แล้วก็เด็กอายุ 15 ปีฆ่ากันตาย เด็กอายุ 17 ปีตายด้วยโรคเอดส์ เด็กอายุ 18 ปีเรียนจบไฮสคูลอ่านใบประกาศนียบัตรที่ตนได้รับไม่ออกว่างั้นนี่ นี่คือสภาพสังคมอเมริกาที่นาย Gingrich เอามาพูด คือสื่อแค่เนี้ยมันก็อธิบายในตัวว่าในสังคมอเมริกันขณะนี้เป็นยังไงใช่ไหม สังคมที่คนไทยมาเห่อเหิมอยากจะเป็นนี่ ขนาดนี้ก็เสื่อมขนาดไหน มีเรื่องราวที่จะเล่าเยอะแยะ แต่ว่าในบางแง่เขาก็ไม่ได้แย่อย่างเรา เราเห่อเหิมในเรื่องของสิ่งบันเทิงอะไรต่ออะไรทีมาจากอเมริกา แต่คนอเมริกาเขาเอาเนื้อหาสาระเขาใช้สื่อมวลชนในทางเสริมความรู้มากว่าเรา แต่ไอ้สิ่งเหล่านี้เขาผลิตออกมาในเรื่องของระบบกาการแข่งขัน เพื่อผลประโยชน์เข้าหาผู้บริโภคเข้าหาลูกค้าเขาก็ส่งมาขาย ไอ้เรากลับไปชื่นชมไปมองภาพอเมริกาจากไอ้ภาพผลิตภัณฑ์ สิ่งที่เขาส่งมาขายเป็นเรื่องผลิตภัณฑ์บันเทิงใช่ไหม วาดภาพสังคมอเมริกัน สังคมอเมริกันไม่ได้เป็นอย่างนั้นมากไม่เป็นเท่าเรา คนที่นิวยอร์ก ผมไปคนที่นิวยอร์กเล่า คนไทยนะ เขาบอกว่า คนไทยไปจากเมืองไทยไปหาเขาไปพักที่นิวยอร์กบอกให้เขาช่วยพาไปหาแหล่งบันเทิงยามราตรี เขาบอกนี่ไม่ใช่เมืองไทย นี่นิวยอร์กมันไม่มีอย่างนั้น คนนิวยอร์กเขาไม่ได้อยู่อย่างเมืองไทยอย่างนั้นที่จะเที่ยวหาแหล่งราตรี นี่คนไทยไปอยากจะไปเที่ยวหาแหล่งราตรีนึกว่านิวยอร์ก แหมเต็มไปด้วยสถานมั่วแบบของไทย เขาไม่มีอย่างนี้ เขาบอกเขาไม่รู้จะพาไปไหน ไม่มีอย่างเมืองไทยว่างั้น หรืออย่างพ่อแม่ที่โน่น เขามีลูกเรียนมหาวิทยาลัย ญาติไปจากเมืองไทย ญาติเมืองไทยหาซื้อของให้ลูก ซื้อกระเป๋ายี่ห้อดี ๆ ราคาแพงเป็นพันเป็นหมื่น ก็ลูกเขาอยู่ในโรงเรียนวิทยาลัยอเมริกันเขาไม่ได้ใช้ของพันนี้ เขาใช้ของง่าย ๆ เอาแต่ประโยชน์ใช่ไหม เขาไปเรียนไปค้นคว้าเข้าห้องสมุด แต่เด็กไทย โอ้โห นึกว่าอเมริกันนี่วุ่นวายกับเรื่องของฟุ้งเฟ้อ ไม่มีเด็กอเมริกันเขาไม่ได้ติดของฟุ้งเฟ้อ แต่พ่อแม่เมืองไทยไป ๆ สนองความต้องการของลูกอย่างนั้นไปเที่ยวหาซื้อของแล้วคนไทยไปอเมริกานี่น่ะ น้อยนักที่จะไปหาสิ่งที่เป็นเนื้อหาสาระไปหาแสวงหาปัญหา ไปดูว่าประเทศอเมริกามีปัญหาอย่างไร มีสิ่งที่จะทำให้เกิดความเจริญอย่างไรใช่ไหมไปหาความรู้หาสติปัญญาน้อยครับ โน่นไปช้อปปิ้งหาซื้อของบริโภคฟุ่มเฟือยกลายเป็นว่าเป็นเหยื่อเขา ถูกไหม นั้นเรายิ่งแย่กับเขาอีก แล้วภาพเหล่านี้มาอยู่ในสายตาหรือในความคิดในจิตใจในความเชื่อของประชาชน แล้วโดยเฉพาะเยาวชนที่มองภาพอเมริกาไม่ถูกต้อง ด้านหนึ่งอเมริกาก็เสื่อมย่อบแยบจะแย่อยู่แล้ว แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังมียังมีหลักยังมีฐานบางอย่างที่แข็งพอสมควร แต่ของเราสิมันจะ ฐานเองไม่มี แล้วยังแถมไปเอาให้ค่านิยมที่ผิด ๆ มาอีก แล้วมองภาพอเมริกาจากสิ่งบันเทิง จากผลิตภัณฑ์ที่เขาส่งมาขายเพื่อหาลูกค้า เพื่อหาผลประโยชน์เข้าประเทศเขา นั้นจึงอยู่ในภาวะที่ต้องเรียกว่าเป็นเหยื่อใช่ไหม อ้าวนิมนต์
คนฟังถาม เกี่ยวกับสื่อภาพยนต์ สินค้าอะไรพวกนี้มีตามห้าง
พระตอบ ก็มีความพยายามอยู่บ้างเหมือนกัน แต่ว่าทำจริงจังแค่ไหน แล้วความตั้งใจในการกระทำนี้ จุดมุ่งมาอยู่ที่ตรงนี้หรือเปล่า เสียงประชาชนที่พูดเวลานี้ก็คือว่า ติเตียนกันว่านักการเมืองมุ่งหาประโยชน์มากกว่า ถ้าอันไหนเป็นทางมาผลประเโยชน์แกก็จะเอา ถ้าเป็นอยางนี้จริงไม่ทางแก้ปัญหาใช่ไหม นักการเมืองนั้นจะต้องมีจุดมุ่งหมายแน่วแน่ ว่าอะไรที่เป็นเพื่อประโยชน์กับประเทศชาติสังคมในทางสร้างสรรค์พร้อมทั้งแก้ปัญหาจะต้องเอาเต็มที่ใช่ไหม แต่จะต้องศึกษาเลย อะไรบ้างที่เป็นปัญหากับประเทศ อะไรเข้ามาแล้วจะทำให้คนของเราเสีย อะไรที่จะสร้างสรรค์ทำให้ดีงาม อะไรจะส่งเสริมพัฒนาสติปัญญาของประชาชน พอแกตั้งเป้าหมายอย่างนี้ ก็คิดแกก็ศึกษาแกก็มองเห็นหมดว่าจะจัดวางแผนยังไงในการเช่นว่า เรื่องการรับสินค้าเข้าเป็นต้นใช่ไหม มันก็ต้องมาจากจิตใจที่เห็นเป้าหมายก่อน แล้วก็วางแผนโดยสอดคล้องใช่ไหม ถ้ามันไม่มีอันนี้อยู่แล้วมันไม่มีจุดเริ่มความผิดใช่ไหม มันจะไปทำอะไร
คนฟังถาม ประเด็นบางครั้งก็ยาก แม้กระทั่งผู้นำยังมีสัมมาทิฏฐิในทางแก้ไข แต่เมื่อกระแสโลกทุกวันนี้ เราไม่ Corporation ประเทศมหาอำนาจมีอำนาจในการต่อรองสูงมาก ในการที่จะบีบผู้ค้า อย่างประเทศไทยจำเป็นต้องเปิดหรือว่าจะต้องนำเข้าสุ่การค้า โดยมิฉะนั้นจะปฏิบัตตอบโต้ ยกตัวอย่าง แอค 301 ซึ่งผมมองประเด็นนี้บางครั้ง ถึงแม้เราจะเข้มแข็งจะมีผู้นำที่ดี แต่ในกระแส Corporation อย่างนั้น ปัญหามันก็คงจะรุกรามแล้วก็ขยายไป
พระตอบ อันนี้ก็ใช่ อันนี้ก็ยกตัวอย่างง่าย ๆ ก็เรื่องบุหรี่ ตอนนั้นก็จะแย่ คือว่าเราก็จะไม่รับบุหรี่ใช่ไหมเสร็จแล้วอเมริกันก็บังคับเป็นเงื่อนไขนะ ถ้าแกไม่ยอมรับบุหรี่ฉันแล้วก็ ฉันก็กันสินค้าของคุณล่ะ ทีนี้ไทยเราก็แย่ซิใช่ไหม ตอนนั้นก็เป็นปัญหาใหญ่อยู่พักนึงเหมือนกัน เรื่องอื่น ๆ ก็เหมือนกันอันนี้เป็นเรื่องของนี่แหละที่ว่าเหตุปัจจัยมันหลายด้าน แต่ว่ามันต้องเริ่มก่อน คือผู้นำทันใช่ไหม ผู้นำต้องแข็งเท่าที่ทำได้ ตอนนี้เมื่อมีจุดมุ่งหมายชัดเจนตัวเองมีเจตนาบริสุทธิ์แก่ประเทศชาติมีความหวังดีมีสติปัญญารู้เท่าทันแล้วนี้ก็เอาสิ ไอ้ปัจจัยภายนอกที่มันมาคุกคามแล้วมาบีบคั้นเนี่ย ก็ต้องยอมรับว่ามันมีความจริง แต่ตัวจะต้องมีปัญญาที่จะเรียกว่าทำให้ดีที่สุดที่จะกันได้ดีที่สุด แล้วจะได้รับประโยชน์จะดีที่สุด แกเอาจากฉันเท่านี้ ฉันก็หาทางเอาจากแก้ให้ได้มากที่สุดเหมือนกันใช่ไหม มันจะมีทางดีขึ้นถูกไหม ถ้าผู้บริหารนี่เก่ง ทัน และเจตจำนงที่ดีงามต่อสังคมของตัวเองมุ่งมั่นอย่างชัดเจน ตอนเรื่องของเวทีระดับโลกอันนั้นต้องยอมรับ แล้วเราเรามีความรู้ตระหนักเพื่อที่ว่าจะสู้กับมันอย่างไร ทีนี้อีกอันที่สำคัญมากก็คือ ค่านิยมของประชาชนอันนี้จะยิ่งใหญ่ยิ่งกว่าความบีบคั้นจากต่างประเทศอีก ถ้าประชาชนเป็นซะเองนะครับ จะบีบคั้นผู้บริหารแล้วจะไม่เอาผู้บริหารที่ดีด้วยถูกไหม ประชาชนก็จะเอาผู้บริหารที่สนองความต้องการของตนเองที่เป็นไปเพื่อความเสื่อมโทรม เพราะฉะนั้นก็เป็นผลกรรมร่วมกันของสังคม นี้ความต้องการของประชาชนที่ขาดสติปัญญาแล้วก็ไม่ได้มีความคิดจิตเจตจำนงเพื่อสร้างสรรค์สังคมของตนอย่างแท้จริง แต่ละคนก็มุ่งแต่ผลประโยชน์ของตัวเองถ้าเป็นอย่างนี้แล้วจะแก้ปัญหายากเพราะตัวประชาชนเองนี่แหละจะทำให้ผู้นำผู้บริหารไม่สามารถแก้ปัญหาได้ เมื่อจะทำสิ่งที่ดีประชาชนก็ไม่เอาด้วย แล้วแม้แต่ว่าการที่จะขึ้นมาสู่ตำแหน่งเขาก็จัดกันคนที่ดีไหมเข้ามา แล้วเขาก็จะเอาคนที่สนองความต้องการของเขาใช่ไหม และประชาชนนี้เป็นตัวสำคัญ เพราะฉะนั้นปัญหาอยู่ที่ว่า ต้องพัฒนาตัวประชาชน พัฒนาคุณภาพประชาชน เพราะในที่สุดแล้วประชาธิปไตยก็มาจากส่วนร่วมของคนในชาติที่เข้ามาร่วมกันปกครองใช่ไหม ตอนนี้เราจะพยายามจะให้คนมีส่วนร่วมแต่ว่ามันไม่รู้ว่าจะเป็นส่วนร่วมหรือเปล่า หรือเป็นส่วนร่วมในทางสร้างสรรค์ หรือส่วนร่วมในการทำลาย ประชาชนจะต้องมองตัวเอง จะต้องยอมรับอย่าไปมองว่าคนอื่นติเตียนเราอะไรต่าง ๆ เพราะหลักการของสังคมที่ดีงามจะต้องสำรวจพิจารณาตนเอง แล้วก็ช่วยกันพัฒนาตนเองขึ้นไปต้องอยู่ในความไม่ประมาทเสมอ
คนฟังถาม ย้อนมาระดับสังคมน่ะครับ ที่เมื่อกี้เราคุยในระดับโลกเสนอพระเดชพระคุณ ตอนที่เป็นระดับสังคมไทยมันเป็นเรื่องของค่านิยม ซึ่งค่านิยมก็มาจากประชาชนส่วนมาก Quality
พระตอบ ใช่ซิ
คนฟังถาม ครอบครังที่มีความแน่วแน่ใฝ่ธรรม พากันเข้าวัดอยู่สม่ำเสมอ แต่ในทางเดียวกันก็จะพาลูกเข้าวัดได้เฉพาะวันเสาร์วันอาทิตย์ในวันหยุด ซึ่งใช้เวลาที่พาเข้ามาแค่ 2 ชั่วโมง 3 ชั่วโมงอย่างมากแต่ละครั้ง แต่เยาวชนนี่จะต้องกลับไปสู่กระแสที่เป็นอยู่ใช้ชีวิตท่ามกลางสภาพแบบนั้น เวลาการนับเนื่องได้ 100 หรือว่า 200 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ไม่ทราบว่าเยาวชนจะมีทางออกอย่างอื่นไหมครับ
พระตอบ เอ้า หนึ่ง กระแสมันท่วมทับ เราพูดกันด้วยว่าแม้แต่คนที่มีอุดมการณ์ดีออกไปสู่สังคมก็ถูกกลืนอะไรอย่างนี้ อันนี้มันต้องยอมรับความจริงกระแสใหญ่มันพาไปใครทำก็ทวนกระแส นี้ถ้าทวนกระแสก็ยังดีถ้าทำให้เป็นไปต้านกระแสเลยพังเลย เพราะฉะนั้นต้องระวังนะ ทำได้แค่ทวนกระแส อย่าไปต้านกระแสวิธีปฏิบัติ ทีนี้ทวนกระแสนี้ก็ต้องมีความเข้มแข็ง แต่เราอย่าไปลืมว่าให้ก่อนที่ค่านิยมแบบร้ายมันจะมาครอบงำสังคม มันก็เริ่มจากน้อย ๆ ก่อนเหมือนกันนี่ใช่ไหม ให้ตอนนี้มันเริ่ม มันก็มาจากน้อย แต่ว่ากระแสในเชิงกามอามิตรเนี่ย มันจะชักจูงรอเร้าง่ายกว่าเราต้องยอมรับความจริงอันหนึ่ง แต่มันก็เริ่มจากน้อยก่อนแล้วก็แผ่ขยายไป ทีนี้ในทางดีก็เหมือนกันว่าเราจะแก้ปัญหา เราอย่าไปย้อท้อ มันก็ต้องเริ่มจากน้อย ขยายออกไปเหมือนกันใช่ไหม ก็ค่อย ๆ แผ่ขยายไปซิ สร้างสติปัญญา สร้างความรู้ความเข้าใจปลูกจิตสำนึกความเข้มแข็ง แล้วการที่ว่าได้มีฉันทะ มีความปรารถนา มีความใฝ่ในทางที่ดีงาม ปลุกกันขึ้นมาค่อย ๆ ขยายออกไป ท่านอนุรัชมีอะไรครับ เมื่อกี้เห็นจะพูด
คนฟังถาม ในการทวนกระแสเราจะต้องเข้าแข็ง เราจะต้องรู้จักตัวเอง
พระตอบ ครับ รู้จักตัวเอง แล้วก็ เห็นชัดในเป้าหมายวิถีทางที่ดีงามที่ตัวจะเอาเป็นอย่างไร เห็นคุณค่าว่ามันดีแท้ เห็นชัดโดยการเปรียบเทียบว่าสภาพที่เราไม่เอาที่เป็นกระแสใหญ่เนี่ย มันมีความผิดพลาดไม่ถูกต้องอย่างไร แล้วแนวทางที่เราต้องการนี้มันดีกว่าแน่นอนอย่างไร เมื่อเราชัดอันนี้แล้ว เราจึงพร้อมที่จะทวนกระแสได้ เมื่อเราทวนกระแสนั้นไม่ใช่ หมายความว่าเราไปต้านกระแสใช่ไหม ทวนกระแสนี้ กระแสมันของมันแต่ว่าเราสามารถขึ้นไป ทีนี้พอมีคนทวนกระแสมากขึ้น เอ้ กระแสที่ทวนนี่มันชักใหญ่ขึ้น ต่อมาไอ้กระแสที่ทวนมันกลายเป็นกระแสหลัก ไอ้กระแสเดิมกลายเป็นส่วนเล็กน้อยไปไอ้ฝ่ายน้อยนั้นเป็นทวนกระแสใช่ไหม ตอนนี้มันอยู่ที่ว่าเพราะเป็นฝ่ายน้อยตอนนี้มันก็เลยเป็นฝ่ายทวนกระแสก่อน แต่ว่าอย่างที่ว่าต้องมีความชัดเจนตอนนี้ก็ต้องการ 1 ปัญญารู้เท่าทัน 2 ความใฝ่ดีในสิ่งที่เห็นคุณค่าเป็นประโยชน์แท้จริงถูกต้องแล้ว 3 มีความเข้มแข็งที่จะดำเนินตามวิถีทางนั้น อย่างน้อยมีอันนี้
คนฟังถาม ไม่ทราบพระเดชพระคุณ จะมีเสนอแบบฝึกหัด เยาวชน ประชาชนโดยทั่วไป
พระตอบ มี ยังต้องพูดกันอีก ต้องพูดกันอีกเยอะเรื่องนี้ ยังมีต่อไป
คนฟังถาม พุทธสุภาษิตจีนบทหนึ่งว่า ทำพระสูงขึ้นหนึ่งคืบ กับทำสูงขึ้นหนึ่งศอก แล้วก็ตามกฏธรรมชาติของคนที่ชอบทำชอบเปรียบเทียบว่า น้ำจะต้องไหลจากที่สูงลงสู่ที่ต่ำ ไม่ทราบว่ากระแสของคนจะไหลทวนกระแสได้มากน้อยแค่ไหนครับ
พระตอบ ก็ต้องยอมรับความจริงว่ามันยากหน่อย แต่ว่าพุทธศาสนาก็มีหลัก หลักไตรสิกขาถือว่ามนุษย์ต้องฝึกฝนพัฒนาตัวเอง ชีวิตที่ดีของมนุษย์ได้มาด้วยการฝึกฝนพัฒนาตน ถ้าเราสร้างจิตสำนึกของการฝึกฝนพัฒนาตนอยู่เสมอ นี่แหละมันจะมาเป็นตัวหลักที่จะช่วยให้อยู่ท่ามกลางไอ้การไหลลงของกระแสน้ำ ทีนี้กระแสของคนคือกระแสไตรสิกขา มันไหลขึ้นอยู่เรื่อยใช่ไหม พัฒนาคือขึ้นใช่ไหม ทีนี้ถ้ามันเป็นตัวหลักของชีวิตไปเลยไตรสิกขา ก็หมายความว่าการเรียนรู้ฝึกฝนพัฒนาตนนี้เป็นชีวิตของเรา เพราะฉะนั้นมันก็ไปได้สมดุลกันเลย กับไอ้กระแสลงของน้ำใช่ไหม กระแสของตัวเราของมนุษย์ทุกคนนั้น ก็คือหลักการแห่งไตรสิกขาที่ขึ้นเรื่อยใช่ไหม มันก็เลยดุนกันอยู่ไม่มีปัญหา แต่ตอนนี้มันไม่สามารถจะนำจิตสำนึกในการเรียนรู้ฝึกฝนพัฒนาตน ที่เรียกว่าไตรสิกขาเข้าไปสู่จิตใจคนได้ใช่ไหม
คนฟังถาม พระอาจาร์อย่างเหนือกระแสเป็นอย่างไง
พระตอบ เหนือกระแสนั้นอีกขั้นหนึ่ง จะเหนือกระแสต้องเก่งอีกขั้นนึงเลย นี่ก็จะพูดกันต่อไป เพราะว่าเป็นเรื่องใหญ่น่ะ ตอนเหนือกระแสนี่ ตอนนี้เราเองถ้ามันอยู่ในกระแสถูกกระแสน้ำท่วมด้วยซ้ำน่ะ มันไม่สามารถขึ้นไปเหนือกระแส เพราะว่าตอนนี้จะดันได้แค่ว่าทำไงจะยืนหยัดอยู่ในกระแสได้ไม่ถูกท่วมไม่ให้ถูกพัดพาใช่ไหม แล้วทีนี้ก็ยืนหยัดได้ก็ทวนกระแสไปขึ้นฝั่ง พอไปขึ้นฝั่งแล้วทีนี้ก็เหนือกระแสแหละทีนี้ใช่ไหม ตอนนี้มันอยู่กลางทะเลกลางน้ำไม่รู้จะขึ้นได้อย่างไร
คนฟังถาม อย่างโบราณที่ว่า ปลาไหลตามน้ำ คือปลาที่ใกล้จะตายหรือเปล่า
พระตอบ อันนี้ก็ เอาคตินี้มาเตือนใจคนซ่ะ สังคมเป็นอย่างไรจึงเป็นสภาพแวดล้อมที่ทำให้เหตุการณ์อย่างนี้กรณีอย่างนี้คนอย่างนี้เกิดมีขึ้นบ่อย ๆ ใช่ไหม ค่านิยมสังคม กระแสสังคมที่เป็นสังคมบริโภค สังคมของนักเสพ
คนฟังถาม ในสถานะการณ์เช่นนี้ที่เรากำลังคุยกันอยู่น่ะครับ จริง ๆแล้วเราควรจะเริ่มสถาบันหลักไหนก่อน
พระตอบ อย่าบอกว่าเริ่มที่ไหนก่อนเลย ใครรู้ตัวมีจิตสำนึกเริ่มเลย รอกันไม่ได้เกี่ยงไม่ได้ในสภาพสังคมอย่างนี้ เกี่ยงให้คนนั้นเริ่ม ก็แย่รอไปเถอะใช่ไหม ฉะนั้นใครรู้ตัว ใครอยู่ที่จุดไหน ตัวเองก็เริ่มขึ้น เป็นแต่ว่าทำไงจะขยายผลแสวงผลความร่วมมือ แล้วก็กระตุ้นจิตสำนึกของคนที่มีความรับผิดชอบเพราะโดยเหตุโดยผล โดยตามสมควรนั้น ผู้ที่อยู่ในสถานะที่รับผิดชอบต่อสังคมก็ควรเป็นผู้เริ่ม เราได้แต่พูดว่าควร เช่นอย่างผู้บริหารประเทศ หรือวงแคบลงมา สังคมย่อยที่สุด หน่วยย่อยก็คือครอบครัวพ่อแม่ พ่อแม่เปลี่ยนปัดความรับผิดชอบไม่ได้ บางทีพ่อแม่ก็ไปปัดความรับผิดชอบให้ผู้บริหารประเทศอีกใช่ไหม ปัดความรับผิดชอบไปให้ครู คือปัดกันไม่ได้ ที่จริงรับผิดชอบในส่วนของตนของตน พ่อแม่ก็ต้องรับผิดชอบเพราะเป็นหน่วยย่อยส่วนประกอบขั้นรากฐานของสังคมเลย ถ้าพ่อแม่วางรากฐานดีเนี่ยก็จากสังคมที่ดีนั่นแหละ ก็ไปสู่สังคมหน่วยใหญ่ประเทศชาติที่ดีไปด้วยใช่ไหม แต่พ่อแม่สังคมครอบครัวฉันครอบครัวเดียวจะไปทำอะไรได้แค่ไหน ถ้าเรามัวพูดอย่างนี้มันก็ไม่มีจุดเริ่มใช่ไหม ทำได้แค่ไหนก็แค่นั้น แต่รู้ตระหนักถึงความยาก เพราะยิ่งยากก็จะทำให้เรายิ่งต้องเข้มแข็งใช่ไหม เราเอาใช้ความยาก เอาสภาพแวดล้อมที่ไม่เอื้อนี่แหละมาทำให้เราต้องใช้ปัญญาและความเข้มแข็งเพิ่มขึ้น ไม่ใช่ไปเอาไอ้ความยากมาเป็นเหตุตัวท้อ ใช่สิก็ต้องสู้ เพราะยิ่งยากก็ยิ่งต้องใช้พลังมากต้องใช้สติปัญญามากใช่ไหม เหมือนอย่างกองทัพรัชกาลที่ 1 พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก จะเอาชนะทัพพม่า 9 ทัพได้กองทัพน้อยสู้กองทัพพม่าตั้ง 9 ทัพ ก็ต้องใช้สติปัญญามากใช่ไหม ความเข้มแข็งของจิตใจความสงบการประสานสามัคคีในหมู่ทหาร เสร็จแล้วรัชการที่ 1 ก็ทรงเอาชนะกองทัพพม่า 9 ทัพได้จริงไหม เพราะฉะนั้นในเมื่อพลังฝ่ายร้ายมันมามากเราก็ต้องยิ่งตระหนักอันนี้ใช้สติปัญญาให้ละเอียดรอบคอบยิ่งขึ้น ถูกไหมครับวางแผนให้มันถี่ถ้วน มันก็หลุดลอยจากบทบาทนั้น หน้าที่ของตนเองก็ไปเป็นเพียงผลผลิตของสังคม อันนี้มันเป็นเรื่องที่ว่าองค์ประกอบต่าง ๆ ทั้งหมดในสังคมใดนี่เป็นปัจจัยแก่กันและกัน ทีนี้เวลาเราแก้เราจะไม่ปัดความรับผิดชอบ ถ้าเราพูดถึงตัวเองเราต้องพูดในเชิงที่ว่า ต้องพูดเชิงไม่ประมาทหาข้อบกพร่องปัญหาของเราที่มีแล้วจะได้แก้ไขอย่างไรแต่ถ้าพูดถึงคนอื่น พูดเพื่อชี้จุด เพื่อที่จะปลุกใจให้ขึ้นมาแก้ปัญหาพูดได้ แต่พูดแบบซัดกัน ถ้าพูดซัดกันแล้วเอ้อ เอ้าล่ะพระก็ไม่รับความผิดของตัวเองแล้ว บอกว่าญาติโยมอย่างงั้นอย่างงี้อะไรน่ะ ถ้ามองภาพรวมมีวิธีอีกอย่างหนึ่ง ตอนที่เกิดปัญหามากเรื่องข่าวพระเสียหายมากมีแล้วมีอีก ผมพูดอยู่เรื่อยแต่ไม่มีใครเอาใจใส่ บอกว่าการที่เกิดเหตุร้ายความเสื่อมโทรมในหมู่พระสงฆ์นี้ มันเป็นสัญญาณฟ้องว่าสังคมของเรานี้ได้เสื่อมโทรมอย่างยิ่งแล้ว เพราะตามปกตินั้นพระสงฆ์ คือส่วนที่เป็นยอดสุดดีที่สุดในทางความประพฤติความดีงามจริยธรรมของสังคม ถ้าความเสื่อมนี้ได้เข้ามาถึงจุดที่ดีที่สุดของสังคมนั้นก็เป็นเครื่องบอกแล้วว่าเวลานี้สังคมส่วนใหญ่นั้นเลวร้ายขนาดไหน พระสงฆ์ถึงได้เป็นขนาดนี้ เมื่อมองอย่างนี้แล้วจะได้รีบมาตื่นขึ้นมาช่วยกันแก้ปัญหาของสังคม ไม่ใช่มัวเพ่งจ้อง แล้วเวลานี้เห็นไหมเนี่ยการที่ความเสื่อมจะมาถึงแกนกลางทางศีลธรรมสังคมนี่แกนกลางสังคมส่วนใหญ่มันต้องแย่เต็มทีแล้ว เวลานี้มันก็แย่แล้ว แต่คนไม่ยอมมอง คือควรจะมองในลักษณะความสัมพันธ์ความเป็นเหตุปัจจัยอย่างนี้ สถาบันสงฆ์ พระสงฆ์เนี่ยทั้งโดยบทบาทหน้าที่ตัวเอง ก็ต้องเป็นหลักให้ในทางธรรมะทางจริยธรรมอะไรที่ว่า แล้วทั้งโดยประเพณีสภาพแวดล้อมวัฒนธรรมของสังคมก็ช่วยเชิดชูไว้มีเกราะมีอะไรก็ช่วยหล่อหลอม ช่วยกันช่วยอะไรไว้จะให้อยู่ในภาวะที่ดีที่สุดได้ใช่ไหม ที่นี้พระเองเป็นยังไงสังคมเป็นยังไงพระถึงได้เป็นอย่างนี้ มันแสดงถึงภาวะว่าสังคมเองด้วย เพราะฉะนั้นเราจะไปมองแค่จุดหนึ่งจุดเดียวต้องมองในระบบความสัมพันธ์ทั้งสังคม ฉะนั้นเมื่อมองไปภาพรวมจึงต้องพูดอย่างนี้ ที่ว่าถ้าพระเสื่อมโทรมขนาดนี้ให้ตื่นตัวขึ้นมาเสียว่าถ้าเป็นอย่างนี้แล้วสังคมส่วนใหญ่มันต้องเลวร้ายอย่างหนักแล้ว ส่วนที่ดีที่สุดของเรามันถึงได้เสื่อมโทรมได้ถึงขนาดนี้