แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ไฟล์ถอดเสียงนี้ยังไม่ได้ผ่านพิสูจน์อักษร นำขึ้นมาเพื่อช่วยในการศึกษาค้นคว้าของผู้สนใจ
คนฟังถาม พระเดชพระคุณครับ ที่มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับพระแม่ธรณีบีบมวยผม
พระตอบ ก็ตอนนั้นพูดถึงบารมี เพื่อจะอ้างบารมี ก็ว่าอ้างบารมีที่พระพุทธเจ้าที่ได้บำเพ็ญมาใช่ไหม นางธรณีก็เป็นพยานบีบมวยผมเอาน้ำนองท่วมทับมารหมดเลยใช่ไหม ว่าความดีที่พระพุทธเจ้าบำเพ็ญมานี้ไม่รู้เท่าไหร่เลย อันนี้ก็เป็นเรื่องของการพูดถึงเหตุปัจจัที่สร้างสมความดีเก่าที่ว่าบำเพ็ญมา กำลังแห่งความดีที่สร้างมากมายพิชิตความชั่วร้ายได้ แล้วพระพุทธเจ้าของเราก็ชนะด้วยพระคุณอย่างนี้ โดยไม่ต้องเป็นแบบเทวรูปฮินดูที่จะต้องผาดโผนโจนทะยานลุกขึ้นยกแข้งยกขายกแขนอ้า แล้วก็ถืออาวุธมากมาย มี 20 มือ มี 1000 มือ อะไรต่าง ๆ ไม่ต้อง พระพุทธรูปของเราพระพิชิตมารชนะมารนี่สงบที่สุดเลยใช่ไหม แล้วก็มีเมตตากรุณายิ้มแย้มพร้อมที่จะมีเมตตาเกื้อหนุนให้ธรรมะความดีงามแก่สัตว์ทั้งหลายตลอดเวลาใช่ไหม นี่ยอดสุดฤทธิ์ของฤทธิ์ของอำนาจของพลานุภาพ ก็อยู่ที่ความดีงามพระคุณต่าง ๆ เหล่่านี้ ไม่ใช่อยู่ที่การมีโลภะโทสะโมหะเต็มที่ นั้นก็เป็นการที่ว่า เปลี่ยนจากอำนาจพลังแห่งกิเลสมาเป็นพลังแห่งคุณธรรมความดีงาม นี้ในคาถาที่เราสวดนี่ก็ยังไม่ได้พูดถึง อย่างคาถาที่มีอยู่เช่น ว่าผู้ที่พัฒนาตนฝึกตนดีแล้ว เทวดาพระพรหมเคารพบูชาใช่ไหม จะมีต่อไปอีก แต่ในนี้ไม่ได้เอามา เพราะว่าไม่ได้เป็นคาถาสวดในการอนุโมทนา เพราะไม่เกี่ยวกับของการที่ว่าจะไปให้พรหรือช่วยเหลือ เพราะคาถานี้เกี่ยวการที่ช่วยเหลือมนุษย์ใช่ไหม แต่เป็นสอนเทวดา ก็เลยเอามาอยู่ในบทอนุโมนทนาด้วย ที่จริงน่าจะเอามารวมด้วยก็ดีที่ว่า พระพุทธเจ้าหรือบุคคลที่ได้ฝึกตนพัฒนาตนดีแล้วแม้แต่เทพพรหมก็เคารพบูชา ว่ามนุษย์นี่ในที่สุดเมื่อฝึกตนแล้ว นี่มนุษย์กับเป็นผู้สูงสุดประเสริฐสุด ความประเสริฐก็วัดอยู่ที่คุณความดีความบริสุทธิ์อย่างที่ว่า ที่บอกว่า มะนุสะพูตังสัมพุทังอะทะตังสะมาหิตัง และก็ว่าไปเยอะ แล้วเทวาปิมะนะสันติ แปลว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี้ทั้งที่เป็นมนุษย์นี่แหล่ะ แต่ว่าพัฒนาหรือฝึกอบรมพระองค์เองแล้วเป็นผู้มีพระหฤทัยดีได้อบรมถึงที่แล้ว แม้เทพทั้งหลายก็น้อมนมัสการ ในคาถาอื่นก็มีพระพรหมด้วย ความจริงคาถาอนุโมทนายังมีบทให้พรที่เราใช้สวดกันตลอดทุกครั้งเลยแต่ไม่เอามารวมด้วย เพราะง่ายเกินไปที่เล่าแล้วว่า ในหนังสือเล่มนี้ เกิดจากว่าพระที่เป็นพระเก่าชำนาญสวดอยู่แล้วก็เลยบทง่ายเกินไปไม่เอาเข้ามาต่อไปจะต้องเอาเข้ามาด้วย บทที่สวดที่บ่อยที่สุดในอะไรก็บท พะวะตุสะพะรังระขังสุขะพะเทวะตา สัพพะพุทานุพาเวนะสะทะโสสีปะวะตุเต ใช่ไหม พะวะตุสะพะมังคะลัง ขอสัพพะมงคลหรือมงคลทั้งปวงจงมี ระขังตุสะพะเทวะตา ขอให้เทวดาทั้งปวงจงรักษา สัพพะพุทธธานุภาเวนะ ด้วยอำนาจแห่งพุทธเจ้าทั้งปวง สะทาโสตถีเต ขอความสวัสดีจงมีแก่ท่านตลอดกาลทุกเมื่อ
แล้วต่อไปคาถาที่ 2 ก็เป็นพระธรรมก็บอกแบบเดียวกันว่า ของสรรพมงคลจงมี ขอเทวดาทั้งปวงจงรักษาด้วยอนุภาพแห่งพระธรรมทั้งปวง ความสวัสดีจงมีแก่ท่านตลอดกาลทุกเมื่อ
แล้วคาถาที่ 3 ก็ขอสรรพมงคลจงมี ขอเทพหรือเทวดาทั้งปวงจงรักษาด้วยอนุภาพแห่งพระสงฆ์ทั้งปวง ขอความสวัสดีจงมีแก่ท่านตลอดกาลทุกเมื่อ อันนี้สวดทุกครั้งเลยเวลาอนุโมทนา จะได้ยิน ยกเว้นแต่สวดบทสัพพะโร จะเอาสั้น เอาแค่
คนฟังตอบ มีอยู่แล้วนะครับ พระตอบ มีเหรอ เอาไปไว้ตรงไหนล่ะ
คนฟังตอบ เอาไว้ข้างหลัง พระตอบ อ๋อ เอาไปแล้วผมก็ไม่ได้ดู เพราะไม่ได้ใช้สวดสักที
คนฟังตอบ ครับ
พระตอบ เพราะเห็นว่าง่ายเกินไปก็เลยไม่เอาสวด อ้อเอามาใช่ไว้แล้ว คือที่จริงก็ต้องใส่หมดแหละ บทง่าย บทยาก อะไรก็ให้มันเต็มซะ นี่ก็เป็นอันว่ามีแล้วก็หมดเรื่องไป
นี่ก็อันนี้บทสวด ภะวะตุสัพ เป็นบทยุคหลังไม่มีในพระไตรปิฎก ก็เป็นการที่ว่ามาโยงเชื่อมต่อจากความเชื่อศาสนาเก่าเข้าสู่พุทธศาสนา แต่ว่าต้องระวังให้ดีนะ พระยุคหลังบางทีก็ชักเลย ๆ ไปเหมือนกัน เพราะชักจะกลายเป็นชักจะอ้อนวอนไปแล้ว ถ้ายุคเก่าแล้วเราก็แนวทัศนะจะชัดมาก ถ้าทีต่อเทวดาอะไรต่าง ๆ ก็คิดว่านี่ที่พูดมานี่ก็คงจะให้ได้แนวคิดแล้วก็เป็นเครื่องมายืนยันหรือมาย้ำเสริมสิ่งที่พูดไปแล้ว เพราะพูดเรื่องนี้มาเยอะแล้วน่ะ ถ้าทีจะชัดเจนแล้วก็ยังจะพูดต่อไปอีกก็ไหน ๆ วันนี้มีบทสวดอนุโมทนาที่เกี่ยวกับเรื่องนี้ก็เลยมาแปลซะด้วย
คนฟังบอก ญัตติธรรม ครับ พระตอบ ญัตติธรรมก็ธรรมะต่อญาติ
คนฟังถาม ธรรมะต่อญาติ
พระตอบ เอามาใช้ผิดใช้เป็นคนไป ใช้จนกระทั่งดึงไมกลับแล้วกู่ไม่ไหว ไปเรียกเป็นคน จากบางสำนักเอาไปใช้ผิดก่อน แล้วก็ใช้ตามกันไป เป็นคนไม่ได้ ญาติธรรมก็ ธรรมะต่อญาติ
คนฟังถาม ธรรมะต่อญาติ
พระตอบ ก็หน้าที่ต่อญาติหมายความว่า การที่เราไปอุทิศกุศลให้ท่านในการทำบุญก็คือเป็นการทำหน้าที่ต่อญาติใช่ไหม ธรรมะต่อญาติ ที่นี้เดี๋ยวนี้มาเรียกเป็นคน คนเป็นญัตติธรรม ยุ่งไปกันหมด
คนฟังถาม เขาเรียกว่าญาติทางธรรม
พระตอบ ไม่ อย่างนั้นไม่เป็นไรซิ ญาติทางธรรมก็หมดไป แต่เขาเรียกญัตติธรรมเลย
คนฟังถาม ครับ ครับ ด้วย ด้วยน่ะครับ
พระตอบ อันนั้น คือไม่ด้วยล่ะ ต้องเรียกญาติทางธรรมถึงจะถูก แต่ไปเรียกญัตติธรรมไม่ถูก ญาติทางธรรม ญาติโดยธรรม ไม่มีปัญหา นี่เป็นภาษาไทย แต่ไปเรียกญัตติธรรม เนี่ยผิด เพราะไปเอาภาษาบาลีมาใช้ ทำให้วิปลาสไป ก็ญาติโดยธรรมมันก็เป็นภาษาไทยไปใช่ไหม
คนฟัง อ๋อครับ พระญาติโดยธรรม ญาติทางธรรม แต่ญัตติธรรมใช้ไม่ได้
ไหน ๆ วันนี้มีบทสวดอนุโมทนาที่เกี่ยวกับเรื่องนี้ ก็เลยมาแปลเสียด้วย ที่นี้ยังแปลไม่หมด เพราะฉะนั้นก็แปลต่อสิ บทต่อไปนี่ ไม่เกี่ยวกับเทวดาแล้วมั้ง อันนี้ อาทิยะสุตตะคาถา คาถาว่าที่มาในอาทิตย์สูตร หมายความพระสูตร อาทิตย์สูตรนี่ยาวร้อยแก้วด้วย ตัดเอามาเฉพาะคาถา คาถาในอาทิตย์สูตร คาถาอาทิตย์สูตรนี้ก็ เป็นพระสูตรที่ว่าด้วยประโยชน์ ที่ควรจะถือเอาจากโภคทรัพย์ หมายความว่าพระสูตรที่ว่าด้วยการใช้จ่ายทรัพย์ ว่าเรามีทรัพย์แล้วควรจะใช้ประโยชน์อย่างไร ไม่ใช่มีแล้วก็เฉย ๆ แล้วก็เกิดโทษ ทีนี้ท่านบรรยายไว้จบ แล้วท่านก็สรุปคาถา ไว้พระพุทธเจ้าตรัส คาถาสรุป คาถาสรุปนี้ก็ต้องไปดูเนื้อความในร้อยแก้วอีกที มาอ่านจากเฉพาะคาถาสรุปนี้ก็ไม่ได้ความสมบูรณ์ ฉะนั้นก็เป็นการที่ว่า มาพิจารณาตัวเองว่า อ๋อได้ปฏิบัติตามที่พระพุทธเจ้าสอนไว้แล้ว มาพิจารณาอย่างนี้คือ ไม่ได้มาเอ้อ เราได้ปฏิบัติตามที่พระพุทธเจ้าสอน ปฏิบัติใช้ทรัพย์ให้เป็นประโยชน์ถูกต้องตามหลักการแล้วก็
ภุตตาโภคา พะตาพะจาวิตินาอาปะทาสะเม ก็พิจารณาแล้วก็ได้เห็นว่า อ๋อ ภุตตา โภคา ภัตตา ภัจจา โภคทรัพย์ เราก็ได้ใช้มันแล้ว พะตาพะจา คนที่ควรเลี้ยง เราก็ได้เลี้ยงแล้ว วิติณณา อาปะทาสุเม ในบรรดาภยันตรายทั้งหลาย เราก็ข้ามพ้นแล้ว นี่ด้วยอาศัยทรัพย์ ใช้สอยก็ใช้ ป้องกันอันตรายต่าง ๆ เราก็ข้ามพ้นไปแล้ว ขจัดปัดเป่าภัยอันตราย อุทะคาทะคินีอาทินนา ทักษินาทานคือทานที่ถวายด้วยเชื่อกรรม อุทิศกุศลอะไรต่าง ๆ ที่มีผลในเบื้องสูง หมายความ เราก็ได้ถวายแล้ว หมายความได้ถวายทานแก่พระภิกษุสงฆ์ซึ่งเป็นทานที่มีผลในเบื้องสูง อะโถปันจะพะรีกะตา อีกทั้งพลี 5 ประการ เราก็ได้กระทำแล้ว พลี 5 ประการท่านสอนไว้ ในบทร้อยแก้ว พลี 5 การมีอะไรบ้างล่ะ
1 ญาติพลี แปลว่า สละสงเคราะห์ช่วยเหลือญาติ หมายความว่าทรัพย์ส่วนหนึ่งจะเตรียมไว้ใช้สำหรับช่วยเหลือสงเคราะห์กันในหมู่ญาติ
2 อติถิพลี ไว้รับแขกคนที่รู้จักคุ้นเคยไปมาหาสู่ ก็จัดไว้ เตรียมไว้ แบ่งทรัพย์ไว้ส่วนหนึ่งที่จะได้ต้อนรับขับสู้ปฏิสันถาร
3 ปุพพเปตพลี ทำบุญอุทิตให้แก่ผู้ล่วงลับ บิดามารดาบุพการีชน บรรพชนผู้ล่วงลับแล้วก็ทำบุญอุทิศให้แก่ท่าน
4 เทวะตาพลี 4 ต้อง ราชพลี ก่อนซิ
4 ราชพลี แปลว่า สละบำรุงพระราชา ก็หมายความว่าบำรุงถวายหลวง ถวายหลวงหมาความว่าเสียภาษีอากร เพื่อบำรุงจะได้ให้ท่านมีกำลังดูแลรักษาประชาชน
ต่อไปก็ 5 เทวะตาพลี บำรุงเทวดา นี่ก็ตามท่ามกลางสภาพแวดล้อมอย่างนั้น นี่ก็หมายความขยายการที่จะมาบำรุงให้กว้างออกไป
พลี 5 อย่าง เราก็กระทำแล้ว อุปัฏจิตาสีละวันโต สัญญะตา พรัหมะจาริโน ท่านผู้ทรงศีล ผู้สำรวม ผู้เป็นพรหมจารีเราก็อุปถัมภ์บำรุงแล้ว ยะขาทนียโภชนียะ ปะมันติโตทะระมาวะสัง บัณฑิตอยู่ครองเรือนพึงปรารถนาโภคทรัพย์เพื่อประโยชน์ใด โสเม อัตโถ อะนุชปัตโต ประโยชน์นั้นหรือจุดมุ่งหมายนั้นเราก็ได้บรรลุถึงแล้วนี่ กะตังอะนุตับปะติ การงานการกระทำ กรรมอันไม่ก่อให้เกิดความเดือดร้อนเราก็ได้กระทำแล้ว หรือแปลอีกอย่างว่า เราได้กระทำแต่กรรมที่ไม่ก่อความเดือดร้อน เอตัง อะนุสสะะรัง มัจโจ อะริยะธัมเม ฐิโต นะโร บุคคลผู้ตั้งอยู่ในธรรมของอริยเจ้าหรือในอริยธรรม นี้อริยธรมมาตรงนี้ อริยธรรมเมแปลว่า อริยธรรม คนที่ตั้งตนอยู่ในอริยธรรมมาระลึกถึงความดังที่กล่าวมานี้ อิเธวะ นัง ปะสังสันติ ย่อมเป็นที่ได้รับการสรรเสริญทั้งในโลกนี้เป็น สัคเค ปะโมทะติ จากโลกนี้ไปแล้วก็บันเทิงในสวรรค์ ว่าอย่างงั้น เห็นไหมหลักธรรมชัดเลยใช่ไหม ว่าให้เรารู้จักปฏิบัติต่อทรัพย์ อันนี้คาถานี้จะใช้สวดในเรื่อง เอ้กับคนตายก็ได้น่ะ ที่จริงจะใช้ในงานวันเกิดก็ได้ วันเกิดแล้วที่จริงน่าสวด ให้เวลาถึงรอบปีหนึ่ง เอ้อเราได้ใช้จ่ายทรัพย์ระลึกทวนความจำว่าเราได้ใช้จ่ายทรัพย์ตามที่พระพุทธเจ้าสอนไว้อย่างนี้อย่างนี้พอระลึกแล้วก็เกิดความปีติอิ่มใจใช่ไหม แต่นี่ท่านไปใช้สวดมีคำว่า อีเธวะ นัง ปะสังสันติ เปจจะ สัคเค ปะโมทะติ ด้วย บอกว่าได้รับการสรรเสริญในโลกนี้จากโลกนี้ไปแล้วก็บันเทิงในสวรรค์ ไปเอาคำว่าจากโลกนี้ไป ก็เลยไม่ยอมมาสวดให้คนเป็น ไป สวดให้คนตายเสียนี่
เอ้าแปลอีกทีก็ได้ เพราะว่าทรัพย์สมบัติเราก็ใช้สอยให้เป็นประโยชน์แล้ว คนที่ควรเลี้ยงดูเราก็ได้เลี้ยงแล้ว พยานอันตรายเราก็ได้ป้องกันข้ามพ้นไปได้แล้ว ทานอุทิศผลที่มีผลในเบื้องสูงเราก็ได้ให้แล้วหรือได้บำเพ็ญแล้ว อีกทั้งพลี 5 ประการ เราก็ได้กระทำแล้ว ท่านผู้มีศีลสำรวมดีเป็นพรหมจารีเราก็ได้อุปถัมภ์บำรุงแล้ว บัณฑิตครองเรือน พึงปรารถนาโภคะเพื่อประโยชน์ใดประโยชน์นั้นเราก็ได้บรรลุถึงแล้ว อีกทั้งเราก็ได้กระทำแต่กรรมที่ไม่ก่อให้เกิดความเดือดร้อนใคร ๆ คนผู้ตั้งอยู่ในอารยธรรมระลึกถึงความดังที่กล่าวมานี้ ย่อมได้รับการสรรเสริญทั้งในโลกนี้ จากโลกนี้ไปแล้วก็บันเทิงในสวรรค์ว่าอย่างงั้น อย่างน้อยก็เกิดปิติแล้ว มาสำรวจตัวเอง โอ้ ถึงวันเกิดทีหนึ่ง เราได้ใช้จ่ายทรัพย์เป็นไปตามวัตถุประสงค์นี้สบายใจอิ่มใจใช่ไหม สำรวจตัวนี่ที่จริงต้องสำรวจ เอ้อ ใช้จ่ายทรัพย์ให้เป็นประโยชน์หรือเปล่า คนที่ควรเลี้ยงดูให้เขาเป็นสุขทั่วหรือเปล่าใช่ไหมใช้ทรัพย์ป้องภัยอันตรายถูกต้องแล้ว เราได้ทำประโยชน์ได้ทำหน้าที่ต่อแผ่นดิน เสียภาษีอากร ทำหน้าที่ต่อญาติต่อมิตร ต่ออะไรต่าง ๆ ดีแล้วยัง
ต่อไปก็สุดท้าย วิหาระทานะคาถา แปลว่าคาถาในการถวายวัด หรือในการถวายที่อยู่ หรือการให้ที่อยู่ แปลอย่างกว้าง วิหาระทาน แปลว่าการให้ที่อยู่ ในที่นี้ก็ประสงค์ก็เป็นการถวายที่อยู่ กุฏิ เสนาสนะ ตลอดจนสร้างวัด แต่ตามเรื่องมาในพระไตรปิฎกในวินัยปิฎกก็คือว่า ได้มีเศรษฐีเนี่ยถวาย คือเศรษฐีเนี่ยเรื่องราวเล่านิดเดียวน่ะ ว่าเศรษฐีมีความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ทีนี้ตอนนั้นพระสงฆ์เนี่ยยังไม่มีกุฏิที่อยู่นะ เพราะนี่ว่าถ้าเขาไม่ถวายก็อยู่ไม่ได้ เดิม วรุกขมูลเสนาสนัง อยู่ขอนไม้ นี่ไม่มีขอนไม้ก็อยู่ตามกลองฟางอะไรต่าง ๆ ทีนี้เศรษฐีก็มองเห็นว่า เช้า ๆ พระก็ออกมาจากที่เราเหล่านี้ไม่มีกุฏิที่อยู่ ก็เลยมาคิดว่า เอ๊ะทำไงจะให้พระสงฆ์ท่านอยู่กันสะดวก ท่านจะได้มีความเป็นอยู่ดีขึ้นสบายขึ้นบำเพ็ญสมณธรรมมาทำหน้าที่ก็มีสัปปายะขึ้น ก็เลยไปกราบทูลพระพุทธเจ้าว่าจะขอถวายสร้างกุฏิที่อยู่ เรียกว่าวิหาร วิหารแปลว่าที่อยู่ ถวายพระสงฆ์ พระพุทธเจ้าก็ทรงอนุญาต คือหมายความว่าให้มีเรื่องก่อน ว่ามันจะต้องมาจากความดีของพระที่ทำขึ้นมาใช่ไหม แล้วเขาศรัทธา เอ้า เขาศรัทธา พุทธเจ้าก็อนุญาต ทีนี้เศรษฐีนี้ก็เลยสร้างวัดถวาย สร้างวัดแล้วก็เลยมีคาถานี้อนุโมทนาว่า อ้อ การที่ การสร้างวัด หรือสร้างกุฏิถวายพระนี่ ควรจะปรารภเหตุผลอันใด แล้วมีประโยชน์อย่างไรด้วย ควรสร้างเพื่อเหตุผลวัตถุประสงค์ใดแล้วมีประโยชน์อย่างไร บอกว่า สีตั
ง อุณหัง ปะฏิหันติ ตะโต วาฬะมิคานิจะ บอกว่าที่อยู่หรือกุฏิอะไรต่าง ๆ เหล่านั้นที่ว่าไป ปกติ ย่อมป้องกันความหนาวความร้อนพร้อมทั้งสัตว์ร้ายทั้งหลาย นี่ป้องกันแล้วใช่ไหม ป้องกันหนาวร้อนสัตว์ร้ายทั้งหลาย อีกทั้งเหลือบยุง
สิริงสะเป จะมะกะเส สิสิเร จาปิวุฏฐิโย อีกทั้งเหลือบยุงทั้หลายพร้อมทั้งน้ำค้างและน้ำฝนว่าอย่างนั้นน่ะ น้ำค้างก็กันได้ น้ำฝนก็กันได้ ตะโตวาตะโปโคโร นอกจากนั้นแล้วยังป้องกันสายลมและแสงแดดที่แผดกล้า อันจะเกิดมีขึ้นมาด้วยว่าอย่างนั้นน่ะ เรนัตถังจะสุขะถันจะชายิตุงจะวิปะสิตุง วิหาระทานังสังฆะสะอะคังวุเทวนิตัง การถวายที่อยู่เป็นประโยชน์แก่ตน วิหาเร การะเย รัมเม ก็พึงสร้างกุฏิวิหารที่อยู่อาศัยอันรื่นรมย์ รัมเมอันรื่นรมย์ วาสะเยตถุพะหุสุเต แล้วพึงนิมนต์พระภิกษุทั้งหลายที่เป็นพหูสูตรที่มีความรู้พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้ามาอยู่อาศัยในกุฏิวิหารนั้น เตสังอะนันจะปานา จะวัตถะเสนา สนานิจะ ทะทายะอุชุพูเตสุวิปะสันเนนะเจจะสา พึงถวายถวายข้าว น้ำ ผ้านุ่งห่มพร้อมทั้งเครื่องเสนาสนะทั้งหลาย อุชุพูเตสุ ในท่านทั้งหลายเหล่านั้นผู้ประพฤติตรง ผู้ตรงต่อธรรมะ วิปะหันนะเจตะสา ด้วยจิตใจที่ผ่องใส เตตัสสะธัมมังเทเสติ ท่านพระภิกษุทั้งหลายเหล่านั้นก็จะแสดงธรรมแก่บุคคคลนั้น สัพพะทุกขานะปะนูทะนัง อันเป็นธรรมที่บรรเทาเสียซึ่งความทุกข์ทั้งปวง ยังโสธัมมิทันยายะ ซึ่งผู้ถวายทานนั้นได้รู้แล้ว ปรินิพพานสะโว ก็จะหมดกิเลสอาสวะปรินิพพานได้แม้ในโลกนี้ อ้าว นี่จะเห็นเลยว่าการถวายสร้างวัดมีเหตุผลอะไร วัตถุประสงค์อย่างไร มีประโยชน์อย่างไร ควรปฏิบัติอย่างไรใช่ไหม
เอ้าแปลเสียอีกทีหนึ่งใช่ไหม นี่ถ้าเราปฏิบัติตามพระพุทธเจ้าสอนไม่ค่อยมีปัญหา แต่เดี๋ยวนี้ไม่ได้คำนึงถึงที่ตรัสไว้ เวลาอนุโมทนา เวลาถวายวัด ถวายกุฏิอะไรก็จะใช้บทนี้ อนุโมทนา แต่ว่าบางที่พระสวดก็สวดโดยไม่รู้ความหมาย ก็สวดไปอย่างนั้นเองใช่ไหม นี้ถ้ารู้ความหมายเนี่ยจะทำให้เราปฏิบัติได้ถูกต้อง ว่าเอ้อสร้างวัดแล้วนี่เพื่อใคร ควรจะทำยังไง
เอ้าแปลซ่ะอีกที วิหาระทานะคาถา ว่าด้วยการถวายกุฏิหรือจะอยู่หรือวัด สีตัง อุณหัง ปะฏิหันติ ตะโต วาฬะมิคานิจะ กุฏิวิหารหรือวัดวาอารามนั้นย่อมช่วยป้องกันหนาวร้อนกับทั้งสัตว์ร้าย สิริงสะเป จะมะกะเส สิริเรจาปิ วิฏฐิโย ป้องกันทั้งเหลือบยุงทั้งน้ำค้างและน้ำฝน ตะโต วาตาตะโป โฆโร สัญชาโตปะฏิหัญญะติ นอกจากนั้นยังป้องกันสายลมและแสงแดดที่แผดกล้าอันเกิดมีขึ้นมา เลณัตถัญจะ สุขัตถัญจะ ฌาติตุง จะวิปัสสิตุง วิหาระทานัง สังฆัสสะ อัคคังพุทเธหิ วัณณิตัง การถวายกุฏิวิหารที่อยู่อาศัยวัดวาอารามแก่สงฆ์ เพื่อการหลีกเร้น เพื่อความสะดวกสบาย เพื่อบำเพ็ญฌานและวิปัสสนา อาคังพุทเทอะเวนิตัง อันพระพุทธเจ้าทั้งหลายทรงสรรเสริญว่าเป็นสิ่งที่ดีเลิศ ดัสมา หิ บัณฑิโต โปโส เพราะฉะนั้นแลบุคคลผู้เป็นบัณฑิต สัมปัสสัง อัตถะมัตตะโน เมื่อมองเห็นสิ่งที่เป็นประโยชน์แท้จริงแก่ต้น วิหาเร การะเย รัมเม พึงสร้างกุฏิวิหารที่อยู่อาศัยอันรื่นรมณ์ วาสะเยตถะพะหุสสุเต แล้วก็นิมนต์เอาหรือเชื้อเชิญท่านผู้เป็น พหูสูต ผู้รู้ธรรมรู้วินัยมาอาศัยอยู่ในที่นั้น เตสัง อันนัญจะ ปานัญจะ วัตถะเสนสะนานิ จะทะเทยยะ อุชุภูเตสุ พึงถวายหรือให้ข้าวน้ำ ผ้านุ่งห่ม พร้อมทั้งเครื่องเสนาสนะแก่ท่านเหล่านั้น โดยมีใจเลื่อมใสในท่านผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติตรง เต ตัสสะ ธัมมัง เทเสนติ ท่านเหล่านั้นก็จะแสดงธรรม สัพพะทุกขาปะนูทะนัง ที่บรรเทาเสียซึ่งสัพพะทุกข์แก่บุคคลผู้ถวายผู้สร้างวัดนั้น ยัง โส ธัมมะมิธัญญายะปะรินิพพาตยะนาสะโวติ อันเป็นธรรมที่บุคคลได้สดับรู้เข้าใจแล้วจะได้หมดกิเลสอาสวะดับเย็นในโลกนี้ เอาล่ะน่ะ จบ ก็เป็นอันว่าหมดแล้ว สำหรับวันศุกร์นะ ดีไหม แปลให้ฟัง ไม่งั้นเราก็สวดกันไปเรื่อย ๆ ก็ได้แต่ภาษาบาลีพอเป็นทำนอง ทีนี้เราก็ได้รู้ความหมายด้วย ก็คงจะพอแล้ววันนี้แล้วก็ค่อยไปพูดต่อในเรื่องเนื้อหาสาระต่อไป
คนฟังถาม ถามนิด ที่อาจารย์พูดที่ว่า พระเวสสุวรรณมาทูลพระพุทธเจ้านั้นหมายถึงอะไร
พระตอบ อ๋อ โลกบาล
คนฟังถาม ภาณยักษ์ หมายถึง
พระตอบ เอ้าภาณยักษ์ เป็นชื่อเรียกกัน ภาณยักษ์ก็คือ มหาสมัยสูต อันเดียวกัน
คนฟังถาม ผมเคยได้ยินภาณยักษ์ ไม่ทราบว่าสวดอะไร
พระตอบ ภาณยักษ์ก็หมายความ บทกล่าวของยักษ์ ภาณพระก็คำกล่าวของพระ
คนฟังถาม แล้วมันใช้สูตรไหนครับ
พระตอบ เอ้ผมไม่แน่ใจน่ะ ภาณพระนี่ ปกติ ภาณยักษ์ก็คำกล่าวของยักษ์ ยักษ์กล่าว ยักษ์พูด ก็คือยักษ์นี่ก็พวกนี้ท้าวจตุโลกบาล 4 มียักษ์เป็นต้น นี่ก็ยักษ์นี่คือว่า คนไทยเนี่ยกลัวยักษ์มาก แล้วรู้จักยักษ์มาก เช้าจตุโลกบาลอื่นก็ยังไม่ค่อยรู้จักเท่าไหร่ใช่ไหม เพราะฉะนั้นพูดภานยักษ์ชัดที่สุด คนไทยรู้จักดี
คนฟังถาม ภาณพระนี่ไม่ทราบใช้สูตรอะไร พระตอบ เอ้อันนี้ไม่ทราบ ต้องไปค้นดูก่อน มีใครพูดเหรอ
คนฟังถาม ครับ เคย ๆ คนที่เคยพูด แล้วเคยอ่านเจอ
พระตอบ ที่จริงภานพระเยอะแยะไป พระพุทธเจ้าตรัสไม่รู้กี่สูตร
คนฟังถาม อันนั้นใช่ แต่ว่า พระตอบ ที่เป็นชื่อเฉพาะ
คนฟังถาม หนังสือกล่าวว่า เอออย่างตอนรัชกาลที่ 2 ตอนที่พยายามที่มาทำบทสวดมนต์ใหม่นี่ เสร็จแล้วก็มีบอกว่าได้วางวิธีสวดไว้แล้ว
พระตอบ อ้อ ไม่รู้ซิท่านจะหมายแค่ไหนภาณพระ ภาณพระมันเยอะไป บทสวดของพระ นี่ก็พานยักษ์ก็นี่บทสวดที่เป็นคำกล่าวของยักษ์ ถ้าภาษาวิชาการก็คือมหาสมัยสูตร พระสูตรว่าด้วยการประชุมใหญ่ มหาสมัยคือการประชุมใหญ่ สมัยแปลว่าการประชุมนะ การประชุมใหญ่ก็หมายถึงว่าพวกท้าวจตุโลกบาลพร้อมทั้งลูกน้องบริวารมาประชุมกันเต็มหมดไปหมดเลย พวกชวนกันใหญ่พวกนั้น พวกกุมภัณฑ์ พวกยักษ์ โอ้วมากันใหญ่ มาประชุม มาหาพระพุทธเจ้า เสร็จแล้วท้าวจตุโลกบาล ก็นี่มากราบทูลพระพุทธเจ้า อย่างที่บอกเมื่อกี้ว่า ผู้ที่นับถือพระพุทธเจ้าเป็นชาวบ้านชาววัดอะไรก็ตามไปอยู่ในที่ต่าง ๆ พวกลูกน้องท้าวจตุโลกบาลก็ไม่รู้ไม่เข้าใจบางทีก็อาจจะมาเบียดเบียน โดยแกล้งอาการต่าง ๆ ก็ขอให้เอาถ้อยคำของท้าวจตุโลกบาลนี้ไปกล่าวพวกนั้นจะได้เข้าใจ แล้วก็จะได้เป็นมิตรใช่ไหม ทีนี้ก็คำสวดนั้นก็ต้องเป็นเรื่องดี ๆ ที่แสดงความเคารพพระพุทธเจ้าพระรัตนตรัยใช่ไหม ทีนี้บทนี้พราะเกี่ยวกับเรื่องยักษ์ เรื่องภูตผีปีศาจ อมนุษย์ ก็เลยนิยมเอามาใช้เวลาที่เกิดเหตุเภทภัยใหญ่ ๆ
คนฟังถาม ท้าวจตุโลกบาล
พระตอบ ก็แล้วแต่ เอาเรื่องร้าย ๆ ทั้งหลายที่กลัวยักษ์ กลัวมาร กลัวอมนุษย์ กลัวผี แล้วคนไทยเราก็ถือว่า อหิวาก็เป็นห่าใช่ไหม ก็เป็นพวกผีมากันใหญ่ก็ เพราะฉะนั้นเวลาเกิดโรคระบาดใหญ่ เกิดอหิวาตกโรค คนตายกันมากมาย จะสวดภาณยักษ์กัน โดยเข้าใจว่าพวกผีพวกักษ์มากันเยอะ ก็มาสวดภาณยักษ์ ที่นี้เพื่อจะให้มันสมจริงใช่ไหม ก็ต้องดุเดือดหน่อย สวดแล้วก็กระทุ้งไปด้วย กระแทกเสียไปด้วย พวกผีพวกยักษ์นี้มันต้องแบบนี้ หมายความว่านักเลงมันต้องสู้กับนักเลง ก็ทำมันเสียงให้มันน่ากลัว พวกผีพวกยักษ์มันจะได้กลัว แล้วมันก็จะได้ตั้งใจฟัง ไม่งั้นมันก็ไม่เอาใจใส่ พวกผีพวกยักษ์ พวกอมนุษย์
คนฟังถาม อันนี้เราไม่ใช้เมตตา เขาไม่ใช้ท่าที
พระตอบ ถ้อยคำ เมตตาเอง แต่หมายความเป็นนิสัยเขาอย่างนั้น หมายความว่าตอนนี้เราไปเกี่ยวข้องกับพวกนักเลงนี่ ก็ต้องพูดดุเดือดหน่อย แต่ว่ามันลักษณะท่าทีการพูดใช่ไหม ดุเดือดหน่อยแต่ใจเมตตาถ้อยคำเมตตา มีอะไร แกทำไมไม่รู้จักพระพุทธเจ้าท่านสอนไว้ ท้าวจตุโลกบาล นายของแกเนี่ยก็นับถือพระรัตนตรัยแกไม่รู้หรืออะไรทำนองนี้ใช่ไหม ก็พูดดุเดือดหน่อยใช่ไหม เพราะฉะนั้นเรามันต้องมีเมตตาต่อกันซิ เราจะพูดกับคนนักเลงก็ต้องอย่างนี้ใช่ไหม อันนี้ก็เพื่อให้ไม่สมจริงก็เลยต้องเอากระแทกเสียงอะไรต่ออะไรดุเดือด
คนฟังถาม นั้นอาจารย์ก็ใช้ปิยวาจาไม่ได้ซิ
พระตอบ ใช้ปิยวาจา แต่ปิยวาจานั้นหมายถึงว่า ลักษณะวิธีพูด เอ้อท่านบอกปิยวาจา แม้แต่แม่ด่าลูกก็ยังไม่ผิด เพราะน้ำใจนั้นไม่ได้ขัดเคืองไม่ได้คิดร้าย ท่านยกตัวอย่างบอกว่า เนี่ยลูกคนหนึ่ง ว่าไม่ฟัง ไปเที่ยวท่าเดียว ไปเที่ยวเรื่อย แม่ก็กลัวจะไปเป็นอันตราย ลูกอย่าไปเลย แม่เป็นห่วงที่นั่นมีอันตราย ก็ไป แม่ก็ทั้งโกรธทั้งรัก เอ้อเองไปให้กระทิงมันกัดตายใช่ไหม ท่านบอกว่าที่แม่พูดอย่างนี้ไม่เสียปิยวาจาเพราะใจรักมีเมตตาใช่ไหม ฉะนั้นมันอยู่ที่ใจ รักน่ะ ว่าอย่างงั้นน่ะ อาจจะต้องถึงกับด่าก็ว่ากันก็อย่าไปถือเลย น้ำใจท่านดี ทีนี้ถ้าได้ทั้งสาระและรูปแบบก็ดีหมายความว่าทั้งตัวถ้อยคำที่เป็นรูปแบบก็ดีด้วยทั้งสาระคือเนื้อหาก็มาจากเมตตาธรรมใช่ไหม เพราะเป้าหมายก็คือเรื่องความดีงามใช่ไหม ทีนี้พูดกับยักษ์ก็อย่างที่ว่าเป็นนักเลง แต่ว่าบางทีพระเราก็ว่ากันจนกระทั่งว่ามันสนุก เอาเป็นว่ากระแทกกระเทิกสวดกัน แหมว่ากัน โอ๋สวดให้จริงจัง ทีนี้มันในแง่ ในแง่หนึ่งมันได้ในแง่ให้กำลังใจแก่ประชาชน ประชาชนได้ยินแหมสวดกระแทกดังอย่างนั้น ยิ่งเกิดกำลังใจใหญ่ โอ้ผีมันหนีแน่ ถูกไหม ไหนครับ คนฟังพูด เจ้าเข้า เจ้าเข้าเลยใช่ไหม ก็นี่แหละ คือก็บอกแล้วไงเรื่องนี้มันอยู่ที่จิตไร้สำนึก บางคนนะครับ พรมน้ำมนต์ปั้บตัวสั่น โอ้ยแทบจะลอยเลยใช่ไหม บางคนเป็นทุกทีเลย พอโดนน้ำมนต์ทีไร เคยเจออยู่คนนึงเป็นลูกของญาติโยมที่วัดพระพิเรนทร์ พอพรมน้ำมนต์ทีไรเอ้าละซิ สั่นผับ ๆ ๆ ๆ นี่มันลงจิตไร้สำนึก เพราะฉะนั้นบอกแล้วเรื่องนี้มันเรื่องที่เราจะต้องเข้าใจนะ ในเรื่องนี้ระดับเหตุผลไม่พอ มันจะมัวมาคิดอยู่ว่า อันนั้นเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ควรจะเป็นอย่างงั้นไม่ได้ อย่างที่บอกว่าเข้าป่า พอเขาบอกว่าเสือมาเท่านั้น เจริญพร มันไม่ต้องคิดเสือรูปร่างเป็นอย่างนี้มันดุร้ายอย่างนี้ถ้ามันกัดเรามันตายแน่นะใช่ไหม เราควรจะหนี หรือจะทำไงมันไม่ต้องคิดใช่ไหม มันสั่นทันทีเลย มันพรึบเดียวใช่ไหม มันต้องมานั่งคิดพิจารณาไหมที่จะกลัว มันมาจากไหนล่ะ เนี่ยมันอยู่ลึกถึงจิตไร้สำนึกใช่ไหม ไอ้อย่างนี้แหละอะไรที่จะทันกันล่ะ มันก็ต้องมีไอ้ตัวที่มันลงไปถึงจิตไร้สำนึกด้วยเช่นเดียวกัน เช่นความเชื่อที่ลึกซึ้งที่แรงมากหรือปัญญาที่รู้เด็ดขาดไปเลยมันก็แก้กันได้ แต่จะมาเอาไว้สิ่งที่เป็นเหตุผลว่ามัวคิดกันอยู่นี่ไม่มีทางหรอก เพราะฉะนั้นจึงต้องคำนึงถึงอันนี้ด้วย เวลาเกิดเหตุผลนี้แล้วมันเตริดเปิดเปิงหมดจิตใช่ไหม นี้คนที่ว่าพอเขาตะโกนว่าเสือมาแล้วก็สั่งผับ ๆ ๆ ๆ ถ้าเขาเกิดอยู่ในที่ ๆ มันปลอดภัยเด็ดขาดเนี่ย เสือมันทำอะไรไม่ได้ก็ไม่ต้องคิดเช่นเดียวกัน เสือมามันก็เฉยถูกไหม ความรู้อันนี้ที่มันทำให้มันมีปฏิกิริยาทันทีนี้มาจากไหน มันเป็นความรู้พร้อมเฉพาะที่ทันทีไม่ต้องไปนั่งคิดถูกไหมครับ นี่ซิอันนี้ที่สำคัญมันต้องให้ถึงขั้นนี้ อันนั้นคนที่จะจัดการกับเรื่องเนี่ยมันไม่ใช่แค่มาเอากันระดับจิตสำนึกมาพูดมาจากกันอยู่ใช้เหตุผลเท่านั้นไม่พอต้องเป็นความเชื่อถือ หรือความรู้ที่เด็ดขาดไปเลย เชื่อก็ต้องเชื่ออย่างแรงกล้า หรือรู้ก็ต้องรู้เด็ดขาดไปเลย อันนี้จึงจะจัดการกับไอ้ตัวฝ่ายตรงข้ามที่มันลึกลงไปในจิตไร้สำนึกได้ใช่ไหม
ที่นี้ว่าเอาล่ะทีนี้จริง ๆ เป็นเรื่องคำพูดต่อไป แต่ว่าพูดนำไว้นิดนึงก็ได้ คือว่าเรื่องศาสนาต่าง ๆ เนี่ยมันจะให้ความเชื่อเป็นหลัก ทีนี้ความเชื่อนี่มันให้ความรู้สึกมั่นคงปลอดภัย ความรู้สึกมั่นคงปลอดภัยพอเชื่ออันนี้ปั้บความรู้สึกมั่นคงปลอดภัยมีมาแล้วก็ได้ประโยชน์ใช่ไหม จิตใจมันอยู่มันก็ไม่ประหวั่นพรั่นพรึงไม่ตัวสั่นงันงกก็ได้ประโยชน์ แต่ว่าถ้าเราอยู่ด้วยความรู้สึกมั่นคงจะพอไหม นี่คือศาสนามักจะให้อันนี้ที่สำคัญ ความรู้สึกมั่นคงปลอดภัย ก็เคยเชื่อว่าปลอดภัย หวังว่าปลอดภัย พุทธศาสนาบอกมันต้องถึงขั้นที่เป็นความมั่นคงปลอดภัยจริง ๆ อันนี้ไม่เหมือนกันนะ ความรู้สึกว่าความมั่นคงปลอดภัย กับความมั่นคงปลอดภัยที่แท้จริง ทีนี้ศาสนาอาจจะให้ความรู้สึกมั่นคงปลอดภัยชโลมใจทำให้เขาสบายใจได้ แต่พุทธศาสนาบอกแค่นี้ไม่พอนะคุณต้องถึงความมั่นคงปลอดภัยที่แท้ ไอ้ความมั่นคงปลอดภัยที่แท้นั้นอยู่ที่ความเชื่อไม่พอ ต้องขั้นปัญญารู้เด็ดขาดแก้ปัญหาได้ ทีนี้เมื่ออยู่ด้วยความรู้สึกมั่นคงปลอดภัยเนี่ย จริงอยู่เป็นประโยชน์แต่พร้อมนั้นเป็นโทษ ถ้าคนเกิดสบายใจซะแล้วด้วยความรู้สึกมั่นคงปลอดภัยก็เลยไม่แก้ปัญหาไม่สร้างความมั่นคงปลอดภัยที่แท้จริงใช่ไหมก็หยุดแค่นั้นแหละ เพราะฉะนั้นศาสนากลับเป็นโทษตรงนี้ ถ้าไปติดปั้บอยู่เลยทีนี้ อันนี้ตอนนี้ที่มันเป็นปัญหามากก็คือว่า ศาสนามันช่วยเป็นประโยชน์จริง สร้างความรู้สึกมั่นคงปลอดภัย แต่เสร็จแล้วก็ทำให้คนเลยวนอยู่ที่นั่นจมอยู่ที่นั่น อยู่กับความรู้สึกมั่นคงปลอดภัย อยู่กับความหวัง อยู่กับความเชื่อ อยู่กับความอุ่นใจนั้นเสียไม่ก้าวต่อมันก็เลยกลายเป็นตัวขัดขวางไม่ให้เขาไปสู่ความมั่นคงปลอดภัยที่แท้จริง บางทีกลับร้ายกว่าการที่ปล่อยให้คนนะไม่รู้สึกมั่นคงปลอดภัย แล้วพวกนั้นจะดิ้นเต็มที่เพื่อจะไปหาความมั่นคงปลอดภัยที่แท้จริงใช่ไหม
ฉะนั้นจึงบอกว่าไม่แน่นะระหว่าง 2 เมื่อวานหรือเมื่อวานซึนพูดไปทีหนึ่งแล้วว่า 3 ระดับ หนึ่งมนุษย์ที่ไม่มีที่พึ่งไม่มีที่วางเลยแย่ที่สุดเลย สองมนุษย์ที่มีความรู้สึกหวังอุ่นใจใช่ไหม สามมนุษย์ที่ช่วยตัวเองได้โดยสมบูรณ์ 3 ระดับไหนดีที่สุด ช่วยตัวเองแก้ปัญหาได้เสร็จโดยสมบูรณ์ดีที่สุด ระดับที่ 2 เราบอกว่า อ๋อหวังความช่วยเหลือจากอำนาจโน้นอำนาจนี้มาได้มีความอุ่นใจใช่ไหมดีที่ 2 ไอ้พวกที่ไม่มีอะไรเลย ยากไร้แย่ที่สุดใช่ไหม เรามองอย่างนี้ แต่ไม่แน่ บางทีไอ้พวกที่แย่ที่สุดนี่แหละ เพราะมันไม่มีความหวังเนี่ยมันดิ้นสุดฤทธิ์เลยมันแข็งขึ้นมา ไอ้พวกที่มีความหวังเสียอีกจมอยู่ที่นั่นแหละไม่แข็งแรงอ่อนแอหวังพึ่งเขาเลยไม่ไปไหนแล้ว ฉะนั้นไอ้พวกที่แย่ที่สุดนี่กลับแข็งแรงไปได้ก้าวไปสู่ขั้นที่ 3 เลยใช่ไหม สามารถแก้ปัญหาไปสู่ความมั่นคงปลอดภัยที่แท้จริง นั้นท่านจึงต้องเอาตัวที่ 3 เป็นหลักตัดสิน ว่าต้องเอาความมั่นคงปลอดภัยที่แท้จริงจะมาได้ด้วยอันที่ 1 ที่ 2 เอาทั้งนั้น อย่าไปเอาแต่อันที่ 2 บางกรณีต้องให้เขาเจอเลย เจอกับภัยอันตรายอย่างแท้จริง เอาพอให้มัน เอาพอไม่ให้เขาตาย เอาพอไม่ให้ตายก็แล้วกัน ให้มันค้างเหลืองไปแต่ว่ามันดิ้นมันจะได้สำนึกมันจะได้ฝึกตนแล้วมันจะได้แข็งขึ้นมาใช่ไหม บางทีดีกว่าไปทำให้เขาเพลินสบายอยู่ด้วยความหวัง แล้วก็เลยอ่อนแอ แล้วก็จมอยู่แค่นั้น แหละนี่ก็อยู่ที่การปฏิบัติด้วยว่าในฐานะผู้สอนเราดำเนินตามพระพุทธเจ้านั้น เราจะใช้วิธีไหนใช่ไหม ไม่ใช่ว่าจะไปเอาศาสนามากล่อมช่วยเขาสบายใจได้ก็ดีไม่แน่
คนฟังถาม สมเด็จพระคุณอาจารย์ครับ สรุปว่าถ้าขณะที่ศรัทธาสูงสุดนี่เป็นสิ่งกล่อมที่อันตรายที่สุดที่จะได้
พระตอบ ก็แล้วแต่พูด เอาตามที่ว่ามาก็แล้วกันล่ะ มันก็มีทั้งดีทั้งร้ายแต่ว่ามันมีโอกาสมากที่จะดึงให้จมอยู่น่ะใช่ไหม เพราะคนนี่พอมันสบายใจแล้วมันก็มีความโน้มเอียงที่จะหยุดแล้ว สบายใจแล้ว โอ้ฉันไม่ต้องทำอะไรแล้ว บางทีมันเป็นการหรอกตัวเองว่าปลอดภัยเหมือนกับนกชนิดหนึ่งมันหนีภัยนี่มันจะเอาหัวซุกทราย ทีนี้พอเอาหัวซุกทราบหัวมันพันแล้วใช่ไหม มันมองไม่เห็นภัยแล้ว มันก็สบายแล้วใช่ไหม ที่ไหนได้ภัยมันไม่หมด มาข้างหลังแล้วจะมากัดก้นมันก็ได้ใช่ไหม นี่เพราะฉะนั้นอันตรายคนที่อุ่นใจด้วยสิ่งที่หวังว่าเป็นที่พึ่งอะไรนี่มาช่วยเหลือนี่ บางทีก็จะเหมือนกับนกชนิดนี้ที่ว่าเวลาหนีภัยแล้วก็เอาหัวไปซึกทราย พอเอาหัวไปซุกกองทรายแล้วตาไม่เห็นภัยนั้นก็สบายใจว่าตัวพ้นภัยแล้ว แต่ที่จริงไม่ได้พ้นหรอก ก็เพราะฉะนั้นก็ต้องระวังแล้ว ตกลงจับหลักพุทธศาสนา ว่าท่านไม่ต้องการให้มาให้เสียคือว่า 1 ก็ 2 ก็ไม่เอาทั้งนั้นแหละ แต่ว่าเวลาใช้ประโยชน์จะเอาใช้อันที่ 1 หรือที่ 2 โดยที่มีเป้าหมายชัดเจนว่าก้าวไปสู่อันที่ 3 น่ะ ต้องไปสู่ความมั่นคงปลอดภัยที่แท้จริง อย่าไปหยุด นี้ศาสนาเป็นอันมากเนี่ย ไปนึกว่าไอ้อันที่ 1 ไม่ดีแล้วต้องช่วยด้วยอันที่ 2 แล้วก็อยู่ที่นั่น เพราะฉะนั้นจึงได้ย้ำนักเรื่องที่เชื่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ฤทธิ์ปาฏิหาริย์ไสยสาตร์เนี่ย นี่ต้องระวังใช้ให้ดี ถ้ามันไปขัดขวางทำให้เป็นตัวกล่อมให้หยุดให้จมอยู่มันไม่ไปถึงที่สุดไม่ได้ถึงความมั่นคงปลอดภัยที่แท้จริง มนุษย์จะต้องพัฒนาต่อไป จะก็ต้องเข้มแข็งมีปัญญารู้เข้าใจแก้ปัญหาได้ด้วยตนเองอย่างแท้จริงในที่สุด เดี๋ยวจะกลายเป็นพูดเลยต่อไป ที่จริงเรื่องนี้เป็นเรื่องจะพูดต่อไปอีก ก็เขาควรจะเรียนรู้ต่อไปใช่ไหม ฉะนั้นอาตมาจะมาไม่กลัวหรอกเรื่องจะไปพรมน้ำมนต์น้ำมนต์ เราต้องมีหลัก เราต้องมีความมั่นใจว่าเราทำอะไร เราทำเพื่ออะไรใช่ไหม ฉะนั้นก็อยู่ที่ว่า อ้าวเมื่อเขาสงสัย ก็มาคุยกันสิ
คนฟังถาม นี่หนูกำลังจะถามว่า เวลาทำพิธีต่าง ๆ นี่ เราจำเป็นต้องธรรมบทไหมเจ้าค่ะ
พระตอบ ไม่ก็เป็นส่วนหนึ่งเป็นประเพณี เจริญพร
คนฟังถาม ทีนี้ในระดับนี้แม้เราก็เห็นด้วยกับการให้พึ่งธรรมะ แต่ตัวหนูเองนี่ เข้าใจที่ท่านอาจารย์ ท่านบอกใครอยากรับ เข้ามาพอเข้าไปจริง ๆ
พระตอบ ไม่ได้ผิดอะไรแต่ว่าเราต้องจับหลักของเราให้ดีนะ คล้าย ๆ อย่างน้อยก็แสดงความปรารถนาดีต่อกัน แล้วบอกแล้ว อย่างที่เมื่อกี้นี่เรื่องนี้ เรื่องเกี่ยวกับจิตไร้สำนึกเลย ในเมื่อเราไม่ได้ถึงฝั่งเด็ดขาดเนี่ย ใจเรามันมี 2 แบบเอาอีกแล้ว ก็กลายเป็นเรื่องวิชาการขึ้นมาอีกน่ะ คือในเมื่อเรายังไม่รู้แน่เด็ดขาดแล้วเราก็ไม่ได้พร้อมจริงเนี่ยมันกลายเป็นว่าหลอกตัวเอง ว่าฉันนี่ไม่ปรารถนา ฉันไม่เอาสิ่งเหล่านี้ แล้วเสร็จแล้วก็แสดงออกในว่าปฏิเสธหรือแม้แต่ว่า แม้แต่ประนาม แต่ใจตัวเองก็ไม่พร้อมมีท่าทีที่ไม่ถูกต้อง คือมันต้องเป็นจากความมั่นใจ แล้วเขาจะทำต่อสิ่งเหล่านี้ได้อย่างสบายใจใช่ไหม นี้มันไม่มีความชัดเจนนี่ คล้าย ๆ ก็เป็นปฏิกิริยาในทางลบ ว่าโอ้ไม่ได้แล้วเรื่องนี้ฉันไม่เอาด้วยใช่ไหม แต่ตัวเองนะไม่ได้เข้าใจด้วยปัญญาที่แท้จริง มันเป็นเพียงปฏิกิริยาในขั้นความรู้สึก มันเป็นเรื่องทางด้านจิตเท่านั้นเอง ถ้าอย่างนี้แล้วเขายังข้ามไม่พ้น นั้นเราจึงไม่สามารถจะหวังแม้แต่นักวิทยาศาสตร์ อย่างถ้าทีอย่างพุทธศาสนาที่บอกว่าเทวดามีไม่มีฤทธิ์ปาฏิหาริย์จริงไม่จริงเนี่ย เราไม่ต้องไปห่วง ถึงมีถึงจริงก็ไม่หวังพึ่ง นี่พุทธศาสนาใช่ไหม ท่าทีนี้เด็ดขาดเพราะเรามีหลักการแล้วต้องชัดในหลักการนี้ ทีนี้เราจะมาเห็นว่าพวกคนในสมัยปัจจุบันจำนวนมากเป็นผู้ที่นิยมวิทยาศาสตร์อะไรต่าง ๆ เหล่านี้จะไปติดอยู่เอะ มันจริงไม่จริง มันไม่จริงแล้วก็ปฏิเสธ เทวดามันไม่จริง ฤทธิ์ปาฏิหาริย์ไม่จริง ไสยศาสตร์มันไม่จริง ก็เลยไม่หวังพึ่งมัน ทีนี้ต่อมาพอประสบเหตุการณ์อะไรที่มันไม่แน่ใจ เอ้อถ้ามันจริง คราวนี้พึ่งเลยถูกไหม พอชักจะไม่แน่ใจพวกนี้ไม่มีทางปลอดภัยล่ะ เพราะจะเห็นเค้าสักจะมีจริง ตอนนี้หันรีหันขวางแล้วน่ะ แล้วที่นี้ต่อไปปรากฏว่าชักเชื่อว่าจริงและหวังพึ่งเต็มที่เลย ทีนี้ไม่มีท่าที ๆ ถูกต้องจริงไหมเกิดขึ้นอย่างนี้ เนี่ยทีนี้พุทธศาสนานี่ไม่ต้องไปเถียงเรื่องนั้นเลย จริงมี ยอมรับได้เลย แต่ไม่หวังพึ่ง เรามีท่าทีเด็ดขาดใช่ไหม มันชัดกว่าไอ้ที่จะไปเป็นแบบนั้นคล้าย ๆ เหมือนกับคนยังไม่มีความแน่ใจกับตัวเองแล้วไม่มีหลักด้วย เป็นแต่เพียงว่าไอ้ความเชื่อกับวิทยาศาสตร์ก็ปฏิเสธสิ่งเหล่านี้ ว่าไม่มี แล้วก็แยกไม่ออกระหว่างการ เอ้อถ้ามีแล้วจะทำยังไง ก็กลายเป็นว่าเอ้อมันไม่มีเราก็เลยไม่เกี่ยวข้อง แต่ถ้ามีขึ้นมาเราก็พึ่งมันแล้วใช่ไหม กลายเป็นอย่างนั้นไปเลย อันนั้นท่าที่นี่น่ากลัวสำหรับสังคมปัจจุบันที่หันรีหันขวางแล้วจุดนี้ที่เป็นปมร้ายมากสำหรับสังคมเพราะสังคมขณะนี้วิทยาศาสตร์เริ่มเสื่อมลง คนเริ่มคลายความเลื่อมใสต่อวิทยาศาสตร์ อิทธิพลของวิทยาศาสตร์น้อยลงใช่ไหม อันน้้นก็เป็นโอกาสที่ความเชื่อแบบเก่านี้จะขึ้นมาอีก นั้นพอคนเสื่อมจากความเชื่อต่อวิทยาศาสตร์ปั้บ ก็กลายเป็นไหลเข้าคติความเชื่อแบบนี้เลย ทีนี้หลักการพุทธศาสนาไม่ต้องไปขึ้นต่อเรื่องความเรื่องวิทยาศาสตร์เจริญไม่เจริญไม่ได้เกี่ยวอะไรกันเลยใช่ไหม ท่าทีมันชัด เราไม่ได้หวังพึ่งนี่มันมีเหตุผลอื่นมันไม่ใช่เรื่องมีไม่มีถูกไหม มันคนละเหตุผลนี้เขาแยกไม่ออกอันนี้ เพราะฉะนั้นยุคนี้ที่น่ากลัวมากเพราะว่าวิทยาศาสตร์มันเสื่อมความเชื่อถือลง เมื่อเสื่อมแล้วคนก็จะต้องไหลกลับไปสู่ไอ้ความเชื่อแบบเก่าของศาสนาโบราณว่า เพราะฉะนั้นเราจะเห็นชัดเลยว่า เดี๋ยวนี้หันกลับไปเยอะความเชื่อเรื่องไสยศาสตร์เรื่องภูตผีเทวดาเจ้าพ่อเจ้าแม่ก็กลาดเกลื่อนขึ้นมาอีกนะ ก็นี่เพราะวิทยาศาสตร์มันเสื่อมลง เสื่อมสถานะแล้วก็กลายเป็นว่ามนุษย์ยุคปัจจุบันนี้ก็ไม่มีหลัก