แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ไฟล์ถอดเสียงนี้ยังไม่ได้ผ่านพิสูจน์อักษร นำขึ้นมาเพื่อช่วยในการศึกษาค้นคว้าของผู้สนใจ
ขอเจริญพร ตอนนี้ก็จะพูดต่อในเรื่องที่ค้างไว้ซึ่งพูดเป็นหัวข้อไว้แล้ว คือหัวข้อที่ 3ได้แก่เรื่องวิธีสมาทาน ได้แก่พิธีกรรมในตอนที่จะเริ่มลงมือปฏิบัติ ในตอนก่อนนี้อาตมาก็ให้หัวข้อไว้ นี้ก็คิดว่ามีเรื่องที่ควรอธิบายลงในรายละเอียดบ้างบางอย่าง หัวข้อทั้ง 5 นั้นก็ขอทบทวนนิดหนึ่ง ก็มี
ซึ่งได้บอกไว้แล้วว่าส่วนเสริมนี้ก็บางสำนักก็มี บางสำนักก็ไม่มี และก็มีมากน้องต่างๆกัน
นี้เราก็เริ่มตั้งแต่ข้อที่ 1 การบูชาพระรัตนตรัย อันนี้เป็นหลักธรรมดาว่าเราจะเริ่มทำอะไรสำหรับชาวพุทธ มักจะมีเป็นพิธีโดยที่ว่าเริ่มโดยการบูชาพระรัตนตรัยก็โดยการไปจุดธูป จุดเทียนบูชา และก็มีการกล่าวคำบูชานั้นนิยมว่าเป็นภาษาบาลี หรืออาจจะว่าคำแปลภาษาไทยด้วย อย่างน้อยก็จะมีมีคำทำนองว่า อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ ภะคะวา, พุทธัง ภะคะวันตัง อภิวาเทมิ ก็ว่าเป็นไปตามลำดับ สวากขาโต สุปะฏิปปันโน อันนี้ก็อย่างง่ายๆ สั้นๆ ทีนี้บางสำนักก็จะมีคำสรรเสริญคุณพระรัตนตรัย คำบูชานี้ยาว ก็จะให้ผู้เข้าปฏิบัตินี้สวด เพราะว่าได้กล่าวแล้วว่าเรื่องของพิธีกรรมนี้ก็มุ่งเตรียมจิตใจ เตรียมบรรยากาศ นั้นผู้ที่เข้าปฏิบัตินี้ได้มาบูชาพระรัตนตรัยแล้วโน้มจิตไปสู่คุณพระรัตนตรัย ทำให้เกิดศรัทธา ทำให้ใจโน้มมาหาความสงบ ตัดใจออกห่างจากสิ่งกังวลรบกวนทั้งหลายได้ นั้นบางทีบางทีท่านก็เลยนิยมให้สวดบูชากันยาวๆ อันนี้ก็เป็นเรื่องของแต่ละสำนัก ส่วนบาลีแล้วบางทีก็สวดไทยต่อไปอีก บางสำนักก็ไม่อยากให้มายุ่งกับคำบาลีก็ไปใช้คำแปลภาษาไทย สวดเป็นภาษาไทยก็มี แต่บางทีถ้าโอกาสอำนวยท่านก็เลยว่าให้ทำวัตรสวดมนต์ซะด้วย แต่ว่าเป็นเรื่องพ่วงไปกับการทำวัตรสวดมนต์ ต่อจากทำวัตรสวดมนต์เสร็จแล้วจึงจะไปทำพิธีอื่น อันนี้ถ้ามีเวลามากๆ ท่านก็เห็นว่ามันเป็นประโยชน์ ท่านก็ให้ทำอย่างนั้น แล้วนั้นเรื่องบูชาพระรัตนตรัยนี้ก็เป็นเรื่องที่ว่ายืดหยุ่น ยาวบ้าง สั้นบ้าง ตามแต่พระอาจาร์ยท่านจะเห็นสมควร ท่านจะให้ทำอย่างไรเราก็ปฏิบัติไปตาม ทีนี้ได้กล่าวแล้วว่าเรื่องการบูชาพระรัตนตรัยสาระสำคัญนี้ก็มุ่งให้เราได้เจริญศรัทธา ทำใจให้โน้มไปในความสงบ ซึ่งการที่เราจะได้ผลในเรื่องศรัทธาก็ดี โน้มใจไปในความสงบก็ดีเนี่ย ก็อยู่ที่ความซาบซึ้งในคุณพระรัตนตรัย ยิ่งถ้าผู้ใดมีความซาบซึ้งในคุณพระรัตนตรัยมาก ก็ยิ่งทำให้เกิดความศรัทธา เกิดความเข้มแข็งของจิตใจในการปฏิบัติมากขึ้น ในที่นี้อาตมาก็เห็นว่าสมควรจะกล่าวถึงความหมายพระรัตนตรัยไว้ พอเป็นฐานสำหรับให้จิตได้ตั้งในทางที่ถูกต้อง คือได้รู้ซาบซึ้งในคุณพระรัตนตรัย และก็เป็นการซาบซึ้งด้วยปัญญา พระรัตนตรัยนั้นเราก็รู้กันอยู่แล้วแปลว่าแก้ว 3 ดวง หรือแก้ว 3 ประการ หรือสิ่งที่มีคุณค่าอย่างยิ่ง สำหรับชาวพุทธแล้วก็ถือว่า พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์นี้เป็นสิ่งที่มีคุณค่าอย่างยิ่งสำหรับชีวิต เป็นคุณค่าที่แท้จริงกับชีวิต ไม่ใช่คุณค่าเพียงผิวเผินเปลือกๆ หรือเป็นคุณค่าชนิดที่เรียกว่าพอให้เราอยู่กันอย่างหาความสุขสะดวกสบายในทางโลกที่เป็นภายนอกทางร่างกายเท่านั้น แต่เป็นเรื่องที่ว่ามีคุณค่าที่จะนำไปสู่สาระที่แท้จริงแก่นสารของชีวิต ทำให้ชีวิตเข้าถึงสัจธรรมได้ มีความสุขที่แท้จริงได้ ก็เป็นที่พึ่งของเราไปด้วยในเมื่อเป็นสิ่งที่มีค่าอย่างนี้ ทีนี้ที่ท่านมีคุณค่ามาก และก็เป็นที่พึ่งที่ระลึกของเรานี้ ก็ด้วยเป็นสิ่งที่มีความหมายสำคัญ
ข้อที่ 1 พระพุทธเจ้านี้มีความสำคัญมีความหมายอย่างไร พระพุทธเจ้านี้ก็ท่านบอกว่าก็ที่จริงก็เป็นมนุษย์นี้แหละ แต่ว่าเป็นมนุษย์ที่ได้ฝึกฝนพัฒนาตนเองในการบำเพ็ญบารมีมาอย่างเต็มที่ ทำให้กลายเป็นมนุษย์ผู้ประเสริฐ เป็นผู้ที่มีพระคุณ ทั้งปัญญาคุณที่รู้เข้าใจถึงสัจธรรม รู้ความจริงของธรรมชาติ ของกฎธรรมชาติ รู้ความจริงของโลกและชีวิต และก็ทำให้เกิดพระคุณประการที่ 2 ก็คือว่า มีความบริสุทธิ์หลุดพ้นจากกิเลสและความทุกข์ทั้งปวงได้ มีพระหฤทัยนี้ผ่องใสเบิกบาน เป็นพระวิสุทธิคุณ และก็ประการที่ 3ก็เมื่อพระองค์เป็นผู้บริสุทธิ์หลุดพ้นจากกิเลสแล้ว พระองค์ก็ไม่มีเรื่องห่วงกังวลพระองค์เอง พระองค์ก็มองเห็นทุกข์ของสรรพสัตว์ ก็เปี่ยมไปด้วยพระมหากรุณา สงสาร คิดช่วยเหลือสัตว์ทั้งหลายให้พ้นจากความทุกข์ ก็ไม่เห็นแก่ความเหน็ดเหนื่อยยาก เสด็จจาริกไปสั่งสอนธรรมะ แนะนำทางที่จะปฏิบัติให้พ้นจากความทุกข์ ที่จะให้คนอยู่ด้วยกันด้วยสุข สุขทั้งทางสังคมและก็สุขทั้งในจิตใจของแต่ละบุคคล อันนี้ก็เลยมีพระคุณที่เราถือเป็นหลัก 3 ประการว่า พระปัญญาคุณ พระวิสุทธิคุณ และก็พระมหาปัญญาคุณ ทีนี้สาระสำคัญก็คือการที่พระองค์เป็นมนุษย์ธรรมดาและก็ได้พัฒนาฝึกฝนพระองค์จนกระทั่งได้กลายเป็นพระพุทธเจ้า เป็นมนุษย์ผู้ประเสริฐสุด จนกระทั่งว่าแม้แต่เทพพรหมทั้งหลายก็เคารพบูชา ทีนี้การที่เป็นมนุษย์ผู้ประเสริฐได้อย่างนี้นั้นพระองค์ก็ตรัสว่าไม่ใช่เฉพาะพระองค์เท่านั้นแม้แต่คนอื่นทุกคนเนี่ย เราทั้งหลายนี้ก็สามารถจะฝึกตนให้ประเสริฐอย่างนั้นได้ ให้บรรลุสัจธรรม มีปัญญาเจริญพัฒนาสูงสุดและก็มีความบริสุทธิ์หลุดพ้นจากกิเลสและความทุกข์ได้ และก็มีความกรุณา มีจิตใจเกื้อกูลต่อเพื่อนมนุษย์ บำเพ็ญประโยชน์แก่สรรพสัตว์ได้เช่นเดียวกับพระองค์ แต่นี้ว่าเป็นเรื่องของเราที่จะพัฒนาตัวเอง ก็หมายความเราทุกคนมีศักยภาพอยู่ในตัวที่จะฝึกฝนพัฒนาตนเองให้ประเสริฐสุดได้ ความประเสริฐของมนุษย์ก็อยู่ที่การฝึกตน การที่เรามาเข้ากรรมฐานนี้ก็เป็นการฝึกฝนพัฒนาตนเองในแนวทางที่พระพุทธเจ้าได้ทรงสั่งสอนไว้ ทีนี้การระลึกถึงพระพุทธเจ้านี้ก็เป็นการเตือนเราให้ระลึกถึงศักยภาพในตัวของเราที่มีอยู่ที่จะสามารถพัฒนาตนเองให้สูงสุดได้ การระลึกถึงพระพุทธเจ้า อย่างถูกต้องนี้จะทำให้เกิดความมีจิตสำนึกในศักยภาพของตนเอง และก็เป็นหน้าที่ของเราที่จะต้องฝึกฝนพัฒนาตนเอง แล้วก็ทำให้มีความมั่นใจ มีกำลังใจด้วยว่ามีตัวอย่างท่านที่ได้ประสบความสำเร็จพัฒนาตนสูงสุดแล้วก็คือพระพุทธเจ้าของเรา พระพุทธเจ้าก็เป็นแบบอย่างให้เรา เราระลึกถึงเราก็จะได้มีกำลังใจในการที่จะฝึกฝนพัฒนาตนเอง ก็คือในการเจริญภาวนาครั้งนี้ เพราะฉะนั้นก็ขอให้ระลึกถึงพระพุทธเจ้าให้เป็นเครื่องส่งเสริมกำลังใจตัวเราเองว่า เราจะปฏิบัติให้เป็นอย่างที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนไว้ ให้ได้อย่างที่พระองค์ได้ทรงบรรลุ
อันนี้ประการที่ 2 ก็พระธรรม พระธรรมก็หมายถึงความจริงซึ่งเป็นกฎธรรมชาติ เป็นหลักธรรมดาที่มีอยู่ซึ่งเป็นความเป็นไปตามเหตุปัจจัยและเป็นความจริงที่???ว่าเราจะฝึกฝนพัฒนาตนเอง เราก็จะต้องปฏิบัติตามหลักการอันนี้ ตามกฎธรรมชาติอันนี้ ฉะนั้นการที่เราจะฝึกฝนพัฒนาตนเอง พัฒนาศักยภาพของเราเนี่ย เราก็ต้องปฏิบัติตามธรรมะนั้นเอง ฉะนั้นเราจะต้องรู้เข้าใจถึงธรรมะตัวความจริงหรือกฎธรรมชาตินี้ แล้วปฏิบัติให้ถูกต้องตามนั้น แล้วก็จะเกิดผลแก่เราเอง ซึ่งผลนี้ก็คือธรรมะเช่นกัน ก็คือความบริสุทธิ์หลุดพ้นเป็นอิสระจากกิเลสและความทุกข์ทั้งหลาย อันนี้ก็เป็นทั้งตัวเหตุปัจจัยในการปฏิบัติและเป็นผลในการปฏิบัติซึ่งเราจะต้องเข้าใจให้ถูกต้อง ก็เป็นอันว่าการที่จะปฏิบัติดำเนินตามพระพุทธเจ้านั้นก็โดยมาปฏิบัติที่ธรรมะนี้ ฉะนั้นเราจะต้องยึดถือธรรมะนี้เป็นหลักธรรมเป็นที่พึ่งในการดำเนินชีวิตหรือในการที่มาเจริญภาวนา หรือในการปฏิบัติกิจเฉพาะแต่ละอย่างๆ ให้ถูกต้อง อย่างน้อยก็ปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎเกณฑ์แห่งความเป็นเหตุเป็นผลหรือกฎเกณฑ์แห่งเหตุปัจจัย ฉะนั้นก็เรื่องความจริงก็ธรรมะ ความเป็นเหตุปัจจัยต่างๆ เหล่านี้จะเป็นหลักนำชีวิตของเราและในการปฏิบัติกิจกรรมทุกอย่าง แล้วก็จะเป็นเครื่องนำเราไปสู่ผลที่มุ่งหมายในการพัฒนามนุษย์ให้บรรลุความสำเร็จถึงจุดหมายสูงสุดเป็นพระพุทธเจ้าก็ได้
แล้วประการที่ 3 พระสงฆ์ สงฆ์นี้ก็คือชุมชนของท่านผู้ที่ได้ฝึกฝนพัฒนาตนเองอยู่ในระดับต่างๆ จนกระทั่งถึงสูงสุด ถ้าผู้ใดที่ได้มาใช้ธรรมะ นำเอาธรรมะมาปฏิบัติ หรือปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ของธรรมะ พัฒนาตนเองให้เจริญก้าวหน้าไปเรื่อยๆ บุคคลนั้นก็จะเข้าอยู่ในหมู่ชนนี้ที่เรียกว่าสงฆ์ ฉะนั้นสงฆ์นี้ก็เป็นประจักษ์พยาน เป็นเครื่องพิสูจน์ถึงการที่ได้เอาธรรมะนี้มาใช้ปฏิบัติให้เกิดผลในชีวิตจริง ซึ่งสร้างชุมชนที่ประเสริฐขึ้นมา แล้วชุมชนที่ประเสริฐปฏิบัติได้ผลตามหลักธรรมะนี้ก็จะเป็นที่ดำรงรักษาธรรมะไว้ให้แก่สังคมมนุษย์โดยส่วนรวมด้วย ทีนี้เราก็มีความเชื่อในสังคมหรือชุมชนที่ประเสริฐที่เรียกว่าสงฆ์นี้ ซึ่งเมื่อเราเชื่อแล้วเราก็เห็นว่าเราก็จะสามารถปฏิบัติได้สำเร็จเช่นเดียวกัน และเราก็มีหน้าที่ช่วยกันสร้างสังฆะอย่างนี้ด้วย ก็เป็นการที่ช่วยกันดำรงรักษาธรรมและก็สืบต่อถ่ายทอดธรรมะต่อๆ กันไป อันนี้ถ้าเราเชื่อในหลัก 3 ประการ คือพระรัตนตรัยในพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์แล้ว ก็จะเป็นเครื่องนำจิตของเราเนี่ยให้เข้าสู่การปฏิบัติอย่างแท้จริง เพราะการที่สำเร็จเป็นพระพุทธเจ้า การที่จะมารวมอยู่ในหมู่สงฆ์ แล้วก็เรื่องของธรรมะนี้เป็นเรื่องของการปฏิบัติ เกี่ยวกับการเจริญภาวนา โดยเฉพาะการปฏิบัติของเราที่เรียกว่าการเจริญภาวนานี้ เป็นการฝนพัฒนาในระดับที่ถือว่าจริงจัง และก็จะถือว่าสูงแล้วก็ได้ เพราะฉะนั้นเราก็ควรที่จะมีกำลังใจ และก็มีความรู้สึกปีติอิ่มใจ มีกำลังใจในการที่จะปฏิบัติ อันนี้ความมุ่งหมายอย่างหนึ่งของการบูชาพระรัตนตรัย ก็ต้องการให้เกิดศรัทธาความมั่นใจในความซาบซึ้งในความหมายที่เป็นคุณความดีของพระรัตรตรัยอย่างที่ท่านเรียกว่า คุณของพระรัตนตรัย ก็ขอให้เข้าใจคุณของพระรัตนตรัย ก็ปลูกศรัทธาความเชื่อมั่นให้เกิดขึ้น และก็ให้จิตโน้มไปในการที่่จะปฏิบัติเพื่อให้เกิดความสำเร็จตามแนวทางที่เป็นจุดหมายซึ่งพระรัตนตรัยเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจแล้วนำไปสู่จุดหมายนั้น อาตมาก็จะขอพูดเรื่องพระรัตนตรัยเพียงเท่านี้ก่อน