แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ไฟล์ถอดเสียงนี้ยังไม่ได้ผ่านพิสูจน์อักษร นำขึ้นมาเพื่อช่วยในการศึกษาค้นคว้าของผู้สนใจ
โยมดูประวัติศาสตร์ของประเทศญี่ปุ่น จนกระทั่งมาตอนหลัง ๆ เนี่ย ก็มีสงครามโลกมีอะไรต่ออะไร ก็มีการเปิดประชาธิปไตยกันมากขึ้นตอนนี้พุทธศาสนาก็ถูกปล่อยจะทำไงก็ว่ากันเอาเอง ก็เป็นอย่างที่ว่า เวลานี้พุทธศาสนาในญี่ปุ่น ก็จึงได้สถิติของกระทรวงศึกษาธิการเมื่อหลายปีมาแล้วนะ เจริญพร เดี๋ยวนี้จะมากกว่านั้นกี่นิกายไม่ทราบ ก็เป็นอันว่าเมื่อปีที่อาตมาไปนั่นน่ะ เขาแจ้งว่ามี 234 นิกาย นั่น 38 ปีแล้ว ใน 234 ก็มีนิกายใหญ่ที่บอกว่ามี 13 ใน 13 บางนิกายมีศาสนิกแค่เป็นหมื่นคนเท่านั้นเอง เราก็มาดูเฉพาะที่ใหญ่ ๆ จริง จะมีนิกายใหญ่ที่เหลือปัจจุบันน่ะ ก็คือนิกายที่อาตมาพูดไว้แล้ว เกิดในยุคต่าง ๆ
1 นิกายชินงอนเกิดยุคเฮอันที่ว่าแล้ว ในช่วง ค.ศ. 800 ก็พ.ศ. ก็ต้อง 1300 เศษไปแล้ว ทีนี้เฮอันชินงอน
2 นิกายรินไซเซ็น ก็เซ็นนั่นแหละโซโตเซ็น ก็เซ็นนั่นแหละ โซโตเซ็นใหญ่กว่า ตอนนี้มีศาสนิกมากกว่า ยังใหญ่อยู่ ต่อมาก็นิกายพวกเพียวแลนบ้าง เพียวแลนก็สุขาวดีก็มีนิกายโจโด นี่ยังอยู่ โจโดของท่านโฮเดน แล้วก็นิกายชิน หรือเรียกว่าโจโดชิน ของท่านชิน เป็นนิกายที่ใหญ่ที่สุดในปัจจุบัน พวกนี้ทั้งรินไซเซ็น โซโตเซ็น โจโดชินเกิดยุคที่บอกเมื่อกี้กามากุระ ชินงอนนี่เกิดยุคเฮอัน แล้วก็นิกายนิชิเรน นิชิเรนนี่ก็ใหญ่ แล้วก็เกิดสมัยกามากุระเหมือนกัน เมื่อกี้ลืมบอกไป กามากุระนี้เกิดหลายนิกาย พวกนิกายใหญ่ ๆ ปัจจุบันมาจากยุตกามากุระมาก ในยุคโชกุน
นี้เราก็มาดูตรงนี้อาตมาจะจี้จุด ในหินยานเหลือนิกายเดียวคือเถรวาทใช่ไหม เถรวาทมีศาสนิกทั้งหมดนี่ ถ้านับตามเปอร์เซ็นต์ก็คงเหลือสัก 120 ล้านคน ไม่นับประชากรทั้งประเทศน่ะ คือก็มีประเทศอะไร ศรีลังกา พม่า ไทย ลาว เขมร เอาแค่นี้พอ ถ้าไทยก็ 64 ล้าน 65 ล้านเข้าไปแล้ว เดี๋ยวนี้ก็ดูซิ พม่าก็ในราว 48 ล้าน ศรีลังกาอีก ราว ๆ พม่าอีกก็ 170 ล้าน นี้อะไรก็นับเอาเองนะ แต่ว่าเป็นพุทธศาสนิกประมาณ 120 ล้าน แต่ว่าเป็นนิกายเดียว
ทีนี้มหายานนี่บอกแล้วว่าเป็นชื่อรวม ต้องไปแยกเอาเป็นอาจาริยวาทไหน เราก็จะเห็นเลย อาจาริยวาท ชินงอน ชินงอนคือนิกายวัชรยาน คล้าย ๆ กับที่ทิเบต สืบสายมาจากสายเดียวกันไปจากที่เดียวแหล่งต้นเดิมเดียวกันวัชรยาน ชินงอน มีศาสนิกชนในญี่ปุ่นประมาณ 3 ล้านคน รินไซเซ็น นี่เซ็นน่ะ นิกายฉานหรือนิกายธนายะ จีนเรียกนิกายฉาน เพราะว่าญี่ปุ่นก็ไปเรียนจากจีนเหมือนกันนิกายฉานนี่ รินไซเซ็นก็มีประมาณ 2 ล้านคน โซโตเซ็นมีถึง เห็นบอกว่า 6 ล้านคน หรือ 3 ล้าน นี่ไอ้ตัวเลขนี่ขออภัย แต่ว่าเป็นเลขหน่วยหมดไม่ถึง 10 ล้าน แล้วโจโดสุขาวดีเดิม ก็มีแค่ซัก 2-3 ล้านคน 2 หรือ 3 ล้านคน แล้วชินนี่มากที่สุดมี 14 ล้านคน เอ้านิกายใหญ่ของญี่ปุ่นนี่มันมีต่างนิกายเยอะแยะ แต่ทีนี้เรามาจัดพวก แล้วจะเห็นว่านิกายสำคัญนี่มี
1 มีนิกายชินงอนก็เป็นพวกวัชรยาน แล้วก็เซ็น รินไรเซ็นโซโตเซ็น ก็เซ็น เป็นนิกายฉาน นิกายธยานะ ซึ่งมีพวกอยู่ที่ทางเวียดนาม เวียดนามนี่ส่วนใหญ่เป็นนิกายฉานหรือนิกายที่เรียกเป็นญี่ปุ่นว่าเซ็น แต่ว่าภาษาจีนเรียกว่าฉาน ภาษาเวียดนามเรียกอะไรจำไม่ได้ ก็นิกายฉาน แล้วก็ไปนิกายสุขาวดี โจโดกับชินรวมศาสนิกก็อาจจะ 16-17 ล้านคน แล้วเอารวมต่างประเทศด้วยตอนนี้เอาหมด หมายความในญี่ปุ่นมีนิกายใหญ่ 1 วัชรยาน 2 ชินงอน
2 นิกายเซ็น หรือฉาน หรือธนายะ ของรินไซโซโตเซ็น
3 มีนิกายสุขาวดี เพียวแลน ของพวกโจโด โจโดชิน ใช่ไหม เจริญพร แล้วก็นิกายอีกอัน นิกายหนึ่งไม่เข้ากับใครคือนิกายนิจิเรน นิจิเรนนี่มีแต่ในญี่ปุ่นไม่มีที่อื่น เป็นของญี่ปุ่นแท้อันเดียว นิกายวัชรยานชินงอนเนี่ย ก็คือทิเบต เนปาล มงโกเลีย ภูฏาน ภูฐานหรือภูตานนี่ มีพุทธศานาประจำชาติ ประเทศเหล่านี้ดินแดนใหญ่โดยเฉพาะมงโกเลียมีเนื้อที่ประมาณล้านห้าแสนตารางกิโลเมตร ทิเบตมีเนื้อที่ในราวล้านสองแสนตารางกิโลเมตร แล้วก็มาภูฏานนี่เหลือเล็กนิดเดียวประมาณสี่หมื่นเจ็ดพันตารางกิโลเมตร เนปาลก็ประมาณแสนสี่หมื่นเจ็ดพันตารางกิโลเมตรให้สังเกตว่าประเทศมองโกเลียกับทิเบตนี่ใหญ่แต่ดินแดน ประชากรนิดเดียว มงโกเลียนี่มีประชากรตารางกิโลเมตรละ 1.7 คน เทียบกับประเทศไทย ประเทศไทยตารางกิโลเมตรละ 120 คน รองเทียบกันดู ไทยนี่ตารางกิโลเมตรละ 120 ของมองโกเลียตารางกิโลเมตรละ 1.7 คน ฉะนั้นจะเอาประเทศใหญ่ไม่ได้เลย บอกมหายานนี่ใหญ่เหลือเกิน เปล่านิดเดียว มงโกเลียมีประชากรทั้งหมด 2.7 ล้านคน 2 ล้านไม่ถึง 3 ล้านคน ทิเบตมีเนื้อที่ล้านกว่าตารางกิโลเมตร มีประชากรสองล้านห้าแสน
มีเนปาลที่ลงมาที่ว่าเชิงเขาก็คงจะเป็นเชิงเขาแบบมีที่ราบเหยอะมีประชากรยี่สิบสี่ล้านคน แต่เป็นประเทศที่มีศาสนาฮินดูเป็นศาสนาประจำชาติ พุทธศาสนานี้มีแบบวัชรยานแต่มีแค่ 5% นั้นก็ได้ประชากรไปแค่ล้านเศษ ที่เป็นพุทธน่ะ แล้วก็ภูฏานนี่ก็เป็นประเทศพุทธศาสนา มีพุทธศาสนาประจำชาติก็ได้ประชากรไปซัก 2-3 ล้านคนที่เป็นพุทธ เพราะเป็นประเทศเล็ก ตกลงรวมแล้ววัชรยาน ทิเบต มงโกเลีย เนปาล ภูฏาน ได้ในราว 6-7 ล้านคนเท่านั้นเอง นี่คือวัชรยานทั่วโลก นิกายของท่านองค์ดาไลลามะที่กำลังไปเฟื่องฟูในประเทศอเมริกา แล้วถ้านับชินงอนเข้าไปอีก ที่เอาญี่ปุ่นไปเสริมเข้าไป ญี่ปุ่นกลับมากกว่าอีก ญี่ปุ่นตั้ง 3 หรือ 6 ล้านคน เอ้าให้ 6 เลยให้ตัวเลข 6 ล้านคนก็เข้าไปเท่าไหร่ 6, 7 ก็ได้แค่ 13 ล้าน ทีนี้ดูนิกายเซ็น หรือธินายะ หรือฉานบ้าง ก็มีในรินไซเซ็น โซโตเซ็นในญี่ปุ่น ได้เข้าไปก็เท่าไหร่แล้วเมื่อกี้ ได้ก็ไม่ได้ซักเท่าไหร่ ให้ซะ 10 ล้านในญี่ปุ่น แล้วก็ไปบวกกับเวียตนาม เวียตนามเราไม่รู้นิกายอื่น ยกให้เลย คือเวียตนามนี่เป็นประเทศที่ได้อยู่ใต้การปกครองของจีนอยู่ 1000 ปี ตั้งแต่ 111 ปีก่อนค.ศ ถึงค.ศ. 939 ตลอดเวลานี้คืออยู่ใต้ปกครองจีน เพราะฉะนั้นก็เป็นแบบจีน แต่ว่าเท่าที่รู้ว่าส่วนใหญ่นับถือนิกายเซ็นนิกายฉาน นิกายฉานพวกจีน งั้นเราก็ให้เวียดนามเนี่ยตัวเลขชาวพุทธให้สัก 44 ล้านคน แล้วมาบวกกับญี่ปุ่นอีกเป็น 50 กว่าล้านคน แล้วไปบวกเกาหลีเกาหลีใต้มีประชากรเป็นชาวพุทธก็ในราวซักไม่เกินครึ่งหนึ่งประเทศ แต่ว่าอาตมาคิดตัวเลขให้ 11 ล้านคน เกาหลีนี่เสียทีแก่คริสต์ศาสนามาก เป็นประเทศที่แย่ในช่วงหลังสงครามโลก นี้เสียศาสนิกไปให้ศาสนาคริสต์อย่างมากมายเหลือเกิน จนกระทั่งว่าปัจจุบันนี้พุทธศาสนานี่ต้องฟื้นฟูกันใหญ่ ทีนี้ก็มีศาสนาสิกเป็นพุทธราว 11 ล้านคน เกาหลีเหนือยิ่งเหลือน้อยใหญ่ เพราะเป็นคอมมิวนิสต์ ก็รวมแล้วนิกายเซ็นนี่เอาประเทศเหล่านี้มา เราไม่รู้จีนแดงเราไม่รู้ชัด ก็ได้แค่ 50, 60, 70 ล้าน เอ้าให้ 70, 80 ล้าน ก็ได้แค่นี้ นิกายสุขาวดีก็ในญี่ปุ่นก็ได้สัก 20 ล้านเอ้า แล้วก็ไปที่ประเทศอื่นตอนนี้ก็ไม่มีชัด ก็แทรก ๆ อยู่กับนิกายอื่น ก็ไม่มากเท่าไหร่รวมแล้ว
ตกลงว่า ถ้ารับเป็นนิกายจริง ๆ ในปัจจุบันเถรวาทใหญ่ที่สุดใช่ไหม มีศาสนิกประมาณ 120 ล้านคน คือเราจะไปนับว่ามหายานนี้ไม่ได้เลย เพราะมหายานนี่คนละเรื่องกันเลย อาตามาจะยกตัวอย่างให้ดู มหายานท่านก็เรียกรวมไปอย่างนั้นเอง ก็เป็นชื่อรวม ๆ แต่มหายานแยกไปตามอาจารย์ใช่ไหม ยกตัวอย่างคำสอนนิกายชินงอนที่เป็นวชิรญาณของญี่ปุ่น นิกายนี้สอนยังไง อาตมาให้ฟังย่อ ๆ แล้วจะรู้เองว่าในญี่ปุ่นเขาต่างกันอย่างไร นิกายชินงอนนี้บอกแล้วว่าเกิดในยุคเฮอัน นิกายนี้ก็บอกว่าเราไม่สามารถจะบรรลุธรรมของคำสอนของพระศากยมุนีพระพุทธเจ้าได้ พระพุทธเจ้าศากยมุนีคือที่เรานับถือนี่ เป็นพุทธเจ้าสำแดงตัวเป็นมนุษย์ถูกข้อจำกัดต่าง ๆ ในการสอน สอนคำสอนได้ไม่ถึงที่สุดไม่สมบูรณ์ นั้นจะอาศัยคำสอนของพระศากยมุนีพุทธเจ้านี่ ไปถึงจุดหมายของพระศาสนาไม่ได้ นี่คำสอนของชินงอน เขาบอกเพราะฉะนั้นจะต้องมีการพัฒนาได้วิธีที่ลึกลับ เพราะฉะนั้นพวกวชิรยานนี่จะเป็น เอโสเทอเดมริซึ่ม เขาก็บอกว่าต้องใช้วิธีลึกลับ ต้องเป็นแบบ Mystery ทีนี้แกก็บอกว่าพระพุทธเจ้าองค์จริงต้องเป็นพุทธเจ้าที่สอนในธรรมกายว่าอย่างงั้น เพราะพุทธเจ้าองค์นี้ชื่อมหาวัยโรจนะพุทธะ สอนในธรรมกายนะ สอนในธรรมกาย ส่วนพระพุทธเจ้าของเรา นี่เป็นพระศากยมุนีพุทธเจ้าสอนด้วยรูปประกายธรรมดา มนุษยกายนี่ไม่สามารถให้บรรลุธรรมได้สูงสุด ต้องเป็นมหาวัยโรจนะพุทธะที่สอนในธรรมกาย นี้การที่จะไปถึงพระมหาวัยโรจนะพุทธะนี้ต้องไปคำสอนที่พูดกันไม่รู้เรื่อง ต้องใช้คำสอนลึกลับ วิธีสอนลึกลับนั้นมีลึกลับทางกาย ทางวาจา ทางใจ ทางกายเขาใช้มุทรา มุทราก็เช่นทำท่ามืออะไรต่าง ๆ ท่าของกายท่าของมือเรียกว่ามุทรา นี่ทิเบตก็เหมือนกันน่ะ แล้วก็คำสอนที่ลึกลับถ่ายทอดทางวาจาคือทารานฤมลมันตะ ใช้มันตะมน แล้วก็คำสอนลึกลับถ่ายทอดทางใจโดยการเข้าสมาธิแบบโยคะเข้าไปกลมกลืนในมหาไวโรจนะพุทธะ เนื่องจากว่าเราไม่สามารถเข้าถึงพระพุทธเจ้านี้ด้วยคำสอนตามปกติก็ต้องอาศัยพวกพิธีกรรมพวกศิลปะ เพราะฉะนั้นเขาจะใช้พวกพิธี เพื่อมาเป็นสื่อทางคำสอนลึกลับ แล้วก็ศิลปะ ศิลปะก็ใช้การวาดภาพที่เขาเรียกมันดระ หรือมณฑล ซึ่งทิเบตเขาใช้ใช่ไหม มันดระเป็นวงกลม แล้วเป็นวงกลมก็เขาก็แบ่งเป็น 2 แบบ เรียกว่าวัชรมันดระ คือมณฑลหรือวงกลมแบบ Diamon แบบเพชร บน Diamond หรือวัชรมนทนนี่ จะมีพระมหาไวโรจนะพุทธะนี่นั่งเป็นศูนย์กลางเข้าสมาธิอยู่กลางดอกบัวสีขาว แล้วมีพระพุทธเจ้าองค์อื่นสี่ทิศนั่งแวดล้อมอยู่เป็นบริวาร นี่ 1 แล้วน่ะ วัชรมณฑล แล้ว 2 พระมณฑลหรือคันทมณฑล อันนี้อาจจะไม่แน่ใจนิดหน่อย คับพระมณฑลหรือคันทมณฑลนี่พระพุทเจ้านั่งอยู่บนกลางดอกบัวสีแดง แล้วก็มีพระพุทธเจ้านับไม่ถ้วนเหลือคณานับพร้อมทั้งพระโพธิสัตว์และเทพยดาทั้งหลายที่มีชื่อในอินเดียมาแต่เดิม และพร้อมทั้งพระชายาทั้งหลายนั่งแวดล้อมเต็มไปหมด นี่คือชินงอน วชิรายานแบบญี่ปุ่น อันนี้ให้โยมเข้าใจไว้ แล้วเทียบเอาเองว่าเดี๋ยวนี้อะไรเป็นอย่างไร
ทีนี้วัชรยานชินงอนเนี่ย เขาก็บอกว่าคนจะเข้าถึงจุดหมายของชินงอน บรรลุถึงมหาไวโรจนะพุทธะต้องก้าวไป 10 ขั้น แล้วเขาก็เอาพุทธศาสนาอื่นเนี่ยไปจัดเข้าลำดับนี้หมด
ขั้นที่ 1 ก็เป็นมนุษย์ธรรมดาอยู่ด้วยสัญชาตญาณ
ขั้นที่ 2 ก็เป็นผู้บรรลุธรรมในระดับขงจื้อ Stage 2
Stage 3 ระดับที่ 3 คือบรรลุธรรมตามคำสอนของพราหมณ์และเต๋า เอาพราหมณ์และเต๋าไปจัดระดับ 3
แล้วก็ระดับ 4 และ 5 คือบรรลุธรรมตามหลักคำสอนของหินยาน เอาหินยานเข้าไปรวมแล้วน่ะ อยู่ระดับขึ้นที่ 4 ที่ 5
แล้วขั้น 6,7,8,9 คือผู้บรรลุธรรมของมหายาน นี่จะเห็นว่าเขาไม่ยอมรับ เขาไม่เอาเป็นมหายานด้วยน่ะ มหายานทั้งหลาย เขาระบุชื่ออย่าง เคงอน ฮอตโซ รวมทั้งเทนไดที่เกิดในยุคเดียวกับเขาในยุคเฮอันนั่นแหละ อะไรพวกนี้ เป็นขั้นที่ 6 ,7, 8, 9 มหายานทั้งหลาย
แล้วขั้นที่ 10 สุดท้ายสูงสุดคือชินงอน ว่าอย่างงั้น
นี่เอาละโยมจะเห็นว่ามหายานเขาก็ถือตัวซึ่งกันและกัน ชินงอนเขาก็ถือว่าเขาสูงสุด เอาหินยานเข้าไปด้วย เอามหายานอื่นเข้าไปด้วย นี้อาตมาให้ดูชินงอนนะ ก็คือวชิรยานที่อย่างเดียวที่ต้นเดิมไปจากอินเดียสมัยยุคยันตระคือ ทิเบต เอามาเล่าถึงทิเบตนิดหนึ่ง ทิเบตได้รับพุทธศาสนาในยุคคริสต์ศตวรรษที่ 7 ก็ ค.ศ. 600 เศษ ก็โดยที่ว่าพระเจ้าแผ่นดินทิเบตนี่ทรงอภิเษกสมรสกับเจ้าหญิงเนปาลกับเจ้าหญิงจีน แล้วเจ้าหญิงจีนก็เจ้าหญิงเนปาลทั้ง 2 ท่าน นับถือพุทธศาสนาก็เลยทำให้พระเจ้าแผ่นดินมานับถือพุทธศาสนาด้วยแล้วก็ส่งทูตชื่อทอนนิสัมโพตะมาเรียนพุทธศาสนา แถว ๆ มหาวิทยาลัยนารันทา แล้วก็ตอนนั้นนารันทาพุทธศาสนายุค ค.ศ. 600 เศษ 700 นี่มัน ค.ศ.เข้าไปตั้งพันกว่าแล้ว ค.ศ.พันกว่านี้เป็นยุคตันตะแล้ว พระพุทธศาสนายุคหลังก็เลยได้พุทธศาสนาแบบวัชรยานไป ตัตตะวัชรยาน มณตรยาน เป็นคำเรียกของนิกายเดียวกัน ก็ได้วัชรยานไปทิเบต จากทิเบตก็เผยแพร่ต่อไปมงโกเลีย จักรพรรดิกุบไลข่านมาตีจีนใช่ไหม แล้วนับถือพระทิเบตรามะของทิเบต กุปไลข่านแกเป็นมงโกลนี่ แล้วก็เนปาลก็ไปจากทิเบต ภูฏานก็ไปจากทิเบตเหมือนกัน ก็เป็นวชริยานหมด นี่เราก็ดูญี่ปุ่นเป็นตัวอย่าง ที่นี้เอ้ารองดูนิกายอื่น ฝ่ายนิกายเซ็นเกิดอย่างไง นิกายเซ็นในญี่ปุ่นแกก็มาเรียนจากจีนไป นิกายฉานนั่นเอง ที่เกิดนิกายเซ็นอย่างท่านโยไซตั้งนิกายรินไซเซ็น โดเก็น โดเก็นก็คือผู้ตั้งนิกายโซโตเซ็นในญี่ปุ่นที่มีศาสนิกราว 6 ล้านคนนี่ที่มากหน่อย ท่านผู้นี้ก็บอกว่า เอ้ อะไรพุทธศาสนาในญี่ปุ่นนี่มันเสื่อมโทรมย่อหย่อนเหลือเกินเละเทะเราจะต้องฟื้นฟูพุทธศาสนาที่แท้จริงขึ้น ท่านก็มาเรียนพระพุทธศาสนาจากจีนแล้วมาฟื้นฟูก็ตั้งนิกายเซ็นขึ้นมา ก็มีท่านโยซัยตั้งนิกายรินไซเซ็น แล้วก็ท่านโดเก็นนี่ตั้งนิกายโซโตเซ็น นี่แหละก็ปรารภว่าพุทธศาสนาอื่น ๆ นี่มันเสื่อมโทรมเต็มทีต้องฟื้นฟูพุทธศาสนาแบบเดิม แล้วเราจะเห็นว่าพุทธศาสนานิกายเซ็นนี้จะคล้ายกับพุทธศาสนาแบบของเรามากที่สุด อย่าที่เขาใช้คือพุทธศาสนามหายาน อย่างโดยเฉพาะเพียวแลนนี่ จะพี่ง Saving Grace ของพระพุทธเจ้ามหากรุณา พึ่งการที่มาโปรด นะโม อมิตาพระ ขอให้พระพุทธเจ้าเอาอมิตาพระมาโปรดแล้วได้ไปสวรรค์ง่าย ๆ ใช่ไหม แต่ของนิกาเซ็นนี้ไม่ได้ต้อง Selfever ต้องเพียรพยายามด้วยตนเอง เพราะฉะนั้นจะว่ามหายานเป็นนิกายที่พึ่งมากรุณาอย่างเดียวก็ไม่เชิง เซ็นนี้เขาใกล้ของเรามาก แล้วนิกายเซ็นนี่เคร่งวินัยมาก สมัยก่อนนี้ไม่มีครอบครัวหรอก เพิ่งมายุคหลังเดี๋ยวนี้นิกายเซ็นพลอยมีครอบครัวไปกับเขาด้วย เดี๋ยวนี้หมดเลยที่ญี่ปุ่น เดี๋ยวนี้หมดทุกนิกายแล้วมีครอบครัวหมด เซ็นก็รักษาไม่รอดแต่ก็บอกว่าพวกมีครอบครัวเฉพาะพวกหัวหน้าสำนัก พวกลูกศิษย์พวกพระเด็ก ๆ ยังไม่มีครอบครัว อะไรอย่างนี้ นี่คือแบบญี่ปุ่น เอ้าละก็นี่ เซ็นนี่ อาตมาก็รู้จัก เซ็นก็เกิดขึ้นจากการปรารภพระพุทธศาสนาที่ญี่ปุ่นมันเสื่อมโทรมใช่ไหม ย่อหย่อน
ต่อมานิจิเรนเกิดไง นิจิเรนนี้ชื่อตั้งตามชื่อหัวหน้าเลย คือท่านนิจิเรน ท่านนิจิเรนนี้ท่านก็ตั้งนิกายของท่านขึ้นมา ท่านก็สอน เล่นงานนี้ก่อน ท่านเล่นงานเนมุซุ เนมุซุก็คือนิกายเพียวแลน คือนิกายเพียวแลนสุขาวดีนี้จะมีเนมุซุ เนมุซุก็คือนะโมอมิตาพระ เนมุซุนี่ไม่ใช่พาในสวรรค์พาไปนรก ว่างั้นน่ะ นิจิเรนว่าน่ะ นิจิเรนท่านขึ้นมาเอาเลย บอกเนมุซุนี่มันพาไปสวรรค์หรอกพาไปนรก แล้วท่านบอกชิงงอนนี่มีแต่พิธีกรรม ก็เพราะว่าไม่สอนด้วยคำพูดนี่ใช่ไหม ต้องใช้วิธีลึกลับ พิธีกรรมศิลปะ บอกชินงอนมีแต่พิธีกรรมเหลวไหลจะนำประเทศไปสู่หายนะ แล้วเขาบอกว่าเจ้านิกายเซ็นก็เป็นคำสอนไม่ใช่ของพระพุทธเจ้า เป็นคำสอนของมารของอสูร อย่างดีก็เป็นของเทวดา ไม่ใช่ของพระพุทธเจ้า
แล้วก็มีอีกนิกาย เรียกว่านิการิสุ นิกายวินัยก็บอก โอ้ไอ้นี่ขัดขวางการพัฒนาประเทศชาติ นี่นิจิเรนขึ้นมาโจมตีรุนแรงจนกระทั่งขังคุก แล้วแต่มาก็ถูกปล่อยออกมาแล้วก็ต่อมาก็ได้รับความนับถือก็กว้างขวางขึ้น จะเห็นคำพว่าแต่ละนิกายของญี่ปุ่นต่างก็ถือว่าตัวยิ่งใหญ่และก็ไม่เหมือนกัน นิกายสุขาวดีเขาก็นับถือพระอมิตาพระอยู่ในสุขาวดีสวรรค์ทิศตะวันตกพระอมิตาพระ ส่วนของชินงอน วัชริยานเขานับถือมหาไวโรจนะพุทธะเจ้า ส่วนนิจิเรนนี่เขานับถือคัมภีร์สัทธรรรมปุณฑรีกสูตร ซึ่งนิกายอื่นก็นับถือเหมือนกันแต่เขายึดถือสูงสุด เขาจะมีคำสวดซึ่งในเมืองไทยเราโยมจะได้ยิน นะมุเมียวโฮเร็งเงเคียว นะมุเมียวโฮเร็งเงเคียว นี่คือนิกายนิจิเรน แล้วที่บอกแล้วนิจิเรนนี่แหละที่แยกออกไปตั้งเป็นนิกายของคฤหัสถ์ชื่อว่าโซกะงะกัย แล้วก็ตั้งพรรคการเมือง ชื่อโกเมโต้ ที่เป็นพรรคใหญ่ที่ 3 ของญี่ปุ่นปัจจุบัน เมื่อรู้อย่างนี้แล้วก็จะเห็นว่า อย่าไปมองว่ามหายานนี่มีศาสนิกมายมาย เอาพุทธศานิกชนในทั่วโลกปัจจุบันนี้มีเท่าไหร่เอาทั้งโลก เอาทั้งเถรวาท ทั้งมหายาน ถ้าก่อนประเทศจีนเป็นคอมมิวนิสต์นี่ตัวเลขมากมาย เพราะประเทศจีนประเทศเดียว เดี๋ยวนี้มีทั้ง 1300 ล้านคน ทีนี้พอจีนเป็นคอมมิวนิสต์ปั๊บตัวเลขลดหวบ ตอนระหว่างที่จีนเป็นคอมมิวนิสต์นั้นเขาให้ตัวเลขชาวพุทธทั่วโลก 150 ล้านคน ประเทศจีนเป็นคอมมิวนิสต์เมื่อไหร่ เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 1949 ใช่ไหม ประกาศเป็น People’s Republic of China แล้วก็มาเริ่มรับทุนนิยมมีเศรษฐกิจแบบการตลาด โดยเติ้งเสียวผิงเริ่มเปิด ใช่ไหม เจริญพร เติ้งเสียวผิงก็ ค.ศ.1977 หมายความว่าคนเมืองจีนนี้อยู่ในระบบคอมมิวนิสต์ที่เคร่งครัดมาประมาณ 30 ปี ทำให้คนจีนนี่ลืมพุทธศาสนาทั้งหมดเลย
เมื่อตอนที่ Professor คนหนึ่งที่เชียงไฮ้แปลพุทธศาสนาในฐานะเป็นรากฐานทางวิทยาศาสตร์ แปลจบแล้วจึงแจ้งมา แกก็บอกแกไม่รู้เรื่องศัพท์พุทธศาสนา ไม่รู้จักพุทธศาสนา เพราะฉะนั้นแกก็ใช้ศัพท์ไปตามที่แกจะนึกได้ อันนี้ก็เป็นเรื่องที่ว่าเราจะต้องเข้าใจ เขาก็ตัดตัวเลขจีนออกไป ทีนี้พอเปิดจีนให้ศาสนามีเสรีภาพได้เนี่ย ก็เลยเริ่มนับตัวเลขชาวพุทธเพิ่มขึ้น ตอนนี้บางทีให้ 300 ล้านคน ก็โดยให้ประเทศจีนเนี่ยมีพุทธศาสนิกชน 8% 8% ก็ได้ในราวสัก 100 กว่าล้านคน ก็แค่งั้นแหละ แต่ถึงยังไงประเทศจีนก็เพิ่งเริ่มรับพุทธศาสนาใหม่ คลานต้วมเตี้ยม ก็เรียกว่าแทบจะนับอะไรไม่ได้ ก็จึงบอกว่าเนี่ยพอมี 300 กว่าล้าน ก็เป็นเถรวาทเสียในราว 120 ล้านใน 300 ล้าน เหลืออีก 180 ล้านก็ไปแบ่งนิกายเอาสิ แบ่งอาจาริวาทเอาใช่ไหม ตกลงเหลือนิกายละเล็กละน้อย ก็กลายเป็นว่าเมื่อนับกันจริง ๆ เนี่ย นิกายใหญ่ที่สุดของพุทธศาสนาก็คือเถรวาทใช่ไหม ไปหลอกด้วยคำว่ามหายาน ซึ่งเป็นคำรวมเหมือนคำว่าหินยาน ทีนี้ในการสัมพันธ์ระหว่างกันเนี่ยเราต้องเข้าใจ
อย่างที่อาตมายกตัวอย่าง แม้ว่านักปราชญ์มหายานญี่ปุ่นนี่จะยอมรับแล้วว่า พุทธศาสนาที่มีคำสอนแท้และดั้งเดิมนี่ ก็คือ เถรวาท ซึ่งเขาก็บอกว่าจะต้องมาเรียนจะต้องใช้คัมภีร์บาลีของเถรวาทนี่เป็นพื้นฐานก่อน แต่ถึงงั้นเขาไม่ยอมอยู่อย่างก็คือเขาต้องถือว่าเขาสูงกว่า คือแล้วแต่เขาจะถือว่ายังไง ทีนี้ไอ้ตอนที่สูงกว่านี่แหละแต่ละนิกายมันจะแตกกันใช่ไหม นี่เราจับจุดนี้ได้เพราะฉะนั้นจุดรวมที่เป็นศูนย์กลางของพุทธศาสนาก็คือพุทธศาสนาเถรวาทที่เป็นพื้นฐานอันเดียวกันที่มหายานเขายอมรับใช่ไหม แล้วอันนี้ก็ตั้งอยู่ที่ฐานคือพระพุทธเจ้า ส่วนมหายานนั้นมีนิกายมากมายแต่ละนิกายที่บอกว่าตัวสูงกว่าเถรวาทนั้น แต่ละคนก็สูงของตัวรวมกันไม่ได้ ชินงอนก็สูงตัวของอย่างหนึ่ง นิจิเรนก็สูงของตัวอย่างหนึ่ง โจโดชินอะไรของเขาก็สูงของเขาคนละแบบใช่ไหมตกลงมันไม่มีที่รวม ที่รวมก็คือเถรวาทอันเดียวและพระพุทธเจ้า เถรวาทรวมไปที่พระพุทธเจ้าองค์เดียว เพราะฉะนั้นประเทศพุทธศาสนาเถรวาทนี่จะเป็นลาว เขมร พม่า ลังกา ไทย อะไรเราไม่มีอาจารย์ที่จะมาเป็นใหญ่นับถือพระพุทธเจ้าองค์เดียว ที่ไหนก็รวมที่พระพุทธเจ้าเป็นศูนย์กลางหมดใช่ไหม แต่มหายานนั้นเขาไปที่อาจารย์ แล้วจึงไปถึงพระพุทธเจ้า แล้วมหายานก็มารวมกันแล้วได้ที่พระพุทธเจ้า จับจุดนี้ให้ได้ว่าต้องเอาพระพุทธเจ้าเป็นหลักศูนย์กลาง ใช่ไหม เจริญพร
ฉะนั้นคุณจะเอาพุทธมณฑลเป็นศูนย์กลางพุทศาสนาแห่งโลก ก็อย่าลืมหลักว่าเอาพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าเป็นศูนย์กลาง ไม่งั้นแล้วยุ่งหมด พระพุทธเจ้าไหนที่เป็นศูนย์กลาง ก็คือพระพุทธเจ้าองค์ศากยมุนี หรือโคตะมะ นี่แหละ ขืนไปเอาอมิตาพระ มาหายานก็ไม่ลงกัน เอามหาไวโรจนะ มหายานก็ไม่ลงกันใช่ไหม ตกลงก็ต้องเอาที่พระพุทธเจ้าองค์เดิมที่ตั้งพระศาสนา แล้งโคตะมะ ศายมุนี แล้วแต่คุณจะเรียก ทีนี้แล้วเขาก็ต้องการคำสอนพระไตรปิฎกบาลีเถรวาทเป็นฐานอันเดียวกันอีก ตกลงพระพุทธเจ้าก็ฐานก็องค์เดียวกันรวมที่พระศายมุนี พระโคตะมะพุทธเจ้า ใครจะไปใหญ่อะไรก็เรื่องของตัว คำสอนก็รวมกันก็ที่เถรวาทอันเดียวกัน แล้วใครจะไปแยกยังไงก็เรื่องของคุณใช่ไหม นี้รวมกันได้หรือยัง อาตมาว่ารวมได้แล้ว
งั้นถ้าเข้าใจเรื่องราวเหล่านี้แล้ว ความเป็นศูนย์กลางพุทธศาสนาแห่งโลก มีขึ้นได้ทั้นที แต่ว่าตัวเองนั่นแหละที่มันไม่เรื่อง คือชาวพุทธไทยนี่มันไม่รู้จักเรื่องพุทธศาสนาเถรวาทใช่ไหม ไม่รู้เรื่องเลย ฉะนั้นฟื้นฟูขึ้นมาให้ชาวพุทธในไทยเนี่ยรู้จักพระพุทธศาสนาของตัวเอง เถรวาทเป็นยังไง สอนอย่างไงให้มันรู้ ตอนนี้มันไม่รู้เรื่องเลย เป็นชาวพุทธเถรวาทจะไปนับถืออะไรก็ไม่รู้ ไปขูดต้นไม้หาหวย อ้าวเดี๋ยว ๆ ต่อไป เป็นอันว่ามหายานนี่ ท่านก็ถือว่าท่านสูงกว่าหินยานใช่ไหม ท่านยอมไม่ได้จะมาให้ท่านเท่า ถ้าแม้จะมาพูดกันในทางมารยาทใช่ไหม ก็ว่าเหมือนกัน พระพุทธเหมือนกัน แต่ในใจจริงเขาไม่ยอมหรอก เขาเขียนตำราเขาก็บอกไว้เลย มหายานต้องเหนือ แล้วเราก็บอกว่าพุทธศาสนาในโลกมี 2 นิกายเท่านั้น มีเถรวาทซึ่งเป็นที่เขาเรียกเป็นหินยานอันหนึ่งที่เหลืออยู่อันเดียวนี่ ที่เหลือเศษ ๆ นั้นก็ไม่นับ เช่นในญี่ปุ่น แล้วก็มหายาน เราก็บอกเอาแล้วถึงยังไงรวมแล้วก็เหลือ 2 นี้ เถรวาท กับมหายาน รองไปคุยกับพระอาจารย์ทิเบตสิเขายอมรับที่ไหน อาตมาไปบรรยายที่ฮาเวิร์ด 5 ปี 2524 ก็นี่ 24 ปี ก็ต้องไปอภิปรายท่านกับพระอาจารย์เซ็น อภิปรายทั้งกับท่านอาจารย์รามะ พระทิเบต พระทิเบตคุยกับท่าน ท่านไม่ยอมรับน่ะ บอกว่า เราบอกว่าพุทธศาสนาทั้งโลกนี้แบ่งได้เป็น 2 เถรวาท มหายาน ท่านบอกว่าไม่ใช่ ท่านไม่ยอมเป็นมหายาน ท่านบอกท่านเป็นวชิรยาน ท่านเหนือมหายาน จะให้ท่านเท่ามหายานไม่ได้น่ะ 1 หินยานต่ำสุด พวกเรานี่น่ะ 2 มหายานใหญ่ขึ้นมาหน่อย แต่แน่จริงต้องวชิรยาน นี่รองไปคุยดูสิ เขายอมที่ไหน ต้องรู้ใจเขาก่อน เถาวาทเราไม่ถือตัวเลย ใครจะใหญ่ก็ใหญ่ไปเถอะ เราก็พยายามศึกษาปฏิบัติไป แต่ว่าไม่ใช่ว่าท่านจะไม่ดีน่ะ ท่านก็ใจดี แต่ว่าหลักของท่านถืออย่างนั้น เพราะที่ท่านกำหนดคำว่ามหายานเพราะท่านถือว่าใหญ่ใช่ไหม คำว่ามหายาน นี้ก็คือเกิดจากการที่ถือว่าใหญ่กว่า จึงตั้งคำว่ามหายาน แล้วก็เรียกพวกอื่นเป็นหินยาน ก็คือต้องเข้าใจ คือต้องรู้เข้าใจซึ่งกันและกัน การที่จะคบหากันนั้นต้องมีความจริงใจในความปรารถนาดีแล้วพูดกันตรงไปตรงมา ถูกไหม เรามีความปรารถนาดีด้วยความจริงใจ ดีกว่าใจกว้างแบบแสดง ใจกว้าง ใจกว้าง แต่เป็นการแสดงกัน เวลานี้มันจะเป็นอย่างงั้น แสดงใจกว้าง หรือใจกว้างแบบแสดง ก็บอกว่าจริงใจในความปรารถนาดีพูดกันตรงไปตรงมาดีกว่า เราก็มีความสัมพันธ์เพราะเราไม่ได้ว่าใคร แต่ว่าเราต้องรู้ว่าทางนั้นน่ะเขาไม่ยอมให้เราใหญ่กว่าหรอก ในใจ ถึงเขายอมรับแล้ว แต่ตอนนี้ยอมแล้วว่า คำสอนดั้งเดิมอยู่ที่เถรวาท พระไตรปิฏกบาลีรักษาไว้ได้ดีที่สุด พระไตรปิฎกของมหายานนั้นเขาแปลไปเป็นภาษาทิเบตกับจีนหมด แล้วคัมภีร์เดิมเป็นสันสกฤตก็ไม่รักษา รักษาเหมือนกันเขานับถือเป็นของศักดิ์สิทธิ์ ก็เอาไปบรรจุพระสถูปเจดีย์ ต่อมามันก็ทำลายพังหมดเลย เพราะฉะนั้นที่เหลือคัมภีร์สันสกฤตนี่หายากนาน ๆ ไปเจอที โอ้ตื่นเต้นกันใหญ่ ที่แท้ก็คำสอนที่เราก็มีอยู่แล้ว นี้คำสอนของพระไตรปิฎกของมหายานนี่ เขาจึงแบ่งเป็น 2 ส่วนของเดิมคล้าย ๆ กับของพระไตรปิฎกบาลี เขาเรียกว่าอาคะมา ของเราเรียกพระไตรพระสูตรมี ทะคะนิกาย มัฌชิมนิกาย นิคะนิกาย อุตตะนิกาย โคตรนิกาย ของเขาก็เรียก ทีระคาคม เขาเรียกเปลี่ยนนิกายเป็นอาคม ทีระคาคม มาติคาคม เป็นต้น คือเปลี่ยนอาคม เป็นนิกาย แล้วอาคมนี้แหละคือพระไตรปิฏก เดิมที่เป็นของพระพุทธเจ้า แต่ว่าเขารักษาไว้ไม่ได้ครบ มันก็สูญหายเสียหายไป บอกว่าที่รักษาไว้ดีที่สุดก็คือที่เถรวาท ส่วนพระไตรปิฏกส่วนอื่น ก็คือส่วนที่เขาแต่งขึ้นภายหลังที่เป็นพระสูตรมหายาน นี่ก็คือข้อเท็จจริง นี่เป็นเรื่องของข้อเท็จจริงที่ทั้งฝ่ายมหายานทั้งนักปราชญ์ทั้งหลายก็ยอมรับทั่วกัน โยมมีอะไรส่งสัยไหม เจริญพร
คนฟังถาม อาจารย์ครับ สังคยาครั้งที่ 1 พระเจ้าอาชาติศัตรูเป็น พระตอบ เป็นองค์ศาสนูปถัมภก เป็นผู้อุปถัมภ์
คนฟังถาม แล้วครั้งที่ 2 อาจารย์ พระตอบ พระเจ้าอากาโศกราช
คนฟังถาม ปีไหนครับ อาจารย์
พระตอบ ค.ศ. 100 แล้วมาครั้งที่ 3 พระเจ้าอโศก ค.ศ. 235 ก็สำคัญก็มีแค่ 3 ครั้ง ต่อจากนั้นไปทางเหนือก็พระเจ้ากนิสะกะ ก็มีสังคยนา ในราว ค.ศ. 600 หรือ 622 โดยประมาณนั้น คุณหมอจะถามอะไรเกี่ยว อาตมาตอบคุณหมอหรือยัง แต่ว่าตอบยาวไปหน่อย
คนฟังตอบ ตอบแล้วเจ้าค่ะ
คือจะได้ตอบได้เอง อาตมาอยากให้ตอบเองมากกว่า คนฟังตอบ เจ้าค่ะ
อาตมาไม่ต้องตอบเลย ถ้าให้ความรู้แบบนี้แล้วโยมตอบเอง ให้ความรู้ไปตอบเอาเอง บอกว่าคุณต้องมีความรู้ก่อน ก่อนที่จะให้ความเห็นหรือวินิฉัยอะไร ต้องมีความรู้และรู้ให้ชัด บอกว่าคุณจะทำอย่างไงเรื่องของคุณ แต่คุณจะต้องทำด้วยความรู้น่ะ แล้วรู้ให้ชัดด้วย วันนั้นคุณหมอถามใครถูกใครผิดใช่ไหม คำถามว่าอย่างไง รองทวนอีกที
คนฟังถาม ตอนลงท้ายที่ว่าเขาบอกว่า ชื่อวัชรยาน เขาก็ถือว่าของเขาถูกต้อง แล้วทางของเถรวาทก็ถือว่าตัวเองถูกต้องเพราะฉะนั้นใครเล่าจะเป็นผู้ตัดสินได้ว่า ใครถูกใครผิด ซึ่งมันมีเรื่องราวมากกว่านี้เยอะ ไม่ทราบพวกเราได้อ่านหรือเปล่า
พระตอบ ไม่เป็นไร จับประเด็นได้ก็แล้วกัน
คนฟังถาม ประเด็นก็คือ มหายานมีคนนับถือกันมาก ประเด็นที่ 1 เถรวาทมีน้อย เพราะฉะนั้นเมื่อพระพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้ว พระพุทธศาสนาก็มีการเปลี่ยนแปลงมาเรื่อย เขาก็ไม่ได้พูดเปลี่ยนแปลง
พระตอบ อาตมาคิดว่า ที่อาตมาพูดไปก็ตอบหมดแล้ว แต่ว่าเอาสรุปที่ว่าถูกหรือผิด ที่จริงก็ตอบได้เอง แต่อาตมาจะขอตอบอีกทีก็ได้ คือการตอบว่าของใครถูกใครผิด ใครจะตัดสินได้ล่ะ ที่เขาว่านี่คือประเด็น เราก็ตอบได้ 2 แบบ 1 ตอบแบบล้อเล่น 2 ตอบเอาเป็นหลัก ที่นี้ตอบแบบล้อเล่นนี่ในที่นี้ไม่เอา ตอบล้อเล่นมันตอบง่าย ๆ นี้ตอบเอาเป็นหลัก ตอบเอาเป็นหลักนี้ก็ต้องมาแยกแยะก่อน การตอบคำถามก็ต้องดูว่า คำถามในที่นี้เป็นคำถามประเภทความคิดเห็นหรือเป็นคำถามเกี่ยวข้องเท็จจริง ในที่นี้ถามว่าวัชรยานกับเถรวาท ใครถูกใครผิด ใครจะตัดสินใช่ไหม เป็นคำถามเกี่ยวกับความคิดเห็นหรือเป็นคำถามเกี่ยวกับข้อเท็จจริง แยกได้ทั้ง 2 แบบ แต่ขึ้นต้นมันเป็นแง่ความคิดเห็น เรามาดูแง่ในความคิดเห็นก่อน เมื่อตอบในแง่เป็นคำถามเกี่ยวกับความคิดเห็น ก็ต้องดู การตอบคำถามเกี่ยวกับความคิดเห็นก็ต้องแยกออกไปอีก 1 ความคิดเห็นแบบหยาบที่สุด ความคิดเห็นแบบหยาบที่สุดก็คือแบบตอบตามความรู้สึกชอบใจไม่ชอบใจ อันไหนฉันชอบถูกใจ ฉันก็ว่าถูก อันไหนไม่ชอบใจ ก็ผิด อันนี้ตามความรู้สึกชอบใจไม่ชอบใจ ก็อันนี้ใคร ๆ ก็ตอบได้ ใครชอบอย่างไรก็ว่าอย่างนั้นใช่ไหม ทีนี้มันมีแยกได้อีก ชอบใจไม่ชอบใจ ไอ้ชอบใจมันมีแยกได้เป็น 3 1 ชอบใจสนองตัณหา คือสนองความพอใจในผลประโยชน์ เช่นว่า เราถามว่าพระพุทธเจ้าสอนว่าอย่าไปลักขโมย แล้วถ้าไปฆ่าคนแล้วบาป ทีนี้ถ้าเราไปถามลูกน้องโจร หัวหน้าโจรสอนบอกว่าไปลักขโมยให้มาก ๆ แล้วถ้าเจ้าทรัพย์มันขัดขวางก็ฆ่ามันเลยใช่ไหม ไม่เป็นไรดีจะได้เงินมา ไปถามลูกน้องโจรว่า พระพุทธเจ้ากับหัวหน้าใครถูก ลูกน้องส่วนมากบอกว่าหัวหน้าโจรถูกใช่ไหม พระพุทธเจ้าผิดใช่ไหม นี้คำถามประเภทเกี่ยวกับความคิดเห็น ตามความรู้สึกความชอบใจไม่ชอบใจแบบสนองตัณหา แบบสนองมานะก็คือสนองความยิ่งใหญ่เกี่ยวตัวตน เพื่อจะให้ฉันใหญ่ก็ต้องเอาความรู้สึกอันนี้ก็คิดเอาเอง แล้วสนองอันที่ 3 สนองทิฏฐิความยึดมั่นของตัวเอง อันนี้เราไม่เอา ต่อไปการตอบคำถามประเภทความคิดเห็นอาจจะมีเชิงวินิจฉัยด้วย เพื่อให้สังคมมันดำเนินไปได้อยู่แค่ความรู้สึก เขาก็เลยตั้งเกณฑ์ ต้องมีเกณฑ์ เพราะฉะนั้นชุมชนสังคมประเทศชาติ ก็เลยมีเกณฑ์ขึ้นมาระดับต่าง ๆ เพื่อจะให้เป็นเครื่องวินิจฉัย ทีนี้ไอ้เกณฑ์หรือบัญญัติหลักการอะไรก็แล้วแต่นี่น่ะ มันก็แล้วแต่เป็นของชุมชนไหนใช่ไหม ชุมชนนี้ก็บัญญัติไว้อย่างนี้ ก็ว่ากันไปตามเกณฑ์นี้ ตามบัญญัตินี้ ตามกติกานี้ ตามหลักการนี้ มันก็ไม่เหมือนกันอีก ไปในสังคมนี้ชุมชนนี้ แม้แต่เรื่องการปกครองใช่ไหมก็ตัดสินไม่เหมือนกัน ไปอีกประเทศก็บัญญัติคนละอย่างใช้คนละเกณฑ์ แม้แต่ประเทศเดียวกัน แม้แต่ประเทศไทยนี่เวลาขึ้นศาลปกครอง ขึ้นศาลรัฐธรรมนูญ ผู้พิพากษาศาบก็ยังมีความเห็นแตกออกไปอีกใช่ไหม ใช้เกณฑ์เดียวกันแตกไปคนฝ่ายนี้ถูกว่า 6 คน ฝ่ายผิดว่า 3 คน เลยฝ่ายถูกชนะ หรือฝ่ายผิดเกิดว่า 7 คน ฝ่ายถูกก็ 3 คน ก็เลยฝ่ายผิดชนะใช่ไหม นี่ไม่แน่ ไอ้เรื่องความคิดเห็นและเชิงวินิจฉัยมันก็เลยขึ้นต่อบัญญัติ ขึ้นหลักการกฏเกณฑ์ที่ตั้งไว้จะเอาอย่างไง ทีนี้ถ้าเราไปตั้งเกณฑ์อย่างนี้ ถ้าเกณฑ์ของวัชริยาน เขาบอกวัชริยานถูกใช่ไหม เกณฑ์ของเถรวาทก็ว่าเถรวาทถูก มันตอบไม่ยากหรอก แล้วจะเอาเกณฑ์ใคร แต่ที่นี้ว่าต่อไป ก็มีการตอบคำถามที่ลึกลงออกไปอีก เพราะคนเราไม่ได้อยู่แค่บัญญัติหรือหลักการเรายังมีความคิดต้องการสัจธรรม ถึงแม้แต่ปรับปรุงพวกบัญญัติอะไรต่ออะไร อย่างไรให้ดีหลักการต่าง ๆ ปรับปรุงพัฒนาให้ดีขึ้น ก็จะมีแยกได้ 2 ตอบอาศัยศรัทธาเป็นหลัก หรืออาศัยปัญญาเป็นหลัก ถ้าอาศัยศรัทธาก็ตอบตามความเชื่อ ถ้าอาศัยปัญญาก็เอาเหตุผลเอาความรู้เข้าใจจนถึงสัจธรรม ระหว่างนี้มันก็มีศรัทธางมงาย ศรัทธาที่ประกอบด้วยปัญญามากขึ้น ก็แทบจะอยู่ระหว่าวศรัทธากับปัญญา ก็ให้ศรัทธามีปัญญามากขึ้น ก็ดีขึ้น ดีขึ้น พัฒนาขึ้นไป จนกระทั่งถึงสุดท้ายก็คือ ตอบด้วยปัญญากันจริง ๆ ฉะนั้นคำถามนี้ก็ไม่เหลือวิสัย ใครจะวินิจฉัย เอ้าแล้วแต่คุณจะเอาระดับไหน เอาระดับปัญญานี่เถียงกันได้ แต่ถ้าเป็นเรื่องของหมู่ชนน่ะมันมักจะมีปัญหา เรื่องว่ากลัวจะแตกแยกอะไรต่ออะไร เขาก็ถือมารยาทของเขา คำถามประเภทนี้ไม่ถาม จริงไหม เพราะว่าเดี๋ยวจะมีปัญหาเกิดความกระทบกระทั่งขัดแย้งกัน ฉะนั้นคำถามประเภทอย่างนี้ ตามปกติเขาไม่ถามเพราะเห็นแก่ความสัมพันธ์เท่านั้น แต่ไม่ใช่ตอบไม่ได้ ต่อไป 2 การตอบคำถามประเภทเกี่ยวกับข้อเท็จจริง อันนี้ตอบได้เลย เช่นว่า วัชรยานกับเถรวาทนี่ใครมีคำสอนดั้งเดิม ใครเป็นคำสอนที่พัฒนาเสริมแต่งขึ้นมาภายหลัง ก็ตอบได้ทันที ทุกฝ่ายก็ยอมรับว่าเถรวาทมีคำสอนแท้ดั้งเดิม ฝ่ายมหายาน หรือวัชริยาน เป็นคำสอนที่เป็นส่วนที่เพิ่มเติมขึ้นมาภายหลังบ้างมาย แต่อันนี้ไม่ใช่เรื่องใครดีกว่าใคร เป็นคำถามเกี่ยวกับเรื่องข้อเท็จจริง ก็ตอบได้เลย นั้นมันก็เลยตอบได้ใช่ไหม เจริญพร ก็ต้องแยกแยะกันก่อนว่าจะตอบอย่างไร จะเอาแง่ไหน ก็คิดว่าพอสมควร ไอ้เรื่องอย่างนี้ก็คือ ที่อาตมาหวั่นเกรงมากคือสังคมไทยในเวลานี้มันอยู่กับความคิดเห็น ไม่อยู่กับความรู้อะไรอะไรก็แสดงความเห็นกันเรื่อย ยังสอนบอกให้เด็กต้องกล้าแสดงเป็นความเห็นเสียอีก แทนที่จะให้เด็กหาความรู้ หาความรู้ให้ได้ชัดก่อนแล้วแสดงความเห็น นี่แหละจะสร้างสรรค์ที่สุดเลย ความเห็นที่ตั้งอยู่บนฐานของความรู้ที่ชัดเจนถ่องแท้นี่สำคัญที่สุด ฉะนั้นฝรั่งเขาเป็นนักหาความรู้น่ะ เขาไม่ใช่อยู่ ๆ มาแสดงความเห็นใช่ไหม หาความรู้ซิเรื่องใหญ่ หาความรู้ให้มันชัดก่อน แล้วมาแสดงความเห็นบนฐานความรู้นั้น ไอ้นี่อยู่ ๆ ไม่มีความรู้เลยแสดงความเห็นแล้ว มันก็ได้แค่แสดงความเห็นตามความรู้สึก หรือตามกระแส ตามความชอบใจไม่ชอบใจ คือว่าพอเราได้ความรู้ความเข้าใจนี่ก็จะมาพิจารณาได้ง่ายเรื่องเหล่านี้ เรื่องของข้อเสนอสิ่งที่จะพิจารณาอะไรต่ออะไรต้องมีตัวความรู้ก่อน ก็เราสามารถย้ำได้เลยเราต้องมาเข้าใจรู้เรื่องให้ชัด เราก็ให้ความรู้ประชาชนสิ เพราะต้องพยายามพูดให้เข้าใจ ขณะนี้ก็ถึงเวลาต้องให้ความรู้แก่ประชาชน คือคนที่ให้ความรู้แก่ประชาชนนี่ บางทีไม่ให้ความรู้ที่ชัดเจนให้แง่มุมหนึ่ง บางทีให้โดยประสงค์ให้ตื่นเต้นเท่านั้นเอง อย่างพุทธศาสนาในตะวันตกเวลานี้ เรารู้กันมานานแล้วว่า ฝรั่งนี่กำลังเพิ่มความสนใจในพุทธศาสนา เวลาไปพูดยนี่ก็อาจจะไปพูด อู๋ดูซิ เขาสนใจมหายานเห็นไหม ทางเถรวาทเขาไม่สนใจอะไร เช่นอย่างนี้เป็นต้น อาจจะไปพูดยกตัวอย่างองค์ดาไลลามะอะไรต่ออะไรทำให้ตื่นเต้น มันก็ต้องให้ความรู้พื้นฐานของความเป็นมาเป็นไป เอาอย่างอเมริกาเราก็ต้องรู้สังคมเขาเป็นอย่างไงมาอย่างไง แล้วความสนใจพระพุทธศาสนามันมีความคืบหน้ามาอย่างไรก็ต้องรู้ด้วย มันจึงจะมองออก ถอยหลังไปประมาณปี 1970 ก่อนหน้านั้นเป็นยุคของเซ็นน่ะ อย่างในอเมริกา เซ็น พุทธศานานิกายเซ็นนี่รุ่งเรืองมาก ทำให้คนฝรั่ง อเมริกัน อะไรพวกนี้สนใจสมาธิจนกระทั่งจะเป็นแฟชั่น แล้วตัวเชิดสำคัญในนิกายเซ็น ก็คือท่านดีทีซูซูกิ ซึ่งถึงแก่กรรมไปเมื่อปี 1966 เอาน่ะ นี่ตัวเชิดของเซ็น เซ็นยิ่งใหญ่มากมีชื่อทั่วอเมริกา พอต่อจากนั้นนิกายวัชริยานรามะ ทิเบตขึ้น เรื่องมันเป็นอย่างไง
จีนแดงเข้าครองทิเบตใช่ไหม ปี 1959 ท่านดาไลลามะ ท่านดาไลลามะทนไม่ไหว หนี นี่ปี 1959 คือปีที่ท่านองค์ท่านดาไลลามะหนีจากประเทศทิเบตมาอยู่ที่ธรรมศาลาในประเทศอินเดีย แล้วก็ออกเดินทางระหว่างประเทศไปอเมริการอะไรต่ออะไรด้วย แล้วก็พวกพระลามะก็เลยไร้ถิ่น ตอนนี้พระลามะก็ไปอยู่ในประเทศตะวันตก อังกฤษ อเมริกา แล้วก็เลยไปเรียนในมหาวิทยาลัยอะไรต่าง ๆ ก็จบกันมา แล้วมันเข้ายุคพอดี สังคมอเมริกันเนี่ยมันมี American Dream ฝันอเมริกัน แหมจะได้มีความพรั่งพร้อมอะไรเศรษฐกิจอะไรต่ออะไร มีโอกาสอะไรต่ออะไรมีกินมีอยู่พรั่งพร้อมอุดมสมบูรณ์อะไรนี่ของเขา ทีนี่ต่อมา American Dream มันไม่สมปรารถนา ช่วงปี 1950 กว่า เริ่มเกิด เขาเรียกว่า Beat Generation ไม่ทราบท่านเคยได้ยินหรือเปล่า พวกนี้เริ่มปฏิวัติสังคมอเมริกัน ว่าที่ไอ้อยู่กันมามุ่งหวังความเจริญพรั่งพร้อมทางวัตถุนี้ มันไม่มีความหมายเลย แล้วพวกนี้ล่ะ เริ่มจะหันมาหาธรรมชาติ หันมาสมาธิ หันมาหาทางจิตใจ แล้วก็กัญชาด้วย แล้วก็ไปสิ่งเสพติด ไอ้พวกอะไร ไหน คนฟังพูด พวกฮิปปี้ ก่อนฮิปปี้นี่ยุค Beat Generation คือยุค 10 ปีทศวรรษก่อนฮิปปี้ แล้วพอ 10 ปีผ่านไปก็ขึ้นยุคฮิปปี้ ปี 1960 กว่า ประมาณ 1965 นี่ขึ้นยุคฮิปปี้ ยุคฮิปปี้ก็เอาไปกันใหญ่ อะไรน่ะ ปล่อยผมยาว ใส่เสื้อยืด นุ่งกางเกงยีนส์ แล้วก็ใส่รองเท้ายาง อะไรก็ไม่รู้ คือหมายความอยู่อย่างธรรมชาติ ปล่อยตัวเรื่อยเปื่อย ก็ไปนอนกลางดินกินกลางทราย ตั้งชุมชน ตั้งข้อมูลอะไรต่าง ๆ แล้วก็นี่แหละเขาปฏิวัติสังคมอเมริกันว่าเป็นสังคมที่ลุ่มหลงไปทางผิด นึกว่าวัตถุมันจะให้ความสุข ที่แท้จริงมันไม่มีความหมาย ไปดูพ่อเม่ใส่ชุดสากลไปนั่งในห้องแอร์ โถ่ลำบากทุกข์ทรมานทำไม ก็ไม่ต้องไปซักเสื้อ แล้วก็ไม่ต้องไปรีดผ้า นอนกลางดินกินกลางทราย อยากนอนที่ไหนก็นอนที่นั่นดีกว่าสบายกว่ามีความสุขกว่า นี่ยุคฮิปปี้ แล้วก็หันมาสนใจสมาธิ สนใจคำสอนตะวันออก แล้วก็ต่อมาก็ไปละศาสนาตอนออกสมาธิ โยคะโยคีไปกันใหญ่ที่นี้ แล้วพอดีเลยเข้ายุครามะ ตอนนี้วัชรยานเข้าไปหันมานิยมสมาธิแบบวัชรยานของรามะ ชักจะล้ำหน้าเซ็นแล้ว สมาธิแบบรามะ เซ็นชักจะคล้าย ๆ ว่าถูก Ekiti หมายความว่า โธ่บัง เรียกอะไรก็แล้วแต่ จะเรียกอย่างไรก็แล้วแต่หมายความชักจะเลือนลางลง ก็เป็นอันว่ารามะขึ้นทางพุทธศาสนา แล้วของอื่น ของอินเดียเขามีฮาเรกฤษณะไป พวกหนุ่ม ๆ สาว ๆ ก็หันมาแต่งเป็นฮาเรกฤษณะกัน นุ่งผ้าโทตีสีส้ม ใส่เสื้อแบบนักบวชฮินดู แล้วโกนหัวไปไว้ผมเปียยาว ๆ ทาหน้าสีพอกขาว พอกอะไรต่าง ๆ แล้วก็ถือกลองแบบอินเดียคล้าย ๆ กลองยาว แล้วก็ถือฉิ่ง แล้วก็มาเต้นตามถนนสาธรณะ ตามบรอดเวย์ ตามหน้ามหาวิทยาลัยโคลัมเบีย อาตมาไปเจอหน้ามหาวิทยาลัยโคลัมเบีย แล้วตามสี่แยกพวกนี้ก็ไปเต้นกันใหญ่ อันนี้ก็เป็นสภาพของฮาเรกฤษณะ จนกระทั่งว่าถึงกับหนีพ่อแม่ไปอยู่กับพวกนี้ ตอนนั้นก็เกิดกระบวนอื่นด้วย มีพวกเกาหลีไปซังยังมูน ซังยังมูนก็นำคริสต์ศาสนาใหม่ บอกว่านี่แหละคริสต์ที่แท้จริง พระเยซูนั้นทำงานมายังไม่ทันบรรลุผลถูกจับไปตรึงกางเขนซะก่อน ที่ซังยังมูนท่านสอนไว้อย่างนั้นน่ะ ซังยังมูนบอกว่าพระเยซูเนี่ยท่านสอนยังไม่จบ พอดีก็พวกยิวจับตัวไปให้โรมัน พวกโรมันกำลังปกครองยิวอยู่ ก็โรมันก็เอาไปตรึงไม้กาเขนซะ ถ้าอยู่ถ้าสอนต่อไป ท่านมีครอบครัวแล้วไป ก็เลยซังยังมูนก็มีครอบครัว แล้วท่านก็บอกว่า นี่คือศาสนาคริสต์ที่สมบูรณ์ แล้วท่านก็นำกลับไปประเทศอเมริกา ได้รับความนิยมใหญ่เลยเป็นกิจการใหญ่โตมโหฬารยิ่งใหญ่ ซังยังมูนยิ่งใหญ่มากจัดแต่งงานทีเป็นหมื่น ๆ คนน่ะ เรียกแบบไทย แต่งงานหมู่ แต่มันใหญ่มาก แต่งหน้าสนามกีฬา แต่งเป็นหมื่นคู่ อันนี้ซังยังมูน แล้วก็ยังมีพวกนำสมาธิเข้าไปอีกเยอะ อย่างที่มีชื่อเสียงมากที่รัชชานิส นี่ก็ใหญ่ขนาดที่ว่าตั้งเมืองเลย ชื่อรัชนีปุระ อะไรทำนองนี้ ก็คือท่านมีสาวกมากมีเงินทองมหาศาลซื้อที่ในรัฐโอเลกอน แล้วก็ตั้งเป็นเขตของตัวเอง มีการประชามติประชาพิจารณ์เฮียริ่งอะไรเนี่ย แล้วก็ให้คนในนั้น ต่อมาก็มีการเล่าแผนอะไรที่ทำให้โหวต ให้ที่นั้นเป็นเมืองของท่านรัชนี แล้วตั้งเมืองขึ้นมา แล้วก็มีรถโรลอย 90 กว่าคัน ใหญ่ไหม่ เจริญพร รถโรลอย 90 กว่าคัน มีเครื่องบินส่วนตัว
คนฟังถาม นี่ตอนหลังเขาก็ถูกฟ้องไม่ใช่หรือเจ้าค่ะ
พระตอบ นี่แหละ แล้วในที่สุดก็เกิดคดีการรัฐบาลอเมริกัน แล้วรัฐบาลอเมริกันก็เอาข้อหาหลายข้อหา ข้อหาลูกศิษย์ของท่านไปทำการฆาตกรรมคน แล้วก็มีแผนทางการเมืองที่ทุจริตในการเอาคนเข้าเมืองมา แล้วก็มาทำเฮียริ่งทำให้ชนะในการโหวต แล้วก็นำคนเข้าเมืองผิดกฎหมาย โอ้ยว่าหลายในที่สุดก็ถูกเนรเทศ ถูกเนรเทศแล้วรัฐบาลอเมริกันขอความร่วมมือไปยังประเทศต่าง ๆ ตั้งกี่ประเทศไม่รู้ไม่ยอมรับรัชนี รัชนีก็เอาเครื่องบินส่วนตัวบินไปลงประเทศโน้นประเทศนั้นไม่ให้เข้า ไปประเทศโน้น ประเทศโน้นไม่ให้เข้า บางประเทศเข้าแล้ว อเมริกาติดต่อมาให้ออกอีก อะไรอย่างนี้ แล้วก็เขียนถูกอเมริกาแกล้ง โอ้เรื่องเยอะแยะ เจริญพร เรื่องราวเหล่านี้เป็นเรื่องที่ชาวพุทธเราไม่ได้ค่อยเรียนรู้ ฉะนั้นก็ขององค์ดาไลลามะก็ดีแล้ว ก็คือการที่ว่าอาจจะมองในแง่เป็นยุคก็ได้ ก็คือยุคของเซ็นผ่านไป นี่ยุคของรามะขึ้นมา ยุคพระรามะนี่ถ้าเรามองในแง่หนึ่งเนี่ยเรื่ององค์ดาไลลามะมันมีเรื่องการเมืองเข้าไปด้วยนะ ถูกไหม ของมันเป็นค่ายสังคมนิยมคอมมิวนิสต์กับเสรีประชาธิปไตย เสรีทุนนิยมที่ว่าบางทีพวกอเมริกาไปหนุนเพราะอะไร เพราะมันต้องการจะบีบหรือกดไอ้พวกฝ่ายคอมมิวนิสต์ หรือว่าอะไรก็แล้วแต่คิดเอาเอง แต่ว่าในแง่หลักธรรมละท่านก็ดีล่ะ ก็เอาล่ะ เป็นเรื่อที่น่าอนุโมทนา แต่เราก็ต้องรู้ด้วย แล้วในขณะนี้อีกท่านหนึ่งมีชื่อเสียงในประเทศตะวันตกคือท่านทินะทัน ทินาทันเป็นเวียตนาม เวียตนามนี่ก็นิกายเซ็น คนละนิกาย ท่านทินะทันนี่เป็นเซ็น องค์ดาไลลามะเป็นวัชรยาน คนละนิกายกัน ส่วนเถรวาทนั้นเขาพูดมาตลอด ว่าเถรวาทนี้ มีแต่ฝรั่งมาเรียนเอาไป หมายความว่าพวกอื่นเขารู้จักไปเผยแผ่ในต่างประเทศ เซ็นเขาก็ไปเผยแผ่ จีนนิกายอื่นของญี่ปุ่น หรืออะไรนี่ ที่ทิเบต รามะก็ไปเผยแผ่ในประเทศตะวันตก แต่ว่าของเถรวาทเนี่ยมีแต่ฝรั่งมาเรียนเอาไป ฝรั่งมาเรียนแล้วก็ไปเผยแผ่เอง เขาว่าอย่างนั้นน่ะ ฝรั่งเขาว่า แล้วตอนนี้มันเริ่มเปลี่ยนทุกอย่าง ก็อาจจะมีบ้างแล้ว ก็อีกแหละพระฝรั่ง เป็นคนฝรั่งมาบวชเมืองไทย ได้มาเรียนที่เมืองไทยแล้วบวชเป็นพระแล้วก็กลับไป ก็เป็นฝรั่ง ส่วนพระไทยเราก็เป็นพระวัดไทย พระวัดไทยก็คือวัดของคนไทยโดยคนไทยเพื่อคนไทย โดยมากจะเป็นอย่างนั้นน่ะ คือน้อยจะไปเพื่อวัตถุประสงค์เผยแผ่ให้แก่ชาวต่างประเทศ ต้องยอมรับความจริงคือเราไปเป็นพระของชุมชนไทยที่เราต้องการจะมีชีวิตตามวัฒนธรรมของเรา เราก็จะคิดถึงบ้าน มีพิธีกรรมแบบบ้านเรา ทำบุญอย่างบ้านเราก็ตั้งวัดขึ้นนิมนต์พระไทยเราไป ไม่ต้องพูดภาษาอังกฤษหรอก หลายองค์ไปอยู่นั่นจนกลับมาพูดภาษาอังกฤษแทบไม่ได้เลย ก็อยู่กับคนไทย พูดกับคนไทยทั้งวันใช่ไหม คนไทยก็มีไปวัดกัน ก็มีบ้างบางวัดก็มีท่านก็มีเรื่องเป้าหมายในการสอนชาวพื้นถิ่น ชาวอเมริกันก็มีบ้างแต่น้อยอย่างยิ่ง ทั้งหมดนี่ถ้าใช้คำภาษาที่เขาพูดกันก็คือรู้เขารู้เรา ตัวเองก็ไม่รู้เรื่องของตัวเอง คนไทยนี่น่ะ เขาเราก็ไม่รู้ ไม่รู้ทั้งตัวเรา ไม่รู้ทั้งตัวเขา ฉะนั้นต้องรู้เขารู้เรา
คนฟังถาม ท่านอาจารย์ได้อ่านหนังสือที่เขียน 2 เล่มแล้วมีคนเอามาแปลที่พูดถึงเหมือนเป็นประวัติของพระพุทธเจ้าอะค่ะ
พระตอบ ไม่ได้อ่าน
คนฟังถาม คือในหนังสือนั้น มันเหมือนเป็นประวัติพระพุทธเจ้าแต่มันไม่ใช่ประวัติพระพุทธเจ้า ก็จะกราบเรียนถามท่านว่า คนที่นับถือพุทธศาสนามีสิทธิจะคิดหรือเจ้าค่ะว่า ประวัติของพระพุทธเจ้าที่เราเห็นกันในพระไตรปิฏกในชาดกนี่มันไม่เจริง และเรามีสิทธิที่จะเขียนขึ้นมาโดยใช้ชื่อจริง ๆ ของพระพุทธเจ้า เอาอย่างงั้นได้หรือเจ้าค่ะ
พระตอบ ไม่ทราบ แต่ว่าอาตมาไม่รู้เขียนว่าอย่างไร แต่ว่าทางมหายานท่านก็มีต่าง ๆ กัน อย่างผู้ที่นับถือนิกายนิจิเรนของญี่ปุ่น เขาถือว่าพระพุทธเจ้าองค์ที่เกิดในอินเดียนะไม่ใช่องค์แท้ พระพุทธเจ้าจริงก็คือนิจิเรน เอาซิว่าอย่างไง ก็ท่านจะไปถืออะไร คือไม่ต้องไปเรียกมหายานก็ได้ เป็นอาจาริวาทไหนนี่จะถูกต้องกว่า คือมหายานเป็นคำคลุมรวมหมดแต่ที่แท้ก็คือต้องบอกว่าเป็นอาจาริวาทไหน เป็นอาจาริวาทที่ชื่อว่าเซ็น แล้วก็ต้องแยกอีกเป็นรินไซ หรือโซโต หรือโอบากุ หรือว่าเป็นเพียวแลน สุขาวดี จะเป็นโจโดหรือโจโดชินเป็นต้น หรือเป็นยุซึเน็มบุซุก็มี นิกายเหลือนิดเดียว เป็นต้นเดิมของนิกายโจโดกับชินด้วยซ้ำ อย่างชินงอนเขาก็บอก แล้วนี่เราไม่สามารถจะเข้าถึงจุดหมายพุทธศาสนาด้วยคำสอนของพระศากยมุนีพุทธะ เพราะว่าพระศายมุนีพุทธะนี่ เป็นพระพุทธเจ้าที่สำแดงพระองค์ในร่างมนุษย์ มีข้อจำกัดไม่สามารถแสดงธรรมให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ได้ เพราะฉะนั้นจะต้องไปถึงคำสอนของมหาไวโรจนะพุทธะที่สอนในธรรมกาย เอ้าเมื่อสอนในธรรมกายจะมาสอนพวกเรา พวกร่างมนุษย์ทำไง ก็มันไม่รู้จะทำอย่างไงใช่ไหม ก็เราร่างมนุษย์นี่ แล้วท่านไม่ใช่ร่างมนุษย์ เราก็ติดต่อไม่ได้ ก็เลยต้องใช้วิธีลึกลับ วิธีลึกลับก็เป็น 3 ทางกาย วาจา ใจ ที่ว่าเมื่อกี้ ทางกายก็ใช้มุตทรา ท่าทางอะไรก็ว่าไป หรือใช้วัชระ ก็คือเพชร Lotus ปัทมะดอกบัว วัชระยานอย่างไปที่ทิเบตเขาจะมีจารึกที่ต่าง ๆ โอมมณีปัทเมฮุม จะเป็นสำคัญของนิกายนี้ นี่เขาไม่ใช้ นะโมอมิตาพระ ใช่ไหม ไม่ใช่เนบุซึ เขา โอมมะวีปัททะมาฮู เอ้าทีนี้เราไปญี่ปุ่นก็ไปจากจีนนี่แหละต้นเดิม คือท่านอุไก เป็นอาจารย์เจ้าสำนักของนิกายชินงอน ท่านก็ไปเรียนจากจีน จีนชื่อนิกายเฉินเหยิน ท่านอุไกก็ไปเรียนจากท่านฮุยโกที่ประเทศจีน แล้วก็มาตั้งชินงอน นิกายวัชระยานของญี่ปุ่นขึ้น ส่วนสุขาวดีนี่ โจโดก็โฮเน็นญี่ปุ่นเอง นิกายชินก็ชินแลนก็ตั้งขึ้นมา ถ้าเป็นชินแลน นิกายโจโดพวกนี้ก็เนมบุซึ นะโมอมิตาพระ นี่ถ้าเป็นนิจิเรนก็บอกว่าพระพุทธเจ้าองค์แท้เกิดที่ญี่ปุ่นไม่ได้เกิดที่อินเดีย ก็บอกว่าต้องนับถือคัมภีร์สัทธรรมปุณฑรีกสูตร แล้วก็สวดมนต์เป็นประจำเนี้ย นะมุเมียวโฮเรนเอเกียว ถ้าไปเห็นที่ไหน สวดอย่างนี้ก็บอกได้เลยนะเนี่ยนิกายนิจิเรน ในเมืองไทยมีเยอะเวลานี้ เราจะได้เข้าใจ ไม่ใช่ว่ามหายานก็มหายานไปเรื่อย ๆ อ้าวไม่รู้ตอบคำถามเรื่องอะไรเลย
คนฟังถาม ไม่รู้แปลว่ามหายานนี่กำลังมาเฟื่องฟูในประเทศไทย คนไทยเริ่มไปศรัทธา
พระตอบ มันก็มีปัจจัยหลายอย่างเพราะว่าคนไทยเอง 1 ก็เป็นความบกพร่อบของชาวพุทธเองรวมทั้งพระด้วยที่ไม่ให้การศึกษาประชาชน ชาวพุทธไทยบอกว่าเป็นเถรวาท แต่ก็ไม่รู้เลยพุทธศาสนาสอนอะไร แล้วเข้าใจกันผิด ๆ อย่างที่อาตมายกตัวอย่าง คือว่ามีสัตว์ประหลาดร่างกายพิกลพิการก็ไปกราบของหวย แล้วก็บอกนี่เป็นชาวพุทธใช่ไหม ก็ไม่รู้เรื่องเลยพอคนมาสอน เขาก็มีคำสอนที่ดูเป็นหลักเป็นฐานดีกว่า มันก็ไปเลย แล้วมันไปเข้ากับนิสัยใจคอที่ถูกปล่อยไว้ว่า ก็อยากได้ผลดลบันดาล อยากได้โดยไม่ต้องทำ ก็มีนิกายพวกประเภทที่เจ้าพระคู้ณเข้ามา ก็ได้เรื่องเลยใช่ไหม อย่างนิกายสุขาวดีนี่เป็นนิกายที่ว่าขอร้องพระอมิตาพระ ที่ว่าเนบุซุบอกว่าสวดอ้อนวอนหรือรำลึกถึงพระอมิตาพระไปในวันหนึ่งให้ได้พันครั้งหรืออะไรนี่ ยิ่งได้มากยิ่งดี ตายแล้วจะได้ไปเกิดในสวรรค์สุขาวดีอยู่กับพระพุทธเจ้าอมิตาพระ ในสวรรค์ตะวันตกอย่างนี้ หรือนิจิเรนเข้ามาเขาก็มีคำสอน ก็อาจจะมีการสงเคราะห์อะไรอีกเข้ามาด้วย คนไทยต้องการความช่วยเหลือด้านวัตถุด้านร่างกายอยู่แล้ว 2 ก็ต้องการให้เรื่องของที่พึ่งทางจิตใจที่ตัวเองพุทธศาสนาพระ ชาวพุทธไทยก็ไม่สอนกัน ทั้ง ๆ ที่มีพุทธศาสนามันก็เคว้งคว้าง เขาก็คว้าไปง่าย ก็ต้องโทษตัวเองด้วยใช่ไหม ฉะนั้นสิ่งที่สำคัญขนาดนี้คือพร้อมกับการที่จะเป็นศูนย์กลางของพระพุทธศาสนา ก็ต้องดูแลตัวเองด้วยว่าพร้อมที่จะเป็นไหม ตัวเองอาจจะไม่ได้เรื่องอะไรเลย แต่ที่เขาอยากให้เป็นเพราะเขาเห็นว่าตัวเองมีหลักการดี เขาดูไปที่หลักการว่าคุณมีหลักการดีของเดิมอยู่ แล้วก็ตัวเลขสถิติมันใหญ่ มีวัดวาอารามกินบุญเก่า หมายความว่าคนโบราณสร้างไว้ วัดวาอารามอะไรเยอะแยะก็ได้ 2 อย่าง หนึ่งได้หลักการ สองได้บุญเก่า แต่ไอ้ปัจจุบันไม่ได้เรื่องเลย ฉะนั้นสิ่งที่ต้องทำในขณะที่จะเป็นศูนย์กลางของพุทธศาสนาในสากลนี่ ก็หนึ่งก็ต้องมีอะไรให้แก่เขา เริ่มตั้งแต่มีอะไรที่จะมีแสดงให้เขาดู แล้วก็มีอะไรที่จะให้เป็นประโยชน์แก่เขา สอง ก็ต้องปฏิรูปตัวเองฟึ้นฟูตัวเองให้ขึ้นมา ต้องมาให้การศึกษาเรียนรู้ศึกษากันฉะนั้นในโครงการเผยแผ่พุทธศาสนานี่ จะต้องตั้งเป้าที่ต้องทำให้ได้ก็คือว่าต้องให้ประชาชนนี่รู้เข้าใจพุทธศาสนาปฏิบัติให้ถูกต้อง จึงได้พูดบ่อย ๆ ว่าไปเน้นชุมชนชนบท ขณะนี้ชุมชนชนบทมันกำลังจะเซ กำลังจะสูญ พุทธศาสนาชุมชนชนบทมีวัดเป็นศูนย์กลางมาแต่เดิม และขณะนี้มันเป็นศูนย์กลางได้ไหม วัดมันกำลังจะสูญเสียบทบาทก็ไม่มีพระอยู่ พระไม่มีคุณภาพ สอนชาวบ้านไม่ได้ กลายเป็นไปให้หวย เป็นผู้นำไม่ได้ ก็นี่ซิทำไมไม่ทำ 1 คุณต้องไปฟื้นฟูวัดในชนบท พัฒนาคุณภาพพระให้มาเป็นเจ้าอาวาส ให้มีพระอยู่ประจำวัดที่มีคุณภาพที่จะมีบทบาทที่ถูกต้องในทางพุทธศาสนาต่อประชาชน สามารถแนะนำไปในทางที่ถูกต้อง บอกวิถีชีวิตแบบพุทธให้แก่เขาได้
คนฟังถาม อย่างนนี้วิธีการเขาจะดูผลงานของเจ้าอาวาสนี้เจ้าค่ะ เขาจะดูว่าเจ้าอาวาสสร้างสิ่งก่อสร้างในวัดเท่าไหร่ แล้วก็มันเป็นวิธีทางโลกหมดเลยเจ้าค่ะ มันไม่ได้มีวิธีการที่จะเป็นอย่างที่ท่านเจ้าคุณว่าเลย
พระตอบ ก็อันนี้มันเป็นมานานแล้ว แม้แต่ตั้งแต่สมณศักดิ์ เขาติเตียนมาตั้ง 20, 30, 40 ปีแล้ว พิจารณาปั้บก็ดูว่าสร้างศาลากี่หลัง สร้างโบสถ์ ใช้เงินเท่าไหร่อะไรอย่างนี้เป็นต้น ดีไม่ดีก็สร้างเมรุด้วย พระเองท่านก็ว่ากันมานานแล้วเรื่องนี้ ญาติโยมถ้าเป็นนักการเมืองจะมาตามพระที่มีปัญหาอีกก็แล้วแต่ แต่ว่าเราก็ต้องช่วยกันพูดสิ ให้ความรู้แนะนำ เจริญพร ก็ต้องช่วยกันพูดแหละสำคัญตอนนี้ คือชาวพุทธตอนนี้ก็ว้าเหว่พอสมควร รัฐบาลที่แท้จริงก็ต้องสามารถที่จะทำให้คนเนี่ยมีความเข้มแข็งมีคุณภาพ ทำการทำงานเป็นนักผลิต นักสร้างสรรค์ สร้างผลสำเร็จด้วยความเพียรพยายามของตนใช้สติปัญญา มีการพัฒนาตัวเองตลอดเวลา สร้างประเทศชาติด้วยให้เข้มแข็ง มีพลังแล้วสามารถออกไปในโลกได้ จะได้ไปแข่งกับเขาหรือจะไปนำเขาก็แล้วแต่ ต้องมีความสามารถอย่างนี้ ถ้าเป็นแค่อย่างนี้ไม่มีทางหรอก เอาไปนำวงการการประชาคมโลกไปไม่รอด ต้องตามเขาเรื่อยไป ก็โยมมีอะไรอีกไหมที่จะถาม เจริญพร ข้อสำคัญก็คือว่า จุดที่เป็นประเด็นที่ตั้งไว้นั้นครบยัง
คนฟังถาม ได้เจ้าค่ะ เพราะว่าท่านก็เมตตาให้ความรู้อย่างที่ ถ้าเผื่อเอาไปแล้วหลักพวกนี้ก็มันจะตอบได้ทั้งนั้นเจ้าค่ะ
พระตอบ เรียกว่าตอบได้เองเลย
คนฟังถาม ตอบได้หรือเปล่า แต่ไม่รู้ว่าจะมีใครฟังหรือเปล่า
พระตอบ ไม่เป็นไร เราต้องเผยแพร่ ความรู้เหล่านี้ เผยแพร่เข้าไป เผยแพร่เข้าไป รู้กันไปซิ คือ พลเมืองที่มันจะพัฒนาได้มันต้องมีปัญญาใช่ไหม ต้องมีความรู้ เพราะไม่มีความรู้มันมองอะไรไม่ออก พอมีความรู้ปั้บ อะไรเข้ามามองออกหมด พอมองออกปั้บทัศนคติที่ถูกต้องมีขึ้นได้ ไม่งั้นมันก็ได้แค่ความรู้สึกชอบใจไม่ชอบใจไปตามกระแสที่เขาปั่น ทีนี้ในสังคมแบบที่อยู่กับความเห็นความรู้สึกนี่ มันก็จะมีคนที่ Exploreโดยวิธีปั่นกระแส ดูซิสังคมไทยเวลานี้มีคนไปปั่นกระแสเยอะเลยน่ะ ปั่นกระแสไม่ว่าจะเป็นเรื่องทางด้านบริโภคนิยม หรืออะไรก็แล้วแต่ เขาจะใช้ในสภาพของประชาชนนี่เป็นเครื่องมือปั่นกระแส ถ้าประชาชน ยังมีนิสัยยังหวังผลดลบันดารขอหวยอะไรต่ออะไรอยู่ เขาก็ปั่นกระแสได้ แต่ถ้าประชาชนเปลี่ยนนิสัยไปมีคุณภาพ หรือมีความรู้มีปัญญามากขึ้น กระแสแบบนั้นก็ปั่นไม่ได้ มันต้องพัฒนาคุณภาพให้มีความรู้ความเข้าใจเป็นเรื่องใหญ่ แล้วก็พัฒนาจิตใจให้มีความเข้มแข็งอะไรต่ออะไร ให้มีจุดหมายร่วมของสังคมว่าเราจะเอาอะไร ความรักประโยชน์ส่วนรวม จุดมุ่งหมายของประเทศชาติ สังคมอะไรต่าง ๆ ให้ความรู้อย่างนี้แล้วตอบได้หมดด้วย
คนฟังถม ไม่ใช่ตอบได้หมด แต่ว่าประชาชนที่ไม่มีความรู้ พระตอบ ก็ต้องช่วยกันให้ เจริญพร ไม่ทางเลี่ยง
คนฟังถาม ออกกฎหมายอะไรไม่ได้ ใช่ไหมเจ้าค่ะ
พระตอบ อ๋อ อันนี้ก็ เดี๋ยวนี้เขาก็อ้างสิทธิเสรีภาพ ก็คนไม่มีปัญญาแม้แต่คำว่าสิทธิเสรีภาพเขาก็ไม่รู้จัก เมื่อไม่มีปัญญามันก็ไม่รู้จักแม้แต่สิทธิเสรีภาพคืออะไร แค่ไหนจริง ๆ อย่างถูกต้อง ก็อ้างกันได้เรื่อยไป ก็อ้างว่าเสรีภาพทั้ง ๆ ที่ไม่รู้เสรีภาพแท้หรือไม่แท้ ก็ใช่เพราะฉะนั้นก็ถึง
คนฟังถาม ให้ความรู้ก็ต้องหาทาง พระตอบ ก็ต้องรีบช่วยกันให้ความรู้นี้แหละ
คนฟังถาม ความรู้จะไม่ทันซิค่ะ ไอ้โรคนี้กำเริบ ก็ต้องช่วย
พรตอบ ก็ต้องช่วยกันหาทางที่จะเผยแพร่ความรู้ไป ก็อย่างมัวไปจนอยู่ไม่ได้เลยน่ะ
คนฟังถาม ก็หาหลายทาง ต้องสกัดฎีกาสกัดตัวนี้ด้วย
พระตอบ สกัดนี้ก็สกัดด้วยความรู้เนี่ยดีที่สุดเลย ก็คือว่าโยมต้องช่วยกันให้ความรู้แก่คนอื่น เพื่อสกัดไอ้ความเข้าใจผิด คือพอคนรู้ แล้วไอ้คำที่พูดอย่างนี้มันไร้ความหมายเลยนะ มันไม่มีสาระเลย อาตมาคิดว่าเราให้ความรู้ที่เป็นกลาง ๆ ชนิดที่ว่าคนสามารถไปตัดสินใจเองจะดีที่สุด คือเราไม่ต้องให้ความเห็นเลย ให้เขาไปมีความเห็นเอง เป็นพิธีที่เครรพผู้ฟังให้มากที่สุด คือไม่ต้องให้ความเห็น ให้ความเห็นเป็นเรื่องของคุณ แต่ฉันให้ข้อมูลข้อเท็จจริง พูดถึงพุทธศาสนาในญี่ปุ่นก็ไม่รู้ไปอย่างไงมาอย่างไง ไม่รู้เรื่องเลย ก็ได้แต่ทำให้แค่ตื่นเต้น มันไม่ตื่นตัว มันตื่นเต้น ต้องรู้ทัน โยมก็ช่วยกัน เจริญพร ก็นี่มันก็ต้องโทษพวกเรากันเอง เราชาวพุทธนี่แหละ ที่ตกอยู่ในความประมาทกันมาตลอด แล้วก็ปล่อยปละละเลย พระก็ด้วยรอผลบันดาล ลัทธินี้เมืองไทยแย่ มันทำให้คนอ่อนแอ ลัทธิแล้วแต่เวรแต่กรรมอีก ก็ไปไม่รอดพวกนี้ ความใฝ่รู้อะไรต่ออะไรก็ไม่มี ของเรานี่ แล้วเขากลับมาสนใจของเรา เพราะฉะนั้นต่อไปเนี่ยญี่ปุ่นอาจจะรู้พระไตรปิฎกของไทยมากกว่าเรา เมืองไทย ญี่ปุ่นอาจจะรู้พระไตรปิฏกบาลีดีกว่าคนไทยน่ะ คอยดู ช่วยกัน ต้องปลุกใจคนไทยหน่อยให้เป็นคนใฝ่รู้เอาจริงเอาจังเห็นแก่สังคมประเทศชาติคิดสร้างสรรค์มีจุดหมายบ้าง
ก็อนุโมทนาคุณหมอ เอาละสวัสดี