แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ไฟล์ถอดเสียงนี้ยังไม่ได้ผ่านพิสูจน์อักษร นำขึ้นมาเพื่อช่วยในการศึกษาค้นคว้าของผู้สนใจ
คนฟังถาม อาจารย์ครับ ปัญญานี้เท่าที่ฟัง นี่จะพบโดยทั่วไปศาสนาพุทธ โดยเฉพาะเท่าที่ฟังรู้สึกว่าถ้าทางตะวันตกทางด้านศรัทธา ปัญญาเขาจะค่อนข้างหายไป
พระตอบ เอ้าก็มันมีจุดสัมพันธ์ระหว่างศรัทธากับปัญญา ศรัทธาในพุทธศาสนานี่เป็นศรัทธาที่เอื้อต่อปัญญาเป็นไปเพื่อปัญญา ศรัทธาที่ถูกต้อง ๆ อย่างนี้ ถ้าศรัทธาไม่ถูกนะเป็นศรัทธาขวางปัญญาแล้ว ศรัทธามี 2 แบบ ศรัทธาที่ขวางปัญญาดับปัญญา กับศรัทธาที่หนุนปัญญา ศรัทธาในพุทธศาสนานี่เป็นตัวนำเบื้องต้นเข้าสู่ปัญญา นี้ต้องพูดกันต่อไปอีก
คนฟังถาม
พระตอบ ก็อันนั้นก็ด้วย แต่ว่าโดยเฉพาะเอากันโดยตรงเลยระหว่างศรัทธากับปัญญา เป็นหลักการสำคัญในพุทธศาสนาที่จะต้องพูดนะ ถ้าผมลืมพูดก็ต้องเตือนให้พูดด้วยว่า ศรัทธาในพุทธศาสนาเป็นอย่างไร แล้วไปสัมพันธ์กับเรื่องปัญญาอย่างไร อ้าวเลยพูดเติมเข้าอีกนิดนึ่ง ศาสนาต่าง ๆ ที่จะให้คนมีความเพียรนะในเมื่อมีเทพเจ้าให้พึ่งแล้วเนี่ย ผลที่สุดทำไง เขาจะต้องมีคติขึ้นมาใหม่เพราะมิฉะนั้นคนก็เป็นรอเทพเจ้าช่วยใช่ไหม ศาสนาในหมู่ฝรั่งก็จะสอนกันว่า พระเจ้าจะช่วยคนที่ช่วยตัวเองใช่ไหม ตกลงก็ต้องมาเอาตรงนี้ ตกลงแกข้ายังไม่ช่วยหรอก แกต้องช่วยตัวเองก่อนข้าจึงจะไปช่วยถูกไหม ไม่งั้นคนก็ไปหวังพึ่งก็ไม่ต้องทำอะไร เทวดาทำให้ใช่ไหม ก็ถ่ายโอนภาระให้เทวดา ยกปัญหาให้เทวดาแก้ ฝรั่งก็เจออันนี้เข้า ฝรั่งก็หาทางออก ฝรั่งก็เลยบอกว่าพระเจ้าจะช่วยคนที่ช่วยตัวเองเท่านั้น ถ้าแกไม่ช่วยพระเจ้าก็ไม่ช่วย ตกลงก็มาลงที่ช่วยตัวเอง ทีนี้ยิวบ้าง ยิวเป็นอย่างไง ยิวก็เชื่อพระยะโฮวาใช่ไหม พระยะโฮวาก็มาเป็น God ของคริสต์ด้วย เอ้าก็เชื่อเทพเจ้าสูงสุดพระผู้เป็นเจ้าอีกแหละ แต่พระผู้เป็นเจ้า พระผู้เป็นเจ้าจะยังไม่ได้ทำอะไรให้ ให้แต่แผ่นดินแห่งสัญญาบอกแกต้องช่วยตัวเองไปจนไปกระทั่งแผ่นดินสัญญานั้น นี่เห็นไหมศาสนาที่มีเทพเจ้าก็จะต้องเอาอุบายอะไรมาเพื่อให้มนุษย์ไปช่วยตัวเอง ในระหว่างนี้พระเจ้าไม่ช่วยแล้ว แกดิ้นของแกไปก็แล้วกัน โน่นแผ่นดินแห่งสัญญาพระเจ้าให้ความหวังไว้ ก็อยู่ด้วยความหวังอันนั้น แต่ก็ความหวังนี้ไม่ใช่ความหวังได้มาโดยเขาช่วยน่ะ ความหวังที่ตัวเองจะต้องดิ้น อันนั้นพวกยิวก็ต้องดิ้นสุดฤทธิ์ซิทีนี้
คนฟังถาม ต้องใช้ระยะเวลาเป็น 1000 ปี
พระตอบ เป็น 1000 ปี ใช่ แผ่นดินแห่งสัญญา พอไปถึงแผ่นดินแห่งสัญญา แล้วก็ยังโดนพวกอาหรับบีบซะจะตายอีกใช่ไหม พระเจ้าท่านก็ยังไม่เห็นทำให้สบายเลยใช่ไหม เสร็จแล้วต้องระแวงภัยหวาดหวั่นตลอดเวลาใช่ไหม พวกอาหรับมันจะโจมตีบุกอยู่ตลอดเวลา ถ้ายิวอ่อนแอเมื่อไหร่อาหรับเอาตายใช่ไหม อย่างนัตเซอร์ตอนนั้น ตอนระยะ พ.ศ. ใกล้ พ.ศ. 2500 แหมตอนนั้นอียิปต์นี่เข้มแข็งมากมีผู้นำที่ผู้ยิ่งใหญ่ชื่อนัตเซอร์ นัตเซอร์ขึ้นมาแหมพวกอียิปต์ก็นึกว่าตอนนี้ เราจะยิ่งใหญ่ที่สุด ตอนนี้นัตเซอร์ก็ปราบยิวเอาให้หมดแผ่นดินเลยคราวนี้ ก็วางแผนเตรียมรบอย่างดีเลยทุ่มเทกำลังเต็มที่ อียิปต์ยังไม่ทันขึ้นเลยเครื่องบินยิวมาถึงบอมบ์สนามบินอียิปต์หมดเลย เครื่องบินขึ้นไม่ได้ 7 วันยิวปราบอียิปต์จบ สงคราม 7 วัน อียิปต์แพ้เลยยกธงขาว นี้แต่ว่าอะไรล่ะ นี่ผมบอกแล้วหลักการของมนุษย์ปุถุชน มนุษย์นั้นเมื่องถูกทุกข์บีบคั้นภัยคุกคามก็จะลุกขึ้นดิ้นรนขวนขวาย คนไทยเหมือนกันเวลาอยู่สบายก็ทะเลาะกันว่ากันวุ่นวาย พม่ายกทัพมาตี โอ๋สามัคคีลุกขึ้นมาสู้เต็มที่ใช่ไหม นี่แหล่ะทุกข์บีบคั้นภัยคุกคามก็จะเข้มแข็งดิ้นรนขวนขวาย แต่ถ้าไปหวังพึ่งเสร็จไปไม่รอดอีกใช่ไหม ต้องไม่มีใครช่วยแล้ว ต้องเอาเต็มที่แล้วตอนนี้มันก็เข้มแข็ง ทีนี้ยิวแกอย่างนี้ใช่ไหม ภัยอันตรายรอบด้าน อาหรับเต็มไปหมดเลยกี่ประเทศ ประเทศเดียวก็หลายสิบล้านแล้วยิว 3 ล้าน ประเทศเดียวก็สู้เขาไม่ได้แล้ว ถ้าเอากำลังคน แต่ทำไม 3 ล้านมันอยู่ได้ท่ามกลางเป็น 100 ล้านใช่ไหม แล้วศัตรูทั้งนั้นไม่มีใครเอาดีด้วยเลยจะห่ำหันจะปราบอย่างเดียวมีช่องเมื่อไหร่เอาทันทีใช่ไหม แต่ว่ายิวก็หนามเต็มตัวเลย เพราะฉะนั้นพวกนั้นก็คร้าไม่กล้า เพราะอะไร เพราะภัยอันตราคุกคาม มันก็เข้มแข็งใช่ไหม ดิ้นรนเต็มที่ อันนั้นยิวนี่ตื่นตัวตลอดเวลา พัฒนาตัวเองตลอดเวลา เข้มแข็งบอกว่าเขามีคติอยู่อันนึงบอกว่า คนยิวต้องทำได้ตลอดทุกอย่าง ทุกคนด้วยไม่ว่าหญิงหรือชาย ขึ้นรถขับรถได้ ลงเรือขับเรือได้ ขึ้นเครื่องบินขับเครื่องบินได้ ต้องทุกคน นี่มันถึงขนาดนี้นะ ก็มันฝึกกันขนาดนี้มีคติอย่างนี้ ตั้งแต่เด็กแต่เล็กเกิดมาก็เป็นอย่างนี้แล้วใช่ไหม อันนั้นก็เข้มแข็ง คนมันอยู่ที่การฝึก เพราะฉะนั้นยิวคนเดียวนี่สู้กับอาหรับ 10 คนได้สบายเลยใช่ไหม อันนั้นมันจึงเอาไม่อยู่ เพราะฉะนั้นก็ตกลงแผ่นดินแห่งสัญญามาถึงแล้วก็ยัง พระเจ้าก็ยังไม่ทำให้สบายอีกต้องมาสู้กันตลอดเวลา การที่ต้องสู้ช่วยตัวเองต้องเข้มแข็ง นั้นต้องระวังมากในสังคมไทยเป็นสังคมที่หวังพึ่งมนุษย์ด้วยกันเอง หวังพึ่งอำนาจเร้นลับภายนอกซึ่งเป็นส่วนที่ดี เราจะพูดกันต่อไป ส่วนดีแค่ไหนส่วนเสียแค่ไหน ถ้าใช้ไม่เป็นแล้วก็จะเกิดโทษได้มาก อย่างที่บอกแล้วว่าได้ไม่คุ้มเสีย อาจจะต้องทุ่มชีวิตนี้ให้ทั้งชีวิต ไปโดยที่ตัวเองไม่ ได้สิ่งที่ประเสริฐที่ควรจะได้ในเวลา 100 ปีที่ที่เกิดมา
ปานะที่เรียกว่าอัฐบาน น้ำปานะ 8 อย่าง ในวินัยก็แสดงไว้ว่ามีน้ำนั่น ๆ ๆ ๆ ๆ 8 อย่าง ทีนี้อัฐบานมีอีกชุดหนึ่งมาอยู่ในคัมภีร์นิเทศ นิเทศนี่เป็นพระไตรปิฎกในพระสูตร เล่มแถวที่ 29 กับ 30 นี้เรียกว่านิเทศเป็นมหานิเทศ กับจุลนิเทศ อัฐบานก็มีอีกชุดหนึ่งในนั้นก็มีปโยปานังน้ำนมด้วย ก็เลยฝ่ายที่ถือว่า เอ้นี้ไปอยู่ในชุดโภชนะอันประณีต ก็ฉันไม่ได้ เป็นโภชนะ ทีนี้ท่านที่ถือหลักฐานตามคัมภีร์นิเทศ ก็บอกว่าเป็น ปโยปานัง เป็นน้ำปานะคือน้ำนม ก็ต้องฉันได้ ก็เลยต่างคนก็เอาตามหลักฐานของตัวที่มี ก็ท่านที่ถือตามนิเทศก็ฉัน ท่านที่ถือตามสิกขาบทว่าเป็นโภชนะอันประณีตไปมีชื่อระบุอยู่น่ะ ก็เลยไม่ฉัน เรื่องก็เป็นอย่างนี้
คนฟังถาม ถ้าเป็นอย่างนั้น ข้อสงสัยจริง ๆ เราควรไม่ฉันไม่ใช่หรือครับ เพราะเป็นข้อสงสัยขึ้นมาแล้ว
พระตอบ ถ้าเป็นสงสัยเราสงสัยเองนี่ เพราะเราสงสัยใช่ไหม
คนฟังถาม ถ้าเราไม่สงสัยก็ฉันได้
พระตอบ ก็เพราะว่าท่านถือว่าท่านมีหลักฐานนี่ หลักฐานชัดอยู่ปโยปานังท่านว่าอย่างนั้ มันมีในคัมภีร์
ที่ได้พูดกันมาก่อนหน้านี้ ก็พูดถึงเรื่องสิ่งที่เกี่ยวข้องในชีวิตประจำวันทั่วไป สภาพแวดล้อมที่ชาวพุทธจะต้องดำเนินชีวิตอยู่สัมพันธ์อยู่เรื่อย ๆ ซึ่งก็โยงไปถึงเรื่องสภาพของความเชื่อถือโดยทางศาสนาต่าง ๆ แม้ที่มีอยู่ก่อนพุทธศาสนาเกิดขึ้นเป็นการเกี่ยวข้องกับวัตถุบ้าง เรื่องพิธีกรรมบ้าง แล้วก็ความเชื่อต่าง ๆ บ้าง ที่นี้ในเมื่อพุทธศาสนไปเกี่ยวข้องกับเรื่องเหล่านั้น ซึ่งรวมทั้งเรื่องความเชื่อเกี่ยวกับผีสางเทวดา เทพเจ้าต่าง ๆ ด้วยเนี่ย พุทธศาสนาจะปฏิบัติต่อสิ่งเหล่านั้นอย่างไร อันนี้พุทธศาสนานั้นก็มีลักษณะอย่างหนึ่งที่ว่าถือว่ามนุษย์นั้นจะต้องเรียนรู้ต้องฝึกฝนพัฒนาตน ในการเรียนรู้ฝึกฝนพัฒนาตนสิ่งสำคัญก็คือต้องเกิดปัญญา ปัญญาเป็นตัวแกนกลางสำคัญที่สุดที่จะทำให้มนุษย์พัฒนาตนขึ้นมาในที่สุดมนุษย์จะต้องรู้นั่นเอง ต้องรู้เข้าใจความจริงของสิ่งต่าง ๆ ทีนี้ปัญญานี่เป็นสิ่งที่ยัดเยียดบังคับกันไม่ได้ นั้นก็โดยธรรมชาติเองก็เป็นเรื่องที่ว่าแต่ละคนจะต้องเรียนรู้ฝึกตนขึ้นมาพัฒนาตัวขึ้นมา แต่ผู้อื่นก็มาช่วยได้โดยที่มาบอกเล่าสั่งสอนแนะนำ แล้วก็ช่วยจัดสภาพแวดล้อมที่เกื้อหนุนเป็นต้น นี้ในเมื่อปัญญาซึ่งเป็นคุณสมบัติสำคัญของผู้ศึกษาเนี่ยเป็นสิ่งที่บังคับกันไม่ได้อย่างนี้โดยธรรมชาติเองก็เป็นอันว่าหลักการพุทธศาสนาก็ต้องเป็นหลักการของการที่ให้เสรีภาพ คือไม่อาจจะบังคับได้ และนอกจากนั้นพระพุทธศาสนาก็โยงไปถึงการที่เมื่อมนุษย์มีปัญญารู้แจ้งเข้าใจความจริงโดยสมบูรณ์แล้วเนี่ยจิตใจเป็นอิสระก็เข้าใจผู้อื่นถูกต้องก็เกิดความเห็นอกเห็นใจ การเข้าใจผู้อื่นตามความเป็นจริงก็ทำให้รู้ถึงสุขถึงทุกข์ของเขา ก็เกิดคุณธรรมตามมามีเมตตากรุณาเป็นต้น อันนี้ก็เลยเป็นไปเองโดยธรรมชาติของมนุษย์ที่พัฒนาแล้วอีกอย่างหนึ่ง ที่ว่าจะมีความรู้สึกที่ดีงามปรารถนาดีต่อผู้อื่นสำหรับท่านที่พ้นจากทุกข์ไปแล้วเข้าถึงสัจธรรมแล้วก็มองเห็นมนุษย์ที่อื่นที่ยังตกอยู่ใต้อำนาจของกิเลสและความทุกข์ก็เกิดความกรุณา ฉะนั้นท่านที่เข้าถึงความจริงสูงสุดมีปัญญาสูงสุดแล้วก็เลยมีกรุณาสูงสุดด้วย ทีนี้กรุณาที่เกิดสูงสุดเนี่ย นี้ก็เท่ากับมาเป็นตัวนำทางหรือว่าเป็นตัวปัจจัยอยู่ในตัวเองว่าทำให้การบังคับเป็นไปไม่ได้ใช่ไหม ถ้าได้ด้วยหลักการธรรมชาติปัญญาก็บังคับไม่ได้แล้วท่านผู้ที่จะเข้าถึงความจริงเองมีปัญญาแล้วอยากจะให้ผู้มีปัญญาด้วย ท่านก็มีกรุณาสูงสุดด้วย เพราะฉะนั้นจะไปบังคับเขาได้อย่างไรก็ต้องประพฤติต่อเขาโดยดี โดยที่ว่า เอ้อไปช่วยทำยังไงจะให้เขาได้เรียนรู้ได้ฝึกตนได้มีปัญญาขึ้นก็เลยไปเที่ยวแนะนำสั่งสอนเมตตากรุณานั้นก็เลยเป็นกัลยาณมิตร
ทีนี้คนเขาอยู่ในภาวะที่เขายังไม่รู้เรื่องรู้ราวแล้วก็มีสติปัญญามีอินทรีย์ต่าง ๆ กัน มีความสามารถในการเรียนรู้ต่าง ๆ กันเราจะทำอย่างไร วิธีปฏิบัติที่สำคัญก็คือว่าต้องยอมรับความแตกต่างหลากหลายของมนุษย์เหล่านั้น แล้วก็โดยทั่วไปก็ต้องไปพบกับเขาที่จุดที่เขายืนอยู่ จะไปเรียกร้อง จะไปบังคับ ให้เขากระโดดมาหาตัวก็ทำไม่ได้ ถ้าสามารถมากก็สอนให้เกิดความรู้เข้าใจ ถ้าเขามีปัญญาดีเป็นพื้นฐานอยู่แล้วศักยภาพสูง เรียกว่ามีธุลีในดวงตาน้อยก็แสดงธรรมให้เขาเกิดความเข้าใจได้อย่างที่ต้องการได้เลย แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นต่อความสามารถของผู้สอนเองด้วย นี่ความแตกต่างหลากหลายเหล่านี้มันก็ขึ้นต่อผู้สอนเอง ถ้าผู้สอนมีปัญญาเข้าใจความจริงแต่ว่าความสามารถในการสอนน้อยทำอย่างไร ก็ต้องมีวิธีปฏิบัติมากหมาย แต่รวมแล้วหลักการก็คือว่า ต้องการช่วยให้เขานี่ฝึกฝนพัฒนาตนขึ้นมา แล้วก็จุดหมายก็คือให้เขาเข้าถึงความจริงด้วยปัญญาเช่นเดียวกับที่ท่านพูดไปสอนเขานั้นได้ถึงแล้ว พร้อมกันนั้นก็ต้องเข้าไปสัมพันธ์ด้วยเมตตากรุณา ไปช่วยเหลือเขา แล้วต้องอดทนต้องพยายามค่อย ๆ แนะ ค่อย ๆ นำตามอินทรีย์ของเขาบางทีเขาอินทรีย์ไม่พร้อม
อย่างพระพุทธเจ้าไปสอน พระองค์ว่าต้องรอให้อินทรีย์เขาสุกงอม บางทีอินทรีย์เขายังไม่ยอมสุขงอม พระองค์ต้องหาวิธีการจะเรียกว่าเทคนิคก็ได้เพื่อจะให้เขาเนี่ยได้บ่มอินทรีย์ มีวิธีปฏิบัติบ่มอินทรีย์ให้เขางอม แล้วจึงจะได้สามารถสอนสิ่งที่ต้องการได้ ฉะนั้นเรื่องการที่จะไปสอนผู้อื่นนี่เป็นเรื่องใหญ่เหลือเกินเป็นเรื่องที่จะต้องมีวิธีการมากมายต้องทั้งคุณสมบัติของผู้สอนเองด้วย ต้องพัฒนาตัวเอง พัฒนาความสามารถในการสอนทั้งรู้จักใช้วิธีการสอน ต้องรู้จักตัวผู้ที่เราจะไปสอนเขาแค่ไหนเพียงไรเรื่องต่าง ๆ เหล่านี้ ก็เป็นเรื่องใหญ่อย่างหนึ่ง ซึ่งเป็นด้านหนึ่งของพระพุทธคุณ ที่ว่าพระพุทธเจ้านอกจากตรัสรู้สัจธรรมแล้ว ด้วยพระองค์เองก็ยังมีความสามารถในการสอนด้วย แต่ว่าจุดที่ต้องการพูดในวันนี้ก็คือ ที่ว่าพระองค์สอนพุทธศาสนาในท่ามกลางสภาพแวดล้อม ซึ่งสมัยก่อนก็คืออินเดียที่อยู่ใต้อิทธิพลศาสนาพราหมณ์ เขามีความเกี่ยวข้องกับสิ่งต่าง ๆ อย่างไร พระพุทธเจ้าอยู่ในสภาพแวดล้อมอย่างนั้น ทรงเห็นมนุษย์อยู่ท่ามกลางสิ่งเหล่านั้น พระองค์ก็จะต้องเกี่ยวข้องทั้งตัวคนและตัวสภาพแวดล้อมของเขา พระองค์จะปฏิบัติต่อสิ่งเหล่านั้นอย่างไร แล้วก็ในเมื่อไม่ใช้วิธีบังคับแล้วไปพบกับเขานะจุดที่เขายืนอยู่ก็ต้องยอมรับเขาตามที่เป็นจริง
ทีนี้ก็การปฏิบัติในเรื่องเหล่านี้ก็เลยเกิดเป็นวิธีการขึ้นมา คล้าย ๆ ว่า อ้าวพระพุทธเจ้าจะทรงสอนกระทั่งพระภิกษุว่าให้ปฏิบัติหรือสอนประชาชนอย่างไรที่เขามีเครื่องพิธีกรรมบ้าง เรื่องของความเชื่อเทพเจ้าเทวดามีการบูชามีการเซ่นสรวงอะไรต่าง ๆ เหล่านี้ พระองค์จะมีการปฏิบัติอย่างไร ปฏิบัติอย่างไรโดยที่ว่าไม่เสียหลักการของพุทธศาสนาด้วย ยังรักษาหลักการพุทธศาสนาไว้ได้ พร้อมกันนั้นก็ยังจะเป็นจุดเชื่อมต่อ เพื่อนำเขาเข้าสู่พุทธศาสนา หรือว่าเพื่อดึงเขาให้พัฒนาตัวเขาได้ยิ่งขึ้นไป อันนี้เป็นจุดที่สำคัญ ทีนี้พอดีว่าบทสวดในวันนี้เป็นบทสวดประเภทอนุโมทนาได้เคยบอกไว้ว่า บทสวดวันศุกร์ในสำนักนี้จัดไว้เป็นประเภทบทอนุโมทนาก็อวยชัยให้พรกับญาติโยม นี้ในบรรดาบทอนุโมทนาเหล่านี้ก็มีบางบทที่เป็นบทที่เกี่ยวข้องกับเรื่องเทวดามีการอุทิศกุศลให้แก่เทวดา แม้แต่พูดถึงเทวดาที่มาคุ้มครองหมู่มนุษย์อะไรต่าง ๆ ด้วย บางบทนี้จะเฉียด ๆ ไป ถ้าไม่พิจารณาให้ดีแล้วถ้าไม่รู้หลักการของพุทธศาสนาชัดเจนนี่ คล้าย ๆ เอ้นี่คล้าย ๆ จะให้ชาวบ้านไปบูชาเซ่นสรวงเทวดาด้วยยหรืออะไรทำนองนี้ ถ้าเราไม่รู้หลักการไว้ก่อน มาอ่านบทอนุโมทนาเหล่านี้ บางทีชักจะสับสนเหมือนกัน คล้าย ๆ ว่าอย่างที่ว่าเมื่อกี้ชักเฉียด ๆ กันไปเลย เฉียดการเซ่นสรวงบูชาเข้าไป
ดังนั้นก็ตอนนี้แหละก็เลยเห็นว่า อ้อในเมื่อวันนี้เรามีบทสวดอนุโมทนาที่ไปเกี่ยวข้องกับเรื่องเทวดาด้วย นั้นก็เลยคิดว่าจะแปลบทสวดสำหรับวันนี้ทั้งหมด แต่ว่าจะให้ตั้งข้อสังเกตเป็นพิเศษสำหรับบทที่เกี่ยวข้องกับเทวดานั้น แล้วเราก็มาโยงกับเรื่องที่เคยพูดไปแล้วที่ว่าพุทธศาสนานั้นไปเกี่ยวข้องกับประชาชนที่เขาอยู่ในสภาพแวดล้อมในความเชื่อทางศาสนาพิธีกรรมวัตถุต่าง ๆ เหล่านั้นตามที่เขาเป็นแล้วพุทธศาสนาปฏิบัติอย่างไร แล้วทำไงจะดำรงรักษาหลักการพุทธศาสนาไว้ หรือแม้แต่จะใช้สิ่งเหล่านั้นมาเป็นสื่อ เพื่อจะค่อย ๆ นำเขาขึ้นมาสู่ความดีงามที่สูงขึ้นไป คือให้เขาเจริญอยู่ในไตรสิกขาสู่ศีลสมาธิปัญญาให้เจริญขึ้นในพฤติกรรมจิตใจและปัญญา ตอนนี้ก็พูดนำว่าอย่างนี้ เพื่อจะได้เป็นข้อสังเกตแล้วเราก็มาดูบทสวดมนต์กันต่อไป
ที่นี้บทต่อไปเนี่ยจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับเทวดาชัดมากเทวะตาทิสสะทักขิณานะโมทนาคาถา 1 แล้วนะ แล้วก็บทถัดไป เทวะตาภิสัมมันตะนะคาถา ก็เกี่ยวกับเทวดา 2 บทนี้ เพราะเกี่ยวกับเทวดานี่เวลาไปสวดก็เลยสวดต่อไปเลย ฉะนั้นพอขึ้นบทแรก ยัตสมิงปะเทเสกะเปติ พอจบ สทานิปะสะทานิปะสติ ก็ต่อ ยานีธะภูตานิ เลย ไม่ต้องให้ขึ้น ไม่ต้องให้หัวหน้าขึ้นใหม่ ลักษณะที่ชัดก็คือ 2 บทนี้เกี่ยวข้องกับเทวดา นี้ เทวะตาทิสสะทักขิณานะโมทนา คาถา คาถาอนุโมทนาทักษิณาแปลว่าทานที่ถวายโดย เทวะตาทิสสะโดยอุทิศต่อเทวดา นี่ถวายทานอุทิศเทวดา ยัสมิงปะเทเสกัปเปติวาสังบัณฑิตะชาติโย ท่านผู้มีชาติแห่งบัณฑิตหมายความว่าคนที่เป็นบัณฑิตนั่นเอง จะไปอยู่ในที่ใดก็ตาม สีละวันเตตถะโภเชตวาสัญญะเตพรัหมะจาริโน ก็ให้ท่านมีศีลผู้สำรวมผู้เป็นพรหมจารีในที่นั้นได้บริโภค หมายความว่าก็เลี้ยงดูนั่นเอง เราเลี้ยงดูถวายภัตตาหาร เอาละน่ะ ยาตัตถะเทวะตาอาสุง และในที่นั้นมีเทวดาเหล่าใดอยู่ หรือเทวดาเหล่าใดอยู่ในที่นั้น ตาสังทักขิณะมาทิเส ก็พึงอุทิศทักษินาเพื่อเทวดาเหล่านั้น ด้วย เติมเข้าก็ได้ หมายความว่า นอกจากจะถวายทานแก่ท่านผู้มีศีลแล้วก็ยังไปควรให้ทักษินาแก่เทวดาเหล่านั้นด้วย ตาปูชิตาปูชะยันติ เทวดาเหล่านั้นได้รับการบูชาแล้วก็จะบูชาต่อว่าอย่างนั้นน่ะ มานิตาปุตตังวะโอระสัง ได้รับการนับถือแล้วก็จะนับถือตอบแทนด้วย ตะโตนังอะนุกัมปันติ ลำดับนั้นเทวดาทั้งหลายก็จะอนุเคราะห์เกื้อกูลหรือเกื้อหนุนบุคคลนั้น คือท่านที่ไปบูชาอุทิศกุศลให้ มาตาปุตตังโอระสัง ประดุจมารดาที่อนุเคราะห์บุตรผู้เกิดจากอก ผู้เกิดจากอกตนนั่นเอง เหมือนประดุจดังมารดาผู้ที่อนุเคราะห์บุตรของตน เทวะตานุกัมปิโตโปโส บุคคลที่เทวดาอนุเคราะห์แล้ว สะทาภัทรานิปัสสะติ ย่อมพบเห็นแต่สิ่งที่ดีงามทุกเมื่อว่าอย่างงั้นน่ะ เอานะนี่จบไปหนึ่งแล้ว
แล้วก็ต่อด้วยต่อไปว่าเทวะตาภิสัมมันตะนะคาถา คาถาที่กล่าวเรียกเทวดาก็ได้ หรือกล่าวพูดกับเทวดา หรือปรึกษากับเทวดา ก็คือคล้าย ๆ ทำนองว่า หารือหรือพูดง่าย ๆ ก็คือสอนนั่นเอง ยานีธะ ภูตานิ สะมาคะตาติ บอกว่าสัตว์ทั้งหลายเหล่าใดมาประชุมกันในที่นี้ ภุมมานี วายานิ วะอันตะลิกเข จะเป็นเหล่าสัตว์ที่เป็นภาคพื้นดินหรือเป็นผู้ที่อยู่ในท้องฟ้าเวหาก็ตามนี่ ในที่นี้ก็มุ่งที่พวกเทวดานั่นแหละ สัพเพ วะภูตาสุมะนา ภะวันตุ ขอสัตว์ทั้งหลายเหล่านั้นทั้งปวงจงเป็นผู้มีจิตใจดีงาม จิตใจดีงามก็แปลว่าดีใจก็ได้ ใจดีหรือดีใจใช่ไหม คิดดูซิภาษาไทย ใจดีกับดีใจ มันแปลกลับกันน่ะ ใจดีมันความหมายอย่างหนึ่ง ดีใจอย่างหนึ่ง แต่ว่าในที่นี้ สุมนานี้แปลได้ทั้งใจดีและดีใจ จงมีใจดี จงดีใจ ว่าอย่างนั้นน่ะ อะโถปิสักกัจจะสุณันตุ ภาสิตัง และทั้งขอจงสดับฟังภาษิตโดยเคารพ เอาล่ะซินี่ บอกเทวดาแล้วน่ะ สุภาสิตัง กิญจิปิโว ภะเณมุ ข้าพเจ้าทั้งหลาย จะกล่าวสุภาษิตซักนิดหน่อยกับท่านทั้งหลาย ว่าอย่างนั้น สักนิดหน่อยน่ะ ไม่กล่าวมากหรอก สุภาษิตจะกล่าวสุภาษิต
ปุญเญ สะตุปปาทะกะรัง อะปาบัง โยงมาจากคำว่าสุภาษิต จะกล่าวคำสุภาษิตซักนิดหน่อยกับท่านทั้งหลายอันเป็นถ้อยคำที่เตือนสติ เตือนสติในบุญทั้งหลาย เตือนสติในบุญ หมายความว่าเตือนสติให้ระลึกถึงบุญความดีงามใช่ไหม ไม่ได้ทำความดี อะปาปัง อันไม่เป็นสิ่งเสียหายไม่มีสิ่งชั่วร้าย ธัมมูปะเทสัง จะกล่าวก็กล่าวนั่นแหละ ยังไม่จบ ถ้อยคำ ที่แสดงซึ่งธรรมะ อะนุการะกานัง แก่ท่านทั้งหลาย แก่ชนทั้งหลาย ก็พวกนั้นแหละเหล่าสัตว์ทั้งหลายเหล่านั้นผู้กระทำการอนุเคราะห์ ก็หมายความว่า มองเทวดาในแง่ว่าโดยประเพณีก็ถือว่าเทวดานี้เป็นผู้ที่เหนือกว่ามีอำนาจมีกำลังมากกว่ามนุษย์มีหน้าที่ ๆ จะช่วยเหลือเกื้อหนุนมนุษย์ มนุษย์ก็หวังความช่วยเหลือ ตัสมา หิ ภูตานิ สะเมนตุ สัพเพ เพราะฉะนั้นขอท่านทั้งหลายจงยังสัตว์ทั้งหลายทั้งปวงให้สงบ เมตตัง กะโรถะ มานุสิยา ปะชายะ ท่านทั้งหลาย นี่พูดกับเทวดาแล้ว ท่านทั้งหลายจงกระทำเมตตาแก่หมู่ชาวมนุษย์ทั้งหลาย เอาล่ะน่ะ นี่เท่ากับสอนเทวดาด้วยน่ะ บอกว่าเนี่ยให้คิดเกื้อกูลให้มีเมตตาต่อมนุษย์ทั้งหลายอย่าไปคิดร้ายต่อเขาเลย ท่านทั้งหลายจงกระทำเมตตาในหมู่ประชาที่เป็นมนุษย์ ภูเตสุ พาฬหัง กะตะภัตติกายา ทิวา จะรัตโต จะหะรันติเยพะลิง พวกเหล่ามนุษย์ทั้งหลายเหล่าใดนำเอาผลีกรรม นี่แหละเครื่องบูชามาถวายแก่พวกเหล่าภูตหรือเหล่าสัตว์ทั้งหลายที่เป็นพวกเทพเทวดาเหล่านี้ยังเอาจริงเอาจังกันอยู่เรื่อย ๆ ทั้งกลางวันกลางคืน ปัจโจปะการัง อะภิกังขะมานา เขาทั้งหลายก็ปรารถนาความช่วยเหลือตอบแทนว่าอย่างงั้นน่ะ นี่ถามมนุษย์ทั้งหลายก็หวังตอบแทนให้ช่วยเขานะ เตโขมะนุสสาตะนุกานุภาวา มนุษย์ทั้งหลายเหล่านั้นนะเขาเป็นผู้มีอานุภาพน้อย เขาเป็นผู้มีอำนาจมีอนุภาพมีกำลังน้อย ภูตาวิเสเสนะ มะหิทธิกาจะ ชวนท่านทั้งหลายนั้นเป็นผู้ที่มีอิทธิฤทธิ์มีอำนาจมากเป็นพิเศษว่าอย่างงั้นน่ะ อะทิสสะมานา มะนุเชหิ ญาตา ถึงท่านทั้งหลายจะไม่ปรากฏตัวแต่มนุษย์ทั้งหลายเขาก็รู้จักกันดี ตัสมา หิเน รักขะถะ อัปปะมัตตา เพราะฉะนั้นขอท่านทั้งหลายจงอย่าได้ประมาทช่วยรักษามนุษย์เหล่านั้นด้วยเถิดว่าอย่างงั้น นี่เอ้าลองมองดูซินี่ คาถานี้แสดงความสัมพันธ์ของพุทธศาสนากับเรื่องเทวดาอย่างไร ในขณะที่ในอินเดียชมพูทวีปนี่เขานับถือเทวดากันอยู่ใช่ไหม หวังความช่วยเหลืออะไรต่าง ๆ นี้มองได้หลายอย่างใช่ไหม เอ้าท่านมองอย่างไร ท่านโอรัช
คนฟังตอบ มองว่ามนุษย์บางคนที่ไม่สามารถช่วยตัวเองได้ ก็จะพยามที่จะพึ่งเทวดาเรื่อยไป ท่านเกิดเห็นอยากจะช่วยมนุษย์เหล่านั้นได้ แต่ก็มีมนุษย์บางพวกที่สามารถจะช่วยตัวเองได้ ท่านอาจจะ หมายความว่าไม่ต้องช่วย แต่ให้ท่านช่วยดูแล อย่างนี้เป็นต้น
พระถาม เอ้าท่านอื่นมีความเห็นอย่างไร ท่านมหาวิชาญออกความเห็นด้วยก็ได้ ว่าอย่างไง ไม่จำเป็นจะต้องท่านนวกะเท่านั้น
คนฟังตอบ ครับ ก็คงจะมองเห็นในลักษณะที่ว่า แม้แต่เทวดาเองนี่ก็คงจะต้องใช้คุณธรรมส่วนใหญ่ในขณะที่ผู้คน เทวดานี้ต้องเคารพ
พระถาม เอ้าที่นี้ท่าน อีก 2 ท่าน มีความเห็นอะไรไหมครับ
คนฟังตอบ เรื่องปัญญาน่ะครับ เทวดาก็ต้องให้ความคุ้มครอง
พระถาม เอ้าท่านสุรเดชว่าอย่างไง
คนฟังตอบ ไม่มีความคิดเห็น ไม่ค่อยชัด
พระตอบ ชัดแล้ว คนฟังตอบ ชัด พระตอบ นั่นสิชัดแล้ว จับสาระอย่างไง
คนฟังตอบ เทวดาก็มีหน้าที่จะในส่วนที่จะต้องทำตามกฏของธรรมชาติ ก็คือ เมื่อมนุษย์เบูชาเทวดาด้วยเครื่องสักการะ เทวดาควรนี่ก็ควรตระหนักแล้วก็ปฏิตามกฎของธรรมชาติก็ คือทำหน้าที่ของตัวเองด้วย ก็คือควรตอบแทนด้วยการให้ความคุ้มครองดูแลเขา
เอ้า จับสาระสำคัญของคาถานี้น่ะ ก็คือเป็นคาถาที่พุทธศาสนานี่พูดกับเทวดาใช่ไหม พูดกับเทวดาซึ่งเป็นตัวแทนของความคิดความเชื่อในศาสนาเก่าใช่ไหม พระพุทธศาสนาพูดกับเทวดาน่ะ ตอนนี้พระพุทธเจ้าพูดกับเทวดาว่างั้นเถอะ หรือว่าพวกเราก็ได้ชาวพุทธพูดกับเทวดา แต่ว่าโดยเฉพาะก็คือ พระซึ่งทำหน้าที่เป็นผู้สอนธรรมะพูดกับเทวดา พูดกับเทวดาโดยเอาหลักการหรือพื้นฐานประเพณีเดิมที่เชื่อกันมาในสังคมของเขานั่นแหละมาเป็นหลัก มากำหนดหน้าที่ของเทวดาให้ชัด เพราะในความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับเทวดาที่เป็นมาแต่เดิมนั้นก็รู้อยู่แล้วว่ามนุษย์นั้นไปหวังความช่วยเหลือจากเทวดาไปอ้อนวอนไปบวงสรวงอะไรต่าง ๆ ใช่ไหมเนี่ย แล้วก็เลยเทวดาช่วยเหลือมนุษย์เพราะมีอำนาจมาก แต่เท่าที่เป็นมานั้นไม่แน่นะ เทวดาอาจจะไม่ช่วยก็ได้ เทวดาต้องรอเครื่องเซ่นใช่ไหม ฉะนั้นพุทธศาสนาก็เข้ามาใช้ฐานความเชื่อเดิมที่ว่าความสัมพันธ์ก็คือมนุษย์ด้อยกว่า อ่อนแอกว่านั้นก็เทวดามีอำนาจที่จะช่วยเหลือก็มาคล้าย ๆ กำหนดหน้าที่ให้ชัดเลย ยกขึ้นมาเป็นหน้าที่เลยว่า เอาน่ะท่านทั้งหลายนี่ มนุษย์เขาอ่อนแอกว่าท่านเขาอุตส่าห์มาพยายาม มาเซ่นสรวงบูชาอะไรต่าง ๆ อะไรท่านเนี่ย ก็หวังความช่วยเหลือจากท่าน ฉะนั้นขอให้ท่านเนี่ยเอาใจใส่อย่าได้ประมาทจงช่วยรักษาเขาด้วยว่างั้นน่ะ คล้าย ๆ ว่ามากำหนดให้ชัดเลยว่าเป็นหน้าที่ของเทวดาจะต้องคอยดูแลเอาใจใส่ช่วยมนุษย์ถูกไหมครับ อันนี้ก็เป็นเรื่องของความสัมพันธ์ที่ว่ามันเป็นการยกระดับขึ้นมาอีกอัน อย่างน้อยก็ให้ขอบเขตมันชัดขึ้นมา ท่าทีนี้ก็คือการที่มีเมตตาต่อกันระหว่างมนุษย์กับเทวดาแต่ว่าพุทธศาสนาไม่ได้พูดเฉพาะกับมนุษย์เท่านั้น พูดกับเทวดาด้วยและการที่พูดกับเทวดาอย่างนี้แหละคือการที่ทำให้มนุษย์นี่มองเทวดาใหม่ด้วยใช่ไหม เพราะไม่ใช่สอนมนุษย์จะมองอย่างไรเท่านั้น มนุษย์อาจไม่ชัด เพราะไปมองแง่บทบาทของตัวเอง ทีนี้พอไปสอนเทวดา มนุษย์ก็มองบทบาทของเทวดาชัดขึ้นมาด้วย ว่าเทวดาควรทำอย่างไร เพราฉะนั้นบทนี้อาจจะแปลอีกทีหนึ่ง อาจจะช่วยชัดขึ้นน่ะ
นี้อาจจะแปลเหล่าสัตว์เมื่อกี้ ที่จริงก็มุ่งหมายมาที่พวกเรา ผีสางเทวดาอะไรต่าง ๆ เหล่านี้ เหล่าสัตว์ เหล่าภูตผีสางเทวดาทั้งหลายเหล่าใดที่มาประชุมกันในที่นี้จะเป็นผู้อยู่ในภาคพื้นดินหรืออยู่ในท้องฟ้าเวหาก็ตามขอให้เทพผีสางเทวดาเหล่านั้นทั้งปวงจงเป็นผู้มีใจดีดีใจและทั้งจงสดับสิ่งที่ข้าพเจ้าได้กล่าวโดยเคารพ ข้าพระเจ้าจะกล่าวคำสุภาษิตกับท่านสักนิดหน่อย ถ้อยคำเหล่านั้นจะเป็นคำที่เตือนสติในความดี ไม่มีสิ่งชั่วร้ายเสียหาย เป็นคำแสดงหลักธรรมะแก่ผู้มีหน้าที่ ๆ จะเกิดเกื้อหนุนคนทั้งหลาย เพราะฉะนั้น จง คำเหล่านั้นขออภัย จะทำให้ผีสางเทวดาเทพเจ้าทั้งหลายมีใจสงบ ขอให้เหล่าผีสางเทพเจ้าทั้งหลาย จงกระทำเมตตาในหมู่ประชาชาวมนุษย์ หรือในหมู่ประชาชนชาวมนุษย์ผู้นำเอาผลีกรรมสิ่งเซ่นสรวงมาแสดงออกต่อผีสางเทวดาทั้งหลายอย่างเอาจริงเอาจังทั้งกลางวันกลางคืน โดยที่เขาเหล่านั้นก็มุ่งหวังการช่วยเหลือตอบแทนบรรดามนุษย์ทั้งหลายเหล่านั้นเป็นผู้อ่อนแอมีอานุภาพน้อย ส่วนท่านทั้งหลายผู้เป็นภูตผีสางเทวดานั้นมีอิทธิฤทธิ์มาก มีอำนาจยิ่งใหญ่เป็นพิเศษ แม้จะไม่ปรากฏตัว แต่หมู่มนุษย์ทั้งหลายก็รู้จักกัน เพราะฉะนั้นขอท่านตั้งหลายจงอย่าได้ประมาท จงรักษามนุษย์ทั้งหลายเหล่านั้นเทอญว่ าไง
คนฟังถาม อันนี้เป็นพระสูตรเก่า หรือยังไง
พระตอบ พระสูตรแบบนี้เช่นในมหาสมัยสูตรเป็นทำนองนี้ สูตรนั้นยาวมากมาในทีฆนิกายเลย ยาวมากเลย
คนฟังถาม แต่จริง ๆ มีจุดเน้นอื่นใช้ไหมค่ะ พระตอบ ใช้หลักเมตตานั่นแหละ แต่ว่า
คนฟังถาม ถ้าจะให้ดีที่ช่วงหลังที่แสดงถึงหลักความจริงว่า เทวดามีฤทธิ์มากมนุษย์นี่ แล้วมนุษย์ก็ยังใช้เครื่องบวงสรวงเทวดา ฉะนั้นความสัมพันธ์ ก็ยังมีอยู่
พระตอบ ไม่ใช่ ไม่ใช่ อภัยน่ะ นี่กำลังพูดถึงว่าสอนเทวดานะ กำลังพูดกับเทวดา พูดสอนเทวดาว่าท่านทั้งหลาย มนุษย์เขาพาเอาเครื่องเซ่นสรวงผลีกรรมมา มาบูชาท่านอยู่ทุกวันทุกคืนเนี่ยเขาเอาใจใส่ทำอย่างจริงจัง เขามีกำลังน้อยอ่อนแอกว่าท่านใช่ไหม เพราะฉะนั้นท่านทั้งหลายจงเอาใจใส่เขา รักษาเขา คือพูดกับเทวดาไม่ได้พูดกับมนุษยใช่ไหม ให้เทวดาสำนึกว่าเนี่ยมนุษย์เขาอุตส่าห์เอาเครื่องเซ่นสรวงบูชามากราบไหว้กันนี่ทั้งวันทั้งคืน นี่คือพูดถึงสภาพที่เป็นอยู่ ที่เป็นอยู่แล้วใช่ไหม นี่เขาเอาใจใส่มาทำอย่างนี้เพราะเขาอ่อนแอกว่าท่าน และเขามา เขาก็หวังความช่วยเหลือตอบแทนจากท่าน เพราะฉะนั้นท่านทั้งหลายจงได้เอาใจใส่รักษาเขาด้วย ฉะนั้นนี้เป็นการพูดถึง หมายถึงสอนผู้ใหญ่ใช่ไหม นี่คนทั้งหลายเหล่านั้นที่คอยมาบูชาเคารพท่าน ท่านต้องนึกถึงเขาเอาใจใส่เขาน่ะใช่ไหม ไม่ใช่ไปหมายไปสนับสนุนอะไรใช่ไหม เจริญพร คงจะเข้าใจน่ะ คนฟังตอบ ค่ะ เข้าใจ
ตรงนี้ตัดมาตอนเดียว อาตามายังไม่ได้ไปสอบดู เข้าใจว่าจะเป็นพวก อาจจะเป็นคำกล่าวของเทวดาด้วยกันก็ได้ แต่เป็นเทวดาที่นับถือพุทธศาสนา คืออย่างในมหาสมัยสูตรนี่ ทั้งสูตรเลยนี่เป็นสูตรที่เทวดากล่าว เป็นของพวกท้าวจตุโลกบาล คือคนอินเดียเขานับถือท้าวจตุโลกบาล แปลว่าเทวดาที่รักษาทั้ง 4 ทิศ ทีนี้ท้าวจตุโลกบาลนี่ ก็มาปรารภ คือมาเฝ้าพระพุทธเจ้าตามเรื่องในพระสูตร ว่าวันหนึ่งได้เข้ามาเฝ้าพระพุทธเจ้า แล้วก็กราบทูลบอกว่านี่ พระภิกษุเป็นต้น หรือใครก็ตามนี่ ก็หมายถึงว่าพระศาสนิกชนทั้งหลาย อุบาสก อุบาสิกา ตั้งแต่พระเป็นต้นไปนี่ ไปอยู่ในที่ต่าง ๆ อาจจะไปอยู่ตามป่าตามเขาเนี่ย ในสถานที่เหล่านั้นก็จะมีพวกภูตผีสางเทวดาที่อยู่ในสังกัดของท้าวจตุโลกบาล เป็นยักษ์หมด เป็นกุมพันบ้าง เป็นเทวดาอะไรต่าง ๆ น่ะ พวกนี้ก็อาจจะยังไม่รู้จักพุทธศาสนา ไม่รู้จักธรรมะ ซึ่งต่างกับตัวท้าวจตุโลกบาลเองซึ่งเดี๋ยวนี้มาเป็นพุทธศาสนิกชนแล้วนับถือพุทธศาสนารู้ธรรมะ แต่ลูกน้องเหล่านั้นเขาอาจจะไม่รู้จัก เพราะฉะนั้นเขาก็จะมา บางทีเขาจะมาแกล้ง เขาจะมาทำอะไร
ทีนี้พวกข้าพเจ้าก็เลยคิดว่าเนี่ยเอาคำนี้มากล่าวไว้ว่าถ้าหากว่าพระสงฆ์และพุทธศาสนิกชนเนี่ยได้กล่าวคำนี้ ซึ่งเป็นคำกล่าวออกมาจากหัวหน้าของเขา พวกผีสางยักษ์อะไรต่าง ๆ เหล่านั้นอมนุษย์ทั้งหลายเหล่านั้นก็จะได้มีจิตเป็นมิตร เพราะได้ฟังคำหัวหน้าแล้วนี่ใช่ไหม เจริญพร เพราะฉะนั้นก็คล้าย ๆ ว่าเอาคำของตนเองซึ่งเป็นผู้ใหญ่เป็นหัวหน้าเนี่ย เอามาถวายพระพุทธเจ้าไว้แล้วก็ทีนี้ก็พระชาวพุทธก็จะเอาคำเหล่านี้ไปกล่าวที่ไหนก็ตาม พวกผีสางเทวดาก็ได้ยินได้ฟัง โอ้หัวหน้าเราว่าอย่างนี้ ไม่ได้เราจะต้องตั้งใจดีเป็นมิตรต่อชาวพุทธต่อคนเหล่านี้ทั้งหลาย นี่สาระแบบเดียวกันอันนี้
นี้คือการที่พระพุทธศาสนาเข้าไปสัมพันธ์กันความเชื่อถือเก่าใช่ไหม เขาต้องยอมรับความจริงว่าคนอยู่ในสภาพแวดล้อมอย่างนั้น เข้ามานับถือพุทธศาสนาแรกเริ่ม ยังไม่เข้าใจอะไรหรือมีความเข้าใจบ้าง แต่ความหวาดหวั่นต่อสิ่งที่เคยเชื่อถือ หรือที่สังคมเขาเชื่อถือมีอำนาจเล้นลับต่าง ๆ มันยังครองใจอยู่ตลอดเวลาที่เคยพูดไว้ว่า ความหวาดหวั่นมันมี ฉะนั้นพุทธศาสนาก็เอาพวกนี้เข้ามาอยู่ในร่มของธรรมะของพุทธศาสนาให้หมดให้มาเป็นมิตรซะ อย่างน้อยก็ทำให้ชาวพุทธนี่ไม่ต้องไปหวาดหวั่นสิ่งเหล่านั้น ที่เรียกว่าปิดช่องหวั่นใจซะ เสร็จแล้วจะได้ไม่ต้องกังวลในสิ่งเหล่านั้นจะได้หันมาศึกษาธรรมะ พิจารณาฟังธรรมะโดยสมบูรณ์เลยใช่ไหม คือไม่อย่างงั้นมันยังก้ำ ๆ กึ่ง ๆ ไอ้ใจหนึ่งก็จะศึกษาในพุทธศาสนาจะเรียนรู้ฝึกฝนพัฒนาตนปฏิบัติตามคำสอน อีกใจหนึ่งก็ยังหวั่นว่า ไอ้เทวดาทั้งหลายภูตผีสางยักษ์ อมนุษย์จะมารังควานอย่างไงใช่ไหม ก้ำ ๆ กึ่ง ๆ เกิดมีเหตุการณ์ขึ้น ไม่ได้ ออกไปเสียอีก นี้ก็เป็นอันว่าเริ่มตั้งแต่หมดทุกชั้นเลยที่นี้ ตั้งแต่พระพรหมณ์ลงมา ก็มานับถือพระพุทธเจ้าหมด มากราบมาไหว้ พระอินทร์ก็มาเป็นลูกศิษย์พระพุทธเจ้า เวลาพระพุทธเจ้าประชวรพระอินทร์ ขอประทานอภัยเถิด มาเทกระโถนเพราะเคารพพระพุทธเจ้ามาก เทกระโถนมูตรคูถอ่ะ แล้วก็เทวดาทั้งหลายก็หมด เพราะว่าพระอินทร์เป็นเทวราชา เป็นราชาแห่งเทพทั้งหลายใช่ไหม แล้วพรหมณ์ก็เป็นสูงสุด ทีนี้ก็มาพวกท้าวจตุโลกบาลนี้ระดับต่ำลงมาแล้วใช่ไหม ระดับที่ใกล้เคียงเกี่ยวข้องกับมนุษย์ตลอดเวลา ก็ท้าวจตุโลกบาลก็มานับถือพระพุทธเจ้าอีกใช่ไหม และยังแถมมากล่าวคำนี้ไว้ที่พระพุทธเจ้ามาแสดงความเคารพมาประชุมพร้อมกัน แล้วเสร็จแล้วก็มาเป็นห่วงพุทธศาสนิกชน มาถวายคำไว้ว่าคำเหล่านี้เอาไปพูดว่าหัวหน้าเขาพูดว่าอย่างนี้น่ะ ตกลงว่าครอบคุมหมดใช่ไหม ให้ชาวพุทธสบายใจ เวลาสวดมนต์ฟังธรรม ใจก็ยังอาจจะหวั่น นี่ก็เชิญเทวดามาฟังด้วยกัน เดี๋ยวนี้เป็นพวกเดียวกันแล้วใจก็อุ่น โอ้เทวดายังเป็นพวกเราด้วยกันมานั่งฟังธรรมอยู่ด้วยกันนี่ใช่ไหม สบายใจหมดทีนี้ไม่ต้องเป็นห่วงกังวลแล้ว ต่อไปนี้จะได้มุ่งมั่นมีสมาธิตั้งใจสดับฟังธรรมปฏิบัติธรรมจริงจังเต็มที่
ทีนี้บางทีเราไปมองว่า เอ้อพระสูตรเหล่านี้คงไม่ใช่ของพุทธศาสนาว่าเป็นคำสอนนอกศาสนาเข้ามา ว่าพระไตรปิฏกนี้อาจจะมีสิ่งแปลกปลอมเข้ามามาก นี่บางทีเป็นเพราะจับจุดไม่ถูก พระสูตรที่เข้ามาในพระไตรปิฎกย่อมมีจุดมุ่งหมายต่าง ๆ กัน แต่อันนี้อันหนึ่งที่สำคัญ ก็คือเราต้องยอมรับความจริงพุทธศาสนาเกิดขึ้นสภาพแวดล้อมอะไรใช่ไหม แล้วจะไปโยงกับสิ่งเหล่านั้นอย่างไร หลักการที่บอกเมื่อกี้ว่าพุทธศาสนานั้นเป็นศาสนาที่ถือว่ามนุษ์ต้องพัฒนาฝึกฝนตนเอง แล้วการที่มนุษย์จะฝึกฝนพัฒนาตนเองนี้มันจะไปบังคับไม่ได้ นี้ต้องไปพบกับเขาจุดที่เขายืนอยู่ ยอมรับมนุษย์ตามที่เขาเป็นแต่ไม่ใช่ ยอมรับ ไม่ได้ปล่อยอย่างนั้น ไม่ใช่ยอมรับแล้วก็ปล่อยว่าให้อยู่อย่างนั้น ยอมรับคือรู้เขาตามที่เขาเป็นแล้วพยายามไปช่วยดึงเขาขึ้นมา นี้การที่จะดึงเขาขึ้นมา มันก็ต้องเริ่มจากจุดที่เขาอยู่นั่นแหละ อย่างน้อยให้เขาเกิดการความมั่นใจแล้วเปลี่ยนทัศนะคติท่าทีต่อสิ่งที่เขาเคยมีใช่ไหม นั้นนี่สิ่งเหล่านี้เมื่อเข้ามาสู่พุทธศาสนา เรื่องเทวดา เรื่องอะไรก็มันไม่เหมือนของเดิมแล้ว อย่างพระสูตรที่ว่าด้วยเรื่องเทวดาเลย สาระสำคัญมันไม่เหมือนกับของศาสนาพราหมณ์แล้วใช่ไหม ท่าทีความสัมพันธ์ความรู้สึกอะไรมันต่างกันหมด เทวดาของพราหมณ์จะต้องยกทัพไปรบเก่งกาจ แล้วจะยกทัพไปห่ำหันใครใช่ไหม นี่อาวุธนั้นอาวุธนี้มา พอมาเข้าในพระสูตรพุทธศาสนาเทวดามาประชุมกันมีแต่เรื่องดี พูดถึงสิ่งที่ดีงาม เรื่องธรรมะ เรื่องเมตตา อะไรต่าง ๆ ให้ช่วยเหลือกัน ให้มีจิตใจดีต่อมนุษย์น่ะ อย่างทีว่ามนุษย์นี่เขาอุตส่าห์นี่ว่าตามประเพณีใช่ไหม อัตตาพื้นฐานเดิม นี่มนุษย์เขาอ่อนแอกว่าน่ะ เขาอุตส่าห์มาพยายามเซ่นสรวงบูชาหาผลีกรรมมา เซ่นสังเวยท่านตลอดทั้งกลางคืนกลางวันเอาใจใส่ตลอดเวลา ก็เพราะเขาอ่อนแอกว่า เขาก็หวังให้ท่านช่วยเหลือตอบแทนเขา เพราะฉะนั้นท่านอย่าได้ประมาทน่ะ เอาใจใส่ช่วยรักษาเขาด้วยน่ะ อันนี้ก็เทวดาผู้ใหญ่สอนเทวดาลูกน้องใช่ไหม ก็สอนตามหลักธรรมะที่พระพุทธเจ้าสอน จะว่าไปก็ยืมปากเทวดาพูดอีกทีหนึ่ง คล้าย ๆ กับธรรมะเอาปากเทวดาด้วยกันไปพูดใช่ไหม เทวดาใหญ่พูดเทวดาน้อยก็ต้องฟัง
ทีนี้เทวดาก็ตาม พรหมณ์ก็ตามนี่ ในที่สุดแล้วยังกลัวมาร มารนี่เป็นคู่ต่อสู้เรื่อยเลยกับพวกเทวดาพระพรหมณ์ อันนี้อย่างจะเห็นได้ชัดก็ตอนพระพุทธเจ้าตรัสรู้ นี่ก็เป็นหัวต่อของศาสนาเดิมพุทธศาสนาเหมือนกัน จะมีเรื่องที่เรามาตีความเรื่องบุคลาธิษฐานกันใช่ไหม ว่าพระพุทธเจ้าไปประทับนั่งใต้ต้นโพธิ์ เป็นโพธิ์บัลลังก์ ตอนที่จะตรัสรู้ก็ต้องได้ทรงรบกับมารใช่ไหม ต่อสู้กับมาร พิชิตมาร มารบอกว่าพระพุทธเจ้าจะพ้นอำนาจเข้าเสียแล้วไม่พอใจ มารนี้เป็นพวก ปรนิมมิตวสวัตตี เรียกว่า วะสะตี วะสะวัดตีมาร มารผู้ที่ยังสัตว์ทั้งหลายเป็นอำนาจของตนเอง โดยเฉพาะก็อยู่ในชั้นกามาวะจร สัตว์ทั้งหลายจะต้องติดอยู่ในกามจะพ้นไปไม่ได้ ถ้าพ้นไปก็พ้นอำนาจมารใช่ไหม มารไม่พอใจ นี้พระพุทธเจ้าจะตรัสรู้นี้จะพ้นอำนาจมาร โอ้มารยอมไม่ได้ ตอนนี้ต้องราวีเต็มที่ใช่ไหม แล้วก็ยกทัพมาตามตำนานก็พรรณนากองทัพมารครั้งนี้ใหญ่หลวงที่สุดล่ะ ทุกชนิดทุกประเภทเลย ก็ยกทัพกันมา พอมารมาน่ะครับตอนนั้นพวกเทวดา พวกพระพรหมณ์นี่ด้วยดีใจที่พระพุทธเจ้าจะตรัสรู้พากันมาห้อมล้อมเต็มไปหมดเรียกว่ามาเฝ้าเลย เต็มหมดเลย แน่น พอได้ยินว่ามารมาเท่านั้นแหละ เทวดา พระพรหมณ์ หนีไปสุดขอบจักรวาลเลย มารไม่ได้ล่ะมารนี่ยิ่งใหญ่ที่สุด ฉะนั้นเทวดาพระพรหมณ์ก็หนีสุดกู่เลยใช่ไหม เหลือพระพุทธเจ้าองค์เดียว นี่ ๆ ที่บอกว่าไม่มีใครช่วยแล้ว เพราะว่าพรหมณ์ยังหนี่เตลิดเปิดเปิง นี้กองทัพมารนี่มาเต็มไปหมดเลยใช่ไหม พระพุทธเจ้าอยู่องค์เดียว นี่แหล่ะตอนเป็นพระพิชิตมารใช่ไหม ก็พระพุทธเจ้าชนะมารพร้อมทั้งเสเนในคืนนั้นก็ตรัสรู้เป็นพระพิชิตมาร ก็สร้างเป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย แปลว่าพิชิตมาร ชนะมาร นี่ปรางค์นี้ที่ประทับนั่งอยู่ข้างหลังเรา เป็นผู้ประเสริฐ ไม่ต้องมีอาวุธ ไม่ต้องมีอะไร ใช้พระคุณ พระปัญญาคุณ วิสุทธิคุณ มหากรุณาคุณชนะมารได้ เพราะฉะนั้นไม่ต้องไปกลัว เทพเทิบพรหมณ์ต่าง ๆ นี่ ชนะหมด ประเสริฐน่ะครับ