แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ไฟล์ถอดเสียงนี้ยังไม่ได้ผ่านพิสูจน์อักษร นำขึ้นมาเพื่อช่วยในการศึกษาค้นคว้าของผู้สนใจ
พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต) : ประวัติศาสตร์ก็เป็นเรื่องบทเรียนในอดีต ถ้าเราไม่รู้ประวัติศาสตร์ มันทำให้ขาดฐานในการมอง ภาวะสภาพปัจจุบันด้วย จะหยั่งอนาคตได้ยาก ของเรานี่เท่าที่ดูในเวลานี้ก็ค่อนข้างอ่อนในเรื่องประวัติศาสตร์กันพอสมควร ทั้งประวัติศาสตร์ไทยเองก็ไม่ค่อยรู้ ประวัติศาสตร์โลกก็ไม่ค่อยรู้ คราวที่แล้วพูดถึงเรื่องเมืองไทย ว่าเมืองไทยเรานี้โชคดี ไม่ต้องเป็นเมืองขึ้น ประเทศอื่นๆ ตกเป็นเมืองขึ้นกัน มีความทุกข์ยากลำบากมากมาย เราก็รอดมา อันนี้ก็เป็นข้อดีของประเทศไทย แล้วมาสงครามโลกครั้งที่ 1 ที่ 2 อีก ไทยก็โชคดีกว่าเขาอีกแหละ เป็นไงโชคดี ใครทราบบ้างว่าสงครามโลกครั้งที่ 1 เกิดเมื่อไหร่ ทายหน่อย นี่ควรจะรู้นะ มันเป็นบทเรียนของอดีตที่สำคัญมาก สงครามโลกครั้งที่ 1 ถ้านับแบบฝรั่ง เพราะว่ามันเป็นเรื่องของฝรั่ง
เป็นส่วนใหญ่ ก็ปี 1914-1918 เทียบไทยก็ พ.ศ.2457 – 2461 หลายปีนะ คนตายไป 9-10 ล้านคน จะนับ 9 ล้านก็ได้ 10 ล้านก็ได้ หนังสือมันจะต่างกันนิดๆ หน่อยๆ นั่นสงครามโลกครั้งที่ 1 แล้วสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อไหร่เอ่ย พ.ศ.2457 – 2461 นี่รัชกาลที่ 6 ทีนี้ก็มาสงครามโลกครั้งที่ 2 ค.ศ.1939 ปีผมเกิด ตรงกับปีเกิด เริ่มสงครามโลกครั้งที่ 2 ถึง ค.ศ.1945 ถ้าเทียบเป็น พ.ศ.เท่าไหร่ละ ก็เอา 543 บวกเข้าไป ก็ได้ 2482 ของผมนี่เกิด พ.ศ. 2481 นี่นับแบบเก่า ถ้านับแบบฝรั่งต้องเป็น 2482 ก็คือปี 1939 ตอนนั้น แทรกนิดหน่อย เวลานั้น พ.ศ.เริ่มเดือน เมษายน แล้วราวๆ ปี 2483 มั้ง เป็นปีที่สั้นที่สุด มีแค่ 9 เดือน นี่เป็นเกร็ดความรู้ มีนะปีหนึ่งมี 9 เดือน เพราะว่าจะปรับให้มันเข้าระบบของฝรั่ง จากเมษามา วันที่ 1 เมษายน ขึ้นปีใหม่ มาเป็น 1 มกราคม ขึ้นปีใหม่ ปีที่จะปรับมันก็เลยสั้น 9 เดือนเท่านั้น ผมเกิดเดือนมกรา ก็เป็นปลายปีสมัยก่อน ปี 2481 เดือนมกราคม สมัยก่อนเป็นปลายปี คนสมัยนี้ไม่เข้าใจ ไปไหนบอกใครเขา คิดผิดหมดเลย เขาไปเทียบเป็นปี 1938 นึกว่าเป็นต้นปี ถ้าไม่รู้เรื่องราวความเป็นมาในอดีต ก็ทำให้มองอะไรไม่ออก แค่นี้ก็มองไม่ออกแล้ว ก็เป็นอันว่าสงครามโลกครั้งที่ 2 ก็คือปี 2482 ทีนี้ 1945 ก็คือ 2488
2482 - 2488 ก็ในราว 6 ปี ในสมัยรัชกาลที่ 8 คนตายประมาณ 50 ล้านคน เรียกว่าเกือบเท่าประเทศไทยทั้งประเทศปัจจุบัน ประเทศที่สูญเสีย ตายมากที่สุดก็คือรัสเซีย รัสเซียประเทศเดียวตาย 20 ล้านคน รัสเชียแย่ที่สุดทั้งสงครามโลกครั้งที่ 1 ครั้งที่ 2 ครั้งที่หนึ่งก็ถึงกับทำให้ราชบัลลังก์ล่ม เพราะว่าสู้ไม่ไหว ทหารต้องทิ้งสนามรบหนีกลับ รบสู้เขาไม่ได้ พากันทิ้งอาวุธ หนีกลับประเทศ แล้วก็เป็นโอกาสของพวกบอลเชวิค รู้จักไหม บอลเชวิค ก็เรียกง่ายๆ พวกคอมมิวนิสต์ มีเลนินเป็นผู้นำ ก็เลยปฏิวัติ ล้มราชวงศ์พระเจ้าซาร์ ก็โค่นบัลลังก์ลง แล้วก็เกิดการปกครองระบอบคอมมิวนิสต์ ในปี 1917 พอ 1918 สงครามโลกก็สิ้น ประเทศรัสเซียก็เลยเป็นคอมมิวนิสต์มาตั้งแต่นั้น เลนินก็ขึ้น พอมาสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นยุคสตาลิน
ทีนี้ประเทศไทยที่ว่าโชคดีนั้นเป็นยังไง คือเขารบกันยังไง เขาตายกัน บาดเจ็บ ไทยนี่สบายที่สุด สงครามโลกครั้งที่ 1 ไทยก็ร่วมรบกับพันธมิตร สนามรบใหญ่อยู่ที่ยุโรป ไทยสมัยรัชกาลที่ 6 ก็ทรงส่งทหารไปช่วยรบ ก็เรียกได้ว่ามีส่วนร่วม ก็ได้เป็นผู้ชนะสงครามกับเขาด้วย เราก็ไม่ได้รบอะไรมากมาย ก็ได้ชื่อว่าเป็นฝ่ายชนะ สงครามโลกครั้งที่ 1 ญี่ปุ่นอยู่ข้างสัมพันธมิตรนะ ไทยเราก็สบายไป อันนั้นก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ พอมาสงครามโลกครั้งที่ 2 ญี่ปุ่นอยู่ฝ่ายเยอรมัน คราวนี้ญี่ปุ่นบุกทางอาเซียนนี่อย่างหนักเลย ก็ขึ้นมาทางภาคใต้ คนไทยตอนนั้นก็รบตายไปไม่น้อยเหมือนกัน แล้วรัฐบาลไทยสมัยจอมพล ป. ประกาศเข้าร่วมพงศ์ไพบูลย์กับญี่ปุ่น ไทยก็เป็นพวกญี่ปุ่น ญี่ปุ่นก็เอาเป็นเพียงว่าทางผ่าน ก็ไม่เบียดเบียน ก็เป็นพวกเดียวกัน ฉะนั้นไทยก็ไม่ค่อยบอบช้ำอะไร แค่ตอนต้นนิดเดียวเท่านั้นเอง เสร็จแล้ว พอญี่ปุ่นแพ้สงคราม ไทยจะต้องถูกยึดครอง เพราะเป็นประเทศฝ่ายแพ้ แต่ตอนที่กำลังรบกันอยู่ ไทยก็มีเสรีไทยอีก ใช่ไหม เสรีไทยก็เข้าไปร่วมรบกับสัมพันธมิตรอยู่ ช่วยพวกอังกฤษ ฝรั่งเศส อเมริกา ไทยก็บอกอีก ไทยไม่ได้เป็นฝ่ายญี่ปุ่น เห็นไหมไทยร่วมรบอยู่ ไม่ได้เห็นด้วยกับพวกที่เข้ากับญี่ปุ่น ว่างั้น ผลที่สุดก็รอดอีก ก็เป็นฝ่ายพวกชนะไปอีก ใช่ไหม ไทยก็ไม่ถูกยึดครอง สบายมาก ไม่เหมือนอย่าง ในยุโรปไม่ต้องพูดถึง มันเดือดร้อนขนาดไหน ในอาเซียนนี่ญี่ปุ่นบุก จีนนี่ก็ไม่รู้ว่าแหลกทำลายไปเท่าไหร่ ขึ้นปั๊บก็เอาจีนก่อน แต่ที่เขาโกรธแค้นมากก็คือเกาหลี ซึ่งมีความคั่งแค้นจนปัจจุบัน เกาหลีมีความฝังใจเรื่องญี่ปุ่นเข้ายึดครองมาก เพราะญี่ปุ่นเข้ายึดครองนี่ จะเปลี่ยนหมดเลย ก็พยายามเปลี่ยนวัฒนธรรม เปลี่ยนศาสนา เป็นแบบญี่ปุ่น อย่างศาสนานี่ ที่จริงญี่ปุ่นก็รับศาสนาจากเกาหลีนี่แหละ พุทธศาสนาจากจีนไปเกาหลี เกาหลีไปญี่ปุ่น แต่เสร็จแล้วตอนนี้พุทธศาสนาในญี่ปุ่น เมื่อเวลาผ่านไปอะไรก็เปลี่ยนแปลงไป พระญี่ปุ่นนี่มีครอบครัวกันแทบทั้งนั้น เดี๋บงนี้มีทุกนิกายเลย สมัยก่อนยังมีบางนิกาย เดี๋ยวนี้มีทุกนิกายเลย ทีนี้พอญี่ปุ่นยึดเกาหลีได้ ก็พยายามเปลี่ยนให้เป็นญี่ปุ่น ศาสนาแกก็สนับสนุนให้มีพระที่มีครอบครัวในเกาหลี เกาหลีเขาไม่ได้มีครอบครัวมาก่อน ด้านอื่นๆ ก็เรียกว่าทำให้เกาหลีคั่งแค้นมาก พวกผู้หญิงทั้งจีนทั้งเกาหลีถูกข่มขืนอะไรต่ออะไร และทำเป็นเขาเรียก comfort girl นี่ก็เป็นเรื่องคั่งแค้นกันมา ทีนี้ความแค้นของเกาหลีจะเห็นได้จากปัจจุบัน เกาหลีพยายามพัฒนาประเทศให้ทันญี่ปุ่น นี่ความหวังใหญ่ เราจะเห็นว่าเกาหลีเจริญมากใช่ไหม เกาหลีนี่เดี๋ยวนี้จะสู่ญี่ปุ่นได้แล้ว เพราะว่ามันมีความฝังใจอันนี้ เราจะเห็นว่าบทเรียนเรื่องความมุกข์ยากมันสอน ความจริงทุกข์มันได้ได้สอนหรอกนะ มันเป็นสำนวน ทุกข์มันไม่มีปาก ไม่มีชีวิต แต่ที่จริงก็คือคนนั่นแหละ คนรู้จักเรียนรู้จากทุกข์ ความทุกข์ยากนี่ทำให้คนเข้มแข็ง เพราะต้องดิ้นรนต่อสู้ ฉะนั้นพวกนั้นมีความทุกข์มากก็กลับเข้มแข็ง แล้วยิ่งมีความปลูกฝังใจ ความคั่งแค้น เกิดมานะ ใช่ไหม ที่ว่าจะต้องทำตัวให้ยิ่งใหญ่ ให้มันทันเขา ให้เหนือเขา แล้วเกาหลีก็ฝังใจอันนี้ จะต้องสู้ญี่ปุ่นให้ได้ ต้องเจริญให้ทัน ให้เหนือญี่ปุ่น เพราะฉะนั้นเขาก็เร่งความเจริญของประเทศมา แล้วก็เจริญได้จริงๆ ทีนี้ไทยเรานี้สบายตลอด อย่างที่แล้วก็บอกว่าแค่ฝรั่งเศสเอาเรือรบมาปิดแม่น้ำเจ้าพระยา แค่ไปมีเรื่องจะพยายามสู้กับเรือรบฝรั่งเศสนิดหน่อย แล้วเราก็ผ่านเหตุการณ์มาได้ โดยยอมเสียดินแดนบ้าง อะไรบ้าง เราก็ไม่เป็นอะไร พอมาสงครามโลกครั้งที่ 1 ที่ 2 เราก็สบายอีก มันก็ไม่มีทุกข์ ไม่มีความเดือดร้อน มันก็ผ่านมาง่ายๆ ทีนี้ถ้าเราไม่รู้จักเรียนรู้ เอาประโยชน์จากความทุกข์และความสุข ก็ไม่ได้อะไร ก็มีแต่ความอ่อนแอ อย่างที่พุทธศาสนาบอกว่า ถ้าถึงคราวทุกข์ก็ต้องเอามาเป็นแบบฝึกหัด แล้วเราก็จะได้ประโยชน์ ฝึกตัวเองให้เข้มแข็ง พอถึงคราวสุขก็ต้องถือเป็นโอกาสว่าจะทำอะไรก็ง่ายก็คล่องรับทำซะ อย่างประมาท ทีนี้ใรทางร้ายก็คือว่าไม่รู้จักเอาประโยชน์จากสุข พอสุขก็ลุ่มหลงเพลิดเพลินมัวเมา ใช่ไหม ก็ไม่ได้อะไร ก็เลยอ่อนแอ จม พอทุกข์ก็เอาอีก ท้อแท้ นั่งจับเจ่า แล้วก็ไปหวังพึ่งให้เขามาบันดาลช่วยเหลือ ก็รอรับความช่วยเหลือไป ก็ไม่ได้เรื่อง ก็อ่อนแอเรื่อยไป แล้วก็เนี่ยเราไม่ค่อยได้ประโยชน์จากบทเรียนในอดีต ของเขานี่ทุกข์กันมากตอนสงครามโลกครั้งที่ 2 ระหว่างที่รบกัน มันมีความทุกข์ทั่วโลก แม่แต่ไทยที่ไปเข้ากับญี่ปุ่นแล้วก็เลยเรื่องของการเบียดเบียนทำลายชีวิตก็น้อย แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังได้รับผลร้ายจากความแร้นแค้น เพราะสงครามเกิดขึ้นแล้วก็ทุกข์ยากแร้นแค้นทั่วไป เพราะตอนนั้นก็เข้าใจว่าเป็นจุดหนึ่งที่ทำให้คนไทยเสียนิสัยอันหนึ่ง เพราะว่าตอนเข้ากับญี่ปุ่น คนไทยก็ไม่รักกับญี่ปุ่น แล้วตัวเองก็มีความเดือดร้อนแร้นแค้น ใช่ไหม ก็หาทางลักขโมยของญี่ปุ่น ญี่ปุ่นเขาก็มีสินค้าอะไรต่างๆ มากมาย เพราะเขาเป็นประเทศมหาอำนาจ เช่นเอาขึ้นรถไฟ คนไทยเราก็รอขึ้นดัก พอขึ้นรถไฟไปได้ รถไฟเปิดตู้สินค้า ถีบสินค้าลงๆๆๆ แล้วก็กระโดดไป อะไรอย่างนี้ มีเรื่องเยอะแยะหมด ลักน้ำมันบ้าง อะไรบ้าง ญี่ปุ่นมันก็แค้น ตอนนั้นคนไทยถึงจะมีสัก 10 กว่าล้าน 18 ล้าน หรือไงเนี่ย ญี่ปุ่นบอกคนไทยมี 18 ล้านคน เป็นขโมย 20 ล้าน ว่างั้น ได้ชื่อเลยคนไทยนี่ ขโมย แล้วก็เกิดความรู้สึกว่าตัวเองเก่ง ลัก ขโมย แกล้งญี่ปุ่นได้เก่ง ก็ว่าเลยเป็นนิสัยว่าแกล้งเขาได้ โกงอะไรเขาได้สำเร็จ แล้วก็เก่ง ว่างั้นนะ ก็ชอบใจใหญ่ แหมไปแกล้งขโมยเอาของเขาได้ ลักของเขาได้ ญี่ปุ่นเขาก็ลงโทษแรงนะ อย่างไปลักน้ำมันเขาจับได้เนี่ย เขาเอาน้ำมันกรอกปากให้ตาย ให้กินน้ำมันแล้วก็กรอกลงไป ก็มีวิธีต่างๆ แล้วญี่ปุ่นก็ร้าย ตอนนั้นก็มาจับเชลยพวกฝรั่งได้ ก็เอามาสร้างทางรถไฟสายมรณะ ก็ทารุณโหดร้ายมาก ให้นุ่งผ้าเตี่ยวผืนเดียว อยู่กลางแดดทำงานทั้งวัน อาหารก็ไม่ค่อยมี คนไทยเรามีความเมตตากรุณา พวกผู้หญิงไทยเราเนี่ยนะ ครอบครัวไทยก็ลอบเอากล้วยอะไรพวกนี้มาให้พวกทหารฝรั่ง นี่ก็ด้านหนึ่งก็เป็นคนมีน้ำใจ พวกฝรั่งก็รัก ปรากฏว่าต่อมาญี่ปุ่นแพ้สงคราม ฝรั่งเหล่านี้ก็กลับเป็นฝ่ายชนะ ใช่ไหม ก็พ้นจากการถูกจับเป็นเชลย ต้องทำงาน แกมีชัยชนะ แกก็กลับมารักกับคนไทย มีเยอะเลยที่ว่าพาหญิงไทยไปแต่งงานกันกับฝรั่ง เช่นที่เนเธอร์แลนด์ ไปเถอะ ไปเจอเยอะ ที่ว่าแต่งงานกันไปยุคสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 คนไทยก็มีปัญหาเรื่องนี้ แต่ว่าในด้านความแร้นแค้นก็ปัจจัยสี่ อาหารคนไทยก็จะไม่ค่อยมีปัญหา นี่ก็เป็นข้อดีคนไทยอุดมสมบูรณ์ แต่เสื้อผ้านี่ขาดแคลนมาก สมัยนั้นจะเห็นเด็กนุ่งกางเกงก้นปะเป็นธรรมดา แล้วเพราะเหตุที่ก้นปะเป็นธรรมดา ก็ทำซะให้สวย เพราะฉะนั้นตอนนั้นเขาจะทำก้นของกางเกงเป็นรูปใบโพธิ์ หมายความว่าแม้มันจะปะก็ทำให้มันดูน่าดู ก็เลยเด็กนี่นุ่งกางเกงก้นปะรูปใบโพธิ์เยอะแยะเลย ยุคนั้นก็คือยุคที่ขาดแคลนในเรื่องของเสื้อผ้า แล้วขาดแคลนมากอีกอย่างก็คือยา หายาก แม้แต่ยาแก้ปวดแก้ไข้ แอสไพริน อะไรพวกนี้ ส่วนเรื่องที่อยู่อาศัยไม่ค่อยขาดแคลน คนไทยนี่ถึงยังไงก็ได้มีทุนดีเยอะ เรื่องอาหารแล้วก็เรื่องที่อยู่อาศัย ก็สบาย ดินแดนอุดมสมบูรณ์ ไม่เหมือนเมืองฝรั่ง ฝรั่งนี่แร้นแค้นที่สุดเลย อย่างเยอรมัน เพราะเป็นผู้แพ้สงคราม ตอนที่เยอรมันบุกเนี่ยนะ พอเหลือประเทศสุดท้ายก็คืออังกฤษ เพราะว่าได้หมดแล้วผืนแผ่นดินยุโรป ก็เหลืออังกฤษ แกก็กะถล่มไม่เลี้ยง ก็บอมบ์ เขาเรียกอาวุธ V1 V2 ยิง บินไปโดยที่ไม่ต้องมีคนนั่น ไอ้นี่ก็ลงที่อังกฤษ เกาะอังกฤษนี่บอมบ์ติดกันอยู่ 26 วัน ก็เรียกว่าไม่คำนึงถึงว่าเป็นพลเรือนหรืออะไร สถานที่บ้านเรือนคนไม่ต้องเกี่ยวกับทหาร เอาหมด ฉะนั้นอังกฤษก็แทบแย่ เยอรมันก็หวังว่าจะต้องถล่มให้มันยอมแพ้ให้ได้ ในตอนนี้ก็เป็นช่วงที่พอดีอเมริกาเข้ามา พออเมริกามา เยอรมันช้ำเต็มทีแล้ว ในที่สุดเยอะมันก็แพ้ พอฝ่ายสัมพันธมิตรบุกไป คราวนี้ก็ไปถึงเบอร์ลิน เพราะความแค้นนี่นะ พวกฝ่ายอังกฤษก็ทิ้งบอมบ์เบอร์ลิน ไม่คำนึงไม่เลี้ยงเหมือนกัน ไม่ว่าเป็นบ้านเรือน เป็นคนชาวบ้าน เอาทั้งนั้น ฆ่าหมด เรียกว่าสงครามโลกครั้งที่ 2 มันร้ายมาก มันถึงตายตั้ง 50 ล้าน อย่างรัสเซียนี้ตอนสงครามโลกครั้งที่ 2 เฉพาะเมืองเลนินการด เยอรมันล้อมอยู่ รบกัน 900 วัน ก็เท่าไหร่ล่ะ เกือบ 3 ปีนะ คือฮิตเล่อร์สั่ง เลนินการดเป็นเมืองหลวงเก่า บอกว่าให้ล้างเมือง พลเมือง ทั้งผู้คน ไม่ต้องเอาไว้ แล้วไม่ยอมรับการยอมแพ้ หมายความว่าจะยอมแพ้ก็ไม่เอา เอากันขนาดนี้ รัสเซียพอรบเสร็จแล้วเป็นยังไง ผู้คนนี้อยู่รูเลยนะ คนต้องขุดรูอยู่ ตอนเช้าก็เดินขึ้นมาจากรู ครอบครัวลงไปอยู่ในรู บ้านเรือนไม่มี แล้วรัสเซียมันหนาวขนาดไหน เดือดร้อนมาก เผากัน ฆ่ากัน อย่างขนาดหนัก แล้วเยอรมันก็แพ้ ก็แร้นแค้นอย่างหนักเหมือนกัน ผู้คนถึงขนาดที่ต้องไปล้วงหาอาหารค้นกันตามถังขยะ แล้วก็พวกผู้ชายผู้หญิงทั้งนั้นต้องไปชกต่อยทุบตีแย่งอาหารกันตามท้องถนน เด็กๆ บางทีก็ไปเอาฝาถังขยะมาเลียหาอาหาร ลองคิดดูเขาทุกข์ขนาดไหน มันร้ายยังไงนะ ทุกข์แสนสาหัส มันมี่เหลือดีเลยบ้านเมือง ยับเยินหมด ทุกข์อย่างนี้ไทยเราไม่มี ไม่เจอ แล้วเราก็ไม่ได้เรียนรู้ จริงๆ เราควรจะรู้ว่าเขาทุกข์กันขนาดไหน แล้วจากทุกข์พวกนี้นะก็พัฒนาตัวเองอย่างรวดเร็ว ญี่ปุ่นก็ไม่ใช่เบา อย่างว่าโดนบอมบ์ปรมณู อะตอมมิคบอมบ์ตั้ง 2 ลูก ใช่ไหม ฮิโรชิม่า นางาซากิ ก็เรียกว่าเมืองก็ร้างกันไปเลย แต่พวกนี้ก็พัฒนาประเทศอย่างรวดเร็ว ไม่เท่าไหร่ก็กลับตีตื้นขึ้นมาเป็นเรียกว่ามหาอำนาจอีก ใช่ไหม การที่ดิ้นรนต่อสู้ ทำให้คนนี่เข้มแข็ง ยิ่งมีกิเลสตัวมานะนี่ คั่งแค้น ก็จองเวรกันอีก แล้วเรื่องนี้มันก็เป็นเรื่องจองเวรกัน เพราะว่าสงครามโลกครั้งที่ 2 ก็มาจากสงครามโลกครั้งที่ 1 สงครามโลกครั้งที่ 1 เยอรมันมาทำพวกสัมพันธมิตรไว้แรง พอพวกสัมพันธมิตรมีอเมริกามาร่วม มีชัยชนะ ปราบเยอรมันลงได้ ก็ทำสนธิสัญญา เรียกว่า สนธิสัญญาแวร์ซาย อเมริกาก็ยื่นข้อเสนอเพื่อจะให้อยู่กันได้สงบ แต่พวกอังกฤษ ฝรั่งเศส ไม่ยอม ต้องทำสัญญาแบบแก้แค้น หมายความว่าต้องกดขี่บีบคั้น เรียก
ค่าปฏิกรรมสงคราม รู้จักไหม อย่างมากมาย แล้วก็กดมันไม่ให้มันมีโอกาสที่จะฟื้นตัว ให้มันยากจนแร้นแค้น ทำสัญญาให้มันดิ้นไม่ได้ ก็เป็นเหตุให้เยอรมันแค้น แล้วก็เป็นจุดที่ฮิตเล่อร์ยกขึ้นมาปลุกชาวเยอรมัน นี่ก็จองเวรกันอยู่อย่างนี้ พวกอังกฤษ ฝรั่งเศส ก็จองเวรเยอรมันที่ไปบุกตัวเอง เป็นสัญญา แล้วเจ้าเยอรมันก็จองเวรที่เขามาบีบคั้นตัวเองนี่ ก็เกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ก็อยู่อย่างนี้ วนเวียนกันไม่รู้จักจบ แล้วเจ้าตัวร้ายก็เยอรมันที่ถือว่าตัวเองเป็นอารยัน ใช่ไหม ลิทธินาซี ถือว่าอารยันนี้เป็นชาติยิ่งใหญ่ เป็นชาติเผ่าพันธุ์ที่ประเสริฐสุด ก็ถือว่าชนเผ่าอื่นนี่ไม่มีความหมาย ฆ่าเป็นผักปลาเลย โดยเฉพาะเขาแค้นยิว อาจจะเป็นความแค้นส่วนตัวของเจ้าฮิตเล่อร์ใช่ไหม ฮินเล่อร์ตอนเป็นเด็กๆนี่จนมาก ใช่ไหม แล้วก็ถูกพวกยิวมันเหมือนกับว่าไม่เมตตาปราณี ฮิตเล่อร์ก็ผู้ความแค้นไว้ ความแค้นแค่นี้ พอใหญ่ขึ้นมา ฮิตเล่อร์ก็เริ่มเลย พอบุกประเทศต่างๆ งานหนึ่งที่เริ่มแรกเลยก็ต้องจับยิวฆ่า พอไปประเทศไหนปั๊บ ทหารเยอรมันก็จะคัดพวกยิวต้อนมารวมกันที่หนึ่ง แล้วก็กราดยิงเรียบ ยิงเสร็จแล้วก็เปิดปากดูมีฟันทอง สมัยก่อนเขามีฟันปลอมเลี่ยมทอง ใช่ไหม ก็จะปลดเอาทองคำในปาก แล้วก็มีอะไร เอาหมด ทุกเมืองเขาก็จะใช้วิธีนี้ ต่อมาฝ่ายนาซีเองเห็นว่าทหารเยอรมันใช้วิธีนี้แล้ว ตัวทหารเองก็จะเกิดความดุร้าย ก็เลยเปลี่ยนวิธี ก็สร้างค่ายกักกัน ค่ายกรรมกรแรงงาน แล้วก็ขนขึ้นตู้รถไฟไป ขนพวกยิวไป โดยมากค่ายเหล่านี้จะอยู่ในดินแดนโปแลนด์ แล้วก็สร้างเป็นโรงใหญ่ๆ แล้วก็เอายิวขึ้นรถไฟไป แล้วก็ลงมา ในรถไฟนี่มันก็สภาพ คือมันไม่มีเมตตาปราณี ไม่ให้อาหารแล้วยังไม่พอ ต้องถ่ายปัสสาวะอุจจาระกันในนั้น คนตายก็ทิ้งศพไว้ในนั้น เน่า ก็อยู่ไป พอไปถึงปลายทางเปิดออกมาก็ยอบแยบเต็มทีแล้ว แล้วก็ลงมาแล้วก็ให้แก้ผ้าหมด แบบหนึ่งก็คือเข้าไปคัดเลือก คนไหนมีกำลังก็เอาไปทำงาน ที่ไม่มีกำลังก็ฆ่า ทีนี้บางอันก็ฆ่าหมด ก็เป็นโรงใหญ่ๆ ก็เปิดประตูไว้ให้พวกยิวนี้เดินแถวเข้าไป แก้ผ้าเข้าไปหมด พอเข้าไปหมดก็ปิดประตู ปิดประตูก็ปล่อยแก๊สพิษ ตายเรียบ ยิวตายเท่าไหร่รู้ไหม 6 ล้านคน นี่คือฝีมือของเยอรมัน สงครามโลกครั้งที่ 2 เขาเรียก holocaust เรียกว่าล้างเผ่ากัน ตามสถิตินี้ว่า 6 ล้าน เท่ากับยิวหมดไปจากผืนแผ่นดินยุโรป 2 ใน 3 ก็ยังไม่หมดทีเดียว ก็ยังเหลือมาเล่าเรื่องให้คนรุ่นหลังฟัง เนี่ยเขาเดือนร้อนเขาทุกข์ยากกันขนาดไหน ไทยเรานี่สบายที่สุดเลย ไม่ค่อยมีประสบการณ์ แต่คนเรียนรู้ว่าเขาทุกข์ เขาลำบากอะไรกันยังไง นี่ผมก็เลยเล่าให้ฟังว่าเมืองไทยเรานี่โชคดี แต่ว่าโชคดีบางทีไม่รู้จักใช้ มันก็ทำให้เกิดความประมาท แล้วก็เหมือนกับเป็นเคราะห์เหมือนกันนะ อย่างเพราะว่าคนเราอ่อนแอมันก็เป็นเคราะห์ในตัว คราวที่แล้วพูดถึงความอ่อนแอของคนไทยมีอะไรบ้าง หัวใจสำคัญ หนึ่ง-การมัวเมาในการกินเสพบริโภค ชอบฟุ้งเฟ้อใช่ไหม มันก็ไม่ได้พัฒนาศักยภาพที่มีอยู่ ไม่ได้พัฒนา ไม่ได้เอามาใช้ กินเสพบริโภคหมดวันหมดคืนไป ตายเปล่า ศักยภาพที่มีอยู่ก็สูญเสียไปสิ้น สอง-ก็หวังผลดลบันดาล รอความช่วยเหลือ ใช่ไหม ทีนี้ไอ้นี่เป็นฝ่ายบั่นทอน นอกจากนั้นก็ยังขาดพื้นฐานเรื่องนิสัยในการผลิต ใช่ไหม ไม่มีนิสัยในการผลิต เพราะว่าพื้นฐานเราไม่ได้มีเรื่องนี้มา แล้วก็ขาดตัวหนุนก็คือขาดเป้าหมายรวมของสังคม จุดหมายรวมที่จะรวมพลังจิตใจให้พุ่งไปทางเดียวกันก็ไม่มี ถูกไหม ไม่เหมือนอย่างญี่ปุ่น ที่มันคิดจะต้องสร้างตัวให้ยิ่งใหญ่ ให้ชนะฝรั่งให้ได้ อะไรอย่างเนี่ย หรืออย่างฝรั่งเอง อเมริกันใช่ไหม ก็มุ่งที่จะต้องฝ่า frontier บุกฝ่าไปให้ขยายดินแดน บุกฝ่าไปข้างหน้า หรืออย่างมาเกาหลีปัจจุบันก็เหมือนกัน ก็มีจุดหมายที่ว่าจะต้องชนะญี่ปุ่นให้ได้ จุดหมายของเรามันไม่มี ก็เลยเรื่อยๆ เปื่อยๆ อยู่กันไปเรื่อย ๆ หาความสุขกันไปวันๆ หนึ่ง ก็เป็นจุดอ่อนของสังคมไทย แล้วทีนี้ในแง่หนึ่งก็เอามาดูว่าสังคมของเรานี่เป็นยังไง ผมอยากจะให้เทียบตัวอย่างสมัยสงครามโลก อย่างครั้งที่ 1 สงครามโลกทำให้อเมริกานี้รวยมาก เพราะแกไม่ต้องไปสนามรบ แกส่งทหารมาจริง ทหารอเมริกันนี่ตายในสงครามโลกครั้งที่ 2 นี่ราว 2 แสนคน ไม่ใช่น้อยเหมือนกัน ต่อมาก็ตายในสงครามเกาหลีอีก 53,000 คน ระยะใกล้ๆ กัน เพราะว่าเสร็จสงครามโลกครั้งที่ 2 ไม่ช้า ก็เกิดสงครามเกาหลี ก็ยังมาสงครามเวียดนาม อเมริการตอนนั้นเริ่มแบกโลกแล้ว ทีนี้ตอนสงครามโลกตั้งแต่ครั้งที่ 1 ของแกไม่เป็นสนามรบ ตอนแรกแกยังไม่ร่วมรบด้วยซ้ำ ยกตัวอย่างอังกฤษบอบช้ำมาก ไม่มีทาง อังกฤษก็กู้เงินจากอเมริกา แล้วก็ซื้ออาวุธจากอเมริกา อเมริกาก็ได้สองชั้นใช่ไหม กู้เงินจากอเมริกาแล้วยังเอาเงินนั้นไปซื้อสินค้าจากอเมริกา อเมริกาเขาก็ร่ำรวยใหญ่ เขาบอกว่าคนอเมริกันตอนก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 มีรายได้สัปดาห์ละ สมัยก่อนสัปดาห์ละ 6-7 เหรียญ ถ้าเป็นสมัยนี้ก็ชั่วโมงเดียว ค่าแรงของอเมริกัน สมัยก่อนนี้เพราะเงินมันแพงด้วย สัปดาห์หนึ่งได 6-7 เหรียญ พอสงครามโลกเกิดขึ้นแล้ว ต้องเป็นแหล่งผลิตอาวุธ ส่งให้อังกฤษเป็นต้น คนอเมริกันรายได้เพิ่มจาก 6-7 เหรียญต่อสัปดาห์เป็น 100 กว่าเหรียญ ลองคิดดูสิ เท่าไหร่ กี่เท่า ใช่ไหม จะไม่รวยยังไง เพราะฉะนั้นอเมริกันนี่พอสงครามโลกเสร็จนี่แกรวยเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สงครามโลกครั้งที่ 2 เสร็จ อเมริกานี่เป็นดินแดนแห่งความสุขสมบูรณ์ แห่งความรุ่งเรืองเลย เศรษฐกิจนี่สะพรั่งเลย แล้วเราดูอังกฤษเนี่ย แกทุกข์แต่แกจำเป็นต้องไปกู้ แล้วก็ไปซื้อสินค้า แล้วก็ยุทโธปกรณ์จากอเมริกา แล้วในแง่นี้เราจะว่าอเมริกาไหม ว่าก็ไม่ได้ใช่ไหม จะว่าอเมริกาเอาเปรียบหรือว่าได้เปรียบ ก็เป็นการได้เปรียบโดยที่มันก็เป็นโชคของเขา ใช่ไหม คนของเขาก็อยู่สบายมีรายได้ดี อเมริกาผลิตยา อย่างสงครามโลกครั้งที่ 2 เขาบอกว่าเรือรบที่เคยผลิตลำละ 1 ปี ต้องผลิตเสร็จใจ 17 วัน เคยผลิตปีหนึ่งได้ลำ กลายเป็น 17 วันได้ลำหนึ่ง แล้วก็เจริญแค่ไหนพวกอุตสาหกรรม ความชำนาญอะไรต่างๆ เนี่ย แล้วพวกผู้หญิงก็ต้องมาทำงานในโรงงาน แต่ก่อนนี้อยู่กับบ้าน แล้วพอพวกผู้ชายมาสนามรบยุโรป ก็ต้องอาศัยเอาผู้หญิงออกมาทำงาน ผู้หญิงก็พลอยเก่งไปด้วย อเมริกาก็เลยพัฒนาในเรื่องเทคโนโลยีกันยกใหญ่ด้วย มันได้ความเจริญหลายอย่าง เศรษฐกิจก็สะพรั่งกันใหญ่ พวกยุโรปช้ำแทบตาย อเมริกาสบาย ทีนี้เอาล่ะ จุดที่อยากจะเน้นก็คือว่าอังกฤษต้องกู้เงินจากอเมริกา แล้วก็ซื้ออาวุธ สินค้าจากอเมริกา อเมริกาก็มีรายได้ ได้ทั้งขึ้นทั้งล่อง เรามาดูในเวลาสันติ ประเทศไทยเรานี้ กู้เงินจากฝรั่ง แล้วก็ซื้อสินค้าจากฝรั่ง ใช่ไหม จริงหรือเปล่า อย่างอังกฤษสมัยสงครามโลก ไอ้นั่นเขาจำเป็นใช่ไหม แต่เราทำไมต้องทำอย่างนั้น ฝรั่งก็สบายสิ ได้ทั้งขึ้นทั้งล่อง ใช่ไหม เงินก็กู้จากเขา แล้วเขาก็ได้ดอกเบี้ย เสร็จแล้วยังเอาเงินนั้นไปซื้อเขาอีก เขาก็ได้เงินจากการขายสินค้าอีก ก็ได้ 2 ชั้น แม้แต่ยุคสันติ มีความสงบ อเมริกาก็รวยสิ ใช่ไหม ญี่ปุ่นด้วย อะไรต่างๆ พวกนี้ เราไม่คิดเหรอ ถ้าอังกฤษนั่นเขาจำเป็น เพราะว่าสงครามมันบีบคั้น แต่เราไม่ได้มีความจำเป็นเลย ทำไมไม่คิดสร้างสรรค์ ผลิตเอง แล้วก็มองไปในแง่หนึ่ง เหมือนกับว่าสังคมบางสังคมเนี่ย ปล่อยตัวไปตามแต่กระแสโลกจะเป็นไป ก็เหมือนกับว่ามีประเทศอื่นที่เขามีความตั้งใจวางแผนอะไรต่างๆ เนี่ย เขามากำหนดบทบบาทให้เรา ที่เราเป็นกันอยู่เนี่ยนะ ไม่มีความเป็นตัวของตัวเองใช่ไหม เหมือนกับว่าเล่นบทบาทไปตามที่เขากำหนด ให้เป็นผู้บริโภค ให้ฟุ้งเฟ้อ ให้เสพนั่นกินนี่ก็มีมา ก็ซื้อไป กินเสพไป เพลิดเพลิน หลงมัวเมาไป ทีนี้ถ้าเกิดทุกยากขึ้นมาก็เหมือนกันอีก ตัวเองก็ถูกกำหนดอย่างเดียว ไม่มีอำนาจ ไม่มีความสามารถในตัวที่จะเป็นผู้กำหนดบทบาทของตน และวิถีความเป็นไปของโลก หรืออารยธรรม ทีนี้มนุษย์ที่มีความสามารถ มันน่าจะมีความสามารถกำหนดบทบาทของตัวเอง แล้วก็มีความสามารถที่จะกำหนดวิถีของอารยธรรม หรือความเป็นไปของโลกได้ใช่ไหม ไอ้นี่เราไม่มีส่วนเลย อย่างนี้มันก็ไม่ดีแน่ๆ ใช่ไหม ต้องคิดกัน เวลานี้สังคมไทยก็เลื่อนไหลไป แล้วแต่ว่าอะไรมันจะเป็นไปยังไงก็มีให้ประเทศอื่นเขากำหนดบทบาท เหมือนกับเขาวางแผนให้เราจะเป็นยังไง เราจะกินอะไร จะมีเสพอะไรก้แล้วแต่เขา ไม่มีความเป็นตัวของตัวเอง ก็เป็นอันว่าตอนสงคราม อเมริกาก็ได้จากยุโรป ใช่ไหม ตอนสันติก็ได้จากประเทศกำลังพัฒนาอะไรพวกนี้ ที่ไม่รู้จักที่จะสร้างความรู้และความคิด เหมือนกับว่าตัวเองเอาแต่กินเสพบริโภค ไม่มีความรู้ ไม่มีความคิด ไม่มีทิศ ไม่มีทาง อยู่อย่างไร้จุดหมาย แล้วก็ได้แต่หาเงินมาซื้อสินค้าที่เขาผลิตมา ให้เอามากินเสพบริโภค ก็หาเงินซื้อไปสิ ใช่ไหม ก็ซื้อสินค้าเขาไป เขาก็เป็นฝ่ายได้ ลองคิดดูให้ดีนะ สังคมของเราเนี่ย ต้องหาความรู้ แล้วจากฐานของความรู้ก็ต้องมีความคิดใช่ไหม เมื่อมีความคิดจากฐานของความรู้ ก็มองเห็นอะไรต่างๆ แล้วก็มาวางแนวทางให้กับสังคมของตัวเองบ้าง แล้วก็ช่วยมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหาของโลกบ้าง เพราะโลกวันนี้มันก็มีปัญหาเยอะแยะอยู่ แม้แต่ประเทศที่เจริญแล้วก็เป็นตัวสร้างปัญหา ใช่ไหม ไม่สามารถแก้ปัญหาได้ด้วย แล้วทำไมเราไม่คิดในการที่จะไปแก้ปัญหาเหล่านี้ของโลก เพราะประเทศพวกนี้มันก็ไปติดในกระแสแล้ว มันถอนตัวไม่ขึ้นนะ อย่างประเทศที่เจริญพัฒนาเนี่ย อย่างกระแสธุรกิจ การหาผลประโยชน์ แกรู้อยู่ว่าแกทำอย่างนี้ แกทำลายธรรมชาติเป็นต้น ใช่ไหม รู้ แต่ถอนตัวไม่ขึ้น เพราะอะไร เพราะถอนตัวขึ้นมาก็เสียผลประโยชน์ เมื่อเสียผลประโยชน์ อำนาจก็เสีย ความยิ่งใหญ่ก็ลด จะรักษาความยิ่งใหญ่ไว้ได้ก็ต้องหาผลประโยชน์ให้มาก จะผลประโยชน์มาก มันก็จะต้องไปทำลายธรรมชาติ พวกนี้มันติดกระแสนี้ มันติดวังวนที่ถอนตัวไม่ขึ้น ทีนี้ประเทศอย่างเรามันน่าจะมีโอกาสมากหน่อย ในการที่ว่าเรานี่มีอิสระเสรีพอสมควร แล้วในเรื่องปัจจัยด้านเศรษฐกิจเราก็ไม่ใช่จะแย่ ใช่ไหม โดยเฉพาะพื้นฐานทางด้านธรรมชาติของเรานี้ดี แม้แต่เราไม่มีสินค้าจากข้างนอกเนี่ย เราจะอยู่ได้ดีกว่าเยอะเลย อย่างญี่ปุ่นนี่ ถ้าไม่ได้เงินจากการขายสินค้าแก่ต่างประเทศนี้ตายนะ เมื่อตอน 2-3 ปีก่อน ท่านฟุกุโอกะมา เคยได้ยินชื่อไหม ฟุกุโอกะ เขามีชื่อเสียงมากของญี่ปุ่น เป็นผู้ที่เป็นผู้นำในเรื่องของการเกษตรแบบธรรมชาติ ญี่ปุ่นเขานะ แกก็มาที่วัดได้มาคุยกัน แกก็บอกว่าญี่ปุ่นเนี่ย เวลานี้อยู่ได้เพราะต้องเร่งตัวเองผลิตสินค้าใหม่ๆ ให้มันนำหน้าเขาอยู่เรื่อย เพื่อจะให้ได้รับความนิยม แล้วประเทศต่างๆ ก็จะซื้อ แล้วก็จะได้เงินจากสินค้าเหล่านี้ ไปซื้อพวกสินค้าการเกษตร แล้วก็อยู่ได้ ทีนี้ตัวเองที่ดินก็ไม่ค่อยมี เคยได้ยินไหมคนญี่ปุ่นเนี่ยบ้านจะอยู่แทบจะไม่มีนะ อยู่กันแคบๆ ช่องนิดเดียว โรงแรมโฮลเต็ลญี่ปุ่นนี่เป็นห้องแคบนิดเดี่ยวเท่านั้นแหละ เคยได้ยินบ้างไหม ใช่ไหม ญี่ปุ่นถึงอยากมาเมืองไทย มาเมืองไทยแล้วมันโล่งเลย ที่อยู่ที่ไปเยอะ คนไทยเคยเล่าให้ฟัง ญี่ปุ่นมาซื้ออาหาร แกก็อยากจะสนุกบ้าง ไปซื้ออาหารตามข้างถนน แผงลอย ซื้อข้าวแกงกิน กินเสร็จก็ถามราคาเท่าไหร่ พอบอกราคา ให้เงินไปเลยบอกไม่ต้องทอน คือมันนึกไม่ถึงว่าจะถูกอย่างนี้ ตอนผมนั่งเครื่องบินกลับมาจากอเมริกาเที่ยวก่อน ก็แวะญี่ปุ่น คนญี่ปุ่นขึ้นมาเยอะเลย แล้วคนไทยเราที่เป็นพวกสจ็วตก็เล่าว่าพวกญี่ปุ่นนี่นิยม ตอนนี้มาเที่ยว หยุดแค่ไม่กี่วันก็มาเที่ยวเมืองไทย เพราะว่าถ้าเที่ยวในญี่ปุ่นนี่คิดเปลืองกว่ามาเที่ยวเมืองไทย มาเมืองไทยรวมค่าเครื่องบินแล้วนะ ยังถูกกว่าเที่ยวในญี่ปุ่น แล้วสถานที่อะไรต่ออะไรก็สบาย อาหารก็อุดมสมบูรณ์ เราไปญี่ปุ่นนี้ อาหารชามหนึ่งมีเต้าหู้ชิ้นเล็กๆ หน่อย ลอยอยู่ในน้ำโหลงโจ้ง แพงลิบลิ่วเลย เนี่ยเมืองไทยสบายแค่ไหน ท่านฟุกุโอกะก็บอกว่าเนี่ยญี่ปุ่นอยู่ได้ด้วยการเร่งตัวเอง ให้สามารถเป็นผู้นำในเรื่องของคุณภาพสินค้า แล้วก็ทำให้ประเทศต่างๆ นิยม คือก็ได้เงินไป แล้วก็ซื้อสินค้าการเกษตร สิ่งบริโภคไป แล้วก็มีกินอยู่ ในดินแดนของตัวเองก็ไม่พอ ฉะนั้นก็จะต้องพยายามพัฒนาที่ว่าวิธีที่จะปลูกพืชในที่ดินที่น้อยที่สุด ให้ได้ผลมากที่สุด แล้วตอนนี้เขาเริ่มพัฒนาพวกนี้ขึ้นมามาก ใช่ไหม ความบีบคั้นนี่ทำให้เขาเร่งรัด ไทยเราก็ไม่คอยคิด พอญี่ปุนผลิตอะไรมา ห่อของสวยๆ แพงลิบลิ่วเลยนะ ที่จริงบางทีเอาวัตถุดิบมาจากเมืองไทย เสร็จแล้วมาขายคนไทย ตอนซื้อจากเมืองไทย ราคานิดเดียว พอมาขายเมืองไทย ญี่ปุ่นมากอบโกยเอาเงินไปเยอะแยะ ใช่ไหม ได้ราคาแพงๆ คนไทยก็ตื่น นี่ของญี่ปุ่น ก็ไม่ได้นึกอะไร เพราะความที่ตัวเองติดค่านิยมอย่างเดียว ไม่ได้คิดไปให้ลึกว่านี่มันคือความหมายต่อสังคมประเทศชาติของตัวเองอย่างไร ก็มีแต่ความฟุ้งเฟ้อเท่านั้น ทีนี้แกก็บอกว่าต่อไปเนี่ย ญี่ปุ่นจะลำบากขึ้นทุกที ฟุกุโอกะเขาว่างั้น ทำไมจึงลำบาก เพราะว่าประเทศอื่นๆ เขาก็จะพัฒนาตัวเองขึ้นมาทันญี่ปุ่นขึ้นไปเรื่อยๆ ญี่ปุ่นก็จะหนีไม่ไหว อย่างตอนนี้ที่เห็นของเกาหลีนี่ก็ชักจะทัน ใช่ไหม แล้วเมื่อทันแล้วญี่ปุ่นจะทำยังไง ใช่ไหม ก็จะลำบากยิ่งขึ้น ฉะนั้นญี่ปุ่นแกก็หาทางระบายพลเมือง เช่นว่าเอาคนแก่มาอยู่เมืองไทย ใช่ไหม เคยได้ยินไหม แกก็มาติดต่อเมืองไทย มาตั้งนิคมคนชรา ก็ยังดี เพราะเมืองไทยมีที่ดินอะไรต่ออะไรมากกว่า ญี่ปุ่นก็มาตั้งนิคมคนชราขึ้น เอาคนไทยมาเป็นลูกจ้าง หรืออะไรอย่างนี้นะ คนไทยก็มีรายได้ขึ้น เพราะว่าญี่ปุ่นรายได้สูง ค่าครองชีพสูง ญี่ปุ่นก็สบาย ไทยก็ได้ด้วย อะไรอย่างนี้ ก็อันนี้ก็เป็นเรื่องของความเป็นไปของโลกนี้ที่มันสัมพันธ์กันหมด ที่เราจะต้องรู้เข้าใจ แล้วว่าอย่างน้อยเราต้องรู้ แล้วก็อย่างพูดถึงประเทศอื่นๆ เราไม่ต้องมัวไปด่า มันสำคัญที่รู้ทัน แล้วจะแก้ปัญหาอย่างไร ไปมัวด่าอยู่มีประโยชน์อะไร ใช่ไหม เหมือนอย่างการด่าอเมริกาแบบเนี่ย ด่าฝรั่ง เวลานี้หลายคนก็จะด่าว่า ฝรั่งเอาเปรียบคนไทย หลักตลาดเสรี ฝรั่งก็ต้องคิดเอาเปรียบเขาใช่ไหม มันเรื่องระหว่างประเทศ มันไม่ยุติธรรมจริง แต่ละฝ่ายก็หาทางให้ประเทศของตัวเองได้ประโยชน์มากที่สุด จริงไหม มันก็หาทางให้มัน เราแพ้เขาในเรื่องการด้อยเทคโนโลยี เป็นต้น เวลาทำเรื่องคล้ายๆ เสมอภาพ สุดท้ายก็แพ้ เสียเปรียบ อันนี้มันก็อยู่ที่เราต้องมีปัญญารู้เท่าทัน ใช่ไหม ด้านหนึ่งก็ต้องพยายามไม่ให้เขาเอาเปรียบ ส่วนที่ว่าเราก็ต้องว่าเหมือนกัน เตือนสติกัน แต่ว่าคือให้รู้ว่าเรารู้ทัน แต่ว่าตัวประเด็นอยู่ที่การรู้ทัน ไม่ได้อยู่ที่มัวด่า ใช่ไหม ก็บอกว่าฝรั่งคิดหาทางเอาเปรียบเรา ผลิตสินค้ามาขาย เอาเงินจากเราไป อะไรอย่างนี้ อ้าว แล้วทำไมเราไม่พัฒนาตัวเองล่ะ ใช่ไหม ก็เขาผลิตสินค้ามา ตัวเองก็ไปนิยมคลั่งไคล้ แล้วก็ซื้อเขา เขาก็ได้ แล้วจะไปว่าเขายังไง เขาก็ยั่ว เขาก็ล่อให้เรานิยม อยากได้มากๆ เราก็ได้ เราก็ซื้อ เงินก็ไปที่เขา ทำไมไม่พยายามพัฒนาตัวให้เป็นผู้ผลิตล่ะ ใช่ไหม ก็ต้องพยายามสร้างตัวขึ้นมา แต่ว่าอันหนึ่งก็คือความรู้ทันว่าแกมาท่าไหน อย่างที่ว่า เราเป็นทั้งผู้กู้ยืมเงิน แล้วทั้งเป็นผู้ซื้อสินค้าจากเขา เราก็ต้องรู้ เมื่อเป็นอย่างนี้ สถานะของเราเป็นอย่างนี้ เขาเป็นอย่างนั้น แล้วเราจะแก้ไขสถานการณ์ยังไง รู้ทันแล้วพยายามหาทางแก้ไข เมื่อไม่รู้ ไม่มีความคิด คิดอะไรก็คิดเอาเอง คิดเหลวๆไหลๆ เลื่อนลอย ไม่เข้าเรื่อง แล้วก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร ทิศทางก็ไม่มี พอเรารู้เข้าใจ รู้ทันแล้ว มีความคิด มีเป้าหมายทิศทางของสังคมก็เกิดขึ้น มันก็จะมีทางแก้ปัญหาได้ ก็เป็นอันว่าอย่าปล่อยให้สังคมไหลไปแต่ตามกระแส มีบทยาทเพียงแต่เขากำหนดให้ ใช่ไหม ควรจะมีความเป็นตัวของตัวเอง พัฒนาตัวเองให้สามารถกำหนดบทบาทของตัวเองขึ้นมา แล้วก็ไปมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหาของโลก นำโลกไปสู่ความดีงามด้วย ซึ่งคนไทยนี้มีศักยภาพที่จะเป็นได้ แต่ไม่คิด ไม่ทำ