แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ไฟล์ถอดเสียงนี้ยังไม่ได้ผ่านพิสูจน์อักษร นำขึ้นมาเพื่อช่วยในการศึกษาค้นคว้าของผู้สนใจ
นี้ก็ใกล้จวนจะออกพรรษาแล้วก็เลยมาคุยกันดูบ้าง เพราะว่าเห็นว่าไม่ค่อยได้พบกันก็ต้องคุยกันบ้าง ก็คุยกันแบบสบาย ๆ ก็แล้วกันไม่ต้องเอาอะไรเป็นเรื่องเป็นราวมาก มีอะไรจะถามก็ถามมีไหมเห็นท่านเหมือนกับเตรียมจะถาม
คนฟัง ครับ เออพอดีวันนี้มีโยมเป็นศึกษานิเทศของจังหวัดสมุทรสาครนะครับ พอดีว่าโยมเขามีปัญหาที่เรื่องเล่าเรื่องปฏิรูปการศึกษาใหม่ออกมาครับ ตกลงว่าในการศึกษานี่ใช้จิตวิญญาณเข้ามาด้วยครับ แต่ว่าหลัก อาจารย์หลายคนจะไม่เข้าใจเรื่อง คำว่าจิตวิญญาณมากเลยครับ
พระตอบ ก็มาตีถ้อยคำ ไอ้ถ้อยคำนี่คือคำไทยเราเดิม ผมก็เคยเขียนไว้แล้วว่า คำไทยก็คือจิตใจ ต่อมามันรู้สึกว่าไม่ถึงใจ ก็เลยเอาคำว่าจิตวิญญาณเข้ามา ความจริงเดิมแล้วคำว่าจิตใจนี้ก็พออยู่แล้ว ทีนี้คำไทยบางคำเวลาพูดไปบ่อย ๆ มันชักจืดพอจืดก็ต้องหาคำอะไรมาใหม่นี้คำใหม่นี่ก็ ดีบ้างไม่ดีบ้าง แต่เคยพูดบ่อย ๆ แล้วที่จริงเป็นเรื่องที่ต้องพูดกันยาวครับคำว่าจิตวิญญาณ คือคำว่าจิตวิญญาณนี้ 1 ก็คือการคำที่รู้สึกถึงใจ 2 ก็หาคำไปเทียบฝรั่งที่เรียก Spiritual เรื่องมันเป็นอย่างนั้น คือไปชื่นชมคำของฝรั่งนี่ก็เป็นเรื่องหนึ่ง ฝรั่งพูด Spiritual ก็หาคำมาเทียบ ก็เลยไม่รู้จะเอาอะไรก็สร้างคำขึ้นมาว่าจิตวิญญาณ ที่นี้ไอ้คำว่าจิตวิญญาณนี่เป็นคำที่พล่า เพราะว่าไอ้คำเหล่านี้มันเป็นคำที่ในสังคมไทยมันสับสนอยู่แล้ว โดยเฉพาะไอ้คำว่าวิญญาณนี่มันก็มีปัญหาอยู่แล้วใช่ไหม ครั้งหนึ่งมีคำว่าวิญญาณในสังคมไทยเราเนี่ยมันเพี้ยนไปจากความหมายเดิมที่เป็นเรื่องของธรรมะ ศัพท์เดิมมันก็เป็นศัพท์ในพุทธศาสนานี้ไทยเรามาใช้ นี่มันใช้ไปใช้มามันกลายเป็นผี มันกลายเป็นไอ้วิญญาณร่องรอยเป็นโซล ก็คือไปเข้ากับคำว่า Spirit Spirit นี่บางทีมันใช้เกือบหมายความเกือบเท่าคำว่า Sold นี่แหละ ที่นี้ไอ้ Spirit ก็แปลว่าผีก็ได้แปลได้หลายอย่าง Spirit นี่ผีนะใช่ไหมแปลว่าเล่าก็ได้ พวกผีก็เรียก Spirit ที่นี่อย่างนักกีฬาก็มี Spirit แล้วก็ไอ้พวกสิ่งที่เป็นแก่นเป็นสาระของเรื่องเขาเรียก Spirit เช่นว่า Spirit ของจังหวัดลพบุรีคืออะไร ก็เรียกศาลพระกาฬนี่เป็น Spirit ของจังหวัดลพบุรี เป็นสาระหรือเป็นจิตใจเป็นแก่น อันนี้ก็เลยไป ๆ มา ๆ ก็เลยเอาคำว่าจิตวิญญาณมา ที่นี้ไอ้คำว่าวิญญาณ Spirit อะไรเป็นคำที่พล่ามันใช้ได้หลายความหมาย แล้วคนไทยก็เพี้ยนอยู่แล้ว มันก็ทำให้บางทีจะสับสนมากขึ้นเพราะว่าชาวบ้านมันไม่ได้เข้าใจอย่างพวกนักปราชญ์ พวกคนชั้นสูง พวกนี้ก็ไปคิดแบบที่ว่า ดูความหมายฝรั่งว่า Spiritual เป็นศาสนาที่เคยพูดไว้แล้ว ศาสนาฝรั่งมันมีที่เขาถือว่าเขาเป็นศาสนาชั้นสูงเป็น Higher Religion แต่มีศาสนาเก่าศาสนาโบราณ พวก Limitiplicious ศาสนายุคบุพกาลเป็นศาสนาชั้นต่ำ เป็น Lower Religion นี้ของฝรั่งเนี่ยไอ้ศาสนาชั้นต่ำมันก็มีเรื่อง Spiritual มีจิตวิญญาณแบบของศาสนาชั้นต่ำ พอเรื่องศาสนา มันก็เป็น Spiritual Spirit ทั้งนั้น มันมีมาตั้งแต่สมัยไหนแล้ว ทีนี้ไอ้ Spiritual จิตวิญญานแบบของศาสนาชั้นต่ำเนี่ยมันก็เป็นเรื่องผีสางเป็นความเชื่อเรื่องไอ้จิตอะไรของคนที่ตายไปแล้วบ้าง เป็นเรื่องผีที่มองไม่เห็นอยู่ในป่าในเขาในอะไรถ้ำบ้าง ไอ้พวกนี้ Spirit ทั้งนั้น แล้วก็เรื่องที่เกี่ยวกับ Spirit พวกนี้ก็เป็น Spiritual Spiritual ก็เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับผีสางเทวดาไป อันนี้ ชาวบ้านนี่ไอ้เรื่องที่เป็น Spiritual ที่มาแปลจิตวิญญาณนี่มันก็ต้องไปนึกถึงผีสางเทวดาเหล่านี้ ทีนี้ชาวบ้านเชื่ออยู่แล้ว เชื่อเรื่องไอ้ความเจ็บไข้ได้ป่วยนี่มาจากผีสางเทวดาใช่ไหม เขาเชื่ออย่างนั้นอยู่แล้วนี่ไปทำผิดผี หรือไปป่าไปทำอะไรให้เจ้าป่าโกรธ หรืออะไรอย่างนี้ใช่ไหมท่านก็จะลงโทษจะหักคอเอาอะไรอย่างนี้ ทีนี้แม้แต่ป่วยเป็นโน่นเป็นนี่ก็บางทีเราระแวงเรื่องผี บางทีก็ผีเข้า ไอ้ผีเข้าก็ป่วยชนิดหนึ่ง ตกลงก็เลยมีเรื่องเกี่ยวกับผีนี่เยอะ ทีนี้คนไทยนี่เราหนักใจอยู่แล้วเรื่องให้สอนให้มาเข้าใจเรื่องพุทธศาสนาแสนยากแกก็ยังเชื่อผีสางเทวดาทีนี้ก็เอาไอ้จิตวิญญาณมาอีก ทีนี้ชาวบ้านมันไม่ได้เข้าถึงความหมายของพวกนักปราชญ์เหล่านี้ ก็จะไปนึกถึงเรื่องผีสางเหล่านี้เรื่องโรคผีเข้า พอโรคผีเข้าทำไงต้องหาหมอผีถึงได้บอกว่าเนี่ยดีไม่ดีก็เอาอีกโรคระดับจิตวิญญาณมาอีกแล้วก็โรคผีเข้านั่นเอง พอโรคผีเข้าก็ทำไงหาหมอผีก็เลยบอกว่า อ้าว กระทรวงสาธารณสุขเดี๋ยวนี้มารับผิดชอบไอ้เรื่องโรคที่เกิดจากจิตวิญญาณพวกผีสางนี้ด้วยหรือนี่ ไอ้พวกที่จะมารักษาเรื่องผีเข้าก็หมอผีสิ ใช่ไหม นั้นกระทรวงสาธารณสุขก็ต้องจัดหาหมอผีด้วยมันก็จะไปรูปนั้น นึกสิครับชาวบ้านจะเข้าใจฤาจิตวิญญาณแบบนักปราชญ์นี่เข้าใจไหม ไม่เข้าใจ นั้นคือมาบัญญัติกันไม่ได้นึกถึงชาวบ้านไปนึกถึงไอ้แบบฝรั่ง ตัวเองก็ไปนึกว่าฝรั่งเขาว่าอย่างนี้อย่างนี้ดีอย่างงั้น อย่างงั้น แต่ขออภัยผมว่าเขาไม่ได้เข้าใจจริง อย่างไอ้ฝรั่งเขาก็มีเรื่องอย่างนี้อยู่เรื่องศาสนาชั้นต่ำชั้นสุง ทีนี้ฝรั่งนี่เขาไม่ได้ใช้วิธีแบบเราของเราเป็นพุทธศาสนาเราไม่ใช้วิธีบังคับเราไม่มีการฆ่าเราถึอเป็นบาป นี้ฝรั่งเขาพอมีศาสนาขึ้นมาใหม่เป็นศาสนาชั้นสูงเขาให้ถือพระผู้เป็นเจ้าองค์เดียวยิ่งใหญ่ที่สุด เขาก็ถือว่าพวกศาสนาชั้นต่ำที่มี Spirit เป็นผีเป็นอะไรพวกเนี้ยมันเป็นพวกที่เป็นพวกซาตานเป็นปฏิปักษ์ต่อพระเจ้า เพราะฉะนั้นคนที่จะนับถือถูกต้อง ๆ นับถือพระเจ้าองค์เดียวเท่านั้นจะไปนับถือผีสางเทวดาอื่นไม่ได้ ทีนี้ของเขานี่เขาไม่ได้ถืออย่างเราที่จะให้ปัญญา เขาใช้ศรัทธาฉะนั้นศาสนาฝรั่งเขาก็กำจัดเมื่อแกเป็นพวกซาตาน เป็นพวกผีอื่นแกก็ต้องตายนอกจากว่าแกต้องมายอมรับพระผู้เป็นเจ้า เพราะฉะนั้นศาสนาฝรั่งมันก็เลยต้องกำจัด การกำจัดนี้เขาเรียก Persecution ฉะนั้นเรื่องของฝรั่งก็มีเท่านี้ศาสนาคริสต์ แม้แต่อิสลามก็ทำนองเดียวกันคือว่าจะต้องยอมรับ God องค์เดียวเท่านั้นจะมีองค์อื่นไม่ได้ เมื่อแกมีแกต้องตายเพราะฉะนั้นศาสนาคริสต์ในอดีตจึงมีแต่การฆ่า ฆ่ากันยับเยินแหลกลาญไปละ ก็ไปลองศึกษาประวัติดู
ทีนี้มาสมัยนี้มันทำอย่างนั้นไม่ได้แล้ว นี้ในสังคมไทยเรานี่ทำยังไง ในศาสนาแบบพุทธศาสนานี่เราไม่ใช้การบังคับให้ถือปัญญาเป็นสำคัญก็ต้องสั่งสอนกัน นี้ถ้าพระไม่ยึดหลัก 1 ไม่รู้หลัก 2 ไม่มั่นในหลัก 3 เกิดมีเจตนาไม่ดีอยากได้ลาภจบเลยใช่ไหม ก็ไปหาผลประโยชน์กับตัวเองไปเข้าพวกผี ไปหาผลประโยชน์ในเรื่องนี้ นี้ก็ไม่จูงประชาชนขึ้นมาสู่ไอ้เรื่องดีงามชั้นสูงที่เป็นบุญเป็นกุศล คือไอ้เรื่อง Spiritual ที่เขาแปลจิตวิญญาณนี่มันมีได้ทั้งดีและไม่ดี ซึ่งศาสนาชั้นสูงเขาก็ถือว่า Spiritual แบบศาสนาชั้นต่ำนี่ไม่ดีใช่ไหม มันก้ำกึ่งมันดีก็ได้ไม่ดีก็ได้อย่างผีเข้านี่ มันก็ถือว่าผีมันโกรธใช่ไหม มันโกรธมันดีเลยใช่ไหม มันก็ไม่ดีเป็นอกุศล นี้ทางพุทธศาสนาเราก็จัดได้แยกได้ชัดว่าจะต้องเข้าใจมีปัญญาแล้วผีสางเทวดาเหล่านี้จะต้องพัฒนาด้วยจะต้องสอนด้วยให้มาเป็นผีดีเป็นเทวดาดีให้มีใจเป็นบุญเป็นกุศลมีเมตตาต่อกันเราก็มีการสวดมนต์เราก็ในคำสวดมนต์นั้นเป็นคำสอนเทวดาด้วยสอนผีด้วยให้มีเมตตาจะให้มีจิตรักใคร่เมตตามนุษย์นะอย่ามาคิดร้ายเลย นี่คำสวดมนต์เขาเราก็แผ่เมตตาให้เทวดาแล้วก็สอนเทวดาไปในตัวแต่ว่าสอนแบบคล้าย ๆ สอนผู้ใหญ่คือบอกว่าขอให้ท่านมีจิตเมตตาปรารถนาดีต่อชาวมนุษย์ทั้งหลายช่วยดูแลอย่าไปข่มเหงเบียดเบียน ก็เปลี่ยนให้เทวดาเหล่านี้มาเป็น ไอ้พวก Spirit ที่ดีเป็นผีเป็นเทวดาที่ดี ก็เรื่องก็เป็นอย่างนี้เราก็มีหลักอยู่แล้ว นี้เมื่อเป็นเทวดาเป็นผีเป็นอะไรเป็นคนก็แบบเดียวกันต้องพัฒนาตัวมาเป็นคนดีก็มีบุญเป็นกุศลไปหลักก็จิตใจที่ดีงามก็เป็นจิตใจที่ประกอบด้วยบุญกุศล เพราะฉะนั้นบุญกุศลก็เป็นตัวตัดสินไอ้เรื่องSpiritual เรื่องทางด้านจิตใจที่เขาแปลเป็นจิตวิญญาณนี่ว่าเป็นจิตวิญญาณที่ดีและจิตวิญญาณนี่มันยังก้ำกึ่งมันเป็นกุศลก็ได้ เป็นอกุศลก็ได้ นั้นคำของเราชัดอยู่แล้วคำว่าบุญกุศล ทีนี้ใช้ในสังคมไทยมันนานจะลงตัว นั้นถ้าเราพูดบุญกุศลปั้บชาวบ้านก็เข้าใจทันทีใช่ไหม แต่ไปพูดจิตวิญญาณนี่ชาวบ้านนึกถึงผีก่อนแหละ
อันนั้นทำไมเราไม่ใช้คำว่าบุญกุศลซึ่งชาวบ้านจะเข้าใจ ถ้าเห็นแก่คนจำนวนมากส่วนใหญ่นี่มันน่าจะพูดกับเขาให้รู้เรื่องหาคำที่มันสื่อใช่ไหม พูดกับชาวบ้าน เอ้อเป็นเรื่องสุขภาพจิตใจในเรื่องบุญกุศล ชาวบ้านเขาก็เอ้อเข้าใจดีจะต้องทำใจให้ดีงามเป็นบุญเป็นกุศลจะใช้คำว่าบุญหรืออะไรก็ได้มา ผมว่าท่านเหล่านี้เป็นพวกคนพวกชั้นสูงก็เลยไปคิดแบบที่ว่าไปนึกถึงคำฝรั่ง จะให้สื่อกับฝรั่งได้แทนที่จะเห็นแก่ชาวบ้านในประเทศของตัวเองใช่ไหม โดยไม่ได้นึกว่าเสร็จแล้วมันจะเกิดผลอะไรแก่คนในประเทศของตัวเอง คือคล้าย ๆ ไปเห็นกับคนส่วนใหญ่คือนึกว่าคนข้างนอกเป็นคนส่วนใหญ่ ไอ้ที่จริงคนส่วนใหญ่ของตัวเองก็คือชาวบ้าน ที่จริงไอ้คนข้างนอกที่จะไปสื่อกับเขามีไม่กี่คนก็เป็นพวกฝรั่ง นึกว่าฝรั่งมันทั้งโลกฝรั่งที่จะไปสื่อในเรื่องนี้มันก็ไม่กี่คน หรือท่านว่ายังไงเห็นด้วยไหม นี่มันก็ยิ่งพาให้คนแปลกแยกออกไปจากสังคมของตัวเอง แล้วไอ้คำเดิมที่มีก็ไม่ใช้ ไอ้คำใหม่ก็พูดกันไม่รู้เรื่องแล้วก็สื่อความหมายเข้าใจผิดอีกมันก็ยิ่งยุ่งใหญ่สังคมแทนที่จะดีขึ้น ถ้าเราไปใช้บุญกุศลปั้บมันก็สื่อกันรู้เรื่อง แล้วมันก็เข้าสู่ทางที่ดีงามมันก็เดินหน้ากันไปได้เลยไม่ต้องมัวมาวุ่นวายกันอยู่เนี่ย ก็แปลกดีเหมือนกันที่จริงต้องมีเรื่องพูดเยอะก็อย่างที่ว่าละแค่เนี้ย แค่เรื่องไอ้ศาสนาชั้นสูงชั้นต่ำ ซึ่งมันมี Spiritual ที่เขาแปลจิตวิญญาณทั้ง 2 ระดับ เขาก็ไม่เข้าใจ ท่านเหล่านี้ได้ศึกษาเรื่องเหล่านี้หรือเปล่าก็ไปเอาความหมายจิตวิญญาณระดับหนึ่งที่ฝรั่งที่เป็นพวกศาสนาที่เขาถือว่าชั้นสูงมาให้ความหมายใช่ไหม แล้วฝรั่งเขาก็ต้องรู้ลึกกว่านั้นว่ามันมีความหมายกว้างออกไปเป็นศาสนาชั้นต่ำก็มีใช่ไหม แล้วศาสนาชั้นต่ำมันก็ยังมีทั่วโลกจริงไม่จริงใช่ไหม ที่นี้ศาสนาคริสต์เขาแก้ด้วยวิธีกำจัดเลยในสมัยก่อน ทีนี้สมัยนี้มันจะกำจัดวิธีนั้นได้ที่ไหนใช่ไหม แล้วในเมืองไทยเราพุทธศาสนาเราก็ไม่ยอมให้กำจัดด้วยวิธีรุนแรงอยู่แล้ว นี้มันก็อยู่ที่ว่าเราจะทำคนของเรายังไงให้พัฒนาที่ว่าทำยังไงจะให้พระเนี่ยมีคุณภาพรู้หลักพระศาสนาจริงแล้วก็มั่นในหลักไปสั่งสอนประชาชนให้เข้าใจให้ก้าวมาในทางที่ถูกต้องแล้วก็ไม่เห็นแก่ลาภ ไม่เห็นแก่ผลประโยชน์ เพราะว่าไอ้นี่ก็เป็นวิถีสอดคล้องกับสังคมประชาธิปไตยใช่ไหม ก็ต้องใช้วิธีนี้ใช้วิธีรุนแรงไม่ได้ นี้วิธีฝรั่งเป็นวิธีสมัยสังคมแบบที่เขามีอำนาจเป็นใหญ่ สมัยสมบูรณาสิทธิราชแล้วสมัยที่คริสตจักร ศาสนจักรนี่เป็นใหญ่มีอำนาจแม้แต่เหนืออาณาจักรอีก นั้นเขาใช้อำนาจอย่างที่ว่าตั้งศาล Imprecision ขึ้นมาใช่ไหม เอาคนที่ไปเชื่อผี เอาแม่มดนี่มาขึ้นศาล Imprecision ก็ลองไปอ่านประวัติดูสิ แม่มดที่ผมเคยเล่าให้ฟัง อย่างศาล Imprecision ของสเปญนี่ในยุคหนึ่งฆ่าวันเป็นร้อยเลย ทีนี้มันก็ใช้เป็นโอกาสในการมาเบียดเบียนกันมาแกล้งกันได้ ทีนี้ไอ้คนนี้มันไม่ชอบไอ้คนนั้นมันก็หาว่าไอ้คนนั้นเป็นแม่มดใช่ไหม ก็ไปถูกจับมา ถูกจับมาบางทีมันก็ถูกเผาทั้งเป็นโดยที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวมันก็ถูกกล่าวหา สมัยนั้นมันก็มีทั้งไอ้คนที่เชื่อผีจริง ทำตัวเป็นแม่มดจริงบ้าง ไม่ได้เป็นแต่ถูกกล่าวหาถูกกลั่นแกล้งหรือแม้แต่ถูกระแวงใช่ไหม พอมีพฤติกรรมอะไรนั่นหน่อยก็ถูกระแวงไอ้นี้เป็นแม่มดจับมาขึ้นศาล Imprecision เผาทั้งเป็นเสียนี่ โอเผาทั้งเป็นก็ไปมากมายก็ที่จริงท่านเหล่านี้น่าจะไปศึกษาประวัติศาสตร์ ก็ขออภัยก็กลายเป็นว่าไปเอาศัพท์เหล่านี้มาแล้วไม่ได้ศึกษาให้ชัดเจนตัวเองก็ไม่ได้รู้จริง ไอ้เรื่อง Spiritual มันเป็นยังไง ของฝรั่งมันเป็นยังไงก็ไปเอาศัทพ์เขามา ศัพท์ตัวเองก็เป็นศัพท์ที่พล่าที่มัวไม่ชัดเรื่องของเขาตัวเองก็ไม่ได้เข้าใจชัด แล้วก็ไอ้ Spiritual พระพุทธเจ้าทรงผ่านมาแล้วในอินเดียมันก็มีใช่ไหม ไอ้ Spiritual ทำไมอินเดียมันจะไม่มี อินเดียมันเป็นดินแดนของศาสนา มันโบราณ มันมีอารยธรรมมาก่อนตะวันตกอีก เพราะฉะนั้นมันเชี่ยวชาญนักไอ้เรื่อง Spiritual เนี่ยจะแปลจิตวิญญาณหรืออะไรก็แล้วแต่
พระพุทธเจ้าไปเจอมาหมดแล้ว พระองค์ก็เห็นแล้วว่าเป็นยังไง ไอ้พวก Spiritual แต่อินเดียนี่ต้องให้เกียรติเขาอย่างนะเขาไม่รุนแรงไม่เหมือนอย่างฝรั่งลองไปเทียบประวัติศาสตร์ของฝรั่งเนี่ยมันฆ่ากันอย่างเดียวเลยศาสนานี่ ทำสงครามระหว่างแค่นิกายต่างกันมันก็ฆ่ากัน คาทอลิกกับโปรเตสแตนต์นี่ยุโรปเลยนะ ทั้งทวีปแบ่งกันเป็น 2 พวก ประเทศที่เป็นคาทอลิกกับโปรเตสแตนต์นี่ทำสงครามกัน 30 ปี ศูนย์กลางของการรบอยู่ที่เยอรมันฆ่ากัน 30 ปีบางเมืองนี้แทบล้างเลยฆ่ากันแทบฝรั่งใช้คำว่า Butcher สับเป็นบะช่อเลย ก็ฆ่าคนในเมืองนี้หมดไป 2 ใน 3 เลยอะไรอย่างงี้ โอ้มันเหลือเกินเลยนะ สงคราม 30 ปีระหว่าง โปเตสแตนต์กับคาทอลิก คนเยอรมันตายมากกว่าสงครามโลกครั้งที่ 1 ลองคิดดูแล้วอย่างฝรั่งเศสเนี่ยฝรั่งเศสก็คาทอลิกกับโปรเตสแตนต์ พวกโปรเตสแตนต์ในฝรั่งเศสมีชื่อเฉพาะเขาเรียกชื่อ Huguenots พวก Huguenots นี้ก็เกิดมีกำลังขึ้นมา พอพวกคาทอลิกก็มีอำนาจใช่ไหมครับ ก็มีการเริ่มต้นฆ่าครั้งใหญ่เขาเรียกว่า Saint Bartholomew Max Zaker แปลว่าการสังหารหมู่ในวัน Saint Bartholomew เมื่อปีประมาณ 1572 วันเดียวมันฆ่าสามพันคนในปารีส แล้วฆ่าต่อไปอีกเมืองใกล้ ๆ หมื่นสามพันคนในช่วงวัน Bartholomew นี้ฆ่าคนโปรเตสแตนที่เรียกว่าพวก Huguenots ทีนี้ไอ้พวก Huguenots มันก็ไม่ยอมเหมือนกันมันก็ไปรวมกำลังแล้วไปตั้งอยู่ในเมืองหนึ่ง เมืองอะไรนะ เมืองชื่อโลเชลอะไรทำนองนี้ ลาโรเชลมั้ง ไอ้ที่อเมริกายังมีชื่อเมืองนิวโลเชลอยู่ในรัฐนิวยอร์ค ก็คือพวกเมืองในอเมริการก็เอาชื่อเมืองจากยุโรปไปตั้ง พวกนี้ไปจากไหนก็ไปตั้งชื่ออย่างนั้น อย่างพวกฮอลันดาไปตั้งที่นิวยอร์คเดิม นิวยอร์คเดิมนี่ชื่อนิวอัมสเตอร์ดัมพวกฮอลันดาไปตั้ง ทีนี้พอพวกอังกฤษมันชนะ อังกฤษมันขับไล่พวกฮอลันดาไปมันเปลี่ยนชื่อนิวอัมสเตอร์ดัมเป็นนิวยอร์ค เพราะไอ้เมืองยอร์คนี่มันอยู่ที่อังกฤษทีนี้พวกอังกฤษมันชนะมันก็เลยเรียกไอ้ยอร์ค มันเอายอร์คไปมันก็เรียกนิวยอร์คเป็นยอร์คใหม่ใช่ไหม แถวฮอลันดามันเรียกมันเอาชื่ออัมสเตอร์ดัมไปมันก็เติมนิวเป็นนิวอัมสเตอร์ดัม ไอ้โลเชลนี่ไปมันก็เรียกนิวโลเชล อเมริกาจะมีนิว ๆ ๆ ๆ ๆ เยอะหมดนะ อ้าวละทีนี้นี่เป็นตัวอย่าง ทีนี้พวกเมืองนิวโลเชล ขออภัย ชื่อลาโลเชลในฝรั่งเศสนี่ก็เป็นเมืองของโปเตสแตนต์ที่ไปตั้งซ่องสุมกันอยู่ ทีนี้ต่อมาพระเจ้าหลุยส์ที่ 13 ขึ้นครองราชย์ก็ห่ำหั่นกำจัดต่อกำจัดพวกโปเตนแตนต์พวก Huguenots นี่ ก็ได้อาศัยมหาเสนาบดี มหาเสนาบดีนี้ก็จะแปลภาษาอังกฤษเรียก Chief Minister ภาษาฝรั่งเศสจะใช้อะไรไม่ทราบฝรั่ง อังกฤษแปลว่า Chief Minister นี้ Chief Minister นี่เป็นใครรู้ไหมเป็นคาร์ดิแนล คาร์ดิแนลรู้จักไหมครับ อ้าวนี้ไม่เข้าใจเรื่องศาสนาใครรู้บ้างคาร์ดิแนลคืออะไร เมืองไทยก็มีท่านหนึ่งคาร์ดิแนลโอ้สูงมาก คาร์ดิแนลก็คือบาทหลวงสูงสุดระดับลองจากโป้ป มีโป้บเท่านั้นที่เป็นสูงสุด ต่อจากโป้บนี่คาร์ดิแนล บาทหลวงที่ใหญ่ที่สุดในศาสนาคริสต์คาทอลิกลองจากโป้บเรียกว่าคาร์ดิแนล คาร์ดิแนลทุกท่านนี่มีสิทธิได้รับเลือกเป็นโป้บ เพราะโป้บองค์นี้สิ้นเมื่อไหร่นี่เมืองไทยก็มีคาร์ดิแนลท่านหนึ่งที่มีสิทธิได้รับเลือกเป็นโป้บเวลานี้นะ เพิ่งเป็นคาร์ดิแนลองค์แรกของเมืองไทยเลยท่านแรก ทีนี้ที่ฝรั่งเศสตอนนั้นมหาเสนาบดีนี่ก็เป็นคาร์ดิแนลให้เข้าใจว่าบาทหลวงนี่เขาเป็นนักการเมืองได้เป็นผู้ปกครองแผ่นดินได้ไม่ใช่เหมือนพระในของเราที่เขาพูดว่า พุทธศาสนาไหนก็เหมือนกันนี่มันเป็นการพูดด้วยอวิชาออกไปนะมันไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลย นี่มันจะเหมือนได้อย่างไรใช่ไหม คือต้องพูดกันตามความเป็นจริงว่าอะไรเป็นอะไร นี้ท่านคาร์ดิแนลนี้ชื่อลิชาลู ท่านคาร์ดิแนลลิชาลูนี่เป็นมหาเสนาบดีของพระเจ้าหลุยส์ที่ 13 ก็ใหญ่มากเป็นคาร์ดิแนลด้วยแล้วก็เป็นมหาเสนาบดีด้วยก็จัดการกับพวกโปเตสแตนต์ทำไงอ่ะระหว่างนั้นก็คาทอลิกกับโปรเตสแตนต์ก็ยกทัพรบกันระหว่างประเทศอยู่แล้วใช่ไหม ประเทศคาทอลิกกับโปรเตสแตนต์ ทีนี้เฉพาะในฝรั่งเศสเองก็กำจัดพวกโปรเตสแตนต์อยู่ ท่านบาทหลวงลิชลูคาร์ดิแนลนี่ตอนหนึ่งก็เห็นว่าจะต้องทำลายไอ้ศูนย์กลางโปรเตสแตนต์นี่ให้ได้ก็ยกทัพบัญชาการรบเลยนี่เป็นแม่ทัพเห็นไหมบาทหลวงเป็นแม่ทัพ สั่งฆ่าคนได้ของเขามันไม่เหมือนของเรา นั้นท่านคาร์ดิแนลก็ให้กองทัพไปล้อมเมืองลาโลเชลนี้ ล้อมอยู่ 15 เดือน นานไหม 15 เดือน นานปรากฏว่าไอ้คนในนั้นมันไม่ไหวมันตายไปสามในสี่ของเมืองนี่อดตายหมดไปสามในสี่ของเมืองมันสู้ไม่ไหวมันเลยออกมายอมแพ้ พอยอมแพ้ท่านคาร์ดิแนลลิเชลลูก็จัดการกำจัดหมดเลยให้มันหมดอำนาจเลย หมายความว่าให้เมืองนั้นเป็นเมืองที่หมดความหมายไม่สามารถเป็นศูนย์กำลังโปรเตสแตนต์ต่อไป ก็เลยต่อจากนั้นก็ผ่อนคลายลงการกำจัด ต่อมาก็มีเรียก Edict of Nantes เป็นบรมราชโองการแห่งแน้นที่ให้คนโปรเตสแตนต์มีสิทธิ์มีเสียงบ้างคล้าย ๆ ว่าระงับสึกไปก่อน
ทีนี้ต่อมาพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ขึ้นครองราชย์ รู้จักไหมพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 เนี่ยประวัติศาสตร์ไม่ค่อยจะเรียนกัน พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 มีชื่อในประวัติศาสตร์ไทยสมัยไหน คนฟังตอบ พระนารายณ์ นั่นแหละ นั่นแหละพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ก็ครองราชย์สมัยสมเด็จพระนารายณ์เป็นองค์ที่ส่งกองทัพมาและส่งพวกบาทหลวงและพ่อค้ามาติดต่อกับเมืองไทยใช่ไหม มีพระราชสาสน์มีราชไมตรีเราก็ส่งโกษาเหล็กโกษาปานไปสมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 นี้พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 นะมีพระราชสาส์นมาเชิญชวนพระนารายณ์มหาราชให้เปลี่ยนเป็นคริสต์ไง ตอนนี้ทราบใช่ไหมครับ นี้และพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ยิ่งใหญ่ที่สุดเลย ยิ่งใหญ่มากครองราชย์นานที่สุดประวัติศาสตร์ ในประวัติศาสตร์ของฝรั่งเศสของเขา เขาเรียกว่า Louis the Great หลุยส์ที่ 14 The Great เลย นี้พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 นี่ขึ้นครองราชย์ก็เอาละสิทีนี้ทรงตั้งปณิธานว่าจะต้องกำจัดโปรเตสแตนต์ให้เหี้ยนแผ่นดินคราวนี่ ที่นี้เอาแล้ว เป็นมหาราช บอกว่าไอ้ที่เคยยอมให้มันมีสิทธิมีเสียงขึ้นมาบ้างไม่เอาแล้ว ก็ยกเลิก The Edict of Nantes เลย ประกาศยกเลิกไอ้ Edict ที่ยอมให้มีอะไรบ้างเนี่ยยกเลิกก็เริ่มกำจัดใหม่ ปรากฎพวก Huguenots นี่ต้องหนีจากฝรั่งเศสไปสี่แสนคนนี่คือฝรั่ง นี่ผมยกตัวอย่างทั้งนั้นนะครับ ยกตัวอย่างให้เห็นว่ามันกำจัดกันอย่างไร มันทนไม่ได้เลยเรื่องศาสนานะไม่ใช่เฉพาะกำจัดพวกศาสนาเล็ก ๆ น้อย ๆ ไอ้ที่ว่าเป็นศาสนาชั้นต่ำแม้แต่คริสต์ด้วยกันต่างนิกายก็ฆ่ากัน แล้วก็อย่างอังกฤษนี่ก็หนีมาใช่ไหม ส่วนหนึ่งก็หนีออกมาฮอลันดาก็มาลงเรือที่นี่ไปอเมริกาไปขึ้นไอ้ที่ผมเล่าให้ฟัง ไอ้ที่เป็นพวกที่พวกพิมควินนี่ ไปขึ้นที่พีมัส ที่นิวอิงแลนด์แล้วก็ไปโดนฤดูหนาวจะตายแล้วก็พวกอินเดียนแดงมาช่วยสอนวิธีหากินให้ ได้กินไก่งวงเรียกว่าปีแรกลอดฤดูหนาวไปได้เพราะไก่งวง แล้วเพราะอินเดียนแดงสอนวิธีหาปลา หาอะไรเนี่ย ก็เลยเกิดวัน Thanksgiving Day วันขอบคุณพระเจ้าก็คือลอดจากปีแรกไป ก็เลยไม่ได้ขอบคุณอินเดียนแดง ไปขอบคุณพระเจ้าสะ แล้วก็พอครบรอบปีที่ 1 Thanksgiving Day ก็ไอ้เจ้าไก่งวงก็ตายกันยับเยินไปเลยฉลอง
นี่รู้จักฝรั่งคือเรื่องศาสนานี่เขาเป็นเรื่องรุนแรง แล้วก็แต่มันก็มีผลดีมองในแง่ดีที่ทำให้เขานี่กระตือรือร้นขวนขวายนิ่งเฉยไม่ได้ประมาทไม่ได้เป็นคนตื่นตัวตลอดเวลาต้องดิ้นรนต่อสู้ก็ฝรั่งอเมริกามันถือ Freedom เสรีภาพเป็นอุดมคติสำคัญเพราะอะไรก็เพราะมันถูกบีบคั้นมาในยุโรปใช่ไหม นี่บังคับเรื่องศาสนากัน ฆ่ากันตายมันถึงหนีมาอเมริกา มันก็ใฝ่ฝันว่าไปอยู่ดินแดนนี้จะได้มีเสรีภาพเรื่องมันก็เป็นอย่างนี้ นี้ประวัติศาสตร์ของเขาเราก็ต้องรู้ต้องเข้าใจ อันนี้ก็เรื่อง spiritual มันก็มาแบบนี้ของฝรั่ง ทีนี้ไอ้ความที่มันเป็น spiritual นี่มันอยู่ที่จิตใจ มันหนักในเรื่องศรัทธา ทีนี้ศรัทธามันไปเชื่อแบบดิ่ง แล้วของเขามันก็แล้วแต่ศาสนจักรกำหนดใช่ไหมว่าไบเบิล หรือวาติกันกำหนดอย่างงั้นอย่างงี้ เมื่อเชื่อไปแล้วเชื่อมันทำให้ทนคนอื่นไม่ได้มันต้องเชื่ออย่างข้าเท่านั้นแกไม่ใช่อย่างข้าแกต้องตายใช่ไหมมันก็เลยฆ่ากันขนาดหนัก ไอ้เรื่อง spiritual นี่มันก็เลยเสี่ยง เพราะมันเป็นเรื่องเกี่ยวกับ Faith เพราะนั้นพวกนี้เป็นพวกทางบุคคลทางศาสนาที่ว่าดีแสนดีมีศรัทธาจิตซาบซึ้ง แต่กลายเป็นคนที่ฆ่าสังหารผู้อื่นได้อย่างสบายใจเลยใช่ไหม เพราะมันดีด้วยได้บุญด้วย เพราะฆ่าพวกซาตานนี่มันก็ได้บุญสิใช่ไหม นั้นของเขา Spiritual นี่มันเป็นเรื่องที่อิงมากับเรื่องของ Faith ความเชื่อแล้วอิงมากับเรื่องของการฆ่าฟันเบียดเบียนด้วย เขาแปลกว่าทำไมเราไม่ศึกษากันให้รู้ให้เข้าใจ ก็ spiritual มันเรื่อง Faith มันเรื่องดื่มด่ำ โอ้โหเข้าถึงพระเจ้าจิตมันดื่มด่ำซาบซึ้งใช่ไหม มันก็ไปทางเรื่องของดิ่ง ดิ่งไปมันก็ไม่เอารับฟังคนอื่นแล้วนะต้องอย่างข้านี่อย่างเดียวเท่านั้น
นี้ไอ้ Spiritual นี่ก็อย่างที่บอกแล้วในอินเดียนี่มันมีมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว มันเป็นแหล่งอารยธรรมก่อนยุโรปมาแต่ไหนแต่ไร สมัยที่อินเดียมีอารยธรรมเจริญนั้นฝรั่งยังเที่ยวเข้าป่าล่าสัตว์อะไรไปวิ่งหย่อง ๆ เหย่ง ทีนี้อินเดียเจริญขึ้นมาก็มีศาสนามาตั้งแต่ยุคโมเฮนโจดาโร อารยธรรมโบราณ อารยันเข้ามา อารยันเข้ามาก็นำศาสนาพราหมณ์เข้ามา ศาสนาพราหมณ์ก็เรื่อง Spiritual ทั้งนั้น ทีนี้ Spiritual ก็มีแบบเก่าแบบโมเฮนโจดาโรเป็นสายสมณะ เป็นนักบวชแบบปลีกตัวไปจากสังคม แล้วมาสายอารยันแบบศาสนาพราหมณ์ก็เป็นนักบวชแบบพราหมณ์ที่อยู่บ้านมีลูกมีเมีย นี้ 2 สายก็มาบรรจบกันก็มีในอินเดีย อินเดียมาก็มีนักบวชแบบที่เรียกว่าสมณะและพราหมณ์ เรียกรวมกันว่าสมณะพราหมณ์ พวกสมณะนี้ก็ปลีกตัวจากบ้านเรือนออกไปออกบวช พระพุทธเจ้าก็ก่อนที่ะได้เสด็จผนวชก็ได้เห็นสมณะนี่ คือว่าพระองค์อยู่ในสังคมอินเดียอารยันมันมีวรรณ 4 กษัตริพรามหณ์ แพศย์ ศูทร พราหมณ์นี้เป็นพวกเจ้าพิธีเป็นนักบวช ถ้าเทียบสมัยนี้ที่เขาถือว่าในทางศาสนาถือว่าเป็นนักบวช แต่ที่จริงแกอยู่บ้านแกมีลูกมีเมียแล้วก็มีเงินมีทองมาก บางทีแกก็ปกครองเมืองเลยพราหมณ์เนี่ย ทีนี้สมณะนี่เป็นนักบวชที่ไม่อยู่ไม่อยู่ในระบบวรรณะ 4 เขาก็เลยสันนิษฐานว่าเป็นนักบวชที่มีมาจากศาสนาโบราณในอินเดียเอง ซึ่งอาจจะสืบมาจากพวกวัฒนธรรมอารยธรรมโมเฮนโจดาโร ซึ่งเก่าแก่เหลือเกินตั้งแต่สมัยเมโสโปเตเมียอะไรนู่น ทีนี้พอมีสมณะและพราหมณ์ สมณะก็เป็นนักบวชประเภทที่ปลีกตัวออกจากสังคมไปหาความสงบไปบำเพ็ญธรรมในป่าบ้าง หรือไปจาริกไปทั่วไปอะไรอย่างเนี้ยะ พระพุทธเจ้าก็ทรงเห็นว่าสมณะนี่มีแง่ดีที่อาจจะเป็นประโยชน์โดยการไปดำรงชีวิตแบบนี้อาจจะให้พระองค์ได้เห็นวิถีทางเพราะถ้ามาอยู่ในสังคมที่วุ่นวายอย่างนี้พระองค์ก็ไม่มีโอกาสที่จะศึกษา ถ้าไปเป็นสมณะนั้นก็มีโอกาสที่จะปลีกตัวไปจาริกไปศึกษาที่โน่นที่นี่แต่ไปเจอประสบการณ์แล้วไปฝึกตนในแบบของการหาอิสรภาพ พระพุทธเจ้าก็เลยออกบวชเป็นสมณะใช่ไหมครับ นี่แล้วก็เป็นภิกขุ ภิกขุก็เป็นสมณะประเภท 1 ก็ที่นี้เรื่องของศาสนาพราหมณ์ เรื่องของอินเดียอะไรต่าง ๆ ทั้งสมณะและพราหมณ์ก็เป็นเรื่อง Spiritual ทั้งนั้น พวกที่เป็นพราหมณ์แกก็ Spiritual แบบพราหมณ์ใช่ไหม แกก็เชื่อพระเจ้า แกก็เชื่อพระพรหม แล้วแกก็ให้คนนี่บูชายัญใช่ไหม การที่จะไปเรื่อง Spiritual แบบของศาสนาพราหมณ์ก็ต้องไปเรื่องเข้าถึงพระเจ้าติดต่อการสื่อสารด้วยบูชายัญ การบูชายัญก็บอกแล้ว มีบูชายัญทุกระดับตั้งแต่บูชายัญประจำวันเลย เขามีบูชาวันประจำวันนะ อย่างพราหมณ์นี่เขามีไฟที่ต้องจุดไว้ไม่ให้ดับตลอดเลยนะส่งมาตั้งแต่พ่อตั้งแต่ปู่ย่าตายายมาจนพ่อจนลูกต้องเลี้ยงไฟนี้ไว้แล้วก็บำเรอไฟแล้วก็มีพวกลัทธิบูชาไฟไปบูชาในป่าต้องเอาอะไรต่ออะไรมาหล่อเลี้ยงไฟไว้ไม่ให้ดับแล้วก็ให้บูชาไฟ การบูชาไฟ ๆ เรื่องสำคัญ การบูชายัญก็ต้องเอาไอ้พวกอาหารอะไรต่ออะไรสังเวยถวายเทพเจ้าด้วยผ่านไฟใช่ไหม ก็โดยที่ว่า เอ้อเอาวัวมาแล้วสังเวยบูชายัญถวายก็เข้าไฟนี่แหละ แล้วควันขึ้นไปก็นึกว่าไปถึงพระผู้ถึงเจ้าเทพดาได้รับแล้วใช่ไหมเนี่ย ก็เป็นเรื่อง Spiritual ทั้งนั้น นี่เรื่อง Spiritual มันก็มีความหมายกว้าง ก็เป็นอันว่าพราหมณ์แกก็มี Spiritual แกก็ติดต่อกับพระผู้เป็นเจ้า พวกนี้ก็ได้บูชายัญก็ดื่มด่ำนี่พวกชาวบ้านใช่ไหม โอ้จิตใจเราซาบซึ้งมีปิติว่าตอนนี้เราได้มาถวายของเซ่นสรวงบูชายัญแก่พระผู้เป็นเจ้า แก่พระพรหม แก่เทพประชาบดี พระอินทร์ พระอัคนี ด้วยสัตว์ตัวใหญ่ ๆ มีวัว มีแพะ มีแกะ อะไรใช่ไหมแกก็ดีใจแกก็ปราบปลื้มซิทำไม ทำไมจะไม่ปลาบปลื้มใช่ไหม แกก็นึกว่าพระพุทธเจ้าโปรดแก่นี่ Spiritual Spiritual ที่แกปลื้มปิติใจในใจแกนึกว่าถึงพระผู้เป็นเจ้าเอาแล้ว อันนี้อีกพวกหนึ่ง ก็เป็นพวกสมณะ แล้วก็มีพวกที่ลึกกว่านั้นอีกคือเป็นพวกอยู่ป่าเลยตัดขาดจากสังคมนี่คือฤษีชีไพร พวกฤษีชีไพรนี่บอกแล้วไม่ใช่เหมือนไม่เหมือนพระนะ พวกฝรั่งนี่ไม่รู้จักแต่ก่อนนี้มาศึกษาพุทธศาสนาในพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาแบบฤษีชีไพร วันนั้นผมอธิบายแล้วใช่ไหมต่างกันอย่าเอาพุทธศาสนาเป็นศาสนาฤษีชีไพรเป็นอันขาด พระพุทธเจ้าไปเจอมาแล้วพระองค์ไม่เอาด้วย พวกนี้ตัดขาดจากสังคมไม่เกี่ยวข้องกับใคร แล้วก็ไปบำเพ็ญฌาน แล้วก็กินไอ้พวกอะไรนะ กินเผือกกินมัน หรือกินผลไม่หล่นเองอะไรพวกนี้ แล้วแกก็ไปบำเพ็ญฌานสมาธิ ก็ Spiritual อีกแหละใช่ไหม Spiritual ชัด ๆ แล้วแกก็ดื่มด่ำว่าแกเข้าถึงเทพเจ้า เข้าถึงพระผู้เป็นเจ้า เข้าถึงอาตมัน ปรมาตมัน มีโยคะมีอะไรต่ออะไรเนี่ย พัฒนากันใหญ่เลย พวกเข้าถึงโยคะพวกปรมาตมันก็ Spiritual เต็มที่ ก็พวกฌานพวกอะไรพวกนี้ก็บำเพ็ญฌานในป่าแกก็เพลินมีความสุขจากฌาน พระพุทธเจ้าก็ไปเจอพวก Spiritual เหล่านี้มานักต่อนักแล้ว พวกนี้ไม่ไหว Spiritual ชั้นสูง ชั้นต่ำพวกนี้มันดื่มด่ำ มันดิ่ง มันซาบซ่าน มันเข้าไปกลืนเกลินกับอะไรต่ออะไรมันไม่อยู่กับชีวิตที่เป็นจริง
อันนั้นพระองค์ก็จึงได้ไปเรียนสำเร็จมา พระองค์รู้หมดแล้วจะไปนึกว่า Spiritual พระพุทธเจ้าไม่รู้จักเจนจบมาแล้วนะ 6 ปี ดูมาทั่วแล้ว ไปเรียน ไปศึกษาไปทดลองมา Spiritual ทุกรูปแบบ ทั้งชั้นต่ำชั้นสูงรู้หมด แล้วจึงได้มาแสวงวิธีของพระองค์เองขึ้นมา ที่เรียกว่ามัชฌิมาปฏิปทาใช่ไหม ก็เลยไม่เอา Spiritual ที่มันก้ำ ๆ กึ่ง ๆ พล่า ๆ มัว ๆ มีชั้นสูงชั้นต่ำอะไรต่ออะไรก็มาหมายความว่า พุทธศาสนามีเรื่อง Spiritual ก็มีแต่เราแยกออกมาแล้วเอาแต่ส่วนที่ดีด้านจิตใจก็เอาส่วนที่เป็นกุศล ไอ้ด้านที่เป็นอกุศลก็ตัดออกไปเพราะฉะนั้นเราก็ไม่ใช้ศัพท์เดิม ทีนี้ก็มีศีลที่นักบวชต่าง ๆ ก็ต้องถือทั้งนั้นใช่ไหม เรื่องศีล เขามักจะมีทั้งศีลทั้งวัตร หรือศีลพรต เขาจะเรียกรวมกัน ศีลพรต เคยได้ยินไหม ศีลวัตรเคยได้ยินไหม วัตร วัดตะ วัตร นั่นแหละมาจากศัพท์โบราณของพวกนี้ทั้งนั้นแหละ พระพุทธเจ้าก็มาวางของพระองค์เองขึ้นใหม่ คือทั้งศีลและพรตนี่ หรือวัตรนี่เป็นคำของศาสนาเก่า พระพุทธเจ้าก็มาขัดเกลาเอาเฉพาะส่วนที่ดีตั้งระบบของพระองค์เองขึ้น ทีนี้พวกศีลวัตรนี่ของศาสนาโบราณในอินเดีย เรื่อง Spiritual นี่ก็มีต่าง ๆ เช่นพวกถือวัตรอย่างโค อินเดียนี่มันสารพัดถือวัดอย่างโคทำยังไง ก็ต้องเดิน 4 เท้าอย่างโค แล้วก็กินอย่างโคอะไรต่ออะไร ถือกุลวัตร ถือวัตรอย่างสุนัขก็ต้องหอนต้องเห่าเหมือนสุนัขไป แล้วก็วัตรอะไรต่ออะไรเยอะแยะไปหมดไปอ่านเอาเองก็แล้วกัน พวกนี้ Spiritual ทั้งนั้น แต่ว่าฝรั่งถือเป็น Spiritual ชั้นต่ำ เป็น Lower Religion อันนี้ก็พระพุทธเจ้าไปเจอแล้วอย่างนี้ไม่ไหว แม้แต่กินข้าวก็มีบัญญัติวัตรต่าง ๆ ในการกินข้าว เช่นบางลัทธินี่นะจะต้องกินอาหารที่มีแมลงไปตอมเต็มแล้วจึงจะกินอะไรอย่างนี้ หรือกินเฉพาะอาหารที่เน่าบูดอะไรอย่างนี้ พระพุทธเจ้าทรงเห็นว่าเป็นเรื่องเหลวไหลทั้งนั้นพวกนี้ แล้วพวกนี้ก็ถือกันไปอย่างนี้นะก็เต็มไปหมดแหละ Spiritual ในอินเดียนี่บางพวกก็ทรมานตัวเองไปนอนบนหนามใช่ไหม นี่ยิ่ง Spiritual เต็มที่เลยพวกนี้ แกไม่เอากายเนี่ย แกถือว่าไอ้เรื่องร่างกายเนี่ย เรื่อง Physical นี่มันทำให้จิตนี่หมกมุ่นอยู่ในกิเลส มันเป็นตัวยั่วยวนทำให้เรานี่ติดอยู่ในชั้นกามใช่ไหม เพราะฉะนั้นแกถือว่าแกจะเข้าถึงทางจิต หรือ Spiritual นี่แกจะต้องทรมานร่างกาย เพื่อจะได้ไปอยู่ทาง Spiritual ทางจิตใจอย่างเดียวนี่ แกก็เลยทรมารร่างกาย ก็เกิดลัทธิอย่างพวกนิครนถ์ นิครนถ์นี้แกก็มุ่งแต่ด้านจิตอย่างเดียวแกก็ทรมานร่างกาย บำเพ็ญตะบะ การบำเพ็ญตะบะก็ไปถือ เช่น ฤดูหนาวก็ต้องไปอาบน้ำ ฤดูร้อนก็ต้องมายืนกลางแดด แล้วก็นอนก็ต้องไม่ให้สบายต้องนอนบนหนาม แล้วก็เวลาจะโกนผมก็ต้องเอาใช้วิธีถอนทีละเส้นจนหมดหัว ไหวไหมครับ นี่แหละ นี่แหละเขาทรมานร่างกาย เขาเรียกว่าบำเพ็ญตะบะ บำเพ็ญตะบะพวกหนึ่ง ก็เชื่อว่าบำเพ็ญตะบะนี่ มันก็จะเกิดอำนาจความเข้มแข็งทางจิตใจจนกระทั่งเทวดาหวั่นเกรงเลย เพราะฉะนั้นในเรื่องรามเกียรติ์ก็มีพวกไปบำเพ็ญตะบะใช่ไหมเพื่อจะให้พวกเทวดามันกลัว เทวดาก็ทำไงละไอ้พวกฤษี พวกมนุษย์พวกนี้มันจะมีฤทธิ์ขึ้นมาแข่งเรา ก็ต้องหาทางทำลายตะบะมันใช่ไหม เคยได้ยินไหม เออต้องทำลายตะบะเรื่องหนึ่ง ก็อย่างรามเกียรต์ก็ต้องแปลงเป็นอะไร แปลงเป็นหมาเน่าลอยมาอะไรก็อย่างในชาดกก็จะมีพวกที่เทวดาพระอินทร์นี่กลัวฤษี ฤษีกำลังจะมีฤทธิ์มากบำเพ็ญตะบะใช่ไหม ก็ต่อไปจะมีอำนาจ มีฤทธานุภาพเก่งกว่าพระอินทร์ พระอินทร์ก็เลยต้องส่งเทพธิดาคนหนึ่ง มอบหมายมาบอกว่า นี่เธอต้องไปทำลายไอ้ตะบะฤษีองค์นี้ให้ได้ใช่ไหม เทวดาเทพธิดาก็ต้องแปลงร่างมาเป็นผู้หญิงสาวสวยแล้วก็มายั่วยวนฤาษี จนกระทั่งฤษีก็ตะบะแตก ก็เลยมายุ่งกับเรื่องกาม Spiritual ทั้งนั้นเลยอินเดียนี่ นั้นมันเป็นคำที่พล่าไม่รู้ไปเอามาทำไม แล้วก็เลยเข้ากันดีกับคนไทยชาวบ้านเลย Spiritual นี้จิตวิญญานเลยได้ผีเข้าเลยนี้โรคจิตวิญญาน นี่ควรจะศึกษากันให้ชัดก่อนว่ามันมายังไงไปยังไง ก็เป็นอันว่า Spiritual นี่มันมีนักหนาแล้วในอินเดียนะ
พระพุทธเจ้าทรงแยกแยะหมดแล้ว Spiritual อะไรมันดี มันไม่ดี เราก็เอาเฉพาะส่วนที่ดี ศีลพระพุทธเจ้า ศีลวัตรพระองค์ก็มาจัดระบบของพระองค์เอง ไม่ให้เอาอย่างนั้นมันมีความหมายมีเหตุมีผล แล้วก็เรื่องจิตใจเรื่องสมาธิคือ Spiritual นี่แหละ Spiritual นี่ก็อยู่ในเรื่องระดับสมาธิแต่ว่าคัดเอาส่วนที่ดี อกุศลไม่เอา แล้วก็มีอีกอันปัญญา ปัญญาก็เป็นเรื่องที่มีหลายระดับใช่ไหม อันนี้ได้ข่าวว่าอะไร ว่าเขามีคำว่าพุทธิปัญญาอะไรขึ้นมาใช่ไหม คือได้เห็นเหมือนกันของสปรส พุทธิปัญญาคล้าย ๆ จะพูดทำนองว่าพุทธิปัญญามันไม่พอใช่ไหม ก็มันจะไปพออะไรพุทธิปัญญามันเป็นศัพท์บัญญัติ สำหรับศัพท์ฝรั่ง Intellect คือไอ้คำว่าพุทธิปัญญาเดิมเราไม่มีอย่าลืมว่ามันไม่มีในภาษาไทยมันไม่ใช่คำของพระเดิม ท่านมีพุทธิตัวหนึ่ง ปัญญาตัวหนึ่งแล้วก็คนไทยเรานี่สมัยที่เราจะบัญญัติศัพท์เพื่อจะให้ตรงกับของฝรั่งนี่เราก็หาทางตั้งศัพท์ใหม่ขึ้นมา เหมือนกับเดี๋ยวนี้ตั้งบัญญัติศัพท์ว่าจิตวิญญานนี่แหละก็เป็นจิตชนิดหนึ่ง จิตระดับหนึ่ง ก็เหมือนกับพุทธิปัญญาก็เป็นปัญญาระดับหนึ่ง ก็เป็นเรื่องของนักการศึกษา เมื่อตีสะว่า 30-40 ปีมาแล้ว ตอนนั้นจะมีการบัญญัติศัพท์ทางการศึกษาขึ้นมา เช่น คำว่า Emotion นักการศึกษาสมัยนั้นก็พอจะรู้ว่าที่เราใช้ว่าอารมณ์นี่มันไม่ถูกเพราะคำว่าอารมณ์เนี่ย มันเป็นศัพท์พระที่ชายไทยเราใช้เพี้ยนไป อารมณ์นั้นมัน Sense Object เป็นสิ่งที่รับรู้เช่นว่า รูปเสียงกลิ่นรสนี่เป็นอารมณ์ทั้งนั้นใช่ไหม นี้ภาษาไทยเรามาใช้อารมณ์เนี่ยมันเท่ากับ Emotion มันก็สับสน นักการศึกษาเขาก็อยากใช้ศัพท์ที่มันจะไม่ผิดไม่เพี้ยน ก็เลยได้ตกลงกันบัญญัติขึ้นมาศัพท์หนี่งว่า Hue เคยได้ยินบ้างไหม ไม่ได้ยินแล้วยุคนี้ ก็บัญญัติว่า Hue มันไม่ติด เดี๋ยวนี้ก็แทบไม่ได้ยินแล้ว Hue นี่มันเป็นศัพท์ที่ต้องการมาใช้แทนคำว่า Emotion ตกลงคนไทยก็หันกลับไปใช้อารมณ์ตามเดิม ทีนี้ไอ้พุทธิปัญญาแกเกิดขึ้นในยุคนั้นละแต่ผมจำไม่แม่นแล้วเรื่องมันนานเน เขาก็บัญญัติขึ้นมาเข้าใจว่าสำหรับคำว่า Intellect มันก็ต้องแปลความหมายตามภาษาอังกฤษ ไม่ใช่แปลตามความหมายของเรานะครับ ทีนี้ Intellect มันคือปัญญาระดับเหตุผล พวก Resoning การคิดหาเหตุผลต่าง ๆ ไอ้ปัญญาแบบนี้ก็คือปัญญาของวิทยาศาสตร์ คือยุคก่อนนี่ไอ้ที่ฝรั่งมันตกอยู่ใต้คริสตจักร ตกอยู่ใต้อำนาจศาสนาจักรคาทอลิกเป็นต้นนี่ มันก็เป็นเรื่อง Spiritual แล้วมันก็ไปเรื่องของสิ่งที่พวกฝรั่งสมัยวิทยาศาสตร์เขาหาว่างมงายใช่ไหม แล้วพวกนี้ก็หาว่าพวกคริสต์นี่มาครอบงำเขาจนกระทั่งเขาก็ไปรู้จักเขาไปตื่นเต้น ไปตื่นตัว ไปพอใจไอ้ศิลปวิทยากรีกและโรมันโบราณใช่ไหมที่เรียกว่า Classic เขาก็ไปชื่นชม พวก โสกราติส เพลโต แอริสตอเติล เคยได้ยินชื่อใช่ไหม อันนี้เรียกว่าเป็น Classic ของกรีก ทีนี้ก็ไปตื่นศิลปวิทยาของกรีกโรมันโบราณก็เลยไม่ชอบศาสนาคริสต์ก็เลยตื่นตัวกันขึ้นมารื้อฟื้นศิลปวิทยากรีกโรมันโบราณขึ้นมา โสกราติส เพลโต แอริสตอเติลก็ยิ่งใหญ่ขึ้นมา พวกฝรั่งก็ไปเชื่อพวกนักปราชญ์เหล่านี้ก็ละทิ้งศาสนาคริสต์ แล้วบอกว่านี่ฉันตื่นคืนชีพขึ้นได้ คืนชีพเลยนะ เรียกคืนชีพยิ่งกว่าตื่นอีก มันหมายความมันตายไปนานแล้ว โอ้ฝรั่งมันมองศาสนาคริสต์ตอนนั้นมันมองแย่เลย คือเขาบอกว่าเขาตกอยู่ใต้อำนาจศาสนาคริสต์ตั้งพันปีมันแย่ มันเป็นยุคมืดฝรั่งเรียก Dark Ages เคยได้ยินไหม นี้ฝรั่งยุคหลังมันได้อารมณ์มันเบาลงหน่อย มันก็เลยเริ่มเห็นคุณค่าศาสนาคริสต์มันก็มีดีเหมือนกัน อย่าไปเอาเรียกอย่างนั้นเลย ก็เลยไม่นิยมใช้ว่า Dark Ages แล้ว ไม่นิยมใช้ว่ายุคมืดก็ใช้ว่า Middle Ages ใช้ว่าสมัยกลาง ทีนี้ก็ยังใช้ว่า Dark Ages อยู่ ก็บอกว่า Dark Ages นี่เป็นส่วนแรก ช่วงแรกของสมัยกลางในยุโรป แล้วตอนปลาย ๆ นี่ศาสนาคริสต์ก็มีการเล่าเรียนศึกษา แม้แต่ไอ้พวกความรู้ของกรีกโรมันโบราณอะไรเนี่ยที่มันตื่นขึ้นมาที่ฝรั่งพวกที่มาผละจากคริสต์มารู้ก็เพราะ ศาสนาคริสต์นี่ไปเอาขึ้นมาคือพวกคริสต์นี่ก็อยากจะเอามาใช้ประโยชน์นั่นแหละ ก็ทำให้พวกฝรั่งนี่ได้มารู้จักกับพวกความรู้ของกรีกปรัชญากรีก
แล้วก็เลยฟื้นขึ้นมาเรียกว่ายุค Renaissance ก็เป็นยุคคืนชีพสมัยหนึ่งเคยพยายามบัญญัติศัพท์ก็บัญญัติไม่ลงตัวสักทีเคยบัญญัติว่า ยุคปุนนารุชีพ เคยได้ยินไหม ปุนนารุชีพ ก็มาจากปูนะ อุชีพ ชีพก็แปลว่าชีวิต อุก็ขึ้นมา ปูนะอีกครั้งหนึ่ง ปูนะรุชีพก็แปลว่าคืนชีพอีกครั้งหนึ่ง พยายามบัญญัติขึ้นมา เรียกว่า Renaissance เดี๋ยวนี้ก็ไม่บัญญัติแล้ว เขาว่าเดี๋ยวนี้ก็มาตื่นไอ้คำอื่น ๆ ไปหมดแล้ว สมัยนี้มีคำใหม่ ๆ เยอะ โลกาภิวัตน์ อะไรต่อะไรก็เข้ามา ทีนี้ก็เป็นอันว่าฝรั่งนี่ก็ผละจากศาสนาคริสต์ตอนนั้นก็มีปฏิกิริยาแรงมาก เรียกว่าเกียจศาสนาคริสต์ครอบงำเขาทำให้เขาจมอยู่ในความมืดของความไม่รู้มาพันปี พันปีไม่ใช่น้อย ๆ นะ แล้วก็ตื่นขึ้นมาก็ตอนนี้ก็เริ่มเข้ายุควิทยาศาสตร์ ฝรั่งก็แหมมีความสดชื่นเหลือเกินต่อไปนี้เรามีความหวังว่าเจริญงอกงามได้รู้เข้าใจความจริงของสิ่งทั้งหลาย แล้วจะสามารถก้าวไปเอาชนะธรรมชาติได้แล้วตอนนี้ แต่ก่อนนี้ต้องอยู่ใต้อำนาจเรื่องเชื่อศาสนาจะกำหนดยังไงก็ต้องเชื่ออย่างนั้น
ที่นี้ก็ตื่นขึ้นมาก็เลยเอาแล้วก็เข้าสู่ยุค พอปุนะรุชชีพหรือว่าเรเนซองคืนชีพขึ้นมาได้ก็ศึกษาวิทยาการโบราณใช่ไหม วิทยาศาสตร์ก็เจริญขึ้นมา เจริญขึ้นมาก็เข้าสู่ยุควิทยาศาสตร์ ก็เกิดยุคเขาเรียกว่ายุค Enlightenment นี่แหละ ยุค Enlightenment ก็ตื่นตัว เกิดปัญญาโพรงสว่าง Enlightenment นี่เรามาใช้ในทางพุทธศาสนาใช้กับคำว่าตรัสรู้เลยด้วยซ้ำ ฝรั่งอะ ฝรั่งมันไปแปลการตรัสรู้เป็น Enlightenment แต่ว่าของเขาแล้วเขาใช้มาแล้วเป็นยุคของความเจริญในยุโรปที่เกิดปัญญาขึ้นมาวิทยาศาสตร์เจริญขึ้นมา ก็เกิดการปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งก็อยู่ในช่วงของพวกนี้ พวก Renaissance อะไรพวกนี้นะ แล้วก็มาสู่ยุค Enlightenment หลังจากปฏิวัติวิทยาศาสตร์แล้วที่มีความรู้เข้าใจว่า โอ้ไม่ใช่ว่าดวงอาทิตย์หมุนรอบโลก ไม่ใช่โลกเป็นศูนย์กลางและก็มีดาวทั้งหลายรวมทั้งอาทิตย์หมุนรอบ แต่ว่ากลายเป็นว่าพระอาทิตย์นี่เป็นศูนย์กลางโลก โลกหมุนรอบดวงอาทิตย์นี้ใช่ไหม แล้วก็โลกนี้ไม่ได้แบน แต่กลม นี้พวกนี้พอประกาศขึ้นมาอย่างนี้ ไอ้พวกนี้ศาสนาคริสต์เขายังไม่หมดอำนาจนะก็จับไอ้พวกนี้ไปเผา เช่นกาลิเลโอนี่ ก็ไปสอนว่าโลกไม่ได้เป็นศูนย์กลางจักรวาล แต่เป็น พระอาทิตย์เป็นศูนย์กลางจักรวาล ไอ้นี่เป็นลัทธิของโคเปอร์นิคัสใช่ไหม โคเปอร์นิคัสแกเขียนหนังสือขึ้นมา ตำราแกนี่ออกมาเขาเรียกว่าเป็นปฏิวัติวิทยาศาสตร์ ก็ทำให้คนยุโรปตื่นตัว ทีนี้ไอ้คำสอนอย่างนี้มันขัดกับศาสนาคริสต์โลกแบน แล้วก็โลกเป็นศูนย์กลางจักรวาล อันนั้นพวกสอนอย่างนี้ก็ต้องถูกจับขึ้นศาลใช่ไหม กาลิเลโอก็เลยถูกจับขึ้นศาล Imprecision แต่กาลิเลโอเป็นคนที่ไม่เข้มแข็งจริงก็ไปสารภาพผิด สารภาพผิดยอมสละคำสอน ยอมสละก็เลย เขาก็ลดโทษให้เป็นคา House Arrest ขังอยู่ในบ้านจนตาย 8 ปี 8 ปีจึงตายอยู่ในบ้าน แล้วก็ไอ้คนอื่นอีกสอนอะไรที่ทางคริสต์เขาว่ามันไม่ถูกต้องตามคัมภีร์เขาตามหลักความเชื่อเขา เขาก็จับไปแล้วก็ขึ้นศาลถ้าไม่ยอมละความเห็นก็เผาทั้งเป็น ฉะนั้นนายบรูโนก็ถูกเผาทั้นเป็นก็เป็นปราชญ์คนหนึ่งไปค้นดูได้ โซวิตัสก็คนหนึ่งถูกเผาทั้งเป็น นอกจากพวกแม่มด พวกอะไร และพวกยิว พวกอะไรพวกนี้โดนกันหนักเลย ที่สเปญนี่ตอนหนึ่งนี่ยิวถูกขับไล่ออกไปแสนเจ็ดหมื่นคน คือประวัติฝรั่งมันเป็นเรื่องของการกำจัดกัน การฆ่า การฟันกัน การทำสงครามเรื่องศาสนานี่ พวกเรานี่ไม่รู้เรื่องนะ เพราะฉะนั้นมันควรจะตื่นด้วยคนไทยรู้เรื่องฝรั่งเสียบ้าง ให้รู้ว่าอะไรเป็นอะไร ไม่ใช่มามะงมมะงาหล่าอยู่นะ ไม่รู้ต้นเหตุ เหตุผลต้นปลายเขาเจริญมาได้ยังไง ไอ้การดิ้นรนของเขาจากการบีบคั้นนี่ทำให้เขาเจริญใช่ไหม ฝรั่งมันเจอภัยอันตราย มันต้องตื่นตัวมันต้องดิ้นรนขวนขวาย มันอยู่นิ่งไม่ได้มันเลยเข้มแข็ง
นี้พอเข้ายุควิทยาศาสตร์เจริญที่นี้ฝรั่งก็เกิดความดีใจว่าพ้นออกมาได้จากยุคมืดแล้วตอนนี้จะเจริญกันใหญ่ ก็เลยเกิดคติ Idea of progres ขึ้นมา Idea of progress นี่สำคัญมากนะในคติของฝรั่ง ก่อนที่จะไป Frontier ในยุโรปนนี่ มันมียุคที่มี Idea of progress ก่อน เรียก Idea ก็ได้ ไอดีลก็ได้ Idea ก็คืออุดมคติแห่งความก้าวหน้า เรียกเต็มเขาเรียกว่า The edea of investable progress แปลว่าอุดมคติแห่งความเจริญก้าวหน้าที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ แหมเป็นอย่างงี้เลยนะ เอ้ทำไมเจริญก้าวหน้าอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะว่าวิทยาศาสตร์เจริญมนุษย์ได้รู้ความจริงของธรรมชาติ เมื่อรู้แล้วมันก็ไม่มีทางที่จะขัดขวางแล้วความเจริญนี้ มนุษย์จะเป็นเจ้าใหญ่รู้ความรับของธรรมชาติ จัดการกับธรรมชาติได้เอาชนะ โอ้จะมีความสุขสมบูรณ์มีแต่เจริญก้าวหน้าอย่างเดียวตอนนั้น ฝรั่งบอกกำลังดีใจได้เต็มที่เลย แล้วก็เกิดปฏิวัติอุตสาหกรรมที่อังกฤษใกล้ ๆ นี้อีกใช่ไหม ตอนนี้ก็เกิดไอ้เทคโนโลยีขึ้นมา เกิดอุตสาหกรรมขึ้นมาก็เจริญกันใหญ่พลังงานไอน้ำเกิดขึ้นใช่ไหม มีโรงงานทอผ้าเกิดขึ้น มีรถไฟ มีเรือไฟ เรือเดินทะเล โอ้ยเจริญกันใหญ่เลยตอนนี้ฝรั่งแหมเป็นยุคนี่คนร่าเริงสดใสเต็มที่เลยนะในยุโรปนี่ ตอนนี้ไม่เอาแล้วศาสนาคริสต์ไม่มองเลยนะก็ตื่นเต้นวิทยาศาสตร์กันใหญ่ นี่แหละยุค Intellect คือ ปัญญาแบบวิทยาศาสนค์เป็นปัญญาแบบ Intellect แล้วเป็นตัวเชื่อมกับการปรัชญา ทีนี้ก็ฝรั่งก็ยุคนี้เขาเรียก Reasoning ด้วย ยุค Enlightainment คือนิยมเหตุลก็เป็นยูค Intellect โดยแท้ นั้นฝรั่งในยุควิทยาศาสตร์ก็สรรเสริญปัญญาที่เรียกว่า Intellect พวกเราก็เลยมาบัญญัติพุทธิปัญญา ก็แน่ละพุทธิปัญญามันเป็น Intellect มันเป็นปัญญาแบบวิทยาศาสตร์เหตุผลมันก็ไม่สามารถทำให้พ้นทุกข์ได้ใช่ไหม มันสำหรับไปคิดที่จะเอาชนะธรรมชาติบ้างจะสร้างสรรค์สิ่งโน้นสิ่งนี้ สร้างคอมพิวเตอร์บอกอะไรบ้างเอามาหาผลประโยชน์กันบ้างเอามาใช้งานอะไรต่าง ๆ เหล่านี้ แต่ว่ามีอันหนึ่งก็คือไม่งมงาย แต่ว่าก็อย่างที่เขาว่า ถูกนะสิมันจะไปพออะไรที่จะทำให้พ้นทุกข์ ทีนี้ปัญญาไม่อยู่แค่นั้น จิตใจมันกว้างออกไอ้จิตวิญญานเป็นส่วนหนึ่งของจิตใจ จิตศัพท์ใหญ่ จะไปจิตวิญญาน จิตอะไร จิตสามัญ จิตอะไรก็ว่าไปใช่ไหม จิตมันเป็นตัวกลางใหญ่ก็เป็นจิตย่อย จิตวิญญานก็เป็นจิตย่อยในจิต ปัญญาก็เป็นตัวใหญ่ ไอ้พุทธิปัญญาก็เป็นปัญญาหนึ่งในบรรดาปัญญาทั้งหลายใช่ไหม ก็เลยจึงมีคำว่าพุทธิเติมข้างหน้าก็เป็นพุทธิปัญญา ทีนี้ถ้าจะเป็นปัญญาที่พ้นทุกข์มันก็เป็นโพธิปัญญาสิ จะไปอยู่ที่พุทธิปัญญาไงใช่ไหม ในภาษาบาลีท่านมีพุทธิเหมือนกัน พุทธิก็เป็นปัญญาชนิดหนึ่งในระดับของคนที่จะรู้เหตุผลเข้าใจจัดการกับสิ่งต่าง ๆ ได้เช่นในคาถาว่า โนเจอะสะสากาพุทธิ บอกว่าถ้ามนุษย์เรานี่ไม่มีพุทธินี่แหล่ะ พุทธิปัญญานี่ก็จะเหมือนควายบอด จะเหมือนควายตาบอดเที่ยวไปในป่า ว่าอย่างงั้น พระพุทธเจ้าตรัสเลยนะ นี่แหละ โนเจอะสะสากาพุทธิที่พุทธิปัญญา ก็จำเป็นเหมือนกันใช่ไหมพุทธิปัญญา ถ้าไม่มีปัญญาในระดับพุทธิก็เหมือนควายตาบอดว่าอย่างงั้นนะเที่ยวไปในป่า ว่าอย่างงั้นก็แย่สิใช่ไหม ควายตาบอดเที่ยวไปในป่าเป็นยังไง เออเดี๋ยวก็ชนต้นไม้บ้าง อะไรบ้างตกหลุมบ้างอะไรต่ออะไรแย่ไปเลยหากินก็ยาก นั้นพระพุทธเจ้าก็บอกต้องให้มีพุทธิก็จะได้อยู่ในโลกได้ใช่ไหม อยู่ได้อย่างดีก็จำเป็น จำเป็นระดับหนึ่งก็ ท่านเรียกพุทธิปัญญา เติมเข้าไปก็ได้ เดิมท่านเรียกพุทธินี่ ก็พุทธิหรือพุทธิปัญญาอะไรก็แล้วแต่นี่ ก็มีความจำเป็นในระดับหนึ่ง แต่ว่าอย่างที่ถูกต้องและที่ว่านั้นก็คือไม่สามารถทำให้หลุดพ้นจากทุกข์ได้ก็จึงต้องพัฒนาไอ้ปัญญานี้ต่อไปให้เป็นโพธิปัญญา ถ้าเป็นโพธิปัญญาก็หลุดพ้นจากทุกข์ได้ นั้นก็เขาเองสปรส แกก็ไม่ได้รู้จักไอ้ปัญญาดี แกไปรู้จักแต่พุทธิปัญญาอย่างเดียวใช่ไหม แกไม่รู้ไอ้ปัญญานี่มันเป็นคำโต้คำใหญ่แล้วก็ไปแยกย่อยเป็นพุทธิปัญญาและจะเป็นญาณทัศนะก็มีนะปัญญาใหญ่เลยใช่ไหม ญาณทัศนะ เป็นวิปัสสนาก็มี เป็นสัมปชัญญะก็มี เป็นปฏิสัมภิทาก็มีใช่ไหม เป็นโกศลก็มี โอ้ย ปัญญามันแยกได้เยอะแยะไปหมด เพราะฉะนั้นปัญญาเป็นคำโตใหญ่ อย่าไปติดแค่พุทธิปัญญาสิ พุทธิปัญญาก็เป็นปัญญาแบบนักวิทยาศาสตร์ เป็นยุคเอ็นไลท์เทนเม้นท์ ที่ฝรั่งเขาเคยดีใจมาแล้วเดี๋ยวนี้เขาก็ยอมรับว่าไม่พอ เพราะไอ้พุทธิปัญญานี่มันนำไปสู่การคิดเก่ง แต่ว่ามันไม่ได้รับลองว่าจะดีใช่ไหม มันอาจจะมีเจตนาไม่ดีมันก็เอาปัญญาความสามารถที่รู้ เช่น รู้ธรรมชาติเนี่ยมาจัดการเอาชนะ มาจัดการด้วยโทสะทำลายก็มีใช่ไหม เหมือนอย่างกับตอนนี้บุชนี่แกก็ใช้พุทธิปัญญาใช่ไหม จริงไหม ใช้พุทธิปัญญานี่แกจะถล่มอิรักนี่ก็ใช้พุทธิปัญญาเต็มที่เลยนะ แล้วแกเจริญด้วยพุทธิปัญญาแกจึงสร้างไอ้พวกอะไร อาวุธ ขีปนาวุธอะไรต่าง ๆ ได้ดีใช่ไหมนี่ด้วยพุทธิปัญญานี่ ถ้ามีเจตนาเป็นโทสะก็จะกลายเป็นห่ำหั่นเบียดเบียนซึ่งกันและกัน นี้อิรักตอนนี้เป็นพุทธิปัญญาแพ้อเมริกันแย่เอานะ เออ แต่ว่าเราก็อย่าไปเพลินอยู่แค่พุทธิปัญญา ก็รู้แล้วเห็นพุทธิปัญญาก็เหมือนอเมริกันตอนนี้เก่งมากก็บอกไม่พอ ก็มองก็ถูกแล้วที่บอกว่าพุทธิปัญญาไม่พอแต่อย่าไปติดแค่นั้นสิปัญญาอื่นมีทำไมไม่พัฒนาขึ้นไปใช่ไหม ไปให้ถึงโพธิปัญญาใช่ไหม ว่าอย่างไรละ
คนฟัง พุทธปัญญานี้เทียบได้กับจินตาและปัญญาไหมครับ
พระตอบ มันเกิดจากจินตาด้วยสุตะจินตะอะไรภาวนาในระดับหนึ่งมันก็ทำให้เกิดพุทธินี่ ไอ้พวกนี้มันเป็นทางมา คือสุตะ จินตะ ภาวนานี่มันเป็นตัววิธีการให้เกิดปัญญามันไม่ใช่ตัวปัญญา เข้าใจนะครับ คนฟังตอบ วิธีการ ครับเป็นวิธีการ เติมคำว่ามะยะ สุตมยปัญญา ไอ้มะยะตัวนี้แปลว่าเกิดจาก หรือทำด้วย ก็เป็นว่าสุตมยปัญญา ปัญญาที่เกิดจากสุตตะการสดับตรับฟัง ครูสอนเราใช่ไหม เราไม่ได้เรียนบทเรียนเรื่องทำคอมพิวเตอร์เราก็ทำไม่เป็นใช่ไหมก็อาศัยครูสอนถ่ายทอดสุตตะให้ จินตาไม่ใช่ปัญญา จินตะไม่ใช่ปัญญา ปัญญาเกิดจากการคิด อ้าวคนนี้มีความคิดดีเป็นคนริเริ่มสร้างสรรค์มีความคิดริเริ่มทำสิ่งใหม่ได้ประดิษฐ์สิ่งใหม่ได้ อันนี้จินตะมานะปัญญาใช่ไหม ก็ต้องเป็นช่องทาง เป็นตัวแหล่งที่มาหรือวิธีการที่จะทำให้เกิดปัญญา
คนฟัง แต่พุทธิปัญญานี่เป็นเรื่องระดับ
พระตอบ ไอ้ตัวปัญญาระดับหนึ่งของปัญญา ปัญญา พุทธิปัญญาก็เกิดจากสุตตะบ้าง เกิดจากจินตะ เกิดจากภาวนาบ้าง
คนฟัง อันนี้คำปัญญาจะไปหาคำให้ตรงกับของฝรั่ง
พระตอบ อ๋อ อ๋อ ก็ใช้พุทธิตัวเดียวก็พอแล้วไม่ต้องไปปัญญาหรอก
คนฟัง แล้วสำหรับคำว่า Wisdom ที่ใช้ครับ
พระตอบ อ๋อ ก็จะใช้เป็นคำใหญ่ เราก็จะใช้ปัญญานี่แหละ คือปัญญานี่ฝรั่งแปลฝรั่งในวงการพุทธจะแปลว่า Wisdom
คนฟัง เรื่องของตะวันตกนี่ครับ พอฟังแล้วนี่ พอหลังจากเรเนซองส์มานี่หมดเหมือนกับว่าเขาก็ทิ้งตัวศาสนาของเขาไปมาก
พระตอบ ก็นั่นแหละมันไปสุดโต่ง
คนฟัง แล้วก็มาเรื่องของเหตุผลและเรื่องของวิทยาศาสตร์ จนถึงปัจจุบันนี้พิจารณาว่าสภาพหรือสภาวะไอ้การนับถือศาสนาของเขาเองตะวันตกเขามี เขาให้ความสำคัญหรือว่าเขาทิ้งมันไปมากแล้วก็อยู่กับเรื่องของวิทยาศาสตร์เป็นเรื่องใหญ่คือสภาวะปัจจุบันนี้ ศาสนาคริสต์กับคนตะวันตกเองเป็นอย่างไร ครับ
พระตอบ มันเป็นยุค ๆ คือฝรั่งตอนแรกเนี่ย แกก็ผละเต็มที่เลยใช่ไหมก็เรียกว่าเกลียดเลยว่าอย่างงั้นเถอะ ตอนแรกนี่ก็อย่างที่บอกแล้วนี่มันไอ้นี่มันครอบงำเรามาทำให้เราอยู่ในยุคมืดว่าอย่างงั้นนะใช่ไหมมันก็เกลียดเต็มเลยตอนนั้นไม่เอาละ ทีนี้ก็ถือว่าวิทยาศาสตร์นี่แหมเหมือนกับเป็นพระเจ้าแล้วนะเพราะว่ามันให้ความหวังก็ฝากความหวังไว้กับวิทยาศาสตร์พร้อมทั้งเทคโนโลยีที่ตามมาแล้วก็อุตสาหกรรม เพราะฉะนั้นยุคต่อจากนั้นมาก็เป็นยุคของวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี อุตสาหกรรมเพื่อเศรษฐกิจใช่ไหม จุดหมายก็คือความพรั่งพร้อมบริบูรณ์ทางวัตถุใช่ไหม แล้วไอ้ความพรั่งพร้อมบริบูรณ์ทางวัตถุก็คือเศรษฐกิจ จะเกิดขึ้นได้อย่างไร เกิดขึ้นได้ด้วยอุตสาหกรรม อุตสาหกรรมนี้จะเจริญได้อย่างไรต้องมีเทคโนโลยี จริงไม่จริง ถ้าไม่มีเทคโนโลยีอุตสาหกรรมไปไม่ได้เลย อย่างเริ่มต้นปฏิวัติอุตสาหกรรมต้องมีพลังงานไอน้ำขึ้นมาเลยใช่ไหม จึงเกิดรถจักร รถจักรไอน้ำ เรืองกลไฟอะไร เป็นต้นนี่ แล้วก็ฐานของเทคโนโลยีคืออะไร คือวิทยาศาสตร์ จะพัฒนาเทคโนโลยีก็ต้องพัฒนาวิทยาศาสตร์ใช่ไหม นี่เพราะฉะนั้นมันมาด้วยกันเลยเป็นกระบวนเลย เพราะฉะนั้นยุคที่ผ่านมานี่มันอยู่ได้ด้วย 4 ตัวนี้ เพื่อจุดหมายทางเศรษฐกิจ พัฒนาการกระบวนการอุตสาหกรรมด้วยเทคโนโลยีบนฐานของวิทยาศาสตร์จบสูตรสำเร็จแค่นี้ แล้วมองวงกว้างคือชนะธรรมชาติจัดการกับธรรมชาติได้ตามปรารถนาความสุขสำเร็จอยู่ที่นี่ นี่คือความฝันของยุควิทยาศาสตร์ เพราะเขาจึง Progress ก้าวหน้าไม่รู้จักสิ้นสุด ทีนีก้าวไปก้าวมามันเจอไปไม่รอด ก้าวไปก้าวมามันเอ้ธรรมชาติแวดล้อมจะพินาศจะอยู่ไม่ได้แล้วตอนนี้ผิดหวังเลย ทีนี้ไอ้การผิดหวังจากวิทยาศาสตร์นี่มันเกิดมาเป็นระยะ ระยะ ก็เป็นอันว่าตอนแรกฝรั่งมันผละทางด้าน Spiritual ทางด้านที่เขาแปลว่าจิตวิญญานทางด้านจิตใจไป ซึ่งเป็นจิตใจที่คลุมเครือเป็นกุศลบ้าง อกุศลบ้าง Spiritual นี่ ทีนี้พอผละออกมาแล้วมันก็มาเน้นวัตถุทางกายอย่างเดียว ถูกไหมมันไม่เอาเลยเรื่องจิต เพราะฉะนั้นวิทยาศาสตร์นี่มันค้นแต่ความจริงด้านวัตถุ จริงไม่จริงมองนอกตัว มองธรรมชาตินอกตัวจะไปเอาชนะ นี่เพราะฉะนั้นฝรั่งมันก็มองนอกตัวแล้วก็วัตถุ นี้มันก็มาด้วยความหวังอันเนี้ยอย่างที่บอกแล้วเนี่ยสูตรสำเร็จเขาไอ้ 4 ตัวนั้นสำคัญ นี้พอมา ๆ มันเริ่มผิดหวังมันเป็นระยะ ระยะ ไอ้ความผิดหวัง 1 ด้านจิตใจปรากฏว่าเครียดมากทั้งไอ้กระบวนการที่จะทำให้ได้มาซึ่งวัตถุสมบูรณ์ต้องแข่งขันกันใช่ไหมก็เครียด ต้องมาเอารัดเอาเปรียบกัน ต้องมาชิงไหวชิงพริบกันจิตใจก็ไม่สบาย ทุกข์ เอ้มันไม่จริงนี่ มันไม่สุขจริง มันเริ่มผิดหวังแล้วเพราะมันไปด้านเดียวสุดโต่ง 1 มันเริ่มผิดหวังทางด้านจิตใจ 2 ด้านสังคม สังคมมันก็ไม่ดี มันมีอาชญากรรมมากขึ้นสังคมมันเจริญขึ้นเป็นสังคมเมือง เป็น Urban society เป็นสังคมเมือง เป็นนิวยอร์ค เป็นชิคาโก้ เป็นลอสแอนเจลิส อาชญากรรมยิ่งมากขึ้น คนหวาดระแวงมากขึ้น ประตูบ้านต้องใส่ไอ้ตาแมวไว้ขยายดูแล้วต้องมีโซ่อีกชั้นหนึ่ง โอ้มันทุกข์ทางสังคมด้วยนะ ไปกับจิตใจบีบคั้น แล้วทางด้านสังคมการแข่งขันกันตลอดเวลา คนก็หวาดระแวงมันมาทั้งจิตใจทางสังคมนี่มันไม่ดีเลยนี่แล้วมาเกิด มามีสงครามเข้ามาอีกสงครมก็เรื่องทางสังคมใช่ไหม เบียดเบียนการเกิดสงครามเวียตนาม คนอเมริกันมาตายตั้งในราวห้าหมื่นสงครามเวียตนามนี่ แล้วรบกันตั้งนานเนแล้วก็ผลที่สุดอเมริกันก็แพ้ แพ้ก็มีความรู้สึกเสียเกียรติเสียหน้าอย่างยิ่งเลย ชาติมหาอำนาจมาแพ้กับไอ้ประเทศเล็ก ๆ นี้ แล้วนอกจากนั้นก็คือคนของตัวเองก็มาตายมากมายแล้วคนรุ่นใหม่ก็รู้สึกผิดหวังกับไอ้ความเจริญที่มาฆ่าฟันกันเนี่ยมันรู้สึกว่าเอ้นี่มันไปเบียดเบียนรังแกเขานี่ ประเทศเล็กนิดเดียวนี่ใช่ไหม เราประเทศใหญ่นี่ไอ้พวกคนหนุ่มสาว รู้สึกว่า เอ้อารยธรรมของเรานี่มันเป็นอารยธรรมแห่งการห่ำหั่นเบียดเบียนรังแกคนอื่นนี่ มันรู้สึกมันผิด ฝรั่งเกิดความรู้สึก Guilty นี้มันไปกระทบประวัติศาสตร์ โอ้ชาติเรานี่เจริญมาด้วยการรังแกทั้งนั้นเลย เข้ามานี่แย่งกันดินอินเดียนแดง อินเดียนแดงเราถูกบรรพบุรุษของเรากลั่นแกล้ง สัญญาแล้วหักหลังมัน นัดมันมาพบแล้วแทงหลังมัน แทงหลังมันจริง ๆ นะแทงด้วยมีด อย่างไอ้อินเดียนแดงหัวหน้าเผ่าคนหนึ่งมันรบเก่งจริง ๆ ฝรั่งต้องยอมมานัดมาพบกันเจรจากัน พอมันหันหลังให้แทงมันเลยนี่ แล้วฝรั่งเอาไอ้โรค Smallpox ฝีดาษเป็นต้น เอามาจากยุโรป แล้วมาในพวกนี้พวกอินเดียนแดงนี่ไม่เคยมีโรคนี้มาก่อนไม่มีภูมิต้านทานตายเป็นใบไม้ร่วงเลย อินเดียนแดงเป็นต้น พวกเผ่าอินคา เผ่าอะไรต่าง ๆ ที่อยู่ในอเมริกาตายเพราะโรคระบาดที่มาจากฝรั่งเริ่มแต่สเปญตายไปจากห้าสิบล้านเหลืออยู่สี่ล้านมั้งนะดูจะประมาณนั้น พวกคนรุ่นหนุ่มสาวนี่ผิดหวังมากรู้สึกว่า Guilty ว่าชาติเรานี่มันเจริญขึ้นมาด้วยการรังแกเจ้าถิ่นแย่งแผ่นดินเขา โอ้แล้วยังดูไอ้พวกนิโกรผิวดำ อัฟริกาจับมันมาเป็นทาสมาใช้งานมันเหมือนสัตว์ โอ้โห้ที่ประเทศของเราเจริญขึ้นมาเพราะแรงงานทาสใช่ไหม ไอ้พวกนิโกร อัฟริกาจับเหมือนยิ่งกว่าสัตว์อีกนะ เขายังมีพิพิธภัณฑ์อยู่ทางบอสตั้นอะไรนี่ก็เอาใส่เรือมา เอาใส่เรือมาให้อัดแน่นเลยไม่มีทางได้ขยับเขยื้อนหรอก เพราะเอาให้มากที่สุดเป็นสินค้านี่ครับ ใส่โซ่ตรวนร้อยติด ๆ กันแล้วก็เรียงเป็นตับเลยเป็นแถวให้จุที่สุด จนกระทั่งเรือมาขึ้นอเมริกาแล้วก็มาขาย เวลาขายที่บอสตั้นทำไงทราบไหม มันมีแท่นขึ้นมาแล้วก็เอาทาสขึ้นไปยืน ไอ้พวกที่มาประมูล ประมูลก็มาต่อราคากันทีนี้ไอ้ทาสนี่ก็มาทั้งพ่อทั้งแม่ทั้งลูกเลยใช่ไหม เอาขึ้นทีละคนอ้าวคนนี้ไอ้พวกขายก็พรรณาสรรพคุณ ไอ้ทาสคนนี้มันดีทางนั้นมีกำลังแข็งแรงดีใช้งานประเภทเกษตรกรรมจะดีต่ออะไรพรรณาสรรพคุณไปเขาเรียกว่าสรรพคุณ ทีนี้ฝ่ายพวกที่มาประมูลก็เอาคนนั้นก็ให้ราคาเท่านั้นเท่านี้ตกลงพอให้ไปก็เสร็จไปคนหนึ่งไอ้นี้ก็เอาไป แล้วไอ้คนขึ้นใหม่อาจจะเป็นลูกหรือเป็นเมียขึ้นมา ไอ้คนซื้อมันก็อาจจะไปอีกทางหนึ่ง หมดเลยพ่อแม่ลูกไปกันคนละทิศละทางใช่ไหม นี่ลองคิดดูสิครับมันทรมานคนขนาดไหนแล้วมันก็เอาไปก็เหมือนกับสัตว์ใช่ไหม ใช้แรงงานอะไรต่ออะไร ทีนี้ไอ้คนรุ่นหนุ่มสาวยุคนี้ ยุคสงครามเวียตนามนี่เป็นยุคเกิดความผันผวนสังคมอเมริกันอย่างยิ่ง มันเกิดความรู้สึก Guilty มาก ไปรังแกเวียตนาม คนเอเซียไปนึกถึงอดีตก็รังแกแย่งแผ่นดินของคนอินเดียนแดงไปรังแกพวกทาสเจริญมาด้วยอย่างนี้ ประเทศเรามันผิดหวังเหลือเกิน นั้นยุคนั้นคนหนุ่มเกิดปฏิกิริยาต่อสังคมอเมริกัน สังคมนี้ใช้ไม่ได้มันปฏิเสธสังคมเลยต้องเลิกสังคมอเมริกัน แล้วมาแข่งขันหาความเจริญกันอะไร ไม่มีความสุข มันดูพ่อแม่แล้วแล้วไม่มีความสุขอะไรเลย วัน ๆ หนึ่งตื่นเช้าขึ้นมาได้แต่วิ่งออกไปจากบ้านแล้วก็ตะลอน ตะลอนหรืออะไรก็แล้วแต่ เร่งลัดแล้วก็ไปนั่งใส่เสื้อนอกอยู่ในที่ทำงานไม่เห็นมีความสุขมันบอกโธ่เราจะต้องไปตั้งท่าใส่เสื้อรีดอะไรต่ออะไรให้มันลำบากอะไรต่าง ๆ ก็อยู่มันตามธรรมชาติดีกว่า นอนกลางดินกินกลางทราย เสื้อผ้าไม่ต้องรีด ผมเพ้าไม่ตัองไปตัดมันบอกอย่างงี้สบายกว่ามีความสุขใช่ไหม เออ มันก็มองไปแปลกก็เลยเกิดยุคฮิปปี้ ได้ยินไหม ฮิปปี้นี่เกิดเมื่อปี 1965 1964 ขึ้นมา 1964 นี้ฮิปปี้มีเป็นส่วนตัวยังไม่ได้เผยแพร่ พอ 1965 ก็ยังไม่เผยแพร่ 1967 จึงดังเลยที่นี้ ดังระเบิดเลย ว่าอย่างงั้นเลยนะ เพราะว่าไอ้พวกนิตยสารไทม์ไลฟ์ สมัยนั้นยัง ไลฟ์ยังไม่หมด ไลฟ์ยังอยู่ ไลฟ์เดี๋ยวนี้ตายแล้ว นั้นไลฟ์ไทม์คู่กัน แล้วก็นิวส์สวีทมันก็ลงบทความกันใหญ่ปี 1967 โอ๋คราวนี้รู้จักฮิปปี้กันทั่วเลย ก็ฮิปปี้ก็มีกันทีนี้ก็ไปตามที่ต่าง ๆ ตั้งเป็นนิคมเป็นคอมมูนกันขึ้นมา แล้วก็อยู่กันเป็นผัวเป็นเมียกันไม่ต้องแต่งงานอยู่กันตามสบายแล้วก็เสพยาเสพติดกินกัญชากันแล้วก็แอลเอสดีมีหนังสือเล่มหนึ่งเขียนว่า ให้ยาเสพติดที่เรียกแองเอสดี บอกว่าเทียบภาวะที่ได้มีความสุขในแองเอสดีนี้เทียบกับนิพพาน ว่าอย่างงั้น แล้วเขียนเป็นหนังสือเล่มหนึ่งเลย นี่เป็นนักจิตวิทยามาจากอเมริกา แล้วก็มาในเมืองไทยนี่แล้วหายไปมันพอดีก็ไอ้ยุคที่มีผู้ก่อการร้ายและคนไทยกำลังปราบคอมมิวนิสต์ ก็มีข่าวว่าแกอาจจะถูกพวกคอมมิวนิสต์ฆ่าหรือยังไงไม่รู้ เขาอาจจะสงสัยว่าเป็นไส้ศึกหรืออะไรพวกนี้ นี้เป็นนักจิตวิทยาคนอเมริกันเข้ามา แต่เขียนตำราเรื่องนี้ เรื่องคล้าย ๆ เทียบประสพการณ์แอลเอสดีกับนิพพานเพราะเลื่อมใสพุทธศาสนาด้วย พวกนี้ก็จะมาสนใจสมาธิ สนใจเซ็น สนใจโยคะอะไรต่ออะไรด้วยหาทางออกด้านจิตใจก็ Spiritual นี่แหละ Spiritual พวกฮิปปี้ก็พวก Spiritual Spiritual แบบฮิปปี้เอาม้ายละ เอาม้าย เออนั้นสิมันไม่ได้ความเอาทำไมศัพท์อย่างนี้ ศัพท์ที่มันกำ ๆ กวม ๆ พล่ามัว บอกว่าเอ้อ จะยุให้เด็กไทยเป็นฮิปปี้แล้วก็เรื่องเยอะเล่าไปไม่รู้จักจบ เดี๋ยวไปสะกิดโน่นก็ออกมาเรื่องนั้น เดี๋ยวก็เรื่องนี้นะ ตกลงว่าสังคมอเมริกันยุค 1964 1965 1966 1967 มาจนถึง 70 กว่าเป็นยุคฮิปปี้ ทีนี้ฮิปปี้ก็ระบาดมาทางนี้ก็มาตั้งนิคมกันที่เนปาล เนปาลก็ไล่ไป พอไล่ไปมันก็ไปเอาทางอัฟกานิสถาน ปากีสถานอะไรพวกนี้ พอเดือดร้อนก็ไปทั่ว ทีนี้ต่อมาก็จางหายไป แต่ว่ามันปราณีตยิงขึ้นคล้าย ๆ กับว่ามันเริ่มมีเหตุผลขึ้นมา ก็มาสนใจสมาธิแบบมีเหตุผลมากขึ้นเป็นเรื่อง Spiritual ที่มันค่อนข้างเป็นบุญเป็นกุศลมากขึ้นหน่อยใช่ไหม ไม่ใช่เป็น Spiritual ที่เป็นอกูศลก็ต่อมาก็เซ็นก็ตอนนั้นมาเบ่งบานอยู่แล้ว เซ็นของญี่ปุ่นนี่ศาสนานิกายเซ็น แล้วก็มาทิเบตก็ขึ้นไปอีก แล้วก็พวกโยคะเข้าไปใช่ไหม โยคะก็ได้รับความนิยมอย่างยิ่ง นี้ต่อมาไอ้พวกแขกอินเดียพวกมหาฤษีเข้าไปอีก พวกมหาฤษีเข้าไปนี้ก็ไปเผยแพร่ลัทธิของโยคีนั่นแหละก็เกิดลัทธิฮาเรกฤษณะ ใครเคยได้ยินบ้าง นี่หลังจากยุคของฮิปปี้แล้วนี่ก็มีพวกอย่างฮาเรกฤษณะ ฮาเรกฤษณะนี้ก็เป็นพวกฮินดูเข้าไปเผยแพร่ แล้วพวกหนุ่มสาวอเมริกันนี้หนีจากบ้านมาอยู่กับพวกฮาเรกฤษณะ แล้วก็เปลี่ยนเครื่องแต่งตัว แต่งยังไงรู้ไหม ใส่โทตี รู้จัดโทตีไหม นุ่งโทตีแบบแขก ผ้านุ่งแบบแขกคล้ายโจงกระเบนบาง ๆ คือมันไม่เหมือนโจงกระเบน โจงกระเบนของเราเรียบร้อยของเขาง่าย ๆ เป็นผ้าโทตีแล้วก็มีสีส้ม ๆ ไม่ใช่สีแสดของเรามันสีส้ม ของเขาสีแสดมันจะคล้ายกันมาก ที่นี้พวกนี้ก็จะนุ่งโทตีสีส้มแบบนักบวชฮินดูแล้วก็ไว้ผมเปียยาวแล้วก็เอาแป้งทาหน้าขาววอกบ้าง แต้มสีแดงทาเป็นขีดบ้างอะไรต่ออะไรนี้นะ รองคิดดูหนุ่มสาวอเมริกันไปได้อย่างนี้นะ ไม่เอาแล้วเสื้อผ้าแบบฝรั่งมานุ่งแบบแขกแล้วก็ถือฉิ่งและกลองยาว กลองแบบแขกไม่เหมือนของเราคล้าย ๆ กลองยาวนี่แหละแล้วก็ไปกันเป็นกลุ่ม ๆ นะ แล้วก็ชอบไปตามสี่แยก ไปตามหน้าตึกใหญ่ ๆ ในมหาวิทยาลัยอย่างมหาวิทยาลัยโคลัมเบียแล้วไปแล้วก็ไปเต้นกัน พวกหนึ่งก็ตีกลอง ไอ้พวกหนึ่งก็ตีฉิ่งก็เต้นไปร้อง ฮาเร รามมา ฮาเร รามมา ฮาเร รามมา นี่ฝรั่งทั้งนั้นเลยนะหนุ่มสาวทั้งนั้น นี่ฝรั่งมันไปไกลเด็กไทยยังแพ้มันลิบเลย เด็กไทยได้แค่ตีกันแพ้ฝรั่ง ฝรั่งไม่ตีกันใจดี ไม่ตีใครพวกนี้ใจดีมากเพราะถือหลักแบบสมัยนักบวชแล้วไม่ไม่รุกรานใคร ไม่เบียดเบียนใคร แล้วก็ขอทาน เพราะว่ามันไม่มีสตางค์ก็ต้องขอ แต่ว่ามันชมรม ตั้งชมรมขายไอ้นั่น ขายธูป ขายธูปเอาก็มีสตางค์ก็อยู่ง่าย ๆ ไม่ต้องใช้อะไรสิ้นเปลืองใช่ไหม ก็นุ่งโทตี เสื้อผ้าก็ไม่ต้องซื้อ กินอยู่ง่าย ๆ ทีนี้พวกนี้ก็หนีพ่อแม่ไปอยู่กันเยอะแยะหมด ไอ้พ่อแม่ก็เดือดร้อนไอ้ลูกก็ไม่เล่าเรียนศึกษา แล้วก็ไม่อยู๋กับพ่อแม่เกิดเรื่องตอนนั้นผมไปพักอยู่ที่นิวยอร์ค พวกฮาเรกฤษณะพวกหนึ่งมาหาที่วัด บอกท่านช่วยสนับสนุนหน่อยนะพวกเราถูกฟ้อง อ้าวทำไม่ละ ไอ้พวกพวกพ่อแม่ผู้ปกครองมันฟ้องเรา ฟ้องว่ายังไง ฟ้องว่าพวกฮาเรกฤษณะที่มาทำ Brainwashing ว่าอย่างงั้น Brinwashing รู้จักไหม ล้างสมอง โดนข้อหาร้ายแรงสิ บอกว่าถ้าพวกผมแพ้คดีโดนไล่ออกจากประเทศเลย ท่านช่วยยืนยันสนับสนุนหน่อยว่าพวกฮาเรกฤษณะนี่ไม่เป็น Brainwashing เราบอกเราไม่เกี่ยวด้วย นี่พวกนี้ก็ยุ่งบางทีก็มีออกทีวีเอาไอ้พวกทนายที่มาเป็นเข้าฝ่ายผู้ปกครองนั่น เอามาออกยกตัวอย่างว่า รายนี่เขาได้ไปเอากลับใจพวกฮาเรกฤษณะกลับมาได้แล้วมาโฆษณา ก็โฆษณาอย่างนี้ไปก็ได้แก่ทนายอีกแล้วใช่ไหม ไอ้พวกพ่อแม่ที่ลูกหนีไปก็จะมาหาทนายพวกนี้ก็ได้เงินอีก ก็มาโฆษณาทางทีวีว่าเนี่ยเขาเก่งเขาสามารถไปกลับใจพวกลูกที่หนีไปเป็นฮาเรกฤษณะได้กลับมา บางรายมัน ๆ ซ้อนกลมันหลอกไอ้พวกทนายกับพ่อแม่ มันโดนไอ้พวกนี้อุ้มมา คือพ่อแม่และทนายก็ตาม พ่อแม่ก็ให้ไอ้พวกทนายไปหาวิธีที่จะเอากลับมา ตอนหนึ่งไอ้รายนี้มันไปเดินอยู่ริมถนนไอ้พวกทนายก็ไปให้คนอุ้มขึ้นรถมาเลย อุ้มขึ้นรถมา ๆ เจอพ่อแม่มันก็ซ้อนกลพ่อแม่กับไอ้ทนายนี่ บอกว่ามันกลับใจแล้วยอมแล้วไม่ไปอีกแล้ว พอทางนี้เผลอมันก็หนีกลับไปอีกนี่เป็นตัวอย่าง ก็มีเรื่องต่าง ๆ มากมาย สังคมอเมริกันก็วุ่นคือเป็นเรื่องความผันผวนทางด้านสังคมที่คนอเมริกันนี่มีไอ้ปัญหาความแปรแรวนทางด้านจิตใจแล้วมีผลกระทบสืบเนื่องมาจากเรื่องของความเปลี่ยนทางสังคมและความผิดหวังในเรื่องของความเจริญทางวัตถุที่ว่าเจริญมาก็ไม่เห็นมีความสุขอะไรจริงจัง และนี่ก็เป็นการเล่าให้ฟังถึงเรื่องอดีต แล้วต่อมาก็มาผิดหวังเรื่องธรรมชาติ เรื่องธรรมชาติแวดล้อมเสื่อมโทรม ทรัพยากรธรรมชาติร่อยหรอและสิ่งแวดล้อมเป็นพิษ Polution มลภาวะเสื่อมโทรมก็เป็นปัญหาใหม่ ตกลงก็เป็นปัญหาสังคมตะวันตกทางด้านจิตใจที่เขาเรียกจิตวิญญานนี่ แล้วก็เรื่องของสังคม และเรื่องสิ่งแวดล้อมธรรมชาติ ก็ตกลงมาจบที่ปัญหาที่ 3 คือธรรมชาติแวดล้อมเสื่อมโทรมเป็นปัญหาใหญ่ที่สุด พร้อมกับที่อีก 2 ปัญหาหมดไป สังคมอเมริกันก็ยังหาทางออกอย่างนี้ไม่ได้ 3 อันนี้ยังตันอยู่ เขายังหาคำตอบไม่ได้ก็อยู่กันไปก็ต้องอยู๋ในวิถีชีวิตแบบเดิมเพราะอารยธรรมมันสร้างมาอย่างนั้น ทั้ง ๆ ที่รู้ว่ามันไม่สมหวัง นั้นพร้อมกับไอ้สภาพที่เจริญนี่ภายในมันก็มีความรู้สึกที่มันไม่สมบูรณ์มันผิดหวัง มันแปลกแยกอะไรต่าง ๆ นี่ซ้อนอยู่เรื่อย เพราะฉะนั้นฝรั่งก็จะมีลักษณะเรื่องเครียดมากใช่ไหม เพราะสภาพสังคมชีวิตจิตใจแล้วมันยังมาซ้ำด้วยความไม่สมหวังอีก ทีนี้เราก็ต้องรู้สภาพนี้แหละ สภาพจิตของคนตะวันตก แล้วเราจะใช้วิธีไหน ทีนี้ไอ้ฝรั่งมันไม่มีทางไป มันก็คือมันไปสุดโต่งทางด้านวัตถุแล้วใช่ไหม เมื่อมันสุดโต่งทางวัตถุมันผิดหวัง มันก็เลยหันกลับมาทางด้านจิตใจอีก ทีนี้จิตใจของเขาก็คือเรื่องศาสนา นั้นยุคหลังนี่ศาสนาคริสต์ก็เริ่มตีตื้นขึ้นมาบ้างในบางส่วนในบางนิกาย เพราะฉะนั้นยุคที่หันกลับมาสนใจศาสนานี่เริ่มมาหลายปีนะ คือใกล้ ๆ กับเรื่องที่เกิดฮิปปี้ อะไรต่อมาก็แสวงหาต่าง ๆ ก็เป็นยุคของการแสวงหา คือแสวงหาทางออกจากความผิดหวังเนื่องจากความเจริญก้าวหน้าทางวัตถุที่ไม่ทำให้ได้บรรลุจุดหมายที่ประสงค์ ก็แสวงหาต่าง ๆ เมื่อไปในสุดโต่งด้านวัตถุแล้วมันก็เลยหันกลับมาหาจิตใจใช่ไหม ทีนี้พวกหนึ่งก็จะหันมาหาข้างนอกนี่มาก เช่น มาหาทางพวกเราอะไรอย่างเงี้ย ทางสมาธิ ทางโยคะ ทางอะไรต่ออะไรเยอะแยะ แต่ว่าพร้อมกันนั้นพวกหนึ่งมันก็ไปหาศาสนาคริสต์ด้วย เพราะเป็นเรื่อง Spiritual ที่ว่า ทีนี้ Spiritual แบบคริสต์นั้นก็เป็นเรื่องศรัทธาอย่างที่ว่าดื่มด่ำเข้าถึงพระเจ้าจิตนี้เข้าไปกลมกลื่นลืมไปเลยเหมือนกับโยคีเนียนเหมือนกัน โยคีเนียนก็หมายความดื่มด่ำในจิตใจจนกระทั่งว่ากายเกยมีไม่มีไม่รู้แล้ว จิตมันได้ดื่มด่ำเข้าถึงอะไรสภาวะสูงยิ่ง ก็พระพุทธเจ้าก็ผ่านมาหมด นี้เราควรศึกษาตะวันตกให้เข้าใจกันให้ชัด ไม่ใช่จะไปเอาอะไรต่ออะไรของเขามา คือฝรั่งเขาไม่ทางไปเขาได้แค่นี้ก็หมายความ ตอนนี้ฝรั่งก็ยอมรับแล้วว่าความเจริญทางวัตถุไม่พอ ก็ได้จุดนี้เราเอาจุดนี้เข้ามา เราก็บอกว่าเราต้องรู้ทันนะเห็นไหมว่าสังคมตะวันตกนี่ยอมรับความจริงแล้วว่า ความเจริญทางวัตถุอย่างเดียวนี่มันไม่พอต้องมีจิตใจด้วย แต่ไอ้จิตใจแบบฝรั่ง มันถอยกลับไปแบบเดิมก็ตาย ไม่ไปเจอ Spiritual แบบเก่าที่มันหนีมาทีหนึ่งแล้ว มันก็จะต้องวนเวียนอยู่อย่างงี้ ไปสุดโต่งทางโน้น สุดโต่งทางนี้ หมายความก่อนมาสุดโต่งทางวัตถุ มันก็ไปสุดโต่ง Spiritual มา จนกระทั่งกลายเป็นครอบงำทางด้านจิตใจไป แล้วมันมาสุดโต่งทางวัตถุมันก็ตีกลับจะไป Spiritual อีก แต่อย่างน้อยไอ้ United Station สหประชาชาติก็ยอมรับความจริงนี้ก็พยายามนำไอ้สิ่งนี้เข้าไปเราก็รับรู้ในส่วนนี้เราก็ เอ้ออนุโมทนาด้วยว่าเขาได้รู้สำนึกว่ามันเดินทางผิดมาจะแก้ไขปัญหา แต่วิธีแก้ปัญหาเราไม่จำเป็นต้องไปยอมรับเขาเพราะเรารู้ทันฝรั่งมันเป็นยังไงใช่ไหม ทำไมจะต้องไปเอาอย่างมัน มันล้าหลังเราตั้งเท่าไหร่พอเข้าใจไหมครับ ศึกษาประวัติสะหน่อย ผมว่าท่านที่มาถามเรื่องจิตวิญญานอะไรนี่รู้จักฝรั่งพอหรือเปล่า ไม่ค่อยรู้จักหรอก ไม่เข้าใจเรื่องศาสนาเขา ว่าไอ้ความหมาย Spiritual อะไรต่ออะไรมันแค่ไหน Spiritual ชั้นต่ำ ชั้นสูงก็ไม่รู้เรื่องนะ เอ้จะว่าเขาแรงไปหรือเปล่า แต่บางทีก็ต้องว่าแรง ๆ บ้างนะ คือบางทีมันหลงอะไรก็ไม่รู้ไม่เข้าเรื่องเข้าราว แล้วอย่างที่ว่ามันทำให้ลืมคนของเราเอง ชาวบ้าน ชาวบ้านจะไปรู้เรื่องรู้ราวอะไรด้วยแหละเรื่องเหล่านี้ บุญกุศลดีแล้วแหละ พอพูดขึ้นมาก็เข้าใจใช่ไหมท่าน แล้วมันเป็นเรื่องดีอย่างเดียวเลยบุญกุศล เป็นแต่เพียงจะไปแนะให้เขาถูกหรือเปล่าเท่านั้นเอง ถ้าพระเรามีปัญญามีความรู้ก็สอนให้ดีมันก็ได้ทั้งจิตใจมันบุญนี่มันเป็นเรื่องจิตใจแต่ว่ามันแฝงปัญญาด้วยใช่ไหม แล้วมันเป็นด้านดีอย่างเดียว มันดีกับ Spiritual ตรงนี้ คือ 1 มันมีความชัดเจนกว่า 2 มันเป็นด้านกุศลความดีอย่างเดียว 3 มันเข้ากับพื้นฐานวัฒนธรรมประเพณีของเราใช่ไหม มันก็เข้ากันด้วยดีสื่อกันได้ทันทีเลย พอคนมีจิตใจเป็นบุญเป็นกุศลมันหายปัญหาจิตใจหมดเลย เชื่อไหมชาวบ้านเราอยู่มาได้เนี่ยจิตใจที่มันดีก็ด้วยบุญด้วยกุศลนี่ พอระลึกเรื่องบุญกุศลจิตใจก็สบายชุ่มฉ่ำมีปิติอิ่มใจ Spiritual นี่แหละ แต่เป็น Spiritual ที่ดีไม่มีปัญหาแน่นอน แต่ไป Spiritual แบบผีเข้าก็ไม่ได้เรื่องแน่ คนไทยคงต้องศึกษากันให้เยอะ ๆ หน่อย คือเราไปเอาแบบเอาอย่างฝรั่งอะไรต่ออะไรมา เราก็ไม่รู้เขาจริงเหมือนอย่างนักเผยแพร่ศาสนาคริสต์ยังนั่งขำเลย ไปหลอกชาวบ้านที่เชียงใหม่ไอ้นี้อยู่ในหนังสือเลยนะ คือชาวบ้านแกก็ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร ราหูอมจันทร์ สุริยะคราส จันทรคราส เขามาบอกโอ้ นี่ ๆ มันงมงาย ฝรั่งตะวันตกพวกฉันนี้รู้ดีแล้ว ว่าอย่างงั้นนะ ไม่ใช่อย่างนี้มันเป็นเรื่องพระอาทิตย์เงามันบังกัน เงาจันทร์บังโลก เอาโลกบังจันทร์ใช่ไหมเท่านั้นแหละ โอ้ชาวบ้านก็ตื่นใหญ่แหม พวกอะไร เขาเรียกศาสนาจารย์นี่ โอ้มีความรู้ดีทำให้เราหายงมงายไปเอาของนักวิทยาศาสตร์เขามาก็พวกศัตรูของตัวเองนั่นแหละใช่ไหม นักวิทยาศาสตร์มันค้นไอ้เรื่องนี้ขึ้นมาก็ศัตรูก็เอามันไปฆ่า เอามันเผาทั้งเป็นเสร็จแล้วเอาความรู้ของมันมาใช้เอามาหรอกชาวบ้านไทยนี่แหละ เพราะฉะนั้นนักเผยแพร่ศาสนาคริสต์ตอนนั้นก็ใช้วิธีนี้ แล้วไปหรอกชาวบ้านทางภาคใต้ ขออภัยที่ใช้คำว่าหรอกนะ แต่มันก็หรอกจริง ๆ เช่นอย่างทางใต้นี่ ก็ไปบอกว่านี่ดูสิเมืองฝรั่งกับเมืองไทย อันไหนเจริญเมืองไทยนี้เป็นประเทศที่ยังไม่พัฒนาใช่ไหม คนไทยบอกว่าใช่ แล้วเมืองฝรั่งนี่พัฒนาใช่ไหม ใช่ แล้วเมืองไทยนับถือศาสนาอะไร นับถือศาสนาพุทธ เอาเมืองฝรั่งนับถือศาสนาอะไร นับถือคริสต์ เอ้า ถ้าอย่างงั้นก็จะพัฒนาต้องนับถือศาสนาอะไร เอ้อต้องนับถือคริสต์สิ ว่าอย่างงั้นนะ นี่วิธีเขาเผยแพร่ศาสนาคริสต์ เป็นเรื่องไปทำที่ภาคใต้ โธ่มันที่จริง ฝรั่งมันเจริญเพราะมันดิ้นรนให้พ้นจากการบีบคั้นข่มเหงของศาสนาคริสต์ใช่ไหม มันชัด ๆ อยู่แล้ว ที่นี้คนไทยไม่เรื่องรู้ราวไม่ศึกษาประวัติศาสตร์ ก็เลยเชื่อตามเขาไปอีกไม่ได้เรื่อง นั้นคนไทยนี้จะต้องสร้างปัญญากันให้มาก ๆ ให้ความรู้กัน เรื่องของตัวเองก็ไม่ค่อยรู้ เรื่องฝรั่งก็ไม่รู้ เขามายังไงก็ไม่รู้ ก็จำเป็นนะต้องให้ความรู้กันหน่อย อย่าไปเอามาเฉย ๆ เอามาก็ต้องเอามาพร้อมทั้งความรู้ด้วย รู้เบื้องหลังความเป็นมาเหตุปัจจัยของเรื่องนั้น ๆ ที่พูดนี่มันก็อาจจะแรงไปบ้างแต่ก็ที่จริงก็เป็นความจริงอย่างนั้นก็พูดไปตามเรื่องที่มันเกิดขึ้น ที่จริงแกก็ไม่น่ามาหลอกอย่างนั้น มาเที่ยวหลอกชาวบ้านแกก็อย่างว่าแกก็หาทางเผยแพร่ของแกได้ผล มีอะไรไหมครับ พูดสะยาวโอ้นี่ 4 ทุ่มกว่าแล้ว ชัดพอไหม ชัดนะ ก็อยากให้รู้เข้าใจตามเป็นจริง เราต้องศึกษา ต้องรู้อะไรต่าง ๆ มันมาไงไปไง ไม่รู้ไม่เข้าใจอย่าไปยอมเราต้องค้น ๆ ให้มันรู้ให้ได้ นี่มองในแง่หนึ่งก็น่าตำหนิ ก็ไปเอาคำว่า Spiritual มาก็ไม่ศึกษาความหมายมันชัดว่ามาอย่างไง ก็ไปติดอยู่แค่ความหมายหนึ่งที่ฝรั่งพวกหนึ่งกลุ่มหนึ่งให้มาใช่ไหม ฝรั่งกลุ่มนี้ก็ให้แต่ความหมายที่จะมาใช้ เสร็จแล้วก็ไม่รู้ไปยังไงมายังไงกว้างขวางแค่ไหนดีช่วยยังไง เลยกลายเป็นว่าวันนี้มาติเตียนพวกสมัยใหม่คนไทยอะไรต่ออะไร ก็ต้องขออภัยด้วยเอาล่ะครับถ้างั้นนะเราค่อยนัดคุยกันใหม่นะครับ