แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ไฟล์ถอดเสียงนี้ยังไม่ได้ผ่านพิสูจน์อักษร นำขึ้นมาเพื่อช่วยในการศึกษาค้นคว้าของผู้สนใจ
ขอเจริญพรโยม ญาติมิตร สาธุชนทุกท่าน ขออนุโมทนาที่ท่านทั้งหลาย มีศรัทธา มีจิตใจเป็นบุญเป็นกุศลมาร่วมทำบุญกันในวันนี้ ซึ่งได้ทำกันมาตั้งแต่เช้าเรียกว่าตั้งแต่ตื่นนอน หลายท่านก็ได้ตักบาตรและต่อจากนั้นก็ร่วมกิจกรรมการกุศลตามโอกาสของตัวของตนจนกระทั่งมาถึงเวลานี้ก็ได้มาร่วมพิธีที่เราถือว่าเป็นจุดสำคัญคือการที่จะเวียนเทียน ซึ่งเป็นจุดรวมของงานวันมาฆบูชา ทีนี้การที่เรามาทำบุญทำกุศลอย่างนี้ เริ่มต้นเพียงว่าใจเราคิดจะทำก็เป็นบุญเป็นกุศลอยู่แล้ว ใจเราก็เบิกบานผ่องใส เป็นจิตใจที่ดี มีความสุข ก็เข้าหลักที่เป็นคำสอนสำหรับวันมาฆบูชาที่ว่า ละชั่ว ทำดี ทำใจให้บริสุทธิ์ผ่องใส เพราะว่าวันนี้พอเราคิดอย่างนั้นแล้วเราก็ละชั่วไปในตัว ทำดีเราก็ทำตั้งแต่ในใจนั่นแหล่ะ ออกมาทางกาย วาจา แล้วใจเราดีก็เป็นใจที่สะอาด ผ่องใส บริสุทธิ์ได้หมด แต่ว่าเราคงไม่หยุดเท่านั้น อันนี้ก็หมายความว่าอย่างน้อยในวันนี้เราได้มาย้ำเตือนตัวเองให้ทำบุญทำกุศล และปฏิบัติตามหลักคำสอนที่เราเรียกว่าเป็นหัวใจพระพุทธศาสนาในภาคปฏิบัติคือโอวาทปาติโมกข์ของวันมาฆบูชา เมื่อโยมทำเช่นนี้ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ควรอนุโมทนา
ทีนี้ในบรรดาบุญกุศลที่ทำทั้งหลายนี้เราบอกว่าชาวพุทธเราบำเพ็ญ ทาน ศีล ภาวนา อันนี้เป็นการจัดวิธีทำบุญให้เห็นชัดออกมา เป็นวิธีแสดงออกที่ว่า ละชั่ว ทำดี ทำใจให้ผ่องใส แล้วทำอย่างไร ก็ทำโดยวิธีแบบชาวพุทธที่เป็นคฤหัสถ์ท่านก็จำแนกไว้ให้ว่า ทาน ศีล ภาวนา ทานเราก็เห็นชัดว่าเป็นการปฏิบัติในเชิงวัตถุ การให้สิ่งของปัจจัยสี่ เห็นชัดเจน แล้วก็ศีลก็คือสำรวมกายวาจา ก็คือเว้นชั่วนั่นแหล่ะ ตลอดจนกระทั่งมาใช้กาย วาจา มาเกื้อกูลกัน ร่วมกิจกรรมที่เป็นบุญเป็นกุศล แล้วก็ทำใจให้บริสุทธิ์ผ่องใส เป็นแกนอยู่ข้างใน ซึ่งจะเป็นตัวสำคัญที่จะเก็บเอาบุญกุศลมาพัฒนาให้เพิ่มพูน เจริญงอกงามยิ่งขึ้น เพราะความจริงนั้นที่จิตใจนั่นแหล่ะที่เป็นแกนทั้งหมด เราจะออกมาทำทานทำศีล แสดงออกเป็นบุญทางกายทางวาจาได้ก็มาจากใจที่ดี เสร็จแล้วเมื่อเราทำทาน ศีล ทำความดีทางกายทางวาจาอะไรทั้งหมดนี้ มันก็ไปชำระ ทำให้เราพัฒนาในด้านจิตใจให้เจริญงอกงามยิ่งขึ้น ทำให้มีความสามารถที่จะทำความดีในครั้งคราวต่อๆไป หรือในกาลล่วงหน้าได้ผลดี เจริญงอกงาม มีผลกว้างขวางยิ่งขึ้น แผ่ขยายขึ้น อันนี้เป็นเรื่องของเหตุปัจจัยที่เป็นไปตามกระบวนการของธรรมชาติ เป็นหลักของการทำกรรมนั่นเอง ก็คือไม่ทำอกุศกรรม แล้วมาทำกุศลกรรม แล้วก็ทำกุศลกรรมนั้นให้เจริญงอกงามยิ่งๆขึ้นไป เมื่อโยมได้เริ่มต้นอย่างนี้แล้วก็ขออนุโมทนา แล้วก็ขอว่าให้พัฒนาทำให้เจริญยิ่งๆขึ้นไปด้วยอย่างที่กล่าวมาแล้ว วันนี้ขออภัยพูดกันตรงๆ ไม่ค่อยจะไหว แต่โยมก็นึกเป็นสนุกๆก็แล้วกัน ว่าพูดไหวไม่ไหวก็ว่ากันไปตามเรื่อง เสียงก็ไม่ค่อยจะไหว แรงก็จะไม่ค่อยมี เอาล่ะตอนแรกก็อนุโมทนาโยมก่อน
เรามาทำบุญทำกุศลวันนี้ เรียกชื่อพิเศษเฉพาะว่าวันมาฆบูชา ทีนี้วันมาฆบูชาเวลานี้มักจะพูดกันไปโยงกันเรื่องอีกวันหนึ่งที่มาใกล้ๆ ได้ยินด้วย เมื่อกี้นี้ยังได้ยินโฆษกพูดถึงเลยว่า อ้าว มีวันใกล้แล้ว เมื่อวานนี้ได้ยินรองนายกรัฐมนตรีพูดถึงวันมาฆบูชา เหมือนจะเป็นประธานจัดงานวันมาฆบูชา ก็พูดถึงอีก พูดถึงว่ามีวันที่ใกล้เคียงกัน เรียกว่าวันวาเลนไทน์ แล้วก็ที่ชัดเข้าไปอีกกรมการศาสนาปีนี้จัดงาน เห็นบอกว่าจัดควบคู่กันไปเลยให้เป็นวันวาเลนไทน์ด้วยและวันมาฆบูชาด้วย เราก็เลยหลีกเลี่ยงไม่ได้ ความจริงนั้นวันมาฆบูชากับวันวาเลนไทน์นี่พูดแยกกันไปได้ เราอยู่ในวันมาฆบูชาเราก็ไม่จำเป็นต้องพูดถึงวันวาเลนไทน์ แต่ว่าในชีวิตจริงในเมื่อเราอยู่ในสภาพแวดล้อมอย่างนั้น เราก็ต้องได้พบ ได้เห็น เกี่ยวข้อง ถ้าเราอยู่ในสภาพแวดล้อมอย่างนั้น สิ่งเหล่านั้นจะมีผลกระทบต่อเราทางหู ทางตา แล้วเข้าไปที่ใจ พอเข้าไปที่ใจแล้วถ้าเราไม่รู้จักวางใจให้ถูกมันก็จะกวนใจเรา เพราะฉะนั้นจึงจำเป็นที่จะต้องวางใจให้ถูก แล้วเราจะได้สบายใจ ถึงแม้เราจะได้ยินเรื่องราวทางวันวาเลนไทน์จะเข้ามากระทบเกี่ยวข้องเราก็สบายใจไม่หวั่นไหว ทีนี้การที่จะวางใจได้ถูก สบายใจ ไม่กวนใจนี้ก็ต้องมีความเข้าใจ คือถ้าเราเข้าใจถูกต้อง เข้าใจดี เราก็วางใจได้ พอวางใจได้เราก็สบายใจ ก็ไม่ถูกกวนใจ เพราะฉะนั้นเริ่มต้นต้องมีความรู้ เข้าใจเท่าทัน ถ้าอย่างนี้แล้วเราจะพูดถึงก็ได้ ไม่พูดถึงก็ได้ พูดถึงก็พูดถึงแบบสบายๆ
แล้วก็เรื่องของวันวาเลนไทน์นี้ก็รู้กันว่าเป็นวันที่มาจากวัฒนธรรมตะวันตก ชื่อมันก็เป็นฝรั่ง ถ้าเรียกเต็มเขาเรียกว่า Saint Valentine Day คือไม่ใช่แค่วาเลนไทน์ เพราะว่าตามตำนานเขาบอกว่าเกิดจาก Saint คือนักบุญของฝรั่ง ของคริสต์ศาสนาชื่อว่า Saint Valentine ทีนี้วันนี้ก็สืบเนื่องมาในวัฒนธรรมตะวันตก คนไทยเราก็ได้รับวัฒนธรรมตะวันตกนี้มาด้วย เราก็มีการฉลองวันวาเลนไทน์จนกระทั่งบางทีรู้สึกกันว่าคนไทยนี้จะเอาจริงเอาจังยิ่งกว่าฝรั่งเสียอีก ไปๆมาๆตอนนี้ปรากฎว่าวันวาเลนไทน์นี้ไม่เป็นวันสำคัญของฝรั่งซะแล้ว เพราะอะไร เพราะเมื่อไม่กี่ปีนี้ทางเจ้าของเรื่อง เจ้าของเรื่องคืออะไรก็บอกไว้แล้วว่า Saint Valentine ก็เป็นนักบุญ นักบุญที่มาในคริสต์ศาสนาก็โดยเฉพาะนิกายโรมันคาทอลิก ทีนี้ทางสถาบัน หรือองค์กรคาทอลิกที่เป็นเจ้าของเรื่องนี้ เคยมีวันสำคัญที่เรียกว่า Saint Valentine Day ก็ได้ประชุมกัน มีมติให้ถอดวันวาเลนไทน์ออกจากบัญชีวันสำคัญทางศาสนาคริสต์ เพราะเขาได้พิจารณาแล้วเห็นว่าเรื่องวันวาเลนไทน์ เรื่องตำนาน Saint Valentine นี้ไม่มีความชัดเจน หาตัวจริงไม่ได้ เล่ากันไปต่างๆนานา คือหมายความว่า Saint Valentine ที่แท้นี้ไม่รู้ว่าเป็นใคร แต่ว่ารวมความก็คือว่าเวลานี้เขาถอดออกจากบัญชีความสำคัญทางคริสต์ศาสนาไปแล้ว วันวาเลนไทน์ก็เลยไม่เป็นวันสำคัญทั้งทางชาติ ทางศาสนาในตะวันตก ก็เลยกลายเป็นวันสำคัญปรัมปรา คือสืบต่อกันมาในวัฒนธรรม เป็นเรื่องของชาวบ้าน
ทีนี้มาถึงเมืองไทยเราเวลานี้วันวาเลนไทน์ก็เลยเคว้งคว้าง จะเป็นวันอะไรล่ะ ก็เลยกลายเป็นวันสำคัญอะไร เรียกว่าอาจจะเป็นวันสำคัญทางธุรกิจเสียมากกว่า มีความหมายทางธุรกิจพอสมควร ทีนี้ในเมื่อมันมีขึ้นมาแล้ว เราจะปฏิบัติต่อวันนี้อย่างไร สำหรับคนบางคนก็อาจจะตื่นไปตามวัฒนธรรมตะวันตก อย่างที่ว่าคนไทยเรานี้นิยมแบบฝรั่ง มีค่านิยม หลงใหลไปตามเรื่องราวที่ถือว่าตะวันตกนั้นเจริญก้าวหน้า มีอะไรก็รับก็ตามกันไป อันนี้ก็เป็นเรื่องค่านิยมที่ทำให้เราตื่นตาม ทีนี้อีกบางท่าน มองด้วยความรู้สึกที่ว่าอันนี้เป็นเรื่องของตะวันตก เป็นวัฒนธรรมนอก ไม่ดี ไม่อยากรับ ไม่ใช่ของไทยเรา ก็จะมีทัศนะตรงข้าม มีท่าทีตรงข้ามก็เป็นต่อต้าน ก็จะมีสองพวก พวกหนึ่งก็ตื่นตาม พวกหนึ่งก็ต่อต้าน ทำไปทำมาสองอย่างนี้มันจะเป็นสุดโต่ง ถ้าเป็นสุดโต่งก็ไม่ค่อยดี ทำอย่างไรจะปฏิบัติต่อสิ่งเหล่านี้เมื่อสิ่งเหล่านี้มีขึ้นมาเราแล้วจะต้องปฏิบัติให้ดี ให้ถูกต้อง ก็คือให้เกิดเป็นผลดีแก่ชีวิต แก่สังคมของเรา การที่จะปฏิบัติให้ถูกต้องให้ดีก็ต้องเริ่มต้นจากปฏิบัติแบบมีปัญญา รู้ เข้าใจ แล้วก็ทำให้เกิดประโยชน์ในเมื่อวันวาเลนไทน์ก็เข้ามาแล้ว คนก็ทำกันแล้ว เราจะไปพูดแบบทีแรกก็รู้ทันว่าวันวาเลนไทน์เวลานี้ก็เคว้งคว้างแล้ว ไม่เป็นวันสำคัญทางชาติ ทางศาสนา ทางบ้านเมืองอะไรทั้งสิ้น อย่างนี้เราพูดไปในเชิงไม่ดีก็เป็นประชดประชัน ก็อย่าไปประชดประชันเลย ก็มองด้วยความเข้าใจ เราลองรู้ดูว่าคนของเราบางทีบางส่วนก็ลุ่มหลงไป ทำตามกันไป อันนี้มองในแง่หนึ่งคนในสังคมไทยไม่น้อยในเวลานี้ก็ขาดหลัก ก็หวั่นไหวไป ตื่นหรือไหลไปตามกระแสค่านิยมต่างๆ กระแสอะไรเข้ามาก็ตื่นกันไปตามๆ เราต้องเข้าใจ รู้ทันสถานการณ์และต้องเข้าใจ ในความเข้าใจนี้เป็นเรื่องของการรู้แล้วและเข้าใจ เข้าใจนี้มันเป็นเรื่องของปัญญาที่มาเชื่อมต่อกับเมตตา เรามองไปที่คนเหล่านั้นว่าเขาทำอะไรต่างๆเหล่านี้ก็เป็นการทำด้วยที่ไม่มีหลักชัดเจน ตัวเขาเองก็ไม่มีความชัดเจน เราเข้าใจเขา เราก็จะไม่โกรธไม่เกลียด ก็เริ่มมีเมตตา แล้วตัวเข้าใจก็คือปัญญาที่มาต่อโยงให้เกิดเมตตา เมื่อเข้าใจและก็เห็นใจ เห็นใจว่าเขาอยู่ในสถานการณ์อย่างนี้ เขาไม่มีหลัก ไม่มีที่พึ่ง ไม่มีสิ่งยึดเหนี่ยวเกาะเกี่ยวชักจูงที่ดี เราก็วางใจให้ดีว่าทำอย่างไรให้เขาได้ประโยชน์ เราก็ต้องมาช่วยกันคิดแล้วว่าจะทำอย่างไรให้คนที่ไปหลงใหลในวันวาเลนไทน์นี้เข้ามาสู่วิถีทางที่ดีงาม จะไปทำวันวาเลนไทน์ให้ดีงามขึ้น หรือว่าจะชักจูงให้เขาเดินหน้าไปในสิ่งที่ดีงามยิ่งขึ้นก็แล้วแต่ แต่ว่ามันเริ่มเป็นเจตนาที่ดี ก็เรียกว่าเป็นจิตที่มีเมตตา กรุณา คิดเกื้อกูลกัน อย่างนี้ก็เป็นทางที่ว่าเกิดกุศล จิตใจของเราก็ดีด้วย เราก็จะคิดค้นหาทางในทางสร้างสรรค์ได้ แล้วเวลานี้ความจริงในแง่ของวัฒนธรรมวาเลนไทน์เองเขาก็พยายามเหมือนกันในทางที่ว่าจะทำให้มีความหมายในทางที่ดี คือในแง่หนึ่งเราจะเห็นว่าวันวาเลนไทน์เน้นไปในเรื่องความรักที่เป็นเรื่องของหนุ่มสาว เรื่องของเพศ แต่เราจะเห็นว่าก็มีการพยายามเหมือนกันให้เป็นเรื่องที่มีความหมาย เป็นความรักในเชิงคุณธรรม เช่น เป็นความรักของเด็กต่อพ่อแม่ครูอาจารย์ อันนี้ก็เป็นเรื่องของความดีงามเพิ่มขึ้น ถ้าเราจะเน้นในแง่นี้ก็เรียกว่าเข้ามาสู่วิถีทางที่เป็นบุญเป็นกุศล แต่อย่างไรก็ตามคิดว่าแค่นี้ก็ยังไม่พอ เราก็จะต้องมีความเข้าใจ มีเรื่องของปัญญาที่จะมาช่วยให้เราเห็นทางในการที่จะสร้างสรรค์ ที่จะก้าวหน้าหรือพัฒนาต่อไปให้ได้ผลดียิ่งขึ้น
แม้แต่วันมาฆบูชานี้เอง เราก็มักจะพูดกันบ่อยๆว่าเมื่อมันมาอยู่ใกล้เคียงกับวันวาเลนไทน์ที่เป็นวันแห่งความรัก เราก็บอกว่าวันมาฆบูชานี้สิที่เป็นวันแห่งความรักที่แท้จริง แต่ก่อนนี้เราก็ไม่พูดถึงวันมาฆบูชาว่าเป็นวันแห่งความรักใช่มั้ย เราไม่เคยพูดเลย มาถึงยุคที่มีวันวาเลนไทน์นี่ล่ะเราจึงมาพูดถึงวันมาฆบูชาในแง่ที่เป็นวันแห่งความรัก เมื่อวานนี้ได้ยินท่านรองนายกรัฐมนตรีพูด มีออกวิทยุด้วย ก็ยังพูดถึงในทำนองนี้แหล่ะว่าวันมาฆบูชาเป็นวันแห่งความรักที่แท้จริง ก็หมายความว่าตอนนี้เราเกิดมีการเทียบเคียงกับวันวาเลนไทน์ที่มาในระยะเวลาใกล้เคียงกัน ทำให้เราได้มาพูดถึงวันมาฆบูชาในแง่ของวันแห่งความรัก
ความจริงวันมาฆบูชานั้นเป็นวันแห่งคุณธรรมที่ทั่วรอบ หมายความว่ามีครบทุกด้าน ไม่เฉพาะด้านความรัก แต่ว่าเมื่อมาเทียบเคียงกับวันวาเลนไทน์ เราจะเทียบเคียงในแง่ของความรักก็ไม่ผิด เพราะว่าจะมองวันมาฆบูชาในแง่ของความรักก็มีเยอะแยะ การที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงโอวาทปาติโมกข์ในที่ประชุมสงฆ์ ก็แสดงหลักธรรมโดยที่เจตนารมณ์ของพระองค์นั้นมุ่งที่จะให้พระไปสั่งสอนประชาชนตามหลักการ โภชนหิตายะ โภชนสุขายะ โลกานุกัมปายะ ก็คือเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุขแก่คนจำนวนมากด้วยเมตตาการุณต่อชาวโลก แค่นี้ก็เป็นความรักแล้ว ทีนี้ที่พระสงฆ์ไปประชุมกันนั้นท่านประชุมแล้วไม่ได้เอาเรื่องของตัวท่านเองเลย ก็ประชุมกันเพื่อเตรียมการจะไปเผยแพร่ธรรมะเพื่อไปสั่งสอนประชาชน เพื่อให้ประชาชนอยู่ดีมีความสุข มีชีวิตที่ดีงาม ให้โลกอยู่กันร่มเย็น มีสันติสุขอะไรต่างๆเหล่านี้ ก็เป็นเรื่องของการที่ปฏิบัติเพื่อประโยชน์สุขแก่ประชาชนทั้งสิ้น ฉะนั้นพระสงฆ์ท่านมาประชุมวันมาฆบูชาก็เป็นเรื่องของความรักนั่นเอง ก็คือรักสรรพสัตว์ รักมวลมนุษย์ รักที่จะทำเพื่อประโยชน์สุขแก่เขา อยากเห็นเขามีความสุข และคำสอนในนั้น ข้อปฏิบัติของพระที่จะไปสั่งสอน อนูปวาโท อนูปฆาโต ไม่ให้กล่าวร้าย ไม่ให้ทำร้ายอะไรต่างๆเหล่านี้ก็เป็นเรื่องของความรักทั้งสิ้น ที่จะไปรักนี้ไม่ใช่รักเฉพาะคนที่เราชอบ แต่ว่าไม่ทำร้ายใครสักคนด้วย มันต้องกว้างขวางอย่างนั้น แล้วเราจะพูดถึงวันมาฆบูชาในแง่เป็นวันแห่งความรักก็ถูกต้อง เราก็เลยมาวิเคราะห์กันไปอีกว่าวันมาฆบูชานี้เป็นวันแห่งความรักสากล เป็นความรักที่ไม่จำกัด ไม่มีขีดคั่นขอบเขต เป็นความรักที่แผ่ไปทั่วสรรพสัตว์ทุกถ้วนหน้า ไม่ใช่ความรักที่เฉพาะ ถ้าหากว่ามองวันวาเลนไทน์เป็นความรักของหนุ่มสาวมันก็จำกัดคับแคบมาก อย่างที่เค้าเรียกว่าเป็น Romantic Love อะไรทำนองนั้น แต่ของพระนี้เป็น Universal Love เป็นความรักที่สากล อันนี้ก็วิเคราะห์กันไป พูดกันได้หลายแง่ แต่ว่าในเรื่องนี้ที่จริงก็น่าจะพูดเป็นจริงเป็นจังเพราะความรักเป็นเรื่องใหญ่ ความรักถ้ามองในแง่พระพุทธศาสนาเป็นเรื่องที่สำคัญมาก คือความรักมีทั้งดีทั้งร้าย มีทั้งความรักที่เต็มไปด้วยความทุกข์ หรือทำให้เจอทุกข์อย่างหนัก และก็มีความรักที่ทำให้คนมีความสุขได้ และมีความรักที่ทำให้คนไปนรกได้มากมาย แต่ก็มีความรักที่ทำให้คนไปสวรรค์ก็ได้ แล้วก็มีความรักที่ทำให้คนสร้างสรรค์ จนกระทั่งมีความรักของพระอรหันต์ที่ปฏิบัติเพื่อประโยชน์สุขของคนทั่วโลก ฉะนั้นความรักนี้เป็นเรื่องใหญ่ ทำให้คนไปได้ตั้งแต่นรกจนกระทั่งถึงพระนิพพานเลย ก็เป็นเรื่องที่น่าสนใจ หมายความว่าเราจะเอาเรื่องความรักมาพูดในแง่ธรรมะนี้มันก็เป็นข้อปฏิบัติที่ทำให้เราเดินไปในธรรมจนกระทั่งถึงบรรลุอริยมรรค อริยผลทีเดียว ฉะนั้นไม่ควรดูถูก แล้วถ้าว่าให้เหมาะมันเป็นเรื่องที่น่าศึกษา เวลานี้พูดกันนักหนาว่าให้เด็กเรียนเพศศึกษา วุ่นวายกันจัง ยังไม่ยุติหลายปีแล้วพูดกันเรื่องเพศศึกษายังไม่รู้จะเอาอย่างไร แม้แต่คำว่าเพศศึกษา ถ้าจะใช้คำว่า ศึกษา มันต้องมีการพัฒนามนุษย์ หมายความว่าถ้าเป็นการศึกษาก็จะต้องทำให้มนุษย์มีชีวิตที่ดีงามขึ้น เป็นคนดีขึ้น แล้วก็ไม่ได้ดีขึ้นเฉพาะส่วนตัว แต่ต้องมีความสามารถในการทำให้สังคมนี้ดีงามขึ้นด้วย อันนั้นจึงจะเรียกว่าเป็นการศึกษา ทีนี้ถ้าเราเอาการศึกษามาใส่คำว่าเพศ เราก็จะต้องให้เรื่องเพศนี้เป็นการศึกษา คือเป็นเรื่องที่มาช่วยให้มนุษย์มีชีวิตที่ดีงามขึ้น พัฒนาขึ้น แล้วก็ช่วยให้สังคมมนุษย์ โลกมนุษย์ให้มันดีขึ้น ถ้าไม่เป็นอย่างนั้นมันก็ไม่ควรจะเรียกว่าศึกษา มันจะเรียกว่าเพศศึกษาไม่ได้ มันน่าจะเป็นได้แค่ว่าการเรียนเรื่องเพศพอให้อยู่กันได้เป็นผู้เป็นคน ฉะนั้นต้องจำไว้ให้ดีว่าถ้าจะเอาคำว่าศึกษาไปใส่มันต้องมีการพัฒนามนุษย์ ทำให้มนุษย์ดีขึ้น มีจิตใจมีอะไรต่อมิอะไรดีงามขึ้น เป็นมนุษย์ที่ประเสริฐ แล้วก็มีความสามารถที่จะมาสร้างสรรค์สังคม ถ้าอย่างนั้นเราควรจะใส่คำว่าศึกษาเข้าไปให้เป็นเพศศึกษาทีนี้ถ้าเราจะให้เป็นเพศศึกษาก็ทำได้โดยจะมาโยงกับเรื่องความรัก แล้วก็ให้เรียนเรื่องความรักให้ถูกต้อง เราสามารถพัฒนาความรักจนกระทั่งอย่างที่ว่าเป็นความรักของพระอรหันต์ไปเลย อย่างนี้มันก็ประเสริฐ เพศศึกษามันต้องโยงมาที่นี่ ให้คิดกันให้ดีเพศศึกษามันจะมีความหมายแท้จริงมันจะต้องมีการพัฒนามนุษย์จนกระทั่งสูงเลิศประเสริฐเป็นพระอรหันต์ เป็นพระพุทธเจ้าได้ และมันก็เป็นได้โดยการโยงมาหาความรัก เพราะเรื่องเพศศึกษามันไม่พ้นไปจากเรื่องความรัก
อาตมาว่าในวันมาฆบูชานี้เรามาพูดกันเรื่องความรักกันอีกหน่อยว่าความรักนี้มีความสำคัญในทางธรรมะมาก ในแง่หนึ่งมันก็เป็นแก่นสารของวันมาฆบูชาด้วย พอเริ่มเรื่องความรักมันมีความหมายที่ดีทันที อย่างน้อย หนึ่ง พอเริ่มมีความรักมันทำให้คนเริ่มขยับเขยื้อนออกมาจากตัวเอง เริ่มต้นคนเราจะคิดถึงแต่ตัว เอาแต่ตัว เห็นแก่ตัว พอเริ่มมีความรักจิตใจมันก็เริ่มแผ่ขยายเปิดกว้างออกไป นึกถึงคนอื่น คำนึงถึงคนอื่น มันเริ่มกว้างขึ้นแล้ว เริ่มออกจากตัวแล้ว ขยายออกไปก็กว้างขึ้น ดีเหมือนกัน แต่พอถึงจุดนี้มันเป็นจุดเสี่ยง เป็นหัวเลี้ยวหัวต่อหรือทางแยก มันมีหัวเลี้ยวหัวต่อสองด้าน ด้านที่หนึ่ง คือท่าทีของตัวบุคคลนั้นคือตัวเรา ต่อบุคคลหรือสิ่งที่เรารัก สองคือคุณสมบัติอะไรในสิ่งนั้นที่ทำให้เรารัก สองตัวนี้เป็นจุดที่จะเริ่มพัฒนาได้และก็จะเป็นจุดที่เป็นปัญหาได้ ถ้าเราปฏิบัติต่อสองจุดนี้ถูกและทางธรรมะท่านให้ก้าวจากนี้ไปเลย ขอให้ไปศึกษาในธรรมะท่านใช้จุดสองจุดนี้เป็นจุดเริ่มในการพัฒนามนุษย์ คือวิธีพัฒนามนุษย์มันเริ่มได้ทุกจุดแม้แต่ในแง่ความรักก็เริ่มได้ มาดูทีละจุด จุดที่หนึ่งก็ในแง่ของท่าทีหรืออาการของเราผู้รักต่อสิ่งหรือบุคคลที่เราไปรัก ท่าทีหรืออาการแบบที่หนึ่งก็คือว่าไปชอบใจถูกใจบุคคลนั้นสิ่งนั้น ที่มันจะเป็นเครื่องมาช่วยทำให้เราเป็นสุข เราก็อยากจะเอามันเอาเขามาเป็นเครื่องมือที่จะทำให้เราเป็นสุข ถ้าได้เขามาเราก็จะได้เป็นสุข เอามาทำให้เราเป็นสุข ส่วนอาการและท่าทีแบบที่สองก็คืออยากให้เขาเป็นสุข อยากเห็นเขาเป็นสุข ก็เป็นความรักเหมือนกัน อันนี้มันมีได้ทั้งสองอย่างขอให้ดูแยกแยะให้ดี บางทีมันมาปนๆกันแล้วมันจะหนักไปที่อันไหนอยู่ที่ตัวเองมีแนวคิด มีการพัฒนาตัวเอง แล้วก็บุคคลที่เกี่ยวข้องที่มาจะเรียกว่ากัลยาณมิตรก็ได้ที่จะมาชี้แนะชักนำให้หันเหไปทางไหนมากหรือพัฒนาทางไหนมาก แต่ว่ามันมาทั้งสองอย่าง และถ้าทำไม่ถูกมันก็จะไปอยู่ที่ข้างแรก ก็คือว่ามองในแง่ถูกใจอยากจะได้เขามาเป็นเครื่องมือทำให้เราเป็นสุข ทีนี้สอง มองที่สิ่งนั้น คุณสมบัติอะไรในตัวสิ่งนั้นที่ทำให้เรารัก อันนี้เป็นสิ่งที่สำคัญ ตอนแรกก็คือเป็นเรื่องสนองความอยากความต้องการของเรา ก็คือในบุคคลหรือสิ่งนั้นมีอะไรที่สนองความต้องการของเรา ถ้าเราอยากจะเอาเขามาทำให้เราเป็นสุข และเราก็ต้องการคุณสมบัติอันนั้นในตัวเขา รูปร่างดี หรืออะไรก็แล้วแต่ ทีนี้อีกอย่างหนึ่งที่จะมาด้วยกันคือมนุษย์มันก็มีทุนทั้งดีทั้งร้ายอยู่ อีกด้านหนึ่งก็คือคุณสมบัติที่เราเรียกต่อมาว่าเป็นความดีงาม ความนุ่มนวล ความละมุนละไม ความสุภาพอ่อนโยน ความเอื้อเฟื้อ แม้แต่ความเอื้อเฟื้อต่อเรา ความเสียสละ ความสามารถ ความดี การที่สามารถทำประโยชน์ ความมีน้ำใจอะไรต่างๆเหล่านี้ ในบุคคลหรือสิ่งนั้นมีคุณสมบัติที่เป็นความดีงามเหล่านี้ก็เป็นสิ่งที่ทำให้เรารักเหมือนกัน สองอย่างนี้เป็นสิ่งที่สำคัญมีพร้อมในตัว
ในสังคมปัจจุบันนี้น่าสังเกตว่าเรื่องของธุรกิจเป็นต้น มันจะมาเน้น มายั่ว มาเร้าในด้านที่หนึ่งนี้มาก คือท่าทีของความรักมันก็จะหนักไปในด้านที่ว่าต้องการจะเอาเขา หรือเอาสิ่งนั้นมาเป็นเครื่องบำเรอ มาทำให้เราเป็นสุขที่จะได้จะเอามาสนองความต้องการ และในแง่คุณสมบัติในตัวสิ่งนั้นก็จะมองแต่ในแง่สิ่งที่จะมาสนองความปรารถนาในการบำเรอความสุขที่ว่านั้น ก็เลยเน้นไปในด้านของวัตถุ เน้นในเรื่องของร่างกายเสียมาก ทั้งๆที่ว่าอีกด้านหนึ่งนี้ก็สำคัญ ความรักมันจะยั่งยืนต่อไปมันจะอยู่ที่คุณสมบัติส่วนที่สองคือความดีงามของสิ่งนั้น แม้แต่ความมีน้ำใจของเขาต่อเรา ความพร้อมที่จะช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกัน ความเก่ง ความรักความสะอาด ความเป็นระเบียบเรียบร้อย อะไรต่างๆเหล่านี้ต่อไปมันปรากฎขึ้นเรื่อยๆ แล้วมันจะเป็นตัวที่เด่นขึ้นมา ทีนี้ถ้าเราอยู่กับท่าทีที่หนึ่งและคุณสมบัติในตัวเขาอันที่หนึ่งไม่ยั่งยืนหรอก ไม่ช้าเราก็จะเบื่อหน่าย เกลียดชัง มันจะตรงข้าม
หนึ่ง ถ้าหากว่าอยากได้เขามาบำเรอความสุข ทำให้เรามีความสุข เมื่อไม่ได้ตามที่ปรารถนาก็ขัดใจ ก็โกรธเกลียด สอง คุณสมบัตินั้นในทางรูปธรรม เช่น ร่างกาย เป็นต้น ที่มันเปลี่ยนแปลงไป มันไม่ยั่งยืน มันเปลี่ยนแปลงไปก็เบื่อหน่าย เกลียดชัง และต่อไปก็อยู่ด้วยกันไม่ได้ก็กลายเป็นทุกข์ไป แต่ถ้าหากว่ามีท่าทีแบบที่สองอยากให้เขาเป็นสุข แม้ผู้นั้นจะทุกข์ยากเดือดร้อนเจ็บไข้ได้ป่วย เรากลับมีความรัก และความรักนั้นก็อาจจะมากขึ้นเพราะอยากเห็นเขามีความสุขเป็นต้น อันนี้มันจะอยู่ แล้วก็ต่อไปการที่ความรักแบบนั้นจะอยู่ก็อยู่ที่คุณความดีของเขา คุณความดีที่เขามี ความมีน้ำใจ การที่เขาเอื้อเฟื้อเกื้อกูล หรือว่าทำความดีอะไรต่างๆ สารพัดที่เขามี มันจะเป็นตัวที่ทำให้ความรักนั้นยั่งยืน ฉะนั้นแม้แต่การสอนเด็กก็จะต้องชี้แนะให้แยกแยะอันนี้ แล้วก็โน้มนำจิตของเขาให้ก้าวไปสู่ด้านที่สองให้มากขึ้นทั้งสองฝ่าย ทีนี้ในการอบรมเลี้ยงดู พัฒนาคนนี้ เราก็จะเห็นได้ตั้งแต่ในครอบครัวก็คือพ่อแม่นี่แหล่ะที่เป็นผู้นำในเรื่องนี้ พ่อแม่จะมาเป็นผู้พัฒนาเด็กก็คือให้การศึกษาที่จะนำเด็กไปในความรักที่เป็นกุศลมากขึ้น เพราะหนึ่งพ่อแม่ก็รักลูกด้วยความรักที่เป็นท่าทีแบบที่สอง ก็คือพ่อแม่รักเด็กและรักลูกแบบที่ว่าอยากให้ลูกมีความสุข ไม่ใช่รักลูกเพราะชอบใจถูกใจที่จะเอาลูกมาทำให้ตัวเป็นสุข พ่อแม่รักลูกเพราะอยากให้ลูกเป็นสุขอันนี้เป็นคุณธรรมความดี สองจะให้ลูกรักพ่อแม่ เราต้องพยายามให้ลูกรักพ่อแม่ด้วยเห็นความดีของพ่อแม่ เมื่อพ่อแม่มีความรักก็แน่นอนพ่อแม่ก็ทำดีจนลูกช่วยเหลือเกื้อกูลทำดีทุกอย่าง ลูกก็รักพ่อแม่ด้วยความดีของพ่อแม่ เห็นพ่อแม่ใจดี รักลูก ช่วยเหลือให้แก่ลูกทุกอย่าง ลูกเจ็บไข้ก็ทะนุถนอมมาคอยรักษา จะเหน็ดจะเหนื่อยอะไรก็เฝ้าไม่หลับไม่นอน จะลำบากยากเย็นก็พาไป ไปไหนไปไกลพาไปหาหมอพาไปไหนได้ทั้งนั้นไม่คำนึงถึงตัวเอง ความดีของพ่อแม่ทำให้ลูกรัก สองด้านนี้มันก็จะเป็นสภาพแวดล้อมที่โน้มนำจิตใจของเด็กให้เจริญพัฒนาขึ้นในความรักที่ดีงาม มันก็จะมาดุลไม่ให้เด็กเอียงไปข้างเดียว ไม่ใช่รักแบบเห็นแก่ตัว เรามาแยกกัน เรียกชื่อความรักแบบที่หนึ่งที่เราเรียกว่ามีท่าทีของการที่ถูกใจ ชอบใจ อยากให้เขามาบำเรอทำให้เราเป็นสุข เราเรียกว่า ราคะ ส่วนท่าทีแบบที่สองความรักที่อยากให้เขาเป็นสุข อยากเห็นเขาเป็นสุข เราเรียกว่า เมตตา ก็เป็นรักทั้งคู่ แต่เป็นความรักที่มาคู่กันแล้วก็คนเราควรจะพัฒนาโดยอย่างน้อยให้มันดุลกันไว้
สองคุณสมบัติของสิ่งนั้นที่ทำให้เรารักเราชอบใจ แบบที่หนึ่งก็คือเรื่องของสิ่งที่ถูกใจ สนองความต้องการของเรานั้นเป็นเรื่องที่เรียกว่า กาม แบบที่สองเรื่องของการเห็นคุณสมบัติที่ดีงาม แล้วก็เกิดความซาบซึ้ง ชื่นชม นิยม รักใคร่ขึ้นมา อันนี้เราเรียกว่า ศรัทธา เมื่อศรัทธาเกิดขึ้นมาแล้วความรักก็จะมา ศรัทธาและความรักจะทำให้มีการก้าวหน้าในคุณธรรมต่อไป เป็นกุศล เป็นการศึกษา เราก็มีการเชื่อมโยงในการเลี้ยงดูเด็กโดยการเริ่มที่ตรงนี้ก็คือพ่อแม่รักลูกด้วยเมตตา แล้วก็ทำให้ลูกรักพ่อแม่ด้วยศรัทธา ลูกจะรักพ่อแม่ด้วยศรัทธาในความดีของพ่อแม่ แต่ก่อนนี้ไม่มีสื่อ ไม่มีผู้มาแย่งหน้าที่ผู้นำเสนอโลกแก่ลูก หน้าที่นำเสนอโลกแก่ลูกแต่ก่อนเป็นของพ่อแม่แทบจะโดยสิ้นเชิง เวลานี้มีผู้มาแย่งนำเสนอโลกแก่ลูกมากเหลือเกิน เข้าไปถึงห้องนอนเด็ก พ่อแม่ตามไม่ทันแข่งไม่ไหว ทีนี้เมื่อพ่อแม่เป็นผู้นำเสนอโลกแก่ลูก พ่อแม่ก็นำเสนอด้วยคุณธรรม ด้วยความดี ด้วยความรัก ด้วยเมตตา ก็ทำให้เด็กเห็นพ่อแม่มีคุณความดีต่างๆที่ทำให้เด็กเกิดศรัทธา พ่อแม่ก็จะเป็นวีรบุรุษ วีรสตรี ในดวงใจของลูก จะเห็นว่าลูกอยากทำตามอย่างพ่อแม่ไปหมด ก็เป็นต้นแบบนั่นเอง ศรัทธาจะทำให้บุคคลที่เขารักเป็นต้นแบบของเขา เกิดความนิยมชมชื่น แล้วพ่อแม่จะต้องรักษาสถานะนี้ไว้ก็คือความนิยมชมชื่น จากที่เด็กมีศรัทธากับพ่อแม่ พ่อแม่ก็จะสามารถโน้มนำจิตใจเด็กได้ พ่อแม่ก็โน้มนำจิตใจเด็กไปสู่สิ่งที่น่าศรัทธาอื่น จะเป็นบุคคลหรือสิ่งที่ดีงามอื่นก็ได้ อาจจะเป็นบุคคลเช่นว่า ชาวพุทธก็โน้มนำเด็กให้มาศรัทธาในพระพุทธเจ้า ในพระธรรม ในพระสงฆ์ หรือว่าแต่ก่อนนี้ที่เขามีความนิยมบางยุคบางสมัยให้เด็กได้ศึกษาชีวประวัติของบุคคลสำคัญ หรือมหาบุรุษ เพราะเด็กจะได้เกิดศรัทธา เมื่อเกิดศรัทธาจะได้มีความรัก ความนิยมชมชื่นในบุคคลสำคัญนั้น เด็กก็จะไปสู่ความดีงาม ทีนี้บุคคลที่ดีงาม ที่นิยมชมชื่น ที่เขาศรัทธานั้น มันจะเป็นตัวแทนของความดี เพราะพอนึกถึงบุคคลนั้นใจเขาก็ไปอยู่กับความดี คุณสมบัติที่ดีของคนนั้น อันนี้ใจของเขาก็เป็นกุศลขึ้นมาทันทีเลย ฉะนั้นในทางพระพุทธศาสนาจึงให้ความสำคัญในเรื่องนี้มาก ก่อนที่เราจะเข้าไปสู่มรรคและพัฒนาไปสู่ปัญญามันต้องมีศรัทธามาก่อน ศรัทธานี้เป็นองค์ประกอบ เป็นคุณสมบัติสำคัญในการพัฒนาปัญญา ในการก้าวเข้าสู่มรรค อันนี้อยากจะยกให้เห็น อยากจะชี้ อยากจะย้ำ พระพุทธเจ้าจึงได้ตรัสไว้ในเรื่องนี้ว่า ชาวพุทธเมื่อได้เข้ามาสู่พระพุทธศาสนา ก่อนที่จะเข้าสู่มรรคเจริญขึ้นไปเป็นอริยบุคคลก็จะมาถึงขั้นนี้ก่อน ท่านเรียกว่าเป็นขั้นที่เจริญศรัทธาและความรัก ถึงขั้นนี้แล้วก็เรียกว่ากำลังเดินเข้าสู่มรรค ถึงขั้นนี้ก็คือมีศรัทธาเช่นในพระพุทธเจ้า แล้วก็รักพระพุทธเจ้า มันจะมาด้วยกัน อันนี้ท่านเรียกว่าศรัทธาและเปมะ คือความรักนี้มีศัพท์อันหนึ่ง ถ้าเป็นคนที่รัก น่ารัก เป็นที่รักเรียกว่า ปิยะ ทีนี้ถ้าเป็นความรักท่านเรียกว่า เปมะ ปิยะเป็นคุณสมบัติ เป็นคุณนาม เป็นที่รัก ถ้าเป็นความรักท่านเรียกว่า เปมะ มีพุทธพจน์ว่า (สัท ธา มัต ตัง เป มะ มัต ตัง) ใครมีแค่นี้ก็เรียกว่าเข้ามาสู่ความเป็นชาวพุทธ ซึ่งมีพุทธพจน์ตรัสต่อไปยาว เช่นว่า (อะ คัน ตา นิ ริ ยัง อะ คัน ตา ติ ระ ฉา นะ โย นิง อะ คัน ตา ปิ ติ วิ สิ ยัง อะ คัน ตา ปา ยะ ทุ ขะ ติ วิ นิ ปา ตัง) เอาสั้นๆบอกว่า (สัท ธา มัต ตัง เป มะ มัต ตัง) ทำให้ (อะ คัน ตา อะ ปา ยัง) แปลว่ามีศรัทธา ส่วนคำว่ามัตตังแปลว่าเพียงแค่ แค่มีศรัทธาแค่มีความรักในพระพุทธเจ้า ก็ไม่ไปอบาย เห็นไหมว่าความรักสำคัญแค่ไหน แค่ศรัทธารักพระพุทธเจ้าก็ไม่ไปอบายแล้ว นี่คือเริ่มเข้าสู่มรรค ขั้นต่อไปจากนี้จะเป็นโสดาบัน ต้องนึกให้ดี ขั้นความรัก ขั้นศรัทธานี้ พอรักถูกที่แล้วมันรักด้วยศรัทธา มันโยงไปหาคุณธรรมความดีอย่างสูงแล้ว ต่อจากนี้พอนึกถึงสิ่งที่เรารัก บุคคลที่เรารัก จิตใจจะเป็นบุญกุศลทันที พอนึกถึงพระพุทธเจ้าก็นึกถึงพระคุณความดีของพระองค์ ความระลึกถึงบุคคลที่ดีงามที่น่าศรัทธาจิตใจก็ปลาบปลื้ม สดชื่น เบิกบาน ผ่องใส เป็นกุศลทันที มันมาด้วยกันในตัวเอง ฉะนั้นเรื่องรักไม่ใช่เรื่องเล็ก เป็นเรื่องสำคัญในหลักธรรมพระพุทธศาสนา
เรื่องรักเป็นเรื่องสำคัญ เพราะฉะนั้นบุคคลที่จะเข้ามาช่วยมาสอนนั้นพระพุทธเจ้าจึงเน้นว่าให้เป็นกัลยาณมิตร และบุคคลที่เป็นกัลยาณมิตรนั้นต้องมีคุณสมบัติที่ท่านบอกไว้ 7 ประการ ความจริงไม่ได้คงที่หรอก 7 ประการนี้เป็นตัวอย่างเท่านั้น ทีนี้ใน 7 ประการ ข้อแรกขึ้นต้น ปิโย คือเป็นที่รัก กัลยาณมิตรต้องเป็นที่รัก มีธรรมเนียมที่สมัยพระพุทธกาลมีพระภิกษุที่จะไปให้โอวาทแก่พระภิกษุณี พระพุทธเจ้าไม่ได้ปล่อยเรื่อยเปื่อย พระภิกษุที่จะไปให้โอวาทแก่พระภิกษุณีได้ หนึ่งต้องได้รับการแต่งตั้งจากสงฆ์ จะไปเที่ยวสอนเองไม่ได้เป็นอาบัติ ต้องได้รับการแต่งตั้งจากสงฆ์ ที่ประชุมสงฆ์ต้องมีมติ เรียกว่าสมมุติ สมมุติแปลว่ามีมติร่วมกัน แล้วมีคุณสมบัติ 8 ประการ เช่นว่า มีศีล เป็นพหูสูตร มีความรู้ มีความสามารถ มีวาจางาม พูดดี และเป็นที่รักของภิกษุณีส่วนใหญ่ ต้องมีข้อนี้ด้วย ถ้าไม่เป็นที่รักพระองค์ก็ไม่เอาด้วย และก็มีพรรษา 20 ขึ้นไป อันนี้เป็นตัวอย่างที่พระพุทธเจ้าเน้นมาก แสดงว่า ปิโย คือเป็นที่รักนี้เป็นเรื่องสำคัญ ในทางพระพุทธศาสนาเรื่องนี้สำคัญ ในวงการศึกษาก็ต้องเน้นมาก คุณครูก็เป็นกัลยาณมิตรท่านหนึ่ง ก็เป็นผู้ที่มีคุณสมบัติข้อสำคัญข้อที่หนึ่งถ้าทำได้ก็คือ ปิโย แต่ปิโยนั้นไม่ได้มาเปล่าๆ ต้องมากับครุด้วย ครุ ก็แปลว่าน่าเคารพ เป็นผู้หนักแน่น ตั้งแต่จิตใจหนักแน่น และหนักแน่นในคุณธรรมความดีงามเป็นต้น อันนี้ก็ว่าเลยไปก่อนเพราะเราเน้นแต่เรื่องความรัก เป็นอันว่าเรื่องความรักเป็นเรื่องใหญ่เรื่องสำคัญ ในความสัมพันธ์ที่ใครจะมาช่วยคนอื่นเพื่อจะก้าวหน้าไปในการพัฒนาในการศึกษาก็ควรจะมีคุณสมบัติข้อนี้ที่เป็นที่รัก และบุคคลที่จะเป็นที่รักก็เพราะตัวเองมีความรักแบบเมตตาคืออยากให้เขาเป็นสุข และตัวเองก็มีคุณสมบัติที่ดีที่ทำให้เขารักคือมีศรัทธา เขารัก เขาถูกโยงกับบุคคลที่เขารักด้วยศรัทธา ศรัทธาก็คือความนิยมชมชื่น และกลายเป็นความเคารพ ความรัก นึกถึงด้วยใจที่อยากจะทำตามเป็นต้นแบบอะไรต่างๆเหล่านี้ นึกถึงแล้วก็ชื่นใจ สบายใจ
ศรัทธานี้ก็จะเป็นเครื่องมือที่ว่าบุคคลที่เป็นกัลยาณมิตร ที่เป็นที่รักของเขาจะมาโน้มนำเด็ก โน้มนำคนที่เขารักเราไปสู่สิ่งที่ดีงามอื่นต่อไป เพราะตอนนี้พูดกันง่ายแล้ว เพราะเขารักเรา เขามีศรัทธา จะพูดอย่างไรเขาก็ไว้ใจ เชื่อถือ พูดกันง่าย ฉะนั้นก็เป็นเรื่องสำคัญ พระพุทธเจ้าพระองค์ท่านก็เป็นกัลยาณมิตร เป็นที่รักของชาวพุทธ เป็นที่รักของคนทั้งหลาย นี่ก็เป็นเรื่องของความรักในขั้นสำคัญ เป็นขั้นก่อนที่จะเป็นโสดาบัน ทีนี้ความรักตอนนี้เราดูว่าหนึ่งความรักขั้นต้นมีราคะเป็นแกน อันนี้ยังเป็นอันตรายมากอยู่เพราะว่าเป็นเรื่องของความเห็นแก่ตัว พอรักแล้ว ก้าวออกจากตัวเองไปจริง แต่เสร็จแล้วไปติดอีก ก็คือไปผูกรัดมัดตัว แคบ จำกัด แล้วก็ทำให้เกิดปัญหาเบียดเบียนแย่งชิงกัน เลยรักแบบนี้บางทีกลายเป็นว่าทำให้เกิดทุกข์ แล้วไม่ทุกข์เฉยๆ มันเกิดภัยด้วยนะ ทุกข์นั้นก็จะเน้นไปที่ว่าทุกข์ของตัวเอง แต่ภัยก็คือเป็นทุกข์ของตัวเองและผู้อื่น ก็คือเบียดเบียนแย่งชิงกัน เราก็เลยต้องก้าวไปสู่ความรักที่ว่ามีเมตตาเข้ามา เมตตาที่อยากให้เขาเป็นสุข และความรักที่มีศรัทธาเป็นแกน แต่ท่านบอกว่าแค่นี้ก็ยังไม่ปลอดภัย ความรักที่มีศรัทธาเป็นแกนแม้จะทำให้เป็นพระอริยบุคคลอย่างพระโสดาบัน พระโสดาบันก็ยังหนักในศรัทธาอยู่และมีปัญญา ถ้าไม่มีปัญญาเลยจะก้าวไปในมรรคไม่ได้ แต่ว่าปัญญานั้นยังไม่แก่กล้าพอ ทีนี้ปัญญาจะมาช่วยให้เราพัฒนาต่อๆไป แต่ขั้นนี้ศรัทธาจะเป็นใหญ่ ถ้าศรัทธาเป็นใหญ่ถึงแม้เป็นพระโสดาบันแล้วก็ยังไม่พ้นทุกข์ ความรักในขั้นนี้ทำให้มีคุณธรรมความดีประเสริฐมีความสุขมากขึ้น แต่ยังไม่ไร้ทุกข์ยังไม่พ้นทุกข์ สุขมากขึ้นแต่ยังไม่ไร้ทุกข์ ก็ต้องพัฒนาต่อไปถึงความรักที่ไร้ทุกข์ ความรักที่ไร้ทุกข์ทำอย่างไร ก็ต้องพัฒนาปัญญาเพิ่มขึ้น ในทางพระพุทธศาสนาก็จะมีการฝึกชาวพุทธไปเรื่อยๆว่าไม่ใช่รักเพียงแค่ศรัทธา เช่นนิยมชมชื่นในความดีของท่านผู้นั้นเท่านั้น แต่ว่าให้พิจารณาเห็นและมองว่าสัตว์ทั้งหลายที่เกิดมากับเรานี้ก็เป็นเพื่อนร่วมเกิด แก่ เจ็บ ตาย ตกอยู่ใต้กฎธรรมชาติเช่นเดียวกันเรา สัตว์ทุกตัวทุกตนรักสุขเกลียดทุกข์เหมือนกัน เพราะฉะนั้นก็ไม่ควรเบียดเบียนกัน เราก็เป็นเพื่อนร่วมสุขร่วมทุกข์ เกิดแก่เจ็บตาย ควรจะรักกัน อันนี้เป็นเรื่องของปัญญาแล้ว และมันจะทำให้กว้าง เราก็เตรียมกันไปด้วยปัญญาแบบนี้ต่อไปก็จะพัฒนาจนกระทั่งว่ามันไม่ติด ไม่ข้องอยู่ และนอกจากว่าปัญญาที่มีความรักที่แผ่ขยายกว้างไปแล้ว พร้อมกันนั้นปัญญาตัวนี้มันจะทำให้เห็นความจริงของชีวิต เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา สิ่งทั้งหลายนี้ตกอยู่ใต้อำนาจความเกิดแก่เจ็บตาย มีการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ก็ไม่มีใครยืนอยู่ตลอดไป ชีวิตสังขารก็ร่วงโรยดับไปแตกสลายไปตามกฎธรรมดานี้ เมื่อมันแตกสลายไปตามกฎธรรมชาติเราก็วางใจได้ ก็ไม่ทุกข์จากการที่พลัดพรากจากกันจากสิ่งที่รัก ฉะนั้นคนที่อยู่แค่ศรัทธานี้ก็ยังมีความทุกข์จากการพลัดพรากได้ จะเห็นตัวอย่างที่ว่าท่านที่เป็นโสดาบันแล้วก็มีทุกข์ เช่นนางวิสาขา หลายท่านก็คงได้อ่านประวัตินางวิสาขาแล้ว นางวิสาขาก็เป็นอริยสาวิกาผู้ยิ่งใหญ่ เรียกว่าเป็นแบบอย่างของชาวพุทธเลย แต่ว่าท่านก็ยังมีทุกข์ ท่านอายุยืนมาก ท่านมีลูกหลานมาก วันหนึ่งหลานของท่านเสียชีวิตลง ท่านก็ร้องไห้ ก็คือเป็นพระโสดาบันนี้ยังไม่หมดทุกข์ แต่ทุกข์น้อยลง พระพุทธเจ้าเคยเปรียบทุกข์ของพระโสดาบันนี้ถ้าเปรียบกับปุถุชนทั้งหลายเหมือนกับว่าทุกข์ของคนทั่วไปของปุถุชนจะทุกข์เท่ากับภูเขาหิมาลัย แต่ทุกข์ของพระโสดาบันเท่ากับก้อนกรวด เล็กน้อยต่างกันเท่าไหร่ก็ลองนึกดู แต่ว่าขนาดก้อนกรวดนี้พระนางวิสาขาก็ยังร้องไห้เลย นางวิสาขาท่านร้องไห้ก็เพราะหลานสิ้นชีวิตไป พระพุทธเจ้าก็ให้สติว่าหลานคนนี้เธอรักใช่ไหม แล้วเขาก็จากไปก็ทุกข์ เธออยากมีลูกหลานเยอะไหม ถ้าอยากมี เช่นว่า หลานเธอมีมากเท่ากับจำนวนคนในเมืองสาวัตถึนี้ เธอก็คงต้องร้องไห้ทุกวันใช่ไหม ฉะนั้นก็ให้คิดดูในเรื่องศรัทธา พระอริยสาวิกาอย่างนางวิสาขาก็ยังไม่พ้นทุกข์ แต่ว่าท่านสุขมากแล้ว เป็นคนที่ประเสริฐอย่างยิ่งแล้ว
ต่อไปก็พัฒนาไปด้วยปัญญา ต่อไปปัญญาก็ทำให้คนเจริญไปในอริยมรรคผล จากเป็นโสดาบัน เป็นสกทาคามี เป็นอนาคามี จนกระทั่งในที่สุดก็เป็นพระอรหันต์ พอเป็นพระอรหันต์ก็จะมีความรักที่เหนือศรัทธาแล้ว พระอรหันต์นี้ท่านเรียกว่าเป็น อสสทโธ แปลว่าเป็นผู้ที่เหนือศรัทธา ไม่ขึ้นกับศรัทธา ไม่ต้องอาศัยศรัทธา เราคงเคยได้ยินพุทธประวัติ ตอนที่ว่าด้วยประวัติของพระสารีบุตร ที่ว่าพระพุทธเจ้าตรัสถามพระสารีบุตรบอกว่าเธอเชื่อไหมว่าหลักธรรมข้อนี้มีความหมายอย่างนี้ หรืออันนั้นเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ พระสารีบุตรก็ว่าใช่เป็นอย่างนั้น ใช่เป็นอย่างนี้ พระพุทธเจ้าก็ตรัสถามสารีบุตรที่เธอว่าเป็นอย่างนี้ เธอว่าเพราะเชื่อเราหรืออะไร พระสารีบุตรก็ทูลตอบว่าที่ข้าพระองค์กล่าวเช่นนี้มิใช่กล่าวเพราะเชื่อต่อพระองค์ แต่เพราะรู้ว่าเป็นอย่างนั้น นี่คือพระอรหันต์ หมายความว่าพระอรหันต์ไม่ได้ขึ้นต่อศรัทธาแล้ว แต่อยู่ด้วยปัญญา นอกจากไม่ขึ้นต่อศรัทธาแล้วก็ยังไร้ทุกข์ด้วย ไร้ทุกข์ก็คือว่าท่านรู้ความเป็นจริงของสิ่งทั้งหลาย จนกระทั่งว่าวางใจวางจิตได้ถูกต้องหมด ที่ว่าไร้ทุกข์อย่างไร พระอรหันต์ก็มีความรักแบบไร้ทุกข์ ครั้งหนึ่งพระอานนท์ไปถามพระสารีบุตรองค์เดียวกันนี้ พระสารีบุตรก็เป็นพระอัครสาวก พระสาวกที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเพราะฉะนั้นก็มีเรื่องมาบ่อยๆ พระอานนท์ก็ไปถามพระสารีบุตรว่า พระบรมศาสดา พระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรานี้ ต่อไปถ้าหากพระองค์มีอันเป็นไปท่านพระสารีบุตรจะมีความรู้สึกอย่างไร แสดงว่าพระอานนท์ท่านชักห่วงว่าพระพุทธเจ้าทรงพระชรามากแล้วต่อไปคงจะต้องปรินิพพาน ก็ไปถามพระสารีบุตร พระอานนท์นี้เป็นโสดาบันเท่านั้นระดับเดียวกับนางวิสาขานั่นแหล่ะ ก็ยังมีทุกข์ พระพุทธเจ้าจะปรินิพพานก็ร้องไห้เหมือนกัน พระสารีบุตรก็ตอบมาว่าถึงพระพุทธเจ้าพระบรมศาสดาของเราจะจากไป เราก็จะไม่เศร้าโศกเสียใจ แต่เราจะมองว่าท่านผู้มีพระคุณอันยิ่งใหญ่ บำเพ็ญประโยชน์เพื่อประชาชนจำนวนมาก ถ้าท่านอยู่นานไปก็จะเป็นไปเพื่อประโยชน์สุขแก่ประชาชนชาวโลกมากนักหนา แต่ท่านมาจากไปเสียก็เท่ากับว่าทำให้ขาดประโยชน์สุขของประชาชนชาวโลก รวมความก็คือถ้าพระพุทธเจ้าจะอยู่นานไปก็ยิ่งดีก็จะเป็นไปแก่ประโยชน์สุขของประชาชนจำนวนมาก อันนี้ก็เป็นความรู้สึกของพระอรหันต์ซึ่งต่างกับคนทั่วไปที่ยังมีความยึดติดอยู่แม้ด้วยศรัทธาที่ยังมีความทุกข์ในการพลัดพรากจากกัน อันนี้ก็ขอให้ค่อยๆคิดดูซึ่งการพัฒนาในเรื่องความรัก และความรักของพระอรหันต์ที่ไร้ทุกข์นี้ก็เป็นความรักที่ไร้พรมแดน ความรักที่ไร้พรมแดนก็คือเป็นความรักต่อสรรพสัตว์ถ้วนทั่วหน้า ไม่เลือกเป็นผู้ใดทั้งสิ้น ฉะนั้นพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ทั้งหลายก็บำเพ็ญประโยชน์สุขแก่สัตว์ทั้งหลายได้เต็มที่ ไม่จำกัด
เวลานี้เรามีการพูดว่ารักไร้พรมแดน หมายความว่าถ้าเป็นคนไทยแล้วก็จะไปรักฝรั่ง แขก จีน ที่ไหนก็ได้ ไม่จำกัดชาติ เราก็เห็นว่าไม่จำกัดชาติ ไม่จำกัดอะไรเราก็เรียกว่าไร้พรมแดน มันจริงหรือเปล่ารักไร้พรมแดน ถ้าไปรักคนอื่นชาติอื่นก็จริง มันก็จำกัดอยู่ที่คนนั้นแหล่ะ มันจะเป็นรักไร้พรมแดนได้อย่างไร มันน่าจะเรียกให้ถูกว่ารักไม่เลือกที่ หรือไม่งั้นก็บอกว่ารักไม่เลือกถิ่น ความรักไม่เลือกถิ่น หรือความรักไม่เลือกที่ ถ้ารักไร้พรมแดนมันต้องแบบพระอรหันต์ อย่างที่ว่าท่านรักเสมอกัน รักมวลมนุษย์เสมอกันทุกถ้วนหน้า อย่างนี้เราก็เป็นรักไร้พรมแดนแน่นอน ฉะนั้นก็ควรจะใช้กันให้ถูก
วันนี้ก็พูดเรื่องความรักมาเยอะ เรื่องความรักนี้เป็นเรื่องใหญ่ อย่างน้อยก็ให้เด็กพัฒนากันในเรื่องความรักให้ถูกต้อง และก็ใช้ความรักนี้มาเป็นเครื่องพัฒนาชีวิตของทุกคนให้ก้าวไปในอริยมรรคอริยผล อย่างที่ว่าเราจะอยู่แค่ความรักแบบราคะเป็นแกนไม่ได้ ความรักที่มีราคะเป็นแกนนี้เป็นอันว่าจำกัดคับแคบ ประกอบด้วยทุกข์ภัยมาก ระคนด้วยทุกข์ภัย ฉะนั้นก็ต้องก้าวไปด้วยความรักที่มีเมตตามาโอบอุ้ม พอความรักที่มีเมตตามาโอบอุ้มมันก็ทำให้มีท่าทีที่ปรารถนาความสุขแก่ผู้อื่น ถ้าเขาเกิดทุกข์ เกิดเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมา ถ้ามีความรักแบบราคะจะเกลียดทันทีเลย แต่ถ้าหากเรามีความรักแบบเมตตานี้ เขาเจ็บไข้ได้ป่วย ร่างกายเขาอ่อนแอ ซูบโทรมลง เราก็ไม่เลิกรัก แต่เมตตาของเราจะเปลี่ยนเป็นกรุณา ก็สงสารอยากจะช่วยเหลือทำให้เขาพ้นทุกข์ ความรักแบบนี้ถูกแล้ว เป็นความรักที่เป็นคุณธรรมความดี แล้วอีกด้านหนึ่งความรักที่มีศรัทธาเป็นแกนนี้เป็นสิ่งที่จะต้องปลูกฝังในเด็กให้ได้ ให้เด็กหันเหไปจากการชอบสิ่งที่สนองเพียงความปรารถนา สนองความต้องการที่ตัวชอบ ให้ไปนิยมชมชื่นในคุณสมบัติที่ดีงามของสิ่งนั้นหรือคนนั้น อย่างที่ว่ามหาบุรุษ บุคคลสำคัญของโลก เขามีความดีความสามารถอันใด คนนั้นคนนี้เขามีความดีงามอย่างนั้นอย่างนี้ เราเป็นกัลยาณมิตรเราก็ชี้ให้เด็กเห็น เด็กชื่นชม ในคุณธรรม ในความดี คุณสมบัติ ความสามารถอะไรต่างๆเหล่านี้ แล้วเด็กก็จะพัฒนาศรัทธาขึ้นมา ความชื่นชมในคนนั้นก็จะกลายเป็นความชื่นชมในความดี เสร็จแล้วจิตใจของเด็กก็จะอยู่กับความดี นึกถึงคนนั้นจะนึกถึงความดีไปด้วย เพียงแต่นึกถึงคนที่เขาชื่นชมนั้นจิตใจเขาจะดีและเป็นกุศล ก็เป็นจิตใจที่ดีงามมีสุข เป็นจิตใจที่เบิกบานผ่องใสแช่มชื่น นี่จะก้าวหน้าไปเรื่อย แล้วศรัทธาตัวนี้ก็จะเป็นเครื่องมือของเราที่จะช่วยโยงโน้มนำจิตใจของเด็กไปหาคุณธรรมความดีที่สูงขึ้นไป อย่างน้อยก็ชักนำให้เขาพัฒนาตัวเอง เช่นในการศึกษาก้าวหน้าไปในความดีงาม พัฒนาตัวเองเรื่อยไปให้มีปัญญาดีมากขึ้น พอปัญญามากขึ้นๆเด็กก็เป็นอิสระ เด็กก็จะเกิดรักไร้พรมแดน รักที่ไร้ทุกข์
เป็นอันว่า เริ่มต้นเราอาจจะมีรักที่เต็มไปด้วยทุกข์ และรักที่พาไปนรก ต่อไปก็รักที่เริ่มจะพาให้สุขมากขึ้น แล้วก็รักที่พาไปสวรรค์ได้ ตอนนี้แม้รักจะพาให้สุขมากขึ้นแต่ยังไม่ไร้ทุกข์ ยังไม่พ้นทุกข์ ต่อไปเราก็จะพาไปสู่รักที่ไร้ทุกข์ แล้วก็รักที่ไร้พรมแดน แล้วก็จะเป็นรักที่เป็นไปเพื่อทำให้คนอื่นเป็นสุขสถานเดียว เพราะตัวเองนั้นมีสุขเต็มที่แล้ว เป็นความรักของคนที่มีความสุขเต็มเปี่ยมอยู่ในตัว แล้วก็ทำเพื่อให้ผู้อื่นเป็นสุข ตอนนี้ก็คือความรักของพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ทั้งหลายที่เป็นอยู่ ปฏิบัติกิจหน้าที่ก็เพียงเพื่อเป็นประโยชน์สุขแก่ชาวโลกเพื่อให้สรรพสัตว์ได้มีความสุขนั่นเอง ก็ขอให้เรามาช่วยกันทำให้ความรักเดินไปในทิศทางที่ถูกต้อง ให้มองให้ถูกต้องว่าความรักไม่ใช่เรื่องเล็ก เป็นเรื่องใหญ่ที่เป็นคุณธรรมสำคัญในพระพุทธศาสนา อย่าไปติดกับถ้อยคำจำกัดในบริบทเช่นว่า รักทำให้เกิดทุกข์ มันก็เป็นคำพูดเฉพาะในกรณีเท่านั้น จริงอยู่ถ้าเป็นรักแบบที่ว่านี้ ถ้าเรายังไม่ถึงปัญญาที่แท้ ยังไม่หมดกิเลส ความรักนั้นยังไม่พ้นทุกข์ แต่ถ้ารักถูกก็จะทุกข์น้อยลงและสุขมากขึ้น จนกระทั่งไร้ทุกข์ รักไร้พรมแดน รักที่ตนเองของคนที่ไปรักเขาโดยมีสุขอยู่แล้ว และก็เลยไปพยายามทำให้คนอื่นเป็นสุข แล้วก็พ่อแม่นี้เป็นคนสำคัญที่จะนำเด็กให้พัฒนาในความรักเหล่านี้ ถ้าพ่อแม่พัฒนาเด็กถูกต้อง เพศศึกษาของสมัยนี้ก็จะกลายเป็นเพศศึกษาที่แท้จริง เพราะเป็นเพศศึกษาที่มีความหมายของคำว่ารักเข้ามา และเป็นความรักในความหมายที่ถูกต้องด้วย และให้เด็กพัฒนาไปในความรักที่ว่านี้ แน่นอนว่าเด็กจะมีการพัฒนาที่ถูกต้อง ก็เป็นการศึกษาที่แท้จริงและจึงจะควรเรียกได้ว่าเป็นเพศศึกษา ไม่ใช่อย่างที่ว่าเมื่อกี้ เรียนเรียกเพศพอให้อยู่เป็นผู้เป็นคนได้ ไม่ใช่อย่างนั้น เพศศึกษาก็จะต้องมาช่วยพัฒนาคนให้มีชีวิตที่ดีงาม เป็นคนที่ดีประเสริฐ ให้มีความสามารถในการสร้างสรรค์สังคมนี้ให้มีสันติสุขให้เจริญงอกงามแล้วความรักนี้ก็จะดี มาถึงวันวาเลนไทน์แล้วเราก็จะไม่รังเกียจ เราก็จะมองด้วยความเข้าใจ แล้วก็หาทางว่าทำอย่างไรเราจะช่วยเขาได้
เมื่อวันวาเลนไทน์เข้ามาสู่เมืองไทยแล้วก็เข้ามา เราก็ไม่ว่าอะไร มองในแง่หนึ่งเหมือนกับเขาแทบจะถูกทิ้งมาจากตะวันตกแล้วนะ เมื่อกี้นี้บอกแล้วว่าฝรั่งนี่ถอดเขาแล้วจากบัญชีวันสำคัญของศาสนาคริสต์ ทีนี้เข้ามาเมืองไทยถ้าเราไปตื่นเต้นตามมันก็เสีย กลายเป็นคนที่หลง เราก็ต้องรับด้วยปัญญา ต้องมีเมตตากรุณาด้วย หาทางว่าจะทำอย่างไรให้วาเลนไทน์มีความหมายที่ถูกต้อง ก็เอามาเป็นสะพานให้แก่มาฆบูชาเสียเลย เราก็เอามาฆบูชาเข้ามาใช้วาเลนไทน์นี้เป็นเครื่องพาคนไทยเข้าสู่ธรรม เอาวาเลนไทน์มาใช้พาคนไทยเข้าสู่ธรรม เพราะเรามีธรรมะของมาฆบูชาอยู่แล้วในเรื่องของความรักนี้ พอคนไทยเข้าสู่ธรรมแล้ว เราก็นำคนไทยนั้นเดินหน้าไปในมาฆบูชาที่แท้ต่อไป ตอนนี้ก็จะเป็นเรื่องของการประสานที่ถูกต้อง แล้วก็มาฆบูชาก็จะเกิดประโยชน์ในทุกสถานการณ์ คือชาวพุทธนี้ถ้าปฏิบัติถูกต้องในธรรมะมันก็ใช้ประโยชน์ได้หมดไม่ว่าอะไรมาเราต้องเอาประโยชน์ได้หมด วาเลนไทน์มาเราก็เอามาใช้ประโยชน์เสียให้มันดีไปเลย ในแง่หนึ่งเราก็พูดกันหนักหนาว่าคนไทยนี้เป็นคนที่เก่งในการรับวัฒนธรรมตะวันตกหรือวัฒนธรรมข้างนอก อะไรต่ออะไรมาจากไหนเรารับหมด แต่ว่าขออย่ารับด้วยโมหะ คืออย่ารับด้วยความตื่นเต้นตามตื่นตูมไป ต้องรับอย่างมีสติปัญญา หมายความว่ารับเข้ามาแล้วต้องมีสติปัญญารู้เข้าใจเท่าทัน แล้วเอามาปรับใช้ เอามาแก้ไข มาทำให้มันดีให้มีคุณประโยชน์เสีย ถ้าเรารับอย่างนี้เราจะเป็นนักรับที่ยอดเยี่ยม มีการปรับปรุงแก้ไขด้วย ไม่ใช่แค่เพียงปรับตัวเข้ากับสิ่งนั้นแต่เอาสิ่งนั้นมาปรับปรุงเลย มาปรับปรุงให้มันดีขึ้นด้วย อริยธรรมและวัฒนธรรมที่ดีงามมันเจริญขึ้นมาก็เพราะว่ามีความสามารถในการรับสิ่งใหม่ สิ่งแปลก สิ่งภายนอกเข้ามา แล้วมาจัดมาปรับให้เข้าในเนื้อในตัวของตนเองในทางที่ดีงามเกื้อกูลเป็นประโยชน์ได้ แล้วก็จะสมชื่อที่ว่าเรามีศักยภาพในการรับวัฒนธรรมจากนอกหรือจากต่างประเทศได้ คือรับมาแล้วไม่ใช่สักแต่ว่าตื่นตามเขาไป แต่รับแล้วเอามาปรับใช้ให้ดีงามให้เป็นประโยชน์ให้เกื้อกูลเป็นคุณแก่ชีวิตแก่สังคมของตนเองได้ อันนี้ก็เลยใช้เวลาเรื่องวันมาฆบูชาไปในเรื่องที่โยงไปหาวันวาเลนไทน์ แต่ขอย้ำว่าไม่ได้พลาดจากความหมายของมาฆบูชาเลย เป็นแต่เพียงว่าให้มาฆบูชานี้เป็นประโยชน์กว้างไปครอบคลุมหมดทุกอย่าง วาเลนไทน์ก็จะเข้ามาสู่ธรรมะได้ แล้วเราก็จะเป็นคนไทยที่มีธรรมที่แท้จริง เป็นคนไทยที่มีธรรมที่สามารถทำให้วาเลนไทน์นี้กลายเป็นวาเลนธรรม
ก็ขออนุโมทนาโยมญาติมิตรทุกท่านทุกคน วันนี้ได้พูดมาเสียยืดยาวนานในเรื่องความรัก ขอให้เห็นความสำคัญของความรัก ก็เน้นอย่างที่ว่าให้เอาความรักนี้มาใช้เป็นเครื่องมือพัฒนา แล้วก็พัฒนาคนไปในความรักนั้น ทั้งความรักที่มีราคะเป็นแกนให้มีเมตตามาโอบอุ้ม แล้วก็มีความรักที่มีศรัทธาเป็นแกนนำเราไปสู่ความรักด้วยปัญญา เป็นความรักที่ไร้พรมแดน เป็นความรักที่ไร้ทุกข์ แล้วก็นำไปสู่การมีความสุขที่แท้ เป็นรักแท้ที่ทำทั้งโลกนี้ให้มีความร่มเย็นเป็นสุขสืบต่อไป ในโอกาสนี้ก็ขออนุโมทนาโยมญาติมิตรทุกท่านที่ได้มีจิตใจเป็นบุญเป็นกุศล และในจิตใจที่เป็นบุญเป็นกุศลนั้นแน่นอนก็มีส่วนหนึ่งที่สำคัญเป็นพื้นฐานก็คือความรัก โยมทุกท่านมีความรักอันหนึ่งก็คือความรักที่เกิดจากศรัทธาในพระรัตนตรัย อันนี้เป็นความรักที่อาตมาบอกแล้วโยมจำให้แม่นว่า (สัท ธา มัต ตัง เป มะ มัต ตัง) เพียงแค่มีศรัทธาและความรักก็นำไปสู่สวรรค์ พระพุทธเจ้าตรัสว่า (อะ คัน ตา อะ ปา ยัง) ไม่ไปอบายแล้ว แล้วก็ (สัก คะ ปะ รา ยา นา) มีสวรรค์เป็นที่ไปในเบื้องหน้า ใครมีศรัทธาและมีความรักที่ถูกต้องอย่างน้อยมีสวรรค์เป็นที่ไปในเบื้องหน้า แล้วจะก้าวไปสู่ความเป็นพระโสดาบันต่อไป โยมทุกท่านมีอันนี้เป็นพื้นฐานแล้วก็ถือว่าเข้ามาสู่ทางที่ถูกต้อง ก็ขอให้ทุกท่านเจริญงอกงามต่อไปด้วยบุญด้วยกุศล ด้วยความสุขไร้ทุกข์ แล้วก็ช่วยกันทำชีวิตของเรานี้ให้ดีงาม แผ่ประโยชน์และความสุขให้กว้างขวางออกไปเพื่อให้ชีวิต สังคม และโลกนี้ร่มเย็นเป็นสุขสืบต่อไปตลอดกาลทุกเมื่อเทอญ