แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ไฟล์ถอดเสียงนี้ยังไม่ได้ผ่านพิสูจน์อักษร นำขึ้นมาเพื่อช่วยในการศึกษาค้นคว้าของผู้สนใจ
มาคุยกันต่อ มีใครจะมีอะไร ใครสงสัยอะไรก็ถามอีก
()มีคำถามถาม กราบเรียนพระเดชพระคุณหลวงพ่อ คือว่า อยากให้พระเดชพระคุณหลวงพ่อ
ให้สติกับคนไทยที่มองสถานการณ์ความขัดแย้งในบ้านเมืองตอนนี้ ซึ่งหลายๆ คนมีความหดหู่สิ้นหวัง
มองหาทางออกไม่เจอ เราควรวางท่าทีต่อเหตุการณ์ความขัดแย้งนี้อย่างไรครับ
มาถามอะไรกับผม ผมไม่ค่อยรู้เรื่องรู้ราว มีความรู้น้อย ได้รู้เห็นเหตุการณ์น้อย ข่าวสารข้อมูล
ก็จำกัดมาก แต่ก็มองเห็นสถานการณ์กว้างๆทั่วๆ ไป แต่นี้ว่า คนก็อย่าไปสิ้นหวังซิ 02:00คำสอนทาง
พุทธศาสนาท่านบอก เกิดเป็นคนต้องหวังเรื่อยไป ว่างั้นนะ แล้วก็ต้องพยายามเรื่อยไป ???
ก็แปลว่า เป็นคนก็ต้องเพียรยายามเรื่อยไปจนกว่าจะบรรลุจุดหมาย อันนี้เป็นคำสอนระดับชาดก
แต่ก็เป็น ถือว่าเป็นพุทธพจน์ เพราะอยู่ในพระไตรปิฎก ที่เคยเล่าละนะ อยู่ในส่วนที่เป็นคาถา
ทีนี้ว่าถึงเหตุการณ์เฉพาะหน้า ปัจจุบันนี้ ก็จะได้ยินเตือนกันเรื่อย ว่าให้มีสติ ก็แน่นอน เราเคยคุย
กันแล้วนะ บอกว่า สตินั้นจำปรารถนาทุกกรณี จำปรารถนาก็คือต้องใช้ ที่ว่า สติ ??? 03:00
ก็ต้องใช้ทั้งนั้น แม้แต่เดิน ไม่มีสติเดี๋ยวก็ล้มเท่านั้น เดี๋ยวก็สะดุดใช่ไหม แน่นอนต้องมีสติ
ทีนี้ สติในภาษาที่เราพูดกัน เราจะละอีกข้อธรรมหนึ่ง หรือองค์ธรรมอีกข้อหนึ่ง ไว้ฐานที่เข้าใจ
ตามปกติเราไม่ได้พูดถึงสติอย่างเดียว สติอย่างเดียวมันไม่พอ สติจะมากับสัมปชัญญะ
สติจะเป็นตัวเริ่มให้ เป็นตัวดึงจับกำกับไว้ อะไรทำนองนี้ เหนี่ยวรั้งอะไรต่างๆ ก็จนกระทั่งทำให้
ตรวจตราได้ แต่ทั้งหมดนี้ก็ต้องมีสัมปชัญญะด้วย ถ้ายังกว้างเราก็พูดว่า สติปัญญา จะเห็นว่า
สองอันนี้ จะพูดสติสัมปชัญญะบ้าง สติปัญญาบ้าง จะเป็นปัญญาหรือสัมปชัญญะ นั่นก็คือหมายถึง
ปัญญา แล้วก็มี สติ เป็นตัวเริ่ม นี้เราก็ มักจะพูดกันแค่สติ ไปๆ มาๆ ก็เลยมักจะลืมไปว่า
ที่จริงนะ ต้องมีสัมปชัญญะ แล้วก็เน้นด้วยนะ สติมันก็ช่วยเหนี่ยวรั้งดึงไว้ อะไรกำกับไว้นะ
ทีนี้ว่า ที่มันดึง มันกำกับได้ผลดี เพราะรู้นะ เพราะมีสัมปชัญญะ สัมปชัญญะเนี่ยะ ก็เป็นความ
ตระหนักรู้ เวลาเราให้สติกำกับอยู่ ยิ่งปัญญามันดี มันชัด อะไรต่ออะไร ก็ยิ่งได้ผล มันก็มาช่วยกัน
มันมาเป็นปัจจัยแก่กันและกัน ถ้าไม่มีสติ เจ้าสัมปชัญญะ ปัญญามันก็ไม่มาก็ไม่ทำงาน
หรือแต่ว่า สัมปชัญญะ ปัญญา ไม่ดีพอ สติมันก็ทำงานได้ในวงจำกัดใช่ไหม เหมือนอย่างนายประตู
เออ นายประตูเนี่ยะ เค้าเทียบ ท่านเทียบเหมือนสติ นายประตูหรือทวารบาล แม้กระทั่งคนเฝ้า
ประตูวัง ประตูเมือง เอาเลย เฝ้าประตูเมือง เปรียบเหมือนสติทำหน้าที่อะไรละครับ ก็ตรวจตรา
ตรวจตราก็ต้องรู้ว่า คนยังไงควรจะให้ผ่าน คนยังไงไม่ควรให้ผ่านใช่ไหม มีสติอย่างเดียว ก็จับดึง
ตรึงไว้ แล้วจะไปดึงยังไง ก็ต้องมีสัมปชัญญะ มีปัญญาใช่ไหม ปัญญาเป็นตัวสำคัญนะ
รู้ว่าอะไรเป็นอะไร เนี่ยะอย่างในสถานการณ์อย่างเนี่ยะ สติจะทำงานได้ผล มีสัมปชัญญะ
รู้อะไรดีอะไรชั่ว รู้อะไรถูกอะไรผิด รู้ออกไปจนกระทั่งว่า ตามเหตุปัจจัย ตามเหตุอันนี้ ผลจะออก
อย่างนั้น แล้วถ้าทำไม่สมควรแล้วผลบานปลายยังไง มองเห็นหมด สติมันก็กำกับให้เป็นไปอยู่ใน
ขอบเขตของปัญญาที่บอกให้ ปัญญามันก็บอกให้ งั้นในเวลานี้ สำคัญมากก็คือ ต้องมี
สัมปชัญญะด้วย ก็มีทั้งสติและสัมปชัญญะ ก็เน้นบอกว่า สัมปชัญญะนั้นก็คือ ความรู้ เข้าใจ
ทัน ว่าอะไรดี อะไรชั่ว อะไรถูก อะไรผิด อะไรจะก่อให้ความเสียหาย จะเกิดผลร้ายตามมา
บานปลายอย่างไร นี่เราจะต้องคุมไว้ให้มันอยู่ในขอบเขต แล้วตอนนี้ก็เอาว่า สติ ช่วยระวังคุม
เหนี่ยวรั้งไว้ กำกับไว้ ไม่ให้มันบานปลายหรือว่าเกิดผลเสียหายเป็นรุนแรงอะไรเป็นต้น ตอนนี้ก็
เหมือนกับว่าคล้ายๆ พอให้ผ่านสถานการณ์นี้ไปได้ก่อน ไม่ให้เกิดเรื่องร้ายแรงอะไรขึ้นมา แต่ว่าเรา
ไม่ควรได้ประโยชน์ทั้งนั้น ตอนนี้ก็เป็นอันว่า ทั้งสองฝ่ายเนี่ยะก็ให้มีสติกำกับ โดยมีปัญญารู้ว่าอะไร
ต่ออะไรเนี่ยะ ไม่ได้มี ถ้าไปทำอะไรรุนแรงไม่ได้เกิดผลดีขึ้นกับประเทศชาติสังคมเลย แล้วก็พยายาม
ไม่ให้เกิดเรื่องร้ายแรง ประคับประคองให้ผ่านเหตุการณ์นี้ไป ทีนี้ อีกอย่างหนึ่งก็คือว่า พร้อมกันนั้น
เนี่ยะ เราควรจะได้ประโยชน์ระยะยาว เรื่องสถานการณ์นี้มันก็เป็นเรื่องชั่วคราว ผ่านไป เดี๋ยวก็
ผ่านไป ถ้าสังคมจะได้ประโยชน์ที่แท้จริงก็ระยะยาว ก็ต้องโยงเรื่องนี้ไปสู่ผลระยะยาว การที่จะ
แก้ไขปัญหาได้ของสังคมไทย เนี่ยะเป็นเรื่องทำระยะยาว ไม่ใช่ว่าจะแก้ได้ตอนนี้ละ แม้แต่ว่าจะ
เอาชนะเอาแพ้กัน มันก็ไม่ได้ผลอะไรต่ออะไร ใช่ไหม เพราะว่าเหตุปัจจัยนี้เราสะสมกันมานานละ
สังคมไทยจะต้องแก้ปัญหากันไปอีกยาวไกลเลย อีกอันหนึ่ง ก็คือว่า เออ นอกจากสติ คอยระมัดระวัง
กำกับคุมกาย วาจา ใจของตัวเอง ให้อยู่ในขอบเขตที่ดีงาม ถูกต้องจะเป็นประโยชน์แล้ว ก็สังเกตสังกา
ไปด้วย สติมันก็จะช่วย สติสัมปชัญญะมาช่วยกัน ก็ดู เราก็ไม่เอาแค่พอใจไม่พอใจ หรือว่ามุ่งไปที่ว่า
ถ้าเป็นฝ่าย ก็ฝ่ายไหนชนะ จะแพ้ อะไรเป็นยังไงยังงั้นอย่างนี้ ได้แต่คอยวิจารณ์ ไม่ใช่อย่างนั้น
ดูไปด้วย สังเกตเรื่องเหตุปัจจัยต่างๆ สถานการณ์ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น มันก็แสดงออก เป็นอาการ
อย่างหนึ่งของสังคม ถ้าเหมือนชีวิตร่างกายของเรา ก็เหมือนกับโรค มันมีอาการของโรคออกมา
แล้วตัวโรคมันอยู่เบื้องหลัง มันก็ต้องมีใช่ไหม ทีนี้ เราจะได้ประโยชน์ก็คือว่า ดู คนจะเป็นฝ่ายไหน
ก็ตามที่มาแสดงออก เนี่ยะ ในแง่หนึ่งดูด้วยความรู้เข้าใจแล้วก็จะเห็นใจกัน บางทีเอาละ คนที่จิตใจ
ไม่ดีก็มี มีความประสงค์ร้ายอะไรต่ออะไร แต่รวมแล้วกว้างๆ ทั้งหมด มันก็มี โรคเป็นสมมติ
ฐานอยู่ลึกๆ ลงไป มันเป็นโอกาสหนึ่งที่เราจะได้ดูสภาพสังคมของเรา แล้วก็เหตุปัจจัยที่อยู่เบื้องหลัง
แม้แต่คุณภาพของคน การแสดงออกอะไรต่างๆ เหล่าเนี่ยะ โรคอย่างหนึ่งก็คือว่า ความเจ็บป่วย
ไม่สบาย ความทุกข์ยากในสังคมนี้ที่มีอยู่ ผู้ที่มาแสดงออก แสดงความไม่พอใจ หรือมาพูดถึงเรื่อง
ร้ายๆ ต่างๆ เหล่าเนี่ยะ ก็ เราก็ต้องยอมรับความจริงว่ามีหลายระดับ บางคนก็พูดเป็นเหตุเป็นผล
บางคนก็มีความรู้กว้างขวาง พูดตรงตามเป็นจริงบ้าง พูดอาจจะบางแง่บางมุมจับเอาแง่ที่ตัวต้องการ
จะพูดบ้าง อะไรอย่างเนี่ยะนะ เราก็อย่าไปถือสา มองด้วยความรู้เท่าทัน แต่ว่าเราเอาว่า อะไรที่มัน
แฝงอยู่ในนี้ ที่ว่าจะเป็นประโยชน์แก่ส่วนรวมระยะยาว ไม่ไปเพ่งเล็งโทษเค้าละ เช่นอย่าง
คนที่มีความทุกข์มีปัญหา บางคนไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ แต่ว่าตัวเองนะมีอาการของทุกข์อยู่ เคยเปรียบเทียบ
เหมือนอย่างกับเด็กเล็กๆ แกร้องไห้แกก็ไม่รู้ว่าแกเป็นอะไร ที่จริงแกไม่สบาย แกไม่สบายในท้องแกมั่ง
มีโรคนั้นโรคนี้ แกไม่รู้อะ ใช่ไหม เด็กก็ร้องแงแงแง แต่แกก็ไม่รู้ว่าแกเป็นอะไร คนไทยเวลานี้ไม่น้อย
ก็เหมือนเด็กร้องไห้แงแง ใช่ไหม ตัวเองเค้าก็ไม่รู้ว่าตัวเหตุที่แท้มันคืออะไร ทีนี้คนที่รับผิดชอบต่อ
สังคมอย่ามัวไปตื่นเต้น อย่ามัวไปหลงตามอ้ายเรื่องปรากฎการณ์ภายนอก ที่มัวแต่วิจารณ์กันในแง่นั้น
แง่นี้ คนนั้นถูกคนนี้ผิด ดูอาการเนี่ยะแล้วก็อาจจะมองเห็นลึกลงไป อาการไม่สบาย โรคภัย
ไข้เจ็บ ที่เป็นมูลเหตุ โรคของสังคมไทยนี้คงจะเยอะอยู่ สังคมไทยนี้ป่วยพอสมควร ป่วยใช่ไหม
ท่านก็ยอมรับ ก็เนี่ยะ มันอาการป่วยแสดงออก ยิ่งเป็นเด็กด้วยก็ร้องไห้แงแง ก็ไม่รู้ว่าอะไร เนี่ยะ
เราต้องช่วยเขา ก็สังเกตดู เออ เขามีทุกข์มีร้อนอะไร เราก็จะได้เอาไว้ใช้แก้ไขระยะยาว อย่างนี้เค้า
เรียกว่า เหตุการณ์เกิดขึ้นมาแล้วได้ปัญญา ก็ต้องให้ได้ปัญญา ให้ได้ประโยชน์ ได้ความรู้ ไม่ให้
ผ่านไปเปล่า ไม่ใช่ผ่านไปเปล่า แล้วบางทีเจ็บตัวกันไปแล้วไม่ได้เรื่องได้ราวอะไรนะ ผ่านไปแล้ว
ก็ได้แต่วิจารณ์กันว่าอย่างนั้นอย่างนี้ ประโยชน์ไม่ได้เลย แล้วก็เป็นโอกาสที่จะฝึกตน สถานการณ์
อะไรไม่ดีขึ้นมา เราก็ต้องฝึกตนทั้งนั้นนะ นี่ถ้าเรารู้จักมองรู้จักพิจารณา เราก็ได้ฝึกปัญญาของเรา
ด้วย แล้วก็ได้ฝึกตนกับสถานการณ์ที่เช่นไม่น่าพอใจ แล้วจะแสดงออกอย่างไร ได้ฝึกตัวทั้งนั้น
ฝึกตัวว่าถ้าสถานการณ์อย่างนี้มันเกิดขึ้นแล้วเนี่ยะ เราจะเอาแต่ตามพอใจของเรา ไม่พอใจของเรา
แสดงออกอย่างนั้นไม่ได้ แสดงออกอย่างไรจะเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม แล้วก็พิจารณา ไอ้นี้แหละ
สติสัมปชัญญะมันจะทำงานไปเรื่อย แล้วก็ได้ฝึกตนไปด้วย แล้วก็มองกว้างออกไป ก็อย่างที่บอกเนี่ยะ
ปัญหาสังคมไทยเนี่ยะ มันเป็นเรื่องต้องแก้ไขระยะยาว สะสมเหตุปัจจัยมานาน เหตุการณ์อย่างนี้
มันเป็นสิ่งที่มาช่วยเตือนเรา มาเร้าเตือนว่าคุณอย่ามัวนิ่งเฉยประมาทอยู่ ต้องเห็นชัดแล้วว่าเวลานี้
ผลร้ายเนี่ยะมันแสดงออกชัดเจนละ ต้องรีบหาทางแก้ไขปัญหาระยะยาวให้ได้ เอาแล้วตอนนี้
จะได้ประโยชน์ ถ้าเรามองในแง่หนึ่ง เพราะสังคมทั้งหมดเนี่ยะ มันก็เป็นผลรวมของการที่คนไทย
เราเนี่ยะช่วยๆ กันสร้างขึ้นมา ใช่ไหม ก็มันเป็นผลรวมที่เราทุกคนต้องรับผิดชอบ ก็ต้องช่วยกัน นี้
เอามองกันในแง่หนึ่ง คือที่ว่าทุกคนได้รับผิดชอบสร้างขึ้นมานะ มองในแง่เหตุการณ์นี้เป็นทาง
การเมือง ก็หมายความว่าทั้งนักการเมืองทั้งหลาย ใหญ่น้อยจนกระทั่งถึงชาวบ้านเนี่ยะ ได้มีส่วนร่วม
ในการสร้างสภาพสังคมที่มีผลร้ายปรากฎขึ้นมา หรืออาการโรคของสังคม เป็นอันว่า โดยเฉพาะผู้ที่
เป็นระดับผู้นำเนี่ยะ พวกนักการเมืองจะต้องสำนึกในความรับผิดชอบนี้ให้มาก ว่าเรามีส่วนในการ
สร้าง เราสร้างมันขึ้นมาอย่างไร แต่ว่าอย่าไปลืมนะ ประชาชนทุกคนก็มีส่วน แล้วโดยเฉพาะ
ก็คือ นักการเมืองเหล่านั้นละ เป็นผลการสร้างของประชาชน หมายความว่า นักการเมืองเหล่านั้น
นะ จะร้ายหรือไม่ร้าย ดีก็ตามนะ ประชาชนสร้างเค้าขึ้นมา ประชาชนทุกคนจะต้องรับผิดชอบ
ท่านเชื่อไหมว่า นักการเมืองไทยนี้คนไทยสร้าง จริงไหมฮะ เพราะฉะนั้น อย่าไปมองข้ามจุดนี้
ถ้าคุณจะไปติเตียนนักการเมืองเราเป็นอย่างนั้นไม่ดีอย่างนี้ เราจะต้องรับผิดชอบด้วย จะแก้
ไม่ได้ ทั้งคนไทยนี้ไปเป็นนักการเมือง ทั้งคนไทยนี้เลือกนักการเมืองเหล่านี้ ตลอดจนกระทั่ง
ก็รวมแล้วในแง่สังคมทั้งหมดก็สร้างกันขึ้นมา นี่ก็เป็นเรื่องระยะยาวทั้งสิ้นเลย เพราะเหตุการณ์นี้
เป็นเพียงเครื่องเตือน เตือนสติ แล้วก็ให้ใช้ปัญญากันให้มาก แล้วก็อย่ามองแค่สถานการณ์บัดนี้
แต่ว่าให้มองระยะยาวจะต้องแก้ไขกันจริงจัง เราประมาทมานานแล้ว ปล่อยปะละเลย
เสร็จแล้ว อ้าว เหตุการณ์ผ่านไปที ก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา ก็มาเจอสถานการณ์อย่างนี้อีก ถ้าไม่แก้ไข
แล้วเดี๋ยวก็ต้องเจออีกแหละ ไม่หมด สถานการณ์อย่างนี้เราจะแก้ได้จริง ก็คือ ต้องแก้ระยะยาว
ก็เป็นอันว่า เราต้องคิดให้ดีเรื่องนี้ เรื่องการแก้ปัญหาระยะยาว แล้วเอาสถานการณ์เฉพาะหน้า
มาเป็นประโยชน์ อย่างน้อยก็ได้ประโยชน์ หนึ่งเป็นเรื่องเร้าเตือน ให้เร่งตื่นขึ้นมาไม่ประมาท
ตื่นขึ้นมาแก้ไขปัญหา สองเราก็จะได้สังเกตอาการโรคของสังคมนี้ จับเหตุจับปัจจัยมันจะชัดขึ้นมา
ในตอนนี้มากขึ้น แล้วเอาไปใช้ประโยชน์ระยะยาว สังคมไทยก็อย่างเนี่ยะนะ แล้วก็มักจะอยู่ใน
ความประมาทเท่าที่มอง พูดมาเรื่อยเลย เรื่องคนไทยนี่ประมาทเยอะเหลือเกิน ท่านคงเห็นด้วยนะ
เพราะฉะนั้น ตื่นตัวกันมาซะที เอาจริงเอาจังเร่งแก้ไข ปรับปรุงคุณภาพคน คุณภาพคนเป็น
ปัญหาหนักที่สุดของสังคม เชื่อไหมฮะ เพราะฉะนั้นก็มองสถานการณ์นี้ด้วยความรู้เท่าทัน เข้าใจ
เห็นใจ ไม่ต้องไปว่าด่าอะไรกันมากนะ เอาประโยชน์ระยะยาว ก็อย่างที่ว่า เด็กร้องไห้แงแงมาก็
อย่าไปด่าเด็กเลย ก็ช่วยดูว่า เออ เค้ามีทุกข์มีร้อนอะไร ทุกข์ที่แท้เขาไม่ใช่อันที่เขาร้องไห้หรอก
มันมีทุกข์ที่เป็นของแท้ที่เขาเองไม่รู้ ถ้าเราไม่แก้อันนี้ ก็เรากับสังคมนี้ก็ต้องประสบชะตากรรมจาก
ความประมาทของตนเองเรื่อยไป นิมนต์ครับ
(มีคำถามอีกข้อครับ คือว่าทางออกหรือทางชนะของประเทศไทยมันจะมีไหม แล้วมันจะเป็นอย่างไร
ครับ)
ก็มีซิครับ ก็นี่แหละ พัฒนาตน ฝึกฝนตน ไม่ประมาท ตั้งอยู่ในความไม่ประมาท แล้วที่ไม่ประมาท
สำคัญก็คือ ไม่ประมาทในการศึกษานะฮะ หลักธรรมอันนึง ความไม่ประมาทในการศึกษา ต้องรู้จัก
เรียนรู้ รู้จักฝึกตน รู้จักจับพวกข้อมูล เหตุปัจจัยอะไรต่างๆ ที่จะสร้างสรรค์พัฒนา แก้ไขปัญหา ก็มอง
แค่มองในแง่จะแก้ไขปัญหา เราจะจับจุดได้ดีขึ้นไม่มัวหลงตามสถานการณ์ เพราะสถานการณ์
มันชวนให้มองในแง่ ที่พระท่านว่ายินดียินร้าย คือชอบชัง ชอบใจไม่ชอบใจ ถ้าเมื่อไหร่เราเผชิญ
สถานการณ์ด้วยท่าทีของจิตใจแบบชอบใจไม่ชอบใจ เราต้องนี่แหละมีสติมาทำหน้าที่ เตือนบอกเลย
ว่านี่เรากำลังจะพลาดแล้วนะ การรับรู้ของพุทธศาสนาที่พระพุทธเจ้าสอนไว้ก็คือ จุดแรกก็คือ ไม่รับรู้
ด้วยความชอบชังหรือยินดียินร้าย อย่าติดอยู่แค่นี้ พอเราไปชอบชังยินดียินร้าย ทีนี้เตลิดเลย มันก็ปรุง
แต่งไปตามที่ชอบไม่ชอบ แล้วก็เกิดปัญหา งั้นก็พอว่าถูกใจไม่ถูกใจ ก็ไม่ไปตามมันละ ไม่หลงกระแส
ไม่อยู่ใต้อิทธิพลของมัน ชอบชังไม่เอาละ ตอนนี้ใช้ปัญญาพิจารณา แล้วก็ค้นสืบสาวเหตุปัจจัย
สังเกตดู มันก็จะได้ปัญญา แล้วก็เห็นทางที่จะปรับปรุงแก้ไข ก็รวมแล้วก็คือว่า เวลานี้สังคมที่
ป่วยนั้น มันแสดงอาการออกมา แล้วเราทำไมไม่เอาประโยชน์จากการที่อาการมันออก ก็จะได้สืบสาว
หมอตรวจโรคก็เริ่มจากอาการนี้แหละ ถ้าไม่มีอาการ หมอก็ไม่ได้มีจุดเริ่ม พอมีอาการมาหมอก็ได้
จุดเริ่มที่จะตรวจโรค ใช่ไหม แล้วก็จะค่อยๆ สืบสาวเหตุปัจจัยวินิจฉัยโรคอะไรต่ออะไรได้ แล้วก็
พอวินิจฉัยโรคได้ ก็จะค่อยๆ วางแผนการในการที่จะบำบัดรักษาต่อไป
(ควรจะหมอที่จะรักษาโรคของสังคมไทย)
โอ๊ย อย่าไปมัวรอเลย ทุกคนเนี่ยะเป็นทั้งนั้นเลย ทุกคน แต่ว่าดูที่ความรับผิดชอบด้วย รับผิดชอบ ก็ผู้ที่
มีความรับผิดชอบต่อสังคม นี่สถานะบอกเค้าอยู่แล้ว อย่างนักการเมืองเนี่ยะ ก็มีสถานะต้อง
รับผิดชอบชัดเจน ทีนี้ก็เป็นอันว่า สภาพของสังคมทั้งหมดเนี่ยะ เป็นผลรวมจากการสร้างสังคมไทย
ก็จากการสร้างสรรค์ของคนไทย คนไทยสร้างสังคมนี้ แต่ทีนี้คนแต่ละคนอย่าไปรอให้สังคมสร้างตัว
นี้อีกชั้นหนึ่ง ถ้ารอให้สังคมสร้างตัว แล้วสังคมมันก็ทำให้เรากลับไปอยู่ในวงจรนี้อีก คนที่จะแก้ปัญหา
สังคม ก็คือคนที่เห็นปัญหาของสังคม แล้วก็ปลีกตัวออกให้พ้นปัญหานั้น กระแสปัญหาแล้วก็จะเป็น
ผู้นำในการที่จะแก้ไขปัญหาและสร้างสรรค์ให้สังคม ถ้าสังคมมันเดินทางผิด สู่วิถีที่ผิด ก็จะมีผู้นำให้
เดินออกจากกระแสที่ผิด สร้างกระแสใหม่หรือทิศทางใหม่ เป้าหมายจุดหมายใหม่ แต่เวลานี้
เคยพูดกันว่า สังคมไทยเนี่ยะ ไม่มีเลยแม้แต่ปัจจุบันนี้ เป้าหมาย จุดหมายรวม จุดหมายรวมของสังคม
ไม่มี เป็นสังคมที่ไร้จุดหมาย อยู่กันไปแต่ละคน ก็ว่ากันไปแต่ละคนของตัวเอง จุดหมายของแต่ละคน
เช่นผลประโยชน์เฉพาะหน้า ว่ากันนัวเนียไปหมด แล้วผลประโยชน์ของแต่ละคนมันก็มาขัดกัน ใช่ไหม
พอขัดกัน มันก็ทะเลาะเบาะแว้งกัน เหมือนกับเคยเปรียบเทียบแล้วละ เหมือนไก่ในเข่ง ใช่ไหม
ไก่ในเข่งมันไม่รู้หรอก จุดหมายก็คือทุกตัวเนี่ยะ เค้านำไปสู่อะไร เขียงเดียวกัน อยู่ในเข่งเดียวกัน
แล้วก็ไปสู่เขียงเดียวกัน แต่ว่าไก่ทั้งหลายหาสำนึกไม่ มันอยู่ในเข่งเนี่ยะ มันก็มองกันไปมองกันมา
เหยียบเท้ากันไปเหยียบเท้ากันมา มันก็ทะเลาะกัน จิกตีกัน ว่ากันนัวเนียหมด เสร็จแล้ว ในที่สุดเป็นไง
ก็ขึ้นเขียงเดียวกันหมด ใช่ไหม เนี่ยะ สังคมไทย ถ้าไม่ตระหนักให้ดี ก็เป็นสังคมไก่ในเข่ง ใช่ไหม
เพราะฉะนั้นก็ต้องเนี่ยะ เอาเป็นว่า เราก็มองในแง่ใช้ปัญญา โยนิโสมนสิการ มองเหตุปัจจัย มองด้วย
ความรู้เท่าทัน มองด้วยความเข้าใจ เห็นใจ แต่ว่าไม่ใช่ตามใจ เข้าใจเห็นใจแต่ไม่ตามใจ ก็หาทาง
แก้ไขไป จับเหตุปัจจัยให้ได้ แล้วก็สถานการณ์นี้จะช่วยทำให้เราได้ปัญญา แล้วเราก็มาวางแผนระยะ
ยาวว่าจะแก้ไขสังคมนี้อย่างไร ต้องช่วยกันสร้างสรรค์
(ต้องการเห็นใจแต่ไม่ตามใจ) ครับ ตามใจไม่ได้ (แล้วเราไม่ทำให้เขาขัดใจหรือครับ)
ไม่สิ เราอย่าไปขัดใจทันที ใช่ไหม เราต้องค่อยๆ ค่อยๆตะล่อม แม้แต่ว่าที่ไม่ตามใจเขาเนี่ยะ ไม่จำเป็น
ต้องขัดใจ ถ้ารู้จักวิธีจัดการดำเนินการที่ดีเนี่ยะ ก็จะทำให้เขาคล้อยตาม อย่างน้อยก็ตะล่อม ให้มันเข้า
สู่ทิศทางที่ถูกต้อง แล้วเขาก็ค่อยๆ สำนึกรู้ตัว คนเหล่านี้ถ้าพูดกันดีๆ บางทีก็เข้าใจก็จะค่อยๆ มองเห็น
ว่าเออ อะไรมันผิดอะไรมีถูก ในที่สุด ก็อย่างที่ว่าอย่างน้อยผลรวมมันก็เกิดขึ้นแก่ประเทศชาติสังคม
เดียวกันนี่แหละ ผลร้ายก็เกิดขึ้นทันที แต่เราก็ต้องเห็นใจในแง่ที่ว่า เอาละ อย่างน้อยก็ได้มาแสดง
อาการป่วยของสังคมให้เห็น ถ้าเราไม่ได้เห็นอาการป่วย ก็หนึ่งก็อาจจะไม่ค่อยได้รู้ สองก็คือไม่มี
เครื่องเตือนกระตุ้นเร้าให้เอาใจใส่ ก็จะเพลินประมาทต่อไป อย่างน้อยก็ได้ประโยชน์ในแง่
ที่ว่ามันมาทำให้นอนนิ่งอยู่ไม่ได้ ก็เลย ก็เลยลุกขึ้นมากระตือลือล้น จะดิ้นรนขวนขวาย แต่ถ้าไม่
จับจุดไม่ถูก ก็ดิ้นผิดอีกแหละ แทนที่จะดิ้นรนขวนขวาย เพื่อจะมาแก้ไขปัญหาระยะยาว ก็ไปเที่ยว
เอาคิดกันแต่ห้ำหั่นกันว่า ทำไงฉันจะชนะฝ่ายโน้น ระยะยาว แต่กลายเป็นระยะยาวในการชนะกัน
มันไม่ใช่ระยะยาวที่เป็นประโยชน์ส่วนรวมของสังคม ตกลงว่าต้องมองทั้งในแง่ที่ว่า สังคมนี้มีอาการ
ป่วยที่เป็นผลรวมของเหตุปัจจัยของสังคมนี้ ที่คนในสังคมไทยได้ร่วมกันสร้างขึ้น และในการแก้ไข
ก็แก้ไขเหตุปัจจัยนั้น ที่ดูสืบค้นได้จากการจับอาการนั้นออกมา แล้วก็แก้ไขระยะยาว แล้วก็แต่ละคน
นั้น ที่มีปัญญา ก็อย่าให้ตัว อย่ายอมให้ตัวเป็นเพียงผลของสังคมนี้ หรือผลที่สังคมนี้สร้างขึ้น
เท่านั้น แต่ต้องเป็นผู้สามารถที่จะแก้วิถีของสังคมได้ด้วย นำสังคมออกไปสู่วิถีทางที่ถูกต้อง
มันต้องเดินทางอะไรผิดพลาดบ้างละนะ (เป็นประสบการณ์ ) เป็นประสบการณ์ที่ต้อง ประสบการณ์
พิเศษที่ว่ามันมีประสบการณ์ในเรื่องความเจ็บป่วย นิมนต์ครับ
(มีคำถามว่า สำหรับผู้ที่มีปัญญาแล้ว จะมีวิธีการในการทำยังไงให้เกิดผลประโยชน์ครับ)
ก็นี่อย่างน้อย เราก็ไม่หวั่นไหวไปกับกระแส เรื่องราวนี้ อย่างน้อยก็ไม่ตกเป็นทาสความชอบชัง แล้วเรา
ก็มองคนทั้งหมดเหล่านั้นที่อยู่ในสังคมด้วยว่า เราก็จับเอาที่เป้าหมาย ที่เราอยากจะดูที่ว่าอาการ
แสดงออกความเจ็บป่วยเนี่ยะ อ้ายตัวแท้ของโรคมันอยู่ไหน คืออะไร แล้วก็มองในแง่ของการแก้ไข
ปัญหาระยะยาว ที่ว่า การพัฒนาคนสำคัญมาก ย้ำมาเรื่อยเลย คนไทยจะต้องพัฒนาคุณภาพกัน
เหมือนอย่างเรา แม้แต่ประชาธิปไตยเดี๋ยวเนี่ยะ กี่ปีแล้วประเทศไทยที่บอกว่าปฏิวัติมาเป็นประชา
ธิปไตย กี่ปีครับ (75 70 80 78ปี) ถ้า 78 ปีเนี่ยะ คนไทยก็ยังมีรู้จักประชาธิปไตยกันไม่เท่าไหร่
เชื่อไหม อะไรประชาธิปไตย ชาวบ้านบางทีก็แค่เลือกตั้ง นึกว่ารูปแบบการเลือกตั้ง นั่นคือประชา
ธิปไตย ถูกไหมฮะ สมัยก่อนนี้ นึกว่าพานรัฐธรรมนูญที่อนุเสาวรีย์ นั่นคือประชาธิปไตย ก็แสดงว่า
ไม่รู้เรื่อง ใช่ไหม ความหมายของประชาธิปไตย ไม่รู้เข้าใจ นั้นคนไทยเรานี่ก็ต้องยอมรับข้อ
บกพร่องตัวเองไม่ค่อยแสวงปัญญา จริงไหมครับ ไม่เอาใจใส่เรื่องปัญญา หาความรู้ไม่เอา สังคมที่
จะเจริญพัฒนาในเรื่องของประชาธิปไตย มันต้องเป็นสังคมที่มีปัญญา เพราะเราต้องการให้แต่ละคน
มามีส่วนร่วมในการปกครอง แต่ละคนก็ต้องมีปัญญามีความรู้ ไม่งั้นจะมาร่วมในการปกครองได้ไง
เมื่อต้องการปัญญา แล้วไม่พัฒนาปัญญา แล้วมันจะไปรอดได้ยังไง ประชาธิปไตยมันจะเกิดได้
อย่างไรใช่ไหม งั้นองค์ประกอบสำคัญของสังคมประชาธิปไตยก็คือ การศึกษา เพื่อพัฒนาปัญญา
มนุษย์ ให้มนุษย์เป็นคนที่มีปัญญา มนุษย์ที่มีปัญญาก็จะรู้จักว่า อะไรถูก อะไรผิด อะไรเป็น
ประโยชน์ อะไรไม่เป็นประโยชน์ อะไรจะเป็นเหตุปัจจัยแห่งความเสื่อมความเจริญ จะดำเนินการ
ทำอะไรกับสังคมนี้ อะไรจะทำให้สังคมเจริญ เสื่อม จะทำยังไง จัดการยังไงได้ ก็มีส่วนร่วม
ในการปกครอง ก็มีส่วนร่วมในการตัดสินใจ ทีนี้คนไม่มีความรู้เข้าใจ ตัดสินใจไม่ถูก ถูกไหมฮะ
ตัดสินใจมันก็ตัดสินใจผิด การปกครองนั้นอยู่ที่การตัดสินใจนะ ถูกไหม คนใดมีอำนาจตัดสินใจ
คนนั้นคือผู้กุมอำนาจการปกครอง ทีนี้ เดิมนั้นอะ สมบูรณาญาสิทธิราชย์ก็คือ องค์ราชาเป็นผู้
ตัดสินใจผู้เดียว ทีนี้ เรากลัวว่า ท่านจะตัดสินใจตามชอบใจไม่ชอบใจ ถ้าตัดสินใจด้วยปัญญา
ก็มีทางที่ดี ตัดสินใจด้วยปัญญา ก็คืออย่างที่ว่า เริ่มจากมีสติสัมปชัญญะ รู้อะไรถูกผิดชอบชั่วดี
อะไรเป็นประโยชน์ ไม่เป็นประโยชน์ แล้วตัดสินใจในสิ่งที่ดีงามถูกต้องเป็นประโยชน์ แต่ทีนี้
ถ้าไม่มีสติสัมปชัญญะ ก็เอาตามชอบใจไม่ชอบใจ อ้ายตัวคนนี้ ข้าชังมันก็ตัดสินใจฆ่ามัน อ้ายคนนี้
ชอบใจมันก็เอามันมาเลี้ยงใช่ไหม นี่นี่ตัดสินใจ นี้เราก็เกรงว่านักปกครองที่เป็นสมบูรณาญาสิทธิราชย์
มันไม่สบายใจ ถ้าได้คนดีตัดสินใจดีก็ดีไปเลย ถูกไหมฮะ ตัดสินใจโดยไม่คิดถึงตัวเองละไม่เอาความ
ชอบใจไม่ชอบใจ เอาเหตุเอาผล แล้วเป็นคนมีปัญญาจริงๆ ด้วยใช่ไหม รู้ว่าอะไรเป็นประโยชน์กับ
ประเทศชาติสังคม แหม ท่านก็ตัดสินใจได้ดีสิเพราะท่านมีเมตตากรุณาหวังประโยชน์สุขกับประชาชน
แล้วมีปัญญารู้ด้วยว่า อะไรดีอะไรจะเป็นประโยชน์ได้คนอย่างนี้ปกครอง เป็นผู้มีอำนาจตัดสินใจสูงสุด
ตัดสินใจทีไรก็เป็นประโยชน์อย่างเดียว แต่ทีนี้ มันยากมันไม่แน่นอนไปฝากอำนาจตัดสินใจว่าไว้กับ
คนเดียว31:00เกิดเปลี่ยนใจจากตาคนนี้เป็นตาคนโน้น ตาคนโน้น???เอาแต่ชอบใจไม่ชอบใจ
ตายเลยทีนี้ ดังนั้น เค้าเลยคิดระบอบกันขึ้นมา เอะ จะเอาระบอบไหนดี เนี่ยะก็คือ จะเอาระบอบที่ว่า
ฝากอำนาจตัดสินใจไว้กับใครนั่นเอง พูดในแง่หนึ่งนะ จะเอาคณะตัดสินใจ เค้าเรียกว่า คณาธิปไตย
ก็ได้คณะนั้นอีก ก็ดีเหมือนกันละ แต่ว่า ไปๆมาๆ อ้ายคณะนี้มันก็เห็นประโยชน์กับพวกมันอีก ทำไงดี
ก็ไม่ได้ความอีก ก็คิดไปกันมา ก็เอ้าให้ประชาชนมีส่วนร่วมกันเนี่ยะ เอ้าจะมีส่วนร่วมกันได้ยังไง
ทุกคนปกครองด้วยกัน ก็ไม่สามารถมาประชุมพร้อมกันหมด ใช่ไหม ใช้ระบบตัวแทนเข้ามา ก็สร้าง
ระบบประชาธิไตยแบบมีตัวแทน ก็คือพยายามวางระบบให้ดีที่สุด เพื่อจะได้มอบอำนาจตัดสินใจไว้
กับคนเนี่ยะ เราก็ไปเลือกเอาคนที่เรานึกว่า ที่ดีที่สุดละ มีคุณธรรม มีสติปัญญา แล้วจะตัดสินใจ
ใช้อำนาจตัดสินใจในทางที่จะเป็นคุณเป็นประโยชน์ แล้วก็ไปเลือกตั้งคนนี้ขึ้นมา คนนี้ก็เข้ามาในสภา
แล้วก็มาเลือกได้นายกรัฐมนตรี เนี่ยะเป็นหัวหน้าผู้มีอำนาจตัดสินใจเลยใช่ไหม เนี่ยะในที่สุด ขณะนี้ก็
คือว่า นายกรัฐมนตรีใช่ไหม เป็นผู้มีอำนาจตัดสินใจสูงสุด แต่ทีนี้ก็ไม่ไว้ใจกันเต็มที่ ระบบก็มาคอยคุม
หาทางใช้ระบบมีองค์กรนั้นองค์กรนี้มาควบคุมอำนาจตัดสินใจของตัวผู้นำไม่ให้มันเด็ดขาดหรือเอา
ง่ายๆ เกินไป มีทางเช็คมีทางอะไรกันบ้าง ทำไปทำไปซับซ้อนบางทีกลายเป็นว่าอีตาคนนั้นฉลาดกว่า
เอาอ้าย เจ้าพวกนั้นมาเป็นเครื่องมือ เลยตกลงว่าถ้าไม่พัฒนามนุษย์ ก็ไปไม่รอดอยู่ดี ถูกไหม
ไม่พัฒนามนุษย์ เดี๋ยวมันก็ ระบบมันก็กลายเป็นเครื่องมือของบุคคลนั่นเอง ก็ต้องได้ 2 อย่าง
มาประกอบกัน ระบบก็ต้องดี แล้วพัฒนาคนก็ต้องดี แต่ในที่สุดสิ่งที่ขาดไม่ได้ก็คือ พัฒนามนุษย์
เพราะว่าระบบมันก็อยู่ด้วยมนุษย์ มนุษย์สร้างขึ้น แล้วพอมนุษย์มีอำนาจ มนุษย์ก็จัดการเปลี่ยนแปลง
ปรับระบบใหม่อีกใช่ไหม เพราะฉะนั้นก็เอาระบบมาเป็นเครื่องมือของมนุษย์ที่ดี มนุษย์ที่ดีมีปัญญา
มีทั้งนั่นแหละ เราจึงเอาพระพุทธเจ้าตั้ง???หนึ่งบริสุทธิ์ สบายใจละท่านไม่เห็นแก่ตัวไม่เอาเพื่อตัวเอง
ขั้นที่หนึ่งก็สบายละ สองมีปัญญา โอ ทีนี้รู้หมดละ อะไรดีอะไรชั่ว อะไรเป็นประโยชน์ไม่เป็นประโยชน์
ยิ่งคนส่วนใหญ่ ประโยชน์ของประเทศชาติของมหาชนทั้งหมด อะไรมันจะเป็นประโยชน์ทั้งระยะสั้น
ระยะยาวใช่ไหม แหม ท่านผู้นี้จะต้องมีปัญญาดีจริงๆ วินิจฉัยเหตุการณ์อะไรต่ออะไรได้
เหตุการณ์อย่างนี้เกิดขึ้นมาจะเกิดผลดีผลร้ายยังไง มันจะไปเชื่อมโยงกับเหตุปัจจัยนั้น
จะก่อผลสะท้อนไปอย่างนั้นอย่างนี้ มองออกหมด ปัญญาก็ดีแล้วก็เจตนาดี เจตนาดีก็คือประกอบ
ด้วยความรักประชาชน ความรักประชาชนก็เทียบพระคุณของพระพุทธเจ้าก็คือ มหากรุณา มุ่งไป
ประโยชน์สุขของประชาชนใช่ไหม ปัญญาก็ดีแล้ว ใจเจตนายังมุ่งเพื่อประโยชน์สุขประชาชน
เพราะฉะนั้น การใช้อำนาจตัดสินใจเป็นไปด้วยปัญญาที่มุ่งเพื่อประโยชน์สุขกับประชาชน ก็สบายสิ
ใช่ไหม ทีนี้แต่ละคนประชาชนก็มีคุณภาพ มีปัญญาอย่างงี้ แล้วก็ไปเลือกคนที่ ในที่สุดจะได้คน
อย่างนี้ขึ้นมา นี้ถ้าแต่ละคนราษฎร ไม่มีคุณภาพเลยก็เลือกตามชอบใจไม่ชอบใจอีกใช่ไหม เออ
เวลาไปเลือกตั้งก็เลือกตามชอบใจไม่ชอบใจ อะไรเป็นเครื่องกำกับความชอบใจไม่ชอบใจ ได้สตัง
พอได้สตังก็ชอบใจ ไม่ได้สตังก็ไม่ชอบใจ อย่างนี้เป็นไงประเทศชาติ ก็หมด มันก็ไปไม่รอด มันก็อยู่
ในวงจรนี้เแหละ เดี๋ยวก็ป่วย เดี๋ยวก็มาร้องไห้กันอีก สังคมไทยก็ไม่พ้นสังคมเด็กร้องไห้งอแง นี่ไม่ได้
ว่านะ แต่ว่ามันจริงไหม อาการอย่างนั้นนะ แกไม่รู้นะว่าตัวแกเป็นโรคอะไร จริงไหม แต่ว่ามีทุกข์
ทุกข์มีอยู่ แต่ว่าไม่รู้อะไรกันแน่ เพราะฉะนั้น เค้าดูเค้าเองไม่ออก เราอย่าไปว่าอะไรเค้าเลย เราต้อง
ช่วยพิจารณา แต่ว่าเราอย่ามัวเพลินไปตามกระแสชอบชังชอบใจไม่ชอบใจ แล้วก็มีความ
ปรารถนาประโยชน์สุขกันทุกคนถ้วนหน้า พอจะเห็นนะฮะ ว่าเข้าใจ เห็นใจแต่ไม่ตามใจ แล้วก็อย่างที่
ว่าอำนาจตัดสินใจเนี่ยะเรื่องใหญ่ อำนาจการตัดสินใจเนี่ยะเป็นตัวสำคัญที่สุด แล้วสังคม
ประชาธิปไตยก็คือสังคมที่พยายามให้ทุกคนเนี่ยะมีอำนาจตัดสินใจ แต่ว่าเราใช้อำนาจตัดสินใจขั้นต้น
ก็ที่การเลือกตั้ง ตัดสินใจว่าเราจะเอาคนไหนที่ไว้ใจได้ว่า จะไปใช้อำนาจตัดสินใจแทนเราได้ดีที่สุด
เรื่องใหญ่นะครับ เพราะฉะนั้น ต้องให้ชาวบ้านตระหนักรู้เนี่ยะ คุณกำลังจะมอบอำนาจตัดสินใจ
ของคุณให้คนนี้ อย่าไปคิดแค่ว่า เค้าจะให้อะไรเราแล้วประเทศชาติเนี่ยะมันก็อยู่ที่การตัดสินใจ
ใช่ไหมฮะ วิถีของสังคมนี้มันไปตามการตัดสินใจ เพราะงั้นต้องจำไว้ให้แม่นเลย อำนาจตัดสินใจ
เรื่องใหญ่ นิมนต์ถามต่อ นิมนต์ครับ