แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
0ไฟล์ถอดเสียงนี้ยังไม่ได้ผ่านพิสูจน์อักษร นำขึ้นมาเพื่อช่วยในการศึกษาค้นคว้าของผู้สนใจ
การที่อู้อุ่นใจมากมั่นใจว่านี่มีภัยอันตรายท่านจะมาช่วยเรา กับการที่เราแก้ไขอันตรายได้ด้วยตนเอง เอาอันไหนดีกว่ากัน อันหลังดีกว่า เราจะยอมจมอยู่แค่ระดับหวังพึ่งอุ่นใจสบายใจแค่ไหนนั้นหรือเราจะพัฒนาสู่การพึ่งตนเองได้ แก้ไขปัดเป่าปัญหาได้ด้วยตนเอง ถ้าอย่างงี้เราแบ่งคนเป็น 3 ระดับ
ระดับที่ 1 คือ คนที่ช่วยตัวเองก็ไม่ได้ไม่มีความสามารถแล้วก็ไม่มีที่พึ่งเลย ไม่มีความหวังว่าใครจะช่วย ขาดความหวังขาดความอุ่นใจขาดกำลังใจนี่ พวกที่หนึ่ง
พวกที่ 2 นี่มีความหวังจากอำนาจภายนอกคนอื่นหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์จะมาช่วยอุ่นใจมีกำลังใจ พวกที่สอง
พวกที่ 3 นี่มีความสามารถจะกำจัดภัยอันตรายด้วยตนเองพึ่งตนเองได้
3 พวกนี่ อ้าวลองวัดสิครับ ระดับไหนดีที่สุด ระดับ 3 แล้วระดับไหนลองลงมา ระดับ 2 ยังมีความอุ่นใจ แล้วที่แย่ที่สุดก็คือระดับ 1 เอานะอันนี้โดยทั่วไปใคร ๆ ก็ตอบอย่างงี้ อย่าเพิ่งบางทีไม่แน่ ทีนี้เอาละโดยมาตรฐานสามัญก็ต้องว่าอย่างนี้ การที่มีที่พึ่งให้ความอุ่นใจก็ยังดีนะ แต่ว่าอันที่ 1 ที่ 2 นี่ไม่เด็ดขาด คนที่ไม่มีที่หวังว่าจะมีใครมาให้พึ่งมาช่วยนี่ กับคนที่มีหวังมีอุ่นใจที่ใครจะช่วยนี่ ดูก่อนว่าผู้ที่หวังพึ่งมีคนจะช่วยนี่จะมีจุดอ่อนอะไรบ้าง จุดอ่อนอย่างน้อย 2 ประการ
1 การที่หวังพึ่งผู้อื่นได้ ทำให้รอคอยและไม่เพียรพยายามที่จะใช้ปัญญาบำบัดปัญหาด้วยตนเอง ไม่ดิ้นรน ไม่ทำความเพียรพยายามอุ่นใจแล้วก็นอนรอสิใช่ไหม เอาละทำให้อ่อนแอใช่ไหม ตกอยู่ในความประมาท เพราะปล่อยเวลาเพื่อหวังพึ่งตัวเองก็เลยไม่ได้พัฒนาตัวเองด้วย ไม่พัฒนาตัวเองด้วยตกอยู่ในความประมาทด้วย ที่นี้ 1 แล้วนะหวังพึ่งเขา
2 อะไร 2 ก็คือความไม่ชัดเจนว่าสิ่งเหล่านั้นก็ยังไม่รู้ว่าท่านจะช่วยจริงหรือเปล่า บางทีถึงกับช่วยได้จริงหรือเปล่าด้วยใช่ไหม แล้วช่วยได้จริงจะมาช่วยหรือเปล่าในเวลาที่ต้องการ แล้วเราเองจะต้องทำแค่ไหน ความไม่ชัดเจนเรื่องนี้เป็นอันตรายมากนะ มนุษย์นี่ถ้าไม่มีความชัดเจนว่าเขาจะช่วยแค่ไหนตัวต้องทำแค่ไหนนี่อันตราย ทำให้ลี ๆ รอ ๆ หันรีหันขวางแล้วก็ไม่ทำการอะไรให้ชัดเจนลงไป ทีนี้เราไปเทียบกับคนที่ไม่มีความหวังเลยอาจจะแย่เลยหรือไม่งั้นจะดิ้นเต็มที่ คนที่รู้ว่าไม่มีใครช่วยเด็ดขาดแล้วนะมันจะดิ้นสุดฤทธิ์เชื่อไหมแล้วเขาอาจจะเข้มแข็งและอาจจะเลยหน้าพวกที่ 2 ได้ ฉะนั้นการที่มีความหวังจากการช่วยของผู้อื่นนี้มีอันตรายอย่างที่ว่ามาแล้ว 2 ประการ การหวังพึ่งก็ทำให้อ่อนแอแก่ตนเอง แล้วก็การที่ไม่ชัดเจนนี้จะทำให้หันลีหันขวางทำอะไรก็ไม่ทำให้ชัดลงไป อันนี้เรื่องนี้เป็นแม้แต่ไม่เฉพาะอำนาจช่วยเหลือจากสิ่งศักดิ์เล้นลับนะอำนาจที่เราจะหวังพึ่งจากภายนอกนั้นมี 2 แบบ คือ 1 จากมนุษย์ด้วยกัน 2 จากสิ่งศักดิ์สิทธิ์อำนาจเล้นลับที่มองไม่เห็น แม้แต่การหวังพึ่งในหมู่มนุษย์ด้วยกันก็มีอันตราย ในสังคมใดที่มนุษย์ช่วยเหลือกันดี ช่วยเหลือกันจริง ๆ ด้วย ซึ่งอาจจะช่วยกันดีกว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์เพราะแน่นอนกว่า แต่เมื่อมนุษย์หวังพึ่งกันได้แล้วจะทำให้คนจำนวนไม่น้อยนี่รอคอยความช่วยเหลือ แล้วด้วยความหวังพึ่งผู้อื่นนั้นก็ไม่ทันการไม่ดิ้นรนขวนขวายก็จะอ่อนแอและตกอยู่ในความประมาทเป็นเหตุอ่อนแอทั้งของสังคมเลยทีเดียว ประการที่ 2 การช่วยเหลือนั้นไม่ชัดเจน แม้แต่ในระดับประเทศ เช่นว่ารัฐบาลกับประชาชน รัฐบาลให้ความหวังแก่ประชาชนว่าจะช่วยเหลือแต่ไม่ได้ทำความชัดเจนว่ารัฐบาลจะช่วยได้แค่ไหน ประชาชนต้องทำเองเท่าไร ถ้าอย่างนี้ประชาชนจะลี ๆ รอ ๆ จะทำอะไรก็ไม่ทำหันลีหันขวางอันนี้เขาจะช่วยหรืออะไรก็ไม่แน่ ความช่วยก็ยังไม่แน่นอนจะมาสักทีเลยไม่เป็นอันทำอะไร ถ้าอย่างนี้ไม่ช่วยเลยเด็ดขาดดีกว่า ถ้าไม่ช่วยเลยมันรู้แน่นอนไปแล้วมันจะดิ้นสิ้นสุดฤทธิ์อย่างที่ว่า ถ้าคนเรามันรู้ว่ามันต้องทำแล้วนะไม่มีใครเอาด้วยไม่มีใครช่วยใช่ไหมต้องทำเนี่ย มันจะทำการแล้วมีความเข้มแข็งขึ้นมา ฉะนั้นอันตรายจากการหวังพึ่งผู้อื่นนี้จึงมีทั้ง 2 สถาน 1 การที่หวังพึ่งได้ก็อ่อนแอ รอคอยตกอยู่ในความประมาท 2 ความไม่ชัดเจนว่าจะช่วยแค่ไหนก็จะทำให้หันลีหันขวางลีรอทำอะไรก็ไม่ทำให้เด็ดขาดลงไป นั้นอันนี้เป็นคติไม่เฉพาะการสัมพันธ์กับสิ่งศักดิ์สิทธิ์แม้แต่ในหมู่มนุษย์ด้วยกันเอง เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าจึงสอนหลักธรรมว่าอย่าอยู่แค่เมตตากรุณามุทิตาต้องถึงอุเบกขาด้วยนะ เพื่อจะได้แก้ปัญหาเรื่องนี้ แล้วก็ในหมู่มนุษย์ที่ว่า เช่นความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลกับประชาชนต้องระวัง อย่าให้ประชาชนอยู่ด้วยความหวังแล้วไม่ชัดเจนว่า เขาจะต้องทำแค่ไหนนะต้องให้เด็ดขาดลงไปเลยต้อทำความชัดเจนถืออันนี้เป็นเรื่องสำคัญมากว่ารัฐบาลจะช่วยแค่ไหนประชาชนต้องทำเท่าใด อันนี้ต้องชัดที่สุด ถ้าไม่ชัดนั้นคือความเสื่อมของสังคมทันทีเลย บอกแล้วว่าถ้าจะช่วยแบบนี้ไม่ช่วยดีกว่า ถ้าไม่ช่วยให้รู้ว่าไม่ช่วยเด็ดขาด เธอจะต้องทำเองเขาจะดิ้นแล้วเขาจะเข้มแข็งขึ้นมา เอาละครับเป็นอันว่า เพราะฉะนั้นไม่แน่ว่าระดับ 1 กับระดับ 2 นี่ใครจะดีกว่ากันใช่ไหม อย่าไปนึกว่าคนที่ไม่มีความหวังพึ่งใครไม่ได้นี่จะแย่กว่าคนมีที่หวังพึ่งเพราะว่าความหวังพึ่งนั้นมีโทษที่ทำให้อ่อนแอ แล้วก็ความไม่แน่นอนเด็ดขาดในการที่ต้องดิ้นรนขวนขวายทำเองตกอยู่ในความประมาทเป็นต้น
เพราะฉะนั้นการหวังพึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์อำนาจเล้นลับนั้น พระพุทธเจ้าจึงไม่ทรงสนับสนุน ตอนนี้จุดแยกที่สำคัญมาก มาช่วยได้เฉพาะให้กำลังใจในการกระทำการ เช่นหายกลัวเวลาพระไปปฏิบัติธรรมในป่าที่พูดไปแล้ว พระพุทธเจ้าให้หลักว่าระลึกถึงพระพุทธเจ้าจะได้หายกลัวแล้วมีกำลังที่จะมาปฏิบัติแต่สิ่่งที่จะต้องปฏิบัติชัดเจนอยู่แล้วใช่ไหม พระจะต้องปฏิบัติหน้าที่ ไอ้การที่มาช่วยให้กำลังใจนี่ไม่ไปทำให้ขัดขวางการที่ท่านจะปฏิบัติกิจหน้าที่ แต่ไปส่งเสริมกำลังขึ้นไป แต่ถ้าการเชื่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์หวังพึ่งนี้มันมาทำให้เราเลยคิดว่าคนอื่นมาช่วยแล้วเราก็เลยไม่ต้องทำแสดงว่าเราจะไม่ มันการที่เชื่อหวังพึ่งหรือการเกิดกำลังใจครั้งนี้ไม่ไปสนับสนุนการกระทำของตนผิดเลยทันทีใช่ไหม มันกลายเป็นไปหยุดการกระทำเลยหยุดความเพียร มันต้องเป็นตัวหนุนความเพียร ฉะนั้นจึงใช้ได้ไปหยุดความเพียรผิด นี้การหวังพึ่งนี้ทำให้ผิดเพราะว่าหวังพึ่งทำให้ตนเองไม่เพียรพยายามจุดนี้พลาด เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าไม่ได้ปฏิเสธว่า เทวดามีจริงหรือไม่มี พระพุทธเจ้าไม่ปฏิเสธฤทธิ์เดชปาฏิหาริย์มีหรือไม่มี รับเลยมี เทวดามี อิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์มีจริง ไม่ไปเสียเวลาเถียง ๆ ไปก็ไร้ประโยชน์ เถียงไปร้อยปีพันปีไม่รู้จักจบไม่มีชนะกันละครับ ถ้าเถียงว่าเทวดามีไม่มีนะอีกห้าพันปีก็เถียงไม่จบ เถียงว่าฤทธิ์ปาฏิหาริย์มีจริง ไสยศาสตร์ทำได้จริงไหมเถียงอีกห้าหมื่นปีไม่จบเชื่อไหม เถียงไปทำไมแล้วก็รอ เพราะเถียงเสร็จจึงปฏิบัติได้ไม่ได้เรื่อง พุทธศาสนาท่านไม่ให้รอการปฏิบัติของพุทธศาสนาไม่ต้องไปขึ้นไม่ต้องรอการเถียงเหล่านี้ ยอมรับก็ได้มีก็มีเป็นไรไป เทวดามีก็มี ฤทธิ์ปาฏิหาริย์ไสยศาสตร์มี ฉันก็ไม่พึ่ง นี่พุทธศาสนาเด็ดขาดตรงนี้ เทวดามีฉันก็ไม่หวังพึ่ง ฤทธิ์ปาฏิหาริย์มีฉันก็ไม่หวังพึ่งไม่ต้องรอเขาเถียง แกจะเถียงก็เถียงกันไป แกจะเถียง ๆ ไปฉันไม่รอฉันปฏิบัติได้ทันทีนี้จับจุดนี้ให้ได้ พุทธศาสนาไม่ต้องเถียงนะก็มันเด็ดขาดไป มีไม่หวังพึ่งแล้วจะยุ่งอะไรอีกใช่ไหมก็เด็ดขาดหมดเรื่องไปแล้ว นี่เดี๋ยวนี้ยังจับจุดนี้ไม่ได้ไปเถียงกันอยู่นั่น เอ้อคล้าย ๆ ว่า เอ้อถ้าเถียงกันถ้ารู้ว่ามีก็ต้องหวังพึ่งใช่ไหมก็อยู่ที่นั่นเองเลยไม่เป็นอันปฏิบัติ พุทธศาสนาเด็ดขาดมากตรงนี้ นั้นเราก็เลยไม่ต้องกับการถกเถียงของใคร พระพุทธเจ้ามีฤทธิ์ใช่ไหม มีฤทธิ์มากใครจะมีฤทธิ์เท่าพระพุทธเจ้า แต่พระพุทธเจ้าใช้ฤทธิ์ทำอะไรบ้าง ในพุทธประวัติมีไหมครับ 45 พรรษา พระพุทธเจ้ายอดคนมีฤทธิ์เคยใช้ฤทธิ์บันดาลผลให้ศิษย์คนไหน มีไหม จริงไหม อ้าวแล้วทำไมพระพุทธเจ้ายอดมีฤทธิ์แล้วทำไมไม่ใช้ฤทธิ์บันดาลผลที่ต้องการให้แก่ลูกศิษย์ แก่สาวก แก่ชาวพุทธ เดี๋ยวชาวพุทธคนนี้มีเรื่องอยากได้นี่ก็ไปหาพระพุทธเจ้าช่วยบันดาลไม่มีใช่ไหม พระพุทธเจ้านี่หลักการของเราชัดมีเหตุผล ทั้ง ๆ ที่มีทำได้จริงแต่ไม่เอา เทวดาเรายอมรับมีให้อยู่กันอย่างมิตรอย่าไปอ้อนวอน อย่าไปหวังพึ่งทำหน้าที่ของกันและกันเสร็จแล้วเทวดาดีมีคุณธรรมจะช่วย ๆ ด้วยคุณธรรมสิใช่ไหม เรื่องจะเป็นอย่างนี้ในตำนานคัมภีร์พุทธศาสนา เราไม่ต้องไปหวังพึ่ง ไม่ต้องไปอ้อนวอนขอความช่วยเหลือ ถ้าเทวดาดีมีคุณธรรมก็ต้องช่วยคนดี ถ้าเทวไม่มีคุณธรรมก็ต้องรอให้คนไปอ้อนวอนให้เครื่องเซ่น ถ้าให้เทวดารอเครื่องเซ่น ไอ้คนดีไม่ได้เซ่นก็ไม่ได้ช่วย คนร้ายเซ่นก็ช่วย เอ้อย่างนี้มันจะยุติธรรมหรือ ต่อไปศีลธรรมก็เสียหมด ระบบในสังคมมนุษย์ก็เสีย เทวดาก็เสียไปด้วยกันนะ ในหมู่มนุษย์นี่นะ คนมีอำนาจมีทรัพย์เราก็ไม่ควรไปรอหวังพึ่งใช่ไหม เราก็ควรจะทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด เมื่อเราทำดีแล้วคนมีทรัพย์มีอำนาจ ถ้าเขามีคุณธรรมเขาต้องมาช่วยคนดีสิ คนดีคนตกทุกข์ได้ยาก ยากไร้ก็ต้องมาช่วยด้วยคุณธรรมไม่ใช่ต้องไปรอให้ไปอ้อนวอนอะไรอย่างนั้น ถ้าต้องไปอ้อนวอนอย่างนั้นระบบสังคมก็เสียถูกไหม ตัวคุณธรรมก็ไม่มี ฝ่ายคนอ่อนแอก็หวังพึ่งไอ้คนที่ฝ่ายมีกำลังก็ต้องเอา เรียกว่าต้องใช้การยกย่องสรรเสริญเยินยอหรือการที่เอากิเลสอะไร เอาผลตอบแทนเครื่องเซ่นอะไรเข้าว่านั้นก็เสีย ทีนี้ยิ่งไปสัมพันธ์กับเทวดาด้วยมันจะไม่เสียเฉพาะสังคมมนุษย์ มันจะเสียสังคมเทวดาด้วย เทวดาก็จะไม่เป็นอันไปปฏิบัติพัฒนาตนเอง ตัวเองก็ยังมีกิเลสโลภะโทสะ แทนที่จะปฏิบัติธรรมขัดเกลาพัฒนาตัวเองก็มองมนุษย์คนไหนจะเซ่นฉัน จะเอาเครื่องเซ่นมาให้มากจะไปช่วยคนไหน แทนที่จะไปดูว่าคนไหนเขาดีแล้วไปช่วยนี่ ไปดูว่าเขาให้เครื่องเซ่นแล้วไปช่วยอย่างนี้จะไปใช้ได้ที่ไหนละ นั้นเทวดาในพุทธศาสนาไม่รอเครื่องเซ่นครับ เรามีเรื่องเทวดา เทวดาก็เหมือนมนุษย์นี่ต้องช่วยด้วยคุณธรรม ถ้าคนไหนทำความดีเดือดร้อนแล้วเทวดาต้องอาสน์ร้อนเอง นี่ไม่มีการไปขอเซ่นไหว้เลย
ในตำนานพุทธศาสนาอันนี้จะต่างกับของฮินดูชัด แต่ชาวพุทธเองก็ไม่เคยสังเกตต่างกันอย่างไร ของฮินดูต้องนี่ไปบูชายัญไปหาพราหมณ์เออ เทวดาองค์นี้มีฤทธิ์เก่งในทางบันดาลนี้ องค์นี้เก่งทางบันดาลลาภ องค์นี้เก่งในบันดาลยศ องค์นี้เก่งในทางบันดาลลูกให้ องค์นี้เก่งทางอะไรก็ไม่รู้บันดาลเก่ง แล้วเทวดาองค์นี้ชอบเครื่องเซ่นแบบนี้ ชอบเครื่องเซ่นแบบนี้ อ้าวใครอยากได้อะไรก็ต้องไปหาพาหมณ์ใช่ไหม พราหมณ์เป็นผู้เชี่ยวก็บอกว่า เอ้อแกอยากได้อย่างนี้ต้องเทวดาองค์นี้ เอ้าแล้วเทวดาองค์นี้ชอบอย่างนี้ก็จัดเครื่องอย่างนี้ถูกไหม พราหมณ์ก็สบายสิได้ค่าตอบแทนในการจัดพิธีใช่ไหม แกก็ได้เงินได้ทอง แกก็กุมอำนาจในการที่ติดต่อกับเทพเจ้าไว้ใช่ไหม ที่นี้มนุษย์ก็สัมพันธ์กับจากเทพเจ้าต้องเอาเครื่องเซ่นมาบูชายัญเอาใจหนักเข้า หนักเข้า ก็ต้องฆ่าสัตว์ ฆ่าคนบูชายัญไม่มีที่สิ้นสุด นี่ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับเทวดาในลักษณะศาสนาพราหมณ์
พุทธศาสนาไม่มีไม่ต้องไปเครื่องเซ่นอย่างดีบอกกล่าว อ้าวเราให้ความเคารพ เราไม่เหยียดหยามเทวดา เราไปไหนเราแผ่เมตตาให้เทวดา ความสัมพันธ์นี้ต้องจับให้ดีนะพุทธกับพราหมณ์ พราหมณ์สัมพันธ์กับเทวดาต้องไปอ้อนวอนแล้วคอยหวังพึ่งคอยผลขอประโยชน์เครื่องเซ่นเอาไปให้ แต่พุทธศาสนานี่มีความสำคัญแผ่เมตตาเป็นเพื่อนร่วมโลก เราอยู่ด้วยกันเป็นเพื่อนร่วมโลกเราต้องมีเมตตาต่อกันไม่เฉพาะเทวดาหรอกแม้แต่กับแมวใช่ไหม เราก็ต้องมีเมตาถูกไหม กับแมวยังมีเมตตาแล้วกับเทวดาไม่มีเมตตาไง นั้นเราไปไหนเราก็แผ่เมตตาให้กับเทวดาด้วยขอให้ท่านเป็นสุข เราทำบุญก็อุทิศกุศลให้แก่เทวดา นี้เราสวดมนต์เราก็อย่างที่เคยบอก เราก็ชุมนุมเทวดาบอกให้เทวดามาร่วมฟังธรรมด้วยเผื่อแผ่จิตใจให้นี่คืออยู่กันอย่างฉันมิตร ทีนี้ถ้าคนดีตกต่ำเดือดร้อน เทวดาอาสน์ร้อน พระอินทร์อาสน์ร้อน ก็ทิพอาสน์เคยอ่อนแต่ก่อนมากระด้างดังศิลาประหลาดใจ ใช่ไหมอันนี้คติพุทธ หมายความเทวดาต้องเดือดร้อนเองนะไม่ใช่ว่าจะต้องมาเครื่องเซ่น คนดีทำความดีเทวดาก็ต้องคอยคำนึงพิจารณาต้องคอยสำราจตรวจตราใครตกต่ำเดือดร้อนแล้วมาช่วย ๆ ด้วยคุณธรรมของตัวเองมนุษย์ไม่ต้องไปรอ แล้วอย่างนี้มนุษย์เองก็จะมีหลักธรรม ธรรมะก็อยู่ในสังคมได้ แล้วโลกเทวดาเองก็จะดีด้วย เทวดาก็จะอยู่ในธรรมะใช่ไหม อันนี้หลักการอันนี้สำคัญมาก ฉะนั้นมนุษย์ก็ต้องปฏิบัติธรรมหน้าที่ของตัวเองถูกต้อง นั้นอย่างเรื่องมหาชนกนี่เล่าอีกทีหนึ่ง มหาชนกที่ในหลวงทรงนำมาพระราชนิพนธ์นี่ก็แสดงคตินี้ชัดเจน มหาชนกบำเพ็ญวิริยะบารมี คราวหนึ่งก็ไปค้าขายเดินทางไปในเรือเดินสมุทรออกในทะเลใหญ่เกิดมีมรสุมมารุนแรงเรือจะแตก โอ้แน่นอนแล้วเรือจะแตกมองไม่เห็นฝั่ง เอาละสิพอรู้ว่าเรือจะแตกจิตไร้สำนึกสำแดงเดชแล้วใช่ไหม ความกลัวขึ้นมสตัวสั่นงันงกคร่ำครวญปริเทวนาการ พวกหนึ่งก็ร้องไห้คร่ำครวญรำพึงรำพันถึงพ่อแม่ญาติพี่น้องที่อยู่ที่บ้าน เอาสิทีนี้ไม่มีสติ อีกพวกหนึ่งกราบไหว้อ้อนวอนเทวดาให้มาช่วยอะไรต่าง ๆ นี่คนมีอาการวิปริตต่าง ๆ มากมาย ส่วนมหาชนกนี่ไม่เอาทั้งนั้นไม่รำพันรำพึงร้องไห้คร่ำครวญไม่มาอ้อนวอนเทวดา ไม่เอาอะไรทั้งนั้นใช้ปัญญาพิจารณาตั้งสติแก้ไขสถานะการณ์ เรือจวนจะล่มแล้วเราเตรียมตัวยังไงจึงจะดีที่สุด เรือแตกลงไปอยู่ในมหาสมุทรอยู่ได้นานที่สุด ถ้าตายก็ให้อยู่ได้นานหน่อย แต่ว่าในขณะที่อยู่ได้นานมันมีโอกาสอาจจะรอดใช่ไหม อาจจะมีเรือผ่านมา หรือเราอาจจะว่ายมีกำลังพอไม่ไกลนักก็ไปถึงฝั่ง อ้าวเตรียมตัวใช้สติปัญญาคิดการ เตรียมหาจุดที่ดีที่สุดในเรือที่จะไปอยู่ตรงที่ว่าเรือลงไปแล้ว เราจะไม่ถูกเรือดูดหรือเราจะไม่ถูกครอบเสีย แล้วก็หาไม้ หาท่อนไม้มาเตรียมตัวไว้ แกก็เตรียมตัวที่ดีที่สุดใช่ไหม พอถึงตอนคว่ำจริง ๆ เรือล่มจริง ๆ แกก็ดำรงตัวได้ดีที่สุดมหาชนก นี่เรียกแกก็ไม่ค่อยถูกนะพระองค์แล้ว ต้องเป็นพระองค์ ขออภัยก็เรียกพระองค์ พระองค์ก็ลงไปอยู่ในน้ำอย่างดีมีท่อนไม้อะไรต่ออะไรเกาะใช่ไหม แล้วก็ว่ายน้ำใช้ความเพียรพอลงไปแล้วก็ไม่รำพึงรำพันไม่ได้ท้อถอยหดหู่ท้อแท้ใจใช้พลังกำลังเท่าที่มี ลอกคิดว่าทิศไหนดีที่สุดที่น่าจะมีฝั่งมันไม่เห็นทุกทิศ เอามันต้องลองทิศหนึ่งนะเสี่ยงมันดูนะอยู่เฉย ๆ ตายเปล่า งั้นลองดูอาจจะตายก็ได้ หรืออาจจะรอดก็ว่ายน้ำไปเรื่อย 7 วัน เทวดาเทพธิดาประจำมหาสมุทรชื่อนางมณีเมขลาก็มาตรวจดูเทวดาก็มีหน้าที่ของตนเองเหมือนกันรักษามหาสมุทรก็ดูคนเดือดร้อนมา ก็มาเห็นมหาชนกว่ายน้ำ ก็นึกยิ้มเยาะในใจ ตาคนนี้มันตายแน่ ๆ อยู่แล้วมันไม่มีทางเห็นฝั่งแล้วมาว่ายน้ำอยู่ทำไมใช่ไหม ก็เลยไปปรากฏตัวขึ้นมา แล้วก็กล่าวคำว่า ก็เลยเกิดเป็นบทสนทนาขึ้นมาก็เริ่มต้น ท่านจะมาว่ายทำไมไม่เห็นฝั่งตายเปล่า พระมหาชนกก็บอกว่า เราเกิดมาแล้วยังมีกำลังอยู่เป็นคนก็ต้องพยายามร่ำไปจนถึงที่สุดจะตายก็ไม่เป็นหนึ้ใคร ว่าอย่างงั้นนะ ก็เลยเกิดบทสนทนาไป ในที่สุดก็นางมณีเมขลาก็เลยอุ้มพาเข้าฝั่งไป นี่คติก็คือว่า มหาชนกนี่ทำความเพียรด้วยสติปัญญาของตัวเองใช้สติไม่ไปอ้อนวอนใช่ไหม ทีนี้เทวดามณีเมขลาก็มาช่วยด้วยเมตตาด้วยคุณธรรมของตัวเอง นี่เป็นคติสำหรับมนุษย์เหมือนกันว่าในสังคมมนุษย์ก็จะต้องปฏิบัติอย่างนี้ มนุษย์ที่มีอำนาจมีกำลังก็ควรจะช่วยเหลือผู้อ่อนแอกว่าด้วยคุณธรรมของตนเองไม่ใช่ให้เขารอให้เขามาเซ่นไหว้มาขอความช่วยเหลือมันจึงจะอยู่ทีได้สังคมใช่ไหม แล้วตัวคนที่อยู่ในภาวะที่อ่อนแอหรือไม่มีพึ่งเดือดร้อนก็ต้องช่วยตัวเองเต็มที่ทำพร้อมความเพียร อย่างไปรอหวังความช่วยเหลือจากผู้อื่น เอานะครับตกลงว่าพุทธศาสนานี่เรามีคติเรื่องนี้ชัดเจน นั้นพระพุทธเจ้าทางมีฤทธิ์ยอดฤทธิ์ก็ไม่ใช้ฤทธิ์มาบันดาลผลที่ต้องการให้ใคร ก็ใช้ฤทธิ์อย่างเดียวปราบพวกมีฤทธิ์ ว่าอย่างงั้น ปราบผู้มีฤทธิ์ในการเผยแผ่พระศาสนาเพราะอะไร เพราะว่าสังคมยุคนั้นเชื่อกันนักหนา เชื่อติดมาจากอิทธพลศาสนาพราหมณ์ ใครจะเป็นพระอรหันต์ต้องมีฤทธิ์ ถือว่าคนมีฤทธิ์เป็นพระอรหันต์ อันนั้นก็มีค่านิยมมีภาพมีตัวทิฏฐิอันนี้อยู่
นี้พระพุทธเจ้าประกาศพระศาสนาไปเจอพวกมีฤทธิ์เยอะหมดเลย ทีนี้ถ้าพระองค์ไม่มีอิทธิฤทธิ์พวกนั้นไม่ฟัง เพราะถือว่าเขาแน่กว่าใช่ไหม อย่างพวกชดินเจอพระพุทธเจ้ามาปั้บ ท่านผู้นี้นักบวชหนุ่มคนนีท่าทางอย่างนี้ไม่ได้ความ เดี๋ยวเราจะแกล้งอยากมาขอพัก มาขอพักเอาละคืนแรกชดินก็แกล้ง พระพุทธเจ้าก็ผ่าน คืนสองก็ผ่าน คืนสามก็ผ่าน เอ้ แกล้งแรงขึ้นทุกที ผ่านทุกคืนจนกระทั่งผลที่สุดชดินไม่มีอะไรจะแกล้งแล้วสู้ไม่ได้ผลที่สุดยอมเลย พอยอมสู้พระพุทธเจ้าไม่ได้ฤทธิ์แพ้ก็เลยยอมฟังใช่ไหม ถ้าพระพุทธเจ้าไม่มีฤทธิ์เหนือแกไม่ฟัง พูดอะไรแกก็ไม่ฟังทีนี้พอฤทธิ์เหนือแกก็ฟัง พอฟังพระพุทธเจ้าก็สอนธรรมะก็จบพระพุทธเจ้าไม่ใช้ฤทธิ์อีกเลยใช่ไหม จึงเรียกใช้ฤทธิ์ปราบฤทธิ์ เพื่อจะได้สอนธรรมะเป็นอุบายเป็นวิธีการ ในการที่จะ ทีนี้ฤทธิ์ก็กลายเป็นสื่อธรรมะเพื่อจะนำเขาเข้าสู่ธรรมะ นั้นเราก็ต้องใช้แบบเดียวกัน การใช้สิ่งศักดิ์สิทธิ์อะไรต่าง ๆ นี่เป็นสื่อเข้าสู่ธรรมะจุดหมายต้องแน่นแฟ้นแน่นอนก็นำเขาสู่ธรรมะไม่ใช่ไปทำให้เขาไปจมอยู่ อันนี้ก็เป็นคติในพุทธศาสนานะครับว่ากำลังใจที่ได้จากสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้นเป็นกำลังใจที่หนุนในการทำความเพียร อย่าให้เป็นกำลังใจที่มาทำให้หวังพึ่งแล้วก็เลยหยุดรอหวังความช่วยเหลือแล้วก็อ่อนแอตกอยู่ในความประมาท
ทีนี้ลัทธิหวังพึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์อำนาจฤทธิ์เดชปาฏิหาริย์ไสยศาสตร์ส่วนมากมันมีผลร้ายที่ทำให้หวังพึ่งและรอคอยนะ นั้นทำให้คนอ่อนแอลงไปทุกที ก็เลยขัดหลักการสำคัญพุทธศาสนาอย่างน้อย 4 ประการที่จะต้องจำไว้ การเชื่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรืออะไรก็ตามไสยศาสตร์สิ่งเล้นลับอะไรต่าง ๆ ถ้ามาขัดหลักการ 4 ประการนี้ใช้ไม่ได้พุทธศาสนาไม่ยอม หลักพุทธศาสนา
1 ต้องทำการด้วยความเพียรใช่ไหม นี่หลักพุทธศาสนาชัดเจน เราเรียกหลักกรรมและหลักความเพียร กรรมวาที วิริยะวาที หรือกรรมวาทะ วิริยะวาทะ ถือหลักการกระทำด้วยความเพียรพยายาม 1 ถ้าเราไปเชื่อสิ่งศักดิ์แล้วทำให้เราไม่ทำการด้วยความเพียร แสดงว่าผิดหลักการพุทธศาสนาที่ 1
2 พุทธศาสนาสอนหลักการแห่งการพัฒนาตนต้องฝึกฝนตนเองให้ดียิ่งขึ้นให้มีความสามารถ ยิ่งขึ้น นี้ไปเจอปัญหา ไปเจออุปสรรค ไปเจอสิ่งที่ต้องทำแล้วไปหวังพึ่งอำนาจเล้นลับเสียแล้วรอให้ท่านช่วย เราก็ไม่พัฒนาตนเอง เจอปัญหาไม่คิดแก้มันก็อยู่เท่าเดิมใช่ไหม ปัญญาก็ไม่พัฒนานี้ถ้าเจอปัญหาเราคิดแก้ไขเราใช้ปัญญา ปัญญาของเราพัฒนาขึ้นมาอย่างนี้เราดีขึ้น ฉะนั้นการเชื่อหวังพึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์อำนาจเล้นลับก็ทำให้ขัดขวางการพัฒนาไม่ฝึกฝนตนเอง เรามีชีวิตอยู่ชาติหนึ่งแค่ 100 ปีไม่เกิน 100 ปีนี่โดยมาก เสร็จแล้วเวลานี้มันน้อยเรามาเสียเวลารอคอยความช่วยเหลือจากเหล่านี้เราไม่พัฒนาตนเองเสียเวลาไปเปล่า ชีวิตเลยทั้งชีวิตเลยหมดไปไม่คุ้มเป็นการลงทุนที่แพงมาก ลงทุนที่เราอาจจะต้องเอาชีวิตไปทุ่มให้ทั้งชีวิตเลย แล้วก็หมดไปกับความจมอยู่กับสิ่งเหล่านี้ ชีวิตที่ควรจะพัฒนาได้ ใช้เวลาให้เป็นประโยชน์ในช่วง 100 ปีนี้เลยมาเสียเวลาเปล่า เพราะฉะนั้นอย่าไปลงทุนที่ไม่คุ้มค่าซื้อมาด้วยราคาแพงเกินไปใช่ไหม นั้นเราอาจจะได้ความอุ่นใจ ความมีกำลังใจความสุขปลอบใจสบายใจ แต่มันคุมหรือเปล่าเราสูญเสียเท่าไหร่ สูญเสียการที่จะได้ชีวิตพัฒนาเข้าถึงสิ่งที่ดีงามที่ประเสริฐอีกเยอะแยะนี่เราต้องไปสูญเสียหมดเลยนี่เราได้แค่สิ่งกล่อมใจให้สบายเท่านี้เองเหรอ ชีวิตเราได้แค่นี้เหรอคุ้มไหมที่เราจะไปลงทุนได้ไม่เท่าเสียนั้นนะ อ้าวศาสนาที่หลักการพัฒนาตนเอง
ต่อไป 3 หลักความไม่ประมาทพระพุทธศาสนาเน้นนัก พระพุทธเจ้าตรัสซ้ำแล้วซ้ำอีกต้องอยู่ด้วยไม่ประมาท นี้ไปหวังพึ่งก็รอสิ ทีนี้ไม่ต้องทำอะไรแล้วใช้เวลา ไม่ได้ใช้เวลาให้เป็นประโยชน์ก็ให้รอ ๆ สิ จนเวลาผ่านไป ผ่านไปตกอยู่ในความประมาทอ่อนแอ
ต่อไป 4 สูญเสียอิสรภาพเป็นอย่างไง อ้าวก็เราหวังพึ่งอำนาจท่านนี่ จะสำเร็จก็อยู่ที่ท่านนี่ไม่ได้อยู่ที่เราใช่ไหม เราก็ขึ้นต่อท่าน เราไม่มีทางเป็นตัวของตัวเอง ความสำเร็จไม่สำเร็จอยู่ที่ท่านถ้าเราไม่เป็นตัวของเองเราก็ขึ้นต่อท่าน ขึ้นต่อผู้มีฤทธิ์ ขึ้นต่อสิ่งศักดิ์ไม่เป็นตัวของตัวเอง ต้องหวังผู้อื่นพึ่งตนเองไม่ได้ ก็ขัดหลักพึ่งตนเอง พุทธศาสนาสอนให้พึ่งตนเองนี้ถูกไหม แล้วก็ให้มีอิสรภาพมนุษย์ต้องพึ่งตนเองได้ ทำตนให้เป็นที่พึ่งตนเองได้ ทำได้ด้วยตนเองแล้วพึ่งตนเองได้ก็เป็นอิสระ ถ้าไม่ทำตนเองให้เป็นที่พึ่งได้ก็พึ่งตนเองไม่ได้ เมื่อพึ่งตนเองไม่ได้ก็ไม่มีอิสรภาพก็ขึ้นต่อผู้อื่น พุทธศาสนานั้นต้องการเน้นนักให้เป็นอิสระ พระพุทธเจ้ามาสอนเรานี้เพื่อให้เราช่วยตัวเองได้พึ่งตนเองได้เป็นอิสระ พระพุทธเจ้าไม่ต้องการให้ใครมาขึ้นต่อพระองค์ถูกไหม พระองค์มีฤทธิ์เต็มที่ สามารถเต็มที่พระองค์ไม่ยอมให้ใครมาพึ่ง แต่ฉันมาช่วยเพื่อสอนให้คุณพึ่งตนเองได้ ฉันจะหาทางให้คุณนี่พึ่งตนเองได้ ก่อนที่คุณจะพึ่งตัวเองได้คุณต้องทำตนให้เป็นที่พึ่งได้ก่อน ไม่ใช่อยู่ ๆ หนูจะพึ่งตนเองนะ คนที่จะพึ่งตนเองต้องทำตนให้เป็นที่พึ่งได้ต้องพัฒนาตัวเองขึ้นมา เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้ามานี่มาช่วยเราก็คือ มาช่วยสอนเราแนะนำเรา เพื่อให้เราพัฒนาตัวเองให้เราพึ่งตนเองได้ทำตนให้เป็นที่พึ่งเองได้ นั้นเสร็จแล้วเราเป็นอิสระไม่ขึ้นต่อพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าไม่ต้องการให้ใครมาขึ้นต่อพระองค์ ไม่เหมือนศาสนาเป็นอันมากที่สอนว่าต้องมาฝากชีวิตจิตใจมอบชีวิตจิตใจไว้ในองค์เทพเจ้านั้นเทพเจ้านี้ใช่ไหม สุดจิตสุดใจพุทธศาสนาไม่มีอย่างนั้น พุทธศาสนามาสอนมาช่วยให้คนมาพึ่งตนเองได้ พระพุทธเจ้ามาสอน เราเป็นกัลยาณมิตรของสัตว์ทั้งหลาย เราค้นพบธรรมะ เรามาบอกแสดงแล้วท่านได้เรียนรู้ปฏิบัติทำตามแล้วท่านจะเห็นด้วยตนเองทำได้ด้วยตนเองเป็นอิสระ นั้นตกลง 4 ข้อนี้ถ้าเราไปหวังพึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์อำนาจภายนอกเนี่ย มันก็ขัดหลัก 4 ประการนี้ เพราะฉะนั้นท่านจึงบอกว่าถึงมีถึงจริงก็ไม่พึ่ง เพราะอะไรเพราะมันขัดหลัการ 4 ประการนี้
1 หลักการทำการด้วยความเพียร
2 หลักการฝึกฝนพัฒนาตนให้ชีวิตดีงามขึ้น
3 หลักความไม่ประมาท
4 หลักอิสรภาพพึ่งตนเองได้ใช่ไหม
นั้นจึงบอกว่าได้ไม่เท่าเสีย เราจะไปทุ่มชีวิตให้แก่สิ่งเหล่านี้หรือใช่ไหม ในขณะที่ถ้าเราเพียรพยายามเข้มแข็งขึ้นมาแล้วเราจะได้มากมายกว่านั้นเยอะเลย ถ้าเรายอมทนสู้เราจะผ่านมันไป กว่าเราจะผ่านอันนี้ได้เราจะเข้มแข็งถูกไหม ฉะนั้นจึงต้องระวังสังคมที่หวังพึ่งกันได้เนี่ยบางทีไม่พัฒนาหรอก สู้สังคมที่ทุกคนต้องดิ้นช่วยตัวเองไม่ได้ใช่ไหม เข้มแข็งขึ้นมาเพราะอันนี้ นั้นการช่วยเหลือกับการที่ไม่ช่วย จึงต้องดุลภาพ พระพุทธเจ้าจึงสอนหลักพรหมวิหารที่เราจะเรียนต่อไป แต่ไม่ใช่ไม่ให้ช่วยเลยนะ ต้องช่วยอย่างมีหลักที่ว่า ช่วยโดยพยายามให้เขาช่วยตัวเองได้
อ้าวนี่ก็ว่ามาในหลักการต่าง ๆ ของพุทธศาสนา มันมีหลายแง่หลายมุมนะ ทีนี้เราลองมาสรุปกันสะอีกทีว่าเรื่องของขลัง วัตถุมงคล พระเครื่องอะไรต่าง ๆ นี่จะใช้ถูกต้อง จะใช้ผิดอย่างไร สรุปได้ไหมครับ ที่ว่ามานี่ พูดมาเยอะเลยยาวยืด ลองสรุปสิว่ามีอะไรบ้าง สรุปว่าเรื่องพระเครื่อง
1 ก็คือคนโบราณทำไว้ว่าเป็นเครื่องหมายของการที่ว่าเคยมีพุทธศาสนาเจริญที่นี่นะ เป็นวัตถุที่เป็นเครื่องสำแดงเป็นองค์แทนพระพุทธเจ้า ก็คือองค์แทนพระพุทธศาสนาด้วย โอ้ต่อไปพุทธศาสนาสูญสิ้นไปแล้ว มาเจอกรุแตก มาเจอสิ่งที่เป็นโบราณวัตถุเหล่านี้ก็อ้อพุทธศาสนาเคยมีเจริญอยู่
อ้าว 2 โบราณใช้เป็นเครื่องเตือนใจระลึกถึงพระพุทธเจ้า ระลึกถึงคุณพระพุทธเจ้าเพราะเป็นองค์แทนใช่ไหม วัตถุที่เป็นสื่อถ้าไม่มีวัตถุปุถุชนนี่มันระลึกด้วยนามธรรม มันระลึกยาก แม้แต่จะทำสมาธิก็บอกแล้วว่า ทำให้ช่วยจิตใจจูงจิตได้ นั้นก็เตือนใจให้ระลึกถึงพระพุทธเจ้าแล้วโยงไปหาคุณค่าทางจิตใจเช่นที่เล่าไปแล้วว่า โยงไปถึงพ่อแม่ปู่ย่าตายายอุปัชฌาจารย์ใช่ไหมที่ว่า ที่มอบหมายกันมาเป็นสิ่งที่ท่านรักษาเป็นคุณค่าของชีวิตที่เป็นสิ่งสำคัญนี่ มีความหมายมากซึ่งได้ผลทางศีลธรรม ทางธรรมจริยธรรมอะไรต่าง ๆ มากมายใช่ไหม คนเดี๋ยวนี้ขาดอันนี้ไป พยายามปฏิบัติให้ถูกต้องนี้สื่ออันนี้ อ้อที่นี้ก็ เป็นอันว่าเป็นเครื่องเตือนใจระลึกพอเตือนใจระลึก
ก็เป็นความหมายที่ 3 ก็คือเป็นสื่อเข้าสู่ธรรมะ ก็มาใช้เป็นสื่อในการเรียกร้องศีลธรรมจริยธรรม อ้าวเธออยากจะได้พระท่านคุ้มครองเธอ เธอจะต้องประพฤติอยู่ในศีลในธรรมต้องเว้นจากการประพฤติชั่วอย่างงั้นอย่างงี้ใช่ไหม ต้องทำความดีขยันหมั่นเพียรแล้วพระจะคุ้มครอง เรียกร้องศีลธรรมแล้วใช่ไหม เราสื่อในทางธรรมะ เวลาจะให้ก็สอนธรรมะให้รู้จักสิ่งที่ดีขึ้น อะไรอย่างงี้ โดยเฉพาะเด็ก ๆ เด็ก ๆ นี่เราจะสอนจะอะไรเนี่ย พระอาจารย์หลายน้อยองค์ที่จะมีความสามารถใช่ไหม เราต้องยอมรับ เราจะไปเอาตัวคนเดียวเข้าเทียบ ตัวพระอาจารย์องค์นี้อาจจะมีความสามารถสอนเด็กได้เก่ง สอนด้วยนามธรรม สอนด้วยคำสอนล้วน ๆ เด็กก็เข้าใจแล้วเด็กก็ศรัทธา นี้พระทั่วไป ท่านไม่มีความสามารถอย่างนี้นี่ แต่ท่านก็หวังดีและท่านมีหน้าที่อันนี้ทำไงละ ตอนแรก ๆ เด็กมันก็ชอบวัตถุใช่ไหม สิ่งสวย ๆ งาม ๆ พระสวย ๆ ก็เอ้าให้เด็กเอาอันนี้ไปนะ แล้วก็สื่อธรรมะเอาสิ อันนี้ก็อยู่ที่ความรู้จักใช้เทคนิคก็มาแล้ว เอ้าหนูแต่ว่าอย่างให้ง่าย ๆ นะ ต้องหาวิธีต้องเอาอย่างคนโบราณแล้วก็มีน้อย ๆ มีน้อยหาได้ยาก เด็กก็อยากจะได้ นั้นก็เอา ให้เป็นที่ระลึกนะ ต่อมาก็อาจจะโยงไปหาสอนธรรมะว่า นี่เธอให้พระท่านคุ้มครองแล้วรักษาข้อปฏิบัติ 5 ข้อพอแล้วไม่ต้องเอามาก อย่างงี้เป็นต้นใช่ไหม เด็ก ๆ นี่ เด็กก็จะมีสิ่งที่เป็นระลึกเตือนใจว่า เอ้อฉันเป็นชาวพุทธนะ ต้องระลึกถึงพระพุทธเจ้ามีสิ่งเตือนใจอยู่กับตัวบ้าง สำหรับเด็ก ๆ นี่มีประโยชน์มาก ถ้าเด็กไม่มีสิ่งนี้แกก็ไปหาล๊อคเก็ต ไปหาอะไรต่ออะไรอื่นไป หาสิ่งสวยงามประดับ เอ้าแกก็มีอยู่แล้วนี่หาสิ่งประดับ แล้วทำไมเราไม่เอาพุทธรูปให้ดีกว่าไหมใช่ไหม มีคุณค่ากว่าการที่สวยงามไปอวดโก้ มันมีคุณค่าทางศีลธรรมทางจิตใจอีก ยังผูกพันกับบิดามารดาอะไรต่าง ๆ พ่อแม่จะให้ก็ได้ไม่ต้องให้พระให้ นี่มันจะประโยชน์ก็รู้จักใช้ให้เป็น นั้นสำหรับเด็ก ๆ นี่มีประโยชน์มาก เพราะว่าเด็กนี้ต้องอยู่กับสิ่งที่เป็นวัตถุที่เป็นรูปธรรม จึงจะสื่อเข้าหานามธรรมได้ นี่ก็เป็นประโยชน์อีกอย่างหนึ่ง อันนี้ก็ว่าเป็นอันว่าสื่อธรรมะใช่ไหม แล้วอ้อ อันที่สองลืมไปก็คือว่าเป็นตัวกันลัทธิภายนอกที่มันจะนำให้เขว กันไสยศาสตร์เป็นต้น หมายความว่ากันแล้วก็คุม ๆ ให้อยู่ในความหมายของการเชื่อถืออำนาจสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในขอบเขตที่เป็นคุณ เป็นความดีงาม ไม่ให้ถูกชักจูงไปด้วยลัทธิภายนอก เช่น หมอผีให้ไปทางเสียใช่ไหม ตกลงว่า
1 เป็นเครื่องหมายการดำรงอยู่เจริญของพุทธศาสนา
2 ในความสัมพันธ์กับศาสนาโบราณอื่น ๆ ก็เป็นเครื่องกันไสยศาสตร์ที่จะมาจูงให้ไปในทางร้าย แล้วก็คุมให้อยู่ในคุณความดีใช่ไหม นี่อยู่ท่ามกลางนี้ก็กันไว้ได้คุมไว้ได้ ทีนี้เหนือขึ้นไป เตือนใจระลึกถึงพระพุทธเจ้า พระรัตนตรัย ความดีงามโยงคุณค่าทางจิตใจไปถึงบิดามารดาเป็นต้น
4 ก็เป็นสื่อธรรมะเข้าสู่คำสอนของพระพุทธศาสนา แล้วก็จะทำให้จิตเกิดสมาธิรวมจิตใจได้ง่าย แล้วเป็นทางให้พระได้สอนธรรมะอะไรต่ออะไรไป เรียกร้องจริยธรรม
ก็ได้ 4 ประการใช่ไหม นี่อย่างน้อยนะใช้ให้เป็น ทีนี้ใช้ไม่เป็นผิด ใช้อย่างไงบ้าง ก็
1 ทำให้ติดหลงจมอยู่ในความหมายพระศาสนาเป็นที่พึ่งที่ยึดเหนี่ยวจิตใจก็ได้ที่พึ่งพำนักกล่อมใจแล้วได้หวังพึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ท่านจะมาช่วยเรามีกำลังใจ กล่อมใจสบายหายทุกข์หายร้อนหายเดือดเนื้อร้อนใจ ก็เลยไม่ดิ้นรนขวนขวายนอนรอคอยความช่วยเหลือ อ้าวเป็นการสรุปอีกทีหนึ่ง การปฏิบัติที่ผิดก็ 1 ว่าทำให้ติดให้หลงจมกับเรื่องเหล่านี้
2 ก็หวังพึ่งใช่ไหม แล้วก็ทำให้อ่อนแอตกอยู่ในความประมาทไม่ทำการด้วยความเพียรแล้วก็พึ่งตนเองไม่ได้ แล้วต่อไปก็อาจจะถ้าผู้ใช้เช่นพระนี่ไม่เข้าใจหลักการพุทธศาสนาไม่มีเจตนาที่ถูกต้องไม่มีปัญญาที่จะนำเขาต่อไป กลายเป็นเครื่องดึงคนให้ออกจากพุทธศาสนาไปเลยเป็นผลร้ายที่ตรงข้ามกันเลย หรือกลับไปนึกว่าสิ่งเหล่านี้ก็เหมือนกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์นอกพุทธศาสนาเป็นแบบไสยศาสตร์เป็นแบบเทพเจ้าไปเลยใช่ไหม ก็เอาความหมายนี้มาใส่พุทธศาสนาก็ดึงคนออกจากพุทธศาสนาโดยไม่รู้ตัวเลย ซึ่งเป็นได้มากด้วย ฉะนั้นผลกลับตรงข้าม แทนที่จะดึงคนเข้าสู่ธรรมะสู่พุทธศาสนาก็กลายเป็นดึงออกไปเลย
4 อาจจะเป็นช่องทางเป็นเครื่องมือของการหลอกลวงและหาลาภใช่ไหม ผู้มีเจตนาไม่ดีก็อาจจะใช้สิ่งเหล่านี้เป็นเครื่องมือหาผลประโยชน์ส่วนตัวไป ได้ลาภ ได้สักการะอะไรต่าง ๆ มากมาย แล้วก็ผลต่อสังคมก็คือ การที่มนุษย์ก็อยู่ด้วยความที่ว่าหวังพึ่งสิ่งภายนอกแล้วก็อ่อนแอกันทั่ว ๆ ไป แล้วอีกอย่างหนึ่งที่สำคัญมากผลต่อสังคมก็คือว่ามนุษย์ที่หวังพึ่งอำนาจเล้นลับภายนอกมาช่วยนี้จุดสัมพันธ์ของเขาก็คือสิ่งเล้นลับที่เขามองไม่เห็นความสัมพันธ์ของเขาอยู่กับสิ่งนี้ เมื่อความสัมพันธ์ไปอยู่ที่นี่แล้วเขาจะไม่ค่อยเอาใจใส่ต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกันไม่ค่อยเหลียวแล มนุษย์นั้นอยู่ด้วยกันจะสร้างสรรค์สังคมด้วยการที่เหลียวแลกันอย่างหนึ่งและการที่ต้องหวังพึ่งกันไม่จำเป็นจะต้องไปเหลียวแลผู้อื่นหรอก แต่การหวังพึ่งผู้อื่นที่แหละก็ทำให้มนุษย์ต้องไปร่วมมือกับคนอื่นใช่ไหม ทำให้พยายามมาช่วยกันแก้ปัญหา เมื่อมนุษย์รู้อยู่ว่าเราจะต้องแก้กับปัญหากันด้วยตัวพวกเราเอง มนุษย์ก็จะไปหาทางที่จะมาร่วมกันคิดแก้ปัญหา การหวังพึ่งซึ่งกันและกัน การเอาใจใส่ซึ่งกันและกันเกิดขึ้น การร่วมการคิดเกิดขึ้น ก็ทำการแก้ปัญหาของสังคมได้ แต่มนุษย์ที่ไปหวังพึ่งสิ่งเล้นลับอำนาจนี่ จุดมุ่งในการสัมพันธ์เขาไปอยู่ที่สิ่งเหล่านั้นแล้ว เขาก็ไม่มาคิดหวังพึ่่งเพื่อนมนุษย์ด้วยกันที่อยู่ในชุมชนเดียวกัน ที่อยู่ในสถานะระดับเดียวกับเขา ที่เป็นเพื่อนร่วมท้องถิ่นสังคม เพราะฉะนั้นการร่วมมือการช่วยเหลือกันในสังคมแบบนี้จะไม่ค่อยมี การร่วมการคิดแก้ปัญหาเป็นต้น อันนั้นสังคมอย่างนี้ก็จะพัฒนาได้ยากและจะเป็นอุปสรรคแก่ประชาธิปไตยด้วย เพราะประชาธิไตยจะต้องอาศัยนี้การที่มนุษย์ที่อยู่ในชุมชนท้องถิ่นสังคมนั้นมาพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกันร่วมมือกันการคิดแก้ไขปัญหาใช่ไหม นั้นคือผลเสียในสังคม ผลเสียในที่เป็นหลักใหญ่ตรงกลาง ซึ่งแต่ละคนสูญเสียอยู่แล้วก็หลายอย่างแล้ว ทำให้ไม่ทำการด้วยความเพียร ทำให้ไม่พยายามพัฒนาตนเอง ทำให้ตกอยู่ในความประมาท ทำให้ไม่พึ่งตนเองสูญเสียอิสรภาพ นี่เป็นหลักใหญ่เสร็จแล้วในสังคมก็ยังสูญเสียอีกก็คือ การที่ว่าจะไม่มาร่วมกันช่วยกันคิดแก้ปัญหาและทำการร่วมกัน จริงไหม มนษย์พวกนี้ สังคมแบบนี้ก็จะไม่ค่อยมีการร่วมกันแก้ปัญหาในหมู่มนุษย์ ทีนี้สังคมที่หวังพึ่งใครไม่ได้แล้ว เขาก็จะต้องดิ้นรนสุดขีดด้วยตนเองหนึ่ง สอง เขาจะต้องมาหวังพึ่งกันช่วยกันคิดแก้ไขปัญหาในปัญหาร่วมกันของชุมชนเป็นต้น ก็จะพัฒนาขึ้นมาด้วยเรี่ยวแรงกำลังคน เพราะฉะนั้นจึงพูดว่าการหวังพึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้ต้องระวังมาก อาจจะเป็นการลงทุนที่ได้ไม่คุ้มเสียจะเป็นอย่างนี้มาก ผลได้คือทำให้จิตใจสบายผ่อนคลายทุกข์ไปที หลบทุกข์หลบปัญหากล่อมใจปลอบประโลมจิตใจชุ่มฉ่ำไปได้ใช่ไหม แต่แค่นี้มันพอไหม แม้แต่ตัวมันเองก็ทำให้พลาดได้ ก็คือว่ามันก็เลยสบายไม่ดิ้นรนอย่างที่ว่าเมื่อกี้อ่อนแอ งั้นสิ่งกล่อมสิ่งศักดิ์สิทธิ์อะไรต่างๆ เหล่านี้เป็นสิ่งกล่อมชนิดหนึ่ง เพราะฉะนั้น นะมาร์คสิก มันจึงมองศาสนาว่าเป็นยาฝิ่นใช่ไหมเพราะแกก็ไม่รู้จักศาสนาพอ โดยเฉพาะแกไม่รู้จักพุทธศาสนาเลย แกก็ไปเห็นศาสนาต่าง ๆ เป็นอย่างนั้น แกก็บอกศาสนาเป็นยาฝิ่นเป็น Opium เนี่ยแกไม่รู้จักคานมาร์คไม่รู้จักพุทธศาสนาและแกก็ไม่รู้จักหลักการเหล่านี้ เพราะฉะนั้นพุทธศาสนาเรารอบคอบกว่าเยอะนี้พวกคนสมัยใหม่ ก๋ไปชื่นชมมาร์คโดยเข้าใจว่า โอ้นี่เขาว่าถูกนี่ มันก็มีความจริงอยู่ใช่ไหม ว่าศาสนาก็เป็นยาฝิ่นติดเลยงอม แล้วก็ทำให้กล่อม ๆ แล้วก็เพลิน สบาย ๆ ใจแล้ว ไปหาหมอผีแล้วก็นอนสบาย ตอนก่อนนี้มีทุกข์มีภัยหวาดกลัวหวั่นใจนอนไม่หลับพอไปหามาเสร็จแล้วนอนหลับได้ใช่ไหม แต่ว่าอย่าไปปฏิเสธเลยนะว่าสิ่งกล่อมมีประโยชน์นะครับ สิ่งกล่อมใช้ให้เป็นมีประโยชน์นี่ตอนนี้ก็ตื่นสนามกีฬาก็เป็นสิ่งกล่อมชนิดหนึ่งถ้าใช้ในขอบเขตก็เป็นประโยชน์สิ่งบันเทิง ดนตรีกีฬา สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งกล่อมทั้งนั้นเลย คนเรานี่เหน็จเหนื่อยมีความร้อนรนกระวนกระวายชีวิตบีบคั้น บางทีมันก็ต้องมาหาอะไรที่มันทำให้ช่วยจิตใจสบายกล่อมจิต พักจิตบ้างใช่ไหม ร่างกายก็ต้องการพักผ่อน จิตก็ต้องการพักผ่อน ฉะนั้นเราก็มาอาศัยสิ่งกล่อมเหล่านี้ ดนตรีบางคนเอ้อจิตใจวุ่นวายไม่สบายก็ฟังดนตรีกล่อมใจสบายใจไปนะ ก็สิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็ไปแล้วอะไรอะไรมาอ้อนวอนกราบไหว้ท่าน หวังพึ่งท่านกล่อมใจสบายไป อะไรต่าง ๆ เหล่านี้กล่อมใจสบาย เราไปมีเรื่องราวชีวิตประจำวันก็วุ่นวายก็มาดูกีฬาสบายไปที อะไรอย่างนั้น ดูรายการบันเทิงทีวีก็กล่อมใจสบาย พวกนี้มีอำนาจเป็นตัวกล่อมทำให้คนได้พักจิตใจสบาย พอพักแล้วมันก็บางทีทำให้ ฝึกจิตใจที่มันเหนื่อยเพลียห่อเหี่ยว มันเกิดมีความสดชื่นขึ้นมาเหมือนกันก็ได้ประโยชน์ทำให้มีพลังจะได้เดินหน้า
แต่ว่าทีนี้มันจะเกิดผลร้ายตอนที่ไปติด ถ้าไปเกิดไปติดสิ่งกล่อมเมื่อไหร่ละ คราวนี้ไปเลย นี้ข้อสำคัญคือมันติดไอ้สิ่งกล่อมนี้มักจะจูงใจในการที่ติดใช่ไหม พอไปติดก็เพลินคราวนี้ก็กลายเป็นว่าแทนที่จะมีผลดีก็ผลร้ายมาแล้วก็ทำให้ตัวเองหยุดนิ่งไม่เคลื่อนไหว ไม่ดิ้นรนไม่ขวนขวายไม่ทำการต่าง ๆ ใช่ไหม งั้นอำนาจผลในทางลบก็เกิดขึ้น ฉะนั้นเราต้องใช้สิ่งกล่อมให้เป็น ถ้าจะใช้ เอ้าก็ใช้ให้พอว่า เอ้อจิตที่มันดิ้นรนกระวนกระวายเร่าร้อนนี่จะได้สงบเย็นลงไป แต่อย่าอยู่แค่นี้นะ ให้ถือว่าเป็นการเตรียมจิตพร้อมแล้วได้พักมีกำลังและเรี่ยวแรงแล้วเดินหน้าต่อไปทำการ ตรงนี้สิถึงสำคัญมาก ฉะนั้นพวกศาสนาต่าง ๆ มันก็ไม่ใช่ไม่มีประโยชน์ มีประโยชน์ อย่างน้อยคนก็ผ่อนคลายหายทุกข์ใช่ไหมครับ จิตใจก็สบายไม่งั้นเขา จิตใจมันเร่าร้อนกระวนกระวายกระสับกระส่ายหมดเลย แล้วมันทำอะไรไม่ได้เลยไม่มีกำลัง มันก็ช่วยได้แต่ว่าพร้อมกันนั้น ก็มีผลเสียที่ว่าเนี่ย การที่ว่าทำให้กลับมาติด มาเพลิน ติดเพลิน ติดเพลินก็กล่อมนี้ก็เป็นโทษแล้ว แล้วก็มาหวังพึ่งอีกก็อ่อนแออีก เป็นโทษที่พูดไปแล้วทั้งหมดนั่นแหละ ฉะนั้นก็ต้องใช้ให้ถูกต้อง นี้สิ่งกล่อมมาได้แม้กระทั่งสมาธิ สมาธิถ้าใช้ไม่เป็นก็เป็นสิ่งกล่อมอีกบางคนนี้ อย่างฝรั่งจิตใจเร่าร้อนพออยู่ในสังคมที่บีบคั้นระบบการแข่งขันมุ่งหาวัตถุเสพ แล้ววัตถุเสพก็ไม่ให้ความสมใจ พอมาถึงจุดหนึ่งก็เบื่อหน่าย ชีวิตที่ไม่มีความสุข ไป ๆ มา ๆ ก็เลยมาเจอสมาธิชอบใจ ฝรั่งก็มาชอบใจนั่งสมาธิก็สบาย หายทุกข์หายร้อนจิตใจสงบ กล่อมอีก เอาสมาธิเป็นตัวกล่อมติดเพลินอีก ทำให้หลบปัญหาไม่แก้ปัญหาผิดอีกนะครับ งั้นถ้าใช้ไม่เป็นสมาธิก็เป็นสิ่งกล่อมอีก แล้วจะใช้ถูกอย่างไงเป็นเรื่องที่เราจะต้องมาพูดกันต่อไปทั้งนั้นสิ่งเหล่านี้เป็นแง่มุมที่เอามาพูดเบื้องต้น มันมีแง่เขวอยู่ตลอดเวลาแม้แต่การปฏิบัติธรรม
อันนี้ก็รวมความแล้วก็ พูดมาเยอะแยะสรุปแล้วก็ ไม่จบสักที สรุปแล้วก็มาขยายออกอีกนะ อันนั้นก็เห็นถ้าจะควรจะจบนะ ที่จริงก็มีแง่ที่จะพูดอะไรก็ไม่รู้เมื่อกี้นึกขึ้นมาได้แล้วก็หายไปซะอีก มันมีเรื่องเยอะเรื่องเหล่านี้มีแง่มุมมากมายนะ นั้นเราก็จับหลักพุทธศาสนาไว้ให้ดีอย่าพลาดได้ อย่าให้เพลี่ยงพล้ำว่าเราใช้สิ่งเหล่านี้แค่ไหน แล้วก็อย่าไปดูถูกดูหมิ่น แล้วก็อย่าไปติดไปหลง ใช้ให้ถูกเพราะว่าเดี๋ยวนี้มันจะมีแนวโน้มไปสุดขั้ว พวกหนึ่งก็ปฏิเสธแล้วก็ด่าว่าติเตียนไปเลยใช่ไหม อีกพวกหนึ่งก็หลงงมงายติดไปเลยบางทีก็บอกว่าไม่เชื่อแต่ก็อย่าลบหลู่ เดี๋ยวนี้อ้างกันนักเชียว ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ แล้วท่านจะตอบว่ายังไง ไม่ใช่ไม่เชื่อแต่ฉันอยากจะเรียนรู้ว่าอย่างนั้นนะ ใช่ไหม เราไม่ได้ลบหลู่ พุทธศาสนาไม่เคยสอนให้ลบหลู่ใคร แต่ท่านไม่ให้ ว่าไม่เชื่อแล้วอย่าลบหลู่ แล้วจะต้องยอมอยู่อย่างนั้นไม่ได้เหมือนกัน พุทธศาสนาก็ไม่ยอมที่จะว่า ไม่ลบหลู่แล้วต้องยอมสยบ บอกว่าไม่เชื่อแต่อย่าลบหลู่ เอ้ฉันไม่ใช่ลบหลู่แต่ฉันไม่ยอมสยบนะ ฉันจะต้องเรียนรู้เพราะฉะนั้นคุณให้ปัญญาฉันมาให้เหตุให้ผลใช่ไหมครับ ฉันต้องการเรียนรู้ แล้วพุทธศาสนาสอนให้เราพัฒนาตัวก้าวหน้าต่อไป ต้องทำการด้วยความเพียรให้มีความเข้มแข็ง ก็อาจจะได้จากสิ่งกล่อมให้สบายชั่วประเดี๋ยวหนึ่ง แต่ว่าถ้าเรามีความเข้มแข็ง ไอ้ตัวทุกข์ที่บีบคั้นกลับเป็นพลังทำให้เราประสบความสำเร็จแล้วสิ่งที่ได้มานั้นกำไรมากกว่าถูกไหมครับ ได้สิ่งกล่อมสบายเป็นชั่วประเดี๋ยวหนึ่งไปยอมทนทุกข์ ๆ นี้เป็นตัวบีบคั้นทำให้มนุษย์นี่ไม่ประมาท โดยเฉพาะมนุษย์ปุถุชนนั้นจะเจริญงอกงามได้เพราะทุกข์บีบคั้นภัยคุกคาม มนุษย์ปุถุชนนั้นเมื่อทุกข์บีบคั้นแล้วภัยคุกคามก็จะลุกขึ้นดิ้นรนขวนขวาย ยามใดสบายมีความหวังก็จะลงนอนเสวยสุขใช่ไหม เพราะฉะนั้นต้องระวัง ฉะนั้นไอ้สิ่งที่มนุษย์ว่าดีเนี่ย บางทีมันก็เกิดผลร้ายแก่ตัวเอง งั้นเราก็จับจุดให้ได้ ปฏิบัติต่อสิ่งเหล่านี้ให้ถูกต้อง ก็เอาเป็นว่าสิ่งที่จะใช้ได้ก็มีแค่ อะไรละเนี่ย ที่ว่าโดยสาระสำคัญก็คือ ว่าถ้าจะใช้แค่เป็นสิ่งกล่อมก็กล่อมพอให้พักจิตแล้วสดชื่น แล้วเดินหน้าต่อไป แล้วใช้ให้เกิดกำลังใจในทางสนับสนุนความเพียรพยายาม ไม่ใช่ทำให้เรานี่ไปรอความช่วยเหลือเลยสยบความเพียรไม่เพียรพยายามใช่ไหม ต้องใช้ให้ถูกต้องอย่างนี้ แล้วก็ถ้ามีกำลังเข้มแข็งขึ้นให้อยู่ด้วยตัวเองเลย ให้ใช้สิ่งเหล่านี้มาเป็นตัวเร่งตัวเองให้ไม่ประมาทยิ่งขึ้น เพราะคนที่ไม่ยอมกับสิ่งเหล่านี้นั้นใช้ทุกข์บีบคั้นภัยคุกคาม มาทำให้ตนยิ่งเร่งรัดในการดิ้นรนขวนขวายหนักเข้าไปอีกใช่ไหม ก็อยู่ที่ระดับการพัฒนาของคนด้วย สิ่งเหล่านี้ยืดหยุ่นและหลากหลายไปตามความแตกต่างระหว่างบุคคล ความแตกต่างระหว่างบุคคลนั้น โดยทางความถนัดอัธยาศัยบ้าง โดยระดับการพัฒนาบ้างแล้วยังไปสัมพันธ์กับปัจจัยอื่น ๆ อีก เช่นปัจจัยในฝ่ายผู้สอนอย่างพระ พระก็มีความแตกต่างในระดับความสามารถสติปัญญาอะไรต่าง ๆ ด้วย ฉะนั้นการที่จะพูดอะไรถึงสิ่งเหล่านี้จะตัดสินลงไปเป็นอย่างเดียวไม่ได้ต้องพูดให้เห็นเรื่องคุณและโทษและทางออกให้ครบถ้วนบริบูรณ์ที่พูดมานี้คิดมีความชัดเจนพอหรือยัง โดยเฉพาะพระนี่ทำหน้าที่ต่อประชาชนต้องชัดเจนเรื่องนี้
ฉะนั้นต้องขออภัยที่ต้องพูดถึงตัวเองว่า ตอนนี้ผมถึงย้ำนักเวลาไปพูดในที่ประชุมว่า เวลานี้เรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไสยศาสตร์อะไรต่าง ๆ ความเชื่อเจ้าพ่อเจ้าแม่เนี่ยครอบงำสังคมไทย เกลื่อนกลาดแล้วเราไม่มีความชัดเจนต่อสิ่งเหล่านี้ สังคมที่ไม่มีความชัดเจนนี่จะเป็นสังคมที่มีอันตราย เพราะฉะนั้นจะต้องรีบสร้างความชัดเจนมีท่าทีที่มันเอายังไงลงไปให้แน่นอน โดยเฉพาะผู้ที่รับผิดชอบต่อสังคม เป็นผู้นำประเทศ ผู้บริหารประเทศ หรือว่าเป็นพระสงฆ์ เป็นนักการศึกษาพวกนี้จะต้องชัดเจนเลยท่าทีต่อสิ่งเหล่านี้ เอายังไงต้องชัดลงไป นี่มันคลุม ๆ เครือ สังคมที่เต็มไปด้วยความพร่ามัวคลุมเครืออย่างงี้พัฒนายาก แล้วผู้บริหารประเทศชาติก็ไม่มีความเข้มแข็งพอไปเจอสิ่งเหล่านี้หน่อยหวั่นไหวเสียแล้วกลัวต้องทำตามอันนั้นไม่ดีต้องแก้ต้องเปลี่ยนเสาใหม่ ต้องย้ายโน่นย้ายนี่ไม่มีความเข้มแข็ง ผู้นำต้องมีความเข้มแข็งฉันจะยืนหยัดในหลักการตายเป็นตาย ลองได้คนอย่างนี้แล้วไม่ต้องกลัวแล้ว เทวดายอมนะครับ เทวดายอมแก่มนุษย์ที่เข้มแข็งแล้วจะเล่าให้ฟังอีกยังมีเรื่อง เอ้หรือว่าเล่าแล้วก็ไม่รู้ ยังใช่ไหม ยังเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับเทวดา ยังเล่าให้ฟังอีก พุทธศาสนามีเรื่องเยอะ แต่เรานี่จับกันไม่ถูกเลย เราไปนับถือบอกว่ามีเทวดา ก็นับถือแบบพราหมณ์เลย พุทธศาสนาสอนกันมานักหนา ในคัมภีร์มีเยอะแยะไม่เอามาใช้นะแต่ผมให้หลักไว้อันหนึ่งแล้ว พุทธศาสนาสอนว่า ธรรมต้องเหนือเทพ แล้วมันจะมีการที่ว่ามนุษย์เกิดกรณีพิพาทกับเทวดาก็มี เรื่องอะไรต่าง ๆ เหล่านี้ เนี่ยมีในคัมภีร์ทั้งนั้นน่ะ แล้วมนุษย์นี่เข้มแข็งจริง ๆ นะ แต่เข้มแข็งต้องเข้มแข็งแบบมีหลักอยู่ในธรรม ถ้ามนุษย์อยู่ในธรรมเทวดาต้องยอมนะ เพราะฉะนั้นผู้นำของประเทศเราผู้บริหารนี่ต้องเข้มแข็งถ้าฉันปฏิบัติถูกต้องตั้งอยู่ในธรรมแล้วเทวดาก็เทวดาเถอะ จะมาบอกว่าอันนี้อันนี้ไม่เอา อันนั้นตายเป็นตาย มันต้องขนาดนั้น งั้นความเข้มแข็งนี่แหละจะสู้ได้ แล้วจะนำประชาชน ได้ด้วยประชาชนต้องการความเข้มแข็ง ประชาชนต้องก็มีจิตใจอ่อนแออยู่แล้ว แล้วผู้นำไปอ่อนแออีกแล้วจะไปได้อะไรใช่ไหม ที่นี้พอพูดนำเข้มแข็งเป็นหลักให้ประชาชนก็จะได้เข้มแข็งขึ้นมาบ้าง สังคมมันก็จะอยู่ได้เพราะฉะนั้นเวลานี้เราต้องการผู้นำที่มีความเข้มแข็งที่เอาธรรมะมายืนหยัดแล้วสู้กับเทวดาได้ จนกระทั่งเทวดาต้องยอมอย่างคติของพุทธศาสนา ที่มีมาในประวัติ ของบุคคลในพุทธศาสนา ที่ท่านยืนหยัดมาแล้วเทวดาต้องยอม ใช่ไหม ชาวพุทธจะต้องเป็นอย่างนั้น แต่ไม่ได้หมายความว่าเราดูถูกเทวดานะ บอกแล้วนะ เราไม่ลบหลู่เลย เทวดาให้เกียรติ เราถือเทวดาโดยทั่วไปนี้ ท่านโดยเฉลี่ยแล้วอยู่ในระดับคุณธรรม ธรรมสูงกว่ามนุษย์ นั้นมนุษย์นับถืออย่างท่านผู้ใหญ่ ให้ความเคารพมีเมตตาต่อกันอย่างที่ว่าไปแล้ว อุทิศกุศลให้อะไรต่ออะไรทำดีที่สุด มนุษย์ทำดีที่สุดแต่ถ้าเทวดาไม่ตั้งอยู่ในธรรมมนุษย์ก็ ยืนหยัดในธรรมะ แล้วก็จะเป็นหลักให้แก่สังคมมนุษย์ แล้วก็เป็นหลักให้แก่เทวดาด้วย เทวดาก็ต้องพึ่งมนุษย์เหมือนกัน ไม่ใช่จะเป็นเทวดาช่วยมนุษย์อย่างเดียว ตอนนี้สังคมมนุษย์ของเรานี้ มีปัจจัยที่สร้างความอ่อนแอมากแล้วกำลังไหลกระแสนี้กำลังแรงมาก เพราะฉะนั้นต้องจับหลักให้ได้ จับให้ได้แล้วยืนขึ้นมาในหลักการของพระพุทธศาสนานี้เข้มแข็งแล้วไปได้ สังคมไทยจะอยู่ เอาแล้วครับวันนี้พูดมาจะจบหลายหนแล้วไม่จบสักทีตอนนี้จบแน่ ก็ขอโมทนาทุกองค์ ทีนี้ ถ้ายังไม่มีอะไรท่านก็กราบพระพร้อมกัน