แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ไฟล์ถอดเสียงนี้ยังไม่ได้ผ่านพิสูจน์อักษร นำขึ้นมาเพื่อช่วยในการศึกษาค้นคว้าของผู้สนใจ
(ถาม) ขออนุญาตถามพระเดชพระคุณหลวงพ่อนะครับ เกี่ยวกับเรื่องความฝันของมนุษย์ครับ คือมีบางคนที่ว่าฝันแล้วปรากฏว่าเหตุการณ์นั้นปรากฏขึ้นจริงตามที่ฝัน เช่น คนบางคนฝันเห็นตัวเลขแล้วไปซื้อลอตเตอรี่แล้วก็ถูกครับ หรือมีเหตุการณ์ที่มีข่าวลือว่ามีพระที่สิงห์บุรี มีพระในสมัยอยุธยามาเข้าฝันท่าน ว่ามีบทสวดพาหุงที่นั่นที่นี่ แล้วท่านก็ไปตามที่ฝันเอาไว้แล้วปรากฏว่าไปเจอจริงๆ เลยไม่ทราบว่า ตรงนี้ในทางพระพุทธศาสนาพอจะมีคำอธิบายไหมครับ หรือเป็นเพียงแค่เหตุบังเอิญ
(ตอบ)
คือตามคัมภีร์ที่ท่านว่ากันมา แล้วก็สืบต่อกันมานานแล้วจนกระทั่งว่า นานๆไปก็ลืม พูดถึงเรื่องการฝัน ว่ามีเหตุเท่าที่จำได้ก็สามประการ มีธาตุกำเริบ ก็หมายความว่าความผิดปกติในร่างกาย อันนี้ก็เป็นเหตุสำคัญที่ทำให้ฝัน ท้องไม่ดีอย่างงี้ หรือว่าอากาศรอบด้านไม่ดี ร่างกายแปรปรวน ผิดปกติ นี่ก็ไปรบกวนในกระบวนการของร่างกายเอง มารบกวนกัน พูดง่ายๆก็คือ สมองก็เลยทำงานโดยการถูกกระตุ้นแบบนั้น แล้วมันก็เอาพวกสิ่งที่ผ่านไป สัญญาเก่าๆมาปรุงแต่งขึ้น มันก็เลยเป็นเรื่องเป็นราว เพราะมนุษย์เรานี่เก่งเรื่องปรุงแต่ง เหมือนอย่างกับว่าบางคนนี้ก็ นั่งพอไม่มีอะไรก็คิดฝันไป ทีนี้ฝันในนี้มันยิ่งเก่งใหญ่เลย จิตมันก็ปรุงแต่งของมันไป สองก็คือ เป็นบุพนิมิต ก็หมายความคล้ายๆกับที่เราพูดเป็นไทยคือ ลาง ลางล่วงหน้า ลางก็คือล่วงหน้าอยู่แล้ว ไม่ต้องใส่คำว่าล่วงหน้า มันก็บอกอยู่ว่าล่วงหน้า นิมิตก็คือสิ่งที่เป็นเครื่องหมายบ่งชี้ล่วงหน้าบุพนิมิต นิมิตหมายที่บอกล่วงหน้า ก็เลยเรียกว่าลาง ก็หมายความว่ามันบอกเหตุข้างหน้าว่าจะเกิดอะไรขึ้น แต่ว่าภาษาไทยลางเนี่ย ใช้ในทางไม่ดี แต่บุพนิมิต มันได้ทั้งดีทั้งร้าย นิมิต ก็คือภาพในใจ เช่นอย่างผู้ปฏิบัติสมถะกรรมฐานก็จะเจริญกรรมฐานนั่นแหละ ก็จะมีนิมิต นิมิตก็มีตั้งแต่นิมิตจริงและนิมิตปลอม นิมิตแปลว่าสิ่งที่เป็นเครื่องหมายหรือเป็นตัวแทนของสิ่งที่เรามุ่งหมายก็ได้ อย่างที่ว่าเราจะทำกรรมฐานบำเพ็ญสมาธิ เราก็ต้องเอาอะไรมาเป็นอารมณ์ ให้จิตมันจับสิ่งที่เราเอาจิตไปจับนั้น พอมันอยู่ในใจท่านเรียกว่านิมิตเลย ก็คือภาพของสิ่งนั้น อันนี้เรียกว่านิมิตโดยตรงของกรรมฐาน เช่น ลมหายใจ มันก็เป็นนิมิต เราก็สร้างเป็นภาพขึ้นมา ต่อมา มันจะเกิดนิมิตซ้อนขึ้นไปอีกชั้นก็คือ เป็นภาพที่เกิดจากสัญญาของเรา คือเราก็กำหนดหมายไป ต่อมา แต่การกำหนดหมายในใจของเราก็เกิดเป็นภาพที่เราสร้างขึ้นมา เทียบเคียงกับของเดิน แต่ภาพที่เกิดใหม่เทียบเคียงกับของเดิมเนี่ย ถ้ามันอยู่กับจิตที่มันประณีต มันสงบมากขึ้น มันจะเป็นภาพที่เรียกว่าประณีตงดงาม บริสุทธิ์ยิ่งขึ้น จิตของเรามันก็มีความสามารถที่จะไปปรุงแต่งเช่นว่า สามารถที่จะขยายหรือย่อภาพนั้นได้ด้วย อะไรแบบนี้ ภาพอย่างนี้เรียกว่าภาพที่เป็นของเทียบกับของจริง หรือว่า เทียบเท่าของจริง แต่ไม่ใช่ภาพชั้นหนึ่ง เป็นชั้นที่ลึกเข้าไปที่เกิดจากสัญญาปรุงแต่ง อันนี้ก็จะได้แก่ผู้ปฏิบัติจนกระทั่งจิตได้สมาธิขั้นที่เป็นอุปจารเลย แต่ทีนี้ว่านิมิตในที่นี้เป็นนิมิตที่ต้องการ คือว่า เป็นภาพที่เราต้องการใช้ประโยชน์ เพื่อจะทำให้จิตเป็นสม ให้จิตจับอยู่กับมันเพราะว่ามันมาตามลำดับของการปฏิบัติของเรา ของที่เราต้องการกำหนด อันนี้มันก็เป็นภาพตัวแทนของสิ่งนั้น มันก็เลยเป็นสายเดียวกัน อย่างงี้ก็ดี ได้ภาพอย่างนี้ เรียกว่าเป็นนิมิตที่ถูกต้องเป็นนิมิตที่เป็นกรรมฐานแท้ๆ ทีนี้มันมีอีกอย่างก็คือ ผู้ปฏิบัติไปเนี่ย นอกจากว่าจิตมันจะไปสร้างภาพ จับเอาภาพของสิ่งที่ตัวกำหนดแล้ว บางที จิตของตัวเองเพราะมันมีความรู้สึกที่มันประทับใจของตัวเองอยู่ หรือแม้แต่กวนใจของตัวเองอยู่ มันก็ไปเอาสัญญาภาพเก่าๆที่มีในใจมาปรุงแต่งขึ้นใหม่ ปรุงแต่งขึ้นมาที่นอกเหนือจากภาพของสิ่งที่ปฏิบัติ อันนี้ก็กลายเป็นนิมิตเหมือนกันแต่เป็นนิมิตที่ไม่พึงปรารถนา อันนี้ก็เป็นตัวสำคัญที่ทำให้เกิดปัญหา ดังนั้น คนที่ปฏิบัติไปเนี่ย พอเกิดนิมิตที่มันไม่ใช่นิมิตของอารมณ์กรรมฐาน ก็ถือว่าให้มีสติที่จะรู้ทันแล้วก็หยุดมัน ไม่อยู่กับนิมิตนั้น ให้รู้ทันนี่คือนิมิตเท่านั้นเอง พอรู้ทันแล้วเราก็กลับมาอยู่กับนิมิตกรรมฐาน นิมิตนั้นคือนิมิตนอกเรื่อง ซึ่งดีก็มีร้ายก็มี อย่างคนที่ปฏิบัติเจริญกรรมฐานจิตสงบหน่อยล่ะ ตัวเองเคยมีประสบการณ์อะไร สิ่งที่ประทับใจความรู้สึกอะไรบางอย่างมันเด่นอยู่ในใจเนี่ย เวลาจิตมันเริ่มสงบ อันนั้นมันก็จะได้โอกาส เหมือนกับว่ามันได้ช่องที่มันจะแสดงตัว เพราะว่าจิตคนเราถ้าเปิดโอกาส เรื่องที่เราต้องพิจารณาที่ต้องเกี่ยวข้องอะไรมันเยอะ ไอ้พวกนั้นมันไม่มีโอกาส เรื่องบางอย่างที่เรามีความรู้สึกแรงหน่อยต่อมัน หรือมันเด่นอยู่ในจิตใจ ทีนี้พอได้โอกาสจิตมันสงบลงหน่อยมันก็โผล่ อาจจะเป็นสิ่งที่ดีบ้างไม่ดีบ้าง บางทีก็การปฏิบัติของเราเองนั่นแหละ เหมือนกับว่า ไปคล้ายเคียงหรือว่าไปสะกิดสะดุดมัน แล้วมันก็โผล่ขึ้นมา เช่นว่า คนที่เป็นศิลปิน เป็นจิตรกร ช่างภาพ พอเจริญสมาธิไป จิตมันสงบตัวเองเนี่ย มีความยินดีพอใจในความงาม วิจิตรของพวกภาพต่างๆ พวกสีสันลวดลายอะไรอย่างนี้ ทีนี้ ตอนที่จิตมันสงบดีมันให้โอกาสมาก ตัวเองมีความโน้มเอียงอย่างนั้นแล้ว ไม่มีตัวอื่นที่เด่นเข้ามา ตัวเองก็จิตโน้มไป นึกถึงพวกภาพสิ่งเหล่านี้ พอจิตมันสงบมันก็เลยได้ภาพที่ชัดเจน งดงาม ละเอียดลออ ก็เกิดไปเห็นเป็นรูปภาพลวดลายที่สวยงาม ชนิดที่ตัวเองไม่เคยเห็น สวยงามยิ่งกว่าภาพที่ตัวเองเคยวาดได้ นี่ก็เรียกว่านิมิตเหมือนกัน นิมิตนี้ก็อาจจะทำให้ติดใจ บางคนก็ได้นิมิตเป็นสวรรค์ เพราะว่าตัวเองเนี่ยเคยได้รับคำสอน บอกเล่าว่าสวรรค์มันสวยงามอย่างนั้นอย่างนี้ มีเทวบุตรเทพธิดาอะไรต่างๆ อันนี้พอได้โอกาสมันก็ปรุงแต่งขึ้นมาเป็นภาพ สรงสวรรค์ เป็นอะไรเทพบุตรเทพธิดาสวยงาม ก็เพลิน ก็นึกว่าบรรลุอะไรเข้าแล้ว นี่ก็คือตัวที่ทำให้เหมือนกับหลอกตัวเอง ฉะนั้นก็ให้รู้ทันว่าเป็นนิมิต นี่คือนิมิตฝ่ายดี ถ้านิมิตที่ไม่ดี อย่างที่ว่าก็คือตัวเองเคยมีปัญหาอะไรบางอย่าง พอจิตมันสงบหน่อยมันได้โอกาสมันก็ออกมา จิตมันก็ไปปรุงเอาเรื่องนั้น เอาสัญญามาปรุงเป็นเรื่องที่สอดคล้องกับปัญหาที่ตัวเด่นอยู่อย่างนั้น อย่างบางคนปฏิบัติกรรมฐานไป เจริญสมาธิ ก็มีอะไรที่เช่นว่า เคยทำอะไรเขาไว้ แล้วรู้สึกกลัวๆอยู่ พอว่าจิตมันสงบก็เลยสร้างเป็นภาพปีศาจจะมาหักคอ บีบคอ บางคนก็กลัวใหญ่ รู้ไม่ทันนิมิต ตกใจเสียสติไปเลย บางทีเจริญสมาธิไม่รู้หลักแล้วก็ไม่มีอาจารย์ดูแล กลายเป็นเสียไปเลย เพราะว่าจิตของตัวเองมันมีพื้นที่มันจะมีปัญหาได้อยู่แล้ว นี่ก็ไม่รู้ทัน อย่างน้อยผู้ปฏิบัติเนี่ย ต้องรู้หลักไว้บ้าง บอกว่าถ้าเราเจริญกรรมฐานไปเนี่ย มันก็มีทางมากแล้วโดยเฉพาะบางคนเนี่ย มีความโน้มเอียงที่จะสร้างภาพนิมิตเหล่านี้ขึ้นมาให้รู้ว่าภาพอะไรที่เกิดขึ้นระหว่างปฏิบัติ ถ้ามันไม่ใช่ภาพที่เป็นตัวแทนของสิ่งที่ตัวกำหนดเป็นอารมณ์กรรมฐานแล้ว ให้รู้ทันว่าเป็นนิมิตที่ว่านี้ นิมิตที่มันไม่ถูกต้อง ไม่ใช่ ไม่ว่าดีว่าร้ายว่าสวยว่างามนี้ สวยก็อย่าไปติด ร้ายก็อย่าไปตื่น อย่าไปตกใจ ก็รู้ทันว่านิมิตแล้วก็หยุดกลับมาสู่อารมณ์กรรมฐานของตัวเอง นี่เรียกว่านิมิตทั้งนั้น ในเรื่องของฝันก็เช่นเดียวกัน ภาพในฝันท่านเรียกว่านิมิต นิมิตมันก็เป็นเครื่องหมาย เป็นตัวแทนของสัญญาที่เรามีอยู่ ในจิตในใจเรื่องราวประสบการณ์อะไรต่างๆเก่าๆ จำเก็บไว้ มันแสนจะมากมาย แล้วก็มาเก็บมาปรุงมาแต่งขึ้น อันนี้อันที่หนึ่ง เมื่อกี้บอกไปแล้วว่าเป็นธาตุกำเริบ พวกภาพเหล่านี้เมื่อร่างกายมันไม่ปกติ สมองมันถูกรบกวน มันก็ไปเที่ยวเอาภาพอะไรต่ออะไรมาปรุงแต่งขึ้นมาเป็นความฝัน เป็นนิมิตแบบนี้ ทีนี้อย่างที่สอง บุพนิมิตก็คือเป็นนิมิตล่วงหน้าของสิ่งที่จะเกิดขึ้น นี้ก็มีทางเป็นไปได้ในแง่ที่ว่า มันก็เป็นความสามารถของมนุษย์ที่ตัวเองปกติเนี่ย ไม่มีความสามารถที่จะใช้ในสภาพปกติ แต่จิตที่มันอยู่ในภาวะที่ตัวเองบังคับไม่ได้เนี่ย กลับมีความสามารถมากกว่า ทีนี้ว่าไอ้พวกเหตุการณ์อะไรต่างๆ เหตุปัจจัยอะไรต่างๆที่มันจะเกิดเป็นปรากฏการณ์เป็นผลข้างหน้าเนี่ย มันก็มีเหตุมีอะไรต่ออะไรอยู่ ทีนี้คนที่อยู่ในภาวะที่จิตมันบังคับตัวเองไม่ได้ ไม่มีสำนึกเนี่ย ที่มันมีความสามารถเป็นพวกจิตไร้สำนึก ใต้สำนึกพวกนี้ มันก็จับเอาไอ้พวกเหตุปัจจัยเนี่ย ตัวสัญญาณบ่งบอกที่หมายถึงปัจจัยที่จะนำไปสู่ผลบางอย่าง อาจจะเรียกว่าเชื่อมโยงต่อให้เห็นเป็นภาพของผลที่จะเกิดขึ้นได้ อันนี้ก็เรียกว่าเป็นบุพนิมิต คือคนเราที่จริงเหมือนกับว่ามีความสามารถอยู่ในตัวแต่ใช้ไม่เป็น จิตสำนึกนี้ไม่สามารถทำได้แต่ศักยภาพนั้นมีอยู่ เราก็พยายามพัฒนาศักยภาพหรือความสามารถอันนี้ให้ใช้ได้ในภาวะสำนึก นั่นก็คือผู้ที่สำเร็จ บรรลุผลของสมาธิในระดับๆนั้นสูงขึ้นไป ทีนี้คนธรรมดาทำไม่ได้ก็อาศัยจิตที่มันบังคับไม่ได้ หรือไร้สำนึกนี่แหละ จะเห็นว่าจิตแบบนี้ทำงานได้เยอะ เช่นสะกดจิต เขาสามารถทำให้คนทำอะไรได้แปลกๆ แล้วนึกอะไรได้ที่ตามปกตินึกไม่ออก เช่นว่า สะกดจิตให้นึกถึงความเก่าตั้งแต่เกิดใหม่ๆ ซึ่งตัวเองลืมไปหมดแล้ว เอามาได้ หรือว่าให้นอนตัวแข็ง เช่นว่า เอาหัวพาดกับเก้าอี้ทางนี้แล้วปลายเท้าพาดอีกที่หนึ่ง แล้วให้แข็งเลย ซึ่งตามปกติตัวเองทำไม่ได้ แล้วทำได้ หรือว่าให้กลับไปเดินเหมือนอย่างเด็กเล็กๆอย่างนี้นะ นี่ก็คือว่า ความสามารถอันนี้มีอยู่ แต่ว่าในจิตสำนึกภาวะปกตินี้ตัวเองทำไม่ได้ ต้องอยู่ในภาวะอีกแบบหนึ่ง พวกนักสะกดจิตก็มาทำอันนี้ หรือว่าแม้แต่คนละเมอ มีคนที่ละเมอแล้วไปเดินที่ขอบตึก คือที่หน้าต่างเนี่ยนะ ตึกบางอย่างมันมีขอบแคบๆอยู่ แล้วไปเดินละเมอเดินได้บนนั้น แต่ถ้าตื่นตอนนั้นตกแน่เลยใช่ไหม เดินไม่ได้เลย ขาเขอสั่นเดี๋ยวตกแน่ ตายแน่เลย แต่ตอนละเมอเดินได้ ก็จะทำอะไรได้แปลกๆ คือหมายความว่า ศักยภาพนั้นมีอยู่ แต่กลายเป็นว่ามนุษย์นี้ไม่สามารถใช้มัน กลายเป็นว่าจิตที่อยู่ในภาวะที่มันเป็นไปโดยไม่สำนึกนี้แหละ แสดงความสามารถนี้ออกมา ในแง่หนึ่งก็เหมือนกับพวกที่ เขาเรียกว่า เอาสมาธิมาสร้างฤทธิ์ก็คือ เอาความสามารถอันนี้มาใช้ในภาวะที่มีจิตสำนึกได้ เหมือนอย่างที่ว่าเดินขอบตึกได้ในภาวะจิตสำนึก แม้แต่คนธรรมดาที่จิตสำนึกก็ทำได้ไม่เท่ากันใช่ไหม จิตเราตื่นเต้นสักหน่อยมันก็ทำไม่ได้ตั้งเยอะแยะ เหมือนอย่างคนที่เป็นช่างเก่งๆ ก็ไปเดินบนยอดหลังคา บางคนก็เดินสบาย คนไม่เคยไปเดินก็เดินไม่ได้ใช่ไหม ขาเขอสั่นเดี๋ยวก็ตกตายไปเลย เรื่องจิตเนี่ยเป็นเรื่องละเอียดลึกซึ้ง เอาเป็นว่าบุพนิมิตนี้ก็เป็นไปในแง่นี้ด้วย คือความสามารถของจิตของมนุษย์นี้มีอยู่ ทีนี้ว่าปัจจัยต่างๆ ผลที่จะปรากฏ มันก็มีปัจจัยอยู่แล้ว ปัจจัยเหล่านั้นก็คนธรรมดาก็จับชนเชื่อมโยงไม่ถูก ทีนี้จิตอันนี้มันก็มีความสามารถอันนี้อยู่ แล้วก็ตัวปัจจัยประกอบเช่น ความปรารถนา ความมุ่งมั่นอะไรต่างๆเนี่ย มันทำให้จิตมุ่งไปสู่ผลที่ต้องการ เพราะฉะนั้นเหตุนี้ เรียกว่า บุพนิมิต อีกอย่าง ท่านเรียกว่าเทวดาสังหรณ์ เทวดาสังหรณ์ก็หมายความว่า เป็นพวกเทวดานั่นแหละ มีความปรารถนาดีหรือร้ายต่อเรา ก็เหมือนกับพวกสะกดจิต พวกสะกดจิตก็มีความสามารถเหมือนกับว่ามีจิตที่เข้มแข็งกว่าเรา กว่าคนที่อ่อนแอกว่า ทำให้โน้มจิตเป็นไปตามที่เขาต้องการ เหมือนกับว่าเทวดานี้มาโน้มจิตให้เห็นอย่างนั้นอย่างนี้ เทวดาที่หวังดีก็จะมาให้นึกถึงล่วงรู้ถึงเหตุการณ์ข้างหน้าว่าเกิดอะไรขึ้น ก็ตามที่ท่านวางหลักกันมาก็ สามอย่าง หนึ่ง ธาตุกำเริบ สองบุพนิมิต สามเทวดาสังหรณ์ พอจะเห็นนะ
(ถาม) เทวดาสังหรณ์นี่ผมก็จะโยงไปถึงคนเข้าทรง ที่ว่าเทวดาเทพต่างๆมาเข้าทรงนี่ใช่เทวดาสังหรณ์หรือเปล่าครับ
(ตอบ) มันก็ยากที่ว่าเราก็ไม่ได้ไปรู้เทวดานั้นมาจริงหรือเปล่า บางทีก็เป็นจิตของตัวเอง คนก็หลอกตัวเองเยอะ นี่เรียกว่าความลี้ลับของจิตที่มนุษย์ยังไม่รู้ ไม่เข้าใจ บางทีตัวเองก็โน้มจิตของตัวเองไปในทางอย่างนั้น ให้เป็นไป เช่น มีความสามารถจะทำได้อยู่แล้วที่จะทำอย่างนั้น เช่นว่า ไปแสดงตัวเป็นเหมือนกับว่าเป็นคนแก่ เหมือนอย่างคนทรงน่ะ เวลาแกจะทรงเจ้านั้น แกก็ทำท่าเหมือนอย่างนั้น เช่น เป็นคนทรงของแสดงเด็จพุฒาจารย์ โต ตามปกติก็มีกริยาตามปกติของคนทั่วไป พอจะเข้าทรงเป็นสมเด็จพุฒาจารย์ โต ก็กลายเป็นคนแก่ ถ้าท่านเคี้ยวหมากก็เคี้ยวหมากไปด้วย มีกริยาท่าทางการเดินการอะไรไป ทีนี้ เมื่อท่านมาเข้าทรงจริงหรือ มันเป็นไปได้มากที่จิตของตัวเอง ที่ว่า มนุษย์นี้ศักยภาพของจิตที่เราจะใช้คำสมัยใหม่ว่าไร้สำนึกหรืออะไรก็แล้วแต่ มันมีอยู่แล้ว แต่เพียงว่าต้องให้จิตมันไปถึงจุดนั้น ที่ให้มันพ้นจากอำนาจหรือจิตสำนึก แล้วมันก็แสดงออกมา มันมีความสามารถที่จะทำอย่างนั้นอยู่แล้ว ทีนี้ตัวสัญญา ความจำและความเข้าใจ ที่จริงอาจจะไม่ตรงกับของท่านแท้ แต่ว่าตัวเองเนี่ย จำมาได้ยินได้ฟังมา หรือคิดหมายเอาว่ามีลักษณะอาการอย่างนี้ มีอาการคนแก่อย่างนี้ สมเด็จท่านเป็นอย่างนั้นอย่างนี้รวมเป็นภาพอยู่ ภาพนี้มันก็ออกมา แสดงได้เลย ตัวเองก็เป็นตัวแสดงของภาพเหล่านั้นทั้งหมด ที่แนบเนียนไปเลย เพราะมันไม่มีตัวฝืน ตัวฝืนก็คือจิตสำนึกที่มันไปของมันทางหนึ่ง แต่นี้มันเป็นจิตไร้สำนึก มันก็ไปเต็มที่นั่นเลย มันก็เหมือนเปี๊ยบไปเลย ตัวคนทรงก็ไม่แน่ อาจจะเป็นท่านมาสะกดจิตหรือตัวเองสะกดจิตตัวเอง ก็คือ ภาพสัญญาที่มีอยู่มาปรุงแต่งขึ้น เอาง่ายๆก็อย่างน้อยก็มีทางเป็นไปได้สองอันนี่แหละ
(ถาม) กราบเรียนถามพระเดชพระคุณหลวงพ่อครับ เรื่องสภาพจิตใจกับความเจ็บป่วยครับ ผมแบ่งเป็นสองพวกครับ พวกที่หดหู่จนป่วยคือพวกที่เครียดสะสมครับ จนทำให้ร่างกายทรุดโทรมตามสุขภาพจิตครับ พวกที่สองก็คือพวกที่ป่วยแล้วจิตใจถึงจะหดหู่ เหมือนกับไม่ยอมรับสภาพร่างกายตัวเอง ก็เลยอยากจะถามว่าพอจะมีแนวทางที่จะทำให้สภาพจิตใจแข็งแรงเข้มแข็งขึ้น ให้คนที่ไม่ได้ฝึกปฏิบัติเหมือนชาวบ้านทั่วไป เป็นแนวทางจูงใจให้คนที่ดื้อไม่ยอมฟังหมออะไรอย่างนี้
(ตอบ) ก็มีได้ทางสองอย่าง ทางจิตกับทางปัญญา ทางจิตก็เป็นเรื่องของการฝึกหรือมีเครื่องช่วยบรรยากาศสิ่งแวดล้อม บุคคล กัลยาณมิตร ตัวเองใจไม่เอา ใจหดหู่ ถ้าเกิดคนที่เชื่อฟังหรือคนที่ตัวเองรักมาก มาพูดอะไรต่ออะไร ใจโน้มไปง่าย หรือแม้แต่คนนั้นน่ะ ไม่รู้จักแต่เป็นคนที่พูดเก่ง เป็นคนที่มีมนุษย์สัมพันธ์ดี หรือเป็นคนที่ฝึกมาทางเรื่องนี้ เข้าไปหาใครแล้วเดี๋ยวพูดจาอะไรต่ออะไรแล้วทำให้คนนั้นนี้ใจสบาย ผ่องใสขึ้นมาเนี่ย ปัจจัยภายนอกนี้สำคัญ เพราะฉะนั้นท่านจึงให้คำนึงถึงตัวปัจจัยภายนอกนั้นมา เพราะมนุษย์ทั่วไปขาดความสามารถที่จะฝึกตัวเองหรือฝึกที่จะทำได้ด้วยตน ก็อาศัยบุคคลอื่นที่เป็นกัลยาณมิตร ท่านจึงมุ่งไปว่าให้เป็นกัลยาณมิตร หรือให้หากัลยาณมิตรมาช่วยนำจิต มาช่วยพูดช่วยจาอะไรก็แล้วแต่ บางคนนี้เข้ามาใกล้คนอื่นเนี่ย เขาจะทำอะไรน่าดูไปหมด เช่น ทำให้คนอื่นสบายใจ ใช่ไหม ทีนี้คนอย่างนี้ก็จะได้รับการคัดเลือก เอาไว้สำหรับมาช่วยผู้คน เราจะช่วยคนป่วยใจไม่ดี เราก็คัดคนไว้ ฝึกคนไว้ ที่เขาลักษณะดี รู้จักพูดจาสร้างบรรยากาศ คนนี้เข้าไปเดี๋ยวเดียว คนไข้เนี่ยก็หัวเราะยิ้มแย้มแจ่มใสมีกำลังใจใช่ไหม นี่ล่ะกัลยาณมิตร ปัจจัยภายนอกอันนี้สำคัญ ถ้าเราได้มาแล้วก็สบายไปเยอะเลย กัลยาณมิตรก็จะมาช่วยเป็นตัวสื่อที่จะกระตุ้นปัจจัยภายใน พอคนนี้มาแล้วก็จะช่วยแนะนำอะไรต่างๆ อาจจะบอกวิธีปฏิบัติตัวเวลาเขาไม่ได้มา ให้คนนี้ทำได้เอง ก็ทำไปตามเขาให้ดีขึ้นไปอีก อันนี้ปัจจัยภายนอก ก็มาช่วย ทีนี้ปัจจัยภายในก็นี่แหละ ด้านจิตใจ ด้านจิตใจก็ฝึกจิตใจอย่างแม้แต่เรื่องกรรมฐาน ทำอานาปานสติ ลมหายใจ ตั้งใจไว้ มองอะไรในทางที่ดี อันนี้จะไปสัมพันธ์กับทางปัญญา ทำจิตใจให้สบาย ฟังพระพุทธเจ้าตรัสนะ ว่า ถึงกายจะป่วยแต่ใจเราจะไม่ป่วย ก็เป็นเรื่องฝึกใจอย่างหนึ่ง ขั้นสูงต่อไปก็ขั้นปัญญา ขั้นปัญญาก็หมายความว่า ให้รู้จักคิดพิจารณามองสิ่งทั้งหลาย เครื่องมือสำคัญก็โยนิโสมนสิการ ก็รู้จักมองพลิกสิ่งที่ไม่ดีสิ่งที่ร้ายให้กลายเป็นดีได้ มองความเจ็บป่วยของเรามันเป็นโอกาสก็ได้นะ ในการที่เราไม่เคย เรามีชีวิตที่วุ่นวายอยู่กับโน่นกับนี่ พอเรามาป่วยก็กลับมีโอกาสได้คิด ได้นึกได้เกี่ยวข้องกับสิ่งที่เราไม่มีเวลาในยามปกติ ก็อาจจะได้ประโยชน์จากการเจ็บป่วยนี้ก็ได้ หรือมองโรคภัยไข้เจ็บในอีกแง่หนึ่ง เอามาเป็นอุปกรณ์ในการทำกรรมฐานหรือการพิจารณาวิปัสสนาอะไรก็ว่าไป หรือว่าได้ศึกษาเข้าใจความจริงของโลกของชีวิต พอเกิดปัญญารู้เข้าใจต่อความจริงแล้วก็วางใจได้ถูกต้อง ใจก็ลงตัวกับโลกกับชีวิตนี้ ก็สบายไปเลย จิตเป็นอิสระ หมดเรื่องหมดราวไปเลย หมดปัญหาไปเลย ก็ว่ากันเป็นขั้นๆนะ ขั้นต้นๆก็อย่างที่ว่าแหละ ในเมื่อพึ่งตัวเองไม่ได้ ก็หากัลยาณมิตรมา คนแวดล้อมก็ดูว่าเราเนี่ยจะเป็นกัลยาณมิตรช่วยได้ไหม ถ้าเราช่วยไม่ได้เราก็หาคนที่มีความสามารถมา แต่ตอนแรกเนี่ยขั้นที่หนึ่งคนทั่วไปนี้ก็จะพึ่งตัวเองไม่ค่อยได้ ท่านจึงเน้นแง่ทีว่าเอาปัจจัยภายนอกมาช่วย แล้วก็ฝึกจิตใจด้านปัญญา
(ถาม) หากประสบอุบัติเหตุแล้วปุปปับ ก็ขาดสติไปเลย ก็คือไม่มีสติเลย แต่ว่าหัวใจยังเต้นอยู่ แล้วเขาจะมีจิตสุดท้ายอะไร (เสริม) หมายความว่าปุปปับตาย?
(ตอบ) จิตมันเร็วออกอย่างกับอะไร มีหลายแง่ที่จะพิจารณา หนึ่งคือที่ว่ามันปั๊ปตาย คืออย่างรถชนแล้วตายเลย อันนั้นยิ่งกว่ามันหมดสติอีก หมดสตินี่มันไม่ได้ตาย จิตมันไม่ได้อยู่ในภาวะที่มีจิตสำนึกรู้ แต่ว่ามันไปอยู่ในจิตลึก คนเรานี้ บางทีข้างนอกไม่รับรู้แล้วใช่ไหม ข้างในยังอยู่ในภาวะเหมือนกับฝันเลย เนี่ยแสดงว่าจิตมันทำงานอยู่ ตอนนี้แหละคับ จิตมันจะปรุงแต่งแล้ว จิตที่มันไม่มีสติออกมาภายนอก มันไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรกับใครแล้วเนี่ย แต่ตอนนี้มันก็ยังทำงานของมันอยู่ มันก็ยังเอาภาพสัญญาเก่าๆของมันมาปรุงแต่ง บางคนอยู่ในภาวะฝันมาเป็นปีๆเลยนะ นอนอยู่อย่างนั้น เหมือนกับไม่รู้เรื่องรู้ราวแต่แกยังไม่ตาย ไม่รู้ฝันอะไรบ้าง ทีนี้ถ้าหากว่า พอรับรู้ได้บ้าง แม้ว่าเขายังไม่ได้แสดงออกว่ารับรู้เนี่ย จึงแนะนำว่าอย่าไปประมาทนึกว่าเขายังไม่รับรู้เลยนะ มีการรับรู้ที่มันแบบว่าไม่สามารถแสดงออก การรับรู้แบบบรรยากาศเนี่ย ถ้าสร้างบรรยากาศดีๆเนี่ย มันก็โน้มจิตไปให้จิตมันสบาย จิตที่เบิกบานผ่องใสสบายก็จะเป็นกุศล ก็ช่วยเขาได้ อันนั้นจิตมันก็จะปรุงแต่ง อย่างน้อยก็ให้ฝันเรื่องดีๆ ต่อไปถ้ามันจะตายเนี่ย จิตมันเร็วมาก มันไม่ใช่ว่าวิบเดียวตาย แต่จิตมันไว รูปธรรมนี้เกิดดับก็ไวอยู่แล้วนะ รูปธรรมเกิดดับเนี่ย เวลาเรามีชีวิตอยู่เนี่ย มันก็เกิดดับตลอดเวลา จิตเนี่ย มันเกิดดับไวกว่ารูปธรรมอีก ถือกันว่า 17 เท่า ดังนั้น ที่วิบเดียวของรูปธรรมเนี่ย จิตมันไปได้ไกลเลย ฉะนั้นมันก็ทำงานของมันเสร็จ มันได้ คนจะตายเนี่ย ท่านว่าตามอรรถกถาเนี่ย มาอธิบายกระบวนการของการตาย ลำดับการเป็นไปของจิต ตอนท้ายมันจะมีที่ท่านเรียกว่า กรรมนิมิต และคตินิมิต กรรมนิมิตก็คือว่า เอาแหละ นิมิตมาอีกแล้วเห็นไหม นิมิตก็คือภาพตัวแทนของกรรม กรรมนิมิตก็ภาพตัวแทนของกรรม ก็หมายความว่าเราเคยทำกรรมอะไรมาเนี่ย จิตมันเก็บไว้หมด แม้แต่ว่าตามปกติมันนึกไม่ออก แต่ในนั้นมันเก็บ เพราะฉะนั้นถ้าพวกนักสะกดจิต มันสามารถสะกดให้ระลึกขึ้นมาได้ เวลาจะตาย จิตมันจะประมวลภาพตลอดชีวิตเลย ฉายหนังย้อนเก่าให้ตัวเองดู ก็คือตัวเองเนี่ย ระลึกเรื่องเก่ามาว่า ทำกรรมอะไรต่ออะไรมา ทีนี้พวกเสร็จแล้วจะมีคตินิมิต ก็คือภาพตัวแทนของคติที่จะไปเกิด ทีนี้ก็จะเป็นดีหรือร้าย มนุษย์มันก็จะมีสิ่งที่เหมือนกับว่าถนัดในการสร้างภาพอยู่แล้ว ก็จะสร้างภาพนิมิตของภพที่ไม่ดี ก็จะเป็นสิ่งที่เล่าร้อนน่ากลัวเป็นไฟอะไรแบบนี้ ถ้าไปเกิดดีก็เป็นคตินิมิตก็เป็นที่ร่มเย็นสวยงาม อย่างที่ว่าเป็นสรวงสวรรค์อะไรต่างๆ นี่ก็เป็นเรื่องของกระบวนการทำงานของจิต หนึ่งก็ต้องรู้ความเร็ว สองก็รู้ว่ามันทำงานอยู่มันไม่ใช่ว่ามองไม่เห็นข้างนอกแล้วมันไม่ทำ จิตไวนะเช่นอย่างนี้ อย่างคนฝันเนี่ย สมัยก่อนมันมีสงครามเวียดนามที่รู้กันหมดแล้วใช่ไหม มันเป็นเรื่องใหญ่สะเทือนไปทั่วโลก ประเทศไทยใกล้ด้วย ได้ยินอยู่ด้วย ภาพอย่างนี้สิ่งที่ได้ยินได้ฟัง มันก็อยู่ในหัวคนกันไป มันก็พร้อมที่จะสร้างเป็นภาพ แต่ว่าตามปกติเราก็ไม่มี อย่างคนหนึ่งแกนอนหลับอยู่ แล้วก็มาเคาะประตู ก็คือปลุกให้ตื่นแหละ หรือเคาะเรียก ตื่นหรือหลับก็ไม่รู้นะ แต่คนนั้นเขามาเรียก แกก็หลับอยู่นี่ แกได้ยินเสียงเคาะประตูแกก็ตื่น แต่ก่อนตื่นแค่ที่เขาเคาะประตู ก็ฝันว่าไปรบที่เวียดนาม ยิงกันวุ่นวายหมดเลยนะ เสียงปืนเสียงระเบิดตูมตาม ในที่สุดโดนเสียงระเบิดตื่นขึ้นมาปรากฏว่าเป็นเสียงเคาะประตู ไปรบสงครามเวียดนามได้จบเลย แค่นั้นเลย จิตไวแค่ไหน ท่านลองคิดดู เราหลับเนี่ยเราฝันอะไรต่ออะไรไป ความเร็วของจิตบางทีนึกไม่ถึง